นางมาร ตอนที่ 23
เนตรอัปสรเข้ามาในห้องเชตะวันแล้วหยุดยืนมอง โดยมีอนงค์คอยเฝ้าดูแลอยู่
เนตรอัปสรคิดถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับคุณสรวงมา เธอเริ่มมุ่งมั่นที่จะไปช่วยเชตะวันแล้วจึงเดินไปคุยกับอนงค์
“พี่นงค์คุณหมอมาตรวจอาการคุณเชตแล้วว่ายังไงบ้างคะ”
อนงค์หันมาหน้าเศร้า
“คุณหมอบอกอาการทรงเหมือนเดิมไม่ดีขึ้นเลยค่ะ”
เนตรอัปสรเดินเข้ามาที่เตียงเชตะวัน
“คุณอาทิตย์กับคุณเชตทำไมถึงได้โชคร้ายแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้นะคะ นงค์สงสารคุณเชตจังเลยที่ต้องนอนอยู่แบบนี้ไม่รู้เวรกรรมอะไรทำไมไม่ฟื้นขึ้นมาสักที”
“ฉันไปหาแม่ชีมาคะ ท่านบอกฉันว่าดวงวิญญาณของคุณเชตถูกสะกดไว้ยังที่แห่งหนึ่ง เขาจึงไม่สามารถกลับเข้าร่างที่นอนอยู่นี้ได้”
แซลลี่แง้มประตูเข้ามาได้ยินเสียงคนคุยเลยหยุดฟัง อนงค์แปลกใจในสิ่งที่เนตรอัปสรพูด
“คุณพยาบาลหมายความว่า...คุณเชตถูกผีบังตาไว้เหรอคะ...นี่คุณไม่ได้ล้อนงค์เล่นนะคะ” อนงค์หวาดกลัว
“มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ฉันก็เชื่อนะคะและมันก็จะเป็นทางเดียวที่ฉันจะทำเพื่อคุณเชตได้”
“ทำยังไงล่ะคะ”
แซลลี่ตาวาวรอฟังอย่างตั้งใจ
“แม่ชีบอกกับฉันว่าต้องตามหากระดูกของวิญญาณที่ดึงคุณเชตไปให้เจอ แล้วเอาไปทำพิธีเพื่อดึงดวงวิญญาณคุณเชตกลับมา”
“แล้วต้องไปตามที่ไหนล่ะคะ”
“คงจะไปเริ่มต้นที่รีสอร์ทของคุณพายัพเพื่อตามหาหลวงปู่ให้เจอก่อน ถ้ารู้ว่ากระดูกของร่างที่สะกดวิญญาณคุณเชตอยู่ที่ไหน เราก็ตามเอามาเพื่อจะได้เอามาประกอบพิธี และถ้ามันได้ผลคุณเชตก็จะกลับมาเป็นปกติค่ะ”
แซลลี่คิดๆแล้วตัดสินใจรีบออกไป อนงค์เข้าไปจับมือเนตรอัปสร
“ขอให้คุณพยาบาลทำสำเร็จนะคะ คุณเชตของนงค์จะได้ฟื้นขึ้นมาสักที”
“ฉันฝากพี่นงค์ดูแลคุณเชตแทนฉันด้วยละกันนะคะ ฉันต้องไปสัก 1-2 วัน ไม่ว่ายังไง ฉันจะต้องให้คุณเชตฟื้นกลับมาให้ได้ค่ะ”
“ได้คะ งั้นคุณพยาบาลอยู่กับคุณเชตก่อนละกันนะคะ”
เนตรอัปสรมองเชตะวันที่นอนนิ่ง อนงค์จึงออกไป เนตรอัปสรมองเขาอย่างเป็นห่วง นั่งมองจับมือเขาขึ้นมาถอนใจใบหน้าเศร้า
“คุณเชต...คุณต้องรอฉันนะคะ”
เนตรอัปสรนั่งมองเชตะวันหน้าเศร้า ด้านหลังเธอเหมือนมีใครกำลังแอบมองจากประตูหน้าห้องค่อยๆเดินเข้ามาแล้วมาจับที่ไหล่ของเธอ เนตรอัปสรหันมองใครคนนั้น
พายัพใช้ความคิด ถือแก้วบรั่นดียืนมองไปนอกหน้าต่างฟังที่แซลลี่พูดหันกลับมา
“แซลลี่ฟังมาไม่ผิดแน่นะ”
“จะผิดได้ยังไงล่ะคะ ก็แซลลี่น่ะยืนแอบฟังมันคุยกันอยู่ตั้งนานได้ยินเต็มสองรูหูเลย ว่านังเนตรมันจะไปขุดกระดูกผีขึ้นมาทำพิธีเพื่อดึงวิญญาณ คุณเชตกลับเข้าร่าง”
พายัพกระดกแก้ว แล้วคิด
“วิญญาณงั้นเหรอ”
แซลลี่ทำท่าขนลุก
“ค่ะ...นังคนใช้มันบอกว่าผีเอาวิญญาณคุณเชตไปอยู่ด้วย...อี๊...อยู่กับผีกินกับผี...น่ากลัวจะตายไปค่ะ”
พายัพคิดๆ
“ถ้าคุณเนตรเชื่อว่ามันเป็นทางที่จะพาไอ้เชตกลับมาได้ ฉันคงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้พิธีนั้นสำเร็จ”
แซลลี่คิดตาม
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตามพวกนั้นไปที่รีสอรท์ของพี่พายัพแล้วล่ะคะ เพราะแซลลี่ได้ยินว่าพวกนั้นจะไปหาพระธุดงค์ที่นั่น”
พายัพฟังแล้วยิ้มชอบใจ
“งั้นก็ถึงเวลาที่เธอต้องช่วยพี่แล้วล่ะ”
แซลลี่แปลกใจ
“ช่วย...ช่วยยังไงคะ”
พายัพหน้าจริงจัง
“เธอต้องไปกับพวกมัน แล้วขโมยกระดูกอีผีนั่นมาให้พี่”
แซลลี่หน้าตื่น
“จะบ้าเหรอคะพี่พายัพ...ให้แซลลี่ไปกับพวกมัน...แล้วมันจะไม่สงสัยเอาเหรอคะว่ามาทำไม”
“เธอก็แสร้งปั้นหน้าเป็นคนดีอยากไถ่โทษที่เธอขับรถชนไอ้เชตมันไงล่ะ”
แซลลี่หน้างอ พายัพคิดได้ แล้วเข้าไปหา
“เอาน่า...งานนี้พี่มีตัวช่วย”
พายัพกดโทรศัพท์หาสิทธิ์ทันที แซลลี่แอบมอง พายัพเดินเลี่ยงไปอีกมุม
สิทธิ์นอนอยู่ที่ห้องได้ยินเสียงโทรศัพท์เห็นเป็นเบอร์พายัพก็รับสาย
“หวัดดีครับพี่พายัพ”
พายัพยิ้มมีแผน
“ฉันมีงานอยากให้แกช่วยทำอย่างนึง”
“งานอะไรเหรอครับ” สิทธิ์ถามอย่างอยากรู้
พายัพหน้าเหี้ยม
“มันเป็นงานเกี่ยวกับความเป็นความตายของไอ้เชต”
สิทธิ์งงๆไม่เข้าใจ
“ยังไงครับพี่ คือตอนนี้ไอ้เชตมันก็นอนรอความตายอยู่แล้วนี่ครับ พี่จะให้ผมไปฆ่ามันเหรอ...ถ้าแบบนั้นผมคงทำไม่ได้หรอกนะครับพี่”
“ฉันไม่ให้นายทำแบบนั้นหรอกน่า ฉันอยากให้นายตามนังพยาบาลของไอ้เชตไปที่รีสอร์ทมันกำลังจะไปขุดกระดูกผีที่นั่นเพื่อมาทำพิธีให้ไอ้เชตฟื้นขึ้นมา”
สิทธิ์อึ้งไป
“กระดูกผี...ให้ไอ้เชตฟื้น”
“เพราะฉะนั้นเมื่อมันหากระดูกผีเจอ นายก็ขโมยมันมาให้ฉัน ถ้าทำได้สำเร็จ ไอ้เชตมันก็จะนอนอยู่อย่างนั้นจนชั่วชีวิตของมัน”
“พี่จะให้ผมไปในฐานะเพื่อนไอ้เชต ที่อยากช่วยเหลือเพื่อนด้วยกัน”
“ใช่...และงานนี้ไม่ใช่นายคนเดียวที่อยากช่วยเพื่อน ฉันจะให้แซลลี่ไปกับนายด้วย”
แซลลี่ขยับเข้ามาฟังใกล้ๆได้ยิน...สิทธิ์ตื่นเต้นดีใจ
“ให้แซลลี่ไปกับผมเหรอครับ”
“แซลลี่จะไปกับนายเพื่ออยากไถ่โทษที่ขับรถชนไอ้เชต...” พายัพรู้ทันว่าสิทธิ์ชอบแซลลี่ “ถ้างานนี้สำเร็จนอกจากนายจะได้เงินก้อนใหญ่แล้วนายก็จะได้แซลลี่ไปครอบครองด้วย แต่ต้องสำเร็จเท่านั้นนะ”
แซลลี่โกรธที่พายัพเอาแซลลี่มาเป็นของรางวัล สิทธิ์อารมณ์อยากได้
“ตกลงครับ แล้วจะให้ผมเริ่มเมื่อไหร่ครับพี่”
“เดี๋ยวแซลลี่จะบอกนายเอง”
พายัพวางสาย สิทธิ์ยิ้มดีใจลิงโลดอยากได้แซลลี่
แซลลี่เดินเข้าไปหาพายัพไม่พอใจเข้าต่อว่าเขา
“ทำไมพี่พายัพต้องเอาแซลลี่ไปยัดเหยียดให้นายสิทธิ์ด้วยคะ”
พายัพเข้าหาแซลลี่
“ฉันก็แค่หลอกใช้งานมันเท่านั้นแหละ มีตัวช่วยแซลลี่อีกคนไม่ดีเหรอ...”
พายับเอามือไล้ที่แก้มแซลลี่อย่างเจ้าชู้
“ใครจะปล่อยมือจากสาวสวยเซ็กซี่อย่างแซลลี่ไปได้ล่ะจ๊ะ”
พายัพค่อยๆจับข้อมือแซลลี่ทั้งสองข้างดันตัวเธอไปติดฝาผนัง แล้วซุกไซร้แซลลี่ยิ้มพอใจ
คนที่มาจับไหล่เนตรอัปสร นั่นก็คือปารมีนั่นเอง ปารมีและทิพย์มาหาเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“นะโม ฉันจะไปกับเธอด้วย”
เนตรอัปสรตะลึงพร้อมกับดีใจ
“จริงเหรอ”
ทิพย์เดินเข้ามาลงนั่งข้างเนตรอัปสร
“จริงสิจ๊ะ ใครจะปล่อยให้เธอไปบุกป่าฝ่าดงคนเดียวล่ะจ๊ะยัยนะโม ฉันก็เลยรับอาสาควบเวรแทนยัยปานไปเรียบร้อยแล้ว ใจจริงฉันก็อยากไปกับพวกเธอนะ...แต่เกรงว่าไปกันหมดอาจจะถูกไล่ออกจากงานได้ฉันก็เลยต้องเสียสละ”
ทิพย์ทำท่าน่าสงสาร ปารมีมองหน้า
“เว่อร์ไปแล้วยัยทิพย์ บอกไปตรงๆว่าเธอกลัวผีเลยขอสละสิทธิ์น่ะ”
“อ๊าย...ไม่จริ๊ง...ใส่ร้ายอ่ะ”
เนตรอัปสรลุกขึ้นกอดเพื่อนทั้งสองคนตื้นตันใจ
“ขอบใจมากนะเพื่อน…”
ปารมียิ้มให้กำลังใจ
“ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
“ถ้างั้นฉันไปช่วยพวกเธอเก็บของที่ห้องนะ”
ปารมีพยักหน้า
“ไปกันเถอะ”
เนตรอัปสรยิ้มดีใจ ก่อนออกไปหันมองหน้าเชตะวันที่นอนอยู่อีกครั้ง แล้วหันไปยิ้มให้เพื่อนก่อนออกไปพร้อมกัน เชตะวันนอนบนเตียงคนไข้ไม่ได้สติเลย
เนตรอัปสร ปารมี ทิพย์ หิ้วกระเป๋าลงมาที่รถที่จอดอยู่ด้านหน้าคอนโด
“ปานเธอเอาเก็บในรถก่อนนะ เดี๋ยวฉันกับโมขึ้นไปขนที่เหลือเอง” ทิพย์หันมาบอกปารมี
“โอเค...”
เนตรอัปสรกับทิพย์เดินกลับเข้าไป ปารมีจัดแจงเปิดกระโปงหลังรถหยิบกระเป๋าใบแรกใส่หลังรถ กระเป๋าถือสองใบถูกยื่นมาวางท้ายรถปารมีดึงมาจัด
“ขอบใจ...”
ระหว่างนั้นปารมีก็ได้ยินเสียงของหมอก้อง
“ไม่เป็นไรครับ”
ปารมีชะงักกึกละมือที่กำลังจัดหันมองหน้าเขา หมอก้องยิ้มให้
“จะไปเที่ยวไหนกันเหรอครับกระเป๋าหลายใบเชียว ขอไปด้วยได้ไหม”
“คงไม่ได้หรอกค่ะเพราะพวกเราจะไปช่วยนะโมขุดกระดูกผีมาทำพิธีเพื่อช่วยคุณเชตให้ฟื้น ซึ่งหมอคงไม่ต้องการ ขอตัวนะคะ”
ปารมีจะเดินขึ้นคอนโดหมอก้องมาขวางไว้
“เดี๋ยวสิปาน”
“ขอโทษนะคะ ปานไม่มีอะไรจำเป็นที่ต้องคุยกับหมออีก”
ปารมีจะเดินหนีหมอก้องขยับมาดักอีก
“แต่ผมมีพวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอปาน”
ปารมีมองหน้าหมอก้อง
“เพื่อนเขาทำกับเพื่อนแบบนี้เหรอคะ หมอคิดแต่เรื่องของตัวเอง เห็นแก่ตัวที่สุดกลับไป ซะเถอะถ้าไม่อยากให้นะโมลงมาเห็นว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร ปานอาจทนไม่ไหวบอกนะโมก็ได้นะ”
หมอก้องลังเล แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินออกไป ทิพย์ที่ถือของลงมาแอบเห็นพอดีได้แต่แอบยืนดู
ทิพย์กอดลาเนตรอัปสรและปารมี สองคนขึ้นรถ ทิพย์โบกมือบ๊ายบาย รถปารมีแล่นออกไป ทิพย์มองด้วยความเป็นห่วง แล้วหยิบโทรศัพท์กดหาใครคนหนึ่ง
รถของปารมีแวะเข้าปั๊มน้ำมัน ปารมีจอดรถแต่เนตรอัปสรเพิ่งวางโทรศัพท์แล้วเหมือนมองหาใครอยู่ ปารมีมองสงสัย
“นี่ยัยโม...ให้แวะเข้ามาทำไมจะซื้ออะไรก็ลงไปสิ”
เนตรอัปสรยิ้มๆแต่ไม่ลง
“อ้าว...ยังไง ปวดฉี่จนลุกไม่ไหวเหรอไง”
เนตรอัปสรส่ายหัว ปารมีมองงงๆ แล้วเนตรอัปสรหันไปเห็นหมอก้องที่เดินแบกกระเป๋าเป้ตรงมาที่รถ
“หมอ”
เนตรอัปสรรีบเปิดประตูลงไป ปารมีมองตาขวางไม่พอใจ
“บ้าจริง...”
เนตรอัปสรดึงหมอก้องมาตรงปารมี
“ปานจ๊ะ..หมอจะไปกับเราด้วยนะ”
ปารมีไม่พอใจลงจากรถ
“งั้นฉันไม่ไป ใครจะไปก็ไป”
ปารมีจะเดินออกไปเนตรอัปสรดึงไว้
“ฮึ๊ย...เดี๋ยวสิปานฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอโกรธหมอก้องเรื่องอะไรแต่ตอนนี้เลิกคิดก่อนได้มั้ย ฉันขอร้องนะปาน ยัยทิพย์เป็นห่วงพวกเราเห็นว่ามีแต่ผู้หญิงก็เลยโทรไปขอให้หมอก้องไปเป็นเพื่อนเราน่ะ”
“ผมเต็มใจมาช่วยครับ”
“หมอก้องเต็มใจจะช่วยเหรอคะ” ปารมี ไม่พอใจหันไปพูดกับเนตรอัปสร “แสดงว่าฉันช่วยเธอไม่ได้งั้นใช่มั้ย ถึงต้อง เอาคนอื่นมาช่วยอีกน่ะ”
ปารมีไม่พอใจนิ่งๆไป เนตรอัปสรเข้าไปขอร้องแววตาน่าสงสาร
“คนอื่นที่ไหน นี่หมอก้องนะปาน น้า...ปาน...น้าไปด้วยกันหลายๆคนก็ดีนะปานจะได้ช่วยกัน ขอร้องล่ะฉันอยากพาคุณเชตกลับมากับฉันให้ได้น่ะ”
ในเรือนเฟื่องอีกมิติ...เฟื่องหันขวับได้ยินเสียงที่เนตรอัปสร
“อีนวล...มึงจะตามมาพรากชุนไปจากกูงั้นรึ...”
เฟื่องแค้นหน้าวูบวาบเป็นผีลางๆ เชตะวันเดินออกมาจากห้องเห็นเฟื่องยืนอยู่เขาเดินเข้าไปใกล้
“แม่เฟื่อง”
เฟื่องหันมาหน้าเป็นผีอยู่ เชตะวันผงะ
“ฮึ่ยย์...”
เชตะวันหลับตาถอยหลังหนี เฟื่องเอื้อมมือแตะเขา
“ชุน...ชุน...เจ้าเป็นอะไรไปรึ”
เชตะวันค่อยๆลืมตามองเห็นเป็นเฟื่องสวยเหมือนเดิมค่อยโล่งใจแต่ยังกลัวๆ
“เอ่อ...คือ...เมื่อกี๊ผมคงตาฝาดไป”
เฟื่องยิ้ม
“งั้นรึ...คงเป็นเพราะเจ้าไม่สบายสินะ”
“สงสัยคงเป็นอย่างนั้น”
“งั้นเจ้าควรจะไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวข้าจะนวดคลายเมื่อยให้เจ้าเอง”
เฟื่องประคองเชตะวันเดินเข้าห้องไป ประตูห้องปิดลง
ค่ำนั้นรถปารมีที่หมอก้องขับเลี้ยวเข้ามาในรีสอร์ท รถจอดที่ด้านหน้ารีสอร์ท
บรรยากาศเงียบสงบดูวังเวง
ทุกคนค่อยๆทยอยออกจากรถ ปารมีมองบรรยากาศรอบๆตัวรู้สึกหวิวๆ
“ฉันว่าบรรยากาศมันดูวังเวงยังไงพิกลๆนะเนี่ย เงี๊ยบเงียบ”
“ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวก็เงียบแบบนี้แหละ ฉันเคยมาที่นี่คราวก่อนก็เป็นแบบนี้แหละ”
เนตรอัปสรหันไปบอกกับทุกๆคน
“เข้าไปเช็คอินกันดีกว่า”
หมอก้องพยักหน้านิดๆ
“อืม...ไปสิ”
ปารมีจะยกกระเป๋าใบใหญ่ลง หมอก้องเข้ามาช่วยปารมีปล่อยมือทันทีสีหน้าไม่พอใจ
เนตรอัปสรเดินไปที่เคาท์เตอร์บอกพนักงานต้อนรับ
“ขอกุญแจห้องที่จองไว้ 2 ห้องด้วยค่ะ”
“สักครู่ค่ะ” พนักงานหยิบกุญแจมายื่นให้ “นี่ค่ะกุญแจ”
เนตรอัปสรเดินกลับมาที่กลุ่ม
“ไปเข้าห้องกันก่อนดีกว่า”
ทุกคนหยิบยกกระเป๋ากัน ปารมีกำลังจะเดินไปเหมือนรู้สึกอะไรแว้บๆที่หางตาจึงหันไปมองที่เคาท์เตอร์เห็นผีเดือนจ้องมองมา ปารมีตกใจ
“อ๊าย...ผ...ผ...ผี”
ปารมีร้องกรี๊ดทำเอาทุกคนตกใจ
“ยัยปานเป็นไรไป...ปาน”
ปารมีชี้มือไปที่เคาท์เตอร์ทุกคนมองตาม พนักงานต้อนรับยิ้มให้
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
ปารมีค่อยๆเหลือบตามมองบ้างก็ไม่เห็นแล้ว ขยี้ตาเป็นการใหญ่
“นี่เราตาฝาดเหรอ...ไม่นะ...”
“ปานแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร”
หมอก้องเข้ามาจับตัว ปารมีจึงมีสติรีบผละออก
“ไม่เป็นไร” ปารมีบอกเนตร “ไปกันเถอะ”
จู่ๆดาลัดก็โผล่มาเงียบๆเล่นเอาทุกคนตกใจ
“เฮ้ย...”
ทั้งกลุ่มตกใจยืนเกาะกลุ่มกัน เมื่อเนตรอัปสรเห็นว่าเป็นดาลัดก็เลยสวัสดี
“คุณดาลัด...สวัสดีค่ะ”
เนตรอัปสรสวัสดีทุกคนสวัสดีตาม ดาลัดยิ้มแย้ม
“ขอโทษทีที่ทำให้ตกใจนะคะ ไม่คิดว่าจะมากันดึกแบบนี้ งั้นเชิญเข้าที่ พักก่อนดีกว่าค่ะ ไปค่ะเดี๋ยวพี่พาไป”
ดาลัดเดินนำไป ทั้งกลุ่มตามไป ผีเดือนอยู่ที่เคาท์เตอร์จ้องมองที่กลุ่ม
แซลลี่เปิดประตูห้องพายัพเข้ามา
“พี่พายัพคะถ้าพี่จัดการเรื่องเชตสำเร็จแล้ว พี่ก็จะได้สมบัติทุกอย่างตามต้องการ ถ้างั้นพี่ต้องแต่งงานกับแซลลี่ตามสัญญานะคะ”
พายัพแอบเบ้หน้า แต่ต้องทำดี
“ถ้าอยากจัดงานเร็วก็ต้องช่วย พี่เร่งทุกอย่างให้มันเร็วขึ้น ทำได้มั้ย”
“ได้สิคะ” แซลลี่หอมแก้มพายัพ “แซลลี่ไปก่อนนะคะ”
พายัพปิดประตูไป แซลลี่ยืนยิ้มอยู่แล้วหันจะเดินออกมาเจออนงค์ที่ถือดอกไม้มาจะไปไหว้พระแซลลี่ชนจนดอกไม้ร่วงลงพื้น
“ว๊าย...เดินประสาอะไรเนี่ยไม่เห็นคนรึไง”
“ขอโทษค่ะ นงค์ไม่คิดว่าจะมีคนนอกมาเดินเพ่นพ่านตอนดึกๆแบบนี้”
“นี่ถ้าแกพูดผิดพูดใหม่ได้นะ ฉันไม่ใช่คนนอกฉันเป็นภรรยาของคุณพายัพรู้ไว้ซะด้วย”
“ไม่ต้องบอกนงค์หรอกค่ะนงค์รู้แล้วว่าเป็นเมียคุณพายัพที่ขับรถชน คุณเชตจนนอนสลบไม่ฟื้นจนเดี๋ยวนี้”
อนงค์ไม่สนใจจะเดินไป แซลลี่ปรี๊ดแตกจิกผมอนงค์ไว้
“นี่...แกจะว่าฉันใช่ไหม แกจะมาพูดแบบนี้กับฉันไม่ได้นะฉันเป็นเมียเจ้านายแกนะ”
อนงค์จับมือแซลลี่บีบให้ปล่อยออกจนแซลลี่ร้องโอย
“เจ้านายของนงค์มีแค่คุณเชต กับคุณอาทิตย์เท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว”
“ฉันจะฟ้องคุณพายัพ ฉันจะให้เขาเฉดหัวแกออกจากบ้านไปเลย เพราะต่อไปบ้านหลังนี้ก็ต้องตกเป็นของคุณพายัพ รู้ไว้ซะด้วย”
พายัพเปิดประตูออกมา
“เอะอะอะไรกัน”
แซลลี่รีบวิ่งเข้าไปหา
“ก็อีนังนี่สิคะ มันบอกว่าเจ้านายมันมีแค่คุณเชตกับคุณอาทิตย์เท่านั้น แซลลี่ไม่ชอบที่มันไม่เห็นหัวพี่พายัพแบบนี้คะ”
พายัพโกรธไม่พอใจจิกหัวผลักอนงค์ล้ม
“ในเมื่อแกมีนายแค่ 2 คน งั้นก็ไปเฝ้าเจ้านายแกทั้งสองคนที่โรงพยาบาลโน่น แล้วไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ ไป...ออกไป”
อนงค์มองพายัพเสียใจที่เป็นคนไม่ดี และหันไปมองแซลลี่ที่เยาะเย้ยอยู่อย่างโกรธ แล้วออกไป
“ฮ่า ฮ่า...สมน้ำหน้า...”
แซลลี่สะใจแล้วออกไป
“ใครหน้าไหนที่มันขวางทางฉัน ฉันไม่เก็บไว้แน่”
พายัพมองตาม แววตาร้ายกาจ
เนตรอัปสรเพิ่งออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว มองเห็นปารมีนั่งเหงาๆอยู่ที่หน้ากระจก
“ทำไมยังไม่นอนล่ะปาน”
“นอนไม่หลับน่ะสิ”
เนตรอัปสรเดินมานั่งที่เตียง มองเพื่อน
“ปาน...ถามไรหน่อยสิ”
“ว่ามาสิ”
“เธอกับหมอโกรธกันเรื่องอะไรเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ย ไหนๆก็เดินทางมาด้วยกันแล้ว ฉันก็อยากรู้ปัญหาระหว่างเธอสองคนบ้างฉันจะได้ทำตัวถูก”
ปารมีตอบเลี่ยงๆ
“ฉันก็แค่ไม่พอใจบางอย่างที่หมอก้องทำแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องห่วงหรอกจ้า”
“ไม่ห่วงได้ไง พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางเข้าป่าไปตามหากระดูกกันนะ ถ้าเธอสองคนไม่คุยกันแล้วฉันจะต้องทำตัวยังไงล่ะปาน”
“เธอก็ทำตัวปกตินั่นแหละ ฉันแค่ไม่อยากคุยกับหมอแค่นั้นเอง น่า...อย่าห่วงเลยเธอควรจะห่วงเรื่องช่วยคุณเชตมากกว่านะรู้มั้ย”
เนตรอัปสรเศร้าๆ
“นั่นสินะ พวกเธออุตส่าห์มาเป็นเพื่อนฉันทั้งที่ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณเชตได้จริงหรือเปล่า”
“ต้องได้สินะโม อย่าเพิ่งกังวลไปเลยฉันอยากให้เธอสมหวังนะ ฉันเชื่อว่าคุณเชตเป็นคนดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องคุ้มครองเค้าแน่”
เนตรอัปสรยิ้มจับมือปารมี
“ขอบใจมากนะปาน”
ปารมียิ้มให้แต่ก็แอบเป็นกังวล
ปารมีเปิดประตูห้องออกมาเป็นกังวลมองไปที่ห้องหมอก้อง พอดีกลับที่หมอก้องเปิดประตูออกมาพอดี ทั้งสองมองหน้ากัน ปารมีสะบัดหน้าจะเดินกลับเข้าห้อง หมอก้องจับข้อมือไว้
“เดี๋ยวปาน อย่าโกรธผมเลยนะ”
ปารมีสะบัดมือออก
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
ปารมีจะเดินเข้าห้อง ผีเดือนจ้องมอง ปารมีหยุดชะงักกึกผีเดือนเข้าสิงทันที ปารมีก้มหน้า หมอก้องรีบเดินมาดักหน้า จับไหล่ทั้งสองข้างไว้
“ผมขอร้องล่ะปานเข้าใจผมบ้างเถอะนะ”
ปารมีเงยหน้าขึ้นจ้องหมอก้องด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไป หมอก้องมองอึ้งๆ ปารมีปัดแขนหมอก้องที่จับไหล่ออกอย่างแรงจนเซ
“ปาน...”
ปารมีชี้หน้าหมอก้อง
“พวกมึงจงกลับไปซะ”
หมอก้องตกใจที่ปารมีดูน่ากลัวตาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ปาน...ทำไมปานพูดแบบนี้”
ปารมีส่งเสียงคำรามดังกว่าเก่า
“กูบอกให้กลับไป”
“ปานเป็นอะไรไปน่ะ...ปาน”
หมอก้องจับไว้ ปารมีบีบคอหมอก้องเต็มกำลัง
“ปานนี่ผมเองนะ...ปาน...ปล่อยผมนะปาน”
เนตรอัปสรได้ยินเสียงจึงออกมา เห็นปารมีกำลังบีบคอหมอรีบเข้าไปห้าม
“ปานปล่อยหมอนะ...ปาน”
ปารมีมองเนตรอัปสรตาขวางเหวี่ยงเธอออกมา เนตรอัปสรมองปารมีรู้สึกได้ว่าไม่ใช่ตัวตนของเพื่อน ปารมีหันกลับไปบีบคอหมอก้อง
"กลับไป...กูบอกให้กลับไป"
เนตรอัปสรได้สติรีบเอาสร้อยพระที่มีอยู่คล้องคอให้ปารมีทันที หมอก้องล้มลงกับพื้นอ่อนแรง ผีเดือนร้องกรี๊ดเจ็บปวดเสียงดังร่างสลายจางไป ปารมีทรุดลงนั่งกับพื้น เนตรอัปสรรีบเข้าไปประคองหมอก้องที่เหมือนจะหมดสติ ปารมีได้สติก้มมองสร้อยพระที่คองงๆ มองเห็นหมอก้องที่กองอยู่ที่พื้นงงกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น
“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ...”
“เธอบีบคอหมอก้องจนสลบไปเลย”
ปารมีตกใจ
“จะบ้าเหรอฉันเนี่ยนะ”
เนตรอัปสรพยักหน้า
“เธอถูกผีเข้าน่ะ”
ปารมีตกใจ
“อย่าเพิงตกใจเลย มาช่วยกันพาหมอก้องเข้าไปในห้องก่อนดีกว่าปาน”
เนตรอัปสรพยุงหมออยู่ปารมีได้สติรีบเข้ามาช่วยพยุงออกไป
เนตรอัปสรกับปารมีพาหมอก้องเข้าไปพักที่เตียง ทั้งสองช่วยกันหนุนหมอนให้สูงๆแล้วให้หมอก้องนั่งพิง หมอก้องสะลึมสะลือหมดแรง ปารมียังตกใจอยู่ นั่งจับพระที่ห้อยคออยู่
“ฉันเกือบจะฆ่าหมอ...ฉันทำแบบนั้นได้ยังไง”
“ใจเย็นๆนะปาน เธอไม่ได้เป็นคนทำหรอก วิญญาณที่สิงร่างเธอต่างหากที่ทำ”
ปารมีมองรอบๆ
“แล้ววิญญาณนั่นมันต้องการทำอะไรเราเหรอนะโม”
“ฉันคิดว่าเขาคงไม่พอใจที่เรามาที่นี่นะ”
ปารมีขยับเข้าใกล้เนตรอัปสร
“เธอรู้ได้ไง...นี่เธอสื่อสารกับวิญญาณได้งั้นเหรอ”
“เปล่า...ฉันเดาเอาน่ะ เพราะวิญญาณที่สิงเธอพูดว่าให้พวกเรากลับไปน่ะ”
“นี่แค่เริ่มต้น ผีก็มารังควาญเราซะแล้วพรุ่งนี้เราต้องเตรียมตัวกันให้พร้อมเพราะมันคงจะน่ากลัวกว่านี้หลายเท่าแน่”
หมอก้องที่นอนหมดแรงฟังอยู่ พยายามลุกขึ้นมาพูด
“เราหยุดดีมั้ยนะโม ผมกลัวว่าคุณจะเป็นอันตรายนะ”
“ไม่ค่ะ ยังไงนะโมก็จะต้องช่วยคุณเชตกลับมาให้ได้ แต่ถ้าหมอกับปานจะกลับก่อนก็ได้นะคะ นะโมเข้าใจ”
“ฉันตั้งใจจะมาช่วยเธอนะ แต่ถ้ามีบางคนจะกลับก่อน” ปารมีมองที่หมอก้อง “ก็แล้วเขาแต่ละกัน คงไม่ใช่ฉันแน่”
เนตรอัปสรยิ้มขอบคุณ และสองสาวก็หันไปมองหมอก้องที่หน้าจ๋อยๆคิดๆ
เช้าวันใหม่...เนตรอัปสรกับปารมีเดินมาที่เคาท์เตอร์มีกระเป๋าใส่อุปกรณ์ติดตัว หมอก้องเดินตามหลังมา
“รอด้วยครับ”
เนตรอัปสรหันไปเห็นหมอก้องยิ้ม ปารมีหันมองเขาแปลกใจเหมือนกันที่เขาตัดสินใจมา
“จะเดินทางทั้งทีไม่มีผมได้ไงครับ”
เนตรอัปสรยิ้ม
“ขอบคุณนะคะหมอ”
หมอก้องยิ้มเขินๆ ปารมีเริ่มมองหมั่นไส้ ดาลัดเดินเข้ามาที่เคาท์เตอร์เข้ามาทัก
“คุณเนตรจะไปเที่ยวไหนกันเหรอคะ”
“พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวหรอกค่ะ เราจะไปตามหาหลวงปู่พระธุดงค์ที่ท่านมาจำศีลอยู่ในป่าน่ะค่ะ คุณดาลัดพอจะรู้มั้ยคะว่าท่านยังอยู่ในป่านี้หรือเปล่าคะ”
ดาลัดมองกลุ่มเนตรอัปสรอย่างแปลกใจ
“ยังอยู่ค่ะ แต่ท่านไม่ได้อยู่ที่เดิมนะคะ ท่านเข้าไปอยู่ในป่าลึกกว่าเดิมอีก เอ๊ะ...จะไปทำบุญกันอย่างงั้นเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ คือพวกเราต้องการความช่วยเหลือจากท่านน่ะค่ะ”
ดาลัดงง
“เอ่อ...มีปัญหาอะไรกันเหรอคะ”
ปารมีตอบแทน
“คืองี้ค่ะ เรามาที่นี่เพื่อมาช่วยคุณเชตให้ฟื้น เพราะว่าดวงวิญญาณของคุณเชต ถูกวิญญาณของผีขังไว้ในป่าหลังรีสอร์ทนี่แหละค่ะ”
ดาลัดตกใจ
“คุณเชตถูกผีบังตางั้นเหรอคะ”
หมอก้องพยักหน้า
“ใช่ครับ”
ดาลัดแหยงๆกลัวๆขึ้นมา
“อูย...พูดแล้วขนลุก พี่นะอยู่ที่นี่มาหลายปีไม่เคยมีอะไร แต่มาเมื่อเร็วๆนี้ มีแต่เรื่องแปลกๆเกิดขึ้นที่นี่โดยเฉพาะเรื่อง ผีๆ นี่แหละค่ะ” ดาลัดลูบแขนกลัวๆ ขนลุก “งั้นเดี๋ยวพี่จะเขียนแผนที่เดินทางไปหาหลวงปู่ให้นะค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
เนตรอัปสรยิ้มให้ ดาลัดเดินไปที่เคาท์เตอร์เขียนแผนที่ใส่กระดาษ เนตรอัปสรมองด้วยความหวัง
รถสิทธิ์เข้ามาจอดหน้ารีสอร์ท แซลลี่ที่นั่งมาข้างๆถอดแว่นออกมองไปที่เคาท์เตอร์ เห็นกลุ่มเนตรอัปสรยืนกันอยู่ สิทธิ์หันมาถาม
“ลงไปเลยไหม”
“ก็ไปสิ...จะรอให้พวกมันไปก่อนรึไงล่ะ ถามได้”
สิทธิ์ยิ้มยียวนเชยคางแซลลี่ขึ้นมาพูดด้วย
“ดุๆแบบนี้สิฉันชอบ”
แซลลี่ปัดมือออก
“โอย...จะเล่นตัวไปไหนจ๊ะ พี่พายัพสั่งให้เรามาด้วยกันก็ควรจะทำตัวให้ ดูสนิทสนมกันไว้ไม่ใช่เหรอ อยากให้พวกนั้นมันสงสัยหรือไง”
แซลลี่คิดๆ
นางมาร ตอนที่ 23 (ต่อ)
แซลลี่คิดๆ
“งั้นฉันจะยอมสนิทกับแกก็แค่ช่วงทำงานนี้เท่านั้นนะ”
สิทธิ์มองยิ้มๆ แซลลี่หมั่นไส้หันไปเห็นกลุ่มเนตรอัปสรที่เดินมา
“อุ่ย...มันมากันแล้ว”
แซลลี่รีบออกมาจากรถพร้อมกับสิทธิ์...เนตรอัปสร ปารมี หมอก้องเดินมา เจอเข้ากับสิทธิ์และแซลลี่ก็แปลกใจ เนตรอัปสร มองแซลลี่ที่ปั้นหน้าเศร้าแปลกใจที่มากับสิทธิ์
“สวัสดีครับคุณเนตร”
“สวัสดีค่ะ”
เนตรอัปสร หันมองแซลลี่งงๆ สิทธิ์รีบพูด
“คือผมพาคุณแซลลี่มาตระเวนไหว้พระทำบุญให้กับเชตน่ะครับ คือมีหมอดูมาทักให้แซลลี่ทำบุญให้เชตเยอะๆเชตจะ ได้ฟื้นเร็วๆ”
เนตรอัปสร มองไม่อยากเชื่อ แซลลี่ตีหน้าเศร้าสำนึกผิด
“แซลลี่รู้สึกไม่ดีที่เป็นคนทำให้เชตต้องมานอนจมอยู่แบบนี้ แซลลี่เสียใจ”
สิทธิ์เปลี่ยนเรื่อง
“เออว่าแต่พวกคุณจะไปไหนกันเหรอครับ”
“พวกเราจะไปหาหลวงปู่พระธุดงค์ที่อยู่ในป่าน่ะครับ”
สิทธิ์กับแซลลี่มองหน้ากันตาวาว แซลลี่ส่งซิกให้สิทธิ์พูด
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าเราจะไปที่นั่นเหมือนกัน”
เนตรอัปสร ปารมี หมอก้องมองหน้ากันงงๆไม่อยากเชื่อ
“หมอดูบอกให้แซลลี่ไปนมัสการหลวงปู่ในป่าลึก เพื่อช่วยเชตแต่จะได้เจอกับกัลยานมิตรระหว่างทาง”
“คุณไปกับเราไม่ได้หรอกค่ะ ที่นั่นมันอันตรายมาก”
“อันตรายแค่ไหนแซลลี่ก็ไม่กลัวค่ะ เพื่อลบล้างความผิดที่ทำกับเชตไว้แซลลี่จะทนค่ะ”
แซลลี่แสดงละครสุดฤทธิ์ ปารมีรำคาญขยับไปบอกกับเนตรอัปสร
“ปล่อยไปเหอะ เดี๋ยวถูกผีหลอกมาก็วิ่งป่าราบแล้ว” ปารมีหันไปบอกกับแซลลี่ “ไปก็ไป”
ปารมีดึงเนตรอัปสรเดินออกไป หมอก้องตาม แซลลี่กับสิทธิ์แอบยิ้มในความสำเร็จ
ทุกคนเดินมาตามทางที่เป็นรกทึบในป่าลึก แซลลี่กับสิทธิ์เดินตามมา แซลลี่แอบเบื่อและเมื่อยเพราะเดินนาน สิทธิ์คอยเอาอกเอาใจ ปารมีหันมองที่แซลลี่อย่างสมน้ำหน้า เพราะเห็นแซลลี่หมดแรง งอแง แซลลี่เห็นพวกเนตรอัปสร มองมาที่ตัวเองเลยทำทีไม่เหนื่อยเต็มใจเดิน เนตรอัปสร หันเดินต่อไม่สนใจ เธอดูแผนที่ที่ดาลัดเขียนให้หมอก้องช่วยอ่าน ปารมีแอบมองหมอก้องไม่ชอบใจ ทุกคนเดินมาเห็นร่มต้นไม้ใหญ่ เห็นหลวงปู่นั่งกรรมฐานอยู่ เนตรอัปสรยิ้มดีใจ
“หลวงปู่...”
เนตรอัปสร เดินเข้าไปทุกคนเดินตาม แซลลี่กับสิทธิ์แอบดีใจ เนตรอัปสร เดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าหลวงปู่แล้วก้มลงกราบ ทุกคนกราบตาม หลวงปู่ลืมตาขึ้นมามอง
“เจริญพรโยม”
“หลวงปู่คะ...ลูกอยากรู้เรื่องคู่วิญญาณที่แม่ชีบอกลูกมันหมายถึงอะไร เหรอคะ”
“คู่ที่เกิดมาเพื่อเป็นคู่ของกันและกันหรือเรียกอีกอย่างว่า คู่แท้ทางจิตวิญญาณ ที่ใครก็ไม่สามารถพรากออกจากกันได้”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณเชตถึงต้องแยกจากลูกล่ะคะ”
หลวงปู่หลับตานิ่งไปสักพักก่อนตอบ
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะแรงกรรม จากคำสาบานในอดีตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะแซลลี่ที่ไม่อยากเชื่อ
อีกมิติ...เฟื่องพาเชตะวันเดินชมสวนจนมาหยุดอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง เชตะวันรู้สึกแน่นหน้าอกเจ็บจี๊ดที่ใจ เฟื่องสังเกตเห็นเป็นกังวล
“เจ้าเป็นอะไรรึชุน”
“รู้สึกเจ็บที่ใจจังเลย มันอึดอัด”
เชตะวันดูเหนื่อย เฟื่องนิ่งคิดหยั่งรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน
“ถ้าเช่นนั้น เจ้านั่งพักที่นี่ก่อนดีกว่า”
เชตะวันลงนั่งพักรู้สึกเหนื่อยจนต้องหลับตาลง เขาเห็นภาพอดีตแว๊บเข้ามา...สายตาของชุน เห็นเฟื่องมองมาที่เขาด้วยแววตาห่วงใย ชุนยิ้มดีใจ
“แม่หญิงเฟื่อง...”
แต่แล้วใบหน้าของเฟื่อง ก็เปลี่ยนเป็นหน้าของนวลแทนที่
“ข้าไม่ใช่แม่หญิงเฟื่องอะไรนั่นของเจ้าหรอก ข้าชื่อนวล”
ชุนงง กระพริบตาถี่ๆ ถึงได้เห็นหน้าของนวลชัดเจนขึ้น
ปัจจุบัน เฟื่องมองที่เชตะวันแล้วส่งเสียงเรียก
“ชุน..ชุน...”
เชตะวันสะดุ้งเฮือกขึ้นมามองเห็นเป็นเฟื่อง
“นวล...”
เฟื่องโกรธไม่พอใจ
“เจ้าเรียกชื่อนางทำไม”
เชตะวันงงๆ
“นวลคือใคร...”
เฟื่องเจ็บแค้นหันหน้าหนี เชตะวันถามย้ำอีกครั้ง
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...บอกที”
เฟื่องเจ็บปวด
“นางคือคนที่พรากเจ้าไปจากข้ายังไงล่ะ”
เชตะวันอึ้ง
“เพราะนางที่ทำให้เจ้าผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับข้า เพราะนางที่ทำให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยมานานแสนนาน...จนกระทั่งตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่ลืมมัน”
เฟื่องร้องไห้เสียใจ
“ข้าเสียสละเพื่อเจ้าได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งความตาย”
เชตะวันนิ่งฟังสงสาร
“จงไปอยู่ด้วยกันกับข้าเถอะนะ อย่าจากข้าไปไหนอีกเลย”
“แม่เฟื่องพูดเหมือนฉันจะต้องจากไป”
เฟื่องเศร้า
“ไม่...ข้าจะไม่ยอมพรากจากเจ้าอีกเป็นอันขาดเจ้าจะต้องอยู่กับข้า อยู่กับความรักของข้าเท่านั้น”
เฟื่องหน้าตาดุดัน
ทุกคนนั่งฟังที่หลวงปู่พูด
“แรงแค้นแรงอาฆาตที่ติดตามมาจากอดีตชาติ จะทำให้วิญญาณทั้งสามดวงที่ถูกผูกมาด้วยกันต้องกลับมาพบกันอีกครั้ง”
เนตรอัปสร ตั้งใจฟังที่หลวงปู่บอก ทุกคนที่นั่งฟังงงๆ แซลลี่เริ่มเซ็งๆ
“หลวงปู่หมายถึง ลูก คุณเชต และก็ เจ้าของกระดูกที่แม่ชีพูดถึงใช่มั้ย คะ”
หลวงปู่พยักหน้า
“เจ้าตัวเขาถูกแรงกรรมแห่งคำสาบานพาดวงวิญญาณ กลับไปในภพภูมิเดิมที่เคยอยู่”
“ลูกต้องทำยังไงถึงจะพาวิญญาณของคุณเชตกลับเข้าร่างได้คะ” เนตรอัปสรร้อนใจ
“โยมมีเวลาไม่มากนัก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่โยมเชตกลับไปทำตามคำสาบาน ในอดีตอีกครั้งตามที่วิญญาณดวงนั้นต้องการ โยมเชตก็จะไม่สามารถกลับมาชาติภพปัจจุบันได้อีกโยมต้องรีบหากระดูกของวิญญาณตนนั้นให้เจอแล้วนำมา บำเพ็ญกุศลให้ทันก่อนตะวันจะลับฟ้า”
ปารมีหนักใจ
“ป่านี้ตั้งกว้างใหญ่แล้วเราจะหากระดูกนั่นเจอได้ยังไงล่ะคะหลวงปู่”
“นั่นสิคะ ไม่ต้องเดินหากันจนตาเหลือกหรอกเหรอคะ” แซลลี่สอดขึ้น
ปารมีหันจ้องหน้า แซลลี่จ๋อยๆสงบเสงี่ยมต่อ ทุกคนฟังหลวงปู่บอกต่อ
“ที่ที่ดีที่สุด ร่มเย็นที่สุดที่นั่นแหละเป็นที่ฝังร่างของวิญญาณดวงนั้น” หลวงปู่บอกเนตรอัปสร “จิตเจ้าจะรู้สึกได้เองเมื่ออยู่ถูกที่ถูกทางเมื่อไหร่...ถ้าที่ตรงไหนที่โยมรู้สึกใจหวิวเหมือนหายใจไม่ออกที่ตรงนั้นจะเป็นที่ฝังร่างของวิญญาณดวงนั้น”
ทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าลึกหนาทึบจากเดิม เนตรอัปสรหน้าตามุ่งมั่นมองหาตามที่หลวงปู่บอก เธอพยายามเดินหาจนทั่ว คนอื่นๆมองตามลุ้นๆ
พงษ์ขับรถพาพายัพเข้ามาที่บ้านไม้เก่าๆโทรมๆ พายัพลงมาจากรถมองดูสภาพรอบๆ
“ที่นี่แหละครับนาย บ้านอาจารย์คงหมอผีที่เก่งที่สุด”
พายัพยิ้ม
“ดี...คราวนี้ล่ะมึง กูจะปราบทั้งคนทั้งผีให้ราบคราบเลย”
พงษ์เดินนำพายัพเข้าไปในบ้าน เห็นอาจารย์คงกำลังกราบแท่นบูชาอยู่ แล้วหันมามองที่พายัพกับพงษ์
“ข้าพร้อมแล้ว”
อาจารย์คงหน้าตาน่าเกรงขาม พายัพมองยิ้มเห็นถึงชัยชนะ
เนตรอัปสร ยังคงเดินวนเวียนอยู่บริเวณป่าที่ดูร่มรื่น เพื่อเช็คอาการใจหวิวตามที่หลวงปู่บอก ปารมี กับหมอก้อง ช่วยเดินหา แซลลี่กับสิทธิ์ทำทีเดินหาแต่เลี่ยงออกมานั่งพักอู้งาน แซลลี่หงุดหงิด
“โอ๊ย...เมื่อยจะตายอยู่แล้วจะเดินอะไรกันนักกันหนาเนี่ย เดิน ไปกลับเชียงใหม่ได้แล้วมั้งเนี่ย...ฮึ่ย”
แซลลี่นวดขาให้ตัวเองไปบ่นไป สิทธิ์นั่งอยู่โทรศัพท์เข้ามาเป็นเบอร์พายัพ เขามองซ้ายมองขวาก่อนแล้วกดรับ
“ครับพี่”
“เจอกระดูกอีผีตัวนั้นหรือยัง”
“ยังเลยครับ ตอนนี้เดินเข้ามาในป่าลึกมากเลยครับพี่”
หมอก้องเดินหาที่ฝังกระดูกผ่านมาได้ยินแอบฟัง
“อะไรกันวะ มันหายากหาเย็นขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมได้ยินมันพูดกันว่ากระดูกน่าจะอยู่บริเวณนี้แหละครับ น่าจะใกล้ ความจริงแล้วล่ะครับ”
“งั้นถ้ามันเจอกระดูกเมื่อไหร่รีบขโมยมาเลย ไอ้เชตมันจะได้ไม่ฟื้นขึ้นมาส่วนกระดูกอีผีนั่นจะได้ให้หมอผีปลุกเสกไว้ใช้งาน”
“ถ้าเจอกระดูกเมื่อไหร่ ผมจะหาทางฉกเอาออกมาให้เร็วที่สุดครับพี่”
หมอก้องฟังที่สิทธิ์พูดอย่างใช้ความคิด...พายัพวางสายยิ้มสะใจ
เนตรอัปสรเดินหาจุดที่ฝังอย่างตั้งใจ จู่ๆก็เกิดอาการหวิวๆที่ใจ เนตรอัปสรหยุดอยู่กับที่ตั้งสตินิ่งมองตรงพื้นที่ยืนอยู่ เธอเริ่มหายใจขัดรู้สึกสะเทือนใจ เหมือนรับรู้เหตุการณ์ก่อนนวลตาย น้ำตาจะไหล ปารมีสังเกตเห็นรีบเข้าไปหา
“นะโม...เป็นอะไร...นะโม”
หมอก้องรีบเข้ามา สิทธิ์กับแซลลี่รีบเข้ามาดู เนตรอัปสรจับมือปารมีแน่น
“ที่ตรงนี้ เขาอยู่ตรงนี้...”
ปารมีก้มมองที่พื้น
“แน่ใจนะนะโม...”
เนตรอัปสรพยักหน้าทั้งน้ำตา
“แน่ใจ...”
“ปานพานะโมไปพักก่อน เดี๋ยวหมอจะขุดตรงนี้เอง”
แซลลี่กระทุ้งให้สิทธิ์ไปช่วย
“มาผมช่วย”
การขุดเริ่มต้นขึ้น โดยมีสิทธิ์ช่วยกันขุดกับหมอก้อง เนตรอัปสรมองดูพื้นดินที่
กิ่งไม้โดนลมพัดเศษใบไม้ปลิวว่อน เฟื่องลุกขึ้นยืนลมพัดเข้าที่หน้าทำให้หน้าที่เป็นผีวูบไปมาน่ากลัว เชตะวันเอามือป้องลมที่พัดอยู่
“แม่เฟื่อง...ลมอะไรน่ะ”
“คงจะเป็นลมฝนน่ะ” เฟื่องเสียงนิ่ง “ไม่มีอะไรหรอก”
ลมสงบลงทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เชตะวันเอามือลงหันมองเฟื่องที่เข้ามาจับมือเขา
“รอข้าอยู่ที่นี่นะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”
“แม่เฟื่องจะไปไหน”
“ข้าไปไม่นานหรอก...”
เฟื่องยิ้มให้เชตะวัน แล้วเดินแยกไป หน้าเฟื่องกลายเป็นผีน่ากลัว
หมอก้องเอามือปัดเศษดินออกเห็นเป็นกระดูกสีขาวๆโผล่ออกมา หมอก้องรีบเอามือปัดออกจนหมดเห็นเป็นกระดูกชัดเจน เขาดีใจ
“เห็นแล้ว...”
ทุกคนลุกเข้าไปดูใกล้ๆ สิทธิ์รีบวางเครื่องมือขยับไปที่หมอก้อง
“โห...กระดูกจริงๆด้วย”
สิทธ์เบียดหมอก้องออกไป จะรีบเข้าไปขุดต่อเพื่อเอากระดูกให้ได้ ผีเฟื่องปรากฏตัวขึ้นจัดการผลักสิทธิ์กระเด็นออกไป
“อ๊าก...”
ทุกคนตกใจที่เห็นผีเฟื่อง แซลลี่ร้องลั่น
“อ๊าย....ผี...”
ผีเฟื่องหันมองไปที่เนตรอัปสร สายตาดุดัน
“อีนวล มึงมาขัดขวางกูทำไม”
ปารมีเกาะเนตรอัปสรกลัวๆ
“ปล่อยคุณเชตไปเถอะนะคะ” เนตรอัปสรจ้องผีเฟื่อง
“ไม่...ชุนจะต้องอยู่กับข้า”
“เขาไม่ใช่ชุนของคุณหรอกคะ เขาคือคุณเชตะวันและฉันจะพาเขากลับไปให้ได้”
ผีเฟื่องโกรธจัดสะบัดมือทำเอาทุกคนกระเด็นไป เนตรอัปสรกระเด็นไปอีกทางกระเป๋าที่ถือมาหลุดมือไปอีกทางทุกคนโดนไปตามๆกัน แซลลี่ร้องวี๊ดว๊ายเข้าไปหาสิทธิ์ที่ล้มอยู่ที่พื้น เนตรอัปสรพยุงตัวลุกขึ้นมามองที่หลุมที่ขุดกระดูกรีบบอกหมอก้อง
“หมอขุดต่อสิ เร็ว อย่าหยุดนะ”
ผีเฟื่องจ้องไปที่เนตรอัปสรที่ล้มอยู่ที่พื้น
“อีนวล !”
หมอก้องรีบไปที่หลุมขุดโกยๆเอาดินออก ผีเฟื่องมัวแต่จ้องที่เนตรอัปสรที่กำลังมองกระเป๋าและจะมุ่งไปเก็บ เนตรอัปสรลุกออกห่างจากหลุมเพื่อดึงผีเฟื่องออกไป ปารมีรีบเข้าไปช่วยหมอก้องขุด ผีเฟื่องตามไปจัดการกับเนตรอัปสร โดยปรากฏตัวตรงหน้า เนตรอัปสรถอยหลังจะหนี ผีเฟื่องสะบัดตัวเนตรอัปสรกลิ้งไปจนไปหยุดอยู่ตรงต้นไม้ใกล้กับกระเป๋าที่หล่น
เนตรอัปสรเจ็บพยายามจะฝืนลุกขึ้นมาคว้ากระเป๋าล้วงของในกระเป๋า ผีเฟื่องตรงเข้ามาบีบคอจนขาเนตรอัปสรลอยจากพื้น เนตรอัปสรตาแดงก่ำเพราะขาดอากาศ เลือดกำเดาค่อยๆไหลออกจากทางจมูก แต่มือของเธอพยายามล้วงของในกระเป๋า ผีเฟื่องจ้องเครียดแค้นน่ากลัว เนตรอัปสรล้วงจนเจอในเฮือกสุดท้ายหยิบเอาสายสิญจน์ เหมือนตระกุดเส้นใหญ่ๆคล้องที่คอ ผีเฟืองกรีดร้องปล่อยมือ เนตรอัปสรร่วงลงมานอนฟุบที่พื้น
ผีเฟื่องดินทุรนทุราย ด้วยความเจ็บปวดจากอิทธิฤทธิ์ของสายสิญจน์ที่คล้องคอ รังสีรัดตัวผีเฟื่องวูบวาบจนดิ้นทุรนทุราย
ก่อนจะทนไม่ไหวสลายร่างจากไปด้วยความเจ็บปวด
เสียงหวีดร้องโหยหวนดังก้องกังวาน
เนตรอัปสรมองดูผีเฟื่องหายตัวไปแล้วหมดแรง หมอก้องกับปารมีช่วยกันขุดจนสำเร็จ ใส่กระดูกในห่อผ้า
“นะโมเราทำสำเร็จแล้ว”
สิทธิ์กับแซลลี่ดีใจมอง ปารมีกับหมอก้องหันมามองเห็นเนตรอัปสรนอนฟุบที่พื้นมีเลือดออกทางจมูกจึงรีบเข้ามาช่วย
แซลลี่กับสิทธิ์ค่อยๆเดินเข้ามาหาที่กลุ่มปารมีกับหมอก้อง ที่ประคองเนตรอัปสรนั่ง
“นะโมเป็นยังไงบ้าง” ปารมีถามอย่างเป็นห่วง
เนตรอัปสรถามปารมีในสภาพหมดแรง
“ได้กระดูกมาแล้วใช่มั้ย”
ปารมียกห่อผ้าโชว์เนตรอัปสร
“อยู่นี่ไง ฉันจะรักษาอย่างดีเลย”
ปารมีเอาห่อผ้าใส่ลงในกระเป๋าเป้ของตัวเองที่สะพายมา สิทธิ์มองที่ห่อผ้าที่ใส่กระดูกที่ปารมีเอาใส่เป้คิดๆ แซลลี่มองเหมือนกันกระซิบกับสิทธิ์
“ถึงเวลาของเราแล้ว รีบๆจัดการจะได้ไปพ้นๆจากผีบ้านี่ซะที”
ปารมีที่ดูแลเนตรอัปสรอยู่ หมอก้องรีบบอกปารมี
“ส่งกระเป๋าพวกคุณมาให้ผมดีกว่า เดี๋ยวเราต้องรีบกลับไปหาหลวงปู่อีกและปานต้องพยุงนะโมด้วย หนักเปล่าๆ”
ปารมีไม่แน่ใจว่าหมอก้องคิดยังไงกันแน่จึงนิ่งไม่ให้ เนตรอัปสรมองแล้วบอกปารมี
“ให้หมอช่วยเถอะปาน”
ปารมีจำใจส่งให้ หมอก้องเอากระเป๋าทั้งหมดมาถือ สิทธิ์คิดหาทางขโมย แซลลี่เสียงแปร๋นเข้ามาประคองเนตรอัปสร
“ให้ฉันช่วยนะ...ฉันนึกว่าเธอจะไม่รอดซะแล้ว อีผีนั่นน่ากลัวจังเลย ไป๊... รีบไปกันเถอะ”
ทั้งหมดรีบเดินออกไป
หมอก้องเดินมาได้สักพักก็หยุดผูกเชือกรองเท้า ทุกคนหยุดตาม
“เดินไปเลยครับไม่ต้องห่วง เชือกรองเท้าหลุดน่ะ”
ทุกคนเลยเดินต่อ หมอก้องเหลือบมองเห็นทุกคนเดินต่อไป หมอก้องเปิดกระเป๋าปารมี ควักห่อกระดูกออกมาแล้วเทกระดูกใส่กระเป่าตัวเอง แล้วรีบหยิบกิ่งไม้กับหินตรงนั้นใส่แทนลงในห่อผ้าแล้วรีบเอายัดใส่กระเป๋าปารมีตามเดิม หมอก้องลุกขึ้นเดินตามกลุ่มไปตามเดิม สิทธิ์กับแซลลี่จ้องไปที่กระเป๋าอย่างมีแผน
เนตรอัปสรเหนื่อยหอบไปต่อไม่ไหว แซลลี่เห็นช่องจึงทำทีเป็นห่วง
“ท่าทางเธอไม่ไหวเลยนะพักตรงนี้ก่อนดีกว่านะ”
ปารมีมองดูเนตรอัปสรเห็นเหนื่อยเกินไปที่จะเดินต่อ
“นะโมพักก่อนก็ดีนะ”
เนตรอัปสรพยักหน้า ปารมีพยุงไปนั่ง หมอก้องวางกระเป๋าลงข้างๆแล้วเข้ามาช่วยประคอง แซลลี่ถอยหลังหนีมองเห็นว่ามีจังหวะที่จะฉกกระเป๋าจึงส่งสัญญาณกับสิทธิ์ให้เริ่ม แซลลี่เดินถอยห่างออกจากกลุ่มไป สิทธิ์ได้โอกาสเข้าไปใกล้กระเป๋าแล้วรีบคว้ากระเป๋าของปารมีแล้วรีบวิ่งออกไปทางเดียวกับที่แซลลี่ถอยไป หมอก้อง ปารมี เนตรอัปสรหันไปเห็นตกใจ
“เฮ้ย...กระเป๋ากระดูก...”
เนตรอัปสรตกใจที่ปารมีพูดถึงกระดูก ปารมีจะวิ่งไปแต่เห็นหมอก้องยืนมองนิ่งเธอจึงต่อว่าเขา
“ยืนบื้ออยู่ทำไมคะหมอ ไปช่วยกันตามเร็วสิคะ...”
หมอก้องมองนิ่ง ปารมีรำคาญจะออกไปตามเอง
“ฉันไปตามเองก็ได้”
หมอกก้องคว้าแขนปารมีไว้
“อะไรของหมอ ช่วยก็ไม่ช่วยยังจะมาดึงไว้ทำไม รู้มั้ยว่ากระดูกนั่นมันสำคัญกับนะโมแค่ไหน”
หมอก้องพยักหน้า
“รู้สิ”
“รู้งั้นเหรอ แล้วหมอปล่อยให้ไอ้พวกนั้นมันฉกเอาไปง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ”
“กระดูกจริงอยู่ที่นี่”
หมอก้องหยิบกระดูกจริงขึ้นมา เนตรอัปสรกับปารมีงง ทั้งสองคนเห็นว่าอยู่จริง ปารมีสงสัย
“แบบนี้แสดงว่าหมอรู้ก่อนแล้วว่าพวกนั้นจะขโมยน่ะสิ”
หมอก้องพยักหน้า
“ผมได้ยินแต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอยู่กับใคร”
“ขอบคุณมากนะคะหมอ”
ปารมีมองจับผิด นึกขึ้นได้
“เดี๋ยวนะ แล้วทำไมกระดูกถึงมาอยู่ในกระเป๋าของหมอได้ล่ะ เพราะ ปานเป็นคนใส่ในกระเป๋าตัวเองกับมือ ไม่ใช่ว่าหมอสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อแสดงตัวเป็นฮีโร่นะ”
ปารมียังไม่เชื่อใจ หมอก้องเล่าสิ่งที่ทำให้ฟัง...ตอนนั้นเขาเดินมาได้สักพักก็หยุดผูกเชือกรองเท้า ทุกคนหยุดตาม
“เดินไปเลยครับไม่ต้องห่วง เชือกรองเท้าหลุดน่ะ”
ทุกคนเลยเดินต่อ หมอก้องเหลือบมองเห็นทุกคนเดินต่อไป ก็เปิดกระเป๋าปารมีควักห่อกระดูกออกมาแล้วเทกระดูกใส่กระเป่าตัวเอง แล้วรีบหยิบกิ่งไม้กับหินตรงนั้นใส่แทนลงในห่อผ้าแล้วรีบเอายัดใส่กระเป๋าปารมีตามเดิม หมอก้องลุกขึ้นเดินตามกลุ่มไปตามเดิม
“ผมคิดแล้วว่าเขาต้องหาจังหวะขโมยกระดูกนั่น”
ปารมีมองหมอก้องหมั่นไส้ เนตรอัปสรยิ้มชื่นชม
“หมอวางแผนเก่งจังเลยนะคะ”
ปารมีพูดลอยๆ
“คนแผนเยอะก็แบบนี้แหละ” ปารมีหันไปหาเนตรอัปสร “เธอดีขึ้นยัง เรารีบเอากระดูกนี่ไปทำพิธีกันเถอะ”
“ไปสิ”
เนตรอัปสรลุกขึ้น ปารมีช่วยพยุงเดินไปต่อ หมอก้องมองภูมิใจที่ตัวเองได้ทำตัวเป็นประโยชน์ช่วยทุกคนแล้วเดินตามไป
เชตะวันนั่งรอเฟื่องอยู่ที่เดิม เฟื่องปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของเขาในสภาพที่ย่ำแย่ไม่มีเรี่ยวแรง เฟื่องมองเห็นเชตะวันยังอยู่ยิ้มดีใจรีบเดินเข้าไปหา
“ชุน...”
เชตะวันหันมาเห็นเฟื่องในสภาพที่ย่ำแย่ก็ตกใจ
“แม่เฟื่อง เกิดอะไรขึ้นน่ะ...”
เชตะวันรีบเข้าไปประคองเฟื่องอยู่ในอ้อมแขน เฟื่องดีใจจับหน้าชุน
“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ข้าอยากให้เจ้าพาข้าไปที่แห่งหนึ่ง”
เชตะวันสงสัย
“ที่ไหนเหรอ”
“ที่ที่เจ้ากับข้าจะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป”
เฟื่องมองเชตะวันด้วยสายตาที่อ้อนวอน
พายัพกับพงษ์นั่งรออยู่หน้ากระท่อมอย่างกระวนกระวาย สิทธิ์กับแซลลี่ขับรถเข้ามาจอด สิทธิ์รีบลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าเป้ปารมีที่ได้มา
“ได้ของมาแล้วครับพี่”
พายัพดีใจ แซลลี่รีบตามลงมาจากรถพุ่งเข้าไปหาพายัพทันที
“พี่ยัพน่ะให้แซลลี่ไปทำอะไรก็ไม่รู้ มีพงมีผีเต็มไปหมด แซลลี่ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแน่ะ พี่พายัพต้องตบรางวัลให้แซลลี่ด้วยนะคะ”
สิทธิ์มองแซลลี่ที่ระริกระรี้หาพายัพอย่างเคืองๆ หมอผีโผล่ออกมาจากในบ้าน
“ถ้าได้กระดูกนั่นมาแล้ว ก็รีบทำพิธีก่อนตะวันลับฟ้าเถอะ”
“ได้ครับ” พายัพหันบอกพงษ์ “ไปเอากระดูกนั่นไปทำพิธีเร็ว”
พงษ์รับคำแล้วรีบไปจัดการเอากระเป๋าที่สิทธิ์ถือเดินนำเข้าไปในบ้าน
ทุกคนจึงตามเข้ามา พงษ์จัดแจงเอาห่อผ้าในกระเป๋าออกมาวางที่พานในปรำพิธี หมอผีเริ่มสวดคาถา ทุกคนมองพนมมือตาม
ห่อผ้าขาววางอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ที่กำลังหลับตาท่องคาถา เนตรอัปสรนั่งพนมมือตั้งจิตอธิฐานถึงเชตะวัน
เย็นนั้น เฟื่องกับเชตะวันก้าวเข้ามาใกล้หน้าผา เฟื่องมองหน้าเขายิ้มมีความสุข
“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม”
เฟื่องยิ้มเศร้าๆ
“ที่นี่เป็นที่ที่เจ้ากับข้าสาบานรักร่วมกัน”
ภาพอดีตกาลแว่บเข้ามา เฟื่องเศร้าๆหันมายิ้มให้ชุน
“ขอให้เจ้าจำที่ริมผาแห่งนี้ หากเราต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ว่าเป็นหรือตาย เราจะมาเจอกันที่นี่”
ชุนอ่อนระโหยเต็มที
“ใช่ เราจะมาเจอกันที่นี่”
“แม้จะต้องตายก็ขอให้มาสิ่งสถิต ณ ริมผาแห่งนี้ คราวใดได้เจอกัน ขออย่าลืมรักของเรา เราจะอยู่ด้วยกันทุกชาติทุกภพไป”
“ข้าพร้อมแล้ว”
“เราจะรักกันตลอดไป”
ชุนและเฟื่องกอดกันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วโรยตัวหล่นผาทั้งที่กอดกันด้วยความรักแบบนั้นไปด้วยกัน
เชตะวันมองดูเฟื่องที่บาดเจ็บด้วยความสงสาร
“ไปกับข้าเถอะนะชุน เราก็จะได้อยู่ร่วมกันตามคำสาบานสักที จะไม่มีใครพรากเราจากกันได้อีก”
เชตะวันมองสงสาร มือเฟื่องจับมือเขา เชตะวันได้แต่นิ่งงันมองไปเบื้องหน้าที่เวิ้งว้าง
เนตรอัปสร ปารมี หมอก้อง นั่งพนมมืออธิฐานจิตร่วมทำพิธีสวดส่งวิญญาณของเฟื่อง หลวงปู่นั่งบริกรรมคาถาโดยมีกระดูกเฟื่องวางอยู่ตรงหน้า ลมพัดไปทั่วบริเวณที่ทำพิธี เนตรอัปสรตั้งจิตอธิฐานส่งถึงเชตะวัน เธอมองนิ่งที่เปลวเทียนตรงหน้า หลวงปู่บริกรรมคาถาเป่ามนต์ลงบนกระดูกของเฟื่อง มีแสงเรืองรองรอบกองกระดูก
เฟื่องจับมือเชตะวันก้าวออกมาชิดหน้าผาพร้อมโดด เฟื่องมองตาเขาด้วยความรักอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจ เชตะวันมองตาเฟื่องสงสารสิ่งที่เธอต้องเผชิญในครั้งอดีต ทันใดนั้นเสียงเนตรอัปสรภาวนาดังแว่วมา
“หากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเชตเป็นเหตุมาจากคำสาบานในอดีต ลูกขอแลกคำสาบานกับแรงบุญที่ลูกมี เพื่อขอชีวิตของเชตกลับคืนด้วยเถิด”
เมื่อเชตะวันเริ่มที่จะโดด วิญญาณของเขาก็หายไปต่อหน้าเฟื่องที่มีแสงเรืองรองอยู่รอบตัว เฟื่องมองหาเสียใจร้องไห้เจ็บปวดทุรนทุราย
“ชุน...อย่าไป...”
เฟื่องเสียใจร้องเสียงดังโหยหวนทั่วหน้าผาแห่งนั้น
เชตะวันสะดุ้งขึ้นรู้สึกตัวในขณะที่ยังครอบเครื่องช่วยหายใจอยู่ เสียงที่วัดชีพจรดังตี๊ดๆขึ้นมา พยาบาลที่กำลังขยับสายน้ำเกลือและหมอที่อยู่ใกล้ๆหันมามอง เชตะวันค่อยๆลืมตา ภาพของเฟื่องยังไม่จางไปจากความคิด
“เฟื่อง...เฟื่อง...” เชตะวันเรียกแบบแผ่วเบา
หมอกับพยาบาลตื่นเต้นดีใจที่เขาฟื้นแล้ว...ทั้งหมอและพยาบาลวิ่งวุ่น ทำการเช็คร่างกายเชตะวัน เป็นการใหญ่ เชตะวันเหมือนคนตายแล้วฟื้นขึ้นมานิ่งนอนคิดเรื่องราวอย่างช้าๆ
ภายในกระท่อมยังคงทำพิธีกันอยู่ เสียงโทรศัพท์พายัพดังเห็นเป็นเบอร์โรงพยาบาลพายัพขยับออกมามุมห้องรับสาย
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ หมอโทรจากโรงพยาบาลนะครับ จะแจ้งเรื่องอาการของคุณเชตน่ะครับ”
พายัพแอบยิ้มดีใจคิดว่าเชตะวันตายแน่
“ผมทำใจไว้แล้วล่ะครับว่าน้องผมคงไม่รอด”
“เดี๋ยวครับ...คือว่าหมอจะแจ้งว่าอาการของคุณเชตะวันกระเตื้องขึ้นมา อยู่ในเกณฑ์เกือบจะปกติแล้วครับ ซึ่งเป็นเคสที่พิเศษที่เพิ่งเคยเจอ ถ้ายังไงคุณรีบมาที่โรงพยาบาลด่วนเลยนะครับ”
พายัพอึ้งค่อยๆลดโทรศัพท์ลง หน้าเครียดจัด หันไปมองปรำพิธีที่แซลลี่ สิทธิ์และหมอผีกำลังทำอยู่ พายัพเดินเข้าหยิบห่อกระดูเปิดออกดู โมโหสุดขีด
“โธ่เว้ย...”
พายัพคว้าห่อผ้าทุ่มลงกลางวงเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าเป็นเศษกิ่งไม้กับหิน หมอผีหน้าเหวอ
“นี่มันอะไรกัน พวกเอ็งลบหลู่พิธีข้างั้นเหรอ”
สิทธิ์กับแซลลี่กระเถิบหนี พายัพโมโหทำลายพิธีจนสิ้น
นางมาร ตอนที่ 24
เย็นนั้น...อนงค์หน้าตาตื่นเปิดประตูเข้ามาในห้องของอาทิตย์
“น้า...น้า..ฉันมีข่าวดีมาบอก”
บวรหันมาทำท่าทางจุ๊ปากบอกให้อนงค์เบาๆเพราะอาทิตย์นอนอยู่ อนงค์หันมาทางเจ้านายที่นอนลืมตาอยู่สำรวมอาการลงนิดหนึ่งแต่ก็ยังดีใจ
“นงค์ขอโทษค่ะที่ทำเสียงดัง แต่นงค์กลั้นไม่ไหวค่ะ ข่าวดีค่ะ”
บวรสนใจ อาทิตย์มอง
“คุณเชตฟื้นแล้วค่ะ”
บวรกระโดดตัวลอยดีใจกอดอนงค์ อาทิตย์ดีใจแสดงออกได้เพียงน้ำตาแห่งความดีใจที่ลูกชายกลับคืนมา บวรเห็นอาทิตย์น้ำตาเอ่อหยุดมองอนงค์มองตามสงสารเจ้านาย อนงค์รีบเข้ามาใกล้เตียงแล้วย่อตัวบอกกับเจ้านาย
“ตอนนี้หมอกำลังเช็คร่างกายคุณเชตอยู่ค่ะ คุณผู้ชายดีใจใช่มั้ยคะ”
อาทิตย์นอนน้ำตาเอ่อดีใจ อนงค์กับบวรยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
หลวงปู่ส่งห่อผ้าใส่กระดูกให้เนตรอัปสร ที่ยังได้รับบาดเจ็บจากการทำร้ายของเฟื่อง
“ตอนนี้วิญญาณนี้จะอ่อนแรง ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว”
“แล้วพวกเราต้องทำยังไง กับกระดูกนี่อีกหรือเปล่าคะ” เนตรอัปสรสงสัย
“ส่วนกระดูกนี่เก็บรักษาไว้ให้ วิญญาณของกระดูกนี้จะสลายไปก็ต่อเมื่อได้ทำพิธีเผากระดูก”
“งั้นเราเผาเลยได้ไหมคะ” ปารมีถามบ้าง
“ไม่ได้หรอก การเผาต้องเกิดจากการยินยอมของเจ้าของกระดูกซะก่อนไม่งั้นก็ไม่สามารถ ทำอะไรดวงวิญญาณนั้นได้”
ทุกคนอึ้ง เนตรอัปสรถามหลวงปู่
“แล้วต้องทำยังไงวิญญาณของเขาถึงจะยอมล่ะคะ”
“จิตเขาผูกอยู่กับใครก็คนนั้นแหละที่จะทำได้ หน้าที่ของอาตมาแล้ว”
เนตรอัปสรรู้ได้เลยว่าเชตะวันเท่านั้นที่จะทำได้ แล้วทันใดนั้นหลวงปู่ก็หายตัวไปต่อหน้าทุกคน เนตรอัปสรลุกขึ้นมองหาหลงปู่ แต่ด้วยอาการที่แย่อยู่ ทำให้เธอทรุดลงอ่อนแรง หมอก้องเข้าดูอาการ
“นะโมอาการไม่ดีเลย เรารีบออกจากป่านี้ก่อนที่จะค่ำกันเถอะ”
ปารมีช่วยหมอก้องประคองเนตรอัปสรกลับ
พายัพโกรธจัดหันไปต่อว่าสิทธิ์กับแซลลี่
“มันเกิดอะไรขึ้น ฉันให้ไปขโมยกระดูกผีจากไอ้พวกนั้น แต่กลับได้มาเป็นกิ่งไม้แบบนี้”
สิทธ์เดินไปหยิบกระเป๋าปารมีแล้วอธิบายให้พายัพฟัง
“ผมกับแซลลี่เห็นกับตาว่าพวกมันใส่กระดูกผีไว้ในกระเป๋านี้จริงๆนะครับ พวกเราถึงขโมยมาให้หรือว่ามันต้องรู้แผนของเรามันก็เลยป้องกัน เอากิ่งไม้มาเปลี่ยนแบบนี้แล้วเราจะทำยังไงดีครับ พี่พายัพ”
“แซลลี่ไม่ไหวที่จะกลับไปเอากระดูกผีคืนแล้วนะคะ แซลลี่กลัว”
หมอผีนั่งอยู่หน้าปรำพิธีที่ครุ่นคิดอยู่ก่อนพูดโพล่งขึ้นมา
“หยุดพูดกันได้แล้ว วิญญาณที่ว่ามันยังไม่ดับสลายหรอก”
พายัพหันมาสงสัย
“ถ้าวิญญาณของมันยังไม่ดับสลาย แล้วทำไมไอ้เชตมันถึงฟื้น ขึ้นมาได้ล่ะ”
หมอผีคิดๆ
“กระดูกผีตัวนั้นยังไม่ถูกทำลาย มันแค่ถูกครอบวิญญาณไว้เท่านั้น”
แซลลี่กับสิทธิ์กลัวๆ
“แล้วอย่างงี้วิญญาณอีผีบ้านั่นมันจะกลับมาอีกมั้ยคะ”
“มันกลับมาไม่ได้หรอก”
แซลลี่ถอนหายใจโล่งอก
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว”
“นี่เท่ากับว่าฉันทำอะไรไอ้เชตไม่ได้แล้วงั้นเหรอ...โธ่เว้ย”
หมอผีคิดๆ
“มันก็มีทางอยู่เหมือนกัน”
พายัพและทุกคนหันมอง
“อะไรล่ะอาจารย์”
“มันจะกลับมาก็ต่อเมื่อเราเอากระดูกมันมาทำพิธีปลุกผี ให้วิญญาณของมันตกเป็นทาสของเรานะสิ”
พายัพคิดตามตาวาวเป็นประกาย
ค่ำนั้น แซลลี่ พงษ์ สิทธิ์นั่งมองพายัพที่ยืนเหม่อๆใช้ความคิด
“นาย...ตกลงนายจะทำตามที่อาจารย์คงบอกเหรอครับ” พงษ์ถามขึ้น
พายัพคิดเครียดแล้วหันมา
“ใช่...ฉันจะปลุกวิญญาณอีผีนั่นขึ้นมา”
ทุกคนผวา สิทธิ์หวาดๆ
“มันจะดีเหรอครับพี่ ผีนั่นมันน่ากลัวมากนะครับ”
แซลลี่ตื่นกลัว
“ใช่ค่ะ มันน่ากลัวจริงๆ แซลลี่เจอมากับตัวเลยล่ะ อย่าไปยุ่ง กับมันเลยนะคะ ปล่อยให้มันอยู่แบบนั้นน่ะดีแล้วค่ะ”
“ยิ่งมันน่ากลัวมากเท่าไหร่ ไอ้เชตมันก็ใกล้ความตายมาก เท่านั้น ฉันจะใช้มันทำลายไอ้เชตไปให้พ้นทางของฉัน”
“แต่ถ้าเจ้านายคิดจะปลุกผีตัวนี้ขึ้นมาก็ต้องเอากระดูกผีจริงๆ มาให้ได้นะครับ” พงษ์แนะ
“ใช่ ฉันจะต้องเอากระดูกผีมาให้ได้ตอนนี้กระดูกอีผีนั่น ต้องอยู่กับพวกมันแน่ๆ”
สิทธิ์กับแซลลี่มองหน้ากัน
“ถ้างั้นคงต้องรีบตามกลับไปเอาที่รีสอร์ทแล้วละครับ พวกมันต้องกลับไปที่รีสอรท์แน่ๆเพราะข้าวของมันยังอยูที่นั่นกันครับ”
พายัพได้ยินค่อยๆยิ้มมีแผนการร้าย
“ที่รีสอร์ท...”
ปารมี พยุงเนตรอัปสรเข้ามาในห้องพัก หมอก้องถือห่อผ้าที่ใส่กระดูกตามเข้ามา ปารมีพาเนตรอัปสรลงนั่งที่เตียง ดาลัดถือกล่องใส่ยาเล็กๆตามมา
“กล่องยามาแล้วค่ะ ใครเป็นอะไรเหรอคะ”
ดาลัดตรงมาที่เตียงเห็นเนตรอัปสรหน้าซีดอยู่ มีแผลถลอกๆโดนกิ่งไม้ถากเล็กๆแถวๆแขนที่เสื้อปิดได้ก็ถามอย่างสงสัย
“คุณเนตรไปโดนอะไรมาคะ”
“โดนกิ่งไม้ในป่าเกี่ยวมาน่ะค่ะ” ปารมีบอก
“โถ...เลยเจ็บตัวเลย แล้วได้เจอหลวงปู่มั้ยคะ”
“เจอค่ะ”
ดาลัดท่าทางหวาดๆ
“แล้วเอ่อ...ผี...ที่ว่าล่ะคะ”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดาลัดและทุกคนสะดุ้ง ดาลัดตกใจ เนตรอัปสรควานหามือถือในกระเป๋าแล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล”
อนงค์พูสายน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“คุณพยาบาล พี่นงค์เองค่ะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“คุณเชตรู้สึกตัวแล้วนะคะ”
เนตรอัปสรดีใจ
“จริงเหรอคะพี่นงค์ คุณเชตฟื้นแล้วเหรอคะ”
เนตรอัปสรดีใจน้ำตาไหล ฟังที่อนงค์เล่า
“จริงๆค่ะ ตอนนี้คุณหมอกำลังตรวจเช็คร่างกายคุณเชตอยู่ค่ะ คุณ พยาบาลรีบกลับมานะคะ”
“ค่ะ เนตรจะรีบกลับไปนะคะ”
อนงค์วางสายไป เนตรอัปสรดีใจบอกกับทุกคน
“คุณเชตฟื้นแล้ว พวกเราทำสำเร็จแล้ว...ขอบคุณนะทุกคน”
ปารมีเข้าไปดีใจกับเพื่อน
“ดีใจด้วยนะโม...”
ดาลัดยิ้มโล่งใจ
“แบบนี้แสดงว่าพวกคุณปราบผีได้แล้วน่ะสิคะ...ดีจังต่อไปฉันจะได้ไม่ต้องระแวงอีก ดีใจกับคุณเชตจริงๆ”
เนตรอัปสรดีใจจนลืมว่าตัวเองบาดเจ็บกอดกับปารมี หมอก้องมองอมยิ้มแต่ในใจแอบน้อยใจ
“ผมว่านะโมควรทำแผลก่อนดีกว่านะครับ”
หมอก้องเดินถือกล่องยาเข้ามา ปารมีหันมองหมอก้องคว้ากล่องยามาถือ
“มานี่ฉันทำแผลให้นะโมเอง”
ปารมีจัดแจงทำแผลใส่ยาแปะผ้าพันแผลที่แขนให้เนตรอัปสร หมอก้องได้แต่มอง เก้อๆไม่รู้จะทำอะไรเหลือบเห็นห่อใส่กระดูกที่วางอยู่มองหากล่องใส่จึงหันไปถามดาลัด
“เอ่อคุณดาลัดครับที่นี่พอจะมีกล่องเล็กๆสักกล่องมั้ยครับ ผมจะเอามาใส่กระดูกนี่หน่อยน่ะครับ”
ดาลัดมองห่อผ้าตกใจ
“กระดูกผีอยู่ในนั้นเหรอคะ”
หมอก้องพยักหน้า ดาลัดหลอนๆ
“ได้ค่ะเดี๋ยวพี่รีบไปเอามาให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ดาลัดมองที่ห่อกระดูก หลอนๆ รีบออกไป ผีเดือนโผล่เป็นตัวจางๆที่ประตูหน้าห้องเพราะหมดเรี่ยวแรงจากฤทธิ์ของพระที่เนตรอัปสรสวมให้ปารมี ผีเดือนมองกระดูกเฟื่องอย่างสงสาร
“คุณหนูของบ่าว”
ดาลัดรื้อหากล่องกระดาษในห้องทำงานที่รีสอร์ท จนได้กล่องใส่เอกสารมีฝาปิดใบหนึ่ง
“อันนี้น่าจะใช้ได้”
ดาลัดจะเดินออกเสียงมือถือดังขึ้น เธอรีบหยิบมาดูเบอร์เห็นเป็นเบอร์ของพายัพ
“สวัสดีค่ะคุณพายัพ”
พายัพเดินออกมาที่หน้าบ้านมีพงษ์นั่งอยู่ไม่ไกลนัก
“ผมได้ข่าวว่าพยาบาลของเชตกับเพื่อนๆ มาพักที่รีสอร์ทใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ มากันตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ นี่ก็เพิ่งจะกลับกันมาจาก ในป่าคุณพยาบาลบาดเจ็บมาด้วยนะคะ...ว่าแต่ คุณพายัพถามทำไมเหรอคะ”
พายัพนึกหาคำตอบ
“เอ่อ...คือ...ว่าจะโทรบอกคุณดาลัดตั้งแต่เมื่อวานว่าให้ช่วยดูแลหน่อยน่ะครับ”
“อู๊ย...ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะเรื่องเทคแคร์ดูแล ดาลัดถนัดค่ะ”
พายัพหลอกถาม
“เอ่อ...ไม่รู้ว่าคุณพอจะเห็นพวกคุณเนตรถือของอะไรกลับเข้ามากันบ้างไหมครับ”
“ก็เห็นแต่กระเป๋าที่เขาถือกันไปส่วนของอย่างอื่นก็ไม่เห็นมีนะคะ....อ้อ...มีอีกอย่างที่เห็นคือห่อที่ใส่กระดูกผีนี่แหละค่ะที่ดาลัดต้องมาหากล่องไปให้เขาใส่”
พายัพตาลุกวาว
“เดี๋ยวนะ...กระดูกผีใช่มั้ย”
ดาลัดแหยงๆ
“ค่ะ คุณที่เป็นหมอเขาบอกอย่างงั้นน่ะค่ะ”
“คุณดาลัด...คุณฟังผมนะ ห่อกระดูกที่ว่าน่ะมันเป็นของอัปมงคล ยิ่งอยู่ในรีสอรท์นานๆจะไม่ดี”
“ตายแล้ว...แล้วดาลัดจะทำไงล่ะคะ”
“งั้นคุณรีบเอาออกมาให้ผมทีแต่อย่าให้พวกนั้นรู้ตัวนะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะผมเป็นห่วงไม่อยากให้ใครเดือดร้อน...คุณช่วยเอามันมาให้ผมหน่อย เอากระดูกนี่มาแล้วก็หาอย่างอื่นใส่ในกล่องแทนพวกนั้นจะได้ไม่สงสัย”
ดาลัดหน้าตาตื่นๆกลัวๆ
“แล้วจะให้ฉันเอาไปให้คุณที่ไหนล่ะค่ะ”
“ท้ายรีสอร์ทแล้วกันผมจะไปรอที่นั่น”
“ก็ได้ค่ะ”
พายัพวางหูหันไปทางพงษ์
“ไปไอ้พงษ์ไปหาเหยื่อกันดีกว่า”
แซลลี่เพิ่งโผล่มาพอดีได้ยินดี เห็นพายัพกับพงษ์เดินออกไป แซลลี่คิดๆ
“เหยื่อ...ใครกัน ไม่ยอมเข้ามาบอกเราก่อนออกไปด้วย แอบตามไปดูดีกว่า”
แซลลี่อยากรู้สะกดรอยตามพายัพกับพงษ์ไป
ตาลัดถือกล่องเข้ามาในห้องพร้อมด้วยถุงขยะดำๆที่ใส่ห่อผ้าอีกอันไว้เห็นหมอก้อง กับ ปารมีดูแลเนตรอักสรอยู่ ดาลัดมองที่ห่อกระดูกที่วางอยู่แล้วเริ่มทำตามที่พายัพบอก
“กล่องมาแล้วค่ะ”
หมอก้องหันมา ดาลัดรีบพูดต่อ
“เดี๋ยวพี่เก็บให้ก็ได้ค่ะ ห่อผ้าตรงนั้นใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ ขอบคุณนะครับ”
ดาลัด ยิ้มให้
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ดาลัดรีบเดินไปที่ห่อผ้าสีขาว เอาตัวบังไม่ให้ 3 คนนั้นเห็น ดาลัดรีบเอาห่อห่อผ้าที่เตรียมมาจากถุงขยะดำยัดใส่ในกล่องแล้วรีบเอา ห่อกระดูกใส่กลับเข้าถุงดำแทน เธอทำไประแวดระวังไวไปกลัวคนเห็นแล้วเอาเทปปิดกล่องให้เรียบร้อยเช็ดเหงื่อระงับความตื่นเต้นก่อนที่จะบอกทุกคน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เอากล่องไว้ตรงไหนดีคะ”
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับ...ขอบคุณนะครับ”
“งั้นพี่วางไว้ตรงนี้นะคะ...พวกคุณอยากได้อะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ”
ปารมียิ้มให้
“ไม่แล้วล่ะค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ”
“งั้นพี่ไปทำงานต่อก่อนนะคะ” ดาลัดมองเนตรอัปสรที่นอนหมดเรี่ยวแรง อยู่ยิ้มให้ “หายไวๆนะคะคุณเนตร”
เนตรอัปสรยิ้มรับ
“ขอบคุณค่ะ”
ดาลัดรีบออกไปในมือกำถุงดำไว้แน่น เดินออกไป
แซลลี่สะกดรอยตามพายัพมา เดินมาตามทางในป่าท้ายรีสอร์ท พายัพกับพงษ์ยืนรอที่จุดนัดหมาย แซลลี่แอบฟัง พายัพชะเง้อมองหาดาลัดยังไม่มาสักที
“ช้าจังทำไมยังไม่มาอีกนะ”
“นายว่ายัยดาลัดจะทำสำเร็จเอากระดูกผีนั่นมาให้เราได้เหรอครับ”
“ต้องได้สิ ยัยดาลัดหน้าโง่พอมันรู้ว่ากระดูกผีเป็นอัปมงคล มันก็คงรีบแจ้นเอาออกมาจากรีสอร์ททันทีแหละ”
ดาลัดเข้ามาพอดี กำลังจะเรียกก็ได้ยินเสียงสองคนพูดถึงตนจึงหยุดแอบฟัง
“ถ้าเราได้กระดูกผีนี้มาเมื่อไหรละก็่ ไอ้เชต มันตายแน่ ฉันจะทำพิธีปลุกวิญญาณอีผีตัวนั่นให้ไปฆ่ามันเอง”
พายัพหน้าตาร้ายกาจ
ดาลัดแอบฟังตกใจคิดไม่ถึงว่าพายัพจะร้ายขนาดนี้
“ตอนนี้ก็รอแค่กระดูกผี ถ้านังดาลัดหน้าโง่เอามาให้เราได้แผนเราก็จะสำเร็จ” พายัพหันไปมองพงษ์ “ถึงเวลานั้นแกรู้ใช่มั้ยว่าจะจัดการกับนังดาลัด หน้าโง่นั่นยังไง”
พงษ์พยักหน้า ทำท่าปาดคอให้พายัพเห็นสองคนหัวเราะชอบใจ
“พ่อฉันยังทำให้พิการเลย แล้วประสาอะไรกับลูกจ้างแก่ๆในรีสอร์ทวะ”
ดาลัดซีดเผือดลงทันที ก้มมองถุงดำที่ถืออยู่ในมือ กลัวตาย
“จะฆ่าฉันงั้นเหรอ”
ผีเดือนรวบรวมพลังปรากฏตัวเพื่อให้เห็นได้เพียงแว๊บเดียว ดาลัดเห็นเดือนตรงหน้าอย่างจังด้วยความตกใจทำเสียงดัง
“ว๊าย...”
ดาลัดรีบเอามือปิดปากลนลานออกจากที่นั่น พายัพกับพงษ์รู้ตัวมีคนแอบฟัง
“ใคร...ใครอ่ะ...” พายัพคิดๆนึกได้ “ฉิบหายแล้ว ดาลัด...”
พงษ์มองหน้าพายัพพยักหน้าสองคนรีบตามไปทางเสียงที่ได้ยิน แซลลี่แอบมองอยู่ห่างๆหลบทันที ยังไม่ทันที่ดาลัดจะเดินออก พงษ์กับพายัพก็โผล่พรวดมา ดาลัดตกใจ
“ว๊าย...”
พายัพมองจ้องหน้านิ่งเหี้ยม ดาลัดรีบบอก
“ฉันเอากระ...กระดูก...ตามที่คุณบอกมาให้ค่ะ”
ดาลัดรีบยื่นให้ พายัพรับมาแล้วมองพงษ์ ดาลัดมองตามรู้ว่าต้องถูกฆ่าแน่รีบชิงพูดก่อนยกมือไหว้ขอชีวิต
“ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดไม่บอกใครเด็ดขาด เรื่องคุณจะฆ่าคุณเชต ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ”
พายัพนิ่งก่อนที่จะพูด
“คุณดาลัดสัญญาจะไม่บอกใครแน่นะครับ”
“แน่คะ ดาลัดไม่มีทางทรยศคุณพายัพแน่นอนคะปล่อยฉันไปเถอะนะคะ”
พายัพตัดสินใจปล่อย ดาลัดดีใจไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณคุณพายัพนะคะ ดาลัดไปก่อนนะคะ”
ดาลัดรีบไป พายัพพยักหน้ากับพงษ์เป็นอันรู้กัน แซลลี่มองตามที่ดาลัดออกไป
ดาลัดหวาดกลัวผี ประกอบกับการได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เป็นความลับของพายัพที่ทำร้ายเชตะวัน
“ทำไมต้องมารู้มาเห็นเรื่องแบนนี้ด้วยก็ไม่รู้...”
ดาลัดเครียด
“คุณพายัพนะคุณพายัพ ทำไมกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้”
ดาลัดหยุดคิดตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมา
“คุณเชตจะต้องไม่มาตายเพราะเรา...”
ดาลัดกดโทรศัพท์...มือถือเนตรอัปสรดังแต่เธอหลับอยู่ ปารมีรับสาย
“ฮัลโหล”
“เอ่อ...คุณเนตร ฉันมีเรื่องจะบอกคะ คือ...”
พงษ์โผล่มาตรงหน้าเอามีดแทงดาลัดเพื่อปิดปากทันที ปารมีงงๆ
“ฮัลโหล...ได้ยินมั้ยคะ...”
ดาลัดทรุดลงจมกองเลือดมองหน้าพายัพที่โผล่มายิ้มเหี้ยมๆ พายัพหยิบโทรศัพท์ดาลัดมากดปิดเครื่องทันที ปารมีมองโทรศัพท์ที่ตัดไปงงๆ แซลลี่ที่แอบตามมาเห็นอึ้งกลัวสุดขีดรีบหลบไปอย่างลนลาน พายัพจ้องมองดาลัด
“ฉันไม่ชอบคนทรยศ ใครหักหลังฉันมันต้องตาย”
ดาลัดฟังพายัพพูดจบก็หมดลม สิ้นใจทันที พายัพมองดาลัดตายตรงหน้าก่อนจะมองดูห่อกระดูกในมือยิ้มชอบใจ
แซลลี่ตารีตาเหลือกกลับมารีบคว้ากระเป๋าเพื่อจะหนีกลับกรุงเทพ สิทธิ์เข้ามาขวาง
“นี่จะไปไหนเนี่ย”
“ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันจะกลับกรุงเทพ”
สิทธิ์ยื้อจับมือแซลลี่ไว้
“จะหนีกลับได้ไงอยู่ช่วยกันให้งานเสร็จก่อนสิ”
แซลลี่สะบัดมือออก
“อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ”
สิทธิ์หน้ากวนๆหื่นๆ
“ทำไมแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้หรือไง พี่พายัพไม่อยู่ด้วยทำเป็นหวงเนื้อหวงตัวไปได้”
“ฉันหวงก็เพราะว่าฉันเกลียดแกไม่อยากให้แกมาโดนตัวฉัน แกนี่มันไม่ เจียมตัวเอาซะเลยนะอย่างแกก็เป็นได้แค่ลูกกะจ๊อกของพี่พายัพไปจนตายนั่นแหละ”
สิทธิ์โมโหเข้าไปกระชากตัวแซลลี่จะปล้ำ จับแก้มแซลลี่ด้วยความโกรธแล้วบอก
“งั้นเธอก็ต้องเป็นเมียไอ้ลูกกระจ๊อกคนนี้อีกคนแล้วกัน”
สิทธิ์ต่อยท้องแซลลี่จนจุกตัวงอทรุดลงแล้วโถมตัวเข้าใส่ซุกไซร้
“ปล่อยนะ...ไป...ออกไปนะไอ้บ้า”
แซลลี่กระเถิบถอย สิทธิ์ตามมาโถมทับอย่างหื่น แซลลี่เอามือควานหาจนจับเอาขวดเบียร์ จึงคว้ามาตีหัวสิทธิ์เต็มแรง
“โอ๊ย...”
แซลลี่ถีบสิทธิ์ออกไปแล้วคว้ากระเป๋าก่อนที่จะหนีออกไป สิทธิ์เลือดไหลเอามือกุมหัวเจ็บใจ
พายัพกลับเข้ามากับพงษ์ที่หน้าบ้าน เจอสิทธิ์ที่เอามากุมหัวเลือดไหลเดินออกมาจากในบ้าน พายัพกับพงษ์มองตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“แซลลี่ไม่รู้ไปเจออะไรมาครับกลับมาก็รีบหุนหันเก็บของกลับ...ผมเข้าไปถามแซลลี่ก็ทำร้ายผมแล้วหนีไป”
“งั้นนายรีบไปทำแผลก่อนเถอะ”
“ครับพี่”
สิทธิ์เดินเข้าไป พายัพหันมองหน้าพงษ์
“สงสัยคุณแซลลี่ตามเราไปแน่ๆครับนาย คงเห็นว่าเราฆ่ายัยดาลัดปิดปาก จะให้ผมไปเก็บยัยแซลลี่เลยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรนังนั่นปล่อยไปก่อนเอาไว้ทีหลัง กูมีงานใหญ่รออยู่”
พายัพมองห่อกระดูกที่ถือมายิ้มชอบใจ
“พรุ่งนี้ กูจะปลุกวิญญาณอีผีนั่นมันขึ้นมาเป็นทาสรับใช้กู ไอ้เชตจะต้องตายอีกครั้งคราวนี้กูก็จะได้ครองทุกๆอย่างเพียงคนเดียว ฮ่าๆ”
ผีเดือนมองอย่างแค้นสุดๆ
เช้าวันใหม่...พนักงานหญิงช่วยขนของมาส่งที่รถ เนตรอัปสร ปารมีเดินมากับ หมอก้องที่ถือกล่องใส่กระดูกมาด้วย ทั้งหมดขนกระเป๋ามาที่ลานจอดรถ เนตรอัปสรมองหาดาลัด ไม่เห็นจึงถามพนักงาน
“คุณดาลัดไม่อยู่เหรอคะ”
“ปกติจะมาแล้วนะคะ แต่วันนี้ ยังไม่เห็นเข้ามาเลยค่ะ”
“เธอจะอยู่รอมั้ยเนตร” ปารมีถาม
“ไม่ดีกว่าฉันอยากรีบกลับไปหาคุณเชต”
หมอก้องชะงักนิดๆเก็บอาการ ปารมีแอบมองท่าทีของหมอก้องเลยแกล้งยั่วโมโห
“เธอคงคิดถึงคุณเชตมากสินะ ก็ได้เรารีบกลับกันเถอะเธอจะได้เจอคุณ เชตเร็วๆ”
หมอก้องทำนิ่งเอากล่องเก็บหลังรถแล้วเดินเข้าไปประจำหน้าที่คนขับ เนตรอัปสรหันบอกพนักงาน
“ไปก่อนนะคะ ฝากขอบคุณพี่ดาลัดด้วยค่ะ”
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
เนตรอัปสรขึ้นรถกับปารมี ทุกคนจึงออกไปจากรีสอร์ท
เชตะวันตื่นมามองรอบๆตัว
หมอกับพยาบาลกำลังตรวจวัดชีพจร ตรวจเช็คอาการอยู่ มีอนงค์คอยมองยิ้มดีใจ พยาบาลส่งชาร์ท ผลตรวจให้ หมอดูที่ผลตรวจต่างๆยิ้มๆแล้วบอกกับเชตะวัน
“ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ นับว่าเป็นเคสที่น่าแปลกมากที่สามารถ ฟื้นตัวได้เร็วแบบนี้ยังไงก็อยู่รอดูอาการสักระยะก่อนนะครับแล้วเดี๋ยวหมอจะสั่งเป็นยาบำรุงให้”
“ขอบคุณครับ”
หมอกับพยาบาลเดินออกไป เชตะวันจึงลุกขึ้นนั่ง อนงค์เข้ามาช่วยปรับเตียงจับหมอนหนุนให้
“นงค์ช่วยค่ะ”
เชตะวันนั่งเหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วนึกถึงเนตรอัปสร
“เนตร...แล้วคุณเนตรล่ะทำไมเนตรไม่อยู่”
“คุณพยาบาลไปต่างจังหวัดเพื่อช่วยชีวิตคุณน่ะค่ะ”
เชตะวันงงว่าเรื่องอะไร คิดๆ
“ช่วยชีวิต...ช่วยชีวิตอะไร”
“ก็ไปช่วยให้ผีที่จับตัวคุณไป ปล่อยคุณคืนมานี่แหละค่ะ”
เชตะวันงงๆ อนงค์จ้องมอง
“ตอนแรกนงค์ก็ไม่อยากเชื่อนะคะ แต่พอคุณฟื้นมาได้แบบนี้นงค์เชื่อสนิทเลยคะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณพยาบาลกลับมา คุณเชตถามเธอเองแล้วกันนะคะ นงค์ขอตัวไปดูแลคุณอาทิตย์ก่อนนะคะ”
อนงค์จะเดินออกไป
“เดี๋ยว คนที่บ้านตั้งเยอะตั้งแยะก็ให้ดูแลไปก็ได้นี่”
อนงค์ทำหน้าไม่ถูก
“แล้วเขามาเยี่ยมฉันบ้างรึป่าว ฮึ...คงไม่มาสินะ”
อนงค์หน้าจ๋อยๆค่อยๆบอก
“มาเยี่ยมได้ครั้งเดียวเองคะ แล้ว...แล้ว...”
“แล้วก็หายไป”
เชตะวันเซ็งเลยนอนหันหลังให้อนงค์
“คุณเชตอย่าโกรธคุณผู้ชายที่ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเลยนะคะ เพราะตอนนี้ คุณผู้ชายไม่เหมือนก่อนแล้วคะ”
เชตะวันไม่สนใจ อนงค์เดินเข้าไปหา
“คุณผู้ชายประสบอุบัติเหตุเกือบตาย ตอนที่คุณเชตยังนอนไม่ได้สติอยู่ ตอนนี้คุณผู้ชายพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้เหมือนกันคะ”
เชตะวันได้ยินที่อนงค์พูดก็อึ้งไป
“คุณจะไม่ไปเยี่ยมท่านหน่อยเหรอคะ”
เชตะวันนิ่งงัน
เชตะวันเข้ามาหาอาทิตย์เห็นพ่อนอนนิ่งก็อึ้ง ไม่คิดว่า พ่อจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เชตะวันยืนมองที่เตียงของพ่อนิ่งงัน
“มันเกิดอะไรขึ้น” เซตะวันน้ำเสียงนิ่งๆข่มความเสียใจ
บวรนั่งเศร้าก้มหน้า
“บอกฉันได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อถึงเป็นแบบนี้”
อนงค์อึกอัก
“เอ่อ...คือ...นงค์ไม่เห็นเหตุการณ์หรอกค่ะ คนที่เห็นเหตุการณ์คือน้าบวรแต่น้าก็เล่าไม่ได้แต่นงค์พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าคุณอาทิตย์กับคุณพายัพทะเลาะกันแล้วจากนั้นคุณอาทิตย์ก็ตกบันไดลงมา”
เชตะวันหันถามบวร
“ไอ้พายัพใช่มั้ย”
บวรหลบตา เชตะวันจ้องหน้าคาดคั้น
“ไอ้พายัพมันทำพ่อใช่มั้ยบวร”
บวรพยักหน้าเศร้าๆ เชตะวันโกรธกำหมัดแน่น
“มันทำกับพ่อได้ยังไง ไอ้คนชั่ว”
เชตะวันหันมองหน้าอาทิตย์สงสารที่พ่อต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เขาเดินเข้ามาใกล้เตียงพ่อมองดูหน้าพ่อใกล้ๆแล้วคิดถึงเรื่องราวในอดีต
“เพราะพ่อน่ะรักพี่มากกว่าผม ที่สำคัญพ่อห่วงสมบัติของพ่อ มากกว่าห่วง ผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
อาทิตย์ตบหน้าเชตะวัน
“นอกจากแกจะทำตัวไร้สาระไปวันๆ ไม่เคยทำอะไรให้ฉันภาคภูมิใจ เคยดูสภาพตัวเองไหมว่าเหมือนคนปกติเขารึป่าว แกยังคิดร้ายกับพี่แท้ๆของแกอีก แกนี่มันเลวจริงๆ”
เชตะวันมองดูที่อาทิตย์น้ำตาคลอ
“พ่อ...พ่อมีอะไรจะบอกผมไหมครับ”
อาทิตย์ได้แต่พยายามเอามือมาจะลูบหัวลูกชายแต่ทำไม่ค่อยได้ เชตะวันน้ำตาไหลที่เห็นพ่ออยู่ในสภาพนี้
“ผมยอมให้พ่อดุด่าผมเหมือนเดิม แต่ผมไม่ต้องการให้พ่อเป็นแบบนี้”
เชตะวันนั่งฟุบร้องไห้ อาทิตย์ก็ร้องไห้ เอามือพยายามลูบหัวลูกชาย พ่อลูกเข้าใจกัน
เชตะวันยังคงนั่งเฝ้าอาทิตย์ที่ตอนนี้หลับไปแล้ว อนงค์หันมาบอก
“คุณเชตกลับไปพักเถอะคะ คุณเชตก็เพิ่งฟื้นต้องพักผ่อนเยอะๆนะคะ”
บวรเข้าทำท่าส่งภาษาใบ้ให้เชตะวันกลับไปพัก เดี๋ยวจะดูแลอาทิตย์เอง
“ฉันฝากดูพ่อด้วยนะ”
“จะให้อนงค์ไปส่งที่ห้องไหมคะ”
“ไม่เป็นไร อนงค์กับบวรอยู่ที่นี่แหละ”
เชตะวันมองดูพ่ออีกครั้งแล้วก็ออกไป
เนตรอัปสร ปารมี หมอก้องรีบมาหาเชตะวัน เดินมาพบทิพย์ที่นั่งรออยู่วิ่งเข้ามาหาเพื่อนๆ
“กลับมาแล้ว”
ทุกคนกอดกันดีใจ เนตรอัปสรรีบถาม
“คุณเชตล่ะ คุณเชตอยู่ที่ห้องใช่ไหม”
เนตรอัปสรกำลังจะเดินไปห้องแต่เชตะวันเปิดประตูออกมาจากห้องอาทิตย์แล้วเจอพอดี
“เนตร”
“คุณเชต”
ทั้งสองดีใจกอดกัน ทิพย์กับปารมีแอบดีใจที่เห็นเพื่อนมีความสุข หมอก้องเห็นภาพนี้ทำหน้าไม่ถูก
“ดีใจจังเลยอ่ะปาน”
ทิพย์บิดไปมาดีใจแทนเพื่อน ปารมีก็ปลื้มใจไปด้วย เนตรอัปสรยิ้มกว้าง
“คุณฟื้นแล้วจริงๆด้วย”
เธอจับหน้าตาเขาสำรวจตามร่างกาย
“ผมคิดถึงคุณมากรู้มั้ย”
เชตะวันดึงเนตรอัปสรเข้ามากอดอีกครั้งด้วยความรัก หมอก้องน้อยใจทันทีที่เห็น จึงเดินเลี่ยงออกไป ปารมีกับทิพย์มองตาม
หมอก้องเซ็งเครียด เดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา ตำรวจเดินเข้ามาติดต่อตรงเคาท์เตอร์ มีพยาบาลยืนอยู่
“ผมขออนุญาตพบคุณเชตะวันเพื่อสอบปากคำหน่อยครับ”
หมอก้องได้ยินเงยหน้ามองไปทางเคาท์เตอร์
เชตะวันนอนลงที่เตียงคนไข้ จับมือกับเนตรอัปสรไม่ห่าง
“ตอนนี้เป็นไงบ้างคะคุณเชต” ปารมีเข้ามาถาม
“ผมว่าผมปกติดีทุกอย่างนะ มันเหมือนว่าผมนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาแค่นั้น”
ทิพย์ยิ้มยินดี
นางมารตอนที่ 24 (ต่อ)
ทิพย์ยิ้มยินดี
“พวกเราดีใจที่คุณเชตตื่นขึ้นมาจากความฝันสักทีนะคะ”
เชตะวันนิ่งคิดบางอย่าง
“ใช่...มันเหมือนความฝัน...ผมฝันว่า...ได้เจอกับผู้หญิงโบราณคนหนึ่ง เธอรักผมมาก เพราะเธอผมเคยเป็นคนรักของเธอในอดีต”
เนตรอัปสรมองดูเชตะวันที่กำลังนั่งคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา เธอบอกกับเขา
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อแม่เฟื่องใช่มั้ยคะ”
เชตะวันหันมองเนตรอัปสรอย่างแปลกใจ
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าเธอชื่ออะไร มันเป็นความฝันของผมไม่ใช่ เหรอ”
เนตรอัปสรมองหน้าเขา
“มันคือเรื่องจริงที่ทั้งคุณและฉันก็ไปพบเจอมาค่ะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง”
เชตะวันแปลกใจ ไม่อยากเชื่อ
“มันเป็นเรื่องจริงค่ะปานยืนยันได้ค่ะ วิญญาณของแม่เฟื่องพาคุณกลับไปสู่อดีต นะโมกับพวกฉันตามไปช่วยคุณให้หลุดพ้นจากดวงวิญญาณของแม่เฟื่องออกมา ถ้าไม่ได้ยัยนะโมคุณมีหวังได้หลับยาวแน่ๆค่ะ” ปารมียืนยัน
เชตะวันฟังที่ปารมีพูดก็อึ้งๆแล้วนึกได้
“ใช่...แม่เฟื่องจะเอาผมไปอยู่กับเธอด้วย จะให้ผมโดดหน้าผาพร้อมกับเธอตามคำสาบานในอดีต...ตอนที่ผมหลับยาว เนตรกับเพื่อนไปช่วยผมให้ฟื้นเหรอเนี่ย ขอบคุณนะครับเนตรที่ช่วยผมกลับมาและทำให้เราได้พบกันอีก”
เนตรอัปสรกับเชตะวันยิ้มดีใจ ปารมีกับทิพย์ดีใจกับทั้งสอง พยาบาลเปิดประตูเข้ามา
“ขอโทษค่ะ มีตำรวจมาขอพบคุณเชตะวันค่ะ”
เชตะวัน เนตรอัปสร ปารมี ทิพย์ หันมอง ตำรวจสองนายเดินเข้ามาในห้อง พยาบาลออกไป
“ขออนุญาตครับ ทราบว่าคุณเชตฟื้นแล้วจึงมาตามเรื่องคดีค้ายาเสพติดต่อน่ะครับ”
เชตะวันกับเนตรอัปสรอึ้งๆ
“คุณเชตเพิ่งฟื้น ขออนุญาตยังไม่ให้ปากคำนะคะ”
“ไม่เป็นไรเนตร เชิญครับ”
เนตรอัปสรจำยอม
“ตอนนี้ทางเราได้หลักฐานเรื่องเช็คที่สั่งจ่ายของคุณพ่อของคุณ ผ่านกระบวนการผู้ค้ายาเพิ่ม นั่นก็แสดงว่า คุณอาทิตย์เป็นผู้ต้องหาอีกคนที่ร่วมอยู่ด้วยกับคุณ”
เชตะวันตกใจไม่เชื่อว่าอาทิตย์จะเป็นคนทำ
“และก่อนหน้านี้ผมได้สอบปากคำคุณพายัพพี่ชายของคุณ ซึ่งคุณพายัพ ยอมสารภาพว่ารู้เห็นว่าคุณอาทิตย์เป็น คนทำจริง ทางตำรวจเลยกันตัวไว้เป็นพยานเรียบร้อยแล้วครับ”
เชตโกรธที่พายัพใส่ร้าย
“เลวมาก...ทั้งหมดพ่อผมไม่เกี่ยว แต่ถ้าจะมีคนผิด ผมรับผิดเอง ผมเป็นคนบังคับให้พ่อเซ็นเช็คพวกนั้นเอง”
เนตรอัปสรตกใจที่เชตะวันรับผิดทั้งหมด
“คุณเชต”
ปารมีรู้สึกแย่มากที่ตัวเองรับรู้ทุกอย่างแต่ทำไรไม่ได้จึงวิ่งออกไป ทิพย์มองปารมีที่ออกไปงงๆ เชตะวันเจ็บใจที่พายัพทำกับพ่อแบบนี้ได้ยังไง
ปารมีเดินมองหาหมอก้องหันมาเห็นเขานั่งก้มหน้าอยู่ที่ที่นั่งรอหน้าเคาท์เตอร์ ปารมีเข้าไปหาด้วยความโกรธ
“สะใจรึยังล่ะที่ตอนนี้คุณเชตต้องถูกตำรวจจับเพราะค้ายา หลักฐานทุกอย่างมัดตัวหมดแล้ว”
หมอก้องตกใจที่เห็นปารมีโกรธ ปารมีพูดด้วยความเจ็บใจ
“คุณเชตเขาเป็นลูกผู้ชายพอ เขายอมรับความผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ แต่หมอกล้าโกหกยกความดีเข้าตัวทำลายคนอื่นอย่างเลือดเย็น”
“ผมแค่ทำตามหน้าที่”
“หน้าที่อะไรเหรอคะ คำพูดของหมอเป็นหลักฐานเดียวที่ทำให้คุณเชตตกเป็นผู้ต้องหา”
หมอก้องนิ่งงันกับสิ่งที่ปารมีพูด
“ถ้าอยากให้ตัวเองมีคุณค่ามากกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็เลิกหวังว่านะโมจะรักหมอได้แล้ว มันไม่มีทางหรอกคะเพราะนะโมคงไม่มีทางรักคนร้ายกาจอย่างหมอได้หรอก และปานคิดว่าถ้าตัวหมอเองอยากมีความสุขเพราะคำโกหกไปตลอดชีวิต ก็เชิญ”
ปารมีเก็บความรู้สึกเจ็บที่ใจเดินออกไป หมอก้องนิ่งคิดกับสิ่งที่ปารมีพูดด้วยความเครียด
ตำรวจลงบันทึกในเอกสารแล้วส่งให้ เชตะวันเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด ปารมีเข้ามาเห็นอึ้งๆเดินเข้าไปหาเนตรอัปสรที่ร้องไห้อยู่ปลอบเพื่อน ตำรวจหันมาบอก
“งั้นผมคงต้องดำเนินคดีตามขั้นตอน ผมคงต้องขอเชิญตัวคุณไปสอบสวนอีกครั้งก่อนสรุปสำนวนนะครับ”
เชตะวันพยักหน้ารับ เนตรอัปสรไม่ยอม
“คุณเชตคุณไม่ต้องไปหรอกคะ ก็คุณไม่ได้ทำผิดนี่คะ”
ตำรวจแย้ง
“หลักฐานทุกอย่างมันมัดตัวหมดแล้วนะครับ คนผิดก็ต้องถูกสอบสวนดำเนินคดีครับ”
หมอก้องพรวดเข้ามาในห้อง
“คุณเชตไม่ใช่คนผิดและก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคดีนี้ เลยครับ”
ทุกคนนิ่งงัน ตำรวจงง
“เพราะเสื้อที่เปื้อนเลือดที่เป็นหลักฐานมัดตัวคุณเชตนั่น มันเป็นเลือดเก่า ผมให้การเท็จเอง”
ทุกคนอึ้ง
“ผลจากแล็บเป็นแบบนี้”
หมอก้องยื่นซองเอกสารจากแลปให้ ตำรวจรับมาดูงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผลเลือดเป็นของคุณเชตะวันแต่เป็นคราบเลือดเก่า”
ทุกคนอึ้ง หมอก้องหันมาบอกตำรวจ
“คุณตำรวจต้องกลับไป รื้อคดีใหม่เพื่อจับตัวคนร้ายให้ได้ แต่ที่แน่ๆคนร้ายไม่ใช่คุณเชตครับ”
เนตรอัปสรเดินเข้าไปหาหมอก้องตบหน้าเขาอย่างแรง ทุกคนตกใจนิ่งเงียบ เนตรอัปสรเสียใจกับความรู้สึกดีๆ
“ทำไมหมอต้องทำแบบนี้ด้วย...ทำไม”
“เพราะที่ผ่านมาผมต้องการทำลายความรักของคุณกับคุณเชตไงล่ะ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต่อให้ผมทำยังไงก็ไม่มีทางหยุดความรักของคุณได้”
เนตรอัปสรอึ้งกับคำตอบของหมอก้องเธอตบเขาอีกทีก่อนวิ่งออกไปจากห้อง ปารมีกับทิพย์ตามไป หมอก้องเศร้าหันมาพูดกับเชตะวัน
“ผมขอโทษนะครับคุณเชต ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเนตรรักคุณมากแค่ไหนผมไม่มีทางแย่งมาจากคุณได้ ผมขอโทษ”
ตำรวจตัดบท
“พวกผมงงไปหมดแล้ว เอาเป็นว่าถ้างั้นขอเชิญคุณหมอ ไปให้ปากคำกันใหม่ดีกว่านะครับ เชิญครับ”
หมอก้องออกไปกับตำรวจ เชตะวันงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปหมด
เนตรอัปสรวิ่งเสียใจออกมา ปารมีเดินเข้ามา
เนตรอัปสรโผเข้ากอด ร้องไห้ ทิพย์เดินตามมา
“หมอทำเรื่องแย่ๆแบบนี้ได้ยังไง ทั้งที่หมอเป็นคนดี หมอเป็นเพื่อนเราไม่ใช่เหรอปาน”
เนตรอัปสรร้องไห้เสียใจ ปารมีปลอบ
“ทุกคนก็มีด้านมืดของตัวเองอยู่ทุกคนแหละนะโม ถ้าด้านสว่างมันมีมากพอเราก็จะมองไม่เห็นด้านมืดของเขา อย่าโกรธหมอก้องเลยนะ อย่างน้อยหมอก้องก็มองเห็นด้านมืดตัวเองแล้วออก มายอมรับความจริงแล้ว”
ทิพย์เข้าปลอบอีกคน
“เรื่องมันจบแล้วล่ะนะ หมอก้องเขารู้แล้วว่าเธอรักคุณเชตขนาดไหน อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะ”
เพื่อนๆมารุมกอดเนตรอัปสรไม่อยากให้เธอคิดมาก
พายัพ พงษ์ สิทธิ์ เข้ามาหาหมอผีในบ้าน พายัพส่งห่อกระดูกให้ หมอผีเปิดห่อผ้าออกดูมองยิ้มๆ พายัพสั่ง
“จัดการทำพิธีปลุกผีได้เลยอาจารย์ ข้าอยากใช้งานมันเต็มที่แล้ว”
หมอผียิ้มๆ
“ได้สิ...”
หมอผีจัดแจงเอาห่อกระดูกตั้งลงบนพานที่มีเครื่องคาวหวานเป็นเครื่องเซ่น มีถ้วยดินเผาใส่ดิน 7 ป่าช้า มีสายสิญจน์สีดำวางอยู่ หมอผีบริกรรมคาถา เอาดิน 7 ป่าช้าที่อยู่ในถ้วยดินเผาโปรยลงที่กองกระดูกของเฟื่อง หมอผีทำพิธีดึงวิญญาณเฟื่องออกมาจากคาถาที่หลวงปู่ครอบไว้
ผีเฟื่องเงยหน้ามองหน้าผามองดูมนต์ที่ครอบอยู่รอบๆตัวเริ่มคลายลง ผีเฟื่องถูกดูดหายวับออกไปจากผาเดียวดาย มาปรากฏตัวต่อหน้าหมอผีและพายัพ แววตาผีเฟื่องอาฆาตแค้น
“มึงอยากตายใช่มั้ย”
ผีเฟื่องจะทำร้าย หมอผีหยิบกระดูกขึ้นมาร่ายอาคมที่เชือกสายสิญจน์สีดำแล้วเอามัดที่กระดูก ทันใดนั้นก็มีเชือกรัดรอบตัวผีเฟื่องไว้เรืองแสงวูบวาบ ผีเฟื่องดิ้นทุรนทุราย
“ปล่อยกูเดี๋ยวนี้ ปล่อย...”
ผีเฟื่องฤทธิ์เยอะดิ้นรนไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจ เชือกสายสิญจน์ดำรัดจนเจ็บปวดอ่อนแรง
“ถ้าไม่อยากเจ็บปวดไปกว่านี้ก็ยอมเป็นทาสของข้าซะ”
เชือกรัดผีเฟื่องจนเจ็บปวดแต่ก็ไม่ร่วมมือ
“ไม่...ปล่อยกู”
“อยากจะลองดีก็ได้ ยิ่งขัดขืนเอ็งก็จะยิ่งเจ็บปวดข้าจะดูสิว่าผีอาฆาต อย่างเอ็งจะทนได้สักกี่น้ำ”
หมอผีบริกรรมคาถาต่อ แล้วก็หยิบถ้วยดินเผาขึ้นมาคว่ำลงบนกองกระดูก ด้วยคาถาทำให้ผีเฟื่องถูกครอบ ผีเฟื่องถูกขังอยู่ในที่แคบๆที่มืดดำไปหมด หมอผีลืมตาขึ้นมาบอกกับพายัพ
“ไม่ต้องห่วงวิญญาณกับกระดูก มันอยู่ในมือเราแล้วยังไงซะมันก็ต้องตกเป็นทาสเรา”
พายัพยิ้มพอใจ หันไปบอกพงษ์
“งั้นแกกับฉันกลับเข้า กรุงเทพไปจัดการธุระที่เหลือให้เสร็จ ตัดตอนคนที่รู้ที่เห็นเรื่องนี้ให้หมดก่อนที่ตำรวจจะดมกลิ่นมาเจอ”
“ครับนาย”
พงษ์เดินออกไปรอข้างนอก พายัพหันบอกสิทธิ์
“ส่วนนาย...ไหนๆก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว นายอยู่ช่วยอาจารย์คงทางนี้ก่อน”
“ได้ครับพี่”
พายัพเดินออกไป สิทธิ์มองตามหมั่นไส้ที่ถูกสั่ง
ระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ พงษ์กำลังขับรถอยู่ โทรศัพท์ดังขึ้น เขาเห็นเป็นเบอร์ของสมุนก็กดรับสาย
“ว่าไง”
“ไอ้ชาติมันหนีรอดจากมือปืนไปได้ครับ”
“มันหนีไปไหน ก็ตามไปเก็บมันสิวะ”
“มันหนีเข้าไปหาตำรวจครับ”
พงษ์โมโห
“โธ่เว้ย...”
พงษ์รีบวางสาย พายัพถามอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
“ไอ้ชาติมันหนีรอดจากมือปืนที่ตามเก็บไปได้ แล้วมันหนีเข้าไปหาตำรวจครับนาย”
พายัพโกรธ
“โธ่เว้ย...พลาดจนได้ ใครที่ทำพลาดจัดการมันซะอย่าให้กูเห็นหน้าอีก”
“ครับนาย”
พายัพโกรธจัด
หมอก้องเดินออกมาจากห้องสอบสวน นายตำรวจออกมาด้วย
“ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้ทุกคนเสียเวลา” หมอก้องหน้าสลด
“นับว่ายังโชคดีนะครับที่ความจริงเปิดเผยก่อนที่คุณเชตจะกลายเป็นแพะรับบาปไป”
“ครับ...ยังไงก็ช่วยหาคนผิดมารับโทษให้ได้เร็วๆนะครับ”
“มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วครับ”
หมอก้องยิ้ม
“งั้นผมขอลากลับเลยแล้วกันนะครับ”
“เชิญครับ...”
หมอก้องออกไป เสียงโวยวายของชาติดังมาแต่ไกลจากโต๊ะร้อยเวร
“จับผมเลยครับ จับผมเข้าคุกเลยครับผมเนี่ยแหละที่เป็นคนค้ายา”
ร้อยเวรกับจ่าพยายามบอกชาติที่เอะอะโวยวายให้สงบก่อน นายตำรวจกับหมอก้องมาถึง นายตำรวจถามจ่า
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ไอ้หมอนี่จู่ๆมันก็วิ่งพรวดเข้ามาที่ สน.ขอมอบตัวคดีค้ายาเสพติด น่ะครับ เอะอะโวยวายไม่หยุดเลย”
นายตำรวจแปลกใจ
“มามอบตัวเองเลยเหรอ...เออแปลกแหะ”
“มันบอกว่าอยู่ข้างนอกมันโดนยิงตายแน่ ที่สำคัญมันเหมือนหนีหัวซุกหัวซุนมาด้วยครับมันบอกมีคนลอบยิงมัน”
“งั้นเดี๋ยวฉันสอบเอง...ใครกันที่ตามฆ่าแก”
“พวกมันต้องการปิดปากผม เพราะผมทำงานพลาด จับผมเข้าคุกเถอะครับ นายพายัพไม่ปล่อยผมไปแน่”
นายตำรวจชะงัก
“เดี๋ยวนะ...นายพายัพ...เกี่ยวอะไรด้วย”
ชาติโพล่งออกมา
“คุณพายัพเป็นคนจ้างพวกผมขนยาเสพติด แล้วล่าสุดที่มีการหัก หลังกัน คุณพายัพจัดฉากให้น้องชายเป็นแพะรับบาปแต่มีผมที่รู้เหตุการณ์ทั้งหมดนายเลยจ้างมือปืนมาลอบฆ่าผม”
ชาติยกมือไหว้
“ขังผมไว้ในคุกเถอะครับ อย่าปล่อยให้ผมไปตายเลยผมขอร้อง”
นายตำรวจใช้ความคิด เข้าใจเรื่องราว
สิทธิ์เดินเข้ามาเห็นหมอผีกำลังนั่งนับเงินอยู่ก็แอบดูคิดอะไรออกจึงแกล้งไอดังๆ
“แค่กๆๆ”
หมอผีรีบเก็บเงินทันที สิทธิ์เดินเข้าไปยิ้มๆ
“นั่งนับเงินใหญ่เชียว”
“มันไม่เกี่ยวกับเอ็งอย่ายุ่งน่า”
สิทธิ์มองดูเงินที่หมอผีกำไว้
“อะไรกันได้ค่าจ้างทำพิธีแค่นี้เองเหรอ ทำไมมันน้อยนักล่ะ”
หมอผีมองหน้า สิทธิ์พูดต่อ
หมอผีมองหน้า สิทธิ์พูดต่อ
“ฉันเคยจ้างหมอผีไปปัดรังควาญให้ที่บ้านยังให้เยอะกว่านี้เลย ฉันว่า เขาหลอกอาจารย์ให้ทำพิธีให้แหง๋เลย แบบนี้ลบหลู่กันชัดๆแสดงว่าไม่เชื่อฝีมืออาจารย์ว่าจะทำให้อีผีตัวนั้นมาเป็นทาสได้”
หมอผีฟังที่สิทธิ์พูดแล้วโกรธที่ได้ยินสิทธิ์พูดว่าพายัพคิดแบบนี้
“ทำไมข้าจะทำไม่ได้”
สิทธิ์แอบยิ้มก่อนที่จะเข้าเรื่อง
“ผมก็อยากจะเชื่อว่าอาจารย์ทำได้ แต่ผมก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
หมอผีโมโห
“งั้นข้าจะทำให้เอ็งดู”
สิทธิ์ยิ้มเข้าแผน
“ความจริงฉันก็อยากได้นังผีนั่นมาดูเลี้ยงบ้าง ท่าทางจะดี เผื่อชีวิตจะรุ่งเรือง เอางี้มั้ย...” สิทธิ์ควักเงินในกระเป๋าตังค์มาปึกหนึ่ง “ผมจ่ายให้อาจารย์เยอะกว่าเดิม 1 เท่าเลยช่วยปลุกนังผีนั่นมาเป็นทาสให้กับผมแทน”
หมอผีคิดหนัก ก่อนจะตัดสินใจ
“ตกลง...” หมอผีรับเงิน “ไม่ใช่ว่าข้าเห็นแก่เงินหรอกนะ ข้าอยากจะดัดสันดานคนที่ดูถูกข้ามากกว่า”
หมอผีหันไปที่หน้าปรำพิธี เริ่มบริกรรมคาถาแล้วหยิบเอาถ้วยที่คว่ำบนกองกระดูกออกมา สิทธิ์มองดูพิธีกรรมยิ้มชอบใจ ผีเดือนปรากฏตัวข้างหลังสิทธิ์ด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ไอ้สิงห์...มึงตาย”
ผีเดือนรวบรวมกำลังตรงเข้าบีบคอ สิทธิ์มองไม่เห็นตัวเดือนแต่กำลังถูกบีบคอตาเหลือกตะเกียจตะกายเข้าไปหาหมอผีที่กำลังดึงเชือกที่มัดกระดูกผีเฟื่องอยู่ ชนจนมือหลุดจากเชือกสายสิญจน์สีดำที่รัดกระดูกเฟื่อง เชือกที่รัดตัวผีเฟื่องคลายออกไม่บีบรัดตัวเหมือนเคย หมอผีรีบเข้าไปคว้าเชือกกับกระดูกขึ้นมา แล้วหันมาเห็นผีเดือนกำลังบีบคอสิทธิ์อยู่
“หยุดเดี่ยวนี้นะ”
ผีเดือนชะงักหันขวับมามองที่หมอผี เห็นหมอผีถือกระดูกเฟื่องกับเชือกที่มัดอยู่ผีเดือนโกรธ
“มึงทำอะไรคุณหนู...”
“คิดจะมาช่วยนายมึงเหรอ ไม่มีทาง”
หมอผีเสกคาถาลงที่เชือกสายสิญจน์สีดำ เชือกสีดำรัดตัวผีเฟื่องยิ่งขึ้นเสียงร้องดังโหยหวน
“อ๊าย...ปล่อยกู”
ผีเดือนสงสารตัดสินใจพุ่งเข้าไปจับสายสิญจน์ที่มัดกระดูก ด้วยฤทธิ์ของคาถาทำให้ผีเดือนเจ็บปวดอย่างที่สุดแต่ฝืนทนเพื่อช่วยผีเฟื่อง
“บ่าวจะช่วยคุณหนูเองค่ะ...บ่าวทำเพื่อคุณหนูได้เท่านี้จริงๆ ลาก่อนเจ้าค่ะคุณหนู”
เฮือกสุดท้ายของวิญญาณเดือนที่คงร่างอยู่รวบรวมกำลังทั้งหมดกระชากสายสิญจน์ขาดจากกัน จนตัวผีเดือนแหลกสลายไปพร้อมกับหมดสายสิญจน์ เสียงกรีดร้องโหยหวน
“อ๊าย...”
ผีเดือนสลายร่างไป ผีเฟื่องมองดูผีเดือนจากไปด้วยความเสียใจหันมองทางหมอผีกับสิทธิ์ สายตาอาฆาตแค้น
ด้านนอกบ้านถูกปกคลุมด้วยหมอกดำแห่งความอำมหิต เสียงเฟื่องดังก้องอยู่ในบ้าน
“มึงตาย”
หมอผีกำลังจะท่องคาถาผีเฟื่องสะบัดมือใส่หมอผี กระเด็นไปโดนมีดหมอเสียบเข้ากลางอกตายคาที่ สิทธิ์กระเสือกกระสนหนีตาย ผีเฟื่องตามมาดักผลักสิทธิ์กระเด็นไปที่ปรำพิธี ผีเฟื่องเอื้อมมือทำท่าบีบคอแล้วสะบัดมือจนสิทธิ์คอหักตาค้างตาย
แซลลี่มาหาเชตที่บ้าน เดินเข้ามาในห้องโถงตะโกนเรียก
“เชต...เชตคะ แซลลี่มาเยี่ยมค่ะ”
นันวิ่งออกมาจากในบ้านมาหยุดตรงแซลลี่
“คุณเชตไม่อยู่หรอกค่ะ”
แซลลี่ไม่เชื่อ
“อย่ามาโกหกนะเพราะฉันโทรไปเช็คที่โรงบาลก็ไม่อยู่ ไม่กลับมาบ้านแล้วจะไปไหน ฉันจะรอเชตอยู่ที่นี่เพราะ ฉันต้องปรับความเข้าใจกับเชต หลีกไป”
แซลลี่เดินเชิดเข้าไปในบ้าน นันมองตามระอา
เนตรอัปสรพาเชตะวันเข้ามาที่ตำหนักคุณสรวง
“คุณพาผมมาที่นี่ทำไมเหรอ”
“ฉันอยากให้คุณพบใครคนนึงคะ”
คุณสรวงเดินเข้ามา เนตรอัปสร กับเชตะวันไหว้ คุณสรวงมองหน้าเห็นเป็นภาพลางๆในอดีต
“ฉันดีใจด้วยนะที่คุณปลอดภัย”
เนตรอัปสรหันมาบอกเชตะวัน
“ถ้าไม่ได้คุณแม่ช่วย ฉันก็คงไม่รู้ว่าจะไปตามหาคุณที่ไหน”
“ทำไมคุณถึงรู้ล่ะครับว่าจะช่วยผมได้ยังไง”
“การมาพบเจอกันของคนเรามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะ ทุกอย่างมันถูกลิขิตไว้ด้วยกรรมเก่าที่เราเคยทำไว้ร่วมกัน”
“งั้นผมคงทำกรรมไว้กับแม่เฟื่องไว้ใช่มั้ยครับ เขาถึงต้องการชีวิตของผม”
คุณสรวงเศร้าเพราะรับรู้ความรู้สึกของเฟื่อง
“แม่เฟื่องต้องการให้คนรักกลับมาอยู่ด้วยกันตามคำสาบานที่ให้ไว้ แม่เฟื่องจึงพยายามให้คุณกลับไปตายยังที่เดิมอีกครั้งด้วยใจที่รักตามคำสาบาน...แม่เฟื่องจะไม่ยอมจบถ้าไม่ได้ตัวคุณไป”
เนตรอัปสรกังวล
“แล้วไม่มีทางที่เราจะหยุดผีแม่เฟื่องได้หรือคะ”
“จะหยุดแม่เฟื่องได้ก็ต่อเมื่อ มีแรงแห่งความรักอันบริสุทธิ์มาทำลายแรงแห่งความอาฆาตแค้นนั้นลงได้” คุณสรวงมองที่เนตรอัปสรกับเชตะวัน ยิ้มๆ “มันขึ้นอยู่ที่คุณทั้งสองคน “
“หมายความว่าลูกกับคุณเชตต้องทำร่วมกันงั้นเหรอคะ”
เนตรอัปสรกังวล คุณสรวงจึงพูดปลอบใจ
“ตอนนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะเพราะลูกก็ทำให้คุณเชตกลับคืนมา ได้แล้ว อย่ากังวลไปเลย”
“นั่นสิ ผมกลับมาอยู่ข้างคุณแล้วไง...ไม่เอาน่า”
เชตะวันโอบไหล่เนตรอัปสรเบาๆ เธอยิ้มอายๆ คุณสรวงมองสองคนยิ้มๆแต่ในใจแอบกังวล
แซลลี่ถือหนังสือพิมพ์อ่านอยู่บ่นๆ
“มีแต่ข่าวฆ่ากันตาย...อี๊...น่ากลัว”
แซลลี่ขยับหนังสือพิมพ์เปลี่ยนหน้า เหลือบเห็นข่าว
“คดียาเสพติดของครอบครัวดังกับตาลปัตร เมื่อน้องชายผู้ตกเป็นแพะรับบาปพ้นข้อกล่าวหา”
แซลลี่อึ้งๆ
“คุณเชต...”
แซลลี่รีบพลิกอ่านในหน้าหนังสือพิมพ์ต่อ
“เมื่อหนึ่งในคนร้ายที่ทำการขนยาเสพติดวิ่งโร่เข้ามอบตัวกับ ตำรวจและรับสารภาพว่าเป็นทีมขนยาของนายพายัพ และให้ปากคำเพิ่มเติมว่านายอาทิตย์กับนายเชตะวันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดนี้”
แซลลี่ดูด้วยความกังวลแต่แอบโล่งอก
“ดีนะที่ฉันชิ่งมาก่อนไม่งั้นติดคุกหัวโตแน่”
พายัพโผล่มากระชากหนังสือพิมพ์ออก แซลลี่ช้อค พายัพเข้าไปหา
“ไหนบอกว่ารักฉันอยากแต่งงานกับฉันไง”
แซลลี่จะหนีพายัพดึงไว้
“จะไปจากฉันมันไม่ง่ายหรอกนะ”
แซลลี่ยกมือไหว้
“ขอแซลลี่ไปเถอะนะคะ แซลลี่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นปล่อย ปล่อยแซลลี่ไปเถอะคะ”
พายัพยิ้มมีแผนร้าย
“ปล่อยก็ได้”
แซลลี่ดีใจจะออกไป
“แต่ต้องทำอะไรแลกก่อน ไม่งั้น...” พายัพทำท่าเชือดคอ “ตาย...”
แซลลี่อึ้งมองพายัพกลัวๆ
อาทิตย์นอนหลับอยู่บนเตียง บวรนั่งอ่านหนังสืออยู่กับอนงค์นั่งหาวง่วงนอน มีเสียงเคาะประตู อนงค์รีบลุกไปเปิด เห็นเป็นแซลลี่ยืนถือกระเช้าเยี่ยมไข้อยู่อนงค์ตกใจ
“ฉันมาเยี่ยมคุณอาทิตย์น่ะ”
แซลลี่แทรกตัวเข้ามาทันที บวรเห็นรีบลุกขึ้นงงๆ
“ฉันซื้อของมาเยี่ยม ไม่รู้ว่าคุณอาทิตย์ทานได้มั้ย” แซลลี่ยื่นกระเช้าให้บวร
“คงทานไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหมองดอาหารอยู่ค่ะ”
“ว๊า แย่จัง”
แซลลี่ท่าทางสงบเสงี่ยมจนอนงค์กับบวรมองงงๆ
“นี่เราสองคนต้องเฝ้าอยู่แบบนี้ตลอดเลยเหรอ”
“ใช่สิค่ะ”
“อืม...ลำบากเนอะ...ว่าแต่สองคนเนี่ยกินอะไรกันหรือยังล่ะ”
อนงค์กับบวรมองหน้ากันงงๆที่แซลลี่แปลกไป
“เมื่อกี้ฉันผ่านร้านส้มตำข้างล่างเห็นคนเยอะเลย ท่าทางจะอร่อยแน่เลย อยากลงไปชิมดูมั้ย”
พอพูดถึงส้มตำอนงค์แอบเปรี้ยวปากเลย แต่ตัดใจ
“ไม่เป็นคะ พวกเราต้องอยู่เฝ้าคุณผู้ชาย”
“เอางี้เดี๋ยวฉันเฝ้าให้เอง คุณอาหลับแบบนี้คงอีกนานกว่าจะตื่น ไปกินกันเถอะฉันไม่รีบไปไหนฉันจะอยู่รอคุณเชตด้วย”
แล้วจู่ๆท้องของบวรก็ร้องดังขึ้นมา
ทุกคนหันมอง บวรอายทำท่าปฏิเสธไม่หิว
“น้าหิวใช่ไหม งั้นลงไปกินกันเถอะแป๊บเดียวเดี๋ยวมาเนอะ”
บวรใจอ่อนพยักหน้ารับ อนงค์หันบอกแซลลี่
“งั้นนงค์ ฝากคุณผู้ชายแป๊ปละกันนะ...ห้ามทิ้งคุณผู้ชายเด็ดขาดนะคะ”
แซลลี่ยิ้มให้
“จ้า...ฉันไม่ทิ้งแน่นอน กินส้มตำให้อร่อยนะ”
อนงค์กับบวรจึงออกไป แซลลี่รีบวิ่งไปเช็คความเรียบร้อย แล้วโทรบอกพายัพ
“มาได้เลยค่ะ”
แซลลี่ยืนหน้าห้องรอ พายัพใส่ที่ปิดปากกันเชื้อโรคเดินเข้ามาหา แซลลี่เปิดประตูให้เข้าไป แล้วเธอก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องกระสับกระส่าย...พายัพเข้ามาในห้องได้ถอดผ้าที่ปิดปากออกเดินเข้าไปหาพ่อที่นอนอยู่ อาทิตย์ลืมตาขึ้นมาเห็นพายัพก็ตกใจตาเหลือกด้วยความกลัว
“ไม่ต้องกลัวหรอกพ่อ ผมมาดีแค่จะขอลายมือพ่อเซ็นเอกสารบางฉบับเท่านั้นเองเองจะได้จบๆไป”
อาทิตย์อึกอักกลัว พายัพมองยิ้มเหยียดๆ
“ผมเป็นลูกรักของพ่อไง จำไม่ได้แล้วเหรอครับ”
อาทิตย์อึกอักทำอะไรไม่ได้
“ผมสร้างความยิ่งใหญ่ตามที่พ่อบอกแล้วไงครับ คำสั่งของพ่อมันดังก้องอยู่ในหัวผมทุกวันๆ”
พายัพหยิบเอกสารออกมาจากเสื้อ
“พ่อพร่ำบอกว่าผมเป็นลูกที่พ่อรัก แต่กับไอ้เชตที่พ่อบอกว่าเกลียดมันพ่อกับไม่เคยแตะต้องบังคับมันทำอะไรเลย”
พายัพมาจับมืออาทิตย์ เอาที่ปั๊มลายมือขึ้นมากดนิ้วพ่อปั๊มลงไป
“ผมทำให้พ่อมามากพอแล้วต่อไปนี้มันจะเป็นเวลาของผม ผมจะไปจากที่นี่ผมต้องใช้เงิน”
พายัพเอามืออาทิตย์ที่เปื้อนหมึกแล้วกดทับลงเอกสาร อาทิตย์ไม่มีทางปฏิเสธอะไรได้มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่หยดลงมาเพราะคิดไม่ถึงว่าลูกชายสุดที่รักจะเลวได้ถึงเพียงนี้
แซลลี่เฝ้ากระวนกระวาย เชตะวันกับเนตรอัปสรเดินมาเห็นพอดี
“นั่นแซลลี่นี่ มาทำอะไร”
เชตะวันมองตาม
“อืม...ใช่...คงมาเยี่ยมผมมั้ง...เขาคงคิดถึงผมน่ะ...หึงเหรอ”
เนตรอัปสรหน้าจริงจัง
“ฉันว่าไม่ได้มาเพราะคิดถึงคุณแน่ เมื่อคราวที่ฉันไปป่าเพื่อช่วยให้คุณฟื้น แซลลี่นี่แหละ
ที่เป็นคนขโมยกระดูกเกือบทำลายพิธีจนพังเพราะไม่อยากให้คุณฟื้นนะสิ”
เชตะวันคิดตาม ทั้งสองเดินไปใกล้ เชตะวันเข้าไปถาม
“แซลลี่ นี่คุณมาทำอะไรน่ะ”
แซลลี่หันเห็นตกใจ
“คุณเชต...เอ่อ...แซลลี่เปล่านะคะ...แซลลี่ไม่เกี่ยวนะคะ”
แซลลี่ทำอะไรไม่ถูกละล้าละลังมองไปในห้องมีพิรุธ สุดท้ายก็วิ่งหนีออกไปจากห้อง เชตะวันกับเนตรอัปสรมองตามแล้วรีบเข้าห้องอาทิตย์ไป
เชตะวันรีบเข้ามาดูเห็นอาทิตย์เหมือนจะขาดใจ เนตรอัปสรตามเข้ามาโดยไม่ทันเห็นว่าพายัพแอบอยู่หลังประตู อาทิตย์จะขาดใจน้ำตาไหลพยายามจะบอกอะไรแต่บอกไม่ได้เชตะวันเข้ามาดูอาทิตย์ที่ดูกลัวๆ
“พ่อเกิดอะไรขึ้นครับ พ่อเป็นอะไร แซลลี่เข้ามาทำอะไรพ่อ”
พายัพพยายามจะบอกแต่เสียงของพายัพดังมา
“ฉันเข้ามาเองแหละ”
เชตะวันหันขวับไปมอง เนตรอัปสรตกใจที่พายัพยืนอยู่ข้างหลัง เชตะวันตรงเข้าไปต่อยพายัพ
“แกทำอะไรพ่อ ไอ้คนชั่ว”
พายัพตั้งตัวได้
“ที่ฉันชั่วก็เพราะพ่อกับแกนั่นแหละรู้ไว้ซะด้วย”
เชตะวันเข้าไปต่อย พายัพต่อยกลับ เนตรอัปสรพยายามห้าม
“คุณเชตใจเย็นๆค่ะ...อย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ”
พายัพได้โอกาสชกเชตะวันในทีเผลอ เชตะวันเลยสู้ สองคนสู้กันจนพายัพพลาดท่าจึงควักปืนออกมา เล็งที่เชตะวัน เนตรอัปสรตกใจมองปืน
“อะไรที่เป็นของมึงมันต้องตกเป็นของกูทุกอย่าง อย่าอยู่เลยมึง ไอ้เชต”
พายัพหน้าเหี้ยมไม่เหลือความเป็นพี่เป็นน้องให้เห็น