ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 22
ท้องพระโรงฝ่ายในตองอู มังตราโกรธพัศดีอย่างมาก คนอื่นๆ หมอบกราบอย่างเกรงกลัว
“มันเอาตราอาญาสิทธิ์ของข้ามาจากไหน ทำไมไม่ดูให้ดี”
“ข้าพเจ้ามิทันนึกว่าจะมีใครกล้าปลอมตราอาญาสิทธิ์ได้”
“ทหารเอามันไปโบยทุกคน 50 ที”
ราชมัลขยับเข้ามา ตะคะญีรีบเข้าขวาง
“ขอได้โปรดพระเจ้าอยู่หัว หากจะลงโทษพัศดีคุมเชลย ขอลงโทษข้าพเจ้าด้วยในฐานะเป็นผู้ท้าประลองดาบกับเชลยจนเป็นเหตุให้เชลยหนีไปได้” มังตราชักลังเล จะเด็ดก็ตกใจกลัวตะคะญีจะถูกลงโทษด้วย “ข้าพเจ้าขอรับโทษแต่ผู้เดียว”
“ข้าพเจ้าคิดว่าเรามิควรนำเหตุการณ์สองกรณีมารวมกัน เหตุเชลยหนี เพราะได้ตราอาญาสิทธิ์มา เราควรจะสืบให้ได้ความก่อนว่าพวกมันนำตราอาญาสิทธิ์มาได้อย่างไรกัน”
มังตราชักพระพักตร์เสีย เพราะเริ่มนึกได้ว่าตราอาญาสิทธิ์อยู่กับใคร
“งั้นเราจะสืบความเอง เพราะผู้ครอบครองตราอาญาสิทธิ์ล้วนแต่ผู้มีบารมี หากพวกท่านไปสืบความจะอลหม่านกันไปทั้งวัง ปลัดทัพพาพัศดีมันออกไป ก่อนที่เราจะไม่ยอมยกโทษให้มัน”
ตะคะญีกับผู้คุมรีบถวายบังคมลาออกไป
“เป็นพระวิฉัยที่ถูกแล้วที่พระองค์เว้นการลงโทษผู้คุมไว้”
“ข้าพเจ้า มิอยากให้พวกเขาคิดว่าป้ายอาญาสิทธิ์ของข้าพเจ้ามิศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนเห็นป้ายต้องกัมหัวให้เพียงอย่างเดียว”
“การที่เชลยหนีไปนี้จะนับเป็นข้อดีก็ได้ เพราะจะทำให้ชาวเมืองเห็นว่าฝีมือครูดาบตองอูนั้นยอดเยี่ยมกว่าผู้ใดในแคว้นอิระวดี แม้แต่ครูดาบทหารเสือหงสายังมิกล้าประลองด้วย ชาวเมืองตองอูจะได้มีขวัญและกำลังใจ มิต้องกลัวคนเมืองอื่น”
มังตรายิ้มอย่างมีเลศนัย
“คงมิต้องบอกข้าพเจ้านะว่าปลาว่ายเข้าไซที่ท่านดักล่อไว้พอดี”
จะเด็ดสบพระเนตรมังตรา ตาเป็นประกายอย่างมีเลศนัยเช่นกัน
คืนนั้นที่ห้องนอนโชอั้วในเรือนตองหวุ่นญีนางข้าหลวงโชอั้วอัญเชิญน้ำจัณฑ์มาถวายแล้วออกไป โชอั้วคอยปรนิบัติถวายมังตราอยู่ใกล้ๆ มังตราเริ่มเมาแล้ว
“ข้าพเจ้านึกได้แล้วว่ามันคือพ่อค้าผ้า มันปลอมเป็นพ่อค้าผ้าต่างแดนนำผ้ามาให้ข้าพเจ้าเลือกถึงบนเรือนนี้ แล้วแอบขโมยตราไป”
“ต่อไปห้ามให้ผู้ใดขึ้นถึงบนเรือนนี้เด็ดขาด”
“ข้าพเจ้าเข็ดแล้ว ยามนี้หากข้าพเจ้าไร้ศีรษะแล้วจะสนองพระองค์เยี่ยงนี้ได้เช่นไร”
โชอั้วเข้ากอดหอมแก้มมังตรา จนมังตราเคลิ้ม
“หากต่อไป ผู้ใดถามถึงตราอาญาสิทธิ์ให้แจ้งใครๆ ว่านำมาคืนเราแล้ว มิเช่นนั้นจะมีการสอบสวนว่าเหตุใดจึงเว้นความผิดให้ท่าน”
“ข้าพเจ้ามิมีวันบอกผู้ใดดอก รอดโทษครั้งนี้ก็นับเป็นบุญอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว ยามนั้นข้าพเจ้าเหงา จึงหันไปหลงใหลความงามของผ้า นี่อย่างไรผ้าผืนนี้แหละ หมายจะเอาไว้แต่งรับเสด็จพระองค์ คอยแล้วคอยเล่าพระองค์ก็มิเคยเสด็จมาให้ชื่นใจ ข้าพเจ้าต้องใช้น้ำตากล่อมนอนทุกราตรี”
“พระนางนันทวดีเข้มงวดเวลาเรานัก ยากจะมาหาได้บ่อย นี่ คิดถึงใจแทบขาดจึงดื้อมา”
โชอั้วทำเหมือนจะร้องไห้ เข้ากอดซบอกมังตราสะอื้น
“โถ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นข้าพเจ้าฝ่ายเดียวเสียอีกที่เฝ้าคอยพระองค์อยู่ทุกคืน ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะงำความคิดถึงไว้ มิให้พระองค์ต้องระทมหาอีกต่อไป”
มังตรากอดโชอั้วแน่น
“ปล่อยให้ระทมหาก็ดีนะ ยามเจอกันเราทั้งคู่จะได้ปลื้มสวาทกันด้วยแรงคิดถึง”
โชอั้วระดมหอมไปทั่วพระอุระอันเปลือยเปล่าของมังตรา แล้วซบซุกกอดด้วยความสุข
“ขอให้ข้าพเจ้าได้นอนหนุนพระอุระหลับด้วยความคิดถึงจนรุ่งเถิดนะ”
โชอั้วซบอกมังตราหลับตาพริ้ม มังตรากอดโชอั้วอย่างมีความสุข
“พระนางนันทวดีนั้นมีแต่ความเข้มแข็ง หากรู้จักเอาใจเราเช่นนี้สักครึ่ง เราคงมิต้องซานมากอดน้องท่านอยู่ที่นี้แน่”
โชอั้วหยิกอกมังตรา ทำงอน
“ข้าพเจ้ากำลังเคลิ้มความรัก ใยจะมาตรัสถึงพระมเหสีให้ได้ยินเล่า”
มังตรายิ่งกอดโชอั้วแน่นขึ้นอย่างมีความสุข
คืนเดียวกันนั้นที่ลานวัดหลวงกรุงแปร ไขลูกับจอลุในชุดชาวเมืองปีนข้ามกำแพงลัดเลาะไปตามลานวัด จนกระทั่งถึงกุฏิที่มหาเถรจำวัดอยู่ เห็นแแสงตะเกียงยังสว่างออกมาจากหน้าต่างห้องมหาเถร
มีทหารยืนยามอยู่คนหนึ่ง
สักครู่ จาเลงกาโบเดินลงกุฏิมาหยุดสั่งการทหารที่เฝ้าหน้ากุฏิ
ไขลูกับจอลุรีบหลบเข้าไปในความมืด เมื่อจาเลงกาโบผ่านไปจึงปีนขึ้นระเบียงกุฏิ ทหารยามหันมาเห็น สมทะก็โผล่มาจากด้านหลังเอามีดเชือดคอทันที ทหารยามไม่ได้ร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว ไขลูกับจอลุจึงเดินเลาะต่อไป
ไขลู จอลุ สมทะ ย่องลัดเลาะมาตามระเบียงจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องมหาเถร มหาเถรกำลังสวดมนต์จะจำวัตรอยู่ จอลุเดินไปโดนไม้เท้ามหาเถรที่พิงฝาอยู่ล้มลง
“จาเลงกาโบ” เงียบไม่มีเสียงตอบ มหาเถรรู้สึกผิดปกติ จอลุ สมทะเปิดประตูเข้ามา ไขลูตามเข้ามาถือดาบจังก้า มหาเถรยังคงสวดมนต์สงบนิ่ง “อาตมาไม่มีอาวุธอันใดดอก”
ไขลู จอลุ สมทะ ทั้งสามหยุดไม่กล้าเข้าใกล้ มหาเถรสวดมนต์จบกราบสามหนแล้วจึงหันมา ไขลูรู้สึกหวั่นไหว แต่จอลุกับสมทะสั่นจนเห็นได้ชัด
“อาตมาเป็นศิษย์พระสมณโคดม ท่านจะทำอาตมาได้ลงหรือ”
“ขรัวเฒ่าเจ้าเล่ห์ ก่อนบวชแกสังหารคนมากี่ร้อยกี่พันแล้ว พอถึงคราวตายของตัวจะเอาจีวรมาเป็นโล่ห์ป้องกันตัวงั้นหรือ วันนี้แกจะได้ไปใช้กรรมในนรกแล้ว”
“อาตมายินดีรับกรรมที่เคยสร้างไว้ สงครามจำต้องสังหารกันเพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์ตัว ฆ่า เพื่อรักษาชีวิตประชาราษฎร์ แต่เพลานี้อาตมาได้หยุดแล้ว ขอยึดคำสอนของพระพุทธโคดมเป็นสรณะ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมเถิด” ไขลูชูดาบ
“ก็นี่ไงกรรม เพียงแต่ข้ามาช่วยเร่งให้มันเร็วขึ้น จะเด็ดมันรุกรานเมืองอื่นก็เพราะแกเสี้ยมสอน แกหยุดสร้างกรรมตรงไหน”
“อาตมาขอชี้ทางสุขให้แก่ท่าน อาหารผู้ใดเป็นคนกินผู้นั้นย่อมอิ่ม ดับโทสะพยาบาทในใจเถิด พระตถาคตได้ตรัสไว้ว่า…”
“มึงไม่ต้องเทศน์ให้กูฟัง วันนี้คือวันตายของมึง ศพมึงจะทำให้แปรกับตองอูขาดไมตรีกัน”
ไขลูง้างดาบเข้าจะฟัน มหาเถรขยับจีวรนั่งให้ดีขึ้น ไขลูสะดุ้งถอยหนี
“อาตมาไม่มีอาวุธอันใดจริงๆ อย่ากลัวอาตมาเลย ขอโยมตรองให้ดีหากอาตมาสิ้นเพราะการกระทำของโยม แผ่นดินลุ่มอิรวดีต้องนองเลือดอย่างแน่นอน ขอให้เห็นแก่ชีวิตผู้อื่นเถิด”
“พูดมากนะมึง”
ไขลูตรงเข้าฟันทันที มหาเถรใช้ชั้นเชิงขุนพลเก่าหลบหลีกคมดาบไขลูได้หลายเพลง จาเลงกาโบเปิดประตูเข้ามาเห็น
“พระอาจารย์”
ไขลูฟันถากแขนมหาเถรได้อย่างหวุดหวิด จาเลงกาโบชักดาบ จอลุกับสมทะเข้ากันไว้ เกิดการปะทะกันดุเดือด ไขลูสู้กับมหาเถรจนทั้งคู่กระเจิงออกไปนอกระเบียง
จาเลงกาโบตะลุยฟันจอลุกับสมทะจนกระเจิง แล้วเข้ามาช่วยมหาเถรจากไขลู จาเลงกาโบสู้สามต่อหนึ่งและตะโกนบอกให้มหาเถรรีบหนีไป จังหวะหนึ่งจาเลงกกโบจะเสียทีมหาเถรเข้าไปช่วยจึงถูกไขลูทั้งฟันทั้งแทงจนบาดเจ็บล้มลง
จาเลงกะโบฆ่าจอลุตาย บ้าคลั่งเมื่อเห็นมหาเถรล้มลง
“พระอาจารย์” สมทะลุกขึ้นสู้จึงถูกจาเลงกาโบฟันตาย ไขลูตัดสินใจกระโดดลงระเบียงไป จาเลงกาโบจะวิ่งตามแต่ห่วงมหาเถรจึงวิ่งกลับมาดู จาเลงกาโบเข้ามาพยุงมหาเถรขึ้นมา “พระอาจารย์”
มังตรายืนโกรธท่ามกลางทุกคนที่หมอบเฝ้าอยู่
“ไอ้ชั่วชาติ กล้าสังหารแม้ศิษย์ตถาคตครองห่มกาสาวพัสตร์ คนเช่นนี้ตัดหัวมันซ้ำร้อยครั้งก็ไม่มีบาป หากมิได้เอาเลือดหัวมันมาล้างแค้น ข้าพเจ้าก็มิควรเป็นพระเจ้าอยู่หัวตองอูให้คนทั้งแผ่นดินหมิ่น”
“ขอพระองค์ทรงระงับความพิโรธ เตรียมพระองค์เสด็จไปเยี่ยมพระอาจารย์กับข้าพเจ้าเถิด ยามพระอาจารย์ได้เห็นพระองค์น่าจะทำให้อาการดีขึ้น” จะเด็ดบอก
“ข้าพเจ้าจะไปอย่างสามัญพร้อมพี่ท่านคืนนี้ ไม่ต้องเตรียมขบวนอะไรให้ช้าการทั้งสิ้น โทษไอ้ไขลูถึงได้หัวก็ยังไม่สาใจเรา ต้องแล่เนื้อมันออกเป็นชิ้นๆ ให้ตายอย่างทรมานที่สุด นั่นแหละถึงจะเอาเลือดแค้นที่จุกคอเราออกหมด”
“ขอพระองค์รับสั่งแต่งตั้งผู้ว่าราชการแทนพระองค์ด้วย”
“ท่านขุนวังไง ท่านขุนวังทะกยอดินจงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนเรา” ทะกยอดินรีบก้มกราบ “ท่านขุนพลตะคะญี อยู่ข้างนี้จงเตรียมทัพให้พร้อม เราเรียกวันให้ได้วัน เรียกคืนให้ได้คืน เราจะถอดยศพระเจ้ากรุงแปรเจ้าถิ่นฐานที่
มันละเลย คุ้มครองพระอาจารย์เราไม่ได้ ถ้ามันสู้เราจะได้ทำศึกกัน”
ตะคะญีถวายบังคม จะเด็ดก้มหน้านิ่งอย่างไม่มีทางเลือกหากจะต้องทำศึกกับแปร
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 22 (ต่อ)
ขบวนรถม้ามังตราที่มีจะเด็ด จาเลงกาโบ สีอ่องนำ วิ่งผ่าป่าไปอย่างรวดเร็ว
มังตรานั่งในรถม้า ประทับลืมพระเนตรด้วยความเสียพระทัยและแค้นจัด
กำแพงเมืองแปรตั้งตระหง่าน เห็นพระอาทิตย์ฉายแสงสว่างที่ขอบฟ้า ทหารแปรยืนอยู่เต็มลานวัดหลวง จาเลงกาโบ สีอ่อง ควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็วจนทหารแปรตกใจ
“พระเจ้าตองอูเสด็จ ขอทุกคนอยู่ในความสงบ”
ทหารแปรทุกคนรีบคุกเข่าลงถวายบังคม สีอ่องนำทหารตองอูเข้าคุมทหารแปรทั้งหมดไว้ จะเด็ดนำขบวนรถม้ามังตราเข้ามาหยุดกลางลาน จาเลงกาโบกับจะเด็ด รีบนำเสด็จมังตราขึ้นสู่กุฏิหลวงทันที
จาเลงกาโบนำจะเด็ดกับพระเจ้ามังตราเข้ามาในกุฏิ
“ทุกคนออกไปให้หมด”
ทหาร หมอหลวงและเณร รีบกราบออกไป จาเลงกาโบปิดประตู จะเด็ดก้มกราบที่เท้ามหาเถร มังตราทรุดลงกราบที่อกมหาเถรร้องไห้อย่างไม่อาจกลั้นได้ มหาเถรพยายามจะกอดมังตราไว้
“มหาบพิตรอย่าคิดให้ระทมเลย ทั้งนี้กรรมผู้ใดก่อไว้ผู้นั้นย่อมได้รับกรรมนั้น เมื่อยังหนุ่มอาตมาฆ่าฟันคนไม่ได้นึกถึงบาปบุญเลย”
“คนที่พระอาจารย์ฆ่า พระอาจารย์มุ่งแต่ผู้ที่เป็นศัตรูของเมงกะยินโยต่างหาก”
“การบวชไม่ได้หมายจะให้พ้นกรรมดอก เพียงแต่ไม่อยากให้ตกนรกชั้นต่ำกว่ากรรมที่ทำ อาตมากุศลผลบุญทำมาเท่านี้ ไม่...อาจอยู่เห็นพิธีปราบดาภิเษกพระองค์เป็น…จักรพรรดิ ที่เมืองหงสาวดี”
“สมบัติกรุงหงสาวดีแลกด้วยพระคุณของพระอาจารย์ไม่ได้ดอก ขอพระอาจารย์อยู่กับข้าพเจ้าไปนานๆ”
“ดวงชะตามหาบพิตรนั้นบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิ ขอให้สมมโนรถ”
“ข้าพเจ้าจะเอาโทษไอ้คนผิดมาชดใช้ให้ได้ พระเจ้าแปรก็ผู้หนึ่งมีแก่ใจให้ไอ้ไขลูลอบเข้ามาทำร้ายพระอาจารย์”
“มหาบพิตร พระเจ้านรบดีนี้ถือว่าใจตรงกับหน้าแล้ว อย่าลงเอากับแปร จะสมคะเนไขลูมัน ไขลูทำการนี้ หมายจะให้ตองอูกับแปรแตกกัน เจตนาศัตรูจะยึดเอาศพอาตมาเป็นเหตุให้แตกร้าว จะกลับเป็นรัดไมตรีแปรกับตองอูให้แน่นขึ้น อาตมาสิ้นครั้งนี้เห็นจะสมค่าแล้ว”
ทั้งมังตราและจะเด็ดต่างร้องไห้หนักขึ้น
พระเจ้านรบดีประทับอยู่ในพลับพลาอุทยานหลวง ทรงหนักพระทัยมาก ทหารวังแปรเดินนำรานองเข้ามาเฝ้า
ท่าทางรีบร้อน
“จะเด็ดมาถึงแล้วใช่ไม๊”
“พระเจ้าตองอูเสด็จมาเองทีเดียวพระองค์ท่าน”
พระเจ้านรบดี พระพักตร์เฝื่อน
“พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้เสด็จมาเองเชียวหรือ”
“เพลานี้ประทับเยี่ยมพระอาการพระคุณเจ้ามังสินธูอยู่”
พระเจ้านรบดีทรงหนักพระทัยมากขึ้น
“เราจะทำอย่างไรดีรานอง เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลาม ร้ายแรง”
รานองก็นึกไม่ออก หนักใจไม่แพ้กัน
จะเด็ดกับมังตรายังคงนั่งร้องไห้อยู่ข้างมหาเถร
“อาตมาอยากจะฝากสิ่งที่อาตมารักแก่พระองค์ไว้”
“สิ่งใดที่พระอาจารย์รัก สิ่งนั้นข้าพเจ้าจะถนอมไว้ด้วยชีวิต”
มหาเถรยกมือให้จะเด็ดเข้ามาใกล้ๆ
“มหาบพิตรให้สัตย์แก่อาตมาเมื่อใกล้ตาย ถือเป็นสัจจะวาจากตัญญูยิ่ง จะเด็ดผู้นี้คือสิ่งที่อาตมารักที่สุด เบื้องหน้าอย่าให้อารมณ์พิโรธลุก ขึ้นวูบวาบเผาผลาญคำสัตย์ที่ให้ไว้แก่อาตมา ได้”
“จะเด็ดนี้คือพี่ร่วมนม ข้าพเจ้าถือเป็นพี่แท้ของข้าพเจ้า พระอาจารย์อย่ากลัวข้าพเจ้าเปลี่ยนคำเลย”
“สิ่งรักของอาตมานี้ แท้แล้วก็รักเพื่อพระเจ้ามังตราเมืองตองอูเอง จะเด็ด” จะเด็ดเช็ดน้ำตาหันมาฟัง “คำสาบานที่ให้ไว้แก่เราในโบสถ์กุโสดอเมื่อยังเล็ก จำไว้แม่นอยู่ไม๊”
“ความใดพระคุณเจ้าสั่ง เหมือนเหล็กสักติดกระหม่อมกำกับตัวจนตาย ข้าพเจ้าจะไม่ขอทำกาลีจิตคิดแย่งเศวตฉัตรพระเจ้ามังตราอย่างเด็ดขาด”
จะเด็ดหันไปกราบมังตราสูงสุด มังตรารีบจับไว้ แล้วกอดกันร้องไห้
“มังตรา จะเด็ด” ทั้งคู่รีบคลานเข้ามาหามหาเถร “หากอาตมาสิ้นลมแล้ว ยังถืออาตมาเป็นมิ่งขวัญ อาตมาอนุญาตให้เอาเถ้ากระดูกบรรจุด้ามอาวุธประจำตัว”
มังตรากับจะเด็ดก้มกราบมหาเถรอีกครั้ง
“พระเจ้าแปรเสด็จ”
เสียงทหารดังเข้ามา มังตราหันไปตามเสียงแล้วผลุนผลันออกไป
จะเด็ดจะตามไปแต่เป็นห่วงมหาเถร มหาเถรพยายามจะเรียกไว้ แต่หมดแรง เหมือนจะสิ้นลม
รานองนำเสด็จพระเจ้านรบดีจะขึ้นบันใดกุฏิมา ทุกคนถวายบังคม
มังตราเสด็จออกมาขวางไว้ พระเจ้านรบดีพยายามตั้งพระสติมั่น
“พระเจ้าหลานมังตรา นับเป็นเกียรติยศยิ่งที่เสด็จแผ่นดินอา ทำไมไม่ให้ม้าเร็วเอาข่าวมาแจ้งก่อน อาจะได้จัดรับหลานให้สมพระเกียรติ”
“ข้าพเจ้ามาในฐานะสานุศิษย์มหาเถรมังสินธู พระอาจารย์ข้าพเจ้ามาอยู่ไกลตา สิ้นคนใส่ใจระวัง จนถูกไอ้คนชั่วช้าหงสาลอบทำร้าย ข้าพเจ้าจึงอยากมาเห็นการณ์นี้ให้ชัด ไม่ได้มาโดยตำแหน่งพระเจ้าตองอูให้เป็นเกียรติยศแก่แผ่นดินแปรดอก”
“พระคุณเจ้ามังสินธู มาถูกลอบทำร้ายในแผ่นดินอานี้อาเสียใจอย่างที่สุด หากรักษาพระคุณเจ้าเป็นปกติแล้วจะให้อาทำการใดทดแทนอาจะทำ”
“มังตราน้องท่าน พระอาจารย์ดับสังขารแล้ว” จะเด็ดร้องบอก มังตราตกใจรีบกลับเข้าไป
พระเจ้านรบดียืนตะลึงกลัวเป็นเรื่องใหญ่
“พระอาจารย์ พระอาจารย์มาทิ้งข้าพเจ้าไปเสียแล้ว ไอ้ไขลู กูขอสาบาน กูจะเลาะเอากระดูกมึงมาเผาศพพระอาจารย์ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้อย่างปาก กูขอเกิดเป็นคนแค่ชาตินี้ชาติเดียว กูสาบาน”
เสียงมังตราที่ดังออกมาทำให้พระเจ้านรบดียืนฟังขนลุกไปทั้งตัว หันไปมองรานอง รานองไม่พูดอะไร แต่รู้ว่าหนักใจมาก
สอพินยาเสด็จมากับเหล่าทหารตรงมาที่ไขลูนั่งรออยู่กับผู้คุมหงสาวดี ไขลูพอเห็นสอพินยาก็ร้องไห้ฟูมฟายทรุดลงกราบพระบาท สอพินยาประคองขึ้นมากอดด้วยความคิดถึง
“เป็นพระมหากรุณายิ่งที่ทรงโปรดให้ชีวิตข้าพเจ้าได้กลับมาเยือนแผ่นดินแม่อีกครั้ง พระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าเกิดใหม่แท้ๆ”
“ข้าพเจ้าขาดท่านไปเหมือนถูกตัดแขนขาทิ้ง จะทำการใดไม่มีผู้เห็นชอบด้วยเลย”
ไขลูตบหลังสอพินยาเหมือนเด็กๆ ด้วยความรัก แล้วแยกตัวออก
“ข้าพเจ้ามีเรื่องร้อนใจที่จะกราบทูล”
“ท่านปลอดภัยแล้ว อย่าระแวงอันใดอีก”
“ข้าพเจ้าได้สังหารขรัวเฒ่ามังสินธู แต่ข้าพเจ้าพลาดทำให้พวกมันรู้ว่าเป็นข้าพเจ้าลอบเข้าไป คงทำให้พระเจ้าตะเบงชะเวตี้กับบุเรงนองมันแค้นใจหงสาวดีอย่างสาหัส ป่านนี้มันคงเร่งทหารตองอูมาอยู่เต็มเมืองแปรแล้ว แปรคงยอมร่วมมือกับตองอูบุกหงสาวดีเร็วๆ นี้แน่” สอพินยาดีใจ
“ท่านจะวิตกทำไม มันไม่เป็นการดีต่อข้าพเจ้าหรือ ที่จะได้ถือเป็นเหตุกราบทูลสมเด็จพี่ ที่จะได้นำทัพหงสาวดีบุกขยี้ล้างแค้นตองอูกับแปรในคราวเดียว”
วันต่อมา จะเด็ดหน้าเครียดเดินออกมาจากอาคารโรงทหารกับรานองที่ท่าทางหนักใจ ตรงไปที่โรงช้าง ที่จาเลงกาโบกำลังจัดกองกำลังช้างอยู่ รานองพยายามอธิบายขอความเห็นใจจากจะเด็ด
“อาหมายมาร่วมเป็นกองเร่งเสบียงนี้ ก็เพื่อจะลบรอยหมองที่ตองอูมีแก่แปร อยากให้ท่านกราบทูลพระเจ้ามังตราให้เข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้านรบดีด้วย”
จะเด็ดหยุดเดินหันมามองรานองอย่างหนักใจ
“ข้าพเจ้าเข้ามาเป็นเขยในราชวงศ์แปรแล้ว การนี้แม้ข้าพเจ้าจะเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของพระองค์ แต่ก็มิรู้จะช่วยเพ็ดทูลอย่างไร พระเจ้ามังตราจะเห็นว่าข้าพเจ้าพูดเข้าข้างญาติฝ่ายเมียถ่ายเดียว” รานองนิ่งเสียใจ จะเด็ดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาจาเลงกะโบ “ข้าพเจ้าขอให้จาเลงกาโบพี่ท่านเป็นแม่กองจัดเตรียมเสบียง โดยมีพระอุปราชรานองเป็นแม่กองอาสา มาช่วยทหารตองอูเกี่ยวข้าวด้วย” จาเลงกาโบหันมองไปที่รานอง รานองมองอย่างกล้ำกลืน ขอความเห็นใจ “ข้าพเจ้าขอให้เร่งเสบียงให้พอปรนทัพไปหงสาวดีให้ได้ภายใน 15 วัน เมื่อกองเสบียงพร้อมเราจะบุกไปหงสาวดีทันที ข้าพเจ้าช่วยอาท่านได้เท่านี้”
จะเด็ดพูดจบเดินออกไป จาเลงกาโบมองรานองนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร รานองรู้ว่ามังตราแค้นหงสาวดีมาก และต้องหาทางให้มังตราลดความแค้นแปรลงให้ได้
มังตราประทับดื่มน้ำจัณฑ์อยู่ด้วยความเสียพระทัย มีมหาดเล็กตองอูถวายงานอยู่ใกล้ๆ พระอัครเทวีเสด็จนำอเทตยา และเหล่านางข้าหลวงเข้ามา มังตราประทับนิ่งยังโกรธแปรอยู่
“เชิญท่านอา”
“มาประทับในอุทยาน คงจะสำราญพระทัยยิ่งกว่าในพระอารามหลวงอาเองก็อยากจะได้ถวายต้อนรับให้เต็มกำลัง”
“ความสุขข้าพเจ้าอยู่ที่ตองอู อาท่านอย่ากังวลเลยว่าข้าพเจ้าหมายจะอยู่แปรให้เป็นสุข” พระอัครเทวีหน้าเสีย
“เพลานี้หลานท่านจัดทัพพร้อมสิ้นหรือยัง”
“แม่ทัพบุเรงนองกำลังจัดการอยู่ หากกระบวนทัพพร้อมเสร็จข้าพเจ้าจะมุ่งล้างหงสาวดีทันที”
“ฉะนั้นระหว่างรอจัดกระบวนทัพ โปรดประทับให้พระเกษมสำราญเถิด นี่อา...ก็จะให้อเทตยาหลานหลวง มาคอยปรนิบัติอยู่ใกล้ๆ ถ้าน้องอเทตยาทำอะไรมิถูกพระทัย ขอหลานได้โปรดสั่งสอนน้องด้วย”
มังตราหันไปมองอเทตยา อเทตยากราบ แล้วเงยมองมังตราด้วยความกลัว เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาว่าดุมาก
มังตราสบตาอเทตยาแล้วความโกรธหายไปทันที
“ขอบใจน้องท่านที่จะมาอยู่ดูแล”
อเทตยาและเหล่าข้าหลวง รีบเชิญสำรับของหวานและผลไม้ไปวางข้างๆ มังตรา มังตราจ้องมองอเทตยาไม่วางตา
อเทตยาอายก้มหน้านิ่ง พระอัครเทวียิ้มพอใจ
อ่านต่อตอนที่ 23