คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 9
คุณหญิงศรีนอนฟุบนิ่งมือจับมือศุกลไว้ เมี้ยนลากน้อยถูลู่ถูกังมาถึงทั้งตบทั้งตี น้อยร้องโอดโอยครวญครางมาตลอดทาง
“มึงมันเลวทรามนัก มึงจะฆ่าคุณหญิง ฆ่าคุณหนู แถมแม่ดากับเดือนด้วย กูจะฆ่ามึงให้ตายอย่างทรมานให้สาสม”
เมี้ยนมองไปเห็นร่างคุณหญิงนอนฟุบอยู่ใกล้ศุกล เมี้ยนหวีดลั่น
“คุณหญิงของบ่าว”
เมี้ยนเหวี่ยงน้อยโดยแรงเซกระเด็นไป แล้วผวาไปหาคุณหญิงศรี
“คุณหญิง โธ่”
เมี้ยนร้องไห้โฮๆ คุณหญิงศรีปรือตามมองเมี้ยน
“เมี้ยน นายตายแล้ว น้องฉันตายแล้วไอ้ผัวสารเลวมันสั่งฆ่าน้องชายฉัน”
“นังน้อยเจ้าค่ะ นังน้อยตัวการมันเผาเรือนคุณหญิง”
“พริสซิลล่า ลูกฉันลูกฉัน”
“ท่านเจ้าคุณไปช่วยแล้วเจ้าค่ะ ไปเจ้าค่ะ ไปกับบ่าว กลับไปที่เรือน”
“ไม่ ไม่ไปไม่กลับไป”
“ถ้าเช่นนั้นกลับบ้านท่านเจ้าสัว เมี้ยนเห็นรถจอดรอคุณศุกลอยู่เจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ คุณเตี่ยกับแม่ทั้งสองทนไม่ได้แน่”
“ถ้าเช่นนั้น...”
“ฝังศพนายไว้ที่นี่ ฉันจะกลับมาอีกถ้าฉันไม่ตายเสียก่อน”
สองคนพูดกัน เมี้ยนพยายามจะช่วยคุณหญิงศรี น้อยคลานมาถึงเสียม เอาเสียมยันตัวยกเสียมขึ้นจะตีเมี้ยน
“อีเมี้ยน มึงตายเสียเถิด”
เมี้ยนหันไปเอามือรับเสียมแล้วกระชากเอาน้อยเซลงมาแทบเท้าคุณหญิงศรี เมี้ยนโดดมาเหยียบหลังน้อยกดไว้
“มึงกราบตีนคุณหญิงสารภาพผิดเดี๋ยวนี้อีสารเลว อีนังคนชั่ว”
“บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวสมคบกับท่านเจ้าคุณฆ่าคุณศุกล บ่าวเผาเรือน คุณหญิงหมายจะให้ไฟครอกตายเจ้าค่ะ”
“ดี กูจะฟันมึงให้ตายด้วยเสียมนี่”
“พอที ไม่มีการฆ่ากันอีกแล้ว นังน้อย แกยังยกเสียมไหว แกขุดหลุมฝังน้องฉันสิ”
“คุณหญิง”
“ฉันไม่ต้องการมีเวรมีกรรมกับใคร ใช้ให้มันขุดหลุมฝังน้องฉัน”
“แกได้ยินแล้วก็ยกเสียมมาช่วยฉันสินังสารเลว”
น้อยพยุงตัวมายกเสียม ขุดหลุม เมี้ยนแทบจะอุ้มคุณหญิงศรีเอาไปพิงต้นไม้ฉีกผ้ามาพันมาซับหน้าทำไปร้องไห้ไป
คุณหลวงหมออดุลย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้เจ้าคุณ
“ดีขึ้นแล้วขอรับคุณสะบันงา คือท่านช็อคขอรับ”
“ขอบคุณมากค่ะ เอ้อ กรุณาอย่าเรียกฉันว่าคุณและพูดขอรับกับฉัน”
“เอ้อ ท่านสั่งกระผมเอาไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนที่กระผมมาตรวจอาการคุณหญิงขอรับ”
“ใช่ ฉันสั่งหมอเอาไว้เอง”
“ท่านอาการดีขึ้นแล้ว ดิฉันจะพาคุณหมอไปดูคุณหนู เธอสำลักควันไฟค่ะ เชิญค่ะคุณหมอ”
“รีบไปเถิด ฝากดูด้วยนะคุณหลวงหมออดุลย์”
สะบันงาพาคุณหลวงหมออดุลย์ออกไป เจ้าคุณรีบลุกพรวด
“ศรี ศรี...”
เจ้าคุณจะไปดูคุณหญิงศรี
ศพศุกลถูกฝังไปแล้ว
“นาย พี่ขอโทษ ชาติหน้านายเกิดมาเป็นน้องพี่อีกครั้ง พี่จะไม่ทำให้นายเสียใจเด็ดขาด พี่รักนายมากที่สุด”
“รีบไปเจ้าค่ะ แผลคุณหญิงต้องได้รับการรักษาด่วนมากเจ้าค่ะ”
สองคนประคับประคองกันออกไป น้อยหมดแรงนั่งคอตก ยับเยินไปทั้งตัว ซังกับเหมาะค่อยๆโผล่มาจากหลังพุ่มไม้
“ไปกันหมดแล้ว เหลือแต่นังน้อย”
“มันต้องจ่ายเงินให้เรา ไปทวงมัน”
สองคนปรี่หา น้อยตกใจ
“พวกแกทำงานพลาด”
“เราต้องการเงิน”
น้อยส่ายหน้า
“ไม่มี ไม่ให้”
“กูต้องการตัวมึงด้วย”
สองคนช่วยกันค้นตัวน้อย แล้วเจออะไรเอามาหมด
“อย่าๆ”
สองคนไม่ฟังกระชากลากทึ้งทุบตีข่มขืน
คุณหลวงหมออดุลย์ ดูอาการพริสซิลล่าเรียบร้อย ดากับเดือนนั่งน้ำตานองหน้า
“อ่อนแอมากขอรับ ยังโชคดีที่พ้นออกมาได้ก่อนที่จะสูดควันมากกว่านี้” คุณหลวงหมออดุลย์บอก
สะบันงาโล่งใจ
“ต้องขอบคุณแม่ดา กับเดือนค่ะ สองคนพาคุณหนูมาเปิดหน้าต่างยืนรอให้คนไปช่วย โชคดีที่ด้านนั้นไฟไปถึงเพียงเล็กน้อย ขอบคุณมากนะแม่ดา” สะบันงาไหว้ดา
ดาตกใจ
“ไม่ต้องค่ะ คุณสะบันงา ไม่ต้องไหว้ฉัน”
สะบันงาหันไปยิ้มกับเดือน
“ขอบใจมากนะเดือน”
“ค่ะ”
“อย่าลืมขอบคุณตัวเองนะขอรับ คุณสะบันงาอายุแค่สิบเจ็ด แต่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆได้เหมือนคนอายุสามสิบเศษ เอ๊ะ กระผมไม่เห็นคุณหญิง...”
สะบันงาหน้าเสีย
“เอ้อ ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ เชิญค่ะ นายบุญรอไปส่งแล้วค่ะ”
คุณหลวงหมออดุลย์พอรู้ว่าพูดอะไรออกไปที่ไม่เหมาะ แม้สนิทกับบ้านนี้ จึงเงียบ
คนรถตกใจมาก เมื่อเมี้ยนประคองคุณหญิงศรีในสภาพบาดเจ็บมา
“ยัยเมี้ยน นั่น นั่น...”
“คุณหญิงบาดเจ็บสาหัส”
“ไหนคุณศุกล”
“อย่าพูดมาก รีบมาช่วยกันพาคุณหญิงท่านไปหาหมอ”
คุณหญิงศรีร้องบอก
“ไม่เอาหมออดุลย์”
“เจ้าค่ะ”
คนรถช่วยอุ้มคุณหญิงศรีใส่รถ
ซังกับเหมาะช่วยกันลากร่างน้อยที่ตายแล้ว ออกไปพ้นจากตรงนั้น
“เอามันไปฝังที่ไหนดี”
“ไปฝังนอกเขตบ้านหลังนี้”
“อีน้อยมันหลอกเราทั้งเพ เกือบจะโดนจับเข้าคุก เงินทองก็ไม่ได้ครบตามจำนวน”
“สมแล้วที่ทำกับมันจนสาสม”
สองคนลากน้อยหายลับไป เจ้าคุณเดินอ่อนแรงเข้ามาที่เกิดเหตุ ส่ายตาหาคุณหญิงศรี
“ศรี เมี้ยน ศรี เมี้ยน”
เจ้าคุณว้าวุ่นตามหาสองคน
“ศุกลด้วย เขาหายไปไหน ศพเขาหายไปไหน ใครเอาศพเขาไป”
เจ้าคุณนั่งแปะหมดแรง หาสองคนไม่พบ เจ้าคุณกุมขมับ
“ศรีตายหรือเปล่า ศรีต้องไม่ตาย ใครพาศรีไปไหน ขอให้เป็นเมี้ยนขอให้เมี้ยนช่วยศรีไว้ได้ด้วย”
เจ้าคุณเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
สะบันงากลับมาเรือน ในห้องไม่มีเจ้าคุณ
“ท่านเจ้าคุณหายไปไหน”
สะบันงาคิด
“ไปตามคุณหญิง จริงสิ ท่านไปตามหาคุณหญิงแน่ๆ”
สะบันงากลับออกไปอีก
ในครัว ทั้งหมดยังจับกลุ่มกันอยู่ พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“น้อยหายไปไหน ใครเห็นน้อยบ้าง” กุ๊กเพ้งสงสัย
“ไม่เห็น” คนอื่นๆพากันส่ายหน้า
“ไอเห็นตอนหัวค่ำ น้อยถือตะเกียงลานเดินไปทางเรือนคุณหญิง” โรเบิร์ตบอก
ทองหยอดนึกได้
“แล้วหายตัวไปจนบัดนี้ นังน้อยนี่แหละตัวเผาเรือนคุณหญิง”
“นังสารเลว”
ทุกคนฮือฮา
สะบันงาเดินหาคุณหญิงศรี จนถึงหน้าครัวได้ยินคำพูดพวกในครัว ตื่นเต้นมาก
“น้อยเผาเรือนคุณหญิงจริงๆหรือนี่ ช่างใจร้ายเหลือเกิน คุณหญิงพูดถูก ว่าอย่าไว้ใจน้อย”
สะบันงาจะเดินออกไปต่อได้ยินเสียงพูดอีก มาในครัว
“แล้วคุณหญิงหายไปไหน มีใครเห็นท่านบ้าง”
“ไม่เห็น”
“นั่นสิ คุณหญิงหายไปไหน นังน้อยก็หายไปด้วย คุณเมี้ยนก็เงียบไปอีกคน”
“ตอนหัวค่ำ ไอเห็นคุณศุกลมาที่นี่”
“หา” ทุกคนตกใจ
โรเบิร์ตเล่าต่อ
“ไอเห็นเขาเดินมาหยุดที่ซุ้มดอกไม้เรือนคุณหญิง ไอเข้าใจว่าเขามาหาคุณหญิง”
ทุกคนแปลกใจ
“แล้วตอนนี้คุณศุกลไปไหน”
“คุณศุกลมาที่นี่หรือ แล้วเขาหายไปไหน ทำไมทุกคนหายไปไหนกันหมด”
สะบันงาแปลกใจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเดินหาคุณหญิงศรีจนทั่วจนมาถึงซุ้มดอกไม้และจะมาดูว่าศุกลมาที่นี่ทำไม
“คุณศุกลมาที่นี่ทำไม ถ้าเช่นนั้น ที่ท่านเจ้าคุณเรียกเรามาดูที่หน้าต่างนั่น คงเป็นเพราะเห็นเขา คงคิดว่าเรานัดกัน แต่กลับกลายเป็นคุณหญิงลงมาที่นี่ คุณหญิงลงมาทำไม ถ้ามาหาคุณศุกล ทำไมคุณศุกล ไม่ขึ้นไปหาคุณหญิง อุ๊ย”
สะบันงาเหยียบไปบนกองเลือด ตกใจก้มลงไปมองเห็นกองเลือดตกใจมาก
“เลือด เลือดคุณหญิง โธ่ หรือว่าเลือด...”
สะบันงาคิดว่าเป็นเลือดศุกลก็ใจเสีย เธอก้มลงไปสำรวจมองแล้วมองอีก เจ้าคุณเดินโผเผกลับมา เห็นสะบันงามาที่น้อยบอกว่าสะบันงานัดศุกลไว้
“มาหาอะไร มาหาใครหรือ”
ทันใดงูตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนซุ้มไม้ก็ตกลงมาตรงหน้าสะบันงา
“อ๊าย” สะบันงีกรีดร้องอย่างตกใจ
“สะบันงา”
งูเองก็ตกใจเลื้อยหนีไป แต่สะบันงาหมดสติไปแล้ว เจ้าคุณโอบอุ้มประคองไว้
เจ้าคุณดูแลสะบันงา คอยพยาบาลดูแลอย่างทะนุถนอม บีบนวดพัดวี มองหน้าอย่างหลงรัก คุณหญิงสะบันงาลืมตาเห็นหน้าเจ้าคุณชิดหน้าตนเองมองห่วงใย และยิ้มเมื่อเห็นเธอลืมตา
“สะบันงาฟื้นแล้ว”
“คุณหญิงเล่าคะ ดิฉันตามหาคุณหญิงไม่พบ พบแต่เลือดค่ะ เลือดของคุณหญิงหยดเป็นทางไปทางหลังบ้าน”
“ฉันไปหาแล้ว ไม่พบคุณหญิง ไม่พบเมี้ยน หายไปกันหมด แปลกเหลือเกิน”
“หรือว่าคุณหญิงไปบ้านท่านเจ้าสัวคะ”
“จริงสิ”
ในใจเจ้าคุณอยากรู้ว่าศรีตายหรือเปล่า สะบันงาหนาวสั่นใจคอไม่สบาย เจ้าคุณโอบกอดไว้
“ดิฉันกลัว ดิฉันเป็นห่วงคุณหญิง เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับท่านค่ะ”
“ฉันก็เช่นกัน ห่วงคุณหญิงมาก แต่ก็เบาใจ ที่มีเมี้ยนอยู่ด้วย สะบันงาไม่ต้องตกใจนะ เมี้ยนจะปกป้องคุณหญิงได้”
“ค่ะ เอ้อ...เอ้อ...”
สะบันงา อยากจะถามถึงศุกลก็ไม่กล้า
“พรุ่งนี้ฉันจะส่งคนไปสอบถามหาคุณหญิงที่บ้านท่านเจ้าสัว”
“ค่ะ”
เจ้าคุณดึงสะบันงามาแนบอก แล้วจับให้นอน
“วันนี้พบเหตุการณ์ล้วนเลวร้ายมากมาย นอนหลับให้สบายนะคนดี”
สะบันงาส่ายหน้า
“หลับไม่ลงหรอกค่ะ ตราบใดที่ยังไม่ทราบว่าคุณหญิงปลอดภัยหรือเปล่า”
“รักคุณหญิงมากนักหรือ”
“ค่ะ ท่านไม่ใช่แม่ก็เปรียบเหมือนแม่ ดิฉันมีแต่ท่านตลอดมา ยังไม่มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่านสักครั้ง”
“มีสิ ช่วยเลี้ยงพริสซิลล่าให้คุณหญิง”
สะบันงามองหน้าเจ้าคุณ
“เอ๊ะ ทำไมท่านพูดราวกับว่าคุณหญิงจะไม่กลับมา”
เจ้าคุณนึกได้
“เอ้อ คือฉันหมายความว่า คุณหญิงอาจจะพอใจกลับไปอยู่ที่บ้านท่านเจ้าสัว”
สะบันงาพยักหน้ารับ เจ้าคุณแอบถอนใจ
โรงพยาบาลเอกชนฝรั่งแห่งหนึ่ง...คุณหญิงศรีโดนวางยาสลบนอนนิ่งบนเตียงในห้องฉุกเฉิน เมี้ยนยืนมองน้ำตาไหลพราก
“คุณหญิงของเมี้ยน”
หมอชะงัก
“คุณหญิงหรือ”
เมี้ยนรีบแก้
“เอ้อ คือ...คือ ชื่อหญิงค่ะ ไม่ใช่คุณหญิงตราตั้งหรอกค่ะ”
“อ้อ...นิ้วเท้าของคุณหญิงคนนี้ โดนฟันขาด ต่อไปคงจะเดินปกติไม่ได้”
“โธ่” เมี้ยนสงสารจับใจ
“ใบหน้าก็โดนตีจนยุบไปแถบหนึ่ง ดวงตาข้างที่โดนตี อาจบอดได้”
“โถ”
เมี้ยนร้องไห้เหมือนเด็กๆ
“แต่ที่ดีที่สุดคือเธอรอดชีวิต แม้จะเสียเลือดไปมาก เธอปลอดภัยแล้ว”
เมี้ยนพอยิ้มทั้งน้ำตาออกมาได้
วันใหม่...เจ้าสัวเส็ง คุณนายใหญ่ คุณนายน้อย วิตกกังวลมาก
“ศุกลไม่กลับมาบ้านแล้วไปไหน ในเมื่อคนขับรถกลับมาแล้ว” เจ้าสัวเส็งถามอย่างว้าวุ่นใจ
คุณนายใหญ่ไม่สบายใจ
“ถามคนขับรถมันก็บอกว่าศุกลไปเยี่ยมคุณหญิง ยังไม่ออกมาจากบ้านนั้น มันดูอึกอักยึกยักพิกล”
“มันปิดบังอะไรไว้แน่ๆ” คุณนายน้อยครุ่นคิด
กิมเฮียงนำนายบุญที่หน้าตาจ๋อยเข้ามา นายบุญมาไหว้สามคน
“คนขับรถบ้านคุณหญิงเจ้าค่ะ”
เจ้าสัวเส็งหันไปถาม
“มีอะไร คุณหญิงให้มาหรือ”
“มิได้ขอรับ คุณสะบันงาให้มาขอรับ”
คุณนายใหญ่อึ้งๆ
“ต๊าย ตอนนี้มันเป็นคุณสะบันงาไปแล้วหรือ”
คุณนายน้อยหมั่นไส้
“ก็เขาเป็นภรรยาท่านเจ้าคุณแล้วนี่คะ โชคดีของศุกลที่พ้นมันไปได้”
เจ้าสัวเส็งเกลียดชัง
“โชคร้ายของคุณหญิง เด็กนั่นมันเหมือนตัวมารของลูกเรา หลุดจากศุกล มันก็ไปแย่งผัวคุณหญิงลูกเรา ว่ามานายคนขับรถนายแกเขาสั่งมาว่าอะไร”
“ท่านฝากจดหมายของท่านเจ้าคุณมาให้ขอรับ”
นายบุญส่งจดหมาย เจ้าสัวเส็งรับมาเปิดอ่านแล้วหน้าเสีย สองคุณนายรีบถามพร้อมกัน
“เขาว่าอะไรคะ”
ยังไม่ทันที่จะตอบกิมฮวยเดินนวยนาดเข้ามาอีกคน กิมฮวยกระซิบเจ้าสัว
“ยัยเมี้ยนรอพบที่ห้องด้านโน้นเจ้าค่ะ บอกว่ามีเรื่องจะกราบเรียนเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ”
สามคนมองหน้ากัน
ในห้องรับรองอีกห้องบ้านเจ้าสัวเส็ง...เมี้ยนน้ำตานองหน้า
“คุณหญิงให้เมี้ยนมาส่งข่าวเรื่องคุณศุกลเจ้าค่ะ”
สามคนสีหน้าแปลกใจเริ่มวิตก คุณนายใหญ่ถามทันที
“มีอะไรหรือ”
เมี้ยนหน้าสลด
“เอ้อ คุณหญิงกับคุณศุกล โดนคนเลวรุมทำร้ายเจ้าค่ะ”
สามคนตกใจ
“อะไรนะ”
คุณนายใหญ่ช็อก
“ศุกลลูกแม่”
คุณนายเล็กตกใจ
“คุณหญิงของแม่”
“ว่าต่อไปสิ” เจ้าสัวบอกอย่างร้อนใจ
“เอ้อ คุณหญิงบาดเจ็บสาหัส อาจถึงขั้นพิการเจ้าค่ะ”
คุณนายน้อยลมใส่ทันที
“คุณหญิงของแม่”
เจ้าสัวเส็งรับไว้
“แล้วอย่างไรต่อไป”
“คุณศุกล ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเจ้าค่ะท่านก็เลย...เลย...”
“ศุกลลูกแม่”
คุณนายใหญ่ลมใส่ไปอีกคน เจ้าสัวเส็งนิ่งอึ้งตะลึงไป
“ศพของศุกลอยู่ที่ไหน”
“คุณหญิงท่านจัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านขอร้องว่า ถ้าสงสสารเมตตาท่านและคุณศุกล กรุณาอย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้ใครทราบเจ้าค่ะ เพราะมันมาจากสาเหตุที่ไม่งามนักเจ้าค่ะ”
“ฉันจะไปเยี่ยมคุณหญิง” เจ้าสัวเส็งบอกอย่างเป็นห่วง
“ท่านฝากมาขอร้องว่าไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ อย่าบอกว่าท่านคือใครเจ้าค่ะ ท่านอับอายเสียใจมากจนไม่ต้องการให้ใครพบเจอ ตอนนี้ท่านเสียโฉม ท่านเคยสวยงามมากนี่เจ้าคะ”
เจ้าสัวเส็งน้ำตาคลอ เมี้ยนน้ำตาไหลก้มลงกราบ
“บ่าวสัญญาเจ้าค่ะ ว่าจะดูแลคุณหญิงไม่ทิ้งขว้าง จนกว่าชีวิตบ่าวจะหาไม่เจ้าค่ะ บ่าวจะเป็นคนกลางมาติดต่อเรื่องราวให้ทราบเป็นระยะเจ้าค่ะ”
เจ้าสัวเส็งยังคงนิ่งช็อคมาก ภรรยาทั้งสองฟื้นแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญเรียกหาลูกของตนเองไปมา
สะบันงาน้ำตาคลอเจ้าคุณปลอบ
“คุณหญิงไม่ได้กลับไปบ้าน โธ่ แล้วคุณหญิงหายไปไหนไร้ร่องรอย พี่เมี้ยนพบคุณหญิงแล้วพาคุณหญิงไปไหนกัน”
“อีกสักพักคงได้ข่าวจากเมี้ยน คนดี อย่ากังวลเลยนะ”
สะบันงาส่ายหน้าหนักใจไม่เลิก ส่วนเจ้าคุณร้อนอกร้อนใจ และร้อนตัวไม่หาย เพราะเป็นต้นเหตุ เจ้าคุณครุ่นคิดในใจ
‘หรือว่าศรีตายไปแล้ว เมี้ยนเอาศพไปจัดการ แล้วพาลหายไป’
“มันแปลกที่น้อยก็หายเงียบไปด้วยอีกคน” สะบันงาสงสัย
“หายไปน่ะดีแล้ว นางคนนี้เป็นตัวบ่อนทำลาย ขออย่าให้มันกลับมาอีกเลย โกทู เฮล เหมาะที่สุด”
“ดิฉันไม่อยากให้ใครตกนรกหรอกค่ะ”
“สะบันงาดีงามเกินไป ไม่เคยคิดจะแก้แค้นตอบแทนคนที่มาคิดร้ายทำร้ายตัวเองบ้างหรือ”
“ดิฉันขอเลือกวิธีผูกมิตรค่ะ ถ้าสำเร็จ ก็เป็นผลดี ถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้ เลวร้ายไปกว่าเดิมเพราะเราไม่คิดทำร้ายตอบเขาค่ะ”
“สะบันงาต้องการผูกมิตรกับศัตรู โน อิมพอสสิเบิ้ล”
“หมายความว่าท่านเจ้าคุณชอบแก้แค้นศัตรูหรือคะ”
เจ้าคุณอึ้งไป ภาพศุกลนอนจมกองเลือดตายแว่บเข้ามา...เจ้าคุณดูขรึมไปแล้วภาพของคุณหญิงศรีที่นอนเลือดโทรม ด่าเจ้าคุณก็แว่บเข้ามาอีก
“ไอ้คนเลว มึงสั่งฆ่าน้องกู”
เจ้าคุณถอนใจ
“บางทีสะบันงาอาจพูดถูก ผลของการแก้แค้นมันเสียหายมากมายนัก”
เจ้าคุณถอนใจ
หกเดือนผ่านไป...เจ้าคุณประกาศให้ทุกคนรู้ว่าสะบันงาคือภรรยาของเขา สะบันงาถูกเรียกว่าคุณหญิงสะบันงา เธอไม่ต้องการให้ใครเรียกอย่างนั้น แต่ไม่อาจปฏิเสธความจริงในสังคมได้ เพราะเวลานี้เธอคือภรรยาคนเดียวของเจ้าคุณ
แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่คุณหญิงสะบันงายังไม่เลิกห่วงคุณหญิงศรี
“คุณหญิงขา ไปอยู่ที่ไหนหรือคะสะบันงาห่วงท่านเหลือเกิน”
เจ้าคุณเดินยิ้มย่องเข้ามากอดมาหอมแก้ม
“ชื่นใจ ฉันมีอะไรจะบอกสะบันงาด้วยนะ ฉันมีข่าวดีมากๆ”
“ข่าวดีอะไรคะ พบคุณหญิงแล้วหรือคะ”
“ฉันลาออกจากราชการแล้ว”
“หรือคะแล้วดีอย่างไรคะ”
“ต่อไปนี้จะได้อยู่กับสะบันงาตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำ”
“แหม...เอ้อ ไม่เบื่อหรือคะ”
“ชาตินี้ไม่มีวันเบื่อ อยากเห็นหน้า คุณหญิงสะบันงาตลอดเวลา”
“อะไรกันคะ...มาเรียกดิฉันว่าคุณหญิงทำไมกัน”
“เพราะว่าตอนนี้สะบันงาเป็นภรรยาเอกของฉัน ดังนั้นสะบันงาคือคุณหญิงของฉัน”
“ที่นี่มีคุณหญิงเพียงคนเดียว คือคุณหญิงศรีค่ะ”
“หกเดือนผ่านไปแล้ว ทุกคนมั่นใจว่าศรีตายแล้ว เหมือนกับที่ทางบ้านโน้นคิดว่าน้องชายเขาก็ตายแล้วเช่นกัน”
“ดิฉันไม่เชื่อหรอกค่ะ ทำไมตายเงียบเชียบ ไม่มีการทำพิธี ไม่มีการบอกกล่าวใคร ดิฉันมั่นใจว่าท่านจะกลับมา ดังนั้นอย่าให้ใครในบ้านเรียกดิฉันว่าคุณหญิงเลยค่ะ”
“แต่คนนอกบ้าน เขาต้องเรียกสะบันงาว่าคุณหญิงสะบันงาคนสวยของท่านเจ้าพระยาสมิติภูมิกันทั้งนั้น”
“ดิฉันไม่อยากเป็นคุณหญิงจริงๆนะคะ”
“แต่ก็เป็นไปแล้วโดยอัตโนมัติ”
เจ้าคุณดึงคุณหญิงสะบันงามาโอบกอดไว้
“ฉันอยากมีลูกกับคุณหญิงสะบันงาสักห้าหกคน”
“ดิฉันจะลงไปดูเขาทำอาหารในครัวให้ทั้งคุณหนูและท่านค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาเบี่ยงตัวมาจากอ้อมกอดแล้วเดินแยกไป เจ้าคุณมองตามถอนใจ
“ฉันไม่ควรคิดแก้แค้นโต้ตอบศุกลเพียงแค่รั้งสะบันงาเอาไว้ก็เพียงพอ ศรีจึงต้องพาลมีอันเป็นไปด้วย ศรีอภัยให้ฉันด้วย”
คุณหญิงสะบันงาเดินไปจะถึงหน้าครัว ต้องชะงักจากเสียงในครัวคุยกัน เสียงทองหยอดดังมา
“บ้านเรามีคุณหญิงคนใหม่ คุณหญิงสะบันงา ช่างวาสนาดีแท้ๆ”
“ดูท่าทางเห็นว่าคุณหญิงสะบันงา ไม่อยากเป็นคุณหญิง” โรเบิร์ตออกความเห็น
กุ๊กเพ้งสงสัย
“นี่หมายความว่าคุณหญิงศรีจะไม่กลับมาแล้วจริงๆหรือ แปลกประหลาดแท้ๆ”
“ก็แปลกน่ะสิ คนหายไปคืนเดียวกันสามคน ฉันไปที่ปากซอยไปเจอคนสวนบ้านใหญ่ข้างหน้ามันบอกเขาลือกันว่า คุณหญิงสะบันงาฆ่าคุณหญิงศรีหมกป่า เพื่อจะตั้งตัวเป็นใหญ่เสียเอง บัดซบแท้ๆปากคน” นายสอนบอก
นายบุญเสริม
“หนักไปกว่านั้นเสียอีกฉันเคยเจอคนที่กระทรวงมันนินทากันว่า คุณหญิงศรีหนีตามน้องชายไป เพราะว่าน้องชายคนละแม่กัน มันอุบาทว์กันเหลือเกิน”
โรเบิร์ตถอนใจ
“นินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน เพราะมันไม่จริง”
ทุกคนเฮๆ ทองหยอดด่า
“ฝรั่งขี้นกหกใบสลึง ทะลึ่งสอดรู้ดีนัก”
ทุกคนฮาอีก
คุณหญิงสะบันงาสะกิดใจเรื่องศุกล ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“นี่คุณศุกลมาคืนวันนั้น แล้วเขาหายไปไหน ทางบ้านโน้นก็ไม่ได้บอกว่าอะไรชัดเจน เพียงแค่ตอบกลับว่าไม่มีใครกลับมาบ้าน แล้วทำไมทุกคนจึงเงียบเฉย ไม่เดือดร้อน นี่มันอะไรกัน”
เดือนมายืนด้านหลัง พูดขึ้นเบาๆ
“กุ๊กเบิร์ตพูดถูกค่ะ ฉันก็ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ทั้งเรื่องคุณสะบันงาและเรื่องคุณศุกลค่ะ”
ทองหยอดเล่าต่อ
“มันลือกันไปหมดทุกอย่างนั่นแหละ มันว่ากันว่า ผัวคุณหญิงน่ะยัยเมี้ยน ไม่ใช่ท่านเจ้าคุณหรอก”
“เหลวไหล ซิลลี่มากๆ คุณหญิงศรีมีลูกกับท่านเจ้าคุณนะ” โรเบิร์ตโวย
“มันว่าก็เพราะมีลูกน่ะสิ จึงหนีไปกับยัยเมี้ยน แล้วทิ้งให้ท่านเจ้าคุณดูแลลูกเพราะไม่อยากรับผิดชอบลูก คุณหญิงศรีไม่อยากมีลูก ไม่รักลูก” กุ๊กเพ้งบอก
ทองหยอดเล่าต่อ
“มันยังว่าอีกว่าคุณหญิงสะบันงาน่ะโง่”
คุณหญิงสะบันงาหน้าเสีย เดือนปลอบ
“อย่าไปฟังเลยค่ะ ปากคนมันยาวกว่าปากกา ปากหาเรื่อง”
“ขอบใจที่ให้กำลังใจ ฝากดูอาหารให้คุณหนูกับของท่านด้วย ฉันจะไปหาคุณหนูพริสซิลล่า”
คุณหญิงสะบันงาเดินกลับไป เดือนมองตามอย่างสงสาร
ในครัว...ทุกคนกำลังหัวเราะกัน เดือนเดินเข้าไป ทุกคนหันมามอง
“เมื่อสักครู่ที่ทุกคนคุยกัน คุณสะบันงาเธออยู่หน้าประตูครัว”
ทุกคนหน้าตื่น
“ตายละ”
“ไม่ตายดอก เพราะเธอไม่ต้องการเอาเป็นเอาตายกับใคร แต่เรื่องราวที่เธอได้ยิน เธอคงไม่สบายใจนัก แม้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม”
โรเบิร์ตขัดขึ้น
“พวกเราไม่ได้ตำหนิเธอ”
ทองหยอดรู้สึกผิด
“ฉันจะไปขอโทษที่พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด”
“ฉันไปด้วย” กุ๊กเพ้งบอก
เดือนห้ามไว้
“อย่าไปเลย เธอไม่ต้องการคำขอโทษหรอก แต่ถ้าทุกคนเลิกพูดแม้ว่าจะไปฟังจากคนอื่นมาก็ตาม คงทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก”
ทุกคนเห็นด้วย
“จริง”
“ขอบคุณแทนเธอด้วย เธอไม่ได้ให้ฉันมาพูดแทนหรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่คุณสะบันงา แต่เป็นท่านเจ้าคุณมาได้ยิน ป่านนี้ทุกคน เอ้อ...”
ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมเพียง
“ตาย...”
เดือนพยักหน้า
คุณหญิงสะบันงามานั่งครุ่นคิดถึงการหายไปของศุกล คุณหญิงศรี เมี้ยนและ น้อย ที่ซุ้มดอกไม้
“ทำไม ทำไม ทุกคนจึงหายหน้า และหายหน้าไปพร้อมกันในวันเดียวกัน พวกเขาไปด้วยกัน หรือว่าต่างคนต่างไป ทำไมคุณหญิงจึงกล้าทิ้งคุณหนูพริสซิลล่า ทั้งที่เพิ่งบอกว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อคุณหนู”
คุณหญิงสะบันงารู้สึกเศร้าใจ
“หรือว่าท่านโกรธเรากับท่านเจ้าคุณ แต่ท่านปิดบังความรู้สึกเอาไว้”
บ้านเมี้ยนที่ปทุม...ร่างของคุณหญิงศรีใส่ชุดยาวกรอมเท้าสีออกเทาๆดำๆคล้ำๆ กระดำกระด่าง มีผ้าคลุมหัวแล้วตลบมาด้านหลังคล้ายกับพวกแขกแต่ไม่ใช่ เธอสะอื้นเบาๆ ใบหน้าของเธอมีผ้าคลุมหน้าปิดใบหน้าแทบหมดเห็นเพียงดวงตาเท่านั้น แถมตาข้างหนึ่ง บอดสนิท คุณหญิงศรีน้ำตาไหลรินหยดลงมาในผ้าที่ปิดบังใบหน้าไว้...ภาพศุกล นอนตาย และภาพที่เธอตะกายไปหาแล้ว ศุกลฝากให้บอกสะบันงาก่อนตายว่ารักสะบันงาตลอดไปแว่บเข้ามา คุณหญิงศรี น้ำตาหยดไหลต่อพึมพำ
“สะบันงา ศุกล พี่เสียใจ ขอโทษด้วย ที่ฉันคงไม่ได้มีโอกาสบอกเธอว่า นายศุกลรักเธอมากเพียงใดและจะรักตลอดไป ชาตินี้เราคงไม่ได้พบกันอีก”
คุณหญิงศรีทอดถอนใจ ภาพที่เจ้าคุณประคองเธอแล้วเห็นไฟไหม้ เธอไล่เขาให้ไปดูลูกแว่บเข้ามา...คุณหญิงศรี น้ำตาไหลมากขึ้นสะอื้นแรงขึ้น ชูมือทั้งสองมายื่นตรงหน้า
“สองมือของแม่ แทบไม่ได้โอบกอดลูกน้อยของแม่ พริสซิลล่าดวงใจแม่ ขอให้ลูกแข็งแรงเติบโตงดงาม มีจิตใจดีสะอาดเหมือนสะบันงาด้วยเถิด”
เมี้ยนเดินมาด้านหลัง มาโอบมากอดคุณหญิงศรีไว้
“ทูนหัวของเมี้ยนเอาอีกแล้ว แอบมายืนเศร้าโศกคนเดียวอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“บอกกี่ครั้งว่าอย่าพูดเจ้าค่ะกับฉัน”
“เจ้าค่ะ เอ๊ยค่ะ คุณหญิง”
“เรียกฉันคุณหญิงทำไม ฉันมันคือบุคคลผู้สาบสูญสิ้นราคาไปแล้ว”
เมี้ยน พาลน้ำตาไหลไปด้วย
“สำหรับคนอื่นเมี้ยนไม่ทราบ แต่สำหรับเมี้ยนไม่มีสิ่งใดในโลกสูงค่าควรแก่การรักและเทินทูนเท่าคุณ เอ้อ...อีกแล้ว”
คุณหญิงศรีใจละลาย หันมากอดเมี้ยนซบหน้ากับอกเมี้ยนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เมี้ยน ฉันหมดอาลัยตายอยากแล้ว ชีวิตนี้สิ้นหวังแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากเมี้ยน”
“ไม่จริงค่ะ ยังมีอะไรเหลือและรอคอยให้คุณกลับไปหาอีกหลายสิ่งนัก คุณหนูพริสซิลล่า คุณเตี่ย แม่น้อย และสุดท้าย สะบันงา กับท่านเจ้าคุณ”
“ตัดไอ้คนใจดำอำมหิตที่มันสั่งฆ่าน้องฉันไปได้เลย ฉันเกลียดมัน ขอให้เวรกรรมตามทันมันสักวัน มันสั่งฆ่าคนบริสุทธิ์ อยากรู้นักว่า ลึกลงไปในหัวใจของมันจะรู้สึกรู้สาหรือว่าทุรนทุรายกับบาปกรรมที่มันทำไว้บ้างไหม”
“คุณขา เมี้ยนว่า บางทีอาจเป็นเพราะนังน้อยไปเป่าหู เสี้ยมทางโน้นทีทางนี้ที จนอลหม่านกันไปหมดก็เป็นได้ค่ะ”
“เป็นถึงเจ้าพระยา แต่หูเบา เพราะเขานี่แหละที่ทำให้น้องฉันตาย”
“คุณขา เมี้ยนว่า เราทั้งสองควรกลับไปที่นั่นอีกครั้งเถิดค่ะ ไปค้นหาความจริง”
“ไม่”
“ไม่คิดถึงคุณหนูหรือคะ ไม่อยากไปดูแลวิญญาณคุณศุกลหรือคะ เธอถูกฝังเอาไว้เดียวดายมากนะคะ”
คุณหญิงศรีสะอื้นออกมา
บริเวณสวนกล้วยจุดที่เป็นหลุมฝังศพของศุกลซึ่งมองไม่ออกว่าเป็นหลุมศพ เพราะดินถูกตบจนราบเรียบยิ่งผ่านไปนานหกเดือน ฝนตกลงมาทำให้พื้นดินตรงนั้นดูปกติ แต่แปลกประหลาดตรงที่มีดอกไม้สวยงามขึ้นเองโดยไม่รู้ว่าใครมาปลูก และดอกนั้นคือดอกสะบันงา คุณหญิงสะบันงาเดินไปที่ดอกไม้นั้น ทรุดตัวลงไปดู
“ดอกสะบันงา ใครมาปลูกไว้หนอ”
เสียงลมพัดดังมากกว่าปกติผ่านตัวเธอไป คุณหญิงสะบันงาจะเด็ดแต่ชะงักไว้
“สะบันงา อยู่ที่นี่ต่อไปเถิด ดินตรงนี้เป็นของดอกสะบันงา ไม่ใช่ฉันผืนดินนี้คงไม่อยากให้ฉันเด็ดสะบันงาของเขาไป”
เสียงลมพัดซู่ใหญ่มากกว่าปกติ ดังมากจนคุณหญิงสะบันงารู้สึกอีกครั้ง
“อยู่ที่นี่นะสะบันงา ฉันจะกลับมาหาอีก”
คุณหญิงสะบันงายิ้มเศร้าๆเอามือลูบคลำกลีบสะบันงาไปมา
เมี้ยนบอกคุณหญิงศรี
“เมี้ยนเคยลอบกลับไปที่นั่นนะคะ เมี้ยนปลูกต้นสะบันงาไว้เป็นเพื่อนคุณศุกลบนหลุมฝังศพของเธอ ป่านนี้อาจเบ่งบานออกดอกให้เธอชื่นใจแล้ว ก็ได้ค่ะ”
“โธ่ เมี้ยนช่างแสนดี ขอบใจเมี้ยนมาก นายศุกลคงชอบนะ”
“แล้วทำไมจะไม่ยอมกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ให้เธออบอุ่นใจว่ายังมีใครอยู่ดูแลคะ”
“กลับไปอย่างไร ฉันไม่ต้องการพบเจอใคร แม้แต่ลูกที่อยากเจอที่สุดก็ไม่กล้าพบหน้า ลูกคงกลัวฉันจนขวัญหนีดีฝ่อ ฉันกลายเป็นผี ไม่ใช่คนอีกต่อไป ฉันสูญเสียความมั่นใจที่เคยมีไปหมดแล้ว”
“กลับไปเพื่อเติมความมั่นใจให้กลับคืนค่ะ เมี้ยนมีวิธีค่ะ”
“วิธีอย่างไรหรือ”
“ทูนหัวปล่อยให้เมี้ยนจัดการเถิดค่ะ รับรองว่าไม่มีอะไรร้ายๆไปกว่าที่ผ่านมา นอกจากจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
คุณหญิงศรีลังเล
คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 9 (ต่อ)
เจ้าคุณเดินมาหมายจะดูหลุมฝังศพศุกลเช่นกัน เขานึกถึงภาพที่ศุกลนอนตายจมกองเลือด
“ไม่ได้สั่งฆ่าเขาเราก็เหมือนสั่งฆ่า สาเหตุเพราะเราเอาแต่หึงหวงกลัวเขาจะแย่งสะบันงาไปจากอก ทั้งที่เราเพียงปกป้องกีดกันสะบันงาไว้ก็เพียงพอ ศุกลอภัยให้ฉันด้วยเถิด...เอ๊ะ”
เจ้าคุณเห็นคุณหญิงสะบันงากำลังลูบคลำกลีบสะบันงาใจลอย
“สะบันงา ทำไมไปอยู่ตรงนั้น”
เจ้าคุณอุทานดังไปนิดทำให้คุณหญิงสะบันงาตกใจเช่นกัน
“ท่านเจ้าคุณ”
“มาที่นี่ทำไมสะบันงา”
“ดิฉันมาตามคราบเลือดคุณหญิงค่ะ แม้ว่ามันจะนานหกเดือน บางส่วนจางหายแต่ก็ยังพอมีร่องรอย ฉันมั่นใจว่ามาสิ้นสุดแถวนี้ค่ะ”
เจ้าคุณหน้าไม่ดี
“อันตรายมากที่มาเดินตรงนี้คนเดียว เกิดมีคนร้ายลอบเข้ามามันจะทำร้ายเอาได้”
“บ้านเราแท้ๆ แถมมียาม คนร้ายจะมาได้อย่างไรกันคะ”
“คนร้ายหาโอกาสได้มากมาย แต่คนโดนทำร้ายสิมักเผลอจนโดนทำร้าย อย่ามาที่นี่อีกนะสะบันงา ขอร้อง พลีส”
“ค่ะ ดูสิคะต้นสะบันงาที่นี่มีดอกด้วยค่ะ”
เจ้าคุณใจหายวูบ
“สะบันงาเอามาปลูกหรือ” เจ้าคุณเผลอหึงหวงอีก
“ไม่ใช่ดิฉันหรอกค่ะ หรือว่าขึ้นเองคะ งามมาก”
เจ้าคุณมองแล้วเห็นจริงครุ่นคิดในใจ
‘จะไม่ให้งามมากได้อย่างไรในเมื่อนั่นเป็นที่พักกายยามตายของนายศุกล แม้ตายไปยังไม่วายหาสะบันงามาแนบกาย’
“สวยจนอยากจะเด็ดกลับไป แต่ไม่แล้วค่ะ เอ๊ะ หน้าท่านซีดมาก ไม่ สบายแน่ๆค่ะ ไปจากที่นี่กันเถิดค่ะ”
“ขอบใจมากที่ห่วงใยฉัน”
คุณหญิงสะบันงาประคองพาเจ้าคุณมานั่งที่กระท่อมเล็กๆเก่าๆ เพราะเห็นเขาดูเหนื่อยหอบ
“นั่งพักที่นี่ก่อนนะคะ หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินกลับบ้าน”
“ฉันดีใจที่สะบันงาห่วงใยฉันมาก”
“ค่ะ ดิฉันห่วงใยท่านมาก ห่วงใยคุณพริสซิลล่า ยังอาวรณ์หาคุณหญิงไม่เสื่อมคลายคิดถึงท่านเสมอ อยากได้ข่าวท่านเหลือเกิน”
“เธอเคยห่วงใยชายคนไหนมากกว่าหรือเท่าฉันบ้างไหม”
คุณหญิงสะบันงาส่ายหน้า
“ดิฉันไม่เคยมีชายคนไหนที่ใกล้ชิดตัวเองแม้แต่พ่อ มีเพียงท่าน และท่านคือสามีของดิฉัน ดิฉันมีหน้าที่ต้องห่วงใยท่านเสมอไปค่ะ”
เจ้าคุณรำพึงในใจ
‘หน้าที่เท่านั้นเอง หาใช่ความรักไม่’
เจ้าคุณถอนใจ มองคุณหญิงสะบันงา เธอมองตอบสบตาแล้วยิ้มให้
“ท่านช่วยชีวิตดิฉัน ท่านมีพระคุณต่อดิฉัน ทดแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดค่ะ ชีวิตดิฉันสาบานว่าไม่มีใครที่ดิฉันเทิดทูนและภักดีเท่ากับท่านยกเว้นคุณหญิงคนเดียวเท่านั้นค่ะ”
ยิ้มของคุณหญิงสะบันงาทำให้เจ้าคุณหัวใจพองโตเบิกบาน เพราะรักเธอสุดหัวใจ
“คนดี เพียงแค่ยิ้มเดียวของสะบันงาก็ทำให้หัวใจฉันเบิกบาน ฉันมีแรงมีกำลังใจก้าวเดินต่อไปแล้ว กลับบ้านกันเถิดสุดที่รัก”
เจ้าคุณกลับลุกเองได้ มือคุณหญิงสะบันงา กับมือเจ้าคุณประสานสอดนิ้วเข้าด้วยกัน พากันเดินออกไปจากกระท่อมด้วยสีหน้ามีความสุขคลอเคลียกันไป
เมี้ยนบอกกับคุณหญิงศรี
“ใกล้ๆสวนกล้วยมีกระท่อมเล็กๆอยู่หลังหนึ่งค่ะ เราไปจัดตกแต่งให้ดีๆก็พออยู่กันได้สองคนสบายๆ”
“แล้วใครเขาอนุญาตให้เราอยู่ ไปอยู่แล้วจะบอกเขาว่าใครมาอยู่”
เมี้ยนคิดๆ
วันต่อมา...คุณหญิงสะบันงานั่งใจลอย ครุ่นคิดโน่นนี่ถึงสิ่งที่ผ่านมาเมื่อหกเดือนที่แล้ว
“อย่างน้อยพี่เมี้ยนน่าจะมาส่งข่าวกันบ้างให้หายกังวล”
เดือนเดินยิ้มสีหน้าตื่นเต้นเข้ามา
“คุณหญิงขา มีแขกมาหาค่ะ”
“อย่าเรียกฉันว่าคุณหญิง บอกหลายครั้งแล้ว ใครมาหรือ”
แขกที่โผล่เข้ามา นั่งพับเพียบตรงหน้า
“เมี้ยนเองค่ะ คุณหญิง”
คุณหญิงสะบันงาตกตะลึงพรึงเพริด
“พี่เมี้ยน”
ขาดคำที่เรียกชื่อเมี้ยน คุณหญิงสะบันงาก็ผวาลงไปกอด
“ทั้งคิดถึงทั้งห่วงใจจะขาด คุณหญิงอยู่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง ฉันอยากพบ พาฉันไปพบคุณหญิงเดี๋ยวนี้”
คุณหญิงสะบันงาน้ำตาคลอ เมี้ยนน้ำตาไหลพราก เดือนมองแล้วยิ้มอย่างมีความสุขและพอใจ ถอยออกไปจากที่นั้นปล่อยให้สองคนอยู่กันตามลำพัง เมี้ยนกอดตอบคุณหญิงสะบันงาสองคนกอดกันร้องไห้เงียบๆ ด้วยความปิติยินดีที่ได้พบกัน
ในครัว ทุกคนได้ข่าวเมี้ยนมาต่างพากันดีใจ
“คุณเมี้ยนกลับมาแล้ว”
“แต่คุณหญิงไม่ได้มาด้วย”
ทุกคนชะงัก
“อ้าว”
เดือนเองก็ตอบไม่ได้
เมี้ยนกับคุณหญิงสะบันงาเลิกร้องไห้มาพูดคุยกัน
“ฉันต้องการทราบว่าคุณหญิงเป็นอย่างไรบ้าง”
เมี้ยนน้ำตาคลอนิดหนึ่ง พยายามกลั้นอยู่
“ท่านไม่ต้องการพบใครค่ะ”
“โธ่ ท่านโกรธฉันหรือเปลา ที่ตัดรอนคุณศุกล”
“ท่านไม่มีวันโกรธคุณหญิง เพราะท่านรักคุณหญิงราวกับลูกก็ไม่ปาน”
“พี่เมี้ยนอย่าเรียกฉันว่าคุณหญิง ที่นี่มีคุณหญิงเพียงคนเดียว คือคุณหญิงศรี”
“แต่ว่า...”
“อย่าเห็นฉันเป็นคนอื่น เราผูกพันกันมากมายเกินกว่าที่จะกลายเป็นคนอื่น พูดมาเถิด ฉันยินดีรับฟัง”
“คุณสะบันงาขา ชีวิตใคร ชีวิตมัน ทางใครทางมัน คุณหญิงท่านเลือกทางของท่านแล้ว”
“ทำตัวหายเงียบกันไปหมด คนเขาเอาไปลือกันเสียๆหายๆ”
“เมี้ยนทราบแล้วที่มันเอาไปลือกันล้วนอัปมงคลทั้งสิ้น”
“ฉันไม่ใยดีไม่นำพากับคำพูดของพวกเขา”
“คนโง่มักพูดอัปมงคล คนฉลาดควรลืมมันเสียเถิดค่ะ ลืมคุณหญิง ลืมคุณศุกลเสียเถิดค่ะ”
“พี่เมี้ยนบอกให้ฉันลืมคุณศุกลแม้ลืมไม่ได้ แต่มันจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันทำใจได้ แต่สำหรับคุณหญิงชาตินี้ชาติไหนก็ทำใจให้ลืมท่านไม่ได้ พระคุณท่านเทียบเทียมแม่ ฉันคิดถึงท่านตลอดเวลาหกเดือนที่ผ่านมา”
“คุณหญิงท่านต้องการอยู่ตามลำพัง เมี้ยนจนปัญญาจะเกลี้ยกล่อมท่านแล้ว จึงตัดใจบากหน้ามาขออาศัยใบบุญคุณสะบันงาอยู่ด้วยสักสองคน”
“สองคน”
“ค่ะ พี่สาวของเมี้ยน แกขาดที่พึ่งแถมพิการ จะมาขออยู่กันที่กระท่อมใกล้หลุม เอ๊ย ใกล้สวนกล้วย”
“จะเป็นไรไปเล่าพี่เมี้ยน ฉันยินดีจ้ะมาได้ทันที”
“จะไม่อยู่เปล่าหรอกค่ะ จะมาช่วยทำงานสารพัดดูแลคุณหนูพริสซิลล่าด้วยค่ะ”
“หน้าที่เดิมนั่นแหละพี่เมี้ยน รับเอากลับไปเลยจ้ะ”
เมี้ยนจะยกมือไหว้ คุณหญิงสะบันงาจับมือไว้
“ขอบพระคุณมากค่ะ คุณสะบันงา”
“อย่าไหว้ฉัน ฉันเคารพพี่เมี้ยนเหมือนพี่สาว ไปสิไปดูคุณหนูพริสซิลล่า เธอน่ารักเหมือนตุ๊กตาฝรั่ง เธออยู่เรือนพะไลนั่นแหละ ไปเองได้นะ”
“ค่ะ”
“อ้อ แล้วจะมาวันไหน จะได้ไปทำความรู้จักพี่สาวของพี่เมี้ยนเอาไว้”
“อย่านะคะ เธอความจำเสื่อมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายค่ะ”
“โถ น่าสงสาร จริงๆ”
เมี้ยนเองก็แอบกลั้นน้ำตา
บ้านเมี้ยน ที่ปทุม...คุณหญิงศรีเขย่ามือเมี้ยนไปมา
“ลูกฉัน พริสซิลล่า เป็นอย่างไรบ้างเมี้ยน”
เมี้ยนยิ้ม
“เกิดมาไม่เคยเห็นเด็กที่ไหนสวยงามเหมือนคุณหนูพริสซิลล่าค่ะ”
“เล่าต่อไปอย่าให้มีตกหล่นแม้แต่นิดเดียว”
“ค่ะ” เมี้ยนยิ้มแย้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เมี้ยนประคองกอดรับพริสซิลล่ามาจากมือเดือน น้ำตาเมี้ยนคลอมองหน้าเด็กน้อยเต็มตา พริสซิลล่ามองตอบมาตาใสแจ๋ว
“คุณหนู คุณหนูของเมี้ยน เลี้ยงยากไหมจ้ะ แม่ดา เดือน”
“ไม่ยากหรอกค่ะคุณเมี้ยน”
“เธอไม่งอแง ไม่จู้จี้ไม่ร้องไห้พร่ำเพรื่อเหมือนลูกพี่ดาเขาหรอกค่ะ”
เมี้ยนรำพึง
“เหมือนจะรู้ว่าแม่ไม่อยู่ด้วย เลยไม่งอแงกวนใจคนอื่นเขา” เมี้ยนพูดออกมา “ขี้เกรงใจคนแต่ตัวเล็กๆเลยนะคะคุณหนู”
“คุณสะบันงาเธอหลงรักของเธอมากค่ะ มาหาวันละหลายๆรอบ บางครั้งก็เอาไปนอนด้วยบนตึกโน่น ท่านเจ้าคุณก็หลงรักเธอมากเช่นกัน”
“มีบุญจริงนะคะคุณหนู มีคนรักใคร่มากมาย”
“เสียดายที่คุณหญิงไม่ได้มาเห็น ความสวยความน่ารักของเธอนะคะ” ดาบอก
เมี้ยนนิ่งไป เดือนสะกิดดาประมาณว่าอย่าพูดมากสะเทือนใจเมี้ยน
คุณหญิงศรีน้ำตาไหล
“โธ่เอ๊ย ดวงใจของแม่”
“ด้วยเหตุนี้เมี้ยนจึงอยากให้คุณไปอยู่ที่นั่น จะได้รู้เรื่องราวทุกข์สุขของดวงใจคุณทุกระยะไงคะ”
“เคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก แต่เพื่อพริสซิลล่า ฉันจึงไป เพื่อนายศุกลฉันจึงยอม”
“เราควรไปให้เร็วที่สุดนะคะ คุณสะบันงาเธอว่าจะให้คนไปทำความสะอาดกระท่อม และหาเครื่องเรือนมาให้เมี้ยนกับพี่สาวความจำเสื่อม”
“ต๊าย ยัยเมี้ยนนี่แกกล้าใส่ร้ายว่าฉันความจำเสื่อม”
“มันก็ต้องประมาณนั้นแหละค่ะ พอเอาจริง อาจต้องเลยเถิดไปถึงพี่ว่าพี่สาวเมี้ยนสติไม่ดี ป้ำๆเป๋อๆ ค่ะ”
“ต๊าย นี่แกหาความว่าฉันบ้า”
คุณหญิงศรีดูอารมณ์ดีขึ้น ทุบตีเมี้ยน หยอกล้อกันเป็นอารมณ์ดีแรกในหกเดือน เมี้ยนแกล้งทำตัวเหมือนบ้าบอล้อเลียน
“ฉันเป็นคนบ้า ใครรู้บ้างไหม ฮิๆ”
“ดี ฉันจะจำท่าเมี้ยนเอาไว้เวลาอยากแกล้งใครที่ไม่ชอบหน้าแล้วเจอมัน”
คุณหญิงศรีระเบิดหัวเราะออกมา เมี้ยนหัวเราะตาม
“โอ๊ย ดีใจที่สุดในชีวิต คุณหญิงหัวเราะออกมาในรอบหกเดือน”
“เพราะฉันมีความหวังว่าจะได้รู้ข่าวลูก เออ...สะบันงาเล่าวางท่าเป็นคุณหญิงมากไหม”
“ไม่มี้ ไม่มีค่ะ เธอไม่ยอมให้ใครเรียกคุณหญิง เธอบอกว่าที่บ้านนี้มีคุณหญิงศรีเพียงคนเดียวค่ะ”
“โถ สะบันงาที่แสนดีกี่เดือนกี่ปีไม่มีเปลี่ยนแปร แล้วเขาล่ะ”
“ท่านเจ้าคุณหรือคะ ไม่ทราบว่าไปไหนค่ะ ทราบแต่ว่าใครๆก็อิจฉาที่มีภรรยาแสนสวย แถมนิสัยสุดประเสริฐ ค่ะ เขาเล่ากันว่า คืนวันนั้น คุณสะบันงาออกโรงจัดการพาคุณหนูพริสซิลล่าออกมาจากเรือนที่ไฟไหม้ได้เรียบร้อยไม่มีที่ติ”
“อายุแค่สิบเจ็ด ยังฉลาดล้ำลึกเก่งกล้าถึงเพียงนี้ ฉันดูคนไม่ผิดจริงๆ ถ้าไม่ใช่สะบันงา เป็นพวกอีน้อย ลูกฉันคงป่นปี้”
“นังน้อยก็สาบสูญไปในวันนั้นเหมือนกันค่ะ มันคงจะหนีไปเพราะกลัวจะโดนอาญา”
คุณหญิงศรีพยักหน้ารับ
เจ้าคุณรับทราบเรื่องเมี้ยนกลับมาแล้ว แต่ใจคอไม่ดีกับเรื่องศุกล
“เมี้ยนมาคนเดียวหรือ แปลกแท้ๆ แล้วคุณหญิงหายไปไหน”
“พี่เมี้ยนมากับพี่สาวค่ะ แต่เรื่องคุณหญิงเขาไม่ปริปากยอมบอก บอกเพียงให้ลืมคุณหญิงเสียเถิดค่ะ คุณหญิงท่านต้องการอยู่ลำพัง แม้แต่พี่เมี้ยนท่านก็ไม่ให้อยู่ด้วยค่ะ”
“แปลกจริง แล้วเมี้ยนเขากล้าทิ้งคุณหญิงหรือ”
“พี่เมี้ยนไม่กล้าขัดใจท่านค่ะ”
“แต่ความจริง คุณหญิงมีสมบัติพัสถานบ้านช่องใหญ่โต พ่อแม่ของเธอคงไม่ยอมให้เธอลำบากหรอก”
“ก็จริงนะคะ ท่านคงรู้เรื่องกันกับที่บ้านของท่าน”
เจ้าคุณพยักหน้าเห็นด้วย
คุณหญิงลออศรี โวยวายใส่เจ้าคุณเกษม
“เรื่องมันมีมูลว่านังด็กขี้ข้าสะบันงาลอบฆ่าคุณหญิงศรีเพื่อนฉัน แล้วยึดอำนาจบ้านนั้น ตั้งตัวเป็นคุณหญิง อยากจะไปชี้หน้าด่าให้ถึงบ้าน”
“ขืนไปทำเช่นนั้น เจ้าคุณคงไล่เปิดออกมาจากบ้านเขาสิ เขารักเขาหลงของเขาจะเป็นจะตาย เขาว่าเมียเขาสวยที่สุดในบรรดาเมียพระยาทั้งหลาย เชียวนา มันก็จริง”
“วุ๊ย ว๊าย นี่มาดูถูกฉันว่าสวยน้อยกว่ามัน”
“หมายความว่าแก่กว่าเท่านั้น”
“ต๊าย ยังมาหาว่าฉันแก่”
เจ้าคุณเกษมหันไปพูดคนเดียวเบาๆ
“แก่ง่ายตายยากปากปลาร้า”
“อะไรนะ ว่าฉันเหม็นเป็นปลาร้า ไอ้เกษม วันนี้ขอแพ่นกบาลเจ้าพระยาสักทีเถิด อยากใหญ่ไปใหญ่นอกบ้านแต่ในบ้าน อย่ามาหือ”
คุณหญิงลออศรีฉวยไม้กวาดไล่ตีหัวสามี
“สม นี่คงอยากมีเมียสาวเหมือนเขาบ้าง น่าหมั่นไส้ ตาแก่อยากมีเมียสาว ถือไม้เท้ายักแย่ยักยัน”
เจ้าคุณเกษมวิ่งวนจนเหนื่อย นั่งคุกเข่าพนมมือไหว้
“กลัวแล้วจ้า คุณหญิงลออศรี สวยสาว ปากหอมที่สุด”
คุณหญิงลออศรียืนหอบ แล้วโยนไม้กวาดทิ้งนินทาต่อ
“ฉันว่าเรื่องนี้มันต้องมีลับลมคมใน คนทั้งคนหายไปไม่มีร่องรอย มันเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนศุกลน้องชายศรีนั่น ฉันพอเชื่อว่าอาจตายได้ น่าเสียดายนัก อุตส่าห์หมายตาไว้ให้ปานวาดลูกสาวเรา”
“ไปกันใหญ่แล้วคุณหญิง จะไปจับคู่ให้ปานวาด ไม่รู้หรือว่าลูกสาวเราหัวแข็ง หัวดื้อ หัวชนฝาแค่ไหนไม่ได้เลือกเองก็อย่าหวังว่าใครจะมาเลือกให้ เฮ้อ...พูดแล้วคิดถึงจริงๆ”
คุณหญิงลออศรีพยักหน้าน้ำตาคลอไปด้วย
ปารีส...ปานวาดเดินควงแขนกับปีแอร์แฟนหนุ่มของเธอ มานั่งที่ม้าในสวนสาธารณะ
“โชคดีที่ได้รู้จักปีแอร์ ฉันชอบดนตรีมาก”
“โชคดีที่ได้รู้จักปานวาด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้หญิงไทยจะสวยน่ารักถึงเพียงนี้”
“ปีแอร์ ปากหวาน”
“หัวใจก็หวานด้วย เลิฟยูนะ ปานวาด”
“เลิฟมี ก็ขอไอแต่งงานสิปีแอร์”
ปีแอร์คุกเข่าลงตรงหน้า
“อาร์ ยู แม่รี่ มี ปานวาด” (Are you marry me Panward)
“เยส แต่...”
“อะไรหรือ”
“ไอ แอม โอนลี เซเวนทีน” (I’m only seventeen.)
“โนพรอมเบลม” (No problem)
“แล้วเรื่องเรียนหนังสือของฉัน”
“ที่นี่มีครอบครัวก็ยังเรียนหนังสือได้”
“ตกลงเรียนจบเราจะไปแต่งงานกันที่เมืองไทย”
“พ่อแม่ยูไม่ว่าหรือ มีสามีเป็นต่างชาติ”
“เพื่อนสนิทแม่ไอมีสามีเป็นคนอังกฤษ อังเคิลเจ้าคุณ น่ารักมาก ไอชอบฝรั่งมากกว่าคนไทย ไอชอบคนพูดกันตรงๆ สังคมโน้มเอียงสอนให้คนไทยชอบฟังเรื่องโกหก”
“แทงคิ้ว เลิฟยู” (Thank you..love you)
“เลิฟยูทู”
สองคนจูบกันด้วยความรัก
คุณหญิงศรีนั่งปลายหลุมศพศุกลน้ำตาไหล ปักดอกไม้ลงบนหลุมศพ
“นาย พี่มาหา พี่มาอยู่ดูแลนายแล้วนะ พี่จะไม่ทิ้งนายไปไหนอีกแล้ว”
เมี้ยนมานั่งใกล้ๆ
“คุณนั่งตรงนี้สี่ชั่วโมงแล้วนะคะ กลับไปกินอาหารเถิดค่ะ ถึงเวลาแล้ว”
“นายศุกลคงดีใจที่ฉันมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ทอดทิ้งเขา พี่ไปก่อนนะนาย พี่จะมาหานายทุกวัน”
เมี้ยนประคองคุณหญิงศรีให้ลุก สองคนเดินไปด้วยกัน คุณหญิงศรีเดินไม่ถนัด ขาเป๋ไปข้างหนึ่ง
ในกระท่อมใกล้สวนกล้วย...อาหารถูกจัดมาอย่างดี วางบนโต๊ะแบบง่ายๆ จานชามสวยงามมีมีดมีส้อมผ้าเช็ดปากแบบฝรั่ง
“ไปขโมยเอาอาหารจานชามช้อนส้อมมาจากไหนหรือ”
“ไฮ้ แหม ใครจะกล้าขโมยคะเอามาจากในโรงครัวนั่นแหละค่ะ คุณสะบันงาเธออนุญาตให้เมี้ยนจัดแบ่งมาได้ตามสบาย ทั้งอาหาร และจาน ชาม”
“ใจดีแท้ๆ พริสซิลล่าเป็นอย่างไร”
“รู้อยู่จนน่าแปลกใจค่ะ ไม่หือไม่อือ ตาใสแป๋วเหมือนตาตั๊กแตนอยากให้คุณได้เห็นเหลือเกินค่ะ อยากเห็นไหมคะ”
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ฉันอยากเห็นมากไปกว่านี้แล้วเมี้ยน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์เพราะฉันเป็นแค่อีเพิ้งพิการ”
“เมี้ยนจะหาโอกาสหาทางอุ้มเธอมาที่นี่ให้คุณดูค่ะ”
“ทำได้หรือเมี้ยน”
คุณหญิงศรีมีความหวังอยากเห็นหน้าลูกสาวใจแทบขาดน้ำ
วันใหม่...พริสซิลล่าอยู่ในอ้อมแขนคุณหญิงสะบันงา เจ้าคุณโอบกอดคุณหญิงสะบันงาไว้
“เรื่องเรียนพูดเรียนอ่านอังกฤษ และฝรั่งเศสเป็นอย่างไรบ้างคนดี”
“ดีด่ะ แต่ไม่ดีตรงที่ดิฉันกลายเป็นคนไทย ที่อ่านเขียนฝรั่งเป็น แต่กลับอ่านเขียนภาษาไทยไม่คล่องนัก”
“ครูบอกว่าสะบันงาเรียนเก่ง เรียนเร็วด้วย”
“ฉันอยากเก่งเหมือนคุณหญิงค่ะ”
“ยังไม่เลิกคิดถึงคุณหญิง”
“ไม่มีวันหรอกค่ะ ยิ่งเจอพี่เมี้ยนทุกวัน ใจมันยิ่งคิดถึงแต่ท่าน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ไม่อยากให้ท่านเสียใจว่าฉันมายึดตำแหน่งคุณหญิงของท่านไป”
“เขาอาจตายแล้ว แต่เมี้ยนไม่บอกตรงๆ”
“ไม่จริงค่ะ ดิฉันไม่มีวันยอมรับว่าท่านตายตราบใดที่ไม่ได้เห็นศพท่าน ด้วยตาของตนเองค่ะ แต่ไม่ว่าท่านจะตายหรือไม่ดิฉันก็จะภักดีเทิดทูนท่านทั้งต่อหน้าและลับหลัง”
เจ้าคุณมองหน้าคุณหญิงสะบันงาชื่นชมมาก...เมี้ยนยืนน้ำตาไหลซึมอยู่นอกห้องที่ทั้งสองพูดคุย
“อยากให้คุณหญิงท่านมาได้ยินคำพูดของคุณสะบันงาเหลือเกิน สมแล้วที่ท่านเจ้าคุณท่านรักท่านหลงใหล คนที่ทั้งสวยและแสนดีในโลกนี้ จะมี สักกี่คนกัน” เมี้ยนยิ้ม
เจ้าคุณกับคุณหญิงสะบันงายังคุยกันอยู่ในห้อง
“ฉันโชคดีเกินชายใด เป็นฝรั่งมังค่า กลายเป็นเจ้าพระยาไทยแลนด์ มีเมียสวยงามปานนางฟ้า วาจาอ่อนหวาน จิตใจงดงามเหมือนหน้าตา”
“ชมกันแบบนี้ทุกวันไม่เบื่อหรือคะ”
“ไม่มีวันเบื่อหรอกคนดี ใช่ไหมคะ พริสซี่ลูกพ่อ ยิ้มให้แด๊ดดี้ หน่อยสิลูก”
“เธอยิ้มแล้วค่ะ ยิ้มสวยเหลือเกิน เธอรู้อยู่มากนะคะ ไม่งอแง ไม่กวนจะหิวจะเปียกเธอก็เงียบเฉย”
“ฉันเคยมีลูกมาก่อน ทุกคนไม่เป็นเช่นนี้หรอก พริสซี่เฉยเกินไปนะ”
“ถามคุณหมอไหมคะ”
“ดีเหมือนกัน ฉันว่าเราสมควรตามหมอมาดูอาการพริสซี่”
เจ้าคุณสีหน้าไม่ดีเอามากๆ
“ท่านหน้าตากังวลมาก มีอะไรหรือเปล่าคะ”
พริสซิลล่านอนนิ่งตาแป๋วเหมือนเดิม...เมี้ยนเริ่มเอะใจพึมพำ
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่านะ”
เดือนมาถึงหน้าห้อง
“คุณเมี้ยน มาแอบดูคุณหนูอีกแล้ว ไป ฉันจะมารับคุณหนูกลับเรือนพะไล ไปด้วยกันสิคะ”
“เอ้อ...เดือนเข้าไปคนเดียวก่อนเถิด ฉันรอที่นี่ เดี๋ยวจะช่วยอุ้มคุณหนูไปให้”
“ค่ะ”
เดือนเข้าไป
เจ้าคุณมองหน้าเดือนที่กำลังรายงานเรื่องพริสซิล่า
“ว่ามาสิ แนนนี่”
“คุณหนูเธอน่ารัก เลี้ยงง่าย ช่างแปลกกว่าเจ้าสมยศลูกพี่ดา มันโตกว่าคุณหนูเดือนเศษ มันคลานยุ่มย่ามเป็นลิงเจ้าค่ะ”
“คุณหนูคว่ำได้หรือยัง” เจ้าคุณถามอย่างสงสัย
“ยังเจ้าค่ะ”
เจ้าคุณหน้าซีดเผือด
“ไปตามคุณหลวงหมออดุลย์มาเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ”
เดือนรับพริสซิลล่าแล้วคลานถอยออกไป
เมี้ยนอุ้มพริสซิลล่ามาที่กระท่อม คุณหญิงศรียื่นมือมารับพริสซิลล่าเข้าสู่อ้อมอกน้ำตาคลอ
“ดวงใจของแม่ คิดถึงใจจะขาด อยากเจอที่สุดในโลก”
พริสซิลล่ามองตาแป๋ว เมี้ยนชื่นชม
“สวยเหลือเกินนะคะ”
“ใช่สวยเหลือเกิน สวยเหมือนเทวดาปั้น ไม่อยากเอากลับคืนไปเลยนะ เอาหลบพวกเขามาได้อย่างไรนี่”
“ฉวยโอกาสที่พวกเขากำลังวิตกอยู่ เมี้ยนรับมาจากเดือนมันค่ะ บอกว่าจะอุ้มพาไปเรือนพะไล เลยเลี้ยวลดมาที่นี่ก่อน”
“พวกเขากำลังวิตกเรื่องอะไรกันหรือเมี้ยน”
เมี้ยนก็ไม่รู้ๆแต่ว่าไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพริสซิลล่า ได้แต่อึกอึก
คุณหญิงสะบันงาเจ้าคุณพากันมารอหมอที่เรือนพะไล ต่างตกใจที่พริสซิลล่าหายไปกับเมี้ยน
“อะไรนะเดือน พี่เมี้ยนอุ้มคุณหนูอาสาจะพามาเรือนพะไล”
เจ้าคุณร้อนใจ
“แล้วพาหายไปไหน บ้าจริง ทำไมจึงยอมให้ใครมาอุ้มง่ายๆ”
เดือนร้องไห้
“บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้หรือว่ายัยเมี้ยนมีอาถรรพ์พาใครไปจะหายเงียบ”
เมี้ยนอุ้มพริสซิลล่าเข้ามา
“คุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าคุณมองเมี้ยนอย่างสงสัย
“พาพริสซี่ไปไหนมา”
“เอ้อ พอดีเมี้ยนปวดท้องเจ้าค่ะ ก็เลยนั่งพักกลางทาง เมี้ยนกราบขอประทานโทษเจ้าค่ะ”
เจ้าคุณพยักหน้าแต่แววตายังคงสงสัย คุณหญิงสะบันงารีบกลบเกลื่อนสงสารเมี้ยนที่หน้าตารู้สึกผิดมาก
“มามะ คุณหนู มาหาแม่สะบันงานะคะ คนสวยคนดี”
คุณหญิงสะบันงารับพริสซิลล่ามาจากเมี้ยน สบตา เหมือนจะส่งสัญญาณให้ถอยออกไป เมี้ยนพยักหน้านิดหนึ่งรับรู้ ถอยออกไป เจ้าคุณมองตามบ่นกับคุณหญิงสะบันงา
“ไม่อยากเชื่อว่าเมี้ยนปวดท้อง แนนนี่ ต่อไปนี้ ไม่ให้ใครมาอุ้ม คุณหนูไปไหนทั้งสิ้น ยกเว้นแม่ดา ฉัน และคุณสะบันงา”
“เจ้าค่ะ” เดือนรับคำ
หน้าห้องที่เลี้ยงพริส หมออดุลย์ตรงรี่มากับนายบุญ เมี้ยนรีบแอบหลบไม่ให้เห็น สองคนผ่านไป เมี้ยนพึมพำ
“คุณหลวงหมออดุลย์มาดูคุณหนู เกิดอะไรขึ้น”
นายบุญถอยกลับมาแล้วเดินจากไป
คุณหลวงหมออดุลย์วางมือจากพริสซิลล่าที่นอนบนเบาะในเตียงเด็ก สีหน้าหมอไม่ค่อยดีนัก
“ผมเกรงว่าคุณพริสซิลล่า เธอจะมีความผิดปกติทางสมอง”
เจ้าคุณชะงักอึ้ง
“พริสซี่ โอ มาย ก๊อด”
“โธ่ คุณหนู” คุณหญิงสะบันงาน้ำตาคลอ
ดากับเดือนมองหน้า สบตากันแล้วสะอื้นออกมา
“พริสซี่จะเป็นอย่างไรหมอ” เจ้าคุณถามอย่างกังวล
“เธอจะทำอะไรช้ากว่าเด็กอื่นขอรับ”
“คุณหนูโธ่”
คุณหญิงสะบันงาน้ำตาไหลพราก เจ้าคุณโอบบ่า
“อายุสมองของเธอคงจะพัฒนาช้ากว่าเด็กคนอื่น แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องดูแล ช่วยเหลือรักษาเธอให้ดีขึ้นให้มากที่สุดขอรับ”
“ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย คุณหนูของแม่สะบันงา”
“อาการเธอยังไม่น่าวิตก เรายังมีโอกาสดูแลเธอได้”
คุณหญิงสะบันงาร้องไห้ อุ้มพริสซิลล่ามาดูหน้ามองแล้วมองอีก เดือนกับดา ร้องไห้
“คนสวยของแม่ คนสวยของแม่ต้องดีขึ้น ต้องไม่แย่ลงนะคะคนดี” คุณหญิงสะบันงาคร่ำครวญ
เจ้าคุณโอบคุณหญิงสะบันงาถอนใจ
ในกระท่อมสวนกล้วย...คุณหญิงศรีกอดเมี้ยนร้องไห้
“ทำไม ทำไม เมี้ยน คำสาปแช่งของพวกมันเป็นจริง เพราะฉันปล่อยให้คนพวกนั้นมีอันเป็นไป ทั้งที่ฉันสามารถระงับไม่ให้มีเรื่องราวเหล่านั้นได้”
“อย่าโทษตัวเองค่ะ อย่าโทษค่ะ คนพวกนั้นมันจ้องทำลายคุณหญิง ทางเรา เพียงแค่ปกป้องตัวเราเอง หลีกเลี่ยงไม่พ้นหรอกค่ะ”
“ทำไมเวรกรรมไม่มาตกที่ฉัน ทำไมไปตกกับลูกฉันดวงตาดวงใจของฉัน”
“เมี้ยนได้ยินคุณหมอบอกว่ายังมีความหวังค่ะ เรามาช่วยกันหวังว่าเธอจะดีขึ้นนะคะ”
เมี้ยนปลอบ คุณหญิงศรีที่กำลังเสียใจ
วันต่อมา...คุณหญิงสะบันงาเดินมาที่ซุ้มดอกไม้ใจลอย
“คุณหญิงขา อยู่ที่ไหนคะ สะบันงารอท่านอยู่”
เจ้าคุณเดินมาหามาโอบบ่า
“มานั่งคิดถึงใครที่นี่เหรอคนดี”
“คิดถึงคุณหญิง ดิฉันเห็นเธอครั้งสุดท้ายเธอยู่ตรงนี้ค่ะ เธอหายไปจากจุดนี้ค่ะ”
“ไปตรงโน้นกับฉันก่อนคนดี”
“มีอะไรหรือคะ”
“มีสิ”
เจ้าคุณยิ้มมีลับลมคมนัย คุณหญิงสะบันงาแปลกใจ แต่ก็ยอมให้โอบกอดพาไปโดยดี
บริเวณที่ว่างที่เคยเป็นเรือนของคุณหญิงศรี คนงานกำลังตอกไม้แสดงขนาดบ้านลงที่พื้น เอาเชือกมายึดแสดงเส้นขอบบ้าน ผู้รับเหมากำลังชี้ไปตามจุดต่างๆ สถาปนิกกำลังดูแบบ คุณหญิงสะบันงาเดินมากับเจ้าคุณ เธอมองอย่างแปลกใจ
“ผู้คนพวกนั้นพากันมาทำอะไรที่นี่คะ”
เจ้าคุณอมยิ้มกรุ้มกริ่มหอมแก้มคุณหญิงสะบันงา
“ไม่บอก”
“เอ๊ะ”
“พวกเขามาสร้างเรือนใหม่ นายบุญบอกว่าคนไทยเรียกเรือนหอ”
คุณหญิงสะบันงาอึ้งนิ่งไป
“เรือนหอ”
“ของฉันกับสะบันงา เราสองคนยังไม่มีเรือนหอ มันต้องมีนะ แน่ะทำหน้าตกใจ ใจหาย กลัวฉันสร้างอยู่กับคนอื่นใช่ไหม”
คุณหญิงสะบันงาเขินอาย
“เปล่าหรอกค่ะ ถ้าท่านทำเช่นนั้นจริง ดิฉันจะไปทำอะไรได้คะ”
“เอาอีกแล้ว บอกแล้วไงว่าคนที่มีอำนาจสูงสุดคือสะบันงา ไม่ใช่ฉัน ฉันจะไม่มีใครอีกนอกจากสะบันงา”
“เอ้อ...เอ้อ ดิฉันต้องการแค่ความสงบสุขของทุกคนที่นี่ ไม่ใช่อำนาจค่ะ”
“นึกแล้ว เมียฉันพูดอย่างนี้ทุกที ที่นี่สร้างไว้เผื่อลูกชายลูกสาวเราห้าหกคนเลยล่ะ”
“รวมคุณหนูพริสซิลล่าด้วยนะคะ เป็นเจ็ด”
สองคนหัวเราะให้กัน พวกคนอื่นแอบมองแล้วอมยิ้ม
ปารีส...ในสวนปีแอร์ดีดกีตาร์ ปานวาดนอนหนุนตักท้องโย้ ปีแอร์ดีดจบปานวาดลุกมาปรบมือให้
“แทงคิ้วค่ะ ปีแอร์”
“ปานวาดเอาแต่ฟังเพลงนี้เพลงเดียวไม่เบื่อหรือ”
“ไม่เบื่อหรอก ฉันแพ้ท้อง อยากฟังเพลงนี้ทุกวัน”
“แพ้ท้อง คืออะไร”
“คืออาการของคนที่เริ่มท้อง แล้วอยากกินโน่น อยากได้นี่ แต่ฉันอยากฟังเพลงจากกีตาร์ของปีแอร์”
“เสียใจไหมที่ต้องหยุดเรียน”
“ไม่เสียใจหรอก ฉันอยากมีลูกกับเธอ อยากมีลูกเป็นลูกครึ่ง”
ปีแอร์งงๆ
“ลูกครึ่งคืออะไร”
“คือลูกที่เกิดจากคนสองคนคนละชาติคนละภาษา ฉันเคยเห็นลูกครึ่งไทยกับฝรั่ง สวยหล่อกันทั้งนั้น”
ปานวาดแอบถอนใจ ปีแอร์เห็น
“ปานวาดไม่สบายใจ”
“ฉันไม่เคยกลัวพ่อแม่รู้ว่ามีสามีฝรั่ง แต่พ่อแม่คงไม่พอใจที่ฉันท้องตอนอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปด ท่านสองคนต้องโกรธมาก”
“ซอรี่ที่ทำให้ปานวาดต้องหวาดกลัว”
“ปีแอร์ย้ายมาอยู่กับฉันนะ เราจะได้ลดค่าใช้จ่าย เอาเงินเก็บไว้คลอดลูก โอเคนะ”
“โอเค ฉันจะพยายามเล่นดนตรีหลายๆที่ เพื่อที่จะได้มีเงินมาเลี้ยงลูกของเรา”
ปีแอร์กับปานวาดกอดกันอย่างมีความสุข
เรือนเจ้าคุณ...คุณหญิงสะบันงากอดมองพริสซิลล่าน้ำตาคลอ ส่ายหน้า
“หายนะคะคนดี คว่ำได้สักทีนะคะทูนหัวของแม่สะบันงา เดือนจ้ะพยายามเอาคุณหนูคว่ำบ่อยๆนะ”
“ค่ะ ดิฉันพยายามบ่อยแล้วค่ะ”
“เอ้อ แล้ว...”
“เธอยังพลิกตัวเองไม่ได้ค่ะ พอจับคว่ำ เธอก็เอาหน้าแนบลงไปกับพื้นที่ นอนไม่ชูคอเหมือนกับเจ้าสมยศลูกของพี่ดาค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาน้ำตารื้น แล้วเธอก็รู้สึกอาการไม่ดี รีบส่งพริสซิลล่าให้เดือน
“เดือนรับคุณหนูไปก่อน ฉัน ฉัน...”
เดือนรีบรับพริสซิลล่า เจ้าคุณเข้ามาพอดี
“สะบันงาคนดี มามะ ไปดูเรือนหอของเรา”
เจ้าคุณกางมือออกมา ไม่ทันมองเดือน คุณหญิงสะบันงาลุกแล้วเซ เอามือกุมหัว
“ว๊าย”
เจ้าคุณตกใจ
“สะบันงา”
เจ้าคุณโอบรับคุณหญิงสะบันงาที่เซมาปะทะอกไว้
ในห้องนอนเจ้าคุณ...คุณหลวงหมออดุลย์ตรวจคุณหญิงสะบันงาแล้วยิ้ม
“คุณสะบันงาท้องขอรับ”
เจ้าคุณผวามากอดจูบคุณหญิงสะบันงาอย่างดีใจมากตุ
“สะบันงาท้อง ฉันจะมีลูกกับสะบันงา ดีใจที่สุดในโลก”
คุณหญิงสะบันงาเอาแต่ยิ้ม คุณหลวงหมออดุลย์ยิ้มยินดี
“ยินดีด้วยขอรับ”
เจ้าคุณดีใจสุดๆ
“ลูกของเรา ลูกของสะบันงากับฉันที่วางแผนไว้ห้าหกคน เริ่มทยอยมาแล้ว”
“เห่อเกินไปแล้วค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาจะนั่ง เจ้าคุณผวาไปประคอง คุณหญิงสะบันงาจะลุกเจ้าคุณโผไปแทบจะอุ้ม คุณหลวงหมออดุลย์แอบยิ้ม
กระท่อมวันใหม่...คุณหญิงศรีทานอาหารแบบฝรั่ง คุยกับเมี้ยนไปด้วย
“สะบันงาท้อง แหม ดีใจกับเขาด้วยจริงๆ ขอให้ลูกออกมาแข็งแรงสุขภาพดีอย่าเป็นอย่างลูกของฉัน”
“คุณหนูเธอเกือบคว่ำได้แล้วนะคะ”
คุณหญิงศรีถอนใจเลิกกินรวบช้อน เมี้ยนมองเห็นใจ
“คุณคงเบื่อ วันวันไม่ได้ทำอะไรเดินไปเดินมา กับไปหาพูดคุยกับคุณศุกล อยากอ่านหนังสือไหมคะ หนังสือฝรั่งน่ะค่ะ เมี้ยนจะไปขอมาให้”
“เขาจะว่าเอาว่าคนบ้าทำไมมาอ่านหนังสือฝรั่งออก”
“เมี้ยนมีวิธีค่ะ”
“ตามใจ ฉันจะไปหานายก่อนนะ”
คุณหญิงศรีลุกเขยกไป
ทุกคนในครัวดีใจมาก
“คุณสะบันงาท้อง”
เมี้ยนเข้ามา
“ใช่ และฉันกำลังสงสัยว่า ครั้งกระนั้น นังน้อยมันแอบเอาอะไรใส่ไปในซุป ในยาสมุนไพรบำรุงกำลังของคุณหญิง ดังนั้นฉันจะไม่ยอมให้ใครทำอาหารให้คุณสะบันงาโดยที่ฉันไม่รู้ไม่เห็น”
ทุกคนพยักหน้ารับ ทองหยอดเห็นด้วย
“อาจจะจริงค่ะ ฉันเคยเห็นมันทำลับๆล่อๆ แถมด้อมๆมองๆแถวอาหารของคุณหญิงหลายครั้ง”
เมี้ยนหันไปหาโรเบิร์ต
“กุ๊กเบิร์ต อยากอ่านหนังสือฝรั่งดีๆสนุกๆบ้างไหม”
“อยากสิ”
“จะไปหามาให้ ตกลงไหม”
โรเบิร์ตยิ้มดีใจ
“พลีส แทงคิ้ว”
เมี้ยนยิ้มเดินออกไป ทั้งหมดมองตาม ทองหยอดหันมาถาม
“มีใครเคยเห็นพี่สาวคุณเมี้ยนบ้างไหม”
ทุกคนส่ายหน้า
“ไม่เคย”
กุ๊กเพ้งสงสัย
“แต่ฉันก็อยากเห็นนะ รู้สึกว่าจะไม่ธรรมดาหรอก กินอาหารฝรั่งเป็นด้วย”
โรเบิร์ตคิดๆ
“หรือว่าเป็นฝรั่ง”
ทุกคนหน้าเหวอ
“เฮ้ย”
ทองหยอดขัดขึ้น
“แต่คุณเมี้ยนเธอไทยแท้ พี่สาวจะเป็นฝรั่งได้อย่างไร”
ทุกคนขำๆ
คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในเรือนเจ้าคุณ...คุณหญิงสะบันงายิ้มให้เมี้ยน
“หนังสือของคุณหญิงที่เก็บมาทันจากกองเพลิงอยู่ในลังทางห้องด้านโน้น ถ้ากุ๊กเบิร์ตอยากอ่าน ก็ให้แกยืมไปได้”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณหายแพ้ท้องแล้วหรือคะ”
“ค่อยยังชั่วแล้ว อยากได้หนังสือก็ไปค้นเอาเองเถิดพี่เมี้ยน”
เมี้ยนสมหวัง ถอยออกมา
ในห้องเก็บหนังสือ เจ้าคุณมองไปเห็นเมี้ยนกำลังค้นหนังสือ เลี่ยงมาแอบมอง
“หนังสือทั้งอังกฤษ ทั้งฝรั่งเศส เมี้ยนจะเอาไปไหน”
เมี้ยนหอบไปหลายเล่มแล้วเดินออก เจ้าคุณแอบมองเงียบให้นึกแปลกใจ
คุณหญิงศรีเอาดอกไม้มาวางบนหลุมฝังศพศุกลน้ำตาคลอ
“นาย นายของพี่ พี่มาหานายอีกแล้ว นายหลับให้สบายนะ ดอกสะบันงาของนายบานบ่อยมาก นายคงมีความสุขใช่ไหม”
คุณหญิงศรีลูบคลำพื้นดินตรงนั้นไปมาน้ำตาคลอ
เมี้ยนถือหนังสือปึกใหญ่ เดินหายไปในกระท่อม เจ้าคุณแอบมอง
“เมี้ยนน่ะหรือจะอ่านหนังสือพวกนี้ออก ไม่จริง เมี้ยนแกกำลังทำอะไรของแก”
เจ้าคุณมองต่อไป เห็นเมี้ยนเดินกลับออกมาโดยไม่มีหนังสือ แล้วหายลับไปทางบ้านเจ้าคุณ
เจ้าคุณเข้ามาในกระท่อมมองกวาดไปดูจานชามช้อนส้อมล้วนของแบบฝรั่ง เจ้าคุณแปลกใจ
“นี่มันอะไรกัน หรือว่า...”
เสียงกุกกักเข้ามาในบ้าน เจ้าคุณมองไปตะลึง เมื่อเห็นร่างบิดเบี้ยวขาเขยกในชุดสีเข้มเดินเขยกมา พอเห็นเจ้าคุณตกตะลึง สองคนต่างตะลึงมองกัน
เมี้ยนเดินมาที่กระท่อม พลางบ่นไปด้วย
“บ้าจริง ดันลืมหยิบถาดอาหารของคุณหญิงกลับไปล้าง”
เมี้ยนจะก้าวขึ้นไปในกระท่อมตกใจ ยืนตะลึง
“ท่านเจ้าคุณ”
เมี้ยนรีบถอย
ในกระท่อม...คุณหญิงศรีหันกลับทันทีที่หายตะลึง เจ้าคุณมั่นใจว่านั่นคือคุณหญิงศรี
“ศรี”
คุณหญิงศรีวิ่งกระเผลกหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าคุณตามทันที
“ศรี ทำไม ทำไมศรีเป็นอย่างนี้”
คุณหญิงศรีกระเผลกหนีมานอกกระท่อม เมี้ยนยืนตะลึง
“อะไรกันนี่”
คุณหญิงศรีกะเผลกผ่านเมี้ยนที่ทำอะไรไม่ถูกไป
“ไล่มันไป” คุณหญิงศรีสั่ง
เจ้าคุณตามติดออกมา
“ศรี เกิดอะไรขึ้น”
เมี้ยนได้สติกันไว้
“ไม่ใช่คุณหญิงเจ้าค่ะ”
“โกหก เมียฉันทั้งคนต่อให้คลุมหน้าไว้มิดชิดแค่ไหน มีแค่ดวงตาโผล่ออกมา ฉันก็รู้ว่านั่นคือศรี ถอยไปยัยเมี้ยน หรือว่าแกจะบังอาจมาขัดขวางฉัน”
เมี้ยนจำใจถอย เจ้าคุณวิ่งตามไป
“ก็ดีจะได้รู้ดำรู้แดง รู้แจ้งแทงตลอดว่าอะไรเป็นอะไร ผัวเมียจะได้เข้าใจกันเสียที...เฮ้อ”
เมี้ยนน้ำตาคลอ
คุณหญิงศรีหนีสุดแรงเกิดแต่สังขารไม่อำนวย
“ทำไมศรีเป็นอย่างนี้”
“ก็เพราะผลต่อเนื่องมาจากการกระทำอำมหิตของแก”
เจ้าคุณชะงักอึ้ง
“โธ่ศรี ศรี Sorry. I am so sorry.”
เจ้าคุณเริ่มน้ำตาไหล คุณหญิงศรีตวาดไล่
“ไปให้พ้น ฉันไม่ต้องการพบแก ไอ้ฆาตกร”
คุณหญิงศรีหนีไป เจ้าคุณวิ่งตาม แต่หัวใจไม่ปกติจึงอ่อนล้า วิ่งไปพักไป
“หยุดก่อนศรี อย่าหนีฉัน darling อย่าวิ่งหนีสิ Please darling”
คุณหญิงศรีไม่ฟัง หนีต่อไป
คุณหญิงศรีวิ่งถลาออกมาจากดงกล้วยเซหกล้ม เจ้าคุณเองก็วิ่งแล้วหมดแรงล้มลงเช่นกัน
“ศรี”
คุณหญิงศรีพยายามลุกแต่ก็เจ็บขามาก เพราะสะดุด จึงล้มลงใหม่
“โอ๊ย”
ทั้งสองต่างล้มลงแล้วพยายามลุก คุณหญิงศรีจึงกลายเป็นพยายามคลานหนี
“darling ฟังฉันก่อน darling เข้าใจฉันผิด”
“ฉันไม่ได้เข้าใจแกผิด แกสั่งฆ่าน้องฉัน แกมันไอ้ฆาตกร ฉันเกลียดแกฉันเสียใจ เสียดายที่คิดว่าแกคือสุภาพบุรุษ หวังจะฝากชีวิตไว้กับแก แต่แกกลับทรยศต่อความภักดีความจริงใจของฉัน แกมันคนหลอกลวง”
คุณหญิงศรีพยายามลุกแต่ก็ล้มลงไปอีก เจ้าคุณพยายามอธิบาย
“สาบานให้ฉันตายตรงนี้ศรี คนไทยว่าอะไรนะ ให้ฟ้าผ่าตายต่อหน้าศรีก็ได้ ไอ สแวร์ ขอเพียงฟังให้จบก่อนตาย แล้วศรีค่อยตัดสินใจว่าอย่างไร เราทั้งสองคือพ่อแม่ของพริสซี่นะศรี”
เจ้าคุณหน้าซีดพยายามจะลุก คุณหญิงศรีใจอ่อนยวบพอได้ยินเรื่องพริสซิลล่า
“ค่อยๆลุก เดี๋ยวจะล้มหน้าฟาด”
เจ้าคุณดีใจมากที่คุณหญิงศรีพูดอย่างห่วงใย
“ศรีห่วงฉัน darling ห่วงฉัน ศรีแคร์ฉัน”
“โน น๊อท ยู อิส พริสซี่ อย่าพล่าม ฉันรำคาญ ฉันห่วงพริสซี่ลูกฉัน น๊อท ยู เข้าใจไหม”
เจ้าคุณลุกได้ในที่สุด เดินตรงไปหา
“โอเค แต่ตอนนี้ ศรีเดินไม่ได้คงขาแพลง ฉันจะอุ้มศรีกลับบ้านเรา”
“ฉันไม่กลับบ้านใคร ไม่มีบ้านเราอีกต่อไป ถ้าจะให้ฉันกลับบ้านคุณ ฉันจะกลั้นใจตาย คุณก็รู้ว่าฉันพูดจริงเสมอ”
“Sorry. so sorry โอเค ฉันจะพาศรีกลับกระท่อม”
เจ้าคุณมีกำลังใจทำให้มีแรง ก้มลงช้อนตัวคุณหญิงศรีอุ้มขึ้นมา
เมี้ยนแอบตามมาดูน้ำตาคลอ ยิ้มอย่างพอใจและมีความสุข
“ทูนหัวของเมี้ยน ละพยศเพราะคุณหนูพริสซี่ ขอบคุณคุณหนูเหลือเกินเจ้าค่ะ คุณหนูคือโซ่ทองคล้องพ่อแม่ไว้ด้วยกันแท้ๆ”
เจ้าคุณอุ้มคุณหญิงศรีเข้ามาวางบนเก้าอี้ในกระท่อม
“darling นั่งตรงนี้ เมี้ยนหายไปไหนจะให้ไปรับคุณหลวงหมออดุลย์มาตรวจขา darling”
คุณหญิงศรีกลับตบหน้าเจ้าคุณไปมาจนหน้าหงายหลายครั้ง
“ไม่”
“darling ทำไม”
“คุณทำให้น้องฉันตาย ทำไมต้องฆ่าเขา”
คุณหญิงศรีหันไปฉวยมีดตัดอาหารกับซ่อมมาตั้งท่า เจ้าคุณตกใจ
“ศรี”
ไม่แค่นั้นคุณหญิงศรีเอามือกระชากผ้าคลุมหน้าออก เจ้าคุณตกตะลึงเมื่อเห็นหน้าตาสุดน่าเกลียดและน่ากลัวของคุณหญิงศรี
“ดูหน้าฉันให้เต็มตา เพราะแก เพราะแก แกทำลายความเป็นคนของฉันจนสูญสิ้น แกทำให้โลกของฉันดับวูบ”
“ทำไม ทำไม” เจ้าคุณร้องไห้โฮ “ฉันเลว ฉันทำร้ายดวงใจตัวเอง”
คุณหญิงศรีหัวเราะเย้ยหยันดังมากระคนกับเสียงสะอื้น
“สะใจไหม ที่เห็นหน้าของฉันจากหน้าคนกลายเป็นหน้าผี สมน้ำหน้า เพียงพอไหมกับการแก้แค้น มีความสุขมากใช่ไหม คุ้มค่ามากใช่ไหม”
เจ้าคุณน้ำตาไหลพรากทรุดตัวลงคุกเข้าตรงหน้า
“l am sorry. so sorry ฉันทำอะไรลงไป ฉันสมควรตาย แทงฉันสิศรี แทงฉันให้ตาย”
เจ้าคุณยืดอกให้ร้องไห้ไปด้วย สองมือกอดขาคุณหญิงศรีเอาหน้าแนบซบกับขาเธอไว้
“ยังกล้ามาแตะต้องตัวผู้หญิงอัปลักษณ์ขนาดนี้ได้อีกหรือ คนใจดำ”
“ศรีคือผู้หญิงที่ฉันรักใคร่ยกย่อง ชื่นชม ไม่ว่าศรีจะเป็นอย่างไร ศรีคือดวงใจดวงหนึ่งของฉันตลอดไป”
“ดวงใจ เฮอะ ฮ่ะๆ สะบันงามันได้ยินคงดิ้นเข้า มันคงอยากลาตาย ผัวปันใจไปให้อีหน้าผี ฮ่ะๆ”
คุณหญิงศรีเหมือนคนบ้าคลั่งไปแล้ว เจ้าคุณสายตาวิงวอน
“ในดวงใจของฉันมีสองหญิงสิงสถิตอยู่ คือศรี และสะบันงา ฉันไม่อาจขอให้ศรียกโทษให้ฉันได้ ฉันไม่อาจลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นให้กลับคืนได้แต่ฉันไม่ได้สั่งฆ่าศุกล ฟังให้จบนะศรี แล้วแทงฉันให้ตาย”
คุณหญิงศรีลดมีด...เมี้ยนแอบมองอยู่นอกกระท่อม
“ไอ้คนที่กำความลับงับความจริงไว้ก็หายหัวไปทั้งสามคน อีน้อย ไอ้หน้าโจรสองตัวนั่น แต่ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อว่าท่านเจ้าคุณจะกล้าสั่งฆ่าคน”
เมี้ยนแอบมองลุ้น
ในเรือนพะไล...ดากำลังให้นมพริสซิลล่า เดือนดูแลอยู่ข้างๆ
“คุณหนูเธอชันคอได้แล้วค่ะคุณหญิง เอ้อ...คุณสะบันงา”
“ดีจ้ะ ขอบใจมาก ขอบใจเหลือเกินที่ช่วยมาดูแลคุณหนู เดือนก็เหมือนกัน”
“เดือนเต็มใจมากค่ะเดือนรักคุณหนู รักคุณสะบันงา”
“ขอบใจมาก ฉันก็รักเดือน รักแม่ดามากเหมือนกัน คุณหนูอิ่มหรือยังจ้ะแม่ดา”
“อิ่มแล้วค่ะ”
“ส่งมาให้ฉัน จะพาไปเล่นที่เรือนใหญ่”
เดือนส่งพริสซิลล่าให้คุณหญิงสะบันงาอุ้มไปเรือนใหญ่ เดือนตามไป
เจ้าคุณเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น”
“ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ คุณก็ผิดมาก”
“ฉันยอมรับผิด ยอมให้ศรีลงโทษฉันให้ตายตกไปตามกันกับศุกลเอาสิศรี ฆ่าฉัน แทงฉันให้ตาย”
เจ้าคุณยืดอกให้แทง คุณหญิงศรีมองเจ้าคุณที่ยืดอกมาให้กำมีดแน่นยั้งไว เจ้าคุณจับข้อมือเธอดึงลงมาจ่อที่อก คุณหญิงศรีสะบัดมีดทิ้งลงพื้น
“ฉันไม่ต้องการแก้แค้นใคร ฉันไม่ต้องการสร้างเวรสร้างกรรมให้ใคร ฉันกลัวเวรกรรมจะตกมาใส่พริสซี่ แค่นี้พริสซี่ก็ต้องมารับกรรมแทนฉันเอาไว้มากมายเกินพอนัก”
คุณหญิงศรีสะอื้นออกมา เจ้าคุณลุกมาโอบกอดไว้
“darlingไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สิ่งเลวร้ายผ่านไปหมดแล้ว นับแต่นี้ต่อไปจะมีแต่สิ่งดีดีเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา กลับบ้านนะ darling สะบันงาคงดีใจมาก”
“ไม่ ฉันจะอยู่ที่นี่ และถ้าคุณยังรักฉันเหมือนดังที่ปากบอกจริง อย่าบอกใคร อย่าบอกสะบันงาว่าฉันอยู่ที่นี่ ถ้าไม่เชื่อกันฉันจะไปจากที่นี่ จะขุดเอากระดูกของศุกลไปด้วย”
เจ้าคุณพยักหน้าเช็ดน้ำตาให้คุณหญิงศรี หยิบผ้าคลุมหน้ามาคลุมให้ก้มหน้ามาจูบหน้าผาก
“โอเค ฉันไม่ขัดใจ จะตามใจศรีทุกอย่างเหมือนเช่นเดิม ฉันจะให้เมี้ยนพาพริสซี่มาหาศรีที่นี่อาทิตย์ละครั้ง ฉันจะสร้างบ้านใหม่ให้ศรีแทน กระท่อม โกโรโกโสนี่ ศรีอย่าไปไหนอย่าทิ้งฉันอย่าทิ้งพริสซี่ ถ้าศรีทิ้งไปฉันคงตรอมใจตายในไม่ช้า”
คุณหญิงศรีสบายใจขึ้นเกิดความเข้มแข็งขึ้น
“ขอบใจ กลับไปเถิด ความเป็นผัวเมียของเราสิ้นสุดไปแล้ว ฉันเป็นเพียงอดีต เป็นคนที่สาบสูญ ฉันจะอยู่ที่นี่เพื่อลูก ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าฉันคือพี่สาวของเมี้ยน ผีสาวหน้าผี สติไม่ดี”
คุณหญิงศรีหัวเราะดังๆแบบเย้ยหยันอีกครั้ง เจ้าคุณถอนใจ หันกลับออกไป คุณหญิงศรียังคงหัวเราะดังก้อง
เจ้าคุณออกมาจากกระท่อมเจอเมี้ยนที่หน้าตาหมองหม่น
“ขอบใจมากเมี้ยนที่ดูแลเขาให้ฉัน ฝากด้วย มีอะไรที่ต้องการที่ทำแล้วเขาพอใจ เขาอยากได้อะไรจัดให้ไปทุกอย่าง”
“เจ้าค่ะ เอ้อ...เมี้ยนกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“ฉันรู้สึกบาป รู้สึกผิดเหลือเกิน ฉันฆ่าคนตายถึงสองคน คนหนึ่งตายไปจากโลก อีกคนตายทั้งยังมีลมหายใจ และตัวฉันเองก็กำลังค่อยๆตายทั้งเป็นเช่นกัน แต่ฉันก็ยินดีก้มหน้ารับ”
เจ้าคุณเดินกลับไปอย่างเศร้าโศกมากขึ้น และความเศร้าโศกที่ฝังใจเพิ่มมากขึ้นอีกทั้งเสียใจมากที่เป็นสาเหตุทำให้คุณหญิงศรีมีอันเป็นไปเช่นนั้น
ในเรือนเจ้าคุณ...เดือนหันมาถามคุณหญิงสะบันงา
“คุณสะบันงาหายแพ้ท้องแล้วหรือเจ้าคะ”
“ดีขึ้นมากแล้วต้องพยายามให้มันดี ไม่เช่นนั้น มันจะยิ่งแย่กันไปใหญ่”
“คุณสะบันงาช่างเข้มแข็ง”
“ฉันลำบากมามาก ถ้าคุณหญิงไม่ฉุดฉันและผลักดันฉัน ฉันก็ไม่มีวันนี้กับเรื่องแพ้ท้องแค่นี้เล็กน้อย”
“คุณหญิงท่านรักคุณสะบันงามากจริงๆนะเจ้าคะ”
“และฉันไม่เคยมีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณท่าน แม้แต่น้อยก็ถือโอกาส ดูแลคุณหนูให้ท่านให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เดือนก็เช่นกันเจ้าค่ะ จะช่วยคุณสะบันงาดูแลคุณหนูให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
“เราจะช่วยกัน ตอนนี้ท่านเจ้าคุณท่านทำเรือนใหญ่หลังใหม่ เผื่อลูกที่กำลังจะเกิดมา ฉันกับท่านก็เลยยกเรือนหลังเก่าของเราให้คุณหนู แม่ดา และเดือนพัก”
“มันใหญ่โตเกินไปเจ้าค่ะ”
“ท่านเห็นดีด้วยนะ ท่านพอใจมาก ฉันก็สบายใจที่ท่านพอใจ หมอห้ามขัดใจท่าน แต่ให้พยายามทำให้ท่านพอใจ ท่านพอใจเดือนมากนะ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ คงเป็นเพราะคุณสะบันงา เอ็นดูเดือน ท่านก็เลยเห็นตามไปด้วยเจ้าค่ะ”
“นั่นก็เพราะเดือนเป็นคนดี ฉันดีใจที่ท่านเอ็นดูเดือน เดือนรู้ไหมว่าฉันต้องอุ้มท้องไปอีกนานหลายเดือน”
“ทราบสิเจ้าคะ เพราะพี่ดาและทุกคนที่ท้องก็เป็นเช่นนี้”
“เดือนสะสวยนิสัยดีอย่างนี้ มีคนรักแล้วหรือยัง”
“ยังหรอกเจ้าค่ะ ไม่อยากมีด้วยเจ้าค่ะ”
“ฉันคงดูแลท่านเจ้าคุณไม่ได้เต็มที่ ฉันจึงอยากขอความช่วยเหลือและขอความเต็มใจจากเดือน ชักชวนเดือนให้มาช่วยกันดูแลท่าน”
“คุณสะบันงา” เดือนตกใจ
“ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของเดือน ฉันไม่ต้องการบังคับจิตใจใคร เดือนไปปรึกษาแม่ดาก่อน แล้วฉันค่อยเอาคำตอบจากเดือนภายหลัง”
เดือนคิดหนัก
“ฉันจะถือว่าเดือนคือน้องสาวของฉัน”
คุณหญิงสะบันงายิ้มให้เดือน
วันใหม่...ดากำลังให้พริสซิลล่านอนในเตียงเด็ก เดือนเข้ามาหา
“คุณสะบันงาให้มาปรึกษาพี่ดาเรื่องจะเอาฉันไปเป็นเมียอีกคนของท่านเจ้าคุณ”
“ว่าอะไรนะ” ดาชะงัก
ดาหันมาเผชิญหน้ากับเดือน
“ฉันจะมาปรึกษาพี่ว่าฉันสมควรไปเป็นเมียอีกคนของท่านเจ้าคุณ ตามที่คุณสะบันงาเธอขอร้องมาไหม”
“เธอบังคับแกหรือ” ดาตกใจ
“เปล่า เธอถามความสมัครใจ”
“แล้วแกว่าอย่างไร”
“พี่ว่าอย่างไร ฉันก็ว่าอย่างนั้น”
“แกมีอะไรขัดข้องไหม”
ดามองหน้าน้องสาว เดือนสบตา
เจ้าคุณถึงกับอึ้ง แปลกใจไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากคุณหญิงสะบันงา เจ้าคุณดูค่อนข้างขรึมและเศร้า
“สะบันงาพูดอะไรออกมา”
“ฉันอยากจะขอให้ท่านรับเดือนไว้เป็นภรรยาค่ะ”
“ฉันตั้งใจไว้ ตั้งแต่คุณหญิงจากไป ฉันจะมีภรรยาคนเดียวคือสะบันงาไม่ต้องการใครอีกแล้ว”
“แต่ถ้าท่านจะมีใครอีกสักคนที่เป็นคนดี มามีลูกให้ท่าน และบางทีอาจเป็นลูกชายนะคะ”
“สะบันงาไม่หึงหวงฉันหรอกหรือ”
“ไม่หรอกค่ะ สำหรับผู้หญิงดีๆอย่างเดือน”
“ไม่ใช่ไม่หึงหวงเพราะไม่รักฉันดอกหรือ”
“ท่านชอบพูดว่าฉันไม่รักท่านเสมอ ท่านระแวงฉันมากหรือคะ”
“ฉันเคยระแวงนะ และฉันก็เสียใจตัวเองที่ระแวงสะบันงา ฉันขอโทษจะไม่พูดทำนองนี้อีกต่อไป”
“ฉันกับท่านผ่านเรื่องนั้นกันมานานแล้วนะคะ เลิกพูดเรื่องหึงหวงกันนะคะ ฉันเห็นท่านดูเหมือนมีอะไรในใจ ไม่สบายใจ ฉันเองก็มัวแต่ห่วงลูกในท้องไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลท่าน แล้วเดือนเขาก็รักคุณหนูพริสซี่มาก”
เจ้าคุณโอบคุณหญิงสะบันงาไว้
“ทำไมถึงมีแต่ให้ ห่วงใยคนอื่นสารพัดอย่างนี้คนดีของฉัน คนดีอย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว”
“เดือนค่ะ เดือนก็เป็นคนดีที่ฉันมั่นใจค่ะ”
“ขอบใจมาก”
เจ้าคุณลูบท้องคุณหญิงสะบันงายิ้มสบตากัน
“ท่านคงอยากได้ลูกชาย”
“ฉันรักลูกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหญิง เป็นชาย เป็นกะเทย” เจ้าคุณพูดขำๆ “หรือเป็นทอมบอยเหมือนยัยเมี้ยน”
“ท่านอารมณ์ดีแล้ว”
เจ้าคุณหอมหน้าผากคุณหญิงสะบันงา เจ้าคุณรู้สึกดีขึ้นจริงๆ ลืมเรื่องคุณหญิงศรีกับศุกลไปได้ชั่วครู่
คุณหญิงศรีนั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เมี้ยนอุ้มพริสซิลล่าเข้ามา
“คุณขา ดูสิว่ามีใครมาเยี่ยมคุณค่ะ”
“ฉันไม่อยากเจอใคร”
“แม้แต่คนนี้หรือคะ”
“คนไหน”
“หันมาดูก่อนสิคะว่าคนไหน แล้วค่อยบอกว่าไม่อยากเจอ”
คุณหญิงศรีหันมาแล้วผวาทั้งตัวดีใจมาก เมื่อเห็นเมี้ยนอุ้มพริสซิลล่ามายื่นให้ตรงหน้า
“พริสซี่ ทูนหัว มาให้แม่อุ้มนะทูนหัว”
เมี้ยนส่งให้ทั้งน้ำตา คุณหญิงศรีประเดี๋ยวเอาพริสซิลล่าแนบอก ประเดี๋ยวเอาวางที่ตักแล้วเอาแต่มองหน้าสลับกันไปมา
ค่ำนั้น คุณหญิงสะบันงาพาเดือนมาหาเจ้าคุณ เดือนก้มลงกราบ
“ฉันพาเดือนมากราบค่ะ”
“ขอบใจมากที่เต็มใจมา เป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา”
“เจ้าค่ะ” เดือนรับคำ
“ขอบใจที่รักลูกสาวของฉัน และดูแลลูกสาวฉันอย่างดีเสมอมา”
“เจ้าค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาหันมาหาเดือน
“ฉันขอไปดูคุณหนูที่เรือนพะไล ฝากเดือนดูแลท่านเจ้าคุณด้วย คืนนี้จะค้างคืนที่นั่น ดูแลอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูเสียเลย”
เดือนชะงักนิดๆ
“เอ้อ เจ้าค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาก้มตัวมาจับมือเดือนบีบเบาๆก่อนเดินออกไป เดือนก้มหน้าเขินอายและหวาดกลัว
“เดือนมีหลายสิ่งคล้ายกับคุณสะบันงา”
“เจ้าค่ะ”
“ขึ้นมานั่งกับฉันที่นี่เถิด”
“เจ้าค่ะ”
เดือนไม่ขึ้น เจ้าคุณก้มตัวไปประคองมานั่งด้วย เดือนยิ่งเขินอาย เจ้าคุณยิ้มโอบไว้
กระท่อมคุณหญิงศรีวันใหม่...โมบายทำจากใบไม้ห้อยอยู่บนเปล คุณหญิงศรีกำลังเห่กล่อมพริสซิลล่า เมี้ยนมองอย่างมีความสุข
“ดวงใจของแม่ ถึงแม้ว่าขาแม่จะเสียไปข้างหนึ่ง แต่สองมือแม่ยังดีอยู่ แม่พร้อมปกป้องดวงใจของแม่ โอ๊ โอ๋ เมี้ยนดูสิคุณหนูยิ้มให้ฉัน เธอฟังฉันเข้าใจ เธอรู้ว่าฉันพูดอะไร”
“ค่ะ สายสัมพันธ์ ความผูกพันของแม่ลูก ช่างลึกซึ้งนักค่ะ ตัวแค่เนี้ยไม่ว่าใครเขาจะว่ารู้ช้ากว่าคนอื่น แต่รับรองว่าเธอรู้ว่าใครคือแม่ของเธอแน่นอนค่ะ”
“เวลาที่พริสซี่มองสบตาฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกช่างสวยงาม หัวใจฉันชุ่มชื่น อยากอายุยืนเป็นร้อยปีพันปี ทูนหัวของแม่ ลูกของแม่ หนูคือชีวิตของแม่”
คุณหญิงศรีดูแลลูก จนเวลาล่วงยังไม่ละวาง
“เมี้ยนพาคุณหนูมานานเกินไปแล้วค่ะ ประเดี๋ยวใครจะสงสัย”
“เอ๊ะ...”
“ไม่ได้หมายถึงท่านเจ้าคุณค่ะ แต่หมายถึงคนอื่น ไม่มีใครทราบนี่คะว่าคุณเป็นใคร”
“โธ่ ขออีกสักนิดเดียวเถิด เมี้ยนมีงานก็ไปทำ เดี๋ยวค่อยกลับมารับคุณหนู”
“ค่ะ เอ้อ มีอีกเรื่อง แม้ว่าคุณอาจไม่สนใจฟัง แต่เมี้ยนก็อยากเรียนให้ทราบ”
“อะไร”
“คุณสะบันงา เธอเอาเดือนพี่เลี้ยงคุณหนูไปยกให้ท่านเจ้าคุณค่ะ”
“เรื่องของพวกเขา”
“นัยว่าเป็นเพราะตอบแทนที่เดือนรักคุณหนูมากค่ะ และคุณสะบันงาเธอก็ท้องค่ะ”
“อย่าเอาเรื่องคนอื่นมาจารนัยให้ฉันฟัง ไม่อยากรับรู้ เอาแค่เรื่องของพริสซี่คนเดียวพอแล้ว ไปซะ”
เมี้ยนจำใจออกไป คุณหญิงศรีเย้าแหย่ลูกต่อแล้วเงยหน้าถอนใจ
“สะบันงา เธอโตเกินวัยเกินอายุจริงๆ รู้จักมัดใจคน ขอให้เจริญๆกันเถิด”
เรือนพะไล...คุณหญิงสะบันงามาหาเดือน
“ขอบใจมากเดือนที่ยินดีช่วยกันดูแลท่าน”
“เดือนกับพี่ดาก็ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ที่ให้เกียรติเดือน”
“เมื่อก่อนเราก็เสมอกัน เพียงแต่สังคมมาปรุงแต่งให้เราต่างกัน ตอนนี้เรากลับมาเสมอกันอีก ตอนนี้จะยอมเลิกใช้คำว่าเจ้าค่ะ หรือยัง”
“ค่ะ”
“เรือนหลังใหม่เสร็จ เราต่างจะต้องย้ายเรือนของตัวเองนะเดือน”
“เอ้อ...ค่ะ”
“พริสซี่หลับหรือ”
“ไปกับคุณเมี้ยนค่ะ”
“ไปไหน”
“ได้ยินว่าจะพาไปเดินเล่นค่ะ”
“นานหรือยัง”
“ร่วมชั่วโมงแล้วค่ะ”
“เดินเล่นถึงไหนกัน ทำไมนานนัก เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“หรืออาจจะพาไปเดินเล่นในสวนท้ายบ้านเจ้าค่ะ เอ้อ ค่ะ”
“ไปไกลถึงที่นั่นเลยหรือ ไกลไปไหม แถวนั้นน่ากลัวออก”
“ตอนนี้คงไม่ค่อยน่ากลัวนะคะ เพราะคุณเมี้ยนกับพี่สาวไปอยู่ จะไปตามไหมคะ”
“ไปสิ เดือนไปกับฉันนะ อ้อ...ช่วยไปเอาอาหารว่างไปด้วย ฉันจะเอาไปฝากพี่สาวของพี่เมี้ยนเขา เห็นว่าชอบกินอาหารแบบฝรั่งด้วยนะ”
“ค่ะ”
“ใส่จานชามสวยๆด้วย พี่สาวพี่เมี้ยนก็เหมือนพี่สาวฉัน ไปทำความรู้จักกันเอาไว้ ไม่เสียหลาย”
“ค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาหวังว่าจะไปทำความรู้จักกับพี่สาวเมี้ยน
เดือนหิ้วปิ่นโตเดินตามหลังคุณหญิงสะบันงามาตามทางดินไปสวนกล้วยหลังบ้าน พอมาถึงหลุมศพศุกลซึ่งคุณหญิงสะบันงาไม่เคยรู้ เธอหยุดจะดูดอกไม้
“ฉันอยากแวะไปดูดอกสะบันงาที่ตรงนั้นก่อน”
“ค่ะ”
ดอกสะบันงาบนหลุมนั้น ยังคงมีดอกอีกเช่นเดิม คุณหญิงสะบันงาทรุดตัวลงไปลูบคลำ เดือนทรุดตัวลงตรงด้านหลังตามไปด้วย
“สะบันงาต้นนี้ช่างถูกกับดินตรงนี้เสียเหลือเกิน งามเอางามเอา”
ลมพัดซู่ดังครั้งก่อนที่มา คุณหญิงสะบันงาแปลกใจ
“ลมพัดแบบนี้อีกแล้ว เหมือนครั้งแรกที่มาเจอสะบันงาต้นนี้”
“ทำไมมาขึ้นตรงนี้ก็ไม่ทราบนะคะ ราวกับมีใครจงใจมาปลูกเอาไว้” เดือนสงสัย
“ทั้งบริเวณไม่มีดอกอื่นนอกจากดอกสะบันงาเท่านั้น”
คุณหญิงสะบันงาลูบคลำดอกไม้อย่างชื่นชอบ
ในกระท่อม คุณหญิงศรีมองพริสซิลล่าที่หลับสนิทไม่ละสายตา มองไปน้ำตาไหลไป
“ทูนหัวดวงใจของแม่ แม่คงได้แต่มองลูก โตอีกหน่อยรู้ความแล้วเราคงไม่อาจพบกันได้ เพราะลูกต้องเป็นลูกของแม่สะบันงา ไม่ใช่ลูกอีแก่หน้าผี บ้าใบ้สติไม่ดี ใครรู้เข้าลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ลูกคงรังเกียจแม่”
คุณหญิงศรีก้มลงไปจูบ สองมือลูบคลำหน้าตาของพริสซิลล่า
คุณหญิงสะบันงาละจากดอกไม้หันมาชวนเดือนไปต่อ
“ไปกันเถิดเดี๋ยวขนมจะชืดหมด เห็นขนมพวกนี้แล้วนึกถึงคุณหญิงท่านชอบกินขนมแบบคนฝรั่ง”
“ค่ะ พี่สาวคุณเมี้ยนก็ชอบขนมแบบนี้เหมือนกันค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาเริ่มคิดถึงคุณหญิงศรีขึ้นมาอีก
คุณหญิงศรีมองพริสซิลล่าที่ลืมตามองตาแป๋ว
“ตื่นแล้วคนดีของแม่ แม่ค่ะทูนหัว ยิ้มให้แม่นะคะ”
พริสซิลล่ายิ้ม
“ยิ้มจริงๆด้วย ร้อยไม่เชื่อล้านไม่เชื่อ ว่าลูกแม่ไม่รู้ภาษา เชื่องช้า”
เสียงกุกกักหน้าเรือน คุณหญิงศรีไม่หันไปมองคิดว่าเมี้ยน
“เมี้ยน ทำอะไรกุกกัก เข้ามาสิ ได้เวลาพา...”
มีเสียงอุทานอย่างตกใจจากคุณหญิงสะบันงากับเดือนดังขึ้น
“คุณหนู”
นั่นทำให้คุณหญิงศรีตกใจ หันมามองที่มาของเสียงและยิ่งตกใจที่เห็นสะบันงาและเดือน คุณหญิงศรีถึงกับพูดไม่ออก คุณหญิงสะบันงายกมือไหว้ แล้วยิ้มให้ เดือนไหว้ตาม
“สวัสดีจ้ะพี่สาว ฉันสะบันงา คนนั้นเดือน เรามาตามหาคุณหนูเข้าใจว่าพี่เมี้ยนพาเธอมาที่นี่ แล้วก็พามาจริงๆ เอ้อ...”
คุณหญิงศรีไม่พูดด้วย เดือนมองหา
“คุณเมี้ยนไปไหนคะ”
คุณหญิงศรี ยังไม่ตอบพูดไม่ออก คุณหญิงสะบันงายิ้มแย้มให้
“เราเอาของว่างยามบ่ายมาฝากพี่สาวจ้ะ”
เดือนเอาของออกมาวาง
“นี่ค่ะ”
คุณหญิงศรีก็ยังเงียบ
“ถ้าขาดเหลืออะไรบอกพี่เมี้ยนให้จัดมาได้ทุกอย่างนะจ้ะ ฉันรักพี่เมี้ยนเหมือนพี่สาว ดังนั้นพี่สาวของพี่เมี้ยนก็เท่ากับพี่สาวของฉันด้วย”
คุณหญิงศรีก็ยังเงียบ น้ำตาเริ่มเอ่อขัง
“ถ้าพี่เมี้ยนไม่อยู่ ฉันจะเอาคุณหนูกลับแล้วนะจ้ะ เดือนจ้ะอุ้มคุณหนูกลับเรือนเถิด”
เดือนอุ้มพริสซิลล่าขึ้น คุณหญิงศรีทำท่าเหมือนไม่อยากให้อุ้มแต่ไม่ได้ขัดขวาง มองตามพริสซิลล่าตาละห้อย คุณหญิงสะบันงายิ้มให้ ไหว้อีกครั้ง
“ไปก่อนนะจ้ะ ถ้ามีโอกาสจะมาเยี่ยมใหม่”
“คุณหนูพริสซี่ไปกับนายแม่นะคะ คุณหนูขานายแม่มารับแล้วนะคะ” เดือนหยอกเย้าพริสซิลล่า
ขณะที่คุณหญิงสะบันงากับเดือนกำลังหันออกไป คุณหญิงศรีมองตามแล้วแล้วรันทนจนระเบิดหัวเราะดังเหมือนบ้าคลั่ง คุณหญิงศรีระทมขมขื่น สะเทือนใจในโชคชะตาที่ตัวเองคือคุณหญิงเป็นเจ้าของบ้าน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนอาศัย
“ฮะๆ”
คุณหญิงสะบันงากับ เดือนตกใจ ชะงักหันมามอง
“พี่สาวเป็นอะไร” คุณหญิงสะบันงาแปลกใจ
คุณหญิงศรีก็ยังไม่เลิกหัวเราะ น้ำตาไหลออกมาทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ในคราวเดียวกัน คุณหญิงสะบันงากับเดือนเริ่มกลัว รีบพากันลงเรือนมาโดยไว คุณหญิงศรีมองตามหลังร้องไห้ผสมหัวเราะ
“เออหนอโลกนี้ เออหนอชีวิตมนุษย์ เป็นคุณหญิง เป็นเจ้าของบ้าน เป็นเจ้าของผู้ชายผู้ยิ่งใหญ่ มาบัดนี้กลับกลายเป็นคนอาศัยบ้านของเด็กที่ตัวโอบอุ้ม ผลักดันจนกลายเป็นเจ้าของ ทุกสิ่งแม้แต่ความเป็นคุณหญิงที่เคยเป็นของเรา อนาถหนออีศรีหน้าผี อีศรีสติไม่ดี เพราะแกเคยคิดร้ายกับคนอื่นแม้ไม่ได้ลงมือทำ บาปกรรมมันก็ตามมาคร่าชีวิตน้องแก ทำลายความเป็นคนของแก โทษใครไม่ได้ ต้องโทษใจตัวเองที่มันไม่งดงามเหมือน สะบันงา”
คุณหญิงศรีร้องไห้คร่ำครวญกับโชคชะตาที่อาภัพ
คุณหญิงสะบันงากับเดือนห่างออกมาจากกระท่อม สองคนยังไม่หายตกใจ
“ที่แท้พี่สาวพี่เมี้ยนพูดไม่ได้”
“แต่เดือนว่าแกฟังเราเข้าใจค่ะ”
“ช่างหัวเราะได้สะเทือนใจจริงเหมือนเย้ยหยัน เหมือนเสียใจขมขื่น ฟังแล้วหดหู่มาก แต่ก็แปลกแท้ๆ ที่แกท่าทางรักคุณหนูเหลือเกิน”
“ใช่ค่ะ แปลกแท้ๆ”
“ทำท่าเหมือนหวงแหนตอนที่เราจะเอาคุณหนูกลับมา น่าสงสารเหลือเกิน”
สองคนไม่เข้าใจ
เมี้ยนมาถึงหน้ากระท่อม ถืออาหารกลับมาด้วยได้ยินเสียงคุณหญิงศรียังคงคร่ำครวญร้องไห้ฟังแล้วหดหู่นัก
“คุณหญิงร้องไห้เสียใจเกิดอะไรขึ้น คุณหญิงไม่ได้ร้องไห้หนักอย่างนี้มานานแล้ว”
เมี้ยนผวาเข้าไปในกระท่อม...คุณหญิงศรีฟุบตัวฟุบหน้าลงที่พื้น สองมือทุบพื้นไปมา
“ทำไมถึงต้องลงโทษกันถึงเพียงนี้ ทำไมต้องทำร้ายกันถึงเพียงนี้”
เมี้ยนพุ่งไปหาประคอง ลืมตัวเรียก
“คุณหญิง”
คุณหญิงศรีตบหน้าเมี้ยนโดยแรง
“แกเรียกใครคุณหญิง แกอยากหาคุณหญิงมากใช่ไหม ไปเลย ไปข้างในนั่น คุณหญิงสะบันงาเขาอยู่ที่นั่น แต่ฉัน ฉันมันอีแก่หน้าผี บ้าๆบอๆ”
เมี้ยนหน้าสลด
“เมี้ยนขอโทษค่ะ เมี้ยนตกใจที่เห็นคุณกำลังเสียใจ แม้ว่าปากเมี้ยนจะเรียกคุณว่าคุณ แต่ในใจของเมี้ยนคุณคือคุณหญิงของเมี้ยนไปจนตาย อภัยให้เมี้ยนนะคะ ถ้าตบตีเมี้ยนแล้วอารมณ์ดีขึ้น เมี้ยนยอมให้ตบอีกค่ะ ตบให้หายหงุดหงิดค่ะ”
คุณหญิงศรีได้สติ
“แกจะมายุยงให้ฉันเป็นคนเลวทรามต่ำช้าเพิ่มขึ้นอีก ด้วยการตบตีคนระบายอารมณ์หรือเมี้ยน”
“แค่ทนเห็นคุณมีความทุกข์ไม่ได้ค่ะ”
คุณหญิงศรีร้องไห้โฮๆกอดเมี้ยนไว้
“ขอบใจ ขอบใจ ฉันบ้าไปแล้วหรือนี่ ฉันทำร้ายคนที่รักฉันมากที่สุดในโลกอย่างเมี้ยนได้อย่างไร เมี้ยนยกโทษให้ฉัน ฉันขอโทษ เมี้ยนอย่าโกรธฉันอย่าทิ้งฉันไปนะเมี้ยน”
เมี้ยนร้องไห้สะอื้นเช่นกันปลอบไปด้วย
“ไม่ค่ะ เมี้ยนไม่ไปไหน ไม่ทิ้ง ไม่โกรธ ไม่เคยไม่มีวันค่ะ ไม่ร้องไห้ นะคะ”
“ฉันรักเมี้ยนนะ”
“ค่ะ เมี้ยนก็รักคุณค่ะ เทิดทูนบูชาด้วยค่ะ เอ๊ะ คุณหนู คุณหนูหายไปไหน คะ”
“สะบันงามาที่นี่กับเดือน มาตามหาพริสซี่”
เมี้ยนตกใจ
“ตายจริง แล้วเธอจำ...”
“ใครจะมาจำฉันได้ ตอนเขารู้จักฉันฉันเป็นคน ตอนนี้ฉันคือผี ฉันจึงเสียใจฉันบ้าคลั่งไป ฉันอยากพูดอยากคุยกับสะบันงาใจแทบขาด แต่ทำไม่ได้”
“คุณสะบันงาเธอคงดีใจมากนะคะ ถ้ารู้ว่าคุณคือคนที่เธอเคารพรักเสมอมา”
“ถ้าสะบันงารังเกียจฉัน ฉันคงอับอายขายหน้าถึงลาตาย”
“คุณสะบันงาเธอคงเส้นคงวา ตัวตนเธอดีงาม เธอไม่รังเกียจหรอกค่ะ”
“ฉันอยากมั่นคงอย่างสะบันงาบ้าง แต่ฉันมักเผลออ่อนแอ เผลอน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองแต่ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว”
“เธอทำท่าไม่พอใจหรือเปล่า ที่เมี้ยนพาคุณหนูที่นี่”
“คนอย่างสะบันงาดูไร้เดียงสา ซื่อ จนเหมือนจะเซ่อ แต่เหนือฉันนัก ไม่มีเสียหรอกที่จะแสดงความรู้สึกไม่พอใจให้ใครพบเห็น สะบันงาชอบไขว่คว้าศัตรูมาเป็นมิตรเสมอ”
“จริงค่ะ แม้เธอไม่โกรธ แต่เมี้ยนจะไปขอโทษเธอเองค่ะ”
“สะบันงายกโทษให้เมี้ยนแน่ แต่ในฐานะแม่ของพริสซี่เขาไม่ยอมให้ลูกของเขามาหาคนบ้าหรอก”
คุณหญิงศรีป้ายน้ำตา
เจ้าคุณหน้าหมองนิ่งเงียบเมื่อฟังคุณหญิงสะบันงาเล่าเรื่องพริสซิลล่าที่ไปอยู่กับคุณหญิงศรีที่กระท่อมจบ
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บ้าใบ้หรอกสะบันงา”
“ฉันไม่ได้คิดว่าเธอบ้า แต่ฉันคิดว่าเธอเป็นใบ้ค่ะ เพราะเธอไม่ยอมพูดกับฉันสักคำ”
เจ้าคุณพูดเหมือนรำพึง
“คงตกใจ”
“เอ๊ะ ทำไมท่านจึงทราบว่าเธอไม่ได้บ้าใบ้ แต่เป็นเพราะเธอตกใจ เคยพบเธอแล้วหรือคะ”
เจ้าคุณอึ้งไป
“เอ้อ เคยพบสิ คือฉันพาช่างไปแถวนั้น”
คุณหญิงสะบันงาคิดตาม
“พาช่างไป”
“คือ สะบันงาไม่ว่าใช่ไหม ถ้าฉันจะสร้างเรือนเล็กๆ ขึ้นมาแทนที่กระท่อมนั่น”
“จะไปว่าอะไรเล่าคะ ท่านอยากทำอยากสร้างอะไร ฉันไม่เคยวุ่นวาย”
“จะไม่ถามหรือว่าฉันจะสร้างไปทำไม”
“ถ้าท่านอยากบอกฉันท่านก็คงพูดเอง”
“น่ารักเสมอ ฉันจะไม่รักเมียคนฉลาดของฉันได้อย่างไร ฉันอยากสร้างเพราะกระท่อมนั่นมันเก่ามากแล้ว สงสารเมี้ยน กับเอ้อ ศ...เอ๊ย พี่สาวเขา ฝนตกฟ้าร้อง ฟ้ารั่วก็ทานไม่ไหว จะหลับจะนอนกันอย่างไร”
“ท่านทำถูกขอบคุณแทนพี่เมี้ยนกับพี่สาวของพี่เมี้ยนค่ะ เอ้อ...ทำไมเธอต้องคลุมหน้าด้วยก็ไม่ทราบ เสียงก็ฟ้งคุ้นๆคล้ายเคยได้ยิน”
“สะบันงาใกล้คลอด เรือนของเราก็จวนเสร็จ เราจะขึ้นบ้านใหม่กันแบบคนไทย จะมีปาร์ตี้ จะเชิญแขกมาฉลองบ้านกับลูกของเรานะ”
เจ้าคุณโอบกอดคุณหญิงสะบันงา แต่ก็แอบถอนใจเมื่อนึกถึงภาพที่คุณหญิงศรีกระชากผ้าคลุมหน้าออก หน้าตาอัปลักษณ์สุดประมาณ เจ้าคุณถอนใจเศร้า คุณหญิงสะบันงามองหน้าเจ้าคุณ
“พูดออกมาล้วนแต่เรื่องสุขสนุกสนาน แต่ดวงตาและท่าทางของท่านกลับเศร้าหมอง บอกได้ไหมคะว่ามีอะไรซ่อนลึกอยู่ในใจ ถ้าช่วยได้ ฉันจะช่วยจนสุดกำลังค่ะ”
“ดีใจและขอบใจมาก แต่ฉันทำตัวเอง ฉันเสียใจที่ศรี...เอ้อ...”
“หายไปใช่ไหมคะ ทุกคนเสียใจ แต่ต้องแยกแยะให้ออกค่ะ อย่าเอามาปะปนกัน มันจะบั่นทอนทั้งตัวเรา และคนอื่นๆรอบตัวเราค่ะ”
“แล้วยังเรื่องศุกลที่เขาต้องมาตาย” เป็นครั้งแรกที่เจ้าคุณเอ่ยถึงศุกลกับคุณหญิงสะบันงา
“ทำไมท่านจึงคิดว่าตายแล้วคะ เขาอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ แต่ที่บ้านเขาไม่ได้บอกเรา ท่านไม่ได้เห็นกับตาเสียหน่อยว่าเขาตาย”
เจ้าคุณยิ่งหม่นหมอง เมื่อนึกถึงศุกลที่นอนตายตรงหน้า
“ฉันรู้สึกผิด บางทีอาจเป็นเพราะฉัน...”
“มาเปลี่ยนเรื่องพูดกันเถิดค่ะ ปิดเทอมใหญ่นี้ฉันจะส่งคนไปรับศีลกลับมา เขายังไม่เคยกลับมาพักที่นี่ ตั้งแต่เอาไปฝากไว้โรงเรียนประจำ เพราะที่บ้านเรามีเรื่องวุ่นๆหลายเรื่อง”
“จริงสิ อยากเจอศีล ได้ยินว่าเขาเรียนเก่งมาก”
“ค่ะ น่าชื่นใจ ท่านได้บุญมากนะคะที่ส่งเสียอุปการะเขา”
“ถึงตอนนั้นสะบันงาคงคลอดลูกสาวคนโตของเราแล้ว”
“ค่ะ”
เจ้าคุณแอบถอนใจอีก คุณหญิงสะบันงาให้สงสัยว่าเจ้าคุณมีอะไรในใจ
หลายเดือนต่อมา...ในห้องคนป่วยที่โรงพยาบาล คุณหญิงสะบันงาอุ้มเด็กอ่อน หน้าตามีสุขมาก เจ้าคุณหน้าตาเบิกบานในรอบปี คุณหลวงหมออดุลย์ยืนยิ้มย่องใกล้ๆ เจ้าคุณปลื้มใจมาก
“ฉันขอตั้งชื่อลูกสาวคนแรกของเราว่าพริ้มเพรา”
“พริ้มเพราสมชื่อค่ะ ท่านเป็นฝรั่งที่ตั้งชื่อไทยได้เก่งมากค่ะ”
“คือวันก่อน หัวหน้าพยาบาลเขามาชมว่าลูกสาวท่านหน้าตาจิ้มลิ้ม พริ้มเพราเหลือเกิน ถามเขาว่าแปลว่าอะไร เขาบอกว่าสวย ครั้นจะชื่อจิ้มลิ้มมันฟังดูตลก จึงเลือกคำหลังว่า พริ้มเพรา เพราะไหมคุณหลวง”
คุณหลวงหมออดุลย์ยิ้มรับ
“เพราะมากขอรับ วันนี้คุณสะบันงาสามารถพาคุณพริ้มเพรากลับบ้านได้แล้วขอรับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณหลวง คุณพริ้มเพราของแม่ วันนี้แม่จะพาหนูกลับบ้านนะคะ”
“คนต่อไปถ้าเป็นหญิงจะตั้งชื่อว่า...”
“ท่านคะ คนแรกเพิ่งคลอดไม่ถึงอาทิตย์ ท่านจะตั้งชื่อคนที่สองแล้วหรือคะ”
“ก็เห่อมากนี่นา ขอนะ มาต่อๆกันสักหนึ่งโหล”
คุณหญิงสะบันงาส่ายหน้า ทำเหมือนจะค้อนแต่ไม่ได้ค้อน เจ้าคุณหัวเราะร่าเริง
คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 9 (ต่อ)
เจ้าคุณสร้างบ้านหลังเล็กมาแทนที่กระท่อมหลังเก่า...คุณหญิงศรีรับพริสซิลล่ามากอดแนบอก พริสซิลล่ายังเดินไม่เป็น เรียกใครไม่ได้ เมี้ยนส่งมาแล้วเล่าไปด้วย
“คุณสะบันงาเธอไปคลอดลูก นายบุญมันบอกว่า เป็นผู้หญิง ชื่อคุณพริ้มเพราค่ะ”
“คงพริ้มเพราสมชื่อ พริสซี่ขา หนูมีน้องแล้วนะคะ สองขวบแล้วเรียกแม่ได้หรือยังคะ เรียกสิคะ ดูปากแม่นะคะ”
คุณหญิงศรีเผลอเปิดหน้าทำปาก
“มามี่ มามี่ พูดสิคะ”
พริสซิลล่าที่โตสองขวบแล้วไม่สนใจ ไม่ฟังไม่มองที่คุณหญิงศรีบอก คุณหญิงศรีมองหน้าเมี้ยนหน้าเสีย
“ตายจริง ฉันเผลอเปิดหน้า เดี๋ยวลูกตกใจแย่ บ้าจริง”
คุณหญิงศรีรีบปิดหน้า พริสซิลล่าหันมา ยิ้มให้ เมี้ยนกับคุณหญิงศรีตกใจ
“เธอไม่กลัวเจ้าค่ะ”
“เธอยังเด็ก ยังตกใจไม่เป็น”
“อาจเป็นเพราะเธอรักคุณเจ้าค่ะ สายใยสายรักสายเลือดของแม่ลูกย่อมผูกพันทำให้เธอรักคุณด้วยใจ ไม่ใช่รักเพราะหน้าตาของคุณ”
“เมี้ยนพูดให้ฉันมั่นใจตัวเองเพิ่มขึ้นอีก ว่ามีคนรักฉันจริงๆอีกคนหนึ่งแล้ว และคนนั้นคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน”
“ยังมีอีกหลายคนที่รักคุณด้วยใจ ใช่หน้าตา สะบันงาค่ะ แล้วก็ท่าน...”
“หยุดนะเมี้ยน อย่าเอ่ยถึงเขา”
“ไหนว่าจะพยายามมั่นคงไม่อาฆาตมาดร้ายแล้วไงคะ”
แล้วสองคนก็ตกใจเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น
“มา...มี่”
สองคนมองหน้ากัน หันมามอง พริสซิลล่า ซึ่งก็ทำหน้าตาเฉยๆเหมือนไม่ได้พูดอะไรกับใคร ยังคงสนใจอย่างอื่นต่อไป คุณหญิงศรีสงสัย
“ฉันได้ยินเสียงเรียก มา...มี่”
“เมี้ยนก็ได้ยินค่ะ”
“แปลว่าฉันไม่ได้หูฝาด” คุณหญิงศรีก้มไปดูพริสซิลล่าที่ยังง่วนไม่สนใจ “หนูพูดหรือคะ”
เมี้ยนงงๆ
“ไม่เห็นคุณหนูเธอทำท่าว่าพูดอะไร เห็นเธอเอาแต่มองอะไรที่พื้นห้องอยู่นะคะ”
“เรียก มามี่ สิคะ พริสซี่”
เงียบพริสซิลล่าไม่สนใจดังเดิม คุณหญิงศรีถอนใจ
“เราสองคนหูเฝื่อน”
สองคนหงอยเศร้าต่อ
“เธอแค่ช้ากว่าคนอื่นสามสี่ปี อีกสองปีเธอก็พูดได้ค่ะ” เมี้ยนออกความเห็น
คุณหญิงศรีพยักหน้าเศร้าๆ เอามือลูบหัวพริสซิลล่าสงสารมาก
เรือนใหม่ของเจ้าคุณ มีเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเสียงร้องไห้ของเด็กดังลอดออกมา รถของบ้านเจ้าคุณมาจอด ศีลเดินลงมาพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ นายบุญตามลงมา ศีลโตขึ้นเป็นวัยรุ่นอายุสิบห้าปี
“นี่ตึกหลังใหม่ แทนเรือนไทยหลังเก่าของคุณหญิงที่ไฟไหม้ไปครับ คุณศีล” นายบุญเล่า
ศีลชะงัก
“ไฟไหม้หรือครับ ผมไม่เคยกลับมาจึงไม่ทราบว่าไฟไหม้ ทุกคนปลอดภัย ใช่ไหมครับ”
นายบุญอึกอักไม่ตอบแต่กลับบอกอย่างอื่น
“คุณศีลเข้าไปกราบท่านกับคุณหญิงเถิดครับ ข้างในมีคุณหนูเล็กๆอยู่ด้วยสองคนครับ คงกำลังสนุกกันอยู่น่ะครับ”
“ครับ ขอบคุณมากครับ นายบุญ”
ศีลมองไป แล้วรำพึง
“เสียงคุณหญิงแม่แสนสวย ผู้แสนโอบอ้อมอารีย์”
ศีลนึกถึงเรื่องราวตอนเด็กในงานทอดกฐิน คุณหญิงศรี มาโอบกอดศีลที่มอมแมม และปลอบโยนและ พาเขาไปฝากเรียน...ศีลพึมพำเบาๆ
“เจ้าคุณพ่อ คุณหญิงแม่ขอรับ ผมจะตอบแทนพระคุณ ให้สมกับที่เมตตาผม ยังมีพี่สะบันงา พี่เมี้ยน ล้วนใจดีกับผม ให้กำลังใจผม”
ศีลยังรีรออยู่ เมี้ยนโผล่มามอง ศีลมองเมี้ยน สองคนมองกันแล้วต่างจำได้
“ศีล เอ้อ...คุณศีลนี่นา”
“พี่เมี้ยน สวัสดีครับ”
ศีลรีบยกมือไหว้
“แหมหล่อเหลาสะสวยขึ้นเป็นกองนะเจ้าคะ เรียนชั้นอะไรแล้วเจ้าคะ”
“มอหกครับ”
“เรียนไวจัง”
“ผมได้กระโดดข้ามขั้นไปสองครั้งครับ เอ้อ...ผมอยากไปกราบคุณหญิงแม่”
เมี้ยนสีหน้าไม่ดี ไม่ตอบว่ากระไร
“ท่านเจ้าคุณอยู่ข้างในเจ้าค่ะ”
เมี้ยนเดินมาจูงมือศีลเข้าตึกไป
ในห้องนั่งเล่น...คุณหญิงสะบันงาอุ้มพริ้มเพรา เจ้าคุณอุ้มพริสซิลล่ามาดูพริ้มเพรา เดือนคอยช่วยทั้งสองคน
“คุณพริ้มเพราขา คุณพี่พริสซี่มาหาค่ะ” คุณหญิงสะบันงาบอกกับลูกสาว
เจ้าคุณยิ้มแย้ม
“พริสซี่ ดูน้องสิคะ น้องน่ารักมากๆ เห็นไหมคะ”
ดูเหมือนพริสจะไม่สนใจมองน้อง แต่มองพื้นมองอย่างอื่นแทน เจ้าคุณมองหน้าคุณหญิงสะบันงากันอย่างไม่สบายใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ เธออาจช้า แต่คงไม่ถึงไม่มีพัฒนาเอาเสียเลยค่ะ”
เมี้ยนเข้ามาพร้อมศีล
“มาแล้วเจ้าค่ะ นักเรียนประจำกลับมาเยี่ยมบ้านแล้วเจ้าค่ะ”
ศีลก้มลงกราบเจ้าคุณ
“ศีล โตแล้วนี่นา เข้ามาใกล้ๆนี่สิ”
ศีลเขยิบเข้าใกล้เจ้าคุณ เงยหน้ามองเห็นเพียงคุณหญิงสะบันงานั่งเคียงท่านเจ้าคุณ ไม่มีคุณหญิงแม่ของศีล มีเดือนอีกคนที่วนเวียนช่วยจับพริสซิลล่า ศีลไม่รู้จักเดือนเขาครุ่นคิดในใจ
‘คุณหญิงแม่ไม่อยู่นี่นา ท่านไปไหน’
คุณหญิงสะบันงามองมายิ้มให้ ศีลจึงยกมือไหว้
“สวัสดีขอรับ พี่สะบันงา”
“เรียกแม่นายเถิดศีล” เจ้าคุณบอก
ศีลอึ้งไปนิดหนึ่ง
“ขอรับ คุณแม่นาย”
คุณหญิงสะบันงารับไหว้
“สวัสดีศีล อยู่จนเปิดเทอมเลยนะจ้ะ”
ศีลพอมองออกว่าคุณหญิงสะบันงามาเป็นเมียเจ้าคุณ แต่ไม่เข้าใจว่าคุณหญิงศรีหายไปไหน
“ขอรับ”
“ไม่ต้องอยู่เฉยๆ จะให้ครูมาสอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสให้คล่อง เผื่อจะอยากสอบชิงทุน ไปเรียนต่อเมืองนอกกับเขาบ้าง เอาไหม” เจ้าคุณแนะ
“ขอรับ แต่กระผมอาจสู้คนอื่นไม่ได้”
“ไม่ได้ก็ช่างปะไร พ่อส่งเองได้”
“ขอบพระคุณมากขอรับ”
ศีลยังคงชายตามองหาคุณหญิงศรีเช่นเดิม ใจกระวนกระวายอยากเจอมาก มีเสียงเบาๆเล็กๆดังขึ้น
“น้อง”
ทุกคนหันมามองกันว่าเสียงมาจากไหน เจ้าคุณแปลกใจ
“เอ๊ะ”
คุณหญิงสะบันงาสงสัย
“เสียงใคร”
ศีลชี้พริสซิลล่า
“คุณคนนี้ขอรับเธอเรียก น้อง”
คุณหญิงสะบันงาดีใจ
“ไฮ้ คุณพริสซี่คะ หนูพูดอะไรหรือเปล่าคะ คุณพริสซี่”
คุณหญิงสะบันงามองหน้าพริสซี่ เห็นทำท่าไม่ยินดียินร้าย ไม่ได้ยินมองอะไรเรื่อยเปื่อย
“คุณหนูเธอไม่ได้ฟังคุณสะบันงาพูดหรอกค่ะ” เดือนบอก
เจ้าคุณพึมพำ
“หรือว่าเราหูเฝื่อน”
เมี้ยนพึมพำ
“พากันหูเฝื่อน...อีกแล้วหรือนี่”
ไม่มีใครติดใจว่าพริสซิลล่าพูดอะไรออกมาคิดว่าหูเฝื่อน
คุณหญิงศรีฟังเมี้ยนรายงานส่ายหน้าไม่เชื่อ
“เมี้ยนเหลวไหล”
“แต่เมี้ยนได้ยินจริงๆนะเจ้าคะ เมื่อตอนกลางวันเธอเรียกน้อง เมื่อวันก่อนเธอเรียกมามี่ คุณเองก็ได้ยิน”
“เราพูดกับเธอเธอเคยหืออือ มีใครเคยเห็นเธอฟังใครพูดบ้างไหม”
“นั่นสิเจ้าคะ แล้วเสียงที่พวกเราได้ยินมาจากไหน หรือว่า...”
เมี้ยนมองไปรอบๆ
“เสียงสัมพเวสี เจ้าที่เจ้าทางหรือเจ้าคะ”
“ไปกันใหญ่ เลิกพูด ศีลเป็นอย่างไรบ้าง”
“น่ารัก กิริยา หน้าตามารยาท ไม่บอกก็ต้องว่าเป็นลูกท่านหลานเธอคาบช้อนเงินช้อนทองติดปากมาเกิดแน่นอนค่ะ”
“เป็นบุญของเด็ก”
“เอ้อ เธอกระซิบถามเมี้ยนถึงคุณหญิงแม่ของเธอด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่มีไม่มีคุณหญิงแม่ของใครในโลกนี้อีกต่อไป ให้มันตายไปจากความทรงจำไปซะ ฉันเป็นอย่างนี้ก็เป็นสุขเพียงพอแล้ว ฉันทำใจได้มากแล้วเมี้ยน”
“เมี้ยนดีใจเจ้าค่ะ ที่ได้ยินคุณพูดอย่างนี้”
คุณหญิงศรีแววตาสงบนิ่ง ดูเย็นลงมาก
ค่ำคืนนั้น ศีลนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเงียบๆ ทนไมได้ปิดหนังสือ
“ไม่มีใครยอมเอ่ยถึงคุณหญิงแม่สักคน แปลกแท้ๆ”
ศีลนึกถึงตอนที่เขาถามเมี้ยนถึงคุณหญิงศรี เมื่อตอนกลางวัน
“พี่เมี้ยนครับ คุณหญิงแม่ของผมไปไหนครับ”
“ท่านไม่ต้องการพบหน้าใคร ท่านไปอยู่ของท่านคนเดียวเงียบๆจำไว้ ที่นี่มีเพียงคุณหญิงสะบันงาคนเดียวเท่านั้น ณ เวลานี้”
ศีลครุ่นคิดอย่างแปลกใจ
“คุณหญิงสะบันงา แปลกแท้ๆ คุณพริสซี่ก็เป็นเด็กแปลก เธอไม่สนใจใคร ไม่มองหน้าใคร ๆไม่ฟังใครพูด สนใจแต่เรื่องของตัวเอง เธอตอบคำถามได้ แต่เธอไม่ตอบในเวลาที่คนต้องการฟังคำตอบเธอเป็นโรคอะไรกันแน่ ทุกคนจึงสับสนไม่แน่ใจ”
ศีลปิดหนังสือ เดินออกไปจากห้อง
ศีลเดินเรื่อยเปื่อยมาทางสวนกล้วยหลังบ้าน มีเสียงสะอื้นเบามาก ดังแว่วมา เขาหยุดฟัง
“เสียงคนร้องไห้ ใครกัน”
ศีลขยับเดินใกล้เข้าไปอีกมองฝ่าแสงจันทร์มัวๆ เห็นด้านหลังร่างในชุดสีเข้มคลุมไว้ทั้งตัวทั้งหัวดูรุ่มร่าม ร่างนั้นซบหน้ากับดินที่มีดอกไม้ปลูกอยู่ สะอื้นจนตัวโยน ศีลแปลกใจมาก
“ผู้หญิงคนนั้นกำลังซบหน้ากับดินร้องไห้ทำไม ใครกันนะ”
ศีลเดินแบบเงียบเชียบไปทรุดตัวด้านหลังเงียบเช่นกัน เขามองอาการของหญิงคนนั้นด้วยความสงบและห่วงใย
“คุณผู้หญิงครับ”
คุณหญิงศรีร้องไห้จนสาแก่ใจ เงยหน้าขึ้นหันกลับโดยที่ไม่ปิดหน้าของตัวเอง เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาที่นี่ในตอนค่ำมืด อย่างนี้ ศีลตกใจมาก คุณหญิงศรีตะลึง สองคนมองหน้ากัน คุณหญิงศรีรีบเอาผ้าปิดหน้าทำท่าจะวิ่งหนีไป เธออุทาน
“ศี...”แล้วคุณหญิงศรีก็ชะงัก “ไปให้พ้น”
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คุณหญิงศรีไม่ตอบวิ่งหนีไปจากที่นั่นทันที
“คุณผู้หญิงครับ”
ศีลยิ่งแปลกใจสงสัยว่าที่บ้านเจ้าคุณเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด...คุณหญิงศรีวิ่งขาเป๋ไปหกล้ม
“อุ๊ย”
ศีลตามไปดูพอจะเข้าใกล้ถึงตัว คุณหญิงศรีตวาดแว๊ด
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปให้พ้นจากที่นี่เดี๋ยวนี้ แกจะทำอะไรฉัน”
“ผม ผมไม่ได้จะทำอะไรผมเพียงแค่เป็นห่วง อยากจะช่วยเหลือครับ”
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร”
คุณหญิงศรีหันไปฉวยเสียมที่วางใกล้ๆตรงนั้นยกขึ้นมาตั้งท่าจะตี
“บอกให้ไปให้พ้น ไอ้เด็กบ้า”
ศีลพยักหน้ายกมือไหว้
“ครับ ผมจะไป ผมขอโทษด้วยที่มารบกวน”
ศีลเดินจากไป คุณหญิงศรีมองตามพึมพำเสียงเครือ
“ศีล เธอเป็นเด็กดีจริงๆด้วย สุภาพอ่อนน้อม ไม่รังเกียจ ไม่กลัวหน้าตาอัปลักษณ์ของฉัน แถมยังดูห่วงใย”
คุณหญิงศรีน้ำตารื้น
ศีลเดินลิ่วหน้าตื่นมาเจอเอาบ้านหลังเล็กน่ารักตั้งอยู่
“นี่บ้านใครกัน หรือว่า บ้านของผู้หญิงคนนั้น”
เมี้ยนออกมาจากบ้านกำลังจะออกไปตามหาคุณหญิงศรี
“ทำไมชอบออกไปทีละนานๆตอนมืดๆตามลำพังนะ เดี๋ยวก็เจอหน้าไอ้โจรสองคนนั่นกลับมาอีกหรอก”
เมี้ยนเห็นศีลมองมา
“พี่เมี้ยน พักที่นี่”
“เอ้อ...ใช่ ออกมาทำไมมืดๆแถวนี้มันไม่น่าออกมาเดินเลยนะ มันออกจะน่ากลัว”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ มีแต่ผู้หญิงขาเสียข้างหนึ่ง เธอยังเดินไปมาแถวนั้น มืดๆตามลำพังเลยนะครับ”
เมี้ยนตกใจ
“เอ้อ...เห็นหน้าเธอหรือเปล่า”
“ครับ”
“แล้วไม่กลัวหรอกหรือ”
“ไม่กลัวหรอกครับ”
“อ้อ เอ้อ...”
“พี่เมี้ยน รู้จักเธอหรือครับ”
“พี่สาวพี่เอง”
“พี่สาว ผมอยากคุยกับเธอ”
“เธอไม่ชอบคุยกับใครหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นผมขอคุยกับพี่เมี้ยนเรื่องคุณหญิงแม่ ผมยังติดใจว่าทำไมท่านจึงอยากอยู่ตามลำพังครับ”
“อย่าถามเรื่องนี้เลยนะ ท่านไม่ชอบให้ใครถามถึงท่าน หรือพูดถึงท่านลับหลัง”
ศีลยิ่งแปลกใจ
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
4 ปีผ่านไป...บริเวณสนามหน้าบ้านเจ้าคุณหลังใหม่ พริ้มเพราวัย 4 ขวบ เดินไปเดินมา จุ๋มพี่เลี้ยงจูงเดินมาหาคุณหญิงสะบันงา
“นายแม่ขา”
“คุณพริ้มจะเอาอะไรคะ มานั่งกินขนมกับนายแม่ไหมคะ”
เจ้าคุณยิ้มแย้มเรียก
“มาสิคะ แดดดี้ป้อนให้”
จิ๋ม พี่เลี้ยงอีกคนจูงแพรวพรรณราย วัยสามขวบ ลูกสาวคนที่สองของคุณหญิงสะบันงาเข้ามา แพรวพรรณรายกระชากตุ๊กตาจากพริ้มเพราทันที
“ตายจริง คุณแพรวทำไมแย่งของพี่เล่าคะ ของคุณแพรวก็มีแล้วนี่คะ”
“จะเอา จะเอา จะแย่ง”
“เอาก็ได้ แดดดี้ซื้อให้ใหม่นะคะ พ่อขอตัวนี้คืนพี่พริ้มเขาไปเถิด” คุณหลวงพยายามพูด
พริ้มเพราส่งตุ๊กตาให้น้องทันที
“พี่ให้”
คุณหญิงสะบันงาถอนใจ
“คุณพริ้มใจดีอีกแล้ว ใจดีจนน้องเอาแต่ใจตัวแล้วค่ะ คุณพราวเล่าคะ”
ดาอุ้มพราวพิลาส วัยขวบเดียว ลูกสาวคนที่สามของคุณหญิงสะบันงาเข้ามา
“คุณพราวอยู่นี่ค่ะ”
คุณหญิงสะบันงาหันไปหาเดือน
“แล้วคุณพริสซี่ทำอะไรอยู่คะ”
“เธอนั่งเล่นคนเดียวค่ะ ตรงโน้นค่ะ มีพี่เมี้ยนดูอยู่ค่ะ”
ทุกคนมองตามไป พริสซิลล่าวัยห้าขวบกว่าๆนั่งมองอะไรเงียบไม่พูดไม่จาไม่เล่นกับใคร เมี้ยนเข้ามาบอก
“คุณพริสซี่ขาไปหานายแม่กับแดดดี้นะคะ”
พริสซิลล่าเหมือนไม่ได้ฟัง ยังมองอะไรต่อไปเงียบๆแล้วจู่ๆก็ลุกขึ้นมาหยิบตุ๊กตาที่วางข้างตัวเดินไป หาพริ้มเพราส่งให้
“ให้”
ทุกคนมองแล้วตื่นเต้นดีใจ
“ให้...พริสซี่พูดได้แล้ว” เจ้าคุณมองพริสซิลล่า
คุณหญิงสะบันงาตื่นเต้น
“เธอพูดได้ แถมมีน้ำใจมากๆด้วยค่ะ มานั่งกับแม่นายนะคะ”
พริสซิลล่าไม่สนใครๆ หันกลับ เจ้าคุณชื่นชม
“เก่งมาก ฮันนี่ ไอเลิฟยู”
“เธอรู้นะคะ แต่เธอทำเหมือนไม่รับรู้” เดือนบอก
พริสซิลล่าเดินมาหาคุณหญิงสะบันงา พูดช้าๆ
“เลิฟ...ยู”
คุณหญิงสะบันงาถึงกับน้ำตาคลอ
“คุณพริสซี่ โถ ทูนหัวของแม่นาย”
เมี้ยนปลื้มใจ
“เธอรักคุณสะบันงาค่ะ เธอรู้ว่าคุณรักเธอมาก”
เจ้าคุณยิ้มโล่งใจ
“ฉันดีใจเหลือเกิน อย่างน้อยแกก็ทำอะไรได้มากกว่าที่เรากังวล”
“หรือบางทีอาจจำได้มากกว่าที่เราคิดก็ได้ค่ะ” เดือนออกความเห็น
คุณหญิงสะบันงาภาวนา
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด”
เมี้ยนครุ่นคิดในใจ
‘คุณหญิงต้องดีใจมากแน่ๆ’
เจ้าคุณมองหน้าเมี้ยน ทั้งสองสบตารู้กัน เจ้าคุณพยักหน้า
“คุณพริสซี่ต้องไปรับประทานยา แล้วก็พักผ่อน เมี้ยนพาไปนะเจ้าคะ”
เมี้ยนเดินไปจูงพริสซิลล่ารีบไปจากตรงนั้น พริสซิลล่าพึมพำเบาๆ
“มามี่...มามี่”
เมี้ยนพยักหน้าพูดตอบเบาๆ
“ใช่ค่ะ มามี่ ไปหามามี่กันนะคะ”
เมี้ยนปลื้มจนน้ำตาคลอ
คุณหญิงศรีกอดพริสซิลล่าน้ำตาคลอ
“มามี่” พริสซิลล่าเอ่ยเรียก
“darling แม่ดีใจที่ลูกพูดได้แล้ว”
“เลิฟ...ยู”
คุณหญิงศรีน้ำตาร่วงพรู
“ทูนหัวบอกรักแม่ ใครสอนพริสซี่ให้พูดคำนี้”
เมี้ยนยิ้มแย้มบอก
“ไม่มีหรอกค่ะ คุณพริสซี่เธอไม่ฟังใครหรอกค่ะ เธออยากพูดเธอก็พูด เธอจำเฉพาะที่เธออยากจำเท่านั้นค่ะ ท่านเจ้าคุณท่านบอกเธอว่าไอเลิฟยู เธอเดินไปหาคุณสะบันงาแล้วบอกว่า เลิฟยู ดีใจกันใหญ่ค่ะ”
“พริสซี่รักสะบันงา ใครๆก็รักสะบันงา”
“เธอบอกรักคุณด้วย เธอรักคุณค่ะ”
“โถ ลูกแม่ อย่าให้ใครรู้นะว่าพริสซี่เรียกฉันว่ามามี่ เมี้ยนพาหลบมาได้อย่างไรหรือ”
“บอกว่าจะพามากินยาค่ะ ท่านรู้กันกับเมี้ยน ท่านพยักหน้าเปิดทางให้เมี้ยนค่ะ ท่านอยากให้คุณได้พบกันค่ะ”
“พยายามจะลบล้างสิ่งที่ทำไว้น่ะสิ ฆ่าฉันให้ตายแทนเสียดีกว่า มันฆ่าน้องฉัน”
“ทำใจละวางค่ะ อย่าลืมค่ะ กุศลจะส่งให้คุณหนูพูดได้มากๆนะคะ”
“เพื่อลูก ฉันจะทำใจละวาง” คุณหญิงศรีเศร้า
พริสซิลล่าหันไปสนใจอย่างอื่นนาน พูดลอยๆ
“มามี่ ไอเลิฟยู”
คุณหญิงศรีผวาไปหากอดไว้
“ไอ เลิฟยู ฮันนี่”
เมี้ยนมองแม่กอดลูก น้ำตาพาลซึม
ปารีส...ปีแอร์กับปานวาด เดินจูงธรรม์ ลูกชายวัย 6 ขวบเดินเล่น สามคนร่าเริงมีความสุขกันเดินจับมือลูกคนละข้างจับลูกยกลูกชายที่ก้าวกระโดด
“วัน ทู ทรี จัมพ์”
สามคนพากันมานั่งในสวนสาธารณะ
“ลูกโตแล้ว ปานวาดกลับไปเรียนอีกนะ”
“โน แล้วใครจะดูแลธรรม์”
“ธรรม์ก็ไปเข้าโรงเรียน”
“เยส ธรรม์ไปโรงเรียน ดังนั้นไอไม่ต้องเรียน เอาเงินค่าเรียนของไอมาให้ธรรม์เรียน”
“ซอรี่ พ่อแม่ยูรู้หรือยังว่ายูมีลูก”
“NO ไออยากบอก แต่ยังไม่กล้าบอก พ่อแม่คงตกใจ เสียใจ พ่อแม่ไอคงอยากให้เรียนจบก่อน ถ้าไอเรียนจบคงกล้าบอก แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไอไม่กล้า”
“เพราะไอ ทำให้ยูลำบาก ปานวาด ซอรี่”
“ไม่ต้องซอรี่ ไอมีความสุขที่ได้อยู่กับยู”
ธรรม์พูดขึ้น
“มามี่ ธรรม์ หิวน้ำ”
“จริงสิมามี่รีบมาก ลืมหยิบน้ำมาด้วย รอมามี่ที่นี่ มามี่จะไปซื้อน้ำให้”
“สองคนรอที่นี่ แดดดี้จะไปซื้อให้เอง”
“thank you ธรรม์ เซแทงคิ้ว ทู แดด”
“thank you แด๊ด” ธรรม์ยิ้ม
ปีแอร์ป่องแก้มสองข้างและชี้สองข้าง บอกปานวาด กับ ธรรม์
“คิสมี พรีส”
สองคนจูบปีแอร์คนละข้าง ปีแอร์จูบตอบสองคน แล้วเดินไปที่ขอบสนามข้ามถนน ปานวาดหันมาส่งแซนด์วิชให้ธรรม์กิน ตัวเองกัดกินด้วย มีเสียงรถเบรก มีเสียงดังปึ้ก โครม มีเสียงคนกรีดร้อง ปานวาดกับธรรม์ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
ปานวาดผวา ดึงธรรม์ลุก
“ปีแอร์”
ปีแอร์นอนจมกองเลือดอยู่บนถนน ปานวาดกับธรรม์วิ่งมาดูตกตะลึง แล้วกรีดร้อง
“โน โน darling โนๆ”
ปานวาดผวาไปกอดปีแอร์ที่นอนตรงนั้น ร้องไห้ ธรรม์นั่งร้องไห้ เสียงรถพยาบาลดังใกล้เข้ามา
ศีลก้มลงกราบเจ้าคุณ และคุณหญิงสะบันงา
“ยินดีด้วย ดีใจด้วย ที่สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อได้” คุณหญิงสะบันงาเอ่ยยินดีกับศีล
เจ้าคุณยิ้มแย้ม
“ความจริง ถึงไม่ได้ทุนก็ตั้งใจว่าจะส่งให้เรียนจนถึงที่สุด”
“กระผมทราบขอรับ เรียนจบกลับมาใช้ทุนเขาแล้ว จะมาทดแทนพระคุณขอรับ”
“ดี...ดีมาก กำลังคิดว่าจะเปิดห้างฝรั่งขายของนำเข้าจากเมืองนอกมาช่วยงานกันนะ”
“ถ้าเราจะผลิตพวกขนมปัง ไส้กรอก เนย ไปขายแข่งกับคนอื่นเขาบ้างจะพอไหวไหมคะ” คุณหญิงสะบันงาเสนอ
เจ้าคุณยิ้มกว้าง
“เมียฉันช่างขยันเกินไปแล้ว ตอนนี้ลูกสาม แถมพริสซี่อีกหนึ่งเป็นสี่ดูแล ลูกไปก่อนเถิด คนดี”
คุณหญิงสะบันงาหันมายิ้มให้ศีล
“เดินทางปลอดภัย ประสพความสำเร็จกลับมานะ นายแม่จะเอาใจช่วย”
“ขอรับนายแม่ ขอบพระคุณมากขอรับ”
เจ้าคุณพยักหน้าให้คุณหญิงสะบันงา เธอเดินไปหยิบซองมาหนึ่งซองในนั้นมีเงินส่งให้ศีล
“เงินนี่ให้ไว้เป็นพอคเก็ตมันนี่ หนึ่งหมื่นบาท” เจ้าคุณบอก
“ขอบพระคุณมากขอรับ ผมจะเก็บเอาไว้เป็นขวัญถุง ไว้ลงทุนสำหรับตอนกลับมาจากต่างประเทศขอรับ”
ศีลไหว้ลาจากไป
เจ้าคุณกับคุณหญิงสะบันงา นั่งทานอาหารด้วยกัน
“ท่านคะ ฉันมีลูกสาวมาสามคนแล้ว ยังไม่ได้ลูกชายสักที ฉันขอโทษ”
“ขอโทษทำไม ลูกสาวสามคนนี้ ทำให้ฉันมีความสุข ความทุกข์ความกังวลลึกๆที่เคยมี แม้ยังติดฝังอยู่ แต่จิตใจฉันก็ผ่องแผ้ว สดชื่นแยกแยะได้ดังที่สะบันงาเคยเตือน”
“แต่ท่านอยากได้ลูกชาย”
“ไม่มีก็ไม่เป็นอะไร สะบันงาคนดีอย่าทุกข์ใจกับเรื่องนี้”
“ท่านอายุเกือบจะห้าสิบ ท่านควรมีลูกชายเพื่อไว้สืบสกุลค่ะ”
“นันเซนซ์ เหลวไหล”
“บางทีท่านกับเดือน อาจมีลูกชายด้วยกันได้ ทำไมท่านไม่ค่อยไปหาเดือนคะ”
“ฉันแก่แล้ว ไม่ได้จ้องแต่จะนอนกับผู้หญิง เดือนน่ารักมาก ดีมาก แต่ฉันอยากมีสะบันงาคนเดียว”
“เราตกลงกันแล้วตอนที่ฉันท้อง ว่าท่านจะรับเดือนไว้อีกคน ท่านก็รับเดือนไว้ ทำไมไม่ยอมไปหาเดือน”
“ฉันเกรงใจสะบันงา”
“เลิกเกรงใจค่ะ ท่านควรพยายามมีลูกชายก่อนที่จะแก่มากกว่านะคะ คืนนี้ไปนอนตึกโน้นนะคะ ฉันจะเอาคุณพริสซี่มานอนที่นี่ด้วยกัน”
เจ้าคุณพยักหน้าให้คุณหญิงสะบันงา
เก้าเดือนผ่านไป...เมี้ยนมารายงานคุณหญิงศรี
“เดือนคลอดลูกแล้วเมื่อสามวันก่อนที่โรงพยาบาล เป็นลูกชายค่ะ ดีใจกันทั้งบ้าน”
“ชีวิตพวกเขายังมีเรื่องให้ดีใจกันอีกแยะ”
“ยังไม่จบค่ะ วันนี้คุณสะบันงาไปคลอดลูกที่เดียวกัน ได้ลูกชายเหมือนกันค่ะ แบบนี้เขาเรียกลูกอิจฉามาเกิดนะคะ”
“ดีใจกับสะบันงา ทำแต่ความดี ผลแห่งความดีส่งให้ได้สิ่งดีงามเรื่อยๆมา”
“ทีนี่แหละเจ้าค่ะ เด็กเต็มบ้าน”
“พริสซี่เป็นอย่างไรบ้าง พรรคนี้ถึงอยากเจอแต่ก็ห่วงเขา ไม่อยากให้เขารู้ว่าเป็นลูกฉัน แอบมองเอาน่าจะดีกว่า เมี้ยนไม่ต้องพามาแล้วนะ”
“โธ่ ทำไมต้องตัดความสุขตัวเองไปเสียทุกอย่างคะ นี่ก็เหลือแค่สุขเดียวเท่านั้น โธ่”
“ฉันต้องทำเพื่อลูก ฉันต้องอดทนเพื่อลูก เมี้ยนไม่มีลูกไม่รู้หรอกว่าความรักที่เรามีต่อลูกมันยิ่งใหญ่มหาศาลเพียงใด อย่าให้พริสซี่มาที่นี่อีก ตอนนี้เขาเจ็ดขวบยังจำอะไรไม่ได้มาก แต่ฉันได้ใช้เวลาเจ็ดปีตรงนี้จดจำและดื่มด่ำกับความรักความสุขจากเขามากมายและสมควรพอแล้ว”
“แล้วแต่คุณเถิดค่ะ”
เมี้ยนรับปาก
จบตอนที่ 9