xs
xsm
sm
md
lg

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 9

ส่วนทางด้านเกษลดายังคงครุ่นคิดหนัก ปรึกษาหารือกับตัวเองดังๆ อยู่คนเดียวในห้องนอน

“ยายผีบ้าห้ามเราไม่ให้ยุ่งกับเจ้าคุณเพราะ...เจ้าคุณคือหนึ่ง…ให้เชื่อมั้ยเนี่ย”
เกษลดาเดินไปเดินมา ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง
“ถ้าคิดต่อไปต้องเป็นบ้าแน่ชั้น แค่ฝันเว้ย”
เกษลดาเดินไปที่เตียง ล้มตัวนอน แต่ก็ต้องทะลึ่งขึ้นมาอย่างแรง
เมื่อเสียงเย็ยยะเยือกของคุณประยงค์ดังมา “เจ้าคุณขา...เจ้าคุณ”
เกษลดาร้อง “เฮ้ย” แล้วเงี่ยหูฟัง
ทุกอย่างเงียบแต่พอจะนอนเสียงนั้นดังอีก
“เจ้าคุณขา…”
“จะหาเจ้าคุณใช่มั้ย...ได้...ตามให้” เกษลดาพูดอย่างท้าทาย

เกษลดาเดินเร็วมาตามระเบียง เพื่อจะไปห้องเชษฐา ปากก็พูดเสียงประชด “เดี๋ยว ตามให้รอเดี๋ยว” ใบหน้าคุณประยงค์อยู่ในเงามืดแห่งหนึ่ง ส่งกระแสจิตเรียกเชษฐาให้เกษลดาหลงกล
“เจ้าคุณเจ้าขา”
เกษลดาชะงักกึก หันมาทางเสียงอย่างเร็ว หล่อนมองลงมาข้างล่าง แล้วฉับพลันนั้นเองก็เห็นร่างตะคุ่มๆ ของคุณประยงค์หันหลังให้อยู่
เกษลดาวิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ซอยเท้าลงบันไดมา วิ่งไปพูดไป
“ฉันมาแล้วคุณชวด”
เกษลดาพุ่งตรงไปที่คุณประยงค์ที่เห็น ปรากฎว่าว่างเปล่า...ไม่มีใคร
“นี่ คุณชวด บอกให้นะฉันไม่กลัวผี หลอกผิดคนแล้ว ฉันแค่ตกใจแต่ไม่กลัว ตอนนี้หายตกใจแล้ว มาเลย....ฉันรู้ คุณชวดทำอะไรฉันไม่ได้หรอกเพราะคุณเป็นผี เข้าใจมั้ย ผีที่ทำอะไรคนไม่ได้”
ประตูที่จะออกไปข้างนอกตึก เปิดผางออกทันทีทั้งสองบาน เกษลดาหันขวับไป ร่างคุณประยงค์ แวบหายไปอย่างรวดเร็ว เกษลดา วิ่งพรวดเดียวถึงประตู มองออกไป ทว่าทุกอย่างเงียบงัน
เกษลดาหันหลังจะกลับเข้าห้อง แต่แล้วต้องหันกลับไปเมื่อเสียงคุณประยงค์ดังขึ้นอีก
“เจ้าคุณขา”
ร่างคุณประยงค์ลอยวูบไปอย่างเร็ว พลางชูมือเรียกเจ้าคุณ เหมือนกำลังจะไปหา แล้วหายวูบไป
เกษลดาตามไปทันที ไม่รีรอเลย หล่อนเดินแกมวิ่งไปอย่างรวดเร็ว และลับตัวหายไปในพุ่มไม้หนาทึบ

เกษลดาตามคุณประยงค์ที่ปรากฏแวบไปแวบมา จนถึงในบริเวณรกทึบ ตามจนนึกขึ้นได้
“เฮ้ย จะบ้าเหรอเนี่ย มาตามผีทำไม เฮ้อ...” หล่อนถอนหายใจใหญ่ “นี่คุณชวด จะไปตามเจ้าคุณที่ไหนก็ไปเถอะฉันจะกลับแล้ว”
จังหวะที่เกษลดาหันหลังกลับ มีเสียงหัวเราะของคุณประยงค์ดังมาแผ่วๆ น่าขนลุก
เกษลดาเดินไปบ่นไป “หัวเราะไปเถอะ หัวเราะให้ตายก็เป็นผีอยู่ดี ฉันไปนะคุณชวดขอให้ตามหาเจ้าคุณให้เจอ แต่จะบอกให้นะไม่ใช่หนึ่งหรอก เพราะหนึ่งเขายังไม่แก่จะเป็นเจ้าคุณได้ไง เจ้าคุณต้องแก่หงำเหงอะสิคุณชวด”
เกษลดาหยุดเดิน มองไปรอบๆ ครุ่นคิด มองหาทางกลับ แล้วตัดสินใจเดินดุ่มไปทางหนึ่ง

ที่บริเวณห้องรูปย่าน้อยและคุณสวาสดิ์
ย่าน้อยกลับเข้ารูปแล้วเอ่ยขึ้น “ความรักนี้เป็นทุกข์จริงเหรอ”
“ใครมั่งคะคุณอาน้อย”
“คุณย่าประยงค์ของหนู...อีเกด...ท่านเจ้าคุณ...พี่อร”
“พี่อรเขาทุกข์อะไรคะคุณอา เขาไม่รู้เรื่องคุณย่าก็ไม่ทำอะไรเค้า ทำแต่อีเกดคนเดียว” คุณสวาสดิ์งง
“เขาทุกข์เพราะเขากำลังจะรักไงลูกสวาสดิ์”
“กำลังรัก....รักเจ้าคุณเหรอคะ”
ย่าน้อยมองคุณสวาสดิ์ แล้วหวนคิดเรื่องของตัวเอง สีหน้ารันทด
“คุณอา...คุณอาก็กำลังรักใช่มั้ยคะ”
“อารักมานานแล้ว เป็นรักที่ไม่เคยหมดไปเลย”
“โถ...คุณอา” ผีเด็กหัวจุกนึกสงสาร
“รักที่สมหวัง...ลืมได้ง่าย แต่รักที่ไม่สมหวัง อยากลืมเท่าไหร่ก็ลืมไม่ได้เลย”
ขาดคำย่าน้อยน้ำตาร่วง ทรุดตัวลงนั่ง ก้มหน้า
คุณสวาสดิ์ลอยวูบมาถึงตัวย่าน้อย กอดปลอบโยน เช็ดน้ำตาให้
“คุณอารักใครหรือคะ”
ย่าน้อยกล้ำกลืนน้ำตาลงคอ “เขาชื่อคุณหลวงขจร เราพบกันวันลอยกระทง”

ที่ท่าน้ำคฤหาสน์ในวันลอยกระทง บรรยากาศสวยงาม
เวลานั้นคุณน้อยลอยกระทงอยู่มุมหนึ่งของท่าน้ำ มีบ่าวคอยอยู่ 2 คน หลวงขจรเอง ลอยอยู่อีกมุม ตรงกลางมีเด็กหญิงตัวเล็ก อายุราว 4-5 ขวบ คนหนึ่ง คั้นอยู่
“หนู....ฉันช่วยนะจ๊ะ หนูอธิษฐานนะ”
เด็กอธิษฐาน แล้วส่งกระทงให้ หลวงขจรนำไปลอย เด็กขอบคุณแล้วพี่เลี้ยงพาไป
คุณน้อยมองเห็นตลอด
พอเด็กออกไป สองคนก็มองสบตากัน คล้ายถูกกามเทพแผลงศรรัก
คุณน้อยคอยหลบตาแล้วก้มลงลอยกระทงไป หลวงขจรก็ลอยเหมือนกัน
กระทงของคุณน้อยลอยเข้าไปหากระทงหลวงขจร แล้วลอยคู่กันไป
สองคนจ้องกระทง แล้วหันมาสบตากันอีก หลวงขจรกระเถิบมาอีกนิด
มีบ่าวสะกิดคุณน้อยให้กลับ คุณน้อยยิ้มให้นิดๆ ลุกขึ้นเดินไป หลวงขจร ลุกตามไปจนถึงตัว
คุณน้อยร้อง “อุ๊ย” เบาๆ
หลวงขจรทัก “คุณ...”
บ่าวดึงมือคุณน้อยไปทันที
“ผมชื่อวีระครับ” หลวงขจรแนะนำตัว

ย่าน้อยกับคุณสวาสดิ์คุยกันต่อ
“เอ้ย คนละคนหรือคะ คุณอาว่าเขาชื่อขจรไงคะ”
ย่าน้อยขำ “ลูกสวาสดิ์...สมแล้วที่เป็นเด็ก ขจรเป็นยศ หลวงขจรชื่อจริงเขาชื่อ วีระ”
“งามมั้ยคะ”
“งามหรือไม่งาม หนูก็ดูหน้าคุณมนัสวีร์เพื่อนท่านเจ้าคุณแล้วกัน”

ขณะเดียวกันในบริเวณอันป่าหลังบ้านอันรกทึบ เกษลดาเดินมาเรื่อยๆ พยายามใช้หัวคิดว่ามาทางนี้ถูกหรือเปล่า พระจันทร์เต็มดวงสาดส่องสว่างไสวไปทั่ว

เกษลดาเดินมาถึงอีกที่หนึ่งก็หยุด กวาดตามองทางอย่างพิจารณา

เวลานั้นคุณสวาสดิ์มานั่งอยู่ตรงหน้ารูปย่าน้อย ผีสองอาหลานคุยกันเรื่องราวชีวิตหนหลัง

“จริงเหรอคะคุณอา คุณมนัสวีร์คือหลวงขจรเหรอคะ”
“ตอนสมัยโน้นเขาก็หน้าตาอย่างนี้”
“คุณอาเล่าให้หนูฟังหน่อย หนูอยากรู้”
ย่าน้อยกังวลแต่เรื่องเกษลดา “อีเกดไปเสียทางไหน ทำไมยังไม่กลับมาอีก”
“ช่างอีเกดเถอะค่ะ หนูอยากฟังเรื่องคุณหลวง”
“เขาทำงานที่กระทรวงธรรมการเหมือนท่านเจ้าคุณ ตั้งแต่พบเขาที่วันงานลอยกระทง อาก็เฝ้าคิดถึงเขา เขาคงคิดถึงอาเหมือนกัน สมัยนั้นอาสวยนะลูกสวาสดิ์”
“เดี๋ยวนี้คุณอาก็สวยค่ะ” ผีหัวจุกบอก
“ก็อาตาย”
คุณสวาสดิ์หน้าหมองลง
“อาตาย ตอนอายังสาวยังสวย ตายแล้วร่อนเร่อยู่ตรงนี้ไปไหนไม่ได้ อาก็ต้องสาวต้องสวยอย่างนี้ไปตลอด”
“เหมือนหนูใช่มั้ยคะ หนูก็จะเป็นเด็กหัวจุกไปอีกกี่กัปกี่กัลล์ล่ะคะคุณอา”
“เอ๊ะ ไม่ได้ล่ะลูกสวาสดิ์ อาเป็นห่วงอีเกดมันจะไปทางไหนเนี่ย”
คุณสวาสดิ์บอก “คุณย่าฆ่าตายแล้วมั้งคะ”

วิญญาณย่าน้อยมาปรากฏที่เรือนคุมขังวิญญาณคุณประยงค์
“คุณอาอย่าฆ่ามันนะคะ คุณอาเคยฆ่ามันมาหนหนึ่งแล้ว ถ้าฆ่าอีกบาปกรรมตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิดเลยนะคะ”
คุณประยงค์บอก “แค่สั่งสอน แม่น้อยแค่สั่งสอน”

ขณะเดียวกันที่บริเวณป่าอันรกทึบ เห็นชัดว่าเกษลดาเริ่มลนลาน หาทางกลับไม่ได้ มีเรื่องชวนสยองด้วย ทางโน้น ทางนี้ ทำให้เกษลดาต้องหันไปหันมา ด้วยมีทั้งมีนกบินโฉบมาใกล้ มีเงาของผีในป่า บางตัววิ่งวอบแวบ พร้อมมีเสียงประหลาด
“คุณชวด ไม่สวยนะเล่นแบบนี้ เก่งจริงอย่าเอาตัวช่วยสิ ออกมาเลยฉันพร้อมจะสู้นะ”
มีแต่สรรพเสียงป่า ฟังแล้วน่ากลัวมาก เสียงสัตว์ร้อง เสียงไม้ลั่น เป็นระยะๆ
เกษลดายืนนิ่ง สีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมานิดๆ

ที่หน้าบ้านธรรมวรานุรักษ์ เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหญิงสร้อย ละมุน และฝน คอยพระเพื่อใส่บาตร คุณหญิงนั่งที่เก้าอี้ ละมุนยืนคุยเบาๆ กับฝน ตาก็มองของที่วางบนโต๊ะ
“เอ๊ะ เจ้าฝน ป้าว่า ดอกไม้กำนั้นไม่มีเทียนนะ เจ้าไม่ได้ใส่เหรอ”
“ไหนคะป้ามุน”
ละมุนเดินไปดู “ไม่มีจริงๆ เจ้าไปเอาในบ้าน เร่งคุณชนะมาด้วย บอกว่าพระจะมาแล้ว”
“ค่ะ” ละมุนกลับเข้าไปในบ้าน
คุณหญิงสร้อยนั่งหน้าหมองๆ คิดถึงลูกสวาสดิ์
“ท่าน....ไม่สบายรึเปล่าคะ”
“ฉันคอยลูกสวาสดิ์ทั้งคืนละมุน” คุณหญิงว่า
ละมุนมีสีหน้าตกใจเล็กๆ

ด้านย่าน้อยเอ่ยขึ้นที่หน้าห้องรูปคุณสวาสดิ์ “ลูกสวาสดิ์ ชักจะไม่ค่อยดีแล้วนะ อีเกดมันไม่กลับมาทั้งคืน”
คุณสวาสดิ์จดจ่ออยู่แต่เรื่องตัวเอง “คุณอาขา คุณแม่คอยหนูทั้งคืนค่ะ หนูจำไม่ได้ว่าบอกคุณแม่ว่าจะไปหา หนูว่าหนูไม่ได้บอกนะคะ”
“คืนนี้ไปหาสิ แต่อีเกดเนี่ยสิจะทำอย่างไรดี มันไปไหน” ย่าน้อยวกกลับเข้าเรื่องเกษลดา
“คุณแม่น่าจะมาที่นี่บ้าง ถึงอย่างไรคุณแม่ก็เคยอยู่” ผีเด็กผมจุกก็จดจ่ออยู่แต่เรื่องเดิม

ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ชัยชนะตามมาสมทบ แล้วเอ่ยขึ้น
“คุณย่าครับ ไปบ้านโน้นซักวันมั้ยครับ ผมจะพาคุณย่าไป”
“ลูกสวาสดิ์จะมาหาแม่ที่นี่”
ทุกคนฟังแล้วอึ้งไปหมด พระเดินมาถึงพอดี
“พระมาแล้ว พ่อชนะขอย่าจับ” ชัยชนะส่งแขน คุณย่าลุกขึ้น “ย่าจะไปใส่ข้าวนะ พ่อชนะใส่กับข้าว แล้วย่าจะถวายดอกไม้...นิมนต์เจ้าค่ะ”
คุณหญิงสร้อยใส่บาตร ด้วยจิตใจแน่วแน่มาก สีหน้าละมุนละไมอิ่มเอิบ ยิ้มน้อยๆ
“ลูกสวาสดิ์ของแม่ ขอให้ลูกรับบุญกุศลที่แม่ส่งไปให้เพื่อว่าลูกจะได้หลุดพ้นไปเกิดในภพภูมิอื่นเสียที”
น้ำตาคุณหญิงสร้อยหยดเผาะ อธิษฐานในใจ ขณะมือยังใส่บาตรอยู่

รูปคุณสวาสดิ์มีน้ำตารื้นขึ้นมาเต็มตา “เจ้าค่ะ...คุณแม่เจ้าขา”
คุณสวาสดิ์ หลับตานิ่ง น้ำตาก็ไหลพราก

พระเดินจากไปแล้ว คุณหญิงสร้อยยังพนมมืออยู่ เรียกออกมา “พ่อชัยชนะ”
“คุณย่า”
คุณหญิงสร้อยลืมตามองชัยชนะ สายตาบอกอะไรบางอย่าง
ชัยชนะเข้าใจ “ครับคุณย่า เราไปกันวันนี้เลยครับ”

กระแสจิตแม่ลูกถูกส่งถึงกัน คุณสวาสดิ์ถึงกับยิ้มออกมาทั้งน้ำตา บอกย่าน้อย
“คุณแม่ คุณแม่จะมาหาลูก คุณอาขา...คุณอา”
ย่าน้อยกังวลมาก “แม่สวาสดิ์ อาว่าต้องเกิดอะไรไม่ดีกับอีเกด ไม่รู้คุณอาสั่งสอนมันถึงแค่ไหน เราไปดูกันมั้ย อาเห็นมันแล้วล่ะ...มันอยู่ที่...”
คุณสวาสดิ์ย้ำเรื่องตัวเอง “คุณอา ไม่ได้ยินเหรอคะ คุณแม่จะมาหาหนูที่นี่ค่ะ”
ย่าน้อยนิ่งไป สีหน้าเป็นห่วงเกษลดา
ขณะที่ปู่กลับเดินงกๆ เงิ่นๆ มาตรงบริเวณที่รกทึบ จะไปตามหาเกษลดา
เสียงคุณประยงค์ดังมาจากด้านหลัง “ไอ้กลับ”

ปู่กลับหยุดกึกทันที
 
อ่านต่อหน้า 2

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ปู่กลับเหลียวแลหาที่มาของเสียง ครั้นเพ่งเข้าไปในเงามืดของบริเวณต้นไม้อันรกทึบ ชายชราก็เห็นร่างของคุณประยงค์ลางๆ อยู่ในนั้น จึงรีบหมอบลงทันที

“คุณท่าน”
เสียงคุณประยงค์ดังขึ้น “เอ็งจะไปไหนไอ้กลับ”
“ไปช่วย...เอ้อ ช่วย...”
คุณประยงค์สวนออกมา “ช่วยอีเกด มึงสาระแนมากนะไอ้กลับ ทำผิดหลายอย่าง จับกูไปขัง ตอนนี้จะไปช่วยอีเกดทั้งๆ ที่รู้ว่ากูส่งมันไป ไอ้กลับมึงอย่าอยู่เลย”
มีเสียงลมพัดดังอู้มาแต่ไกล
“คุณท่านคนใหญ่ขอรับ ฆ่าไอ้กลับเถิดขอรับ ไอ้กลับกราบ...” ปู่กลับกราบลงกับพื้น
คุณประยงค์นิ่งอึ้งไป สีหน้าคล้ายเสียใจอยู่เหมือนกัน
“คุณท่านฆ่าคนมา 5 คน แล้วนะขอรับ 5 คน มันมากเกินไปนะขอรับ ไอ้กลับคนสุดท้ายนะขอรับ” ชายชราวอนขอ
คุณประยงค์มีหน้าตาเหยเก ด้วยถ้อยคำนั้นเสียดแทงใจยิ่งนัก ร่างวิญญาณร้ายค่อยๆ เลือนรางไปในที่สุด
ปู่กลับจ้องเข้าไปอีกที พบว่าที่ตรงนั้นว่างเปล่าแล้ว
“ไอ้กลับสุดทนแล้วขอรับ” ชายชราน้ำตาคลอเต็มตา “ทนมาหลายสิบปี คุณท่านสงบบ้างเถิดขอรับ กระผมสงสาร” สิ้นคำท้าย ชายชราสะอื้นฮักๆ
ปู่กลับก้มหน้าอาดูรอยู่อีกชั่วอึดใจ แล้วนึกขึ้นได้ มองเพ่งเข้าไปในป่ารกชัฏเบื้องหน้า ส่งเสียงเรียกอีเกด หรือเกษลดา
“อีเกดเอ๊ย ตายรึยังล่ะเอ็ง”

ภายในป่ารกทึบยามนั้น เกษลดานอนทอดยาว เหมือนคนตาย ทว่าเปลือกตาขยับคล้ายคนกำลังฝันร้าย

เกษลดาวิ่งหาทางออกวุ่นวาย ไปทางโน้นที ไปทางนี้ที แต่ก็ไม่พบ จนหกล้มหกลุก หมดแรงเหนื่อยอ่อน หอบจนตัวโยน ทว่าสีหน้าเกษลดา ยังแค้นจัด ฟังเสียงอย่างใจสู้
“เก่งจริงออกมา อย่ามัวแต่หัวเราะ” เกษลดาหอบอย่างแรง ด่าด้วยน้ำเสียงเบาต่ำ “ไม่มีศักดิ์ศรีเลยนะคุณ อุตส่าห์เป็นตั้งสิงหมนตรี แต่ทำตัวเหมือนหมามากกว่าสิงห์”
ได้ผล เสียงคุณประยงค์ดังกังวานขึ้น “อีไพร่สถุล บังอาจด่ากูเรอะ มึงอยู่ไปเถอะในป่านี้ไม่ต้องออกไปไหน”
ร่างคุณประยงค์วูบเป็นลมรุนแรงพัดผ่านเกษลดาไป จนเกษลดาเซถลาซบลงกับพื้น ยินเสียงหัวเราะแว่วๆ ห่างออกไป แล้วก็กลับมาดังก้องอยู่ข้างหู แล้วก็ห่างไปอีก
เกษลดาแค้นเคืองจัด ร้องเรียกให้คนช่วย
“ช่วยด้วย...มีใครอยู่แถวนี้มั้ย ช่วยฉันด้วยฉันหลงทาง”
มีเสียงหัวเราะเยาะหยัน ดังใกล้หูเกษลดามากๆ จนเกษลดาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปทางนั้นที เสียงหัวเราะก็ดังจากอีกทางเกษลดาหันไปหันมาหาต้นตอ....จนเหนื่อย หยุดสายตาไม่ยอมแพ้
“เอาเลยจะหัวเราะให้ตาย ฉันก็ไม่สนเพราะคุณทำอะไรฉันไม่ได้คุณเป็นผี...เข้าใจมั้ยเป็นผี” สุดท้ายเกษลดาคิดอะไรขึ้นมาได้ “ห้ามฉันไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับหนึ่ง ทำไมคุณคิดอะไรกับหนึ่ง คุณชอบเขาเหรอ” หล่อนได้ทีหัวเราะเยาะเย้ยดังลั่น “โอย ขำจริง ผีมารักคนเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า เป็นผีก็ไปสมสู่กับผีด้วยกันสิ”

ขาดคำมีไม้ท่อนหนึ่ง ตกเปรี้ยงใส่เกษลดาเต็มแรงที่หัวไหล่ ร่างเกษลดาล้มฮวบลงไปนอนเหยียดยาว

ฟากรูปย่าน้อย รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ครวญออกมา
“โธ่เอ๋ย อีเกด มึงจะโดนเค้าฆ่าซ้ำฆ่าซ้อน ไปอีกกี่ชาติกี่ภพกัน”
“แล้วคุณหลวงขจรโดนคุณย่าฆ่าหรือเปล่าคะ คุณอา” ผีผมจุกถาม
“ไม่...ไม่เกี่ยวกัน คุณย่าแค่หมั่นไส้อา เพราะอาเป็นสุขแต่คุณย่าเป็นทุกข์” ย่าน้อยบอก
“คุณอาเป็นสุขแค่ไหนคะ” คุณสวาสดิ์ยิ้มหวาน นัยน์ตาล้อๆ
ย่าน้อยยิ้มพรายเต็มหน้า...คิดถึงความหลัง...อิ่มสุข
“เป็นสุขมาก หลวงขจรมาปรึกษาข้อราชการกับท่านเจ้าคุณ แค่ได้เห็นหน้าอาก็เป็นสุขเหลือเกิน...ไม่ขออะไรมากกว่านั้น”

ภาพเหตุการณ์ในห้องโถงคฤหาสน์สิงหมนตรีผุดขึ้นมาในห้วงคิดย่าน้อย
เวลานั้นท่านเจ้าพระยา เจ้าคุณ และคุณหลวงขจร นั่งคุยกันอยู่เบาๆ
“พระเจ้าอยู่หัวทรงออก พ.ร.บ. เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างเป็นธงไตรรงค์แล้วนะขอรับ”
“อ๋อ พระเจ้าอยู่หัวทรงเล่าว่าเคยทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองว่า มีคนชักผิดข้างธงช้าง ช้างก็เลยขาชี้ขึ้น ทรงคิดว่าเขารีบเลยทรงดำริจะเปลี่ยนธงชาติจากธงช้างเป็นธงผ้าแถบสีธรรมดาๆ” ท่านเจ้าพระยาเสริม
“ขอรับอีกอย่างธงช้างต้องสั่งซื้อจากเมืองนอกด้วย ถ้าเป็นธงแถบสีก็จะไม่ยุ่งยากราษฎรก็จะมีธงใช้เพราะเย็บเองได้”
“ตกลงใช้ 3 สี อ๋อ ถึงเรียกธง ไตรรงค์”
ระหว่างนั้นคุณหลวงขจร ซึ่งนั่งฟังอยู่ แต่นัยน์ตามองวอบแวบไป ด้านหลัง มองคุณน้อยซึ่งเดินนำบ่าวหญิง 2 คน ถือถาดใส่ของว่างตรงมา กิริยางดงามแช่มช้อย
หลวงขจรตะลึงงัน คุณน้อยงดงามราวนางฟ้าในความคิด สองคนสบตากัน
คุณน้อยชม้ายตาลงมองต่ำ เขินนิดๆ แต่พยายามระงับความรู้สึกสุดความสามารถ

คุณสวาสดิ์ฟังเรื่องราวอย่างตื่นเต้นตามประสาผีเด็กแก่แดด
“อุ๊ย คุณอาขา ซาบซึ้งจังค่ะ”
“แก่แดดอีกแล้วลูกสวาสดิ์ ซาบซึ้งทำไมเพิ่งแรกพบกันจากวันลอยกระทงนะวันนั้นน่ะ”
“เหรอคะ แล้ววันอื่นล่ะคะ”
“วันอื่น....ทุกวันที่คุณหลวงมาหาท่านเจ้าคุณ”
“ทำไมไม่หากันที่กระทรวงล่ะคะ ทำไมต้องมาบ้าน”
“เอ....นั่นสินะอาก็สงสัยเหมือนกัน” ย่าน้อยบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ
คุณสวาสดิ์รู้ทัน มองหน้าแล้วยิ้มๆ “นั่นแน่ คุณอาไม่ทราบจริงๆ หรือคะ”

ย่าน้อยไม่ตอบ ผีเด็กผมจุกทำท่าหยอกล้ออย่างน่ารัก รอฟังเรื่องต่อ

อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ห้องโถง ในวันหนึ่ง โดยท่านเจ้าพระยา เจ้าคุณ และหลวงขจร สามคนนั่งคุยกันอยู่อีกบริเวณในห้องโถง

คุณน้อยกำลังหยิบกาชา และถ้วยชาสวย จากถาดที่บ่าวถือมา วางบนโต๊ะ หล่อนสบตากับหลวงขจรแวบหนึ่ง หลวงขจรจ้องด้วยนัยน์ตาลึกซึ้ง คุณน้อยหน้านิ่ง เรียบสงบ แต่นัยน์ตาวาววับ ค่อยๆ รินน้ำชา
ท่านเจ้าพระยายังไม่สังเกตเห็นอะไรทั้งสิ้น ชวนคุยเรื่องบ้านเมืองขึ้น “พ.ร.บ.ประถมศึกษาที่เพิ่งคลอด กระทรวงธรรมการทูลเกล้าถวายความคิดหรือเป็นพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว”
“พระราชดำริขอรับ ผมเชื่อว่าอีก 100 ปีข้างหน้าคนไทยจะอ่านหนังสือได้คล่องเขียนหนังสือคล่องไม่แพ้ประเทศไหนๆ เลยขอรับ” เจ้าคุณว่า
“รายละเอียดเป็นยังไง พ.ร.บ.นี้”
“ให้หลวงขจรสาธยายนะขอรับ...คุณหลวง” เจ้าคุณเรียก
หลวงขจรสะดุ้งนิดๆ “ขอรับ”
“พ.ร.บ.ประถมศึกษา เรียนท่าน ท่านถาม” เจ้าคุณบอก
“บังคับเด็กทุกคนขอรับ 7 ขวบ ต้องเข้าโรงเรียน” คุณหลวงตอบ
ท่านเจ้าพระยาคาใจ “บังคับเขาแต่บางคนพ่อแม่ไม่มีเงินเรียนล่ะจะทำยังไง”
“อ๋อ พ.ร.บ.กำหนดเลยครับว่าไม่ต้องเสียเงินใดๆ ให้เรียนเปล่าๆ ขอรับ”
“ฉันเห็นว่าดีและทันสมัยเป็นที่สุด ที่สยามริเริ่มกฎหมายนี้ เท่ากับเป็นหลักประกันเรื่องการศึกษาของเด็กทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเด็กที่อยู่ในพระนครหรือเด็กที่มีพ่อแม่มีสตังค์ แต่ฉันว่าปัญหาใหญ่ก็คือครูที่จะสอนเด็กนี่แหล่ะ...มีพอหรือยัง”
คุณน้อยรินชาเสร็จ สบตาเร็วๆ กับคุณหลวงอีกครั้ง แล้วจึงออกไป

สองคนเจ้าคุณ กับหลวงขจร เดินออกมาจากห้องข้างใน
“ฉันจะไปเอาเอกสารที่เรือน คุณหลวงคอยตรงนี้สักครู่”
“ขอรับ”
เจ้าคุณเดินไป คุณหลวงลุกพรวดขึ้นเร็วมาก แล้วเดินเข้าไปในตัวตึก สอดส่ายสายตา
คุณน้อยอยู่ใกล้ๆ “หาอะไรหรือคะ”
หลวงขจรตกใจ “เอ้อ...”
คุณน้อยหัวเราะเบาๆ เสียงหวานใส
หลวงขจรมองจ้องด้วยสายตาลึกซึ้ง “ตั้งแต่คืนวันลอยกระทงผมภาวนา...สวดมนต์...ขอพรจากพระให้พบเอ้อ...”
คุณน้อยถาม “ให้พบอิฉันอีกอย่างนั้นหรือคะ”
หลวงขจรทึ่งมาก “ใช่ครับ ทำไมคุณถึงทราบ”
“ก็คุณหลวงพูดกับอิฉัน จะให้นึกเป็นใครอื่นได้อย่างไร”
คุณหลวงมองด้วยสายตาประทับใจ
“จริงหรือไม่” คุณน้อยทิ้งหางตา ยิ้มนิดๆ แล้วเดินจากไป
คุณหลวงเพ้อแล้ว

คุณสวาสดิ์ฟังถึงตอนนี้แล้วยิ้มกว้าง หน้าสว่างสดใสมาก มองย่าน้อยแบบลุ้น
“ไหนว่าขอแค่เห็นหน้า คุยกับเขาตั้งหลายคำ คุณอาประยงค์ไม่ว่ากระไรหรือคะ”
“วันนั้นคุณอาประยงค์ไม่เห็น”
คุณสวาสดิ์ตบมือ “ดีจัง”
“ก็แค่วันเดียว วันอื่นๆ เธอเห็นทุกวันเพราะเธอเฝ้าแอบดู”
คราวนี้คุณสวาสดิ์ตกใจ “ตายจริง”
ย่าน้อยหัวเราะ “ตายจริงๆ ด้วย” สีหน้าค่อยๆ หมองลง “ตายสองครั้ง ก่อนนั้นตายทั้งเป็น แล้วก็ตายจริงๆ”
“โถ....คุณอา เธอทำอะไรคุณอาคะ”
“เธอทำอะไรน่ะหรือ” ย่าน้อยแค่นหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องแต่หนหลังต่อ

อีกวันหนึ่งหลวงขจรยื่นหนังสือเล่มเล็กๆ ให้คุณย่าน้อย ท่าทางแสดงออกว่าเป็นคู่รักกันแล้ว
“สามเดือนมานี่ คุณหลวงให้หนังสืออิฉันรวม 10 เล่ม สมกับอยู่กระทรวงธรรมการนะคะ”
บ่าวคนหนึ่งนั่งอยู่แถวๆ นั้นตามธรรมเนียมหญิงชายไม่อยู่สองต่อสอง
คุณน้อยพนมมือไหว้ รับมา แล้วเหลือบชำเลืองไปบนตึก เห็นคุณประยงค์มองมา
คุณน้อยหวั่นใจลึกๆ

คุณน้อยค่อยๆ โผล่หน้าแอบดู เห็นคุณประยงค์อยู่กับอีทิ้ง
“อีทิ้ง”
“เจ้าคะ คุณท่านคนใหญ่”
“เอ็งรู้จักบ่าวบ้านหลวงขจร ไปสืบมาว่าหลวงขจรมีเมียรึยัง”
“อะไรเจ้าคะ ยังหนุ่มยังแน่นรูปงามปานนั้นจะมีเมียแล้วหรือเจ้าคะ” อีทิ้งแย้ง
“อีทิ้ง เอ็งนี่โง่เง่าเหลือดี ก็เพราะรูปงามน่ะสิถึงต้องสงสัยเข้าหน้าคุณน้อย”
เสียงย่าน้อยเล่าเรื่องราวดังขึ้นอีก “เธอคงภาวนาแทบตายให้หลวงขจรมีเมีย เหมือนกับที่เจ้าคุณมีพี่อรกลับมาจากหัวเมืองอาจะได้ตกที่นั่งเดียวกับเธอ”

ในเวลาต่อมา คุณน้อยเคาะประตูห้องอยู่ สักครู่หนึ่งคุณประยงค์ร้องบอกออกมา “เข้ามา”
“คุณอาให้หาน้อยหรือคะ”
“นั่งลง”
“ค่ะ”
“ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องอับอายขายหน้า หล่อนต้องตัดสัมพันธ์กับหลวงขจร”
“คุณอา”
คุณประยงค์บอก “เขามีคู่มาดคู่หมายแล้ว”
คุณน้อยตกใจมาก
“ผู้ใหญ่เขาหมั้นหมายกันไว้จะตบจะแต่งกันอยู่แล้ว หลวงขจรก็ไม่ไหว ตัวเองมีพันธะแล้วยังมาหลอกเด็กอย่างหล่อน”
“เขายังไม่มี....เขาว่าเขายัง...”
“หล่อนก็เชื่อ” คุณประยงค์ลุกขึ้น “ตามใจ ฉันเตือน หล่อนแล้วนะแม่น้อย”

คุณประยงค์เดินออกไปทันที คุณน้อยนิ่งงันไป

อ่านต่อหน้า 3

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วสีหน้าย่าน้อยยามนี้ หมองจัด และยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น คุณสวาสดิ์ แตะมือย่าน้อย นัยน์ตาแสดงความเห็นใจ

“มันเศร้ามากกว่านี้เพราะคุณอาเธอไม่หยุดแค่นั้น เธอทำมากกว่าที่อาจะคิดได้ว่าเธอทำกับหลานแท้ๆ ได้”
“แหม....เธอยังฆ่าหนู”
ย่าน้อยวางมือบนหัวคุณสวาสดิ์ รู้สึกเห็นใจมาก
สองคนสบตากัน ถ่ายทอดความเห็นใจให้กัน
“ใกล้สว่าง อาเป็นห่วงอีเกดมันจริงๆ นะลูกสวาสดิ์ ป่านนี้อาจจะตายแล้วกระมังเห็นนอนเงียบ จะไปดูก็ไม่กล้า”

เวลาเช้าตรู่นั้นเอง นัยน์ตาของเกษลดา ยังดูมึนงง แล้วหล่อนจึงค่อยๆ รวบรวมสติ คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“หนึ่ง....รู้มั้ยว่าเกษกำลังตาย”
เกษลดารวบรวมกำลังสุดแรงเกิด
“หนึ่ง” หล่อนส่งเสียงดังก้องกังวาน
เชษฐากำลังใส่กระดุมเสื้อหันขวับเหมือนได้ยิน เขานิ่งอยู่สักครู่แต่หันกลับไปทำต่อ

ต่อมา เชษฐา โสน และมนัสวีร์ นั่งปรึกษางานกันอยู่ในโถง ยังไม่มีคนอื่นมาเพราะยังเช้ามาก มีแฟ้มตั้งหนึ่งอยู่ตรงหน้า เชษฐานั่งฟัง แต่นัยน์ตาครุ่นคิด ลึกๆ แล้วเหมือนไม่ได้ยิน ใจคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนกับอนงค์วดีมากกว่า
โสนพูดไปก็กลัวไป “โรงแรมพิมานคีรีเขาใหญ่ของบจัดสวนใหม่ สวนโทรม พิมานกรุงเทพ ปรึกษาเรื่องแผนแคมเปญของปีนี้” พลางยื่นแฟ้มโครงการให้ “ส่วนร้านอาหารรสไทยเจอปัญหาใหญ่มาก ทั้งสามสาขายอดรายได้ตกฮวบทั้งๆ ที่คนกินไม่ลด”
เชษฐาขยับตัวนิดหน่อยเริ่มสนใจ
มนัสวีร์ถาม “รู้เหตุผลหรือยัง”
“รู้แล้ว...ชัดเจน” โสนตอบ จากนั้น 2 คนถามตอบกันไปมา
“อะไรครับ”
“มีการทุจริตเกิดขึ้น”
“ทั้ง 3 สาขา”
“ใช่ แม่ครัว แคชเชียร์ แม้กระทั่งเด็กเสิร์ฟก็แอบเอาของกลับบ้าน”
“โห....พร้อมๆ กันสามสาขาเลย”
“ถึงตำรวจแน่ เรื่องนี้ที่พี่รีบมาหาคุณหนึ่งคราวที่แล้ว คนทุจริตเก็บไว้ไม่ได้ต้องลงโทษ”
เชษฐาขัดขึ้น “เดี๋ยวครับ พี่โน๋”
“คะ”
“ผมขอให้ตั้งทีมซัก 2 หรือ 3 คน เข้าไปวิเคราะห์เรื่องทุจริตทุกขั้นตอน ที่สำคัญที่สุดผมอยากรู้เหตุผล ผมว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาไม่ทำ”
“คุณนัส....รับไปเลยนะ” โสนโยนให้ทนายหนุ่ม
“ผมมีเคสอยู่สองเคสต้องรีบจบครับพี่โน๋ ฟ้องกันมาเป็นปีๆ”
“งั้นพี่ทำเอง”
“ถ้าเหตุผลเป็นความจำเป็นที่เขาหาทางออกไม่ได้ ผมขอให้งดแจ้งตำรวจเพราะเราจะช่วยเขาแก้ปัญหา ถ้าเป็นเงินเราช่วยตรงนั้น ถ้าไม่ใช่เงินก็แก้ไปแต่ละกรณี”
“ใจดีเกินไปแล้วนะคุณหนึ่ง....พี่ว่า...”
เชษฐาขัดขึ้น “ผมขอครับพี่โน๋ ถ้าไม่ใช่โดยสันดานแล้วผมขอตั้งสมมติฐานว่าไม่มีใครอยากทำผิด....นะครับพี่โน๋”
โสนและมนัสวีร์ มองเชษฐาด้วยนัยน์ตาชื่นชม แต่เชษฐา เหลียวมองหาอนงค์วดีอยู่ข้างบน
“คุณนัส เจออะไรหลอนๆ อีกมั้ย” เสียงโสนดังขึ้น

สักครู่ต่อมา เชษฐาเดินนำโสนออกมาหน้าตึก “มายังไงครับเนี่ย”
“เอารถออฟฟิศมา”
เกษลดารวบรวมกำลังส่งเสียงเรียก “หนึ่ง” ดังก้องกังวาน (ภาพจากฉาก 14)

เชษฐาได้ยินอีก เขาอุทานว่า “เอ๊ะ”
สองคนถาม “อะไร” พร้อมกัน
“ผมได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ”
“เสียงอะไร ไม่ได้ยิน” มนัสวีร์งง
“อ๋อ เสียงคนร้องหรือทะเลาะกันประมาณนั้น ตอนพี่มาก็ได้ยิน” เลขาสาวใหญ่ว่า
เชษฐารำพึง “เสียงผู้หญิง....ผู้หญิง”
เชษฐาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดว่าเป็นเสียงอนงค์วดี

เชษฐากระโจนขึ้นบันไดมายังชั้น 2 นวลสวนออกมาจากทางหนึ่ง เขารีบถามท่าทีร้อนใจ
“นวล คุณอนงค์นอนห้องไหน”
“ทางนี้ค่ะ”
นวลเดินก้าวนำ เชษฐาตามไปอย่างเร็วรี่

เชษฐาก้าวพรวดๆ มา ถึงประตูห้อง ยังไม่ทันเปิด นวลเอ่ยขึ้นก่อน
“แต่คุณอนงค์ลงไปแล้วนะคะ”
“รู้ได้ไง” เชษฐาเปิดประตูมองกวาดสายตาแวบหนึ่ง ปิดประตูอย่างเดิม
“นวลเห็นค่ะ นั่นไงคะคุณอนงค์”
เชษฐาเหลียวขวับไปดูตาม เห็นที่ข้างล่าง เป็นอนงค์วดีอยู่ไกลมาก กำลังสั่งงานอะไรสักอย่าง
เชษฐาถอนใจเบาๆ อย่างโล่งใจ “ฉันไปประชุมต่อ”
สมเดินเลี้ยวมุมตึกมาพอดี “ที่ไม่อยู่คุณเกษลดาค่ะ”
“รู้ได้ไง อาจจะลงไปข้างล่างเหมือนกันหรือ”
“ไม่ได้ลงค่ะ ยังไม่ได้อาบน้ำเลยค่ะ”

คำพูดของแม่บ้านกระแทกเข้าหน้าเชษฐาเต็มแรง เขารู้แล้วว่าเป็นเสียงใคร?

เชษฐาวิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งผ่านโสนและมนัสวีร์ที่เดินกลับเข้ามาในคฤหาสน์ จนสองคนอ้าปากค้าง สมกับนวลวิ่งตามลงมา เชษฐาลับตัวไปแล้ว สองคนงงมาก

เชษฐาโผล่พรวดออกมาหน้าตึก แล้ววิ่งไปอย่างเร็วและแรง ท่าทีร้อนใจมาก พนักงานที่กำลังจะเข้าตึก หลีกแทบไม่ทัน โสนกับมนัสวีร์พรวดตามออกมา คนสวนเข็นรถใส่ใบไม้และหญ้าที่ตัดจนเต็มรถ เบี่ยงตัวหลบจนรถล้มระเนระนาด เห็นไวๆ ว่าเชษฐาวิ่งไปตามทาง สองคนมองหน้ากัน
มนัสวีร์แปลกใจมาก “ไปไหน”
โสนย้อนให้ “จะรู้มั้ย” งงเช่นกัน

เชษฐาพุ่งมาที่เรือนปู่กลับกำลังซักไซ้ถามหาเกษลดาอยู่
“ผมไม่ทราบขอรับท่าน” ปู่กลับบอก
“ต้องรู้ ปู่กลับต้องรู้บอกมานะ” เชษฐาไม่เชื่อ
ปู่กลับก้มหน้านิ่ง ส่ายหัวไปมา
เชษฐารู้ทันทีว่าปู่ไม่กล้าบอก “ไม่บอกแน่นะปู่กลับ”
ปู่กลับยังนิ่ง
“ปู่ไม่บอก ก็ต้องถึงเขาล่ะ” เชษฐาหมายถึงคุณประยงค์ เขาออกวิ่งไปทันที
ปู่กลับร้องห้าม “อย่าครับ...อย่าไป”
แต่เชษฐาไม่ได้ยิน

ประตูเรือนขังวิญญาณคุณประยงค์เปิดผางออกอย่างแรง คุณประยงค์ เหลียวขวับมาดู แล้วหันกลับไปท่าเดิม รวดเร็วมากจนเชษฐาไม่เห็น
“คุณชวด” เชษฐาเสียงดัง “ปล่อยเกษลดาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณชวดไม่ปล่อยผมจะเผารูปคุณชวด”
นัยน์ตาคุณประยงค์สลดลง ด้วยความเสียใจ
“เผาไม่ให้เหลือซากเลย คอยดู”
คุณประยงค์มองจ้องเขม็งที่เชษฐา คิดถึงอดีต

วันนั้นในอดีต ท่านเจ้าพระยานัดช่างภาพมาถ่ายรูปคุณประยงค์เพื่อให้จิตรกรชาวอิตาลีนำไปวาดรูป โดยในห้องโถงมีรูปท่านเจ้าพระยาและท่านผู้หญิงแย้มประดับไว้เพียงสองคน
ช่างถ่ายรูปคนไทย กดถ่ายรูปคุณประยงค์ ดังกริ๊กอยู่มุมหนึ่งของโถง มีคุณหญิงแย้ม คุณหลวงปราชญ์ และจิตกรชาวอิตาลีอยู่ด้วย
ท่านเจ้าพระยาพูดกับช่างถ่ายรูป “อัดรูปแล้วมอบให้ท่านผู้นี้ เขาเป็นจิตรกรวาดรูป เขาจะไปใส่สีเสื้อผ้าให้...อย่างโน้น” ท่านชี้ไปบนที่พักกลางบันได ตรงภาพท่านกับท่านผู้หญิงแย้ม ที่ติดบนฝา
คุณหลวงยืนมองอยู่ห่างๆ เหลือบมาสบตากับคุณประยงค์
คุณประยงค์ มองตอบสายตาฉ่ำรัก เดินหาเจ้าคุณพ่อกระซิบเบาๆ
ท่านเจ้าพระยาหันมา “พ่อปราชญ์” พลางกวักมือ “มาทางนี้ มาถ่ายรูปกัน”
“กระผมไม่บังอาจขอรับ”
ท่านเจ้าพระยาไม่ฟังเสียง เดินไปดึงมือมา
ท่านผู้หญิงไม่พอใจอย่างชัดเจน
เวลาต่อมา คุณประยงค์นั่งวางท่าสวยอยู่บนเก้าอี้ โดยมีคุณหลวงปราชญ์ยืนแตะมือที่ไหล่คุณประยงค์ ช่างภาพกดถ่ายเสียงชัตเตอร์ลั่นดังกริ๊ก

คิดเรื่องนี้แล้วคุณประยงค์คำรามด้วยสีหน้าคั่งแค้น “ลืมสิ้นแล้วก็เผาเถอะ เผาให้ฉันตายไปจริงๆ เสียที”
เชษฐายืนจ้องหน้าคุณประยงค์ในรูป เห็นนัยน์ตาโศกสลด มองตอบมา
จังหวะนี้เชษฐาเหมือนโดนมนต์บางอย่าง รู้สึกเคว้งคว้างโหวงเหวงในใจ ความเศร้ารุนแรงโถมเข้ามาเต็มหัวใจ
เชษฐาเดินเข้าไปใกล้รูป “คุณชวด” เขาแตะรูปเบาๆ สีหน้าหมองเศร้า “ใครทำให้คุณเศร้าโศกอย่างนี้ ใครทำให้วิญญาณคุณไปไหนไม่ได้”
คุณประยงค์น้ำตาไหลพราก
“จะให้ผมทำอะไรคุณชวดถึงจะไปเกิดได้ ผมจะทำทุกอย่าง”
คุณประยงค์กลายเป็นรูปวาดไปในบัดดล ด้วยไม่ได้อยากไปเกิดแม้นเพียงน้อย
เชษฐามอง แล้วเห็น “คุณชวด...กลับมาก่อน”
เชษฐารู้สึกตัวในบัดดล ว่ากำลังตามหาเกษลดาอยู่ ถอยห่างออกมา พูดเสียงดัง
“คุณประยงค์ ผมไม่หลงกลหรอกปล่อยเกษลดาเดี๋ยวนี้...อยู่ที่ไหน เกษลดาอยู่ที่ไหน”
คุณประยงค์นิ่งเงียบ
เชษฐาหันไปเรียก “ปู่กลับ ปู่กลับ เอารูปนี่ไปหน้าตึก เตรียมน้ำมันไว้ด้วย” แล้วหันกลับมาทางรูปคุณประยงค์ “ผมให้เวลาคุณแค่สิบนาที....สิบนาทีเท่านั้น ถ้าเกดไม่กลับมา คุณเตรียมหาที่อยู่ใหม่ได้เลย”
เชษฐาผลุนผันออกไป โสนกับมนัสวีร์ เข้ามาพอดี ทันได้เห็นคุณประยงค์ก้าวลงมาจากรูปพอดี สองคนตาเหลือก คุณประยงค์ หันมาเผชิญหน้ากับสองคน จ้องมองมาด้วยนัยน์ตาเยียบเย็น
โสนเป็นลมไปในบัดดล มนัสวีร์เข้าประคองไว้ทัน เชษฐาหันไปดู
คุณประยงค์หันหลัง แล้วเดินไปสองสามก้าวก่อนที่ร่างกายจะจางหาย มนัสวีร์ ทำท่าจะเป็นลมตามโสนอีกคน เชษฐาตบป้าบเข้าที่ไหล่จนตัวคะมำ
“เฮ้ย ฉันไม่ได้ฝันจริงๆ ด้วย” มนัสวีร์ร้องลั่น

ด้านเกษลดาลืมตาขึ้นในอาการสะลึมสะลือ เห็นคุณประยงค์จากเท้าไล่ไปจนถึงหน้าที่ก้มลงมอง
“อีเกด....อีไพร่....คราวนี้มึงรอด แต่อย่านึกว่าจะรอดตลอดไป”
เกษลดาอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ได้ยินแต่มองเห็นไม่ชัดเจน “อะไร...ใคร”
ภาพคุณประยงค์ลางเลือนเต็มที
“ใครคะ”
“มึงไป” คุณประยงค์ ชี้ทางให้
พอเกษลดาหันไปดู ก็เห็นตึกสิงหมนตรีอยู่ตรงหน้านั่นเอง เกษลดาหน้าตื่นและดีใจ

โสนฟื้นแล้วแต่ยังขวัญหนีดีฝ่อไม่พูดจา มนัสวีร์เป็นปกติแล้ว ยืนคุยกับเชษฐาที่หน้าตึก ปู่กลับยืนนิ่งอยู่
“หัวใจจะวาย” มนัสวีร์ว่า
“ฉันเห็นอย่างนี้สองครั้ง ครั้งก่อนกับคุณอนงค์วดีอยู่ด้วย” เชษฐาคิดได้ “ฉันไปดูเขาก่อน”
“เขามาโน่นแล้ว” มนัสวีร์บุ้ยใบ้ไป
อนงค์วดีวิ่งตรงมา “จะทำอะไรรูปคุณชวดคะ”
“เผา”
อนงค์วดีร้องเสียงหลง “ไม่ได้นะคะ”
“เธอทำวุ่นวายมากเกินไปแล้ว เอาไว้ไม่ได้”
อนงค์วดีตกใจ พนมมือขอ “ฉันขอนะคะ ได้โปรด”
“คุณจะให้ผมทำยังไง เธอเดินออกมาจากรูปอีกนะวันนี้”
“เราต้องนำท่านไปไว้ที่เดิมในตึก เราทำไม่ดีกับท่าน ท่านไม่พอใจ”
“เรามีสิทธิ์ ผมมีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนย้ายทุกสิ่งในบ้านนี้แต่เราอย่าพูดกันเลยเพราะผมกำลังจะเผารูปนี้”
“เผา...ไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้คุณเผาเป็นอันขาด” อนงค์วดีเสียงแข็ง
เชษฐาดูนาฬิกา “มีเวลาอีก 3 นาที ปู่กลับ”
ปู่กลับนั่งนิ่งอัดอั้นเต็มกลืน
“ไหนล่ะน้ำมัน...ไม้ขีด” เชษฐาถาม
ปู่กลับส่ายหน้า
“ได้เอายังงั้นก็ได้...นวล...นวล”
นวลวิ่งออกมา “คะ”
“ไปเอาน้ำมันกับไฟแช็คมา เดี๋ยวนี้นะนวล” เชษฐาเน้นทุกคำ

ทันใดนั้นมีลมพัดหวีดหวิว พัดต้นไม้สะบัดไปสะบัดมา ฝุ่นละออง ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ฟ้าร้องแล้วฝ่าเปรี้ยง ทั้งๆ ที่แดดแจ่มจ้า

มนัสวีร์งง “แกจะเผาแต่กรอบรูปเฉยๆ เนี่ยนะ”
“ใช่ เหมือนเผาบ้านเขาไง ไม่มีบ้านเขาก็ต้องไป”
เชษฐารับไฟแช็คจากนวลสั่งทันที “ราดน้ำมัน”
นวลจะเข้าไปราดน้ำมัน
จังหวะนี้ เกษลดากำลังเดินโซเซมา มีคุณประยงค์ลอยตามหลัง แล้ววูบนำขึ้นหน้าไป ร่างของคุณประยงค์ปรากฏตัวขึ้นจากลางเลือน จนแจ่มชัดในที่สุด ขึ้นในกรอบรูป
“สิ้นชาติวาสนากันเพียงเท่านี้....เผาฉันเลย”
นวลได้ยินคาและเห็นคาตาทิ้งกระป๋องน้ำมัน ถอยกรูด
เชษฐาฉุนเดินไปหยิบกระป๋องน้ำมัน มาส่งให้มนัสวีร์ “ไอ้นัส แกเทน้ำมัน ฉันจะจุดไฟ”
เชษฐาตั้งท่าจริงจังมาก แต่มนัสวีร์ยังเงอะงะ
“เร็ว ไอ้นัส” เชษฐาดูนาฬิกา “10 นาทีพอดี อย่าอยู่เลยคุณชวด”
มนัสวีร์เทน้ำมันช้าๆ แต่เทลงพื้นรอบๆ รูป เทไม่มากนัก ปู่กลับมองหน้าเศร้า ด้วยเสียใจเหลือเกิน
โสนยกมือปิดตา แต่แอบกางนิ้วดู อนงค์วดีทนดูไม่ได้
เชษฐาขยับยืนห่างออกมาหน่อย เพื่อว่าจะโยนไม้ขีดเข้าไป
“โอเค นัส” เชษฐาจุดไฟดังแชะ ชูไม้ขีดที่มีไฟ
เสียงเกษลดาเรียกดังขึ้น “หนึ่ง”
เป็นเวลาเดียวกับที่เชษฐาโยนก้านไม้ขีดทั้งอันเข้าไป ไฟลุกพรึ่บ
“เกษ”

เชษฐาร้องเรียกอย่างตื่นเต้นดีใจ

อ่านต่อหน้า 4

ภาพอาถรรพณ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ปู่กลับจ้องอยู่โผนเข้าไปในกองไฟโดยไม่คิดชีวิต ลากรูปออกมาด้วยพละกำลังมาจากไหนไม่รู้ ทั้งลากทั้งหอบจนฟุบลงไป โดยเอาตัวเองฟุบตามกอดรูปไว้แน่น น้ำตาไหลพรากๆ ส่งเสียงร้องไห้ฮือ...ฮือ อย่างรุนแรง

มนัสวีร์ได้สติ รีบเข้าไปช่วยดับไฟ
เกษลดาเดินโซเซมาถึง เชษฐาพุ่งตัวเข้าไปรับ
“เกษ...ไปอยู่ที่ไหนมา...เป็นอะไรรึเปล่า”
เกษลดาส่ายหน้า ผวาเข้ากอดเชษฐาเต็มแรง ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดแล้วพลันหัวใจวาบหวิว หมดสติไป
“เกษ...” เชษฐาตกใจ
“หนึ่ง...พาไปข้างในก่อน” มนัสวีร์บอก
“ฉันจะพาไปที่ห้อง นัส พี่โน๋ จัดการเอารูปกลับไปเก็บที่เดิม” เชษฐามองไปที่อนงค์วดี
อนงค์วดีมองมา สายตามีทั้งว้าวุ่น เป็นห่วง ทำอะไรไม่ถูก
“คุณอนงค์”
“พาคุณเกษลดาไปก่อนค่ะคุณเชษฐาเดี๋ยวอนงค์” อนงค์วดีลืมตัวเผลอเรียกชื่อตัวเอง “จะเอายาขึ้นไปให้”
เชษฐามองจ้องด้วยสายตาซาบซึ้งเล็กๆ “ขอบคุณ” แล้วเดินออกไป

เชษฐาอุ้มเกษลดา ผ่านห้องโถงขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
ผีคุณสวาสดิ์มองตาม “คุณอาขา นังเกดกลับมาแล้วค่ะ”
“เห็นแล้ว โอย...ทำไมเรื่องวุ่นวายอย่างนี้” ผีย่าน้อยส่ายหัว
อนงค์วดีตามมาอย่างเร็วรี่ สั่งการนวล “นวล เตรียมน้ำเช็ดตัว ฉันจะไปเอายา”
“ค่ะ คุณอนงค์”
“เร็วนะนวล เดี๋ยวแขกจะมาแล้ว”
ผีสองตนชะโงกมองตาม แล้วหันมามองหน้ากันแบบกลุ้มๆ
“เฮ้อ...มนุษย์” คุณสวาสดิ์ถอนใจอย่างแก่แดด
ย่าน้อยเหลือบมองคุณสวาสดิ์ ด้วยสายตาขำๆ “เขาอยู่ของเขาดีๆ เราพวกผีไปยุ่งกับเขาน่ะสิเขาเลยยุ่งกันใหญ่”

ภายในห้องนอนเกษลดายามนั้น เกษลดาอยู่ในสภาพน่าเวทนามาก ร่างกายเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าฉีกขาดอีกด้วย
เชษฐาสงสารมาก เฝ้าอยู่จับมือเกษลดาตลอดเอาแต่เรียก “เกษ เกษ”
สักครู่เกษลดาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พอเห็นเชษฐาก็ร้องไห้ออกมาเต็มแรง เชษฐาหยิบทิชชูเช็ดน้ำตาให้ นุ่มนวล อ่อนโยน
“ไม่เป็นไร....ไม่เป็นไรแล้วนะ”
อนงค์วดีถือกล่องใส่ยาอยู่ที่ประตู มองดูภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาเจ็บช้ำนิดๆ
“หนึ่ง...รู้มั้ยว่าเขาทำอะไร”
“ทำอะไร”
“เขาหลอกเกษ แกล้งให้เดินไปเดินมาหาทางกลับไม่ได้ ผีทำได้ใช่มั้ยหนึ่ง”
“ก็น่าจะทำได้”
เกษลดาคิดแล้วรู้สึกโกรธ และเจ็บใจ สายตาเครียดขึ้น “เขาเกลียดเกษทำไมแปลกจังทำไมเล่นงานเกดคนเดียว เขาหวงหนึ่งเหรอ”
“เกษ เหลวไหลน่า”
เกษลดาพร่ำบ่นต่อ “เขาเป็นผีผู้หญิง ถ้าจะเดาก็เดาได้อย่างเดียว ผีมารักคน”
เชษฐาบอก “นอน”
“เขารักหนึ่ง แล้วเขาก็หึงเกษ”
“พอแล้วเกษ” เชษฐาจับตัวให้นอน
“เจ็บไหล่....ช้ำมั้ย” เกษลดาถาม
เชษฐาดู “ช้ำ....เดี๋ยวผมทายาให้นะ”
เกษลดามีสีหน้าเลื่อนลอยไปอีก “หนึ่ง ทำไมหนึ่งต้องมาซื้อบ้านหลังนี้ มีคนทำให้หนึ่งต้องมาซื้อใช่มั้ย”
อนงค์วดียังคงยืนฟังนิ่งอยู่
“ไม่มี ผมซื้อเอง”
“เกษเชื่อว่ามี เกษไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ตอนนี้...เหมือนว่ามันจะเป็นจริง”
เชษฐาส่ายหน้า พลางเอานิ้วแตะปาก
เกษลดากระซิบบอก “มันกำลังเป็นจริงขึ้นมา เขาแรงมากนะหนึ่งเกษโดน หนึ่งโดน ต่อไปเป็นใคร”
อนงค์วดีเดินเข้าไป เกษลดาหันมาเห็น แล้วหันข้างให้ทันที ยังขุ่นมัวเรื่องที่เห็นวันก่อน
“คุณเกษลดาคะ เดี๋ยวนวลจะมาเช็ดตัวให้คุณนะคะ”
“ไม่ต้อง”
“เขาเตรียมของเรียบร้อยแล้ว คุณคงอยากสบายตัว”
“ฉันบอกว่าไม่ต้องฉันทำเอง นี่คุณอนงค์วดีทำไมคุณถึงขายตึกผีสิงให้คุณเชษฐาฉันว่าคุณตั้งใจหลอกลวงเขานะ”
เชษฐาปราม “เกษ...เรายังไม่พูดเรื่องนี้”
นวลยืนถือชามแก้วใส่น้ำ อนงค์วดีเดินออกไปทันที สมถือ ผ้าเช็ดตัวอยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนยืนหน้าห้องยังไม่เข้ามา
“เข้ามา เกษ...ให้เขาทำให้เถอะ เกษเหนื่อยมากจะได้นอนหลับสบาย…ผมไปเอายาก่อน”
เชษฐาลุกขึ้น เดินออกไป เกษลดาพึมพำ “หนึ่ง ไปไหน” เชษฐาไม่ได้ยิน ออกไปตามอนงค์วดี
เกษลดารู้ใจเชษฐาทำไมจะไม่รู้ ได้แต่ทั้งเศร้าทั้งแค้น
เกษลดายังเจ็บไหล่พูดไปทั้งๆ เจ็บและอ่อนเพลีย

ที่หน้าห้องเกษลดานั้นเอง อนงค์วดีก้มหน้าก้มตาเดินหนี เชษฐาตามไป ขณะที่เดินตาม ภาพความหลัง แวบขึ้นมา เหมือนไฟฉายไปในที่มืด ภาพแต่ละช็อตของความหลัง เต็มตาเชษฐา

เริ่มจากเหตุการณ์ตอนเจ้าคุณที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงคุณหลวง ลอยกระทงกันแม่อร ที่เมืองพิษณุโลก สองคนนั่งคู่กันและลอยกระทงลงน้ำด้วยกัน
เวลานั้นคุณหลวงส่งสายตาเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก มีความรักแฝงอยู่น้อยนิด
ส่วนอีกเหการณ์แม่อรส่งขนมให้
จนเมื่อเป็นเจ้าคุณ และจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แม่อรคุกเข่าลงส่งเสื้อให้ และช่วยติดกระดุมเสื้อราชประแตนให้
ไฟมืดสนิทแล้ว เจ้าคุณกอดแม่อร จูบเบาๆ และพาตัวเอนลงบนเตียงไปด้วยกัน

ภาพเหตุการณ์เดิมๆ เหล่านั้น ผุดแวบเข้ามาในหัวเชษฐาอีก เชษฐาเดินๆ แล้วหยุดชะงักทันที ภาพเดิมผุดขึ้นมารบกวนจิตใจอีกครั้ง
เชษฐาอึ้งกับภาพที่เห็น เขามองไปเบื้องหน้าเห็นอนงค์วดีลงบันไดไปแล้ว
“คุณอนงค์...”
อนงค์วดีเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก วิ่งลงบันได เชษฐา วิ่งตามทันที ข้ามห้องโถงไป พนักงานงงๆ มองตาม แต่ไม่ได้สนใจมาก

อนงค์วดีวิ่งมาถึงหน้าห้องรูปย่าน้อย เชษฐาวิ่งตามมาถึงพอดี อนงค์วดีเหลียวมาดู แล้วหันไปทำให้วิ่งตัวเซไป จนเสียหลัก เชษฐาเข้าไปรับร่างไว้ รวบเข้ามาในอ้อมกอด
อนงค์ดวีนิ่งอยู่อึดใจ เชษฐากอดเต็มแรงซบหน้าลงบนผมของอนงค์วดี
“แม่อร...”
อนงค์วดี เงยหน้าจ้องตา สายตาพิศวง
เชษฐาได้สติ “ขอโทษ” และปล่อยตัว “ผมขอโทษ...ผม”
“คุณเรียกดิฉันว่ายังไงนะคะ”
เชษฐาสะบัดหน้า
“แม่อรหรือคะ” อนงค์วดีถาม
“ใช่แต่ผมไม่ทราบว่าเอามาจากไหน”
“คุณชวดบอกคุณหรือคะ”
“ไม่ใช่ แต่ผม....ไม่....ไม่มีใครบอก” เชษฐาจะดึงอนงค์วดีเข้ามากอดอีก
“อย่าค่ะ” อนงค์วดีรั้งตัวเองไว้

รถชัยชนะขับแล่นเข้ามาหน้าตึก ในรถนอกจากชัยชนะ ยังมีคุณหญิงสร้อย ละมุน และฝน ติดตามมาด้วย
จังหวะเดียวกันนี้ปู่กลับกำลังให้พนักงานชายสองคน จับรูปคุณประยงค์ เตรียมจะเคลื่อนย้าย โสน กับมนัสวีร์ ช่วยอยู่ด้วย คนในรถชัยชนะไม่เห็น
“เอากลับเข้าไปในตึก” ปู่กลับสั่ง
“ปู่ คุณเชษฐาให้เอาไปเก็บที่เดิมนะคะ”
“นั่นสิครับ ปู่กลับ เอาไปเรือนนั้นเถิด”
“รูปคุณท่านต้องไปอยู่ที่คุณท่านอยู่มาตลอด ไอ้กลับจะไม่ยอมให้ไปอยู่ที่ไหนอีก”
สองคนอ้าปากทำท่าจะพูด
ปู่กลับเสียงแข็ง “ตายเป็นตาย"

สองคนตกใจหดตัวกลับมาทันที

ด้านอนงค์วดีร้องห้ามเชษฐา เสียงของหล่อนสั่นเป็นการใหญ่
 
“อย่าค่ะ”
เชษฐาปล่อยช้าๆ “เรามีเรื่องต้องพูดกันอีกมาก”
“ขอโทษครับ” เสียงคุ้นหูอนงค์วดีดังขึ้น
สองคนหันไป ชัยชนะพาคุณหญิงสร้อยเข้ามา โดยนั่งรถเข็น เข็นมา
“พี่ชนะ คุณย่า” อนงค์วดีประหลาดใจ ไหว้สองคน
“คุณย่าให้พี่พามา”
“น้องแนะนำนะคะ พี่ชนะคะ คุณเชษฐาเจ้าของสโมสรและเจ้าของตึกสิงหมนตรีคนใหม่ค่ะ”
สองคนทักทายกัน ชัยชนะไหว้ เชษฐารับไหว้
ไม่มีใครมันสังเกตเห็นตอนคุณหญิงสร้อย มองเชษฐา ว่าท่านตกตะลึงนิดๆ และพยายามเรียกความจำ
อนงค์วดีผายมือให้เชษฐามาหาคุณย่า แนะนำเป็นทางการ “คุณเชษฐาคะ คุณย่าของพี่ชนะ คุณย่าของฉันด้วยค่ะ คุณหญิงธรรมวรานุรักษ์ คุณย่าสร้อยค่ะ”
เชษฐาไหว้ต่ำ “เป็นเกียรติที่ได้รู้จักคุณหญิงครับ”
ย่าสร้อยรับไหว้มือเดียวครึ่งอก “ไหว้พระเถิดค่ะ พ่อคุณ”
คุณหญิงสร้อยมองเชษฐา ด้วยเคยเห็นรูปคุณหลวงที่ถ่ายคู่กับคุณประยงค์ แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ เลือนๆ ตามวัย เหตุนี้สายตาจึงดูลังเลนิดๆ
“เชิญทางนี้ดีกว่าครับ คุณหญิงครับ” เชษฐาเชื้อชวน
“ไม่ต้องเรียกคุณหญิงหรอกค่ะ แก่แล้วเป็นแค่ย่าก็พอ ยศถาบรรดาศักดิ์ฝากไปกับเจ้าคุณตอนท่านสิ้นแล้วค่ะ”
ทุกคนหัวเราะกันเบาๆ

ละมุนกับฝนที่ถือตะกร้าของคุณย่า เลี่ยงไปยืนแอบๆ อีกทาง ละมุนมองไปรอบๆ ท่าทางหวาดกลัว จังหวะหนึ่งละมุนหันไปเจอรูปคุณปาน สะดุ้งสุดตัว เขยิบไปยืนใกล้ฝนร้อง “อุ๊ย”
“อะไรคะ” ฝนงง
“บ้านนี้น่ากลัวจัง” ละมุนกระซิบเบาๆ มองไปเห็นรูปทั้งหมด “เอ๊ะ” จนมาจบที่รูปคุณสวาสดิ์ “น่ากลัวใช่คนนี้” ละมุนบ่นกับตัวเอง
ฝนงง “ใครคะ”
ละมุนจ้องไป
คุณหญิงสร้อยพูดบางอย่างกับชัยชนะ เห็นชัยชนะเข็นรถไปหน้ารูปคุณสวาสดิ์
“นั่นไง...ใช่จริงๆ” ละมุนว่า

คุณหญิงสร้อยนั่งอยู่ตรงหน้าห้องรูปลูกสวาสดิ์ มองรูปลูกสาวสุดสวาทอย่างแน่วแน่ ในใจปั่นป่วนด้วยความรักความคิดถึง
“หนูลูกแม่...ยกโทษให้แม่ด้วยที่แม่ไม่ได้มาหาหนู แต่ให้หนูไปหาแม่ฝ่ายเดียวอย่าโกรธแม่เลยนะลูกแม่ไม่อยากมาเห็นหน้าคุณย่าประยงค์ของหนู” คุณหญิงจ้องมองน้ำตาคลอ
เสียงคุณสวาสดิ์คร่ำครวญ “คุณอาน้อยเจ้าขา หนูสงสารคุณแม่เหลือเกิน”
ตามด้วยเสียงย่าน้อยปราม “อยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ ลูกสวาสดิ์ อย่าออกมานะ”
“หนูอยากร้องไห้”
“ไม่ได้ น้ำตาไหลไม่ได้นะ”
คุณหญิงสร้อย ก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำตา
ชัยชนะ คุกเข่าส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “คุณย่า”
คุณหญิงสร้อยมองชัยชนะ ด้วยหน้าตาอันน่าสงสาร พร้อมกับรับผ้าเช็ดหน้ามา
ชัยชนะจับมือคุณย่าปลอบโยน “อยากกลับบ้านมั้ยคะ”
คุณหญิงสร้อยส่ายหน้า
“อย่าร้องไห้เลยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
คุณหญิงสร้อย พยักหน้ารับคำ
ชัยชนะลุกขึ้น ประคับประคองให้คุณย่านั่งดีๆ หยิบผ้าห่มให้ที่ตัก
“ขอบใจนะลูก” หญิงชราชะงักกึก หน้าเปลี่ยนสีทันที เมื่อเห็นพนักงานสองคน ยกรูปคุณประยงค์เข้ามา ปู่กลับเข้ามา โสนและมนัสวีร์ตาม แล้วเลี่ยงไปยืนอีกมุม
คุณหญิงสร้อย หันขวับมาตรงห้องรูปคุณประยงค์ พบว่าห้องว่างเปล่า คุณหญิงสร้อยหันกลับไป
“คุณอาขา คุณแม่ตกใจใหญ่แล้วค่ะ เห็นรูปคุณย่าประยงค์”
“เราไม่เกี่ยว อยู่เฉยๆ ลูกสวาสดิ์”
“คุณแม่หนูนะคะ”
“แล้วหล่อนจะมีปัญญาทำอะไรยะ แม่สวาสดิ์” ย่าน้อยหงุดหงิด
“ค่ะ ไม่มีค่ะ”
ขณะที่อาหลานโต้ตอบกัน พนักงานเอารูปขึ้นไปติด
สีหน้าคุณประยงค์รับรู้เรื่องราว

ในขณะที่ทุกคนข้างล่างทั้งหมดไปหาที่นั่ง ไม่มีใครเห็นคุณประยงค์ โดยตรงหน้าห้องรูปว่างเปล่าไม่มีใครแล้ว ปู่กลับเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย เสียงคุณประยงค์ดังขึ้น
“มีคนบังอาจหลายคนอยู่ตรงนี้ ต้องสั่งสอนมันให้หมดทุกคน”
ย่าน้อยนิ่งเป็นรูปวาด เช่นเดียวกับคุณสวาสดิ์นั่งนิ่งเป็นรูปอยู่บนเก้าอี้
“หล่อนสองคนอย่าทำเป็นไขสือ” คุณประยงค์ด่าว่าทั้งสองที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ “ฉันรู้หล่อนได้ยิน” แล้วมองไปทางทุกคนคำรามออกมาอีก “บังอาจมาก”

ส่วนที่ห้องโถง ทุกคนเดินตามๆ กันไป เชษฐา พาชัยชนะที่เข็นรถคุณหญิงสร้อย เข็นพาไปที่โต๊ะมุมหนึ่ง
อนงค์วดีเดินตามไป โสน และ มนัสวีร์ตามไปด้วย
“ผมจะสั่งเครื่องดื่มให้นะครับ” เชษฐาเอ่ยขึ้น
อนงค์วดีอาสา “ฉันสั่งเองค่ะ”
“คุณนั่งดีกว่า” เชษฐาจับมือส่งตัวให้นั่ง “ผมเอง”

เชษฐาเดินไปที่เคาน์เตอร์ นวลยืนรอคำสั่งอยู่ เชษฐาสั่ง 2-3 คำ นวลรับคำสั่งไปดำเนินการ จากนั้นเขาเดินมาทาง โสนกับมนัสวีร์ ที่ยังไม่ได้นั่ง
“บอกให้เอาไปไว้ที่เดิม”
“ปู่กลับแกไม่ยอม แกเข้มมากเลยว่ะ” มนัสวีร์บอก
“พี่โน๋กลัวแกจะหัวใจวายตายไปตรงนั้น”
“เกิดออกมาจากรูปอีก ทำไงล่ะทีนี้ สั่งอะไรไม่เป็นสั่ง” เชษฐาบ่น
“ก็...คนแก่น่ะ แกล้มไปว่าไง” มนัสวีร์เถียง
“เราสองคนกลับดีกว่านะคุณหนึ่ง เป็นอันว่าไม่เอาโทษพวกขี้โกงที่ร้านอาหารนะ”
“ไม่ใช่ ให้หาความจริง จุ๊...ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง” เชษฐาออกอาการหงุดหงิด
โสนเข้าใจ แตะแขนปลอบ “คุณหนึ่ง พี่โน๋ขอโทษ แต่พี่โน๋พูดเลยว่าคุณหนึ่งก็ไม่หักหาญปู่แกหรอก แกบอกตายเป็นตายน่ะคิดดู” พลางตบแขนปลอบๆ “มีอะไรโทร.ไปนะ จะมาทันที”
“ไอ้นัสแกอยู่ก่อน ให้พี่แกกลับคนเดียว” เชษฐาสั่ง
“อ้าว...” โสนมองหน้าเข้าใจ “เอาวะ เจ้านายสั่ง ลูกน้องที่ดี...” เลขาสาวใหญ่ตะเบ๊ะ “ครับผมทำตามครับผม”

เชษฐามานั่งด้วยแล้วเรียบร้อย มีเครื่องดื่มรับรองอยู่บนโต๊ะแล้ว มนัสวีร์เอาเครื่องดื่มมาให้ตัวเอง...แล้วมานั่งร่วมวง
“คุณซ่อมแซมได้เหมือนเดิมมากค่ะคุณเชษฐา”
“ขอบพระคุณครับ คุณอนงค์วดีช่วยมากครับ”
“เอ๊ะ หนูอนงค์ไม่เคยอยู่ที่นี่ รู้ได้อย่างไรจ๊ะ” หญิงชราแปลกใจ
“คุณแม่ค่ะ คุณแม่เล่าให้ฟัง” อนงค์วดีบอก
คุณหญิงสร้อยเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปฉันอยากจะขอไปดูข้างบนได้หรือไม่คะ”

เชษฐาเปิดประตูห้องหนึ่งเข้ามา ชัยชนะประคองคุณหญิงสร้อยที่เดินด้วยไม้เท้าตามเข้ามาด้านใน
“ฉันเคยอยู่ห้องนี้กับ...” หญิงชราเสียงสั่นนิดๆ “ลูกสาว” พลางกวดตามองไปรอบๆ “ทุกอย่างเหมือนเดิมคุณไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย”
“ครับ เครื่องเรือนแข็งแรง สภาพดีมากผมทาสีห้องใหม่เท่านั้นครับ”
“ขอโทษนะคะคุณ ฉันขออยู่คนเดียวสักครู่ได้มั้ยคะ”

ทุกคนออกไปหมดแล้ว คุณหญิงสร้อยนั่งบนเตียง มือลูบไล้เตียงด้วยหน้าตาเหยเก น้ำตาหญิงชราค่อยๆ เอ่อล้นดวงตา มันไหลรินออกมาเงียบๆ
วิญญาณคุณสวาสดิ์มองอยู่ที่ด้านหลัง น้ำตาไหลเช่นกัน
สักครู่ คุณหญิงสร้อยเช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วลุกขึ้นเดินช้าๆ ไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชักออก ล้วงมือเข้าไปจนสุดลิ้นชัก ดึงรูปภาพออกมารูปหนึ่ง คุณหญิงก้มลงดู สีหน้าใคร่ครวญว่าจะเป็นไปอย่างที่ตัวเองสงสัยหรือไม่
รูปใบนั้น มันเป็นรูปถ่ายเก่าคร่ำคร่า แต่ดูออกว่าเป็นคุณประยงค์ที่ถ่ายคู่กับคุณหลวงปราชญ์ในอดีตชาติที่ห้องโถงคฤหาสน์นั่นเอง

คุณหญิงสร้อยรำพึงออกมา “ใช่จริงๆ”

อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น