ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 9
ประกายดาวบอกทุกคน
“ฉันยืนยัน ฉันกับศิวะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ใช่ ผมก็ยืนยัน” ศิวะบอก
“ไม่เป็นอะไรกัน แล้วนัดกันมาที่นี่ นัดมาสวดมนต์กันหรือไงยะ” อรอุมาว่า
“ฉันมีเหตุผลของฉัน”
“เหตุผลคือหิวผัวชาวบ้านน่ะสิ” รติรสว่า “ผู้หญิงหน้าด้านอย่างเธอ ถึงจะพยายามพรีเซนต์ว่าตัวเองสวยใสบริสุทธิ์ ปักตะไคร้ไล่ฝนได้ แต่หลักฐานคาตาขนาดนี้ ไม่มีใครเขาโง่เชื่อคำพูดของเธอหรอกย่ะ”
“แต่ผมเชื่อ” จันทรภานุบอก
รติรสไม่พอใจ “คุณชาย !”
“ผมเชื่อ ว่าเรื่องนี้คุณดาวบริสุทธิ์ใจ เพราะไม่อย่างงั้นคุณดาวคงไม่โทรตามให้ผมมาที่นี่”
ศิวะแปลกใจ “ดาวโทรตามคุณจันทรภานุมา?”
ประกายดาวตอบ “ใช่”
ประกายดาวมองจันทรภานุแล้วนึกย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ก่อนหน้า
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จันทรภานุอ่านข้อความในโทรศัพท์ “ฉันมีเรื่องด่วน มาหาฉันที่คอนโดภายในหนึ่งชั่วโมง...ประกายดาว”
จันทรภานุแปลกใจ
จันทรภานุถามประกายดาว
“ตกลงว่าเรื่องด่วนของคุณคืออะไร”
“เดี๋ยวคุณชายก็จะรู้ค่ะ”
ประกายดาวพูดจบเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ประกายดาวเดินไปเปิดทำให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง ผู้หญิงมองเข้ามาในห้องอย่างงงๆ ศิวะเห็นผู้หญิงคนนั้นแล้วก็อ้าปากค้าง
“เธอ !”
ผู้หญิงคนนั้นดีใจ “คุณศิวะ ฉันคิดว่าจะมาผิดห้องซะแล้ว”
“เธอมาได้ไง” ศิวะถาม
“เอ้า ก็คุณให้คนโทรตามฉันมา บอกว่ามีงานให้ทำอีก ฉันกำลังร้อนเงินอยู่พอดี”
“โทรตาม ?” ศิวะเพิ่งเก็ท เขาหันไปมองประกายดาวอึ้งๆ “ดาว...”
“ขอบใจมากนะที่ให้ฉันยืมโทรศัพท์”
ประกายดาวยิ้มเจ้าเล่ห์
ภาพเหตุการณ์ในอดีตตอนที่จันทรภานุพูดเรื่องอภิเชษฐ์ให้ประกายดาวฟังย้อนกลับมา
“ไอ้เชษฐ์สงสัยว่าผู้หญิงคนที่ไปพบกล้องในห้องน้ำน่าจะมีส่วนรู้เห็น”
ประกายดาวพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
ประกายดาวอธิบาย “ฉันอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกับนายรู้จักกันหรือเปล่า ฉันก็เลยขอเบอร์ผู้หญิงคนนั้นจากคุณเชษฐ์”
เหตุการณ์ในอดีต ประกายดาวโทรศัพท์
“คุณเชษฐ์คะ ฉันดาวนะคะ คุณเชษฐ์มีเบอร์โทรของผู้หญิงที่เจอกล้องแอบถ่ายห้องน้ำในห้างคุณจันทรภานุไหมคะ”
ประกายดาวอธิบายต่อ “แล้วใช้มือถือของนายโทรไปหา”
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ประกายดาวบอกศิวะ
“มือถือเป็นอะไรไม่รู้ เปิดเครื่องไม่ติด ต้องโทรไปคอนเฟิร์มงานกับลูกค้าด้วย”
“เอาของเราไปโทรก่อนสิ”
“ขอบใจ รอเราคุยงานแปบนะ”
“สำหรับดาว เรารอได้เสมอ”
ประกายดาวถือโทรศัพท์เข้ามาในห้องนอนแล้วรีบเข้าไปในห้องน้ำ เธอเอาโทรศัพท์ของศิวะโทรออกไปที่เบอร์ที่จดไว้ในสมุด ประกายดาวรอสายสักพัก ปลายสายก็รับ
“ฮัลโหลคุณศิวะ”
ประกายดาวยิ้มสมใจ
ประกายดาวอธิบาย “ฉันแค่แกล้งบอกว่าฉันเป็นแฟนของนาย หลอกถามนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้แล้วว่านายเป็นคนจ้างให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายชื่อเสียงห้างคุณจันทรภานุ”
ประกายดาวเล่าให้ทุกคนฟัง
“พอฉันนัดคนร่วมขบวนการของนายให้มาที่นี่ได้ ฉันก็โทรตามคุณจันทรภานุมาในฐานะเจ้าทุกข์”
“จริงหรือเปล่าศิวะ” อรอุมาถาม
ศิวะอึกอัก แต่ผู้หญิงคนนั้นร้อนตัวจะวิ่งหนี อภิเชษฐ์โผล่มาขวางไว้พอดี
อภิเชษฐ์พูดกวนประสาท “อ้าว..คุณ ! เจอตัวพอดี ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยอยู่เลย” อภิเชษฐ์พูดกับ
ประกายดาว “ขอโทษครับคุณดาว ผมมาช้าไปหน่อย ดันเจอโจรวิ่งราวกระเป๋าเข้าเลยต้องเสียเหงื่อเสียเวลาวิ่งไล่จับ”
“ไม่ช้าหรอกค่ะ คุณมาทันเวลาพอดีเป๊ะ” ประกายดาวบอก
ศิวะหน้าซีดไปทันที
ประกายดาวทายาที่แขนข้างที่เหวี่ยงไปโดนตู้ จันทรภานุคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง โดยที่ของในห้องยังไม่ได้เก็บ
“ฉันฝากด้วยนะเชษฐ์” จันทรภานุวางสายแล้วเดินเข้าไปหาประกายดาว
“คุณชายไปจัดการธุระก็ได้นะคะ ฉันไม่เป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรต้องจัดการแล้วครับ คุณศิวะสารภาพทุกอย่าง คุณอรอุมาก็ช่วยประกันตัวคุณศิวะออกไป พรุ่งนี้ข่าวลงหนังสือพิมพ์ ทุกคนก็จะรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ห้างมีเดียก็จะได้กลับมาเป๊ะเว่อร์สมกับเป็นห้างของคุณชายจันทรภานุเหมือนเดิม”
“ถ้าไม่ได้คุณช่วย เรื่องก็คงไม่จบง่ายๆ ขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะตอบแทนให้คุณได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ครับ คุณช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของห้างที่พ่อแม่ผมสร้างมากับมือ ห้างของผมเป็นหนี้บุญคุณของคุณ จะไม่ให้ผมตอบแทนอะไรเลยคงไม่ได้ ถ้าคุณต้องการอะไรบอกผมเถอะนะครับ ผมยินดีมอบให้คุณทุกอย่าง”
ประกายดาวถาม “ทุกอย่างเลยเหรอคะ”
“ครับ”
ประกายดาวยิ้มดีใจแล้วก็ตัดสินใจพูด
“ฉันอยากได้สเปิร์มของคุณชายไปทำลูกค่ะ แต่ไม่เยอะหรอกค่ะ เอาแค่สองซีซีก็พอ แต่ถ้าคุณชายเอื้อเฟื้ออยากจะให้มากกว่านั้น เผื่อต่อไปฉันอยากมีลูกเพิ่ม คุณชายจะได้ไม่ต้องถูกรีดบ่อยๆ ฉันก็ไม่ว่าอะไร”
ประกายดาวยิ้มกับความคิดของตัวเอง จันทรภานุเรียก
“คุณดาว !”
ประกายดาวรู้สึกตัว “คะ คะ?”
“ว่าไงครับ คุณอยากได้อะไร”
“ฉันขอสะ...สะ...” ประกายดาวพูดไม่ออก
“ครับ ?”
“เอ่อ...ขอ สะ....” ประกายดาวตัดสินใจ “ขอสอง ! สองนาทีค่ะ เดี๋ยวฉันมา”
ประกายดาววิ่งหายเข้าไปในห้องนอน จันทรภานุมองตามอย่างงงๆ
มิลินทร์ที่กำลังขับรถ และจิตสุภางค์ที่กำลังทำความสะอาดบ้านคุยโทรศัพท์กัน ทั้งสองพูดพร้อมกัน
“ดี ขอเลย”
ประกายดาวโผล่แทรกขึ้นมาตรงกลาง
“โอกาสทองอยู่ตรงหน้า แกต้องคว้าไว้นะดาว เอาให้คุ้มกับที่แกลงทุนช่วยจับไอ้ศิวะให้เขา” มิลินทร์บอก
“ฉันก็อยากขอ แต่มันพูดไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี” ประกายดาวคุยโทรศัพท์กับเพื่อนทั้งสองคน
“ไม่มีอะไรดีไปกว่า การพูดตรงๆ “คุณชายคะ ดาวอยากได้สเปิร์มของคุณชายเป็นรางวัลค่ะ” จบ” จิตสุภางค์บอก
“เขาจะหาว่าฉันบ้าน่ะสิ”
“มันบ้าตั้งแต่แกเริ่มคิดแผนแล้ว”
“พวกแกคิดว่าฉันบ้าจริงเหรอ”
“ไม่หรอก พวกฉันรู้ว่าแกเหงา สิ่งเดียวที่จะคลายเหงาให้แกได้คือเด็ก” มิลินทร์บอก
“ใช่ และแกก็ดันมีประสบการณ์ความรักไม่ดี เจอแต่ผู้ชายเฮงซวย แกถึงอยากมีลูกแต่ไม่อยากมีผัว” จิตสุภางค์เสริม
“นี่ไง พวกแกเข้าใจฉัน พวกแกถึงไม่มองว่าฉันบ้า แต่คุณชายยังไม่รู้จักฉันดีพอ ถ้าฉันพูดขอสเปิร์มกับคุณชายไปตอนนี้ เขาจับฉันส่งโรงพยาบาลบ้าแน่นอน”
“งั้นแกก็ไปเปิดตัวเองให้คุณชายรู้จักซะเดี๋ยวนี้เลย แกจะได้สมหวังสักที” มิลินทร์เสนอ
ประกายดาวครุ่นคิด
จันทรภานุช่วยเก็บของอยู่ในห้องประกายดาว เขาหันไปเห็นเงาสะท้อนจากกระจกว่ามีเศษเนื้อส้มติดอยู่ที่ลำคอตัวเอง จันทรภานุสาวกระดาษทิชชู่มาเช็ดเนื้อส้ม จู่ๆ จันทรภานุก็มีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผาก เขาสาวกระดาษทิชชู่มาซับเหงื่อบนหน้าผากเพราะรู้สึกร้อนผ่าว
“ทำไมร้อน”
พลันสายตาของจันทรภานุก็หันไปเห็นรูปสุดเซ็กซี่ของประกายดาวที่อยู่ในห้อง จันทรภานุจ้องรูปเหมือนต้องมนตร์ เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะรูปนั้นแล้วก็คิดจินตนกาารภาพประกายดาวในชุดเซ็กซี่ สะบัดผม จิกตา กระดิกนิ้วเรียกเขาด้วยท่วงท่ายั่วยวนสุดๆ
จันทรภานุตาเยิ้ม แต่แล้วเขาก็เรียกสติกลับคืนมา
“เป็นบ้าอะไร !”
ประกายดาวหอบนิตยสารแม่และเด็กออกมาจากในห้องพอดี
“ฮะ ? คุณชายว่าฉันบ้าทำไมคะ ?” ประกายดาวงง
“เปล่าครับ ผมไม่ได้ว่าคุณดาว” จันทรภานุมองนิตยสารในมือประกายดาว “นั่น”
“นิตยสารเด็กค่ะ ฉันเป็นสมาชิกนิตยสารเด็กเกือบทุกเล่มเลย ฉันรักเด็กค่ะ รักมากๆ นี่ถ้าไม่เป็นตากล้อง ฉันคงเป็นนางงามไปแล้ว เห็นไหมคะ เด็กๆ น่ารักมากๆ”
ประกายดายพลิกเปิดนิตยสารให้จันทรภานุดู พลางชำเลืองมองปฎิกิริยาของจันทรภานุ
จันทรภานุดูไปก็ปาดเหงื่อไปเพราะยาที่ศิวะใส่ในน้ำส้มกำลังทำงานเต็มที่ ประกายดาวพลิกเปิดไปเรื่อยๆ ไปจนถึงหน้าบทความเกี่ยวกับการให้นมลูกซึ่งมีรูปเนินอกผู้หญิง
จันทรภานุตาโตแล้วเขาก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ทำให้เห็นแก้วน้ำส้มที่เหลือน้ำส้มติดก้นแก้วอยู่นิดหน่อย จันทรภานุหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาดูแล้วนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
จันทรภานุนึกถึงตอนที่โดนน้ำส้มสาดใส่หน้าแล้วก็อึ้ง
“แก้วน้ำส้มของใคร”
“ไม่รู้ค่ะ ฉันไม่ได้รินทิ้งไว้ สงสัยศิวะคงจะเทดื่มตอนฉันอยู่ในห้องน้ำ”
จันทรภานุโกรธ “เลว !”
“มีอะไรเหรอคะ” ประกายดาวงง
“เขาคิดไม่ดีกับคุณ”
“นายศิวะไม่เคยคิดดีกับใครอยู่แล้ว แล้วมันเกี่ยวกับน้ำส้มตรงไหนคะ”
“ในน้ำส้มมียา...” จันทรภานุพยายามหาคำที่สุภาพสุดๆ “ยาแบบที่คุณกินเข้าไปแล้ว...เอ่อ คุณอาจจะเป็นของเขา”
“ยาปลุกเซ็กซ์ !”
“ประมาณนั้นครับ”
“ฉันว่าแล้วเชียวว่าไอ้บ้าศิวะต้องคิดไม่ซื่อ ถึงต้องขอมาห้องฉันให้ได้ ดีนะที่ฉันไม่เสียท่ากินเข้าไป บรื๋อ.... แค่คิดก็ขนลุกแล้ว เอ๊ะ ! ว่าแต่คุณชายรู้ได้ยังไงคะว่าศิวะใส่ยาอย่างว่าลงไปในน้ำส้ม”
“ผมกินน้ำส้มเข้าไป”
“อ๋อ...” ประกายดาวนึกได้ก็ตกใจ “คุณชายกินน้ำส้ม ! งั้นแสดงว่าคุณชายกำลัง...”
“พูดได้คำเดียวว่า...หนักหน่วงมาก” จันทรภานุตัวสั่น “บรื๋อ...”
“คุณชาย !”
ประกายดาวคว้าไม้เบสบอลใกล้มือแล้วถอยมาอยู่ห่างจากจันทรภานุ เธอเงื้อไม้เบสบอลขึ้นในท่าเตรียมฟาด
“อย่าหาว่าฉันไล่เลยนะคะ คุณชายกลับไปก่อนดีกว่า ยัยลินทร์กำลังจะมาที่นี่ด้วย ยัยลินทร์เพื่อนฉันขี้เม้ามาก ถ้ามันรู้ว่าคุณชายเป็นอะไร ฉันไม่รับรองว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับ”
“ผมออกไปไม่ได้ คือตอนนี้ มัน..มัน...แบบว่าประเจิดประเจ่อเกินไป” จันทรภานุบอก
จันทรภานุมองไปที่ไม้เบสบอลในมือประกายดาว ประกายดาวมองตามไปที่มือของตัวเองที่กำลังกำไม้เบสบอล ประกายดาวเก็ทว่าจันทรภานุจะสื่อถึงอะไร ประกายดาวรีบปล่อยไม้เบสบอลทิ้งทันที
จันทรภานุนั่งลงบนโซฟา “ขอผมนั่งสงบสติอารมณ์สักพักนะ ถ้าคุณดาวกลัวผมเข้าไปอยู่ในห้องเถอะครับ”
“คุณชายเดือดร้อนเพราะปกป้องฉัน ฉันปล่อยคุณชายเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายเพียงลำพังไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องช่วยคุณชายให้หายก่อนที่ยัยลินทร์จะมา กามตัณหาราคะแบบนี้ เราต้องเอาธรรมะเข้าข่ม ท่องตามฉันค่ะ พุท...โธ...”
จันทรภานุท่องตาม “พุทโธ”
“ธัมโม...สังโฆ”
จันทรภานุท่องตาม “ธัมโม สังโฆ”
ประกายดาวพูด “น้ำเหลืองหนอ...”
จันทรภานุงง “หือ?”
“อสุภกรรมฐาน ระลึกถึงศพดับตัณหาค่ะ ระลึกถึงว่าสิ่งสวยงามที่เห็นภายนอกเป็นแค่เปลือก แต่ข้างในเต็มไปด้วยของโสโครก ท่องตามค่ะ น้ำเหลืองหนอ เลือดหนอ”
“น้ำเหลืองหนอ...เลือดหนอ”
“เน่าหนอ เฟะหนอ”
“เน่าหนอ เฟะหนอ”
ประกายดาวถาม “ดีขึ้นไหมคะ”
จันทรภานุส่ายหน้า
“หนักหน่วงจริงๆ ด้วย ถ้าทางเย็นช่วยไม่ได้ คงต้องใช้ทางร้อนแล้วล่ะค่ะ”
ประกายดาวยิ้มเจ้าเล่ห์ จันทรภานุแปลกใจ
จันทรภานุแหงนหน้าขึ้นแล้วร้องลั่น
“โอ๊ย !”
ประกายดาวกำลังใช้วิชาโยคะดัดตัวจันทรภานุในท่าที่จันทรภานุนอนคว่ำ ส่วนประกายดาวนั่งคร่อมร่างแล้วดึงแขนจันทรภานุมาข้างหลัง
“ลูกผู้ชายต้องอดทนค่ะคุณชาย ความเจ็บจะทำให้อารมณ์ตัณหาดับ” ประกายดาวบอก
ประกายดาวเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก จันทรภานุกัดฟันเพราะเจ็บมาก
“โอ๊ย...ผม...หาย..แล้ว”
“เพื่อความชัวร์ ขออีกท่าค่ะ”
ประกายดาวจับจันทรภานุดัดท่าอื่น แต่จันทรภานุน้ำหนักตัวมากเกินไปทำให้ประกายดาวรับน้ำหนักไม่ไหวจึงล้มลงบนพื้น
“ว้าย !”
จันทรภานุคร่อมร่างประกายดาวไว้ ทั้งสองหน้าใกล้กันมากและหยุดค้างมองหน้ากันเหมือนต้องมนตร์ จันทรภานุกลืนน้ำลายลงคอ ตาเยิ้ม อารมณ์พลุ่งพล่านกลับมาอีกครั้ง
“คุณดาว คุณสวยเหลือเกิน”
“คุณชายคะ ท่องไว้ค่ะ น้ำเหลือง...เลือด...เน่าเฟะ น้ำเหลือง...เลือด...เน่าเฟะ”
จันทรภานุไม่ฟัง มือข้างหนึ่งของเขาปิดปากประกายดาว ส่วนอีกข้างล็อคแขนเธอไว้ ประกายดาวตาโตส่งเสียงร้องอู้อี้ เธอพยายามดิ้นแต่ดิ้นไม่หลุด จันทรภานุเอียงหน้าซบซอกคอประกายดาว เขาใช้ปลายจมูกเขี่ยคลึงไปมา
จันทรภานุชม “คุณหอมจัง”
จันทรภานุจุ๊บเบาๆ ลงบนซอกคอประกายดาว
ประกายดาวจากที่ตาถลึงๆ อยู่ก็เริ่มเคลิ้ม
ประกายดาวเริ่มดิ้นขัดขืนน้อยลงจนเกือบจะอยู่นิ่ง แต่เธอตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะหลุดออกมานอกร่าง
จันทรภานุสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นนั้น เขาค่อยๆ คลายมือที่ปิดปากประกายดาวออก ประกายดาวไม่ร้อง ไม่ดิ้น และไม่สู้
จันทรภานุเคลื่อนใบหน้ามาจ่อที่หน้าประกายดาว ประกายดาวมองตาหวาน จันทรภานุจ้องประกายดาวไม่วางตา เขาหายใจหอบถี่ก่อนจะเข้ามากระซิบข้างหูประกายดาว
“คุณดาว...ผมต้องการคุณ”
จันทรภานุกำลังจะจรดริมฝีปากลงบนปากประกายดาว แต่ริมฝีปากของประกายดาวสั่นเล็กน้อย จันทรภานุชะงักแล้วถอนหน้าออกมา เขาอยากแต่ก็ทำไม่ลง
“ผมขอโทษ ผมไม่ควร...”
ประกายดาวประคองใบหน้าจันทรภานุไว้
“ถ้าคุณชายต้องการฉัน ฉันก็จะช่วยคุณชายค่ะ”
จันทรภานุอึ้งเพราะคาดไม่ถึง
จันทรภานุลืมตาอยู่ใต้น้ำ ประกายดาวดึงคอเสื้อจันทรภานุขึ้นมาจากน้ำ
“ฉันจะช่วยคุณชายเอาชนะไอ้ยาสกปรกของไอ้ศิวะให้ได้ กว่าเราจะได้เกิดเป็นคน เราเอาชนะสเปิร์มตัวอื่นเป็นล้านๆ ตัว กะอีแค่ยาปลุกเซ็กซ์นิดเดียว ทำไมเราจะชนะมันไม่ได้”
ประกายดาวกดหัวจันทรภานุลงไปอีก จันทรภานุดำน้ำบุ๋มๆ สักพักประกายดาวก็ดึงขึ้นมาอีก
“ดีขึ้นไหมคะ”
“อีกนิด” จันทรภานุบอก
ประกายดาวกดหัวจันทรภานุลงไป
“เพื่อความชัวร์ ดาวจัดหนักนะคะ”
ประกายดาวเอื้อมมือไปดึงฝักบัวน้ำร้อนมากดสวิชต์ เร่งระดับความร้อนสูงขึ้น
“ฮ่าๆ คราวนี้หายแน่”
ประกายดาวเอาฝักบัวมาราดใส่หัวจันทรภานุ จันทรภานุลืมตาเพราะร้อนสุดๆ จันทรภานุโผหัวขึ้นจากน้ำอย่างเร็วแล้วตะโกนก้อง
“ร้อน !!”
จันทรภานุกระแทกประกายดาวจนประกายดาวเซ
“ว้าย !!”
ประกายดาวหงายหลังลงไปในอ่างอาบน้ำ จันทรภานุตกใจ
“คุณดาว ! ผมขอโทษ”
จันทรภานุดึงประกายดาวขึ้นมาแบบค่อนข้างทุลักทุเลเพราะลื่น ในที่สุดจันทรภานุก็ดึงตัวประกายดาวขึ้นมาได้ จันทรภานุโอบรวบตัวประกายดาวไว้ไม่ให้เธอลื่น ทำให้หน้าทั้งสองอยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นของลมหายใจ
จันทรภานุมองประกายดาวและยิ้มเอ็นดู ก่อนที่แววตานั้นจะเปลี่ยนเป็นซึ้งซึ่งเกิดจากความรักในหัวใจ
ประกายดาวชักเขิน “ยายังไม่หมดฤทธิ์อีกเหรอคะ”
“หมดแล้ว”
“หมดแล้ว ? แต่ทำไมคุณชายยังแปลกๆ”
“เพราะคุณไง”
จันทรภานุประคองหน้าประกายดาว ประกายดาวตัวแข็งเพราะตื่นเต้น จันทรภานุโน้มหน้าจะจูบประกายดาว ประกายดาวหลับตาพริ้มอย่างรอคอย
ริมฝีปากของจันทรภานุกำลังจะแตะโดนริมฝีปากของประกายดาว มือประกายดาวห้อยตกลงข้างตัวอย่างควบคุมไม่ได้ จันทรภานุขยับริมฝีปากบดกับริมฝีปากของประกายดาวแต่แล้วก็มีเสียงติ่งหน่องๆๆ ดังขึ้น จันทรภานุกับประกายดาวได้สติจึงผละออกจากกัน
มิลินทร์กดกระดิ่งและเรียก
“ดาว ไอ้ดาว ไอ้ดาวโว้ย”
ประตูเปิดออก จันทรภานุกับประกายดาวในสภาพเปียกปอนยืนอยู่ด้วยกัน
มิลินทร์พูด “อุ๊บส์ ! ฉันมาผิดเวลาชิมิ”
ประกายดาวมองมิลินทร์ดุๆ
ประกายดาวเดินนำจันทรภานุมาหน้าคอนโดด้วยอาการเขินและไม่กล้าสบตาจันทรภานุ
“ฉันส่งแค่นี้นะคะ”
ประกายดาวจะเดินกลับเข้าไปในตึก แต่จันทรภานุคว้าแขนประกายดาวไว้
“เดี๋ยวครับคุณดาว”
ประกายดาวหันมา
“ขอบคุณมากที่ไม่ทิ้งผม”
“เตี่ยกับม้าฉันเคยสอนว่า บุญคุณต้องตอบแทน คุณชายต้องเดือดร้อนเพราะปกป้องฉันจากศิวะ ถึงเวลาที่คุณชายเดือดร้อน ฉันก็ต้องช่วย”
“คุณรู้เรื่องคุณศิวะกับผมด้วยเหรอ”
“ค่ะ ฉันรู้”
“แสดงว่าที่เรื่องที่คุณพยายามสืบจากศิวะเป็นเพราะจะตอบแทนผม”
ประกายดาวพยักหน้า
“คุณไม่น่าต้องเอาตัวไปเสี่ยงเพื่อผมเลย ถ้าคุณถูกศิวะรังแก ผมคงจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“แต่ฉันก็รอดมาได้แล้วนี่คะ คุณชายสบายใจเถอะค่ะ ไม่มีใครทำอะไรประกายดาวได้ง่ายๆ”
จันทรภานุกุมมือประกายดาวแล้วมองซึ้ง “ขอบคุณมาก ขอบคุณมากจริงๆ”
ประกายดาวหลบสายตา เธอเคอะเขินและทำตัวไม่ถูกเลยทำตลกกลบเกลื่อน
“ด้วยความยินดีค่ะ กลับดีๆ นะคะ”
ประกายดาวหันหลังปุ๊บก็อมยิ้มกับตัวเองปั๊บ แล้วเธอก็เดินเข้าไปในตึก จันทรภานุมองตามอย่างรู้สึกดี
อ่านต่อหน้าที่ 2
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 9 (ต่อ)
อรอุมาเหวี่ยงกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตไปตรงหน้าศิวะ รติรสนั่งอยู่ไม่ไกล
“ออกไปจากบ้านฉันซะ ถ้าฉันพร้อมหย่าเมื่อไหร่ ฉันจะโทรไปนัดเอง” อรอุมาบอก
ศิวะตกใจ “หย่า”
รติรสลอบยิ้มอย่างสมใจ
“ผมไม่หย่า” ศิวะบอก
“ไม่หย่า ฉันก็จะฟ้อง ผัวที่ไม่เคยให้เกียรติเมีย เจ้าชู้มีกิ๊กไปทั่ว แถมทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แกล้งใส่ร้ายคนอื่นเพราะหึงหวงแฟนเก่า เด็กอมมือยังรู้ว่าใครจะชนะ”
อรอุมาเดินสะบัดขึ้นห้องไป
“อร ! ผมขอโทษ ผมรักคุณนะอร”
ศิวะจะตามอรอุมาแต่รติรสดึงแขนศิวะไว้
“ศิวะ” รติรสกระซิบ “ชู่ว์...พอแล้ว ง้อมากกว่านี้เดี๋ยวยัยอรเปลี่ยนใจ” รติรสเกาะแขนศิวะแล้วลูบไล้อย่างให้ท่า “ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง คุณจะได้เป็นของฉันคนเดียวสักที ไม่ดีใจหรือไง”
ศิวะลังเลว่าจะดีใจดีไหม แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงอรอุมาตะโกนมาจากชั้นสอง
“ศิวะ !!”
ศิวะตกใจและร้อนตัวจึงรีบผลักรติรสออกไป รติรสกระเด็นไปไกลและล้มก้นกระแทก อรอุมาโผล่หน้าลงมาจากชั้นสอง
“ทิ้งกุญแจรถกับบัตรเครดิตของฉันไว้ด้วย ไม่งั้นฉันจะให้นักเลงตามไปทวงถึงที่”
อรอุมาเดินกลับขึ้นไป
“อร อร ยกโทษให้ผมเถอะอร”
ศิวะตามอรอุมาไปโดยไม่สนใจรติรส รติรสมองตามด้วยความรู้สึกเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ
“ศิวะ”
อรอุมาเดินฉับๆ เข้าไปในห้องแต่เปิดประตูห้องทิ้งไว้ ศิวะตามเข้ามาง้อ
“อรครับอร ผมสัญญาต่อไปนี้ผมจะไม่เหลวไหลอีกแล้ว”
ศิวะจะเข้าไปในห้องแต่เจออรอุมายืนเล็งปืนสั้นมาที่เขา อรอุมาเลื่อนไปเล็งที่เป้า
“ไป...ให้...พ้น !”
ศิวะหยุดกึกแล้วรีบปิดเป้า เสียงปืนดังปัง
ศิวะวิ่งหลบกระสุนเป็นพัลวัน พอเสียงปืนเงียบไปแล้ว ศิวะก็หอบแฮ่กๆ และถอนหายใจยาว สักพักศิวะก็กัดฟันกรอด
“เธอต้องชดใช้ให้ฉัน ประกายดาว”
ศิวะโกรธแค้น
กลางดึก ประกายดาวกับมิลินทร์นอนบนเตียง ประกายดาวนอนจับท้องแล้วพลิกตัวไปมาด้วยท่าทางกระสับกระส่ายมาก มิลินทร์ลืมตาขึ้นมาดูอาการของประกายดาว
“ปวดท้องก็เข้าห้องน้ำไปปล่อยปลาซะ นอนดิ้นไปมา จะหายปวดไหม” มิลินทร์ว่า
“ฉันไม่ได้ปวดอุจาริโกะ แต่มันเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในท้องตลอดเวลา นอนก็นอนไม่หลับ”
“อ๋อ...ฉันรู้แหละ แกเป็นอะไร แกกำลังมีความรัก”
ประกายดาวรีบว่า “บ้า!”
“ไม่บ้า อาการของแกเนี่ยเขาเรียกว่า ผีเสื้อบินอยู่ในท้อง “มิลินทร์พูดสำเนียงเลิศมาก “Butterflies in my stomach มันจะเกิดขึ้นกับคนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก”
“ไม่จริง ฉันเคยมีความรัก เคยมีแฟนตั้งสามคน แต่ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย”
“เพราะแกไม่ได้รักไอ้สามคนนั้นน่ะสิ แต่แกรักคุณจันทรภานุ”
“คุณจันทรภานุเกี่ยวอะไรด้วย”
“เฮ้อ...ดาวเอ้ย ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าแกคิดยังไงกับคุณจันทรภานุ มีแต่ตัวแกเองที่ไม่รู้ใจตัวเองสักที”
“ฉันเปล่า” ประกายดาวปฏิเสธ
“ไม่ต้องเถียงกูรูกูรู้เรื่องความรักอย่างฉันได้ไหม เอางี้ แกคิดดูว่าแกมีสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า แกห่วงใยเขา คิดถึงเขาทุกลมหายใจเข้าออก แค่ปลายนิ้วเขาสัมผัสตัวแกก็แทบละลาย ถ้าแกเป็น แสดงว่าแกรักเขา”
ประกายดาวครุ่นคิด
ประกายดาวนึกถึงตอนที่จันทรภานุมองเธอ
ประกายดาวชักเขิน “ยายังไม่หมดฤทธิ์อีกเหรอคะ”
“หมดแล้ว”
“หมดแล้ว ? แต่ทำไมคุณชายยังแปลกๆ”
“เพราะคุณไง”
จันทรภานุโน้มหน้าจะจูบประกายดาว ประกายดาวหลับตาพริ้มอย่างรอคอย ริมฝีปากของจันทรภานุกำลังแตะโดนริมฝีปากของประกายดาว มือประกายดาวห้อยตกลงข้างตัวอย่างควบคุมไม่ได้
ประกายดาวนึกถึงเหตุการณ์นั้นก็สะท้านจนต้องรีบสะบัดหน้า ไล่ความรู้สึกของตัวเอง
“รัก ? ฉันรักคุณชายไม่ได้ ฉันอยากได้แค่สเปิร์มของเขามาทำลูก ถ้าฉันรักเขา ความรักอาจจะสร้างปัญหาให้ฉัน”
“งั้นแกก็พยายามกำจัดผีเสื้อในท้องของแกออกไปให้ได้แล้วกัน”
มิลินทร์นอนหลับต่อ
เสียงข้อความของประกายดาวดังขึ้น ประกายดาวหยิบมาเปิดอ่านก็เห็นว่าเป็นข้อความจาก จันทรภานุส่งมาว่า “ฝันดีครับ”
ประกายดาวยิ้มกว้าง หัวใจพองโต แต่แล้วก็นึกขึ้นได้
“เราต้องกำจัดผีเสื้อ” ประกายดาวตัดใจ เธอวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วล้มตัวลงนอน
จันทรภานุนั่งมองโทรศัพท์อย่างรอคอยให้ประกายดาวตอบกลับมา
ประกายดาวนอน แต่ทนไม่ไหวจึงพลิกตัวมามองโทรศัพท์อย่างลังเล มิลินทร์เอ่ยขึ้นขณะที่ยังนอนหลับตา
“ไม่ตอบกลับ เสียมารยาทนะแก”
“จริงด้วย”
ประกายดาวคว้าโทรศัพท์มากดตอบ มิลินทร์เหลือบตามองประกายดาวแล้วส่ายหน้าเหนื่อยใจกับการไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองของเพื่อนสาว
มือถือของจันทรภานุมีข้อความตอบกลับมา จันทรภานุหยิบมาดูก็เห็นข้อความจากประกายดาวส่งกลับมาว่า “ฝันดีค่ะ” จันทรภานุยิ้มกว้างอย่างคนกำลังมีความรัก หญิงนิ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นอาการของจันทรภานุ
“เอ...หน้าแบบนี้ไม่น่าจะแค่โล่งใจเรื่องคุณศิวะแล้วมั้งคะ แต่ทำท่าเหมือนคนกำลังมีความรัก” หญิงนิ่มแซว
“ค่ะน้องหญิง พี่กำลังมีความรัก”
หญิงนิ่มตกใจ “หา !”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นคะ”
“หญิงไม่ทันตั้งตัวสิคะ แหม...บทจะปากแข็ง ทำยังไงก็ไม่พูด แต่ถึงเวลาจะพูดก็พูดออกมาง่ายๆ”
“พี่ไม่อยากพูดจนกว่าจะแน่ใจ”
“แล้วอะไรทำให้พี่ชายแน่ใจล่ะคะ”
“เขาไม่เหมือนใคร เป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติ พี่มีความสุขเวลาอยู่ใกล้เขา”
“หญิงดีใจจังจะได้พี่ดาวเป็นพี่สะใภ้”
“ทำไมน้องหญิงถึงรู้ว่าพี่พูดถึงคุณดาว”
“หญิงรู้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะ ว่ามีแต่พี่ดาวเท่านั้นที่จะชนะใจพี่ชายของหญิงได้”
จันทรภานุยิ้มอย่างมีความสุข
พงศ์จันทรกำลังออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน เสียงแชทข้อความดัง พงศ์จันทรหยิบขึ้นมาดู
“มาแล้วเหรอยัยคุณหญิงตัวแสบ”
พงศ์จันทรกดอ่านข้อความก็เห็นเป็นไอคอนการ์ตูนดีใจ พงศ์จันทรยิ้มเอ็นดูแล้วกดตอบ
“ดีใจขนาดนี้ มีข่าวดีอะไรเอ่ย”
ข้อความตอบกลับมาว่า “ฉันดีใจ อีกไม่นานฉันก็จะมีพี่สะใภ้แล้วค่ะ”
พงศ์จันทรแปลกใจ
วันต่อมา ประกายดาวถ่ายนางแบบที่โพสต์ท่าอยู่ท่ามกลางสวนสวย
“สวยค่ะ สวยค่ะ”
ชายฉกรรจ์หน้าโหดแอบมองประกายดาวจากหลังต้นไม้ เขากดโทรศัพท์โทรออกในขณะที่ตาจับจ้องประกายดาวอย่างร้ายกาจ
“ผมเจอตัวแล้ว จัดการเลยไหมครับ”
ประกายดาวถ่ายรูปจนเสร็จ
“เรียบร้อยค่ะ”
ทีมงานแยกย้ายกันเก็บของ ประกายดาวส่งกล้องและรับน้ำมาจากทีมงาน ระหว่างดื่มน้ำ จู่ๆ ทีมงานฝ่ายช่างไฟก็ตะโกนเรียกทีมงานอีกคน
“จัน !”
ประกายดาวพูดตาม “จัน !”
ประกายดาวหันขวับไปทางนั้นก็เห็นว่าทีมงานชื่อจันเดินเข้าไปหาคนที่เรียก
“ไรพี่”
ประกายดาวคิดถึงที่มิลินทร์บอก
“คิดถึงเขาทุกลมหายใจเข้าออก .... ถ้าแกเป็น แสดงว่าแกรักเขา”
ประกายดาวสะบัดหน้าไล่ความคิด
“อย่าคิดนะดาว อย่าคิด”
ประกายดาวเดินออกไปจากตรงนั้น
ประกายดาวเดินหน้าหงุดหงิดมา
“อย่ารัก อย่ารัก ห้ามรักเด็ดขาด”
ทันใดก็มีมือขนาดใหญ่ยื่นมารวบปิดปากประกายดาว ประกายดาวตกใจพยายามดิ้นสู้แต่ก็ถูกลากออกไป
ชายฉกรรจ์ปิดปากลากประกายดาวเข้ามาในมุมเปลี่ยวๆ ประกายดาวทั้งร้องทั้งดิ้นแต่ก็สู้ไม่ไหว ประกายดาวถูกเหวี่ยงไปบนพื้น
“โอ๊ย !”
ชายฉกรรจ์พุ่งเข้าไปจับแขนประกายดาวทั้งสองข้างตรึงยึดไว้กับพื้น
“อย่าดิ้นให้เหนื่อยเลยดีกว่า ขอกัดทั้งตัวแค่นั้นเอง เธอจะได้รู้ว่าเวลาคนอื่นโดนกัดมันเจ็บแสบแค่ไหน”
“ศิวะจ้างแกมาเหรอ”
ชายฉกรรจ์ไม่ตอบแต่ก้มลงจะกัดซอกคอประกายดาว ในขณะที่มืออีกข้างปิดปากประกายดาวไว้ ประกายดาวกัดมือชายฉกรรจ์เต็มแรง
ชายฉกรรจ์ร้องลั่น “โอ๊ย !”
ชายฉกรรจ์เผลอปล่อยประกายดาว ประกายดาวลุกขึ้นจะวิ่งหนี
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย”
ชายฉกรรจ์รวบตัวประกายดาว
“ฤทธิ์มากนักใช่ไหม!
ชายฉกรรจ์ง้างหมัดจะชกท้องประกายดาว ประกายดาวก้มมองท้องตัวเองแล้วคิดถึงหายนะที่กำลังมาถึงท้องที่อยู่ของลูกน้อย
“ลูก ! อย่าแตะต้องท้องของช้าน !!”
ประกายดาวฮึดสู้จึงงัดวิชาเทควันโด้และมวยไทยหลับหูหลับตาสู้ชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์ยกมือขึ้นปัดป้อง
“โธ่โว้ย!”
ชายฉกรรจ์ตบประกายดาวเต็มแรงจนประกายดาวกองลงบนพื้นและเลือดกบปากทันที ชายฉกรรจ์ปราดเข้าไปจะคว้าแขนประกายดาว
“มานี่ !”
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งโผล่มากระชากไหล่ชายฉกรรจ์แล้วฟาดหมัดใส่หน้าอย่างแรง คนที่มาช่วยนั้นก็คือ พงศ์จันทร พงศ์จันทรพุ่งเข้าไปจัดการชายฉกรรจ์สามสี่ครั้ง ชายฉกรรจ์รู้ว่าสู้ไม่ได้จึงรีบวิ่งหนีไป พงศ์จันทรปราดเข้ามาดูประกายดาว
“คุณดาว คุณเป็นยังไงบ้าง”
ประกายดาวยังไม่ตอบ เธอรู้สึกเจ็บที่ปาก
ศิวะส่งเงินให้ชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์สะบักสะบอม
“ทุเรศ ผู้หญิงตัวนิดเดียวก็สู้ไม่ได้” ศิวะว่า
“คุณน่าจะบอกผมว่าผู้หญิงคนนั้นท้องอยู่ ผมจะได้ไม่รับงานนี้ ถึงผมจะเลวแต่ผมก็ไม่ชั่วนะครับ”
“นังดาวไม่ได้ท้อง” ศิวะบอก
“เหรอครับ ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นพูดลูกในท้อง ผมคิดว่าท้องอยู่ซะอีก”
ศิวะครุ่นคิดกับตัวเอง “หรือดาวมีอะไรปิดบังอยู่”
จันทรภานุกำลังประชุมกับลูกน้อง
“ถึงเราจะเคลียร์ข่าวได้ แต่เราก็ต้องรักษาความปลอดภัยให้ดี อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
ทุกคนรับคำ โทรศัพท์ของจันทรภานุดัง จันทรภานุมองหน้าจอแล้วก็นิ่วหน้าแปลกใจ
“ครับคุณลินทร์” จันทรภานุฟังแล้วตกใจ “ว่าไงนะครับ”
ประกายดาวนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ที่มุมปากของเธอมีรอยช้ำ มิลินทร์กับพงศ์จันทรนั่งอยู่ด้วย สักพักจันทรภานุก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“คุณดาว ! คุณดาวเป็นยังไงบ้าง”
“ทางกายไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะแค่ฟกช้ำนิดๆ หน่อยๆ แต่ทางใจนี่สิคะที่แย่ ขวัญเสียมาก ถึงต้องการกำลังใจ” มิลินทร์บอก
“ลินทร์ เยอะไป” ประกายดาวพูดกับจันทรภานุ “ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่เป็นแผลนิดหน่อย พรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาล ว่าแต่คุณชายรู้ได้ยังไงคะ”
จันทรภานุมองไปที่มิลินทร์
มิลินทร์พูด “ก็ฉันรู้นี่นาว่ายาอะไรจะช่วยรักษาแกได้ดีที่สุด”
ประกายดาวปรามเพื่อน “ลินทร์ !”
ประกายดาวเขินๆ จันทรภานุอมยิ้ม พงศ์จันทรทนไม่ไหวจึงกระแอมขัดจังหวะ
“อะแฮ่มๆ”
จันทรภานุเพิ่งเห็นพงศ์จันทร “คุณพงศ์”
“ว้า...น่าเศร้าจัง ชีวิตผมต้องอยู่นอกสายตาทุกคนตลอดสินะ”
“ผมขอโทษ ผมไม่ทันสังเกต” จันทรภานุบอก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเป็นผม ผมก็คงสนใจคุณดาวก่อนคนอื่นเหมือนกัน” พงศ์จันทรพูด
ประกายดาวรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“คุณพงศ์คะ ที่ออฟฟิศของลินทร์กำลังจะจัดงานเปิดตัวหนังสือใหม่ ลินทร์อยากให้บริษัทคุณพงศ์จัดงานให้ค่ะ”
“ยินดีครับ แล้วเดี๋ยวเรานัดคุยกัน
“ไม่เดี๋ยวค่ะ ลินทร์อยากคุยตอนนี้เลย ไอเดียมันพุ่งกระฉูด” มิลินทร์คว้าแขนพงศ์จันทร “เราออกไปคุยกันข้างนอกนะคะ”
มิลินทร์ลากพงศ์จันทรออกไป พงศ์จันทรจำใจต้องเดินตามมิลินทร์ไป
ประตูห้องปิดลง จันทรภานุมองประกายดาวอย่างห่วงใย ส่วนประกายดาวหลบสายตาเพราะทำตัวไม่ถูก
มิลินทร์ลากแขนพงศ์จันทรออกมาจากในห้อง จิตสุภางค์เดินออกมาจากในลิฟต์พอดี
“สวัสดีค่ะคุณพงศ์” จิตสุภางค์ถามมิลินทร์ “ดาวล่ะ”
“อยู่ในห้อง แต่ยังไม่ต้องเข้าไปเยี่ยมหรอก ไอ้ดาวมีแขก”
“แขกจะสำคัญกว่าเพื่อนได้ยังไง ไหน มันอยู่ห้องไหน”
จิตสุภางค์จะเดินไปทางห้อง แต่มิลินทร์รวบตัวจิตสุภางค์ไว้แล้วกระซิบ
“คุณชายอยู่ในห้อง ปล่อยให้เขาอยู่กันตามลำพังก่อน อย่าเพิ่งไปเป็นกขค.”
“แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก ต้าย...คุณชายมาถึงเร็วกว่าฉันอีกเหรอเนี่ย ชักจะยังไงๆ แล้วนะ”
มิลินทร์กับจิตสุภางค์หัวเราะคิกคัก พงศ์จันทรมองสองสาวสลับกับมองไปทางห้องพักของประกายดาวด้วยความสงสัย
จันทรภานุพูดกับประกายดาว
“คุณดาว คุณจำหน้าคนร้ายได้หรือเปล่า เดี๋ยวผมจะให้ไอ้เชษฐ์จัดการเรื่องนี้”
“ช่างมันเถอะค่ะ ฉันไม่อยากจองเวรกับใครแล้ว”
“คุณพูดเหมือนรู้ว่ามันเป็นใคร”
“ฉันบอกแล้วไงคะ ฉันไม่อยากจองเวรกับใคร ตอนนี้ฉันปลอดภัยดีแล้ว ก็ให้เรื่องมันจบลงเท่านี้เถอะค่ะ”
จันทรภานุนั่งลงข้างประกายดาว เขามองเธออย่างห่วงใย
“แต่มันไม่สมควรทำร้ายร่างกายผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงคนนั้นคือคุณ ผมไม่มีวันยอม”
ประกายดาวสบตาจันทรภานุราวกับต้องมนตร์สะกด จันทรภานุยกมือแตะมุมปากของประกายดาว
“เจ็บมากไหม”
ประกายดาวพยักหน้า จันทรภานุโน้มมาจูบที่มุมปากของประกายดาว ประกายดาวสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยความตกใจมากกว่าเจ็บแผล แต่เธอก็ไม่อาจละจากสัมผัสนั้น
จันทรภานุประคองแก้มประกายดาวอย่างเบามือแล้วขยับริมฝีปากเบียดบดกับริมฝีปากของประกายดาวอย่างแผ่วเบาทำเอาประกายดาวหลับตาพริ้มเหมือนล่องลอยไปไกล ประกายดาวยกแขนขึ้นโอบหลังจันทรภานุแล้วเคลื่อนไหวไปตามสัมผัสจูบจากจันทรภานุ
จิตสุภางค์นั่งอ่านนิตยสารอยู่ในร้านกาแฟ บนโต๊ะมีแก้วกาแฟสามใบ มิลินทร์เดินคุยโทรศัพท์กลับเข้ามาที่โต๊ะ
“หล่อนจะทำยังไงก็ได้ให้หนังสือวางแผนทันโอเคนะ” มิลินทร์มองหาพงศ์จันทร “คุณพงศ์ล่ะ”
“เข้าห้องน้ำ แต่ไปตั้งนานแล้วนะ ยังไม่มาสักที” จิตสุภางค์บอก
“ฉันก็เพิ่งมาจากห้องน้ำ ไม่เห็นเจอเลย”
“ไม่รู้เหรอ เขาบอกฉันแล้วก็เดินไปทางโน้น” จิตสุภางค์ชี้ไปด้านหนึ่ง
“นั่นไม่ใช่ทางไปห้องน้ำ”
“เขาไม่ไปห้องน้ำ แล้วเขาไปไหนล่ะ”
จันทรภานุถอนริมฝีปากออกจากปากประกายดาว
“ดีขึ้นไหม” จันทรภานุถาม
ประกายดาวพูดไม่ออก เธอได้แต่มองจันทรภานุน้ำตารื้นเพราะรักจันทรภานุเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยใจไปตามความรู้สึกได้
พงศ์จันทรมองภาพบาดตาระหว่างจันทรภานุกับประกายดาวผ่านกรอบบนประตู
พงศ์จันทรกำมือจนเส้นเลือดปูด ขณะดูประกายดาวกับจันทรภานุจูบกันอยู่ในห้อง พงศ์จันทรทนดูภาพบาดตาไม่ไหวจึงกัดฟันกรอด
“ชายจันทร !”
มิลินทร์กับจิตสุภางค์เปิดประตูเข้ามา จันทรภานุกับประกายดาวที่ยังจูบกันอยู่ผละออกจากกัน
มิลินทร์ตกใจ “โอ๊ะ โอ !”
จิตสุภางค์ดุมิลินทร์ “ก็บอกแล้วให้เคาะประตูก่อน” จิตสุภางค์พูดกับจันทรภานุ “ขอโทษนะคะ เชิญตามสบายค่ะ”
มิลินทร์กับจิตสุภางค์หันหลังจะเดินออกจากห้อง ประกายดาวซึ่งกำลังหน้าแดงเรื่อเรียก
“ลินทร์ จิต หยุดเดี๋ยวนี้”
มิลินทร์กับจิตสุภางค์หันมาส่งสายตาแซวประกายดาว ประกายดาวอายมากแต่พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“คุณชายจะจูบ...เอ้ย ! จะกลับแล้ว” ประกายดาวบอก
จันทรภานุมองประกายดาวด้วยความแปลกใจ แต่ประกายดาวไม่สบตา
“ไม่ต้องรีบกลับหรอกค่ะคุณชาย อยู่เป็นเพื่อนดาวก่อน เราแค่เข้ามาดูว่าคุณพงษ์มานี่หรือเปล่า” จิตสุภางค์บอก
จันทรภานุตอบ “เปล่าครับ”
มิลินทร์แปลกใจ “ไม่ได้มา เอ๊ะ แล้วเขาหายไปไหน"
พงศ์จันทรชกกระสอบทรายเพื่อระบายอารมณ์โกรธอยู่ในห้องนอนจนเหงื่อเต็มตัว เขานึกถึงตอนที่จันทรภานุจูบประกายดาว แล้วพงศ์จันทรก็รัวหมัดไม่ยั้ง
“อ๊าก !”
พงศ์จันทรรัวหมัดไม่ยั้งจนสาแก่ใจแล้วจึงหยุดหอบ เสียงข้อความแชทมือถือดังขึ้น พงศ์จันทรหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นข้อความจากหญิงนิ่มว่า "ทำอะไรอยู่คะ"
พงศ์จันทรส่งตัวการ์ตูนโกรธ หญิงนิ่มเห็นก็แปลกใจจึงพิมพ์ข้อความกลับ "โกรธใครมา ระบายกับฉันได้ ไม่คิดเงิน"
พงศ์จันทรนิ่งคิดไปเล็กน้อยแล้วพิมพ์ตอบ "ผู้หญิงที่ผมชอบจูบกับผู้ชายอื่น"
หญิงนิ่มส่งตัวการ์ตูนตกใจ พงศ์จันทรพิมพ์ต่อ "ผมอยากชกหน้าไอ้ผู้ชายคนนั้น"
หญิงนิ่มพิมพ์ถาม "แต่คุณก็ไม่ทำ"
พงศ์จันทรพิมพ์ "ผมไม่มีสิทธิ์ เธอยังไม่ได้เป็นแฟนผม เธอมีสิทธิ์จะทำอะไรกับใครก็ได้"
หญิงนิ่มตอบ "แมนมาก"
"แมนแต่ปวดใจ" พงศ์จันทรบอก
หญิงนิ่มยิ้มแล้วพิมพ์ถาม "ผู้หญิงของคุณมีใจให้ผู้ชายคนนั้นหรือยังคะ"
พงศ์จันทร์ตอบ “ผมไม่รู้ ไม่อยากรู้ด้วย ผมต้องได้เธอเป็นแฟน”
"สมแล้วที่คุณชื่อ ชายไร้หัวใจ"
พงศ์จันทรส่งไอคอนการ์ตูนทำหน้าสงสัย
"ความรักไม่ใช่การครอบครอง ความรักคือการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน" หญิงนิ่มพิมพ์
"ครับ คุณกูรูเรื่องความรัก" พงศ์จันทรประชด
"ฉันพูดตามที่เห็นจากพี่ชายของฉัน เวลาพี่ชายฉันรักใคร ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนโชคดีที่สุดในโลก"
พงศ์จันทรคิดตามที่หญิงนิ่มบอก
ศิวะเดินหอบช่อดอกไม้เข้ามาที่หน้าบ้านอรอุมา เขาเก๊กหน้าหล่อเต็มที่
“อรจ๋า...อร สุดที่รักของผมอยู่ไหนเอ่ย”
ศิวะเห็นจันทรภานุนั่งอยู่กับอรอุมา
“จันทรภานุ !”
จันทรภานุดูผ่อนคลายและมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ส่วนอรอุมาหน้าตึงอยู่ยิ่งเห็นศิวะมาหน้าก็ยิ่งหน้าตึงไปใหญ่
“สวัสดีครับคุณศิวะ” จันทรภานุทัก ศิวะไม่ตอบ “ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ถ้าเรื่องที่ผมบอกทำให้คุณอรไม่สบายใจ ผมต้องขอโทษด้วย แต่ผม "จำเป็น" ต้องบอกคุณ”
จันทรภานุจงใจเน้นคำเพื่อยั่วศิวะ
“ดีแล้วค่ะคุณชาย อรจะได้ไม่ต้องโดนใครสวมเขา”
จันทรภานุจะเดินออกไป ขณะเดินสวนกัน จันทรภานุส่งสายตานิ่งแต่พิฆาตให้ศิวะเป็นการกระตุ้นให้ศิวะร้อนตัวก่อนจะเดินออกไป ซึ่งได้ผลเพราะศิวะร้อนตัวมากจนต้องรีบเข้าไปหาอรอุมา
“อร จันทรภานุบอกอะไรคุณ”
“ใครอนุญาตให้คุณเข้ามาในบ้านฉัน ออกไปเดี๋ยวนี้”
“อร ใจเย็นก่อนนะอร”
อรอุมากคว้าของปาใส่ศิวะ
“ออกไป !”
“คุณอย่าไปฟังจันทรภานุ ผมไม่ได้เป็นชู้กับรส จันทรภานุหึงผมกับดาวก็เลยหาเรื่องใส่ร้ายผม”
อรอุมางง “คุณพูดอะไร จันทรภานุไม่ได้พูดถึงคุณเลยสักคำ”
ศิวะเหวอ “อ้าว...แล้วจันทรภานุมาบอกอะไรคุณ”
“กล้องวงจรปิดห้างคุณชายจับภาพพนักงานในร้านฉันทำตัวมีพิรุธว่าจะขโมยเครื่องเพชรในร้านฉัน เขาก็เลยมาเตือน”
ศิวะโล่งใจ
“แล้วตะกี้คุณพูดอะไร คุณไม่ได้เป็นชู้กับใคร ฉันฟังไม่ถนัด” อรอุมาถาม
“เปล๊า ผมไม่ได้พูดอะไร”
อรอุมามองศิวะด้วยความสงสัย
อ่านต่อหน้าที่ 3
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ศิวะทำหน้าบึ้งเดินเร็วออกมาจากในบ้านเพราะกลัวว่าจันทรภานุจะกลับไปแล้ว แต่จันทรภานุยืนคอยอยู่ที่รถ
“คิดแล้วว่าคุณชายต้องยังไม่กลับ” ศิวะบอก
“ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องจะคุยกับผม”
ศิวะเดินเข้าไปใกล้จันทรภานุแล้วกระซิบเพราะกลัวอรอุมาได้ยิน
“ผมกับรส เราไม่ได้มีอะไรกันแล้ว”
“แล้วยังไง” จันทรภานุถามกลับ
“ผมแค่อยากจะเตือนคุณชายไว้ ถ้าคุณชายพูดเรื่องผมกับรส ผมจะทำทุกอย่างให้อรเชื่อว่าคุณชายโกหก แล้วคนอย่างอร ถ้าลองเกลียดมัน คนๆ นั้น ชีวิตจะไม่สงบสุขอีกต่อไป”
“คุณอรไม่ได้โง่”
“ถ้าไม่โง่ ป่านนี้อรรู้เรื่องผมกับรสไปนานแล้ว”
“คนโง่ที่สุดคือคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด”
“จันทรภานุ”
ศิวะผลักอกจันทรภานุ จันทรภานุเบียงตัวหลบทันทำให้ศิวะถลาไปข้างหน้า จันทรภานุกระชากเสื้อศิวะ
“แต่คนที่ชั่วที่สุด คือคนที่ทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ ครั้งนี้คุณโชคดีที่คุณดาวไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าครั้งหน้าคุณแตะต้องเธออีก เชื่อผมเถอะ ชีวิตคุณจะไม่สงบสุขอีกต่อไป”
จันทรภานุผลักศิวะกระเด็นแล้วขึ้นรถขับออกไป ศิวะมองตามอย่างหงุดหงิด
ประกายดาวนอนตะแคงข้างแตะริมฝีปากตัวเอง สักพักเสียงจิตสุภางค์ก็ดังขึ้น
“จุ๊บๆๆ ม้วฟ อ้า...ชื่นใจจัง”
“เลิกแซวฉันสักทีได้ไหม” ประกายดาวหันไปหาเพื่อน
จิตสุภางค์กำลังคุยเฟชไทม์กับลูกบนไอแพด มิลินทร์ก็นั่งอยู่ด้วย
“ฉันคิดว่าแกหลับ ที่ไหนได้กำลังฝันหวานอยู่ ฉันว่าแกขอคุณจันทรภานุแต่งงานมีลูกเป็นเรื่องเป็นราวไปเลยดีกว่า” มิลินทร์เชียร์
“จริง ได้ทั้งลูกทั้งสามี เชื่อฉัน แกจะสุขทั้งใจและกาย” จิตสุภางค์หัวเราะคิกคัก
“ไม่ ! ฉันยังยืนยันคำเดิม ฉันจะมีลูกแต่ไม่มีสามี ไม่แต่งงาน ไม่มีชีวิตคู่”
จิตสุภางค์กับมิลินทร์มองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
“ดาว แกอย่าเอาไอ้แฟนเก่าสามคนของแกมาตัดสินผู้ชายทั้งโลกสิ คุณชายจันทร์เขาดีกว่าหลายขุม”
“และที่สำคัญที่สุด แกรักคุณจันทรภานุ” มิลินทร์ว่า
ประกายดาวปากแข็ง “ฉันไม่ได้รัก”
มิลินทร์กับจิตสุภางค์ประสานเสียง “หรา !”
“แล้วไอ้อาการผีเสื้อบินในท้องคืออะไร”
“แล้วทำไมถึงยอมให้เขาจุบจุบ”
“แหม...ฉันไม่ใช่พระอิฐพระปูน อยู่ใกล้คนหล่อๆ อย่างคุณจันทรภานุแล้วจะไม่วูบวาบ แต่เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ได้รัก ฉันแค่อยากได้สเปิร์มของเขาเท่านั้น” ประกายดาวบอก
มิลินทร์กับจิตสุภางค์พูดพร้อมกัน “ไม่เชื่อ !
“ไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันจะพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้รักคุณจันทรภานุ”
มิลินทร์กับจิตสุภางค์เบ้หน้าเพราะไม่เชื่อ
วันต่อมา จันทรภานุคุยโทรศัพท์ขณะเดินออกจากห้อง
“คุณดาวออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ผมไปรับคุณดาวให้เอง” จันทรภานุฟังแล้วตอบ “ไม่รบกวนครับ ผมเต็มใจ สวัสดีครับ”
จันทรภานุเปิดประตูออกมาก็เจอนันทินีโผล่หน้าเข้ามา
“จ๊ะเอ๋ !”
จันทรภานุสะดุ้งโหยง
นันทินีพูด “อุ้ย ! นันแค่เปลี่ยนสีอายชายโดว์สีใหม่ คุณชายต้องถึงกับตะลึงเลยเหรอคะ รู้งี้นันเปลี่ยนทุกวันดีกว่า วันนี้วันหยุด คุณชายยังออกไปข้างนอกอีกเหรอคะ”
“ผมมีธุระ”
“ธุระอะไรคะ ธุระกับนัง เอ๊ย ! คุณดาวหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
“ธุระอะไร”
จันทรภานุหน้าตึง
“โอเค๊ นันไม่รู้ก็ได้” นันทินีขู่ “แต่คิดว่าหม่อมป้าจะต้องอยากรู้”
หญิงนิ่มเดินเข้ามา “ตอนนี้หม่อมป้าอยากรู้มากกว่าค่ะว่าพี่นันหายไปไหน”
นันทินีตกใจ “หม่อมป้าออกมาจากห้องพระแล้วเรอะคะ”
“ค่ะ แล้วถ้าหม่อมป้ารู้ว่าพี่นันขึ้นมาหาพี่จันทรภานุถึงห้อง หม่อมป้าต้องเอ็ดพี่นันเรื่องความเป็นกุลสตรีแน่ๆ” หญิงนิ่มบอก
“เอ่อ...พี่...พี่ขึ้นมาตามคุณชายลงไปทานข้าวค่ะ นันขอตัวลงไปช่วยแม่บ้านจัดโต๊ะให้สมกับเป็นกุลสตรีดีกว่า”
นันทินีเดินออกไป
“ขอบคุณนะคะน้องหญิง” จันทรภานุเอ่ย
“เรื่องสะกัดดาวรุ่ง หญิงถนัดค่ะ”
รถของจันทรภานุเคลื่อนออกไป นันทินีที่ซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้มองตามรถจันทรภานุ
“คิดว่าจะหลบนันพ้นเรอะคะ”
นันทินีสะพายกระเป๋าจะวิ่งไปที่รถตัวเอง แต่หญิงนิ่มมาขวางไว้
“กุลสตรีที่ดี ต้องไม่วิ่งตามผู้ชายนะคะ”
นันทินีเจ็บใจ
นันทินีเดินมาตามทางแล้วชำเลืองไปข้างหลัง หญิงนิ่มเดินตามหลังห่างๆ ทำเป็นชมนกชมไม้ แต่จริงๆ แล้วคอยจับตาดูนันทินี
“ฉันได้เป็นพี่สะใภ้หล่อนเมื่อไหร่ ฉันจะหักค่าขนมหล่อนให้เกลี้ยงเลยคอยดู” นันทินีบ่น
นันทินีคิดอะไรได้จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ทำเป็นโทรออกเนียนๆ ไม่ให้หญิงนิ่มสงสัย
“ฮัลโหลคุณพงศ์ นันจะขอความช่วยเหลือค่ะ”
จันทรภานุเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาในห้อง ประกายดาวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกำลังเก็บของอยู่ มิลินทร์ก็นั่งอยู่ด้วย
ประกายดาวแปลกใจ “คุณชาย...”
“อ้าว...คุณลินทร์ ไหนบอกว่าวันนี้ไม่ว่าง”
“เมื่อตะกี้ไม่ว่าง แต่ตอนนี้ว่างแล้วค่ะ” มิลินทร์บอก
ประกายดาวมองมิลินทร์ดุๆ เพราะรู้ว่ามิลินทร์มีแผนร้าย มิลินทร์ลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
“ลินทร์เห็นว่าคุณชายออกมาแล้วก็เลยไม่อยากห้าม ไม่ว่ากันนะคะ”
“ถ้าคุณลินทร์ห้ามไม่ให้ผมมารับคุณดาวสิครับ ผมถึงจะว่า ผมไปเคลียร์ค่ารักษาก่อนนะ”
จันทรภานุเดินออกไป มิลินทร์ร้องเพลงแซว
"เจออย่างนี้ใครไม่รักก็บ้าแล้ว ก็ไม่แคล้วคงสมองไม่ค่อยดี" มิลินทร์พูดต่อ “ไม่ต้องมองฉันแบบนั้น ฉันแค่จะพาคุณชายมาให้แกพิสูจน์กับฉันและกับใจแกเองว่าแกไม่ได้รักคุณชาย”
“ด้าย...ฉันจะไปบอกคุณจันทรภานุเดี๋ยวนี้ ว่าฉันไม่ได้ชอบเขา”
“คำพูดเป็นแค่ลมปาก จะพ่นคำโกหกอะไรออกมาก็ได้ แต่สิ่งที่แกโกหกไม่ได้คือใจตัวเอง แกต้องกอดและจ้องตาคุณจันทรภานุ ถ้าแกเลือดกำเดาไหล แสดงว่าแกชอบเขา”
“หุ่นล่ำอย่างคุณชาย เลือดกำเดาใครไม่ไหลก็บ้าแล้ว” ประกายดาวบอก
“ฉันเป็นเพื่อนแกมากี่ปี ทำไมฉันจะไม่รู้ ต่อให้หุ่นล่ำ ก้ามปู หล่อหน้าเด้งขนาดไหน แกก็จะไม่รู้สึกอะไร ถ้าแกไม่ได้ชอบเขา”
ประกายดาวหนักใจ
“ถ้าไม่กล้าก็ยอมรับมาว่ารักคุณจันทรภานุ” มิลินทร์บอก
ประกายดาวหนักแน่น “ฉันต้องกอดคุณจันทรภานุนานเท่าไหร่”
“แค่สิบวินาทีก็รู้เรื่องเพื่อนเอ๋ย”
ประกายดาวมุ่งมั่น
จันทรภานุเดินกลับมาที่ห้องพัก มิลินทร์ออกมาจากในห้องด้วยสีหน้าร้อนรน
“คุณชาย ดาวไม่รู้เป็นอะไรค่ะ อยู่ๆ ก็ใจเสียเรื่องที่มันเจอมา คุณชายช่วยปลอบดาวหน่อยเถอะค่ะ”
จันทรภานุรีบเข้าไปในห้อง
จันทรภานุเปิดประตูเข้ามาในห้อง ประกายดาวนั่งหน้าเศร้าอยู่บนเตียง จันทรภานุเข้าไปหาประกายดาวอย่างห่วงใย
“คุณดาว ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
ประกายดาวโผเข้ากอดจันทรภานุ มิลินทร์โผล่หน้ามาจากช่องกระจกเหนือประตูแล้วยกนิ้วทีละนิ้วนับเวลาให้ประกายดาว ประกายดาวกอดจันทรภานุแน่นแล้วหลับตาคิดในใจ
“อสุภะกรรมฐาน เลือด น้ำนอง เน่าเฟะ”
มิลินทร์ไล่นิ้วจนถึง 6 7 ก็ชักหวั่นใจเพราะประกายดาวกำลังจะทำสำเร็จ ประกายดาวยักคิ้วเย้ยใส่มิลินทร์
มิลินทร์นับต่อ “8...9...”
จู่ๆ จันทรภานุก็ยกมือกอดประกายดาวตอบ
“ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีก ผมสัญญา” จันทรภานุเอียงหน้าจูบที่ซอกคอประกายดาวเพื่อให้กำลังใจ
ประกายดาวตะลึงจนเลือดกำเดาไหลย้อย
มิลินทร์ยิ้ม “ไอ้ดาวเสร็จ”
ประกายดาวรีบผละออกจากจันทรภานุแล้วสาวกระดาษทิชชู่มาซับเลือด
“คุณดาว คุณเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
จันทรภานุประคองหน้าประกายดาวเพื่อดูเลือดกำเดาให้อย่างห่วงใย
“แต่เลือดกำเดาไหล ออกเยอะด้วย คุณอยู่นี่นะ ผมจะไปตามหมอมาดูให้ แล้วก็ไม่ต้องคิดจะกลับบ้านวันนี้ คุณต้องนอนต่ออีกสองคืนสองคืน อยู่ใกล้หมอให้สบายใจดีกว่า”
“อย่าดีกับฉันมากนักได้ไหมคะคุณชาย”
“ขอผมเรื่องอื่นเถอะ ขอให้ผมไม่ทำดีกับคุณ ผมทำไม่ได้”
ประกายดาวกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจึงจะวิ่งออกไปจากห้อง แต่จันทรภานุคว้าตัวประกายดาวไว้
“คุณจะไปไหน”
“ปล่อยฉัน !”
“ไม่ปล่อย คุณต้องบอกผม คุณเป็นอะไรประกายดาว”
มิลินทร์กำลังคุยโทรศัพท์กับจิตสุภางค์อยู่หน้าห้อง
“ฉันอยากถ่ายรูปตอนดาวมันทำหน้าเซลฟ์ แต่เลือดกำเดาไหลให้แกดูมาก”
มิลินทร์เม้าธ์แตกโดยยืนหันหลังให้ห้องทำให้ไม่เห็นพงศ์จันทรที่ถือช่อดอกไม้ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
พงศ์จันทรมองเข้าไปในห้องก็เห็นประกายดาวกำลังผลักจันทรภานุ ประกายดาวร้องไห้ในลักษณะดูเหมือนประกายดาวกับจันทรภานุกำลังทะเลาะกัน
“คุณดาว !”
พงศ์จันทร์ปล่อยดอกไม้ลงพื้นแล้วเปิดประตูพรวดเข้าไป มิลินทร์ได้ยินเสียงก็หันขวับไปมอง
พงศ์จันทรปราดเข้าไปกระชากจันทรภานุออกจากประกายดาวแล้วชกหน้าจันทรภานุเต็มๆ จันทรภานุกระเด็นไปติดกำแพงและมีเลือดกลบปาก
ประกายดาวตกใจ “คุณพงศ์”
มิลินทร์เดินตามเข้ามาด้วยความตกใจ
“ศึกชิงนาง”
พงศ์จันทรปราดเข้าไปจะซ้ำจันทรภานุ แต่ประกายดาวเข้ามาขวาง
“คุณพงศ์หยุดเดี๋ยวนี้ !”
“เขาทำร้ายคุณ” พงศ์จันทรบอก
พงศ์จันทรไม่หยุด ประกายดาวจึงผลักพงศ์จันทร์อย่างแรง
“คุณพงศ์ ฉันบอกให้หยุด”
พงศ์จันทรโมโหทำให้ของขึ้นจนฉุดไม่อยู่
“รักเขามากนักหรือไง” พงศ์จันทรถาม
ประกายดาวปากแข็ง “ฉันไม่ได้รักคุณชาย”
จันทรภานุอึ้ง
“ไม่รัก แล้วทำไมต้องปกป้องเขาด้วย อ๋อ...ผมลืมไปว่าคุณอยากได้สะ...”
ประกายดาวตกใจกลัวพงศ์จันทรจะพูดจึงตบหน้าพงศ์จันทร
“ฉันปกป้องเขา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น แต่เพราะคุณชายไม่ได้ทำร้ายฉัน ไม่มีใครทำร้ายฉัน ฉันทำร้ายตัวเองทั้งนั้น !”
ประกายดาววิ่งออกไป
พงศ์จันทรตะโกนเรียก “คุณดาว !”
พงศ์จันทรจะวิ่งตาม แต่มิลินทร์มาขวาง
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ลินทร์เถอะค่ะ”
มิลินทร์คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋าสะพายของประกายดาวจะเดินออกไปแต่นึกขึ้นได้จึงหันกลับมาดันพงศ์จันทรออกจากห้อง
“ช่อดอกไม้หล่นอยู่ข้างหน้า ไปเก็บก่อนดีกว่านะคะ”
มิลินทร์ลากพงศ์จันทรออกไป พงศ์จันทรหันไปสบตากับจันทรภานุอย่างเอาเรื่อง จันทรภานุเช็ดเลือดที่มุมปากอย่างเศร้าๆ
มิลินทร์วิ่งหอบกระเป๋าเข้ามามองหาประกายดาวก็เห็นประกายดาวนั่งปาดน้ำตาอยู่ที่ม้านั่ง มิลินทร์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ
“ฉันแพ้แก ฉันรักคุณจันทรภานุ” ประกายดาวบอก
มิลินทร์ถาม “แล้วเมื่อตะกี้พูดทำไมว่าไม่รัก”
“แล้วจะพูดทำไมว่ารัก คุณชายไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับเขา เพราะฉันจะไม่ปล่อยให้ความรักอยู่กับฉันนานหรอก”
ประกายดาวมุ่งมั่นแต่มิลินทร์เหนื่อยใจ
จันทรภานุนั่งซึมอยู่ในผับ อภิเชษฐ์นั่งอยู่ด้วย
“เออ ไอ้นี่แปลกคน กินน้ำเปล่าดับเฮิร์ต จะพระเอกไปไหนวะ”
“รู้ได้ไงว่าฉันเฮิร์ต” จันทรภานุถาม
“ครั้งสุดท้ายที่แกชวนฉันมานั่งดื่ม เพราะแกเฮิร์ตเรื่องแฟนเก่า”
“เออ แกเก่ง ฉันเฮิร์ต เฮิร์ตมากด้วย” จันทรภานุยอมรับ
“มันต้องอย่างงั้น การยอมรับความรู้สึกตัวเองเป็นอย่างแรกที่แกต้องทำ ถ้าตัวแกเองยังไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง ก็อย่าคิดว่าใครจะช่วยแกได้ มา... ระบายออกมาเลยเพื่อน กูรูความรักอย่างฉันช่วยแกได้แน่นอน” เสียงข้อความในโทรศัพท์ของอภิเชษฐ์ดังขึ้น “แปบนะ งาน”
อภิเชษฐ์พิมพ์ตอบด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“โอเค ว่ามาเลย เกิดอะไรขึ้น ใครมันบังอาจทำให้ปากคุณจันทรภานุแตก” เสียงข้อความโทรศัพท์อภิเชษฐ์ดังอีก “แปบนะ”
อภิเชษฐ์พิมพ์จนเสร็จ
“คราวนี้เสร็จแล้วจริงๆ” เสียงข้อความดังอีก “กะอีแค่สะกดรอยตามคน ทำไมต้องให้บอกทุกสเต็ปวะ” อภิเชษฐ์พิมพ์ตอบจนเสร็จ “มาเลยเพื่อน”
“ไม่ต้องหรอก แกช่วยฉันแล้ว” จันทรภานุบอก
อภิเชษฐ์งง “ช่วยอะไร”
“แกช่วยทำให้เห็นว่าปัญหาของฉันมันเล็กมาก ถ้าเทียบกับปัญหาระดับประเทศที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแกต้องจัดการ แล้วคดีที่แกตามอยู่ไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“เพิ่งได้ความคืบหน้ามาว่าพวกมันกำลังเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าพวกมันทำสำเร็จ ยาเสพย์ติดจะหลุดเข้ามาในประเทศเราอีกมาก”
จันทรภานุพยักหน้ารับเพราะเครียดไปด้วย
ปุระชัยนั่งอยู่ในห้องทำงาน สักพักลูกน้องก็เคาะประตู
ปุระชัยบอก “เข้ามา”
ลูกน้องเดินเข้ามา
“พวกมันมากันแล้วครับนาย”
“ให้เข้ามา แล้วดูให้ดีว่ามีใครสะกดรอยตามมันมาหรือเปล่า แล้วก็อย่าให้ใครเข้ามากวน แผนนี้จะหลุดลอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ครับนาย” ลูกน้องเดินออกไป
พลกับเจ้านายสะพายกระเป๋าเดินเข้ามา
“เป็นยังไง กรุงเทพฯ น่าอยู่กว่าบนดอยใช่ไหม” ปุระชัยถาม
พลกับเจ้านายยิ้มด้วยแววตาเป็นประกายตามประสาคนที่กำลังหลงกับความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง
อรอุมากับรติรสยืนคุยกับลูกน้องปุระชัยอยู่หน้าห้อง
“นายคุยงานอยู่ครับ นายสั่งไว้ว่าไม่ให้รบกวน”
รติรสไม่พอใจ “นี่แกกล้าออกคำสั่งกับฉันเหรอ”
“นายไม่ให้ใครกวนจริงๆ ครับคุณหนู”
“ไม่เป็นไรหรอกรส เอาไว้วันหลังฉันค่อยมาหาคุณพ่อก็ได้” อรอุมาบอก
“ตกลงว่าเธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับพ่อฉัน บอกฉันไว้ก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกคุณพ่อให้” รติรสถาม
“ฉันจะขอให้คุณพ่อส่งคนตามสืบ ว่านังผู้หญิงที่ศิวะเล่นชู้อยู่เป็นใคร” อรอุมาบอก
รติรสทำโทรศัพท์ตกมือ
ในบ้านปุระชัย อรอุมาจิบน้ำชาไปด้วยโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ารติรสนั่งหน้าซีด
“เธอรู้ได้ยังไงว่าศิวะมีชู้” รติรสถาม
“วันก่อนคุณจันทรภานุไปที่บ้านฉัน ศิวะพูดอะไรแปลกๆ กับคุณชาย” อรอุมาบอก
“นังประกายดาวไง ไม่เห็นจะยาก”
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่นังดาว ฉันสังหรณ์ใจว่าจะมีใครอีกคน”
“คิดมากไปเองหรือเปล่า”
“ฉันก็อยากจะแน่ใจว่าคิดไปเอง ถึงต้องขอให้พ่อเธอช่วยสืบให้ไง”
รติรสกลืนน้ำลายเพราะคิดว่างานเข้าแล้ว แต่ก็พยายามปั้นหน้าปกติเพื่อกลบเกลื่อน
“แต่เธอก็คิดจะหย่ากับศิวะอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปสนใจเลยว่าเขาจะไปยุ่งกับใคร” รติรสว่า
อรอุมาย้อนถาม “เธอคิดว่าฉันจะหย่ากับศิวะจริงๆ เหรอ”
รติรสเหวอ
“ฉันรักศิวะ ฉันก็แค่ลองใจแกล้งเอาเรื่องหย่ามาขู่ มันได้ผลมากเลยนะรส ศิวะไปง้อฉันทุกวัน ฉันทำไม่ดีกับเขายังไง เขาก็ยังดีกับฉัน ฉันแน่ใจแล้วว่าเขารักฉัน สมน้ำหน้านังพวกผู้หญิงหน้าโง่ที่โดนศิวะหลอกกินฟรี ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองก็เป็นได้แค่ของกินเล่น”
รติรสปัดแก้วชาทิ้ง
“ใครอยู่แถวนี้บ้าง มาเก็บแก้วทีสิ”
อรอุมามองรติรสด้วยดวงตาแข็งกร้าวพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ศิวะหลุดปากเรื่องเป็นชู้กับรติรส
“คุณอย่าไปฟังจันทรภานุ ผมไม่ได้เป็นชู้กับรส”
ดวงตาอรอุมาแข็งกร้าวเพราะเธอมาที่นี่เพื่อจับผิดรติรส ซึ่งรติรสก็มีอาการแปลกๆจริง แต่พอรติรสหันหน้ามา อรอุมาก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ
“ระวังเศษแก้วนะรส ฉันเคยโดนบาดมาแล้ว เจ็บไปถึงหัวใจเลยล่ะ” อรอุมาว่า
“ไม่สบายหรือเปล่า ปกติไม่เคยเห็นเธอเป็นห่วงใคร”
อรอุมายิ้มเย็น “เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันถึงเตือน จะทำอะไรระวังให้ดี แก้วแพงๆ ถ้าแตกไปแล้ว ยังไงก็ประสานกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้”
รติรสกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกกลัวอรอุมาอย่างบอกไม่ถูก
ประกายดาวยืนอยู่ริมหน้าต่างห้อง วิทยุเปิดเพลง "เธอคือความฝัน ของวงพราว "
“เธอคือความฝันในใจฉัน เป็นความฝันที่แสนไกล
เนื้อเพลงโดนใจประกายดาว ประกายดาวจึงรีบกดเปลี่ยนคลื่นจนไปเจอเพลง "รักเธอเสมอ ของ อัสนี-วสันต์"
“รักเธอเสมอ นานเท่าไหร่ยังรักเธอ”
ประกายดาวรีบปิดวิทยุ
“จะรักอะไรกันนักหนา”
ประกายดาวเปิดนิตยสารดูก็เห็นรูปจันทรภานุในหน้าข่าวสังคม
“คุณชาย !”
ประกายดาวปิดหนังสือแล้วกดรีโมททีวีก็เจอรายการสัมภาษณ์คุณจันทรภานุ
“ครับ ผมยังโสด” จันทรภานุพูด
ประกายดาวกดรีโมท
“ฉันจะหนีคุณไม่พ้นก็ให้มันรู้ไป”
ประกายดาวมีท่าทีมุ่งมั่น
จันทรภานุเดินอยู่ที่สวน มือของเขาจับโทรศัพท์เหมือนอยากจะโทรศัพท์ไปหาประกายดาว
“ขอโทรศัพท์หน่อยค่ะพี่ชาย” หญิงนิ่มพูด
จันทรภานุหันไปเจอหญิงนิ่มยืนอยู่
“แน่ะ...มาใช้ของพี่ แล้วของตัวเองไปไหนคะ”
“อยู่ค่ะ แต่ถ้าพี่ดาวเห็นเป็นเบอร์พี่ชายโทรไป พี่ดาวน่าจะดีใจกว่า”
“น้องหญิงจะโทรหาคุณดาว?”
“ค่ะ หญิงจะโทรไปถามว่าทำไมวันสองวันมานี้พี่ชายของหญิงดูไม่สดใส พี่ดาวทำอะไรพี่ชายหรือเปล่า”
จันทรภานุรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ถ้าไม่มี งั้นพรุ่งนี้หญิงโทรชวนพี่ดาวไปทานข้าวนะคะ พี่ชายต้องไปด้วย นี่ไม่ใช่การขอร้องแต่คือการบังคับ”
หญิงนิ่มดึงโทรศัพท์จันทรภานุไปกด จันทรภานุอยากจะห้าม
“น้องหญิงคะ อย่า...”
หญิงนิ่มลดโทรศัพท์ลงแล้วทำหน้าจ๋อย
“พี่ดาวปิดเครื่องค่ะ”
จันทรภานุโล่งใจ
พงศ์จันทรหยุดยืนหน้าประตูห้องประกายดาวแล้วเคาะประตูห้อง
“คุณดาว คุณดาวครับ”
ไม่มีใครเปิด พงศ์จันทร์แปลกใจ
มิลินทร์วิ่งออกกำลังกายอยู่ในฟิตเนสและคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ดาวหายไปเหรอคะ”
พงศ์จันทรคุยโทรศัพท์อยู่ที่ล้อบบี้คอนโด
“ครับ ผมโทรติดต่อคุณดาวไม่ได้เลย ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ที่คอนโดก็ไม่อยู่ คุณลินทร์รู้ไหมว่าคุณดาวอยู่ไหน”
“ไม่รู้เลยค่ะ สองสามวันมานี้ลินทร์งานยุ่งมาก ก็เลยไม่ได้ติดต่อดาวเลย”
“คุณไม่ได้โกหกผมนะ”
“ถ้าลินทร์โกหก ขอให้ลินทร์ตกงานค่ะ ลินทร์ไม่รู้จริงๆ ว่าแต่คุณพงศ์มีธุระอะไรกับดาวหรือคะ”
“ผมจะขอโทษคุณดาว เรื่องวันนั้น”
“อ๋อ...ดาวมันไม่ถือสาหรอกค่ะ”
“แต่ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ผมเกือบจะเผลอพูดเรื่องสเปิร์ม ผมต้องขอโทษคุณดาวให้ได้”
พงศ์จันทรมุ่งมั่น
แดนดินกำลังทำสวนอยู่ที่บ้าน รถพงศ์จันทรขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน พงศ์จันทรลงจากรถ แดนดินมองอย่างแปลกใจ
มือถือของประกายดาวมีข้อความจากดินแดนเข้ามา ประกายดาวกดอ่าน
"น้องฟ้าไม่สบาย"
ประกายดาวคุยโทรศัพท์
“พี่ดิน น้องฟ้าเป็นอะไร ไปหาหมอหรือยัง”
แดนดินคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน
“เป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้หายแล้ว” แดนดินบอก
“หายแล้ว ?! แล้วส่งข้อความมาบอกดาวทำไมมิทราบ”
“ถ้าฉันไม่ส่งไปแบบนั้น แล้วแกจะยอมโทรกลับเหรอ ตอนนี้แกอยู่ไหนดาว รู้ไหมว่ามีแต่คนเป็นห่วง”
ประกายดาวอ้อน “รวมทั้งพี่ดินด้วยปะ”
“ไม่ต้องสตรอเบอรี่กับฉัน บอกมา แกอยู่ไหน”
“ดาวมาทำงานที่เชียงใหม่ พอดีเจ๊พีชมีงานด่วน”
“มีงานด่วน หรือใจแกป่วนกันแน่”
“พี่ดินรู้อะไรมา ใครบอกอะไรพี่ดิน ลินทร์ใช่ไหม”
“ไม่ต้องมีใครบอกหรอก ฉันเป็นพี่แก ทำไมฉันจะไม่รู้จักแก ไอ้พฤติกรรมหายตัวเป็นนินจา แกกำลังเฮิร์ต คนเราจะหนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีใจตัวเองไม่ได้หรอกนะดาว”
“ดาวรักพี่ดินนะ”
“เออรู้ ไม่ต้องดราม่า” แดนดินแอบยิ้ม
“พี่ดิน ถ้าพี่ดินรู้จักดาวจริง พี่ดินรู้ใช่ไหมว่าต้องบอกคนอื่นว่ายังไง”
แดนดินบอกพงศ์จันทร
“ดาวอยู่เชียงใหม่ครับ”
พงศ์จันทรงง “เชียงใหม่ ?”
“ครับ ดาวไปทำงาน แต่ที่ๆ ที่มันไปกันดารสุดๆ ไม่ต้องพูดถึงสามจี แค่สัญญาณโทรศัพท์ธรรมดายังไม่มีเลย”
“ไม่มี แล้วคุณดินติดต่อดาวได้ยังไง”
แดนดินอึ้งเพราะเผลอพูดไปแล้ว
“เอ่อ...อ๋อ..ดาวมันโทรมาบอกตั้งนานแล้วครับ เมื่อตะกี้ผมจะโทรหามัน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามันเคยโทรมาบอกแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอกครับ ดาวเอาตัวรอดได้ ผมเป็นพี่มัน ผมยังไม่ห่วงมันเลย”
พงศ์จันทรพยักหน้ารับ แดนดินแอบมองพงศ์จันทรพอเห็นพงศ์จันทรไม่มีท่าทีสงสัยก็ถอนหายใจโล่งอก พงศ์จันทรไม่สบายใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4
ดาวเกี้ยวเดือน ตอนที่ 9 (ต่อ)
จันทรภานุนั่งทำงานอยู่ในห้อง แล้วจู่ๆ ภาพประกายดาวก็แว่บขึ้นมาในหัว เป็นภาพตอนที่ประกายดาวประกาศว่าไม่ได้รักจันทรภานุ
“ฉันไม่ได้รักคุณชาย”
จันทรภานุเศร้ามากแต่ก็พยายามฝืนก้มหน้าทำงานต่อไป
ประกายดาวถ่ายรูปโรงแรม เธอเดินถอยหลังแล้วบังเอิญไปชนกับใครบางคนเข้า
“อุ้ย ! ขอโทษค่ะ”
ประกายดาวหันไปเห็นว่าเป็นพล
“พล !”
“อ้าว...พี่ดาว ยังไม่กลับกรุงเทพฯ อีกเหรอครับ”
“กลับไปแล้วค่ะ พอดีพี่มีงานถ่ายรูปก็เลยขึ้นมาใหม่ แล้วนี่มาทำอะไร”
พลอึกอักอย่างมีพิรุธ
“แวะมารับเงินกับของบริจาคให้เด็กชาวเขาในหมู่บ้านของเราน่ะครับ เศรษฐีที่เขาบริจาคเขาพักอยู่โรงแรมนี้”
“เหรอ ดีจัง แล้วคนอื่นๆ ล่ะ หายไปไหน”
“เข้าห้องน้ำครับ ตอนขับรถขึ้นไปบนดอยจะได้ไม่ปวดกลางทาง”
“จะกลับขึ้นดอยกันแล้วเหรอ”
“ครับ” พลคิดอะไรได้ “ไปเที่ยวไหมพี่ดาว ช่วงนี้อากาศกำลังดีเลย”
“ถ้าพลไม่ชวน พี่จะเสียใจมาก”
พลยิ้ม สักพักเจ้านาย พิมพ์ไทย และต้นอ้อก็เดินเข้ามา พอเห็นประกายดาวทั้งหมดก็ยิ้มร่า
“พี่ดาว ! โลกกลมจังเลยนะครับ” เจ้านายบอก
“จ้ะ กลมมาก”
ต้นอ้อมองประกายดาวอย่างสนใจ
“เดี๋ยวพี่ดาวจะขึ้นไปเที่ยวบนดอยกับพวกเราด้วยนะ” พลบอก
เจ้านายหน้าตึง
เจ้านายกับพลแอบมาคุยกัน
“แกจะบ้าไปแล้วหรือไง เอาพี่ดาวขึ้นไปกับเราทำไม มีคนอื่นอยู่ใกล้เรา เดี๋ยวแผนก็แตกกันหมด นี่ถ้าท่านรู้ ท่านต้องโกรธมากแน่ๆ” เจ้านายว่า
“ท่านเป็นคนส่งข่าวฉันมา ว่าตอนนี้ทางขึ้นดอยมีด่านตำรวจหลายจุด” พลบอก
“ฉิบหายแล้วสิ”
“เพราะงี้ไง ฉันถึงชวนพี่ดาวขึ้นไปด้วยกัน”
“พี่ดาวจะช่วยอะไรได้วะ”
“พี่ดาวจะช่วยเป็นไม้กันหมาให้เรา มีคนที่เคยมีข่าวว่าเป็นแฟนกับคุณจันทรภานุเจ้าของโรงแรมจันทรภานุนั่งไปด้วย ใครจะสงสัยว่ารถเรามีของ"
เจ้านายพยักหน้ารับ
พงศ์จันทรครุ่นคิด
“คุณดาวอยู่ตรงไหนของเชียงใหม่”
พงศ์จันทรตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไป
หญิงนิ่มเดินออกมาจากในร้าน พงศ์จันทรกำลังเดินมาที่ร้าน หญิงนิ่มเซ็งทันทีที่เห็นพงศ์จันทร
“คุณหญิง คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณดาวอยู่ไหน”
หญิงนิ่มตอบทันที “รู้”
พงศ์จันทรดีใจ “อยู่ไหน”
“อยู่ในใจพี่ชายฉัน”
พงศ์จันทรหุบยิ้ม
หญิงนิ่มพูดต่อ “และฉันก็คิดว่าพี่ชายฉันก็คงอยู่ในใจพี่ดาวเหมือนกัน”
“มั่นใจเกินไปหรือเปล่า คนที่อยู่ในใจคุณดาวอาจเป็นผมก็ได้”
“อ๋อเหรอ ถ้าพี่ดาวมีใจให้นาย แล้วทำไมนายถึงต้องมาถามฉันว่าพี่ดาวอยู่ไหน ทีนี้จะแน่ใจได้หรือยัง ว่าพี่ดาวไม่มีวันเลือกนายหรอก”
“ทำไม”
“นายเจ้าชู้ มักมาก และไม่รู้จักความรัก จบนะ”
หญิงนิ่มเดินไป พงศ์จันทรเจ็บใจ
หญิงนิ่มกดรีโมทรถแล้วเปิดประตูรถฝั่งคนขับกำลังจะขึ้นรถ พงศ์จันทรวิ่งเข้าไปดึงแขนหญิงนิ่มออกมาแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งรถฝั่งคนขับก่อนจะดึงตัวหญิงนิ่มมานั่งบนตักและกอดเอาไว้ หญิงนิ่มดิ้น พงศ์จันทร์ต้องออกแรงในการล็อตตัวหญิงนิ่มมากขึ้น
“นายทำบ้าอะไร ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
ทั้งสองยื้อยุดกันไปมา
มือพงศ์จันทรกดที่ปุ่มเอนเบาะทำให้เบาะเอนไปข้างหลังจนสุด
หญิงนิ่มตกใจ “ว้าย”
หญิงนิ่มอยู่ในท่านอนทับพงศ์จันทร พงศ์จันทรกอดหญิงนิ่มไว้
“ฟังผมพูด อย่าเถียง อย่าร้อง ไม่งั้นเจอจูบ”
หญิงนิ่มเงียบ พงศ์จันทรจับหน้าหญิงนิ่มให้หันมาจ้องตน
“ผมยอมรับ ที่ผ่านมาผมเจ้าชู้ มักมากอย่างที่คุณว่า แต่ผมไม่เคยไปบังคับฝืนใจใคร”
“ข้ออ้าง” หญิงนิ่มว่า
“บอกว่าอย่าพูด !”
พงศ์จันทรยื่นหน้าไปใกล้หญิงนิ่ม หญิงนิ่มเม้มปากและหลับตาปี๋
“พี่ชายคุณอาจจะดีกว่าผม แต่ไมได้หมายความว่าเขาจะรักคุณดาวได้มากกว่าผม ความรักมันไม่ได้อยู่ที่ใครดีพอนะคุณหญิง แต่มันอยู่ใคร พอดีต่างหากแล้วใครจะไปรู้ผู้ชายเฮงซวยอย่างผมอาจจะพอดีกับคุณดาวก็ได้”
“ปล่อยฉันได้หรือยัง !”
พงศ์จันทรประกบปากหญิงนิ่ม หญิงนิ่มตาค้างและตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสะกด พงศ์จันทรค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากหญิงนิ่มแล้วกระซิบข้างหู
“คนอย่างผม ไม่ได้รักใครง่ายๆ แต่ถ้ารักแล้ว ต่อให้ตายแทนผมก็ทำได้ เพราะฉะนั้นอย่ามาหาว่าผมไม่รู้จักความรักอีก”
พงศ์จันทรปล่อยหญิงนิ่ม หญิงนิ่มลุกขึ้น พงศ์จันทรออกจากรถ หญิงนิ่มเข้าไปในรถก่อนจะปิดประตูปังแล้วขับออกไป พงศ์จันทรมองตาม
หญิงนิ่มขับรถมาจอดติดไฟแดง เธอแตะปากตัวเองแล้วเหม่อลอยอย่างรู้สึกสับสนปนเปไปหมด หญิงนิ่มทุบพวงมาลัยปังๆ
“นายพงศ์ ฉันเกลียดนายๆๆ”
รถข้างหลังบีบแตรดังลั่น หญิงนิ่มสะดุ้งแล้วรีบขับรถออกไป
พงศ์จันทรเข้ามาในรถ แล้วนึกถึงตอนที่จูบหญิงนิ่ม พงศ์จันทรยิ้มสุขใจแล้วสตาร์ทรถ เขาล้วงหาโทรศัพท์มือถือแต่ก็หาไม่เจอ
“มือถือ ? มือถือหายไปไหน”
พงศ์จันทรคิด เขานึกถึงที่ยื้อยุดกับหญิงนิ่มในรถของหญิงนิ่ม
พงศ์จันทรตะลึง
“ตกอยู่ในรถหญิงนิ่ม !”
หญิงนิ่มขับรถมาจอดหน้าวังนพรัตน์ แต่ยังนั่งอยู่ในรถ หญิงนิ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาคุณชายไร้หัวใจ เธอกดรูปการ์ตูนโกรธแล้วกดส่ง เสียงข้อความแชทจากมือถืออีกเครื่องดังขึ้น หญิงนิ่มแปลกใจ เธอหันขวับไปมองหาที่มาของเสียงทันที
หญิงนิ่มมองหาที่มาของเสียงเตือนแชท มือถือของพงศ์จันทรหล่นอยู่ในซอกระหว่างเบาะหน้าโดยมีหน้าจอสว่าง กรอบเตือนแชทจาก "หญิงนิ่ม" ขึ้นกลางจอ หญิงนิ่มหาจนใกล้จะเจอมือถือแล้ว ทันใดเสียงเคาะกระจกก็ดังขึ้น หญิงนิ่มหันไปเจอนันทินีมีท่าทางร้อนรน
“น้องหญิงคะ หม่อมป้าค่ะ ! หม่อมป้า !”
หญิงนิ่มตกใจแล้วรีบลงจากรถ
“หม่อมป้าเป็นอะไร”
“หม่อมป้าขะ...ขา ขาด !!!”
หญิงนิ่มตกใจสุดขีด เธอรีบวิ่งเข้าไปในตึก
หญิงนิ่มวิ่งมาจากหน้าตึก
“หม่อมป้า ! หม่อมป้า !”
“เสียงดังเอะอะทำไมหญิงนิ่ม” สุรีย์ถาม
สุรีย์กำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่กับนมพร หญิงนิ่มงง
“อะ...อ้าว...พี่นันบอกว่าหม่อมป้าขาขาด”
นันทินีเดินตามมาด้วยท่าทางตื่นเต้นร้อนรน “ขาขาด ขาดขาค่ะ นมพรจะเลิกแล้ว พี่ไม่อยากให้ขาดช่วง น้องหญิงมาเล่นด้วยกันนะคะ ช่วยบริหารสมองให้หม่อมป้า ห่างไกลจากอัลไซเมอร์”
“น่ารักจริงๆ รู้จักห่วงใยป้า” สุรีย์ชม
“กราบขอบพระคุณค่ะ แต่ตาหน้าห้ามติดเงินแล้วนะคะ นั่งค่ะน้องหญิง”
หญิงนิ่มเซ็ง “หญิงขอไปเอากระเป๋าในรถก่อน” หญิงนิ่มเดินออกไป
หญิงนิ่มเปิดประตูรถฝั่งคนขับพลางบ่น
“พี่นันนะพี่นัน ตกใจหมด” หญิงนิ่มนึกได้ “เสียงมือถือเมื่อกี้มาจากไหน”
หญิงนิ่มคิดแล้วตัดสินใจเปิดหน้าจอแชทกับคุณชายไร้หัวใจ
“ยังไม่ตอบ”
หญิงนิ่มตัดสินใจกดส่งสติกเกอร์ใหม่ พอกดส่งก็ไม่มีเสียงอะไรดังในรถ
“หูชักจะไม่ดีแล้วเรา”
พงศ์จันทรคุยโทรศัพท์
“ขอบคุณคุณมาก”
นันทินีคุยโทรศัพท์โดยที่มือถือของพงศ์จันทรอยู่ในมือของนันทินี
“แอบหามือถือของคุณในรถน้องหญิง ถ้าไม่เก่ง ฉลาด ทำไม่ได้หรอกนะ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่วัง”
“เฟชบุ๊ค คุณเช็คอินว่าอยู่ที่วังนพรัตน์”
“คุณอย่าลืมสัญญาที่ตกลงกันไว้ล่ะ”
“ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ผมจะช่วยคุณให้สมหวังกับคุณจันทร์ภานุ แต่คุณก็ต้องไม่ผิดสัญญากับผม มือถือถือเป็นของส่วนตัว”
“นี่คุณ ฉันไม่ใช่คนธรรมดานะยะ ฉันได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องสมบัติผู้ดีมาตั้งแต่ยังไม่ปฏิสนธิ ฉันไม่เปิดดูมือถือของคุณหรอกน่ะ แค่นี้นะ” นันทินีวางสาย
พงศ์จันทรวางสาย
“จะเชื่อใจได้ไหม แต่ก็ยังดีกว่าให้หญิงนิ่มรู้”
อภิเชษฐ์คุยโทรศัพท์
“ผมฝากด้วยแล้วกัน พยายามอย่าให้คุณดาวเข้าไปข้องเกี่ยว”
ระหว่างนั้นจันทร์ภานุก็เปิดประตูเข้ามาได้ยินพอดี พอได้ยินชื่อดาวจันทร์ภานุก็ไม่สบายใจ
อภิเชษฐ์พูดโทรศัพท์ต่อ “ถ้ามีอะไรติดต่อผมด่วนเลยนะหมวด”
อภิเชษฐ์วางสายแล้วหันไปเห็นจันทร์ภานุ อภิเชษฐ์จึงเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจทันที
“เลิกประชุมสักที ฉันหิวไส้จะขาดแล้ว”
“แกพูดถึงคุณดาวไหน” จันทรภานุถาม
อภิเชษฐ์ทำตลกกลบเกลื่อน “คุณดาว แม่ค้าขายส้มตำหน้าโรงพัก”
จันทร์ภานุเสียงแข็ง “ไอ้เชษฐ์ คุณดาวไหน”
“เออๆ บอกก็ได้ คุณดาวของแกนั่นแหละ สายของฉันส่งข่าวมาบอกว่าคุณดาวกำลังขึ้นไปเที่ยวบนดอยกับแก๊งค์เด็กชาวเขาที่ฉันจับตาดูอยู่”
จันทร์ภานุเป็นห่วง “คุณดาว !”
จันทร์ภานุคว้าโทรศัพท์จะโทรออกแต่อภิเชษฐ์ถาม
“แกจะทำอะไร”
“โทรบอกให้คุณดาวกลับมา”
“ไม่ต้องโทรหรอก คุณดาวกำลังขึ้นดอย บนดอยไม่มีสัญญาณมือถือ”
“งั้นแกก็สั่งให้สายลับของแกบอกคุณดาวให้ลงมาสิ”
“ถ้าฉันทำได้ฉันทำไปแล้ว แต่แกไม่ต้องเป็นห่วง เด็กแก็งค์ชาวเขาพวกนั้นไม่มีพิษมีภัยอะไร เขาแค่เป็นเครื่องมือของไอ้หัวหน้าขบวนการ”
จันทร์ภานุยอมใจเย็นแล้วเอ่ยถาม
“แกรู้หรือยังว่าหัวหน้าขบวนการเป็นใคร”
“รู้แล้ว แต่ยังจับไม่ได้ เพราะฉันยังไม่ได้หลักฐานเด็ดๆ มัดตัวเขา”
จันทร์ภานุเครียด
รถกระบะเก่าๆ ขับไปตามทางขึ้นดอย ท้ายรถมีลังใส่ของหลายใบ สองข้างทางเป็นป่า พลเป็นคนขับ ประกายดาวนั่งหน้าคู่พล ส่วนคนที่เหลือนั่งข้างหลัง ประกายดาวถ่ายรูป พลชี้ชวนให้เธอดูวิวข้างทาง ทั้งสองคุยกันหัวเราะกันดูถูกคอ พิมพ์ไทยมองประกายดาวกับพลอย่างไม่พอใจ
รถของพลเคลื่อนมาจอด พล เจ้านาย พิมพ์ไทย ต้นอ้อ และประกายดาวลงจากรถ ทุกคนยืดเส้นยืดสายกันเล็กน้อยเพราะนั่งมานาน เด็กๆ วิ่งกรูกันเข้ามาหา
“พี่พล มีของเล่นไหม”
“มี แต่ไม่ให้ ต้องสวัสดีพี่ดาวกันก่อน” พลบอก
เด็กๆ พูดเสียงแจ๋ว “ซาหวาดดีค่ะ/ครับ”
“สวัสดีค่ะ น่ารักกันจังเลย”
“เอาของเล่นไปแบ่งกันนะ อย่าทะเลาะกันล่ะ ไม่งั้นจะริบคืนให้หมด” พลบอก
พลส่งถุงของเล่นให้เด็กคนที่ตัวโตสุด เด็กๆ พากันวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
“พ่อแม่ของเด็กๆ ไปไหนกันคะ” ประกายดาวถาม
“ไม่มีครับ พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ครูใหญ่เก็บมาเลี้ยง แต่ครูใหญ่ตายไปแล้ว พวกผมเลยต้องดูแลน้องๆ ต่อ ตอบแทนบุญคุณของครูใหญ่”
“คนกตัญญูตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” ประกายดาวบอก
ประกายดาวจับบ่าพล พลยิ้ม พิมพ์ไทยมองอย่างไม่พอใจก่อนจะกระแทกเสียงถาม
“พี่พล ของพวกนี้จะให้เอาไปไว้ไหน”
“บ้านพี่” พลตอบ
พล เจ้านาย พิมพ์ไทย และต้นอ้อช่วยกันยกลังใส่ของลงจากรถ ประกายดาวเข้าไปช่วย
“มาค่ะ พี่ช่วย”
พิมพ์ไทยปัดมือประกายดาว
“อย่ายุ่ง !”
“พิมพ์” พลปราม
พลตาขุ่นใส่พิมพ์ไทย พิมพ์ไทยเดินสะบัดเข้าไปในหมู่บ้าน พลปั้นหน้าเป็นปกติแล้วหันมาหาประกายดาว
“อย่าถือสาพิมพ์เลยนะครับ นั่งรถนานๆ ทีไร อารมณ์เสียทุกที”
ประกายดาวยิ้มอย่างไม่ติดใจอะไร
พลตบหน้าพิมพ์ไทย
“ถ้าวันหลังเธอยังทำตัวงี่เง่าอีก เจอหนักกว่านี้แน่”
“พี่ชอบมัน” พิมพ์ไทยว่า
“จะให้พูดอีกกี่ร้อยครั้ง พี่ดาวเป็นแค่ไม้กันหมาให้เราผ่านด่านตำรวจมาได้ง่ายเท่านั้น”
“มันหมดประโยชน์แล้ว ไล่มันกลับไปสิ”
“ชวนเขามาแล้วจะไล่เขากลับได้ยังไง” พลเข้าไปโอบพิมพ์ไทย “ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ พี่ไม่ยอมให้คนอื่นอยู่ที่นี่นานหรอก พรุ่งนี้พี่จะพาพี่ดาวลงไปส่งข้างล่าง”
“พี่พลรักพิมพ์หรือเปล่า”
“พิมพ์ยอมทิ้งบ้านทิ้งแม่มาอยู่กับพี่ พี่ไม่รักพิมพ์ก็โง่แล้ว”
พลจูบหัวพิมพ์ไทย พิมพ์ไทยกอดพลแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเจ้านายก็เปิดประตูพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน
“พล ! ท่านให้...”
เจ้านายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นพิมพ์ไทยอยู่ด้วยเขาก็ไม่พูด
“ออกมานี่หน่อย” เจ้านายบอก
เจ้านายเดินนำพลไปหน้าบ้าน พลเดินตามไป พิมพ์ไทยมองอย่างสงสัย
เจ้านายเดินออกมาจากในบ้าน พลเดินตามมา
“มีอะไร” พลถาม
เจ้านายกระซิบเพราะกลัวพิมพ์ไทยได้ยิน “ท่านให้คนมาส่งข่าวด่วน”
พลแปลกใจ
ประกายดาวคุยกับต้นอ้อที่บ้านพักของต้นอ้อ
“จริงๆ พี่นอนเต็นท์ก็ได้นะคะ จะได้ไม่รบกวนน้องต้นอ้อ”
“ไม่รบกวนเลยค่ะ พี่ดาวนอนกับต้นอ้อน่ะดีแล้วค่ะ ต้นอ้อจะได้อุ่นใจ”
“น้องต้นอ้อพูดเหมือนที่นี่มีอะไรน่ากลัว”
ต้นอ้อไม่ตอบแต่ยิ้มออกมา
จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กร้องไห้จ้าดังมาจากข้างนอก ประกายดาวกับต้นอ้อมองออกไปนอกหน้าต่าง
เด็กชาวเขาสองคนกำลังยื้อแย่งหุ่นยนต์กัน เด็กที่ดูอ่อนแอกว่าร้องไห้จ้า
“เอามา ของเขา”
ประกายดาวกับต้นอ้อเดินเร็วมาจากทางบ้านแล้วตรงเข้าไปห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้น” ต้นอ้อถาม
“หนูอยากได้หุ่นยนต์” เด็กตัวเล็กบอก
เด็กตัวโตกว่าพูด “พี่พลให้หม่อง”
“แต่หม่องเคยมีหลายตัวแล้ว เวลาหม่องลงไปทำงานในตัวเมืองกับพี่พลทีไร พี่พลก็ซื้อให้”
ประกายดาวสงสัย “ทำงาน ? ทำงานอะไรคะ”
เด็กยังไม่ทันตอบ ต้นอ้อรีบแย่งตอบ
“ขายของจุกจิกที่เด็กๆ ทำเองน่ะค่ะ”
ประกายดาวพยักหน้ารับ
“เอาอย่างนี้ มันมีตัวเดียว งั้นพี่ดาวขอ”
เด็กๆ เหวอ
“พี่ดาวจะเล่าเรื่องหุ่นยนต์กับมารร้ายให้ฟัง ดีไหม” ประกายดาวถาม
เด็กๆ ยิ้มกว้าง ต้นอ้อแอบมองประกายดาวด้วยความโล่งใจ
นันทินีนั่งจ้องมือถือพงศ์จันทรที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างกระสับกระส่ายเพราะอยากแอบดูมือถือของพงศ์จันทรมาก เธอจะเอื้อมมือขวาไปจับแต่ก็ใช้อีกมือตีมือตัวเองเพื่อห้ามไว้
“อย่านันทินี ! เราเป็นผู้ดีมีมารยาท ห้ามยุ่งของคนอื่นเด็ดขาด”
นันทินีเบี่ยงหน้าไปทางอื่น แต่ทันทีที่กรอบเตือนข้อความแชทดังขึ้น นันทินีก็หันขวับมาดูอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้เสียมารยาท แต่มันเห็นเอง”
นันทินีอ่านบนหน้าจอก็เห็นกรอบข้อความแชทจากหญิงนิ่มขึ้นว่า "หายไปไหนคะ ฉันเป็นห่วง"
นันทินีแปลกใจ
“น้องหญิงกับคุณพงศ์กิ๊กกันอยู่เหรอเนี่ย ต๊าย...ทำเป็นแบ๊วๆ แต่แอบแซ่บนะคะน้องหญิง”
พงศ์จันทรเดินเข้ามา นันทินีปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหยิบมือถือส่งให้พงศ์จันทร
“ขอบคุณมาก”
ท่าทางนันทินีนิ่งเกินไปจนพงศ์จันทรสงสัย
“คุณไม่ถามเหรอว่ามือถือผมไปอยู่บนรถหญิงนิ่มได้ยังไง”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องของคุณจันทร์ภานุ ฉันไม่อยากรู้หรอกค่ะ อ่อ...แล้วก็อย่าลืมข้อตกลงของเรา ถ้าคุณไม่ทำ ฉันจะฟ้องคุณชาย”
พงศ์จันทร์งง “ฟ้องเรื่อง ?”
“เรื่องที่คุณลืมมือถือไว้บนรถน้องหญิง คุณชายรักน้องหญิงมาก ถ้าเขารู้ว่าน้องหญิงอยู่ใกล้ไฟอย่างคุณ เขาต้องไม่ยอมแน่”
พงศ์จันทรกวน “คุณชายดุขนาดนั้นเลย ?”
“คนอย่างคุณชายทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่เขารัก และฉันก็จะต้องเป็นคนๆนั้นด้วย คอยดู”
พงศ์จันทรเอือมระอากับความเชื่อมั่นของนันทินี
จันทร์ภานุขึ้นมาบนรถแล้วคิดถึงที่อภิเชษฐ์บอก
“คุณดาวกำลังขึ้นไปเที่ยวบนดอยกับแก๊งค์เด็กชาวเขาที่ฉันจับตาดูอยู่”
จันทร์ภานุตัดสินใจกดโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ผมจะจองตั๋วไปเชียงใหม่ไฟล์ทเร็วที่สุด”
ประกายดาวเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังโดยใช้หุ่นยนต์เป็นตัวละคร เด็กๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ประกายดาวมองเด็กๆ แล้วก็นึกถึงจันทร์ภานุ
ประกายดาวนึกถึงตอนที่จันทร์ภานุอุ้มเด็กๆ ชาวเขาที่เขาอุปภัมถ์
ประกายดาวอมยิ้มอย่างเหม่อลอยเพราะตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ต้นอ้อเดินเข้ามา
“พี่ดาวคะ มีคนมาหาค่ะ”
ประกายดาวแปลกใจ
ประกายดาวเดินเข้ามามองว่าใครมาหาตน แล้วเธอก็เห็นจันทร์ภานุยืนหันหลัง ประกายดาวประหลาดใจ
“คุณชาย !?”
จันทร์ภานุหันมา
“คุณดาว”
จันทร์ภานุโผเข้าไปหาดึงประกายดาวมาจูบประกบปาก ประกายดาวไม่ทันตั้งหลักจึงเบิกตาโต จันทร์ภานุก็ยังไม่หยุดจูบ ประกายดาวทั้งทุบทั้งผลักจันทร์ภานุออก เธอพยายามร้องห้ามแต่ปากจันทร์ภานุประกบอยู่จึงได้แต่ส่งเสียงร้องอู้อี้
“อูน...อาย...อ่า (คุณชายอย่า)”
จันทร์ภานุดันตัวประกายดาวออก
“คุณชาย คุณทำอะไร”
“ทำให้คุณแน่ใจ ว่าคุณหนีผมไม่พ้นหรอกประกายดาว เพราะผมอยู่ในใจคุณ คุณคิดถึงผมตลอดเวลา ถึงคุณไม่คิดจะรักใครอีกแล้ว แต่สุดท้ายคุณก็ตกหลุมรักผม ใช่ไหมประกายดาว”
ประกายดาวส่ายหน้า จันทร์ภานุดึงตัวเธอไปประกบปาก
“ยอมรับสิ ว่าคุณรักผม ผมจะให้คุณทั้งหัวใจและสเปิร์ม”
พูดจบจันทร์ภานุก็ดึงตัวประกายดาวเข้าไปจูบอีก ประกายดาวตาโตแล้วรวบรวมแรงผลักจันทร์ภานุออก
“คุณชายปล่อย !!”
ประกายดาวผลักจันทร์ภานุออกอย่างแรงจนจันทร์ภานุหงายหลังกลิ้งตกเนินเขา ประกายดาวตกใจสุดขีด
“คุณชาย !”
ประกายดาวสะดุ้งตื่น
“คุณชาย !”
ประกายดาวรู้ตัวว่าฝันไปก็ถอนหายใจโล่งอก เธอแตะปากตัวเอง
“ฝันบ้าๆ”
ประกายดาวหันไปเห็นว่าที่นอนต้นอ้อว่างเปล่า
“ต้นอ้อคงไปเข้าห้องน้ำ”
ประกายดาวล้มตัวลงนอนแต่ก็นอนไม่หลับ เธอลืมตามองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้า ประกายดาวนอนไม่หลับจึงลุกขึ้น
“จะไปคิดถึงเขาทำไม”
ประกายดาวหงุดหงิดตัวเอง เธอหันมองไปนอกหน้าต่างก็เห็นแสงหิ่งห้อยระยิบระยับอยู่บนต้นไม้ ประกายดาวตาวาว
“หิ่งห้อย”
ประกายดาวสะพายกล้องเดินมาหยุดถ่ายรูปหิ่งห้อยบนต้นไม้ เธอมองไปทางริมน้ำก็เห็นหิ่งห้อยกลุ่มใหญ่แสงระยิบระยับ
“สวยจัง”
ประกายดาวเดินไปทางริมน้ำ
ประกายดาวเดินเข้ามาแหงนหน้ามองกลุ่มหิ่งห้อยบนต้นไม้ เธอยกกล้องขึ้นเล็งจะถ่ายรูป ประกายดาวเขย่งเท้าแต่ยังไม่ได้ตำแหน่งที่พอใจ เธอจึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้
ประกายดาวปีนขึ้นมาอยู่บนต้นไม้แล้วถ่ายรูปหิ่งห้อยหลายภาพ ระหว่างนั้น พลกับเจ้านายก็แบกลังที่เอามาจากตัวเมืองเดินมาจากทางบ้านพักด้วยท่าทางรีบร้อน
“ออกมาช้าจังว่ะ” เจ้านายว่า
“พิมพ์ไม่ยอมนอนหลับสักที” พลบอก
“แล้วนี่แน่ใจนะว่าพิมพ์ไม่ตาม”
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูดีแล้ว”
ประกายดาวได้ยินทั้งหมด เธอเห็นเจ้านายกับพลเดินหายเข้าไปในป่าท่าทางลับๆ ล่อๆ ก็แปลกใจ
“ไปไหนกัน”
พลกับเจ้านายเดินเร็วเข้าไปในป่า ประกายดาวตามไปห่างๆ ตามทางที่ค่อนข้างรก มีทั้งต้นไม้ ก้อนหิน พลกับเจ้านายที่แม้จะแบกลังใหญ่แต่ก็ชำนาญทางกว่าจึงเดินห่างออกไป ประกายดาวพยายามตามไปอย่างทุลักทุเล
ประกายดาวเดินแหวกกิ่งไม้เข้ามาในสภาพเหงื่อเต็มใบหน้า เธอหอบแฮ่กๆ เดินมา ขณะที่พลกับเจ้านายหายไปแล้ว
“หายไปไหน”
ประกายดาวมองไปรอบๆ แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นแสงไฟปรากฎอยู่หลังพุ่มไม้ ประกายดาวเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แสงไฟค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะของประกายดาว
ประกายดาวแหวกพุ่มไม้ออกแล้วก็ตาโตเพราะตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ซึ่งก็คือโกดังหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า
“อะไรเนี่ย”
ประกายดาวมองไปด้านหน้าโกดังก็เห็นพลกับเจ้านายกำลังวางลังไว้บนพื้นหน้าโกดัง ชายฉกรรจคนหนึ่งเดินออกมาจากในโกดัง
“ของมาสักที จะได้อัดเม็ดสักที”
“ล็อตนี้จะได้ยาบ้าสักกี่เม็ด” พลถาม
“แสนกว่าๆ”
ประกายดาวตกตะลึง
“พลเป็นแก๊งค์ค้ายา !?”“ท่านมาหรือยัง” เจ้านายถาม
“มาแล้ว ฉันได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์”
“พี่รู้หรือเปล่าว่าท่านมีเรื่องด่วนอะไร ท่านไม่เคยมาที่นี่เลย แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมา” พลสงสัย
ชายฉกรรจ์ตอบห้วนๆ “ไม่รู้”
ประกายดาวสงสัย
“ท่านไหน ?”
พลหันไปมองทางมุมมืด
“ท่านมาแล้ว”
ประกายดาวมองตามก็เห็นปุระชัยกับลูกน้องเดินมาจากป่ามืดเข้าไปหาพวกพล
“คุณปุระชัย ! พ่อคุณรสเป็นหัวหน้าแก็งค์ค้ายาเหรอเนี่ย”
“ท่านมีเรื่องด่วนอะไรหรือครับ ถึงต้องมาเอง” เจ้านายถาม
“มิสเตอร์เฉินอยากดูคุณภาพยาของเรา ถ้าเขาชอบ เขาจะสั่งสิบล้านเม็ด” ปุระชัยบอก
เจ้านายตกใจ “สิบล้าน !”
“ฉันมั่นใจคุณภาพของๆ ของเราอยู่แล้ว แต่ติดอยู่ที่ว่าเราจะขนลงไปให้มิสเตอร์เฉินดูได้ยังไง พักนี้พวกตำรวจตั้งด่านกันเยอะเหลือเกิน” ปุระชัยจับบ่าพล “คงต้องขอความร่วมมือน้องๆ ของพวกเราอีกแล้วล่ะ”
“ไม่มีปัญหาครับ” พลบอก
“ดี แต่ครั้งนี้เอาลงไปเยอะหน่อยนะ สักหมื่นเม็ด”
“หมื่นเม็ด ! ที่ผ่านมาผมเอาลงไปแค่หลักร้อย น้องผมกลืนเข้าไปคนละแค่สิบกว่าเม็ด ถ้าพวกมันต้องกลืนกันมากๆ ผมกลัวว่าจะเสี่ยงเกินไป”
ประกายดาวคิด “กลืนเข้าไป ?”
จบตอนที่ 9