สาปพระเพ็ง ตอนที่ 9
ในอดีต ... ผีเสื้อสวยหลากสีบินวนในอากาศ เสียงกำไลข้อเท้าดังชัด เด็กน้อยใส่กำไลข้อเท้าทั้งสองข้าง กำลังไล่จับผีเสื้อไปรอบๆ มรันมาที่ยืนข้างติสสา มองลูกสาววัย 4 ขวบที่กำลังวิ่งเล่น
"ดาราน้อย"
ด้านหลัง กาหลง เมฆา มารุตที่คอยมอง ห่างออกไปคือข้าหลวง ดาราน้อยโผเข้าในอกพ่อ ติสสากอดหอมลูกด้วยความรัก
"พ่อจ๋า จับผีเสื้อให้ดาราน้อยได้มั้ยจ๊ะ"
"ปล่อยให้ผีเสื้อบินสวยๆดีกว่าจับมันมาขังนะลูก"
ผีเสื้อบินวนเวียน ติสสามองแล้วค่อยๆยื่นมือไป ผีเสื้อลงมาแตะที่มือติสสา ดาราน้อยในอ้อมกอดพ่อแววตาตื่นเต้น ก้มมองผีเสื้อจนชิด ผีเสื้อบินไปจากมือติสสา ดาราน้อยผละจากอกพ่อวิ่งตามผีเสื้อทันที
"ลูก จะไปไหน" ติสสาถาม
"ดาราน้อย"
ดาราน้อยไม่สนใจเสียงเรียกของพ่อแม่วิ่งไปอีกทาง มรันมาบอก
"เดี๋ยวน้องน้อยไปดูลูกเองจ้ะ"
มรันมาเดินออกไป กาหลงลุกขึ้นตามติด ข้าหลวงที่เหลือรีบเดินตามออกไปด้วย ติสสา เมฆา มารุตมองตามด้วยรอยยิ้มสดชื่น
บริเวณตลาดศรีพิสยา การค้าขายคึกคัก ทั้งผัก ผลไม้ เครื่องเงิน อัญมณี ผ้า และเครื่องปั้นดินเผา
พ่อค้า แม่ค้า และชาวศรีพิสยาหน้าตาสดชื่น แจ่มใส มีความสุข ทักทายกัน
ดาราน้อยที่วิ่งเข้ามาในตลาด ซอกแซกไปด้วยความซุกซนประสาเด็ก มรันมาเดินเร็วตามหลัง กาหลงกับข้าหลวงวิ่งมา กาหลงร้องเรียก
"เจ้าดาราน้อย เจ้าดาราน้อย"
ดาราน้อยตื่นเต้น เพลิดเพลินกับบรรยากาศตลาด วิ่งเลี้ยวไปอีกทาง กาหลงกับข้าหลวงพากันมองหา แต่ไม่เห็น ดาราน้อยยิ้มโผล่หน้ามาจากด้านหลังร้านขายผ้า
"ดาราน้อย"
ดาราน้อยเห็นแม่มองมาก็หัวเราะ วิ่งหลบไปอีกทางด้วยความสนุก มรันมารีบเดินเร็วตามลูกสาว
ดาราน้อยวิ่งไปตรงสระบัว นกกำลังเล่นน้ำในสระ เด็กน้อยเอื้อมมือคว้าอยากจับให้ได้ นกบินหนีไป พอคว้าไม่ทันก็วิ่งเล่นไปทางอื่น ประตูหินทางเข้าด้านหนึ่ง ดาราน้อยมองแล้วก็วิ่งซนเข้าไปประสาเด็ก
ครู่เดียวมรันมาเดินเร็วเข้ามา ร้องเรียกหาไปรอบๆ
"ดาราน้อย ดาราน้อยอยู่ไหน ดาราน้อย"
ดาราน้อยวิ่งผ่านประตูทางเข้าตำหนักเจ้านาง แล้ววิ่งมาตามทางในสวนเล็กๆ มาหยุด
ลงที่ประตูห้อง มองเข้าไปด้วยสายตาอยากรู้
ในห้องนอนเจ้านางอินยา บรรยากาศดูทึมทึบ อึดอัด ร่างของอินยานั่งอยู่ที่เตียง หยิบกระจกขึ้น มองเงาตัวเอง สายตาอินยามีแต่ความผิดหวังเมื่อเห็นรูปโฉมที่เปลี่ยนไปในวันนี้ นางกำกระจกแน่น สายตาอินยาเหลือบเห็นเงาของดาราน้อยในกระจก ก็หันขวับ
"ใคร"
ดาราน้อยมองเห็นอินยาที่ยังอยู่ในเงามืด
"ใครปล่อยนังเด็กนี่เข้ามา"
ดาราน้อยตกใจ กำลังจะหันหลังวิ่งหนี อินยาพรวดเข้ามาคว้าแขนไว้ ใบหน้าของอินยามีริ้วรอย ร่วงโรยของวัย เจ้านางจ้องดาราน้อย
"แกเป็นใคร เข้ามาถึงนี่ได้ยังไง"
ดาราน้อยกำลังจะร้องด้วยความกลัว
"อย่าร้อง ข้าถามว่าแกเป็นใคร"
ดาราน้อยตกใจ ร้องจ้า
"ร้องทำไม"
อินยาสะบัดมือออกทันทีด้วยความเกลียด
"หุบปากเดี๋ยวนี้ หยุดร้อง แกจะร้องทำไม"
อินยาเงื้อมือ พุ่งเข้าไปเหมือนจะตี
"แกจะ หยุด หรือไม่หยุด"
ดาราน้อยตกใจ ร้องดัง อินยาเกือบจะคว้าร่างดาราน้อยได้ แต่มรันมาพรวดคว้าร่างดาราน้อยมาบังไว้ ก่อนที่อินยาจะถึงตัวลูก ฝ่ามืออินยาฟาดลงที่หน้ามรันมาสุดแรง อินยาผงะเมื่อเห็นมรันมา
มรันมาเห็นสภาพร่วงโรยของเจ้านางอินยาที่ไม่สดใส สวยงามดั่งก่อนถึงกับตกใจ
"เจ้านางอินยา"
อินยารีบขยับไปหลบหลังม่าน ไม่ต้องการให้ใครเห็นตัวเองในสภาพนี้ โดยเฉพาะคู่แค้นอย่างมรันมา
"แกเข้ามาทำไม นังมรันมา"
"ข้ามาตามลูกสาว"
อินยาจ้องไปที่ดาราน้อย
"ลูกแก กับ ติสสา"
อินยาคำรามด้วยความเจ็บแค้นแน่นอก มรันมารีบดึงแขนลูกออกห่างอินยาให้มากที่สุด
"ที่นี่ไม่เคยต้อนรับสายเลือดของพวกต่ำช้า ขี้ข้าใฝ่สูง"
"เจ้านางอินยา ข้าไม่ใช่มรันมา ข้าหลวงที่ท่านเคยทำร้าย ตอนนี้ข้าเป็นเจ้านาง น้องคนนึงของเจ้าปรันมา"
"กำพืดต่ำช้ากว่าดินที่ข้าเหยียบ ต่อให้ทั้งคนทั้งศรีพิสยาสรรเสริญน้องนางคนใหม่ แต่ข้า ... เจ้านางอินยาจะไม่มีวันยกย่องแกกับลูก"
อินยาโกรธจัดจนลืมตัว พุ่งออกมาชี้หน้ามรันมา
"ไสหัวสายเลือดขี้ข้าออกไปจากที่นี่ ออกไป นังมรันมา"
มรันมาอุ้มลูกมากอดไว้แน่นด้วยความระวัง อินยาชี้หน้าตวาด
"ข้าจะจองล้างจองผลาญแก จะสาปแช่งให้ครอบครัวแกมีแต่ความทุกข์ อย่าได้เป็นสุขเลยสักวัน"
มรันมามองสำรวจอินยาด้วยสายตานึกไม่ถึงกับความร่วงโรย อินยาเห็นสายตามรันมาก็ยิ่งเกลียดชัง
"ออกไป"
อินยาคว้ากระจกปาเข้าใส่ มรันมาอุ้มลูกหลบเร็ว กระจกเฉียดร่างมรันมาที่อุ้มดาราน้อยไปนิดเดียว กระจกกระทบผนัง แตกกระจาย
อินยาหันไปคว้าโถเครื่องเงิน มรันมาเห็นก็รีบอุ้มดาราน้อยหลบออกไปทันที อินยาปาโถไล่หลัง แต่ไม่โดนก็ยิ่งอาละวาด กรีดร้อง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ
มรันมาอุ้มดาราน้อยวิ่งเร็วออกมา อีกด้านกาหลง กับข้าหลวงวิ่งมา ดาราน้อยท่าทางยังตกใจ มรันมารีบปลอบลูก
"ดาราน้อยไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ กลับไปที่เรือนกับกาหลงก่อน"
"แม่จ๋าจะไปไหน"
"แม่มีเรื่องต้องรีบไปบอกเจ้าลุงปรันมา"
มรันมากอดลูก ดาราน้อยสีหน้าดีขึ้น กาหลงรีบเข้ามารับดาราน้อยไปเดินไปทางหนึ่ง มรันมามองไปอีกทางทันที
ในห้องอาบน้ำเจ้านางอินยา ที่พื้นเต็มไปด้วยกิ่งไม้ ใบไม้แห้ง สภาพของห้องทรุดโทรมไร้การดูแล น้ำลดลงไปเกินครึ่ง อินยาก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ
ภาพความสวยงามยามอาบน้ำมันหอมดอกจันทน์กะพ้อใต้แสงจันทร์ย้อนมาในความทรงจำของอินยา
"ข้าคือเจ้านางอินยา ผู้หญิงที่ทุกคนต้องก้มหัวให้ นังมรันมาอีกกี่ร้อยกี่พันชาติ พวกแกไม่มีวันชนะข้า"
อินยาตาวาววับอย่างคนทำใจไม่ได้ หันไปปัดข้าวของเครื่องใช้กระเด็นบนพื้น เสียงดัง
"นี่ไม่ใช่ตัวข้า ข้าสวยกว่านี้ ข้าสาวกว่านี้ ไม่ใช่ตัวข้า ไม่ใช่"
เล็บเจ้านางอินยากรีดลงเนื้อเลือดซิบ
"ข้าจะเอาผิวหนังพวกนี้ออกไปจากตัวให้หมด ข้าต้องสาว ข้าต้องสวย ข้าคือเจ้านางอินยา เจ้านางที่งามเหนือกว่าผู้หญิงทุกคน"
ปันแสงวิ่งเข้ามา เห็นเจ้านางกำลังเอามือจิกไปที่แขนด้วยความเกลียดชังผิวหนังที่เหี่ยวย่น ปันแสงดึงแขนแม่ออก รัดร่างเจ้านางให้สงบ อินยาทรุดอยู่ในอ้อมแขนลูกชาย ก่อนจะสะอื้นออกมา
"ปันแสง ช่วยข้าด้วย"
"ข้าต้องช่วยเจ้านาง"
ปันแสงแววตาวาวโรจน์ เจ็บแค้นไม่ต่างจากอินยา
"อดทนไว้ก่อน เจ้านาง อดทนให้เหมือนเวลาที่ผ่านมา ให้มันเชื่อว่าเรากำลังยอมก้มหัวให้อำนาจวาสนาของพวกมัน แล้วข้าจะตอบแทนพวกมันทุกคน โดยเฉพาะไอ้ปรันมา มันห้ามเราออกไปนอกตำหนัก ห้ามเข้าใกล้เขตวังของมัน มันคิดว่ากักขังเราอย่างสัตว์ แล้วเราจะยอมแพ้ .... ไอ้ติสสา นังมรันมา"
ปันแสงกอดปลอบเจ้านางอินยาไว้ แต่แววตาเกลียดชังรุนแรง
" ใกล้เวลาแล้วที่เราจะทวงแค้น พวกมันทุกคนต้องชดใช้คืนให้เราด้วยชีวิต"
เสียงปันแสงคำราม แววตาเจ้านางอินยากับปันแสงมีแต่ความเคียดแค้น ร้อนรุ่ม
มุมหนึ่งในเขตพระราชฐาน เจ้าปรันมามองน้องสาวที่เข้ามารายงานเรื่องเจ้านางอินยาด้วยสายตาหนักใจ
"คนอย่างเจ้านางอินยากับปันแสง เหมือนเสือที่ซ่อนความเจ็บปวด ไม่ยอมให้ใครล่วงรู้หรือมองเห็นบาดแผลของตัวเอง"
"ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าพี่ปรันมา ... ทำไมเจ้านางอินยาผู้งดงามถึงเปลี่ยนไปได้"
ปรันมามองไปไกล แววตาครุ่นคิด
"ยาวนานเท่ากับอายุของดาราน้อยที่เติบโตมา เจ้านางอินยาเหมือนดอกไม้ที่ขาดน้ำ อำนาจมนตราที่เป็นเช่นเครื่องบำรุงขาดหายไป สังขารจึงร่วงโรยลง แล้วคำตอบทั้งหมดของเจ้านางอินยาก็มีเพียงคนๆเดียวที่จะตอบได้"
ปรันมาเดินออกไป มรันมามองตาม
ในท้องพระโรงศรีพิสยา แม่เฒ่าที่อิดโรย แก่ เจ็บ ไอแห้งๆ เหมือนใกล้จะตายได้ทุกขณะ ถูกเมฆามารุตลากเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าปรันมา แม่เฒ่าค่อยๆลืมตาขึ้นมอง พอเงยขึ้นเห็นเป็นปรันมาก็กลัวตัวสั่น
ปรันมามองสภาพแม่เฒ่าด้วยความสมเพช
"ทุกข์ทรมานถึงขนาดนี้ เจ้าจะยอมสารภาพได้หรือยัง นังแม่เฒ่าหรือจะยอมตายไปกับความลับของเจ้านางอินยา"
ปรันมาเอ่ยเสียงเฉียบขาด
"ข้าจะถือว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย ให้เจ้ารักษาคอไว้บนบ่าตัวเอง"
สวนตำหนักเจ้านางอินยา ปันแสงเอ่ยอสุนี ทหารคนสนิททันที
"วันนี้คนของเรารายงานอะไรมาบ้าง"
"เจ้าปรันมาเอาตัวนักโทษคนนึงออกมาจากคุกใต้ดิน กำลังสอบสวนอยู่ที่ท้องพระโรง"
แววตาปันแสงหรี่ลงอย่างใช้ความคิด
"นักโทษคนสำคัญเท่านั้นที่ปรันมาจะสอบสวนเอง"
ปรันมายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าแม่เฒ่าที่ตัวสั่น เต็มไปด้วยความกลัวเกรง เมฆา มารุตยืนคุมระวังแม่เฒ่าอยู่ที่ด้านข้าง
"ข้ารู้ว่าแกเป็นมือเป็นไม้ให้เจ้านางอินยา บอกมา นังแม่เฒ่า เจ้านางให้แกทำสิ่งชั่วช้าอะไรลงไปบ้าง"
แม่เฒ่าตัวสั่นค่อยๆยอมเปิดปาก
"ตอนแรก เจ้านางให้ข้าทำมนต์เพื่อคงความงามไว้ ไม่เสื่อมคลาย"
ในห้องนอนเจ้านาง อินยาเอื้อมมือไปเสยผมตัวเอง เห็นผมหงอกขาวยาวติดมือเจ้านางอินยาออกมากระจุกใหญ่ อินยาสีหน้ารับไมได้หันรีหันขวาง มองเห็นเศษกระจกที่แตกบนพื้นจากการเขวี้ยงใส่มรันมาก็พุ่งเข้าไป หยิบขึ้นมาส่องใบหน้าตนเอง
"ข้าไม่ได้แก่ ข้ายังสวย ข้ายังสวยที่สุด"
อินยากรีดร้องเสียงดัง มือกำเศษกระจกแน่น ปันแสงพุ่งเข้ามาเห็น เลือดที่กำลังไหลจากมืออินยาที่ถูกคมของเศษกระจกบาด ปันแสงพุ่งเข้าดึงเศษกระจกออกจากมือเจ้านาง
"ปันแสง ข้าทนอยู่ในสภาพนี้ไม่ไหวแล้ว"
อินยาสะอื้นกอดลูกไว้ ปันแสงแววตาฉายความร้ายกาจ
"ข้ามีข่าวสำคัญมาบอก นักโทษคนสำคัญที่ปรันมายอมรักษาชีวิตไว้ มันต้องไม่ใช่ใครนอกจากนังแม่เฒ่า"
อินยาแววตาวาบความดีใจ
"เอาตัวนังแม่เฒ่ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้"
อสุนีที่ยืนรออยู่ ปันแสงเดินเร็วเข้ามาสั่ง
"ไปหาพวกมือดีที่จะทำงานให้เราได้ อย่าให้ปรันมามันรู้ว่าข้าเป็นผู้บงการ"
อสุนีเดินเร็วออกไป ปันแสงแววตาโหดเหี้ยม
แม่เฒ่าที่ไอแห้งๆ เล่าเรื่องต่อด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มที
"ข้าทำมนต์คาถาตามที่เจ้านางอินยาสั่ง ทั้งมนตร์เพื่อความงาม แล้วก็ มนตร์ดำกำกับใจคน"
"มนตร์ดำชั่วช้านั่น เจ้านางอินยาเอามาใช้กับพ่อข้าหรือเปล่า"
"ตอนแรกเจ้านางคิดจะใช้กับพ่อของท่าน เพื่อแย่งตำแหน่งเจ้านางแห่งศรีพิสยาจากแม่ของท่าน แต่เจ้าศรีพิสยามีบุญบารมียิ่งนัก ข้าไม่อาจทำมนต์ดำกำกับใจได้ เจ้านางอินยาจึงใช้แผนอื่น"
แววตาแม่เฒ่าที่ย้อนนึกไปถึงความหลัง
บริเวณสวนด้านหน้าตำหนักเจ้านางอินยา เจ้าศรีพิสยาในวัย 50 และเจ้านางฝ่ายซ้าย ชายา
ผู้เป็นพ่อและแม่ของเจ้าปรันมายืนอยู่ตรงหน้า เจ้านางอินยาในวัย 20 สาวสะพรั่ง
อินยามองไปที่ชายาฝ่ายซ้ายด้วยสายตาแสร้งไม่รู้เรื่อง
"เจ้าพี่ผู้เป็นเจ้านางแห่งศรีพิสยา คงไม่โกรธน้อง ที่จะขอถวาย อเลยา นางข้าหลวงในตำหนักไปรับใช้เจ้าพี่กษัตริย์แห่งศรีพิสยา สามีของเรา"
เจ้านางฝ่ายซ้ายเยือกเย็น เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงบ
"ความสุขขององค์กษัตริย์คือหน้าที่ของเราไม่ใช่หรือ เจ้านางอินยา"
"งั้นข้าก็ทำดีแล้ว... อเลยา"
สายตาเจ้าศรีพิสยาและเจ้านางฝ่ายซ้ายมองไปด้านหลังอินยา
อเลยา ข้าหลวงสาวสวยวัย 15 คลานออกมาจากด้านหลังอินยา
เจ้านางอินยามองเห็นรอยยิ้มของเจ้าศรีพิสยาผุดขึ้นน้อยๆทันทีเมื่อเห็นความสวยของอเลยา
สีหน้าเจ้านางอินยามีแต่ความยินดี
"จงปรนนิบัติรับใช้องค์กษัตริย์ศรีพิสยาให้เต็มที่ อย่าให้เสียชื่อมาถึงตำหนักข้า"
สายตาเจ้านางอินยาปะทะกับเจ้านางฝ่ายซ้ายอย่างเย้ยหยัน
ปรันมามองแม่เฒ่าแล้วเร่งถามขึ้นด้วยเสียงมีอำนาจ
"พอยกแม่ของมรันมาให้พ่อข้า เจ้านางอินยาทำอะไรอีก"
"เจ้านางเห็นว่าพ่อของท่านรักอเลยาจากใจจริง แล้วกำลังจะยกตำแหน่งชายาให้ เจ้านางกลัวจะถูกทอดทิ้ง พออเลยาคลอดมรันมา เจ้านางเลย..."
"อินยาทำอะไร"
"อุปโลกน์ผัวอีกคนให้อเลยาในฐานะชายชู้"
นางอินยายืนข้างเจ้าศรีพิสยา อเลยาอุ้มทารกมรันมาไว้ในอก สีหน้าตกใจมาก ทหารกระชากหัวชายชาวบ้านที่ถูกอินยาจ้างมาใส่ร้ายอเลยา ให้เงยหน้าขึ้นมา
"ใช่ ข้าเป็นคนรักของอเลยา นางบอกว่ารักข้า นัดข้าให้มาหาบ่อยๆ"
"ไม่จริง เจ้าโกหก ข้าไม่รู้จักเจ้า" อเลยาบอก
เจ้าศรีพิสยามองไปสร้อยทับทิมเลือดนกในคอของชายคนที่อ้างว่าเป็นชายชู้
"สร้อยทับทิมเลือดนกเส้นนั้น เจ้าได้มาจากไหน"
"อเลยาให้ข้า"
"ไม่จริง ข้าถูกขโมยสร้อยเส้นนี้ ข้าไม่มีวันเอาสร้อยที่เจ้าศรีพิสยาให้ข้าไปมอบให้ชายอื่น"
"พอแล้ว อเลยา โชคดีที่อินยาทำให้ข้าเห็นความต่ำช้าของเจ้า ก่อนที่ข้าจะยกตำแหน่งชายาให้เจ้า"
อินยารีบหันไปทำเป็นเข้าข้าง เห็นใจเจ้าศรีพิสยา
"ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เองเถอะ เจ้าพี่ เรื่องน่าอับอาย ลบหลู่เกียรติท่าน อย่าให้คนอื่นล่วงรู้"
เจ้าศรีพิสยาหันหลังออกไปด้วยความโกรธ อเลยาร้องเรียกพร้อมยื่นทารกน้อย ขอความเห็นใจครั้งสุดท้าย
"มรันมา ลูกของท่าน"
เจ้าศรีพิสยาชะงัก อินยาเห็นท่าไม่ดี รีบคว้าห่อทารกมากอดไว้ หน้าตาเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี
"ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าพี่ ทารกน้อยมรันมาไม่มีความผิด ข้าจะรัก จะดูแลมรันมาให้เหมือนลูกในไส้ของข้"
เจ้าศรีพิสยาเดินเร็วออกไปทันที อเลยาจะเข้าไปดึงทารกมรันมาออกมาจากอินยา
"จับมันไว้"
ทหารอินยาจับอเลยาไว้ทันที
"เอาลูกข้ามา เจ้านาง มรันมาเป็นลูกของข้ากับเจ้าศรีพิสยา"
อินยาส่งทารกให้ข้าหลวงรับไป แล้วสั่งทหารจัดการกับชายชาวบ้าน
"ให้รางวัลมัน ด้วยความตาย"
ชายคนนั้นตกใจจะวิ่ง แต่เจอทหารอินยาฟันกลางอก ล้มลงขาดใจตาย อเลยาตกใจ จะเข้าไปคว้าลูกจากข้าหลวง แต่อินยาเข้าไปดึงผมอเลยาจนหน้าหงาย
"ไม่ต้องห่วง อเลยา ข้าจะเลี้ยงมรันมา ให้มันเป็นแค่ทาสรับใช้ไปจนวันตาย"
อินยามองส่งสัญญาณ ทหารเข้ามา อเลยารู้ชะตากรรมตัวเอง
"มรันมา ลูกแม่"
ไม่ทันขาดคำ ทหารแทงอเลยาขาดใจตายทันที
เสียงทารกมรันมาร้องจ้าขึ้น อินยาหันไปมองด้วยสายตาร้ายกาจ
"เอามันไปไกลๆข้า ข้าเกลียดมัน ข้าเกลียดนังเด็กมรันมา"
ปรันมาสีหน้าหนักใจเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดในอดีตที่เจ้านางอินยาก่อไว้
"ความเกลียดชังของเจ้านางอินยารุนแรง จากแม่ถึงลูกไม่เคยลดน้อยลงเลย เมฆา มารุต"
แม่เฒ่าตกใจ กลัวลนลานว่าปรันมาอาจจะสั่งฆ่าก็รีบเข้าไปกอดขาปรันมา
"อย่าตัดหัวข้าเลยเจ้าปรันมา ไว้ชีวิตข้าด้วย"
"ข้าสมควรจะไว้ชีวิตเจ้าหรือนังแม่เฒ่า ในเมื่อสิ่งที่เจ้าทำมันชั่วช้า ทำลายชีวิตคน"
"ไม่ทำตามคำสั่งเจ้านางอินยา ข้าก็ตายเหมือนกัน"
ปรันมามองแม่เฒ่าที่ขอร้องอย่างน่าเวทนา
"งั้นเจ้าก็จงแก้ตัว พรุ่งนี้เจ้าจะต้องสารภาพเรื่องทั้งหมดต่อหน้ามรันมา ติสสา ต่อหน้าทุกคน ข้าต้องการให้มลทินเรื่องแม่ของมรันมาหมดไปเสียที"
ปรันมาหันไปสั่งเมฆา มารุต
" เอามันกลับไปขัง"
เมฆา มารุตเข้ามาลากแม่เฒ่าออกไป ปรันมามองตามด้วยความสลดใจกับเรื่องที่เจ้านางอินยาก่อไว้
แม่เฒ่าถูกเมฆา มารุตลากตัวมาเพื่อเอากลับไปขังไว้ในคุก นักฆ่านิรนาม 4 คนปิดหน้า โผล่พุ่งเข้ามาล้อมไว้ เมฆา มารุตระวังแม่เฒ่าทันที เพราะรู้ว่ากำลังถูกชิงตัว
นักฆ่า 2 คนพุ่งเข้าหา เมฆา เมฆาควงหอกปะทะดาบของนักฆ่า นักฆ่า 2 คนหลบหลีกว่องไว
นักฆ่าอีก 2 คนพุ่งเข้าหา มารุต มารุตฟันดาบคู่เข้าหา แม่เฒ่ารีบถอยหลบออกมาจากวงปะทะ
นักฆ่า รุมทั้งเมฆา มารุตด้วยความไว ผลัดกันรุกรับ ฝีมือไม่ด้อยกว่ากัน แต่ฝีมือนักฆ่ารุนแรง รวดเร็ว เตะหอกเมฆาหลุดมือ แล้วเตะอัดเมฆาเข้าทั้งสองคน จนเมฆากระเด็น นักฆ่าตามไปกระทืบซ้ำแล้วเตะเข้าปลายคางจนสลบไป
มารุตที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ ถูกนักฆ่าร่างใหญ่โดดลงตีศอกลงกลางหัว มารุตน็อกกลางอากาศ
นักฆ่า 4 คนมองมารุต เมฆาที่สลบแน่นิ่งแล้วถอยออกห่าง เร้นกายหายไป
อสุนีก้าวออกมา พุ่งเข้าไปกระชากแม่เฒ่าออกไปทันที
ปันแสงกับอินยามองร่างแม่เฒ่าที่ถูกอสุนีเหวี่ยงลงตรงหน้า
"เจ้านางอินยา เจ้าปันแสง"
"ดีจริงๆ ที่เจ้ายังไม่ตาย รีบทำมนต์ให้ข้ากลับมางามเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้"
"ข้าทำไม่ได้แล้ว เจ้านาง ข้ากลัว ข้าบอกความจริงทุกอย่างกับเจ้าปรันมาไปหมดแล้ว ข้าไม่อยากตาย"
ปันแสงกับอินยาสบตากัน เจ้านางเดินเข้าไปใกล้แม่เฒ่า ทรุดลงนั่งทำทีเหมือนห่วงใยเสียเหลือเกิน
"ข้าผิดเอง ที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน ถ้าข้ามีอำนาจที่จะห้ามปรันมาได้ ข้าก็จะทำ แต่เจ้าดูสภาพข้าตอนนี้เถอะ แม้แต่จะออกไปนอกตำหนัก ข้าก็ไม่กล้า"
"โธ่ เจ้านาง"
"มนต์คาถาของเจ้าที่ทำให้ข้าสวยงาม มันคือพลังวิเศษที่จะเปลี่ยนใจทุกคนได้ แม่เฒ่า จงทำให้ความงามของข้าไม่มีวันเสื่อมคลาย แล้วเจ้าก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหมด ข้าสัญญา"
แววตาแม่เฒ่าเชื่อเจ้านางอินยาผู้เสแสร้งจนหมดสิ้น ปันแสงที่ยิ้มร้าย
ในห้องนอนเจ้านางอินยา แม่เฒ่ากำลังร่ายมนต์พิธีไปรอบเตียงที่เจ้านางอินยานั่งอยู่
เจ้านางอินยาหลับตารอคอย แม่เฒ่าเดินวนไปรอบๆพร้อมท่องมนตร์ แสงในห้องค่อยๆมืดลงเหลือเพียงจุดๆเดียวคือร่างของเจ้านางอินยา
แม่เฒ่ามาหยุดด้านข้างเตียง แล้วโปรยผงทองลงเหนือร่างเจ้านางอินยา ผงทองกระจายในอากาศเหนือร่างเจ้านางอินยา
ปรันมาเดินเร็วเข้ามา หยุดมองสภาพ เมฆา มารุตที่เข้ามารายงาน
"ใครมันบังอาจมาชิงตัวนักโทษของข้า"
"มันไม่ต้องการให้เรารู้ตัวคนสั่ง ถึงใช้พวกมือฆ่ารับจ้าง"
"คนที่อยากได้ตัวนังแม่เฒ่ากลับคืนไปที่สุด ก็มีแค่คนๆเดียว เจ้านางอินยา"
ปรันมารู้แล้วว่าต้องเป็นเจ้านางอินยา จึงเดินเร็วออกไป เมฆา มารุตตามออกไปทันที
นางอินยาที่สวยผุดผ่องกลับไปสู่วัยสาวรุ่นอีกครั้ง เดินออกมา ปันแสงที่ยืนอยู่ ด้านหลังคืออสุนี
"ต่อไปนี้ เจ้านางอินยาจะเป็นชื่อของหญิงผู้งดงามที่สุด งามอย่างไม่มีใครเทียบ งดงามเป็นหนึ่งชั่วนิรันดร์กาล"
ปันแสงยิ้มมองความสุขของเจ้านาง
แม่เฒ่าเดินออกมา ใบหน้าอิดโรยจากการใช้พลัง แต่ก็มีรอยยิ้มพอใจ
"เจ้านางจะคงความงามเช่นนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดทำลายมนต์คาถานี้ของข้าลงไปได้""เมื่อเจ้านางสมปรารถนา เราก็ควรจะให้รางวัลแม่เฒ่า"
อินยายิ้มให้ปันแสงอย่างรู้กัน แม่เฒ่ายื่นมือไปทางปันแสง หวังจะได้เหรียญทองเหมือนที่เคยได้ แต่ปันแสงคว้าหอกจากอสุนีที่ส่งให้ แทงพรวดเดียวเข้ากลางอกแม่เฒ่า
แม่เฒ่าตาเหลือกลาน สะดุ้งขึ้นทั้งร่าง อินยายิ้มมองแม่เฒ่า เอ่ยเสียงอ่อนหวาน
"ขอบใจเจ้ามากที่ทำทุกอย่างตามคำสั่งของข้ามาตลอด ถ้าเจ้าไม่พูดเรื่องทั้งหมดแก่ปรันมา ชีวิตเจ้าคงได้อยู่รับใช้ข้านานกว่านี้"
"นัง....งูพิษ"
แม่เฒ่าพูดได้แค่นั้น ปันแสงบิดหอกแรงเพื่อคว้านอกแม่เฒ่าให้แหลกเหลว แล้วกระชากหอกออกมาอย่างแรง แม่เฒ่าทรุดลงขาดใจตายตรงปลายเท้าอินยา
"คำพูดของซากศพไม่มีวันเอาผิดเราได้"
ปันแสงโยนหอกเปื้อนเลือดลงพื้น ก้าวมายืนข้างอินยา อสุนีเข้ามาลากศพแม่เฒ่าออกไปอย่างรู้หน้าที่ทันที ปันแสงยิ้มกับอินยาอย่างมีความสุขกันเต็มที่
บริเวณสระบัวเขตพระราชฐาน เวลากลางคืน ปรันมาเดินเร็วตรงไปตำหนักเจ้านางอินยา ด้วยความร้อนใจ เมฆา มารุตติดตามอารักขา
ปันแสงเอ่ยกับเจ้านางอินยา
"ต่อไปนี้ไอ้ปรันมามันไม่มีอะไรจะเอาผิดเราได้อีก"
"เรากำลังจะได้ทุกอย่างกลับคืนมา"
"สำหรับข้า ต้องการแค่บัลลังก์ศรีพิสยาเท่านั้นที่ข้าจะขึ้นไปยืนแทนที่ปรันมา"
ปรันมาก้าวเข้ามามองปันแสง อินยา สองแม่ลูกส่งยิ้มมองด้วยสายตาไม่สะทกสะท้าน ปรันมาฉุกใจเพราะเจ้านางไม่ได้ทรุดโทรมอย่างที่มรันมาบอก
"วันนี้คงเกิดอาเพศ กว่า 5 ปีแล้วสินะที่เจ้าปรันมาผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยมาเหยียบที่นี่"
"ข้าได้ยินว่าเจ้านางไม่สบาย"
"ใครกันปากชั่วให้ร้ายข้า ดูซิ ปรันมา ข้ายังงดงามเหมือนเดิม"
ปรันมามั่นใจว่าเจ้านางอินยากำจัดแม่เฒ่าไปแล้วถึงไม่มีความเกรงกลัว
"เพราะเจ้านางใช้แผนสกปรก ให้มือฆ่ารับจ้างลอบมาชิงตัวนังแม่เฒ่า"
ปันแสงยิ้มกวน
"อย่าพูดพล่อยให้เสียเกียรติกษัตริย์ เจ้าปรันมา เจ้านางอินยายังไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา"
"คนต่ำช้าไม่มีวันยอมรับความผิดที่ก่อไว้"
"ใครรู้คงชื่นชมว่าเจ้าปรันมาหาเรื่องใส่ร้ายพี่น้องตัวเอง"
"ที่ผ่านมาเจ้านับความเป็นพี่เป็นน้องกับข้าด้วยหรือ ปันแสง ถ้าตัดสินจากความผิดที่เจ้ากับเจ้านางอินยาทำลงไป ข้าละอายใจแทน ถ้าปล่อยให้คนนอกรู้ว่า คนสายเลือดเดียวกับข้า มีใจอำมหิตผิดมนุษย์"
ปันแสงเสียงเย้ยหยัน
"ข้าก็ละอายใจมากที่ต้องบอกให้คนทั้งศรีพิสยารู้ว่า เจ้าปรันมาคือผู้นำที่ทำทุกอย่างตามความพอใจของตัวเอง ปรักปรำคนไม่มีทางสู้ บ้าอำนาจ"
"ดี เจ้าพูดอย่างนี้ขึ้นมาก็ดี เพราะข้าก็ควรจะใช้อำนาจ เพื่อให้ความยุติธรรมกับคนที่สมควรจะได้รับมาตั้งนานแล้ว อย่างมรันมา"
"หยุดนะ นังขี้ข้าอย่างมรันมาไม่สมควรจะได้อะไรทั้งนั้น"
อินยามองจ้องปรันมาด้วยสายตาไม่พอใจมาก
อ่านต่อหน้าที่ 2
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ในท้องพระโรง เหล่าเสนาบดีที่ยืนอยู่ เจ้านางจันทเทวียืนข้างปรันมา ด้านซ้ายคืออินยากับปันแสง ด้านขวาที่เผชิญหน้ากันคือติสสา และมรันมา เมฆา มารุต และทหารยืนอารักขาห่างออกมา
"ข้า เจ้าเหนือหัวแห่งศรีพิสยาขอประกาศให้รู้ว่า ต่อไปนี้น้องนางมรันมา มีสิทธิ์ทุกอย่างในศรีพิสยา แม้กระทั่งสิทธิ์ในการครองบัลลังก์นี้ต่อจากข้าและเจ้านางจันทเทวี"
ปันแสง อินยาหันขวับจ้องมรันมาด้วยความแค้น
"ไม่ได้ มรันมาไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้บัลลังก์นี้ด้วยซ้ำ เพราะแม่มันทำสิ่งชั่วช้า ลบหลู่เกียรติราชวงศ์ คบชู้สู่ชาย"
มรันมามองปันแสงที่จี้ใจปมด้อยของตัวเอง แต่ปรันมาเอ่ยขึ้นอย่างทรงอำนาจ
"อเลยาถูกใส่ร้ายเรื่องชายชู้"
"เจ้าไม่มีหลักฐาน อย่าคิดจะลบมลทินให้น้องนางคนโปรดด้วยคำพูดไม่กี่คำ"
ปรันมาจ้องที่อินยากับปันแสงแล้วประกาศขึ้น
"ข้าได้สอบสวนคนที่สมคบคิดสร้างเรื่องใส่ความอเลยา"
มรันมาสีหน้าตื่นเต้น เมื่อได้ยินสิ่งที่ปรันมาพูด ติสสายิ้มให้มรันมาด้วยความดีใจ
"มันยอมรับผิด และได้รับโทษของมันไปแล้ว"
ทุกคนเงียบอึ้ง ปรันมามองจ้องมาอินยากับปันแสงที่ในใจร้อนรุ่ม
"น้องนางมรันมา"
มรันมาได้ยินเสียงเรียกก็เดินไปคุกเข่าลงหน้าปรันมา อินยา ปันแสงจ้องมรันมา ปรันมาหันไปหยิบมงกุฎดอกไม้ดิ้นเงินไหวระยิบล้ำค่า ยื่นลงใส่ให้บนศีรษะมรันมา
"นี่คือศิราภรณ์ เครื่องประดับแห่งน้องนางผู้มีศักดิ์สืบต่อบัลลังก์ศรีพิสยาได้"
ติสสามองอย่างปลาบปลื้ม ต่างจากปันแสงและเจ้านางอินยาที่เสียงดังขึ้นทันที
"ผิดประเพณี"
ปรันมาสวนทันควัน
"ประเพณีกำหนดโดยข้า กษัตริย์แห่งศรีพิสยา ในที่นี้นอกจากเจ้านางอินยา เจ้าปันแสง ใครไม่เห็นสมควรอย่างที่ข้าบอก ก็จงคัดค้านออกมา"
ปรันมาเสียงดังกังวาน ทุกสายตามองมาที่อินยากับปันแสงเป็นจุดเดียว ปันแสงขบกรามด้วยความโกรธกวาดตามองทุกคน
"ทุกคนจำไว้ด้วยว่า ข้า เจ้าปันแสง ก็ลูกเจ้าศรีพิสยาคนนึง ลูกชายที่เกิดจากเจ้านางผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่ลูกจากเมียทาสต่ำชั้น ที่กำลังจะนำความอัปยศมาสู่แผ่นดินนี้"
ปันแสงมองไปที่มรันมา ติสสายิ้มให้อย่างตั้งใจเยาะหยันความชั่วของปันแสงที่แววตาลุกเป็นไฟ เดินออกไปทันทีด้วยความเจ็บใจ อินยาสะกดอารมณ์แค้น เดินหน้าเชิดออกไปอย่างทะนงในตัวเอง
มรันมายังก้มอยู่หน้าปรันมา สีหน้าวิตก รู้ว่าอินยา ปันแสงต้องโกรธแค้นเพิ่มขึ้นทวีคูณ
ปันแสงกับอินยาเดินเร็วออกมา
"สิ่งเดียวที่ข้าอยากทำตอนนี้ คือตัดหัวพวกมันทุกคน"
ปันแสงสีหน้าแทบจะระเบิดได้ทุกนาที อินยาเอ่ยอย่างสงบ แต่แววตาเลือดเย็นกว่า
"อีกไม่นาน เจ้าจะได้ทำอย่างที่คิด เท้าเจ้าจะเหยียบอยู่บนศพพวกมันทุกคน โดยเฉพาะนังมรันมา"
ปันแสงสบตากับอินยาด้วยแววตาโหดเหี้ยม อุตลาเดินเข้ามาย่อตัว
"เจ้านาง... เมื่อกี๊ข้าเห็นคนที่จะทำให้ท่านพอใจ"
"ใคร"
อุตลามองไปอีกด้าน อินยามองตาม เห็นดาราน้อยกำลังวิ่งผ่านประตูหินเข้ามา อินยาตาวาวทันที
กาหลงวิ่งตามดาราน้อยเข้ามา
"เจ้าดาราน้อย อย่าเข้าไป"
ดาราน้อยไม่ได้สนใจวิ่งเข้ามา
อินยา ปันแสง ยืนรอ ดาราน้อยวิ่งเข้ามาใกล้ พอเห็นเป็นอินยาก็ชะงัก เพราะจำได้ว่าเคยดุใส่
กาหลงเห็นดาราน้อยเข้าใกล้อินยาก็เสียงสั่น
"เจ้าดาราน้อย ออกมา"
ดาราน้อยจะหันหลังกลับ แต่ไม่ทัน อินยาคว้าแขนดาราน้อยไว้
"ปล่อยเจ้าดาราน้อย"
อุตลาพุ่งเข้าไปจับกาหลงทันที อินยาแววตาเกลียดชังดึงแขนดาราน้อยเข้ามาใกล้
"ดาราน้อยเจ็บ"
ในท้องพระโรง มรันมามองปรันมา แล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
"เจ้าพี่ปรันมา ... คนที่ใส่ร้ายแม่ข้าคือใคร"
ปรันมานิ่งครู่เดียวก็เอ่ยออกมา
"ข้าลงโทษมันไปแล้ว ขอให้เจ้าจดจำเพียงว่า อเลยา แม่เจ้าคือผู้บริสุทธิ์"
"เรื่องทั้งหมดมาจากเจ้านางอินยาใช่มั้ย"
ปรันมาไม่ตอบ มรันมายิ่งแน่ใจ
"ความอาฆาตแค้นที่เจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงมีกับข้า มันจะไม่มีวันลดลง จนกว่าข้าจะสิ้นลมหายใจ"
ติสสากุมมือมรันมาไว้
"ไม่ว่าความริษยาของเจ้านางอินยากับเจ้าปันแสงจะมีมากแค่ไหน ชั่วชีวิตนี้น้องน้อยก็จะมีพี่ชายเป็นผู้คุ้มครอง"
ปรันมา จันทเทวียิ้มมอง ติสสาสบตามรันมาให้ความอุ่นใจ
อินยาดึงแขนดาราน้อยเข้ามาใกล้ ปันแสงก้มลงจับไหล่ดาราน้อย
"ไม่ต้องกลัวข้ากับเจ้านางอินยาหรอก ดาราน้อย"
ดาราน้อยมองตื่นๆ แต่ที่กลัวกว่าคือกาหลง
"เจ้าปันแสงอย่าทำอะไร เจ้าดาราน้อย"
อุตลารู้งาน เหวี่ยงกาหลงไปกระแทกเสาหินจนจุก ร้องไม่ออก พูดไม่ได้ อุตลาตามไปจับตัวไว้
"เห็นมั้ย ว่าข้ามีเมตตากับทุกคน"
ปันแสงจับแขนเล็กๆของดาราน้อยจูงขึ้นไปบนบันไดหินชัน อินยามองตามด้วยรอยยิ้มร้าย
"อย่าขึ้นไป เจ้าดาราน้อย ลงมา" กาหลงร้องบอก
ปันแสงพาดาราน้อยขึ้นมายืนบันไดหิน แล้วยกตัวดาราน้อยขึ้นลอยเสมอหน้า และเอ่ยเสียงหลอกล่อ
"ดูสิ ดาราน้อย มองไปรอบๆ อาณาจักรศรีพิสยาของข้า"
ดาราน้อยมองปันแสงด้วยสายตาตื่นกลัว
"ดาราน้อยกลัว"
ปันแสงแววตาโหดพร้อมจะปล่อยร่างเด็กน้อยลงมาได้ตลอดเวลา
"อย่ากลัว... ข้าไม่ทำอะไรเด็กเล็กๆน่ารักอย่างเจ้าหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าคือดวงใจของพ่อกับแม่"
กาหลงตะโกนบอก
"เจ้าดาราน้อยไม่เกี่ยว เจ้าปันแสง ปล่อยเด็กเถอะ ช่วยด้วย ใครอยู่ตรงนี้ ช่วยเจ้าดาราน้อยด้วย"
เสียงกาหลงที่ร้องดัง ทำให้ดาราร้อยตกใจและเสียขวัญ เด็กน้อยขอร้องด้วยสายตาซื่อใสแบบเด็ก
"ดาราน้อยอยากลงไปแล้ว"
ปันแสงยิ้ม แววตาเหี้ยม
"ได้สิ ข้าให้เจ้าลงแน่"
เจ้านางอินยายิ้มร้าย ปันแสงยกร่างดาราน้อยขึ้นสูงเหนือหัว ติสสา มรันมา เมฆา มารุตที่วิ่งเข้ามา
มรันมาร้องเรียกลูกอย่างใจเสีย
"ดาราน้อย"
"เจ้าปันแสง อย่าทำอะไรลูกข้า" ติสสาบอก
ปันแสงคลี่ยิ้ม หันไปบอกดาราน้อย
"เจ้าอยากบินไปหาพ่อแม่เจ้ามั้ย"
"พ่อจ๋า แม่จ๋า"
อินยายิ้มร้ายกาจ มรันมากลัวว่าดาราน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย ติสสาพุ่งเข้ามาในจังหวะเดียวกับที่ปันแสงโยนตัวเด็กน้อยเข้าหาติสสา
"ดาราน้อย"
ติสสากางแขนรับร่างลูกสาวไว้ในอ้อมอกได้ทันที
ปันแสงยืนอยู่ที่เดิม ยิ้มสะใจที่ได้เขย่าประสาท สองคนหันไปมองอินยากับปันแสง
"อย่าคิดทำร้ายลูกข้าอีก" ติสสาบอก
"เจ้านางอินยา ท่านจะทำร้ายข้า ก็ทำ อย่าเอาความเกลียดไปลงที่เด็ก" มรันมาบอก "ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าทำให้ข้าไม่พอใจ ตายได้ทั้งนั้น"
ปันแสงก้าวเดินไปสมทบกับเจ้านางอินยา
"ใจคอเจ้าก็มีแต่ความโหดเหี้ยม"
" คนอย่างข้า รู้จักแต่คำว่า ... ชีวิตแลกชีวิต"
ปันแสงแววตาแข็งกร้าวมองจ้องติสสา อินยาจ้องมรันมาด้วยความเกลียดชังที่สุด ทั้งสองคนหันหลังออกไปจากตรงนั้น
มารุตจ้องอุตลาที่รีบเดินตามนายออกไป เมฆาช่วยดึงกาหลงที่ทรุดอยู่กับพื้นขึ้นมา ติสสาอุ้มดาราน้อย มองสบตาเมียรักอย่างกังวลใจ
เวลาเย็น บริเวณแปลงดอกไม้หน้าเรือน ดาราน้อยช่วยกาหลงให้อาหารฝูงไก่ เมฆามารุตยืนเฝ้าระวังอยู่ไม่ห่าง ด้านหลัง มรันมาสีหน้าทุกข์ใจ ติสสาเข้ามาโอบไว้
"น้องน้อยยังกลัวความอำมหิตของเจ้าปันแสงกับเจ้านางอินยา แขนของพี่ชายมีไว้โอบกอดและปกป้องดวงใจของพี่ชายสองดวงนี้ พี่ชายจะรักษาความสุขเช่นนี้ไว้ ตราบชั่วชีวิตของเรา"
ติสสาจูบลงที่หน้าผากมรันมาเบาๆ เธอยิ้มอุ่นใจกับคำสัญญาในอ้อมแขนแข็งแรงของติสสา สองคนมองภาพดาราน้อยกำลังวิ่งเล่น มีความสุข
ในห้องอาบน้ำเจ้านางอินยา เวลากลางคืน ปันแสงกับอินยายืนอยู่ แสงจันทร์เสี้ยวส่องลงมาจากด้านบน ทาบทับสองใบหน้าให้ดูน่ากลัว
"เราจะทำให้ความสุขของพวกมันสั้นกว่าที่คิด" อินยาว่า
"ยิ่งสุขมากเท่าไหร่ เวลาพลัดพรากมันก็จะยิ่งทุรนทุราย และความตายเท่านั้นที่เราจะให้มันคืนอย่างสาสม"
สองแม่ลูก แววตาเลือดเย็น เจ้าเล่ห์ยิ้มให้กัน
เช้าวันใหม่ ฝูงวัวเดินผ่านหน้าเรือนติสสาไป ติสสาให้อาหารม้า บนเรือน... มรันมามองดาราน้อยที่กำลังหัดขี่ม้าแคระ กาหลงคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ เมฆา มารุตวิ่งเข้ามารายงาน
"เกิดเรื่องแล้ว ท่านแม่ทัพ"
ติสสาหันไปมอง สีหน้าสงสัย
ในท้องพระโรงติสสาเดินเข้ามาตรงหน้าปรันมา
"ทหารของเราที่เขตติดต่อเพิ่งส่งม้าเร็วมาบอก มีการเคลื่อนไหวของกองทัพที่ยกมามากมายมหาศาล"
ปรันมานิ่งคิด
"กองทัพนรสิงห์ มีมันคนเดียวเท่านั้น ที่กระหายเลือด กระหายสงคราม สั่งปิดกำแพงเมืองทุกด้านเดี๋ยวนี้"
ติสสารับคำแล้ววิ่งเร็วออกไปกับเมฆา มารุตทันที ปรันมามองตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ในตำหนักเจ้านางอินยาปันแสงกับอินยามองอสุนีที่เข้ามารายงาน
"ทัพนรสิงห์เข้ามาใกล้แล้วหรือนี่"
"แล้วถ้าศรีพิสยาแตก"
ปันแสงมองอินยาที่พูดขึ้นอย่างตรึกตรอง
"นรสิงห์จะไม่ไว้ให้เหลืออยู่แม้แต่ชีวิตเดียว"
"ข้าจะต้องหาทางทำทุกวิธีให้ชีวิตปรันมากับพวกมันเท่านั้นที่จะล่มจม สูญสิ้น แต่บัลลังก์ศรีพิสยาจะต้องคงอยู่ รอกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดอย่างข้าก้าวขึ้นไป"
ปันแสงยังวาดหวังถึงความปรารถนาสูงสุด
ในหอขวัญเมืองปรันมาก้าวเข้ามา เมืองมาสตรวจดวงชะตาเมืองแล้วสีหน้าไม่ดีนัก
"เราจะต้านทานกองทัพของนรสิงห์ไว้ได้ใช่มั้ย"
"ดวงดาวผู้คุ้มครองชะตาเมืองกำลังอ่อนแสง"
"ศรีพิสยาต้องไม่ตกเป็นของนรสิงห์"
"เวลานี้ยากยิ่ง ยากเหลือเกิน นอกเสียจากว่า..."
"ทางไหน เมืองมาส รีบบอกมา ข้าต้องรักษาศรีพิสยาไว้ให้ได้"
ปรันมามองจ้องเมืองมาสด้วยสายตาเร่งเร้า
บริเวณเนินเขาเขตติดต่อนอกเมืองศรีพิสยา ติสสา เมฆา มารุตที่วิ่งเร็วมาเพื่อสังเกตการณ์กองทัพที่มุ่งหน้ามา บนเนินสูง ทุกคนหยุดซุ่มอยู่ด้านหลัง ติสสาค่อยๆขยับขึ้นมอง เห็นกระโจมที่ตั้งเป็นจุดเล็กๆเต็มพื้นที่กว้าง หน้ากระโจมใหญ่มีธงธงสัญลักษณ์พระอาทิตย์ สีหสา วาเร ไพลิน ที่กำลังเดินเข้าไปในกระโจม
ติสสา เมฆา มารุตต่างสบตากัน แววตาคุกรุ่นความแค้นที่เคยปะทะกับนักรบของนรสิงห์และพ่ายแพ้มาแล้ว
นรสิงห์นั่งอยู่ที่กลางกระโจม
"ข้าเสียเวลาไปติดพันกับศึกที่ดินแดนอื่นเสียนาน ทั้งๆที่ศรีพิสยาเกือบจะเป็นของข้าอยู่แล้ว"
"แต่ท่านก็ทำลายเมืองพวกนั้นจนราบคาบ ไม่กล้าโงหัวขึ้นมาสู้ได้อีกนาน ชั่วลูกชั่วหลานของพวกมัน ตอนนี้ก็เหลือแค่ศรีพิสยา"
"กลิ่นแห่งความสุขของชาวศรีพิสยามันช่างเร่งให้ข้ากระหายเลือดเหลือเกิน"
สีหสายิ้มรับ กระโจมเปิดออก มีคชาช่วยจับแขนสุเลวินเดินเข้ามา
"นึกว่าศึกคราวนี้เจ้าจะอยู่เฝ้าวิหารเหมือนครั้งก่อนๆเสียอีก สุเลวิน" สีหสาพูดเยาะขึ้นทันที
"เจ้าก็เข้าใจผิดเช่นเคย ศึกสำคัญขนาดนี้ ผู้หยั่งรู้โชคชะตาฟ้าดินเช่นข้า สมควรอยู่ใกล้ ให้การรับใช้องค์นรสิงห์"
สีหสามองสุเลวินด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ต่างจากสุเลวินที่ใบหน้าระบายยิ้ม
ในท้องพระโรงศรีพิสยาติสสาก้าวเข้ามารายงานต่อหน้าปรันมา
"ทัพนรสิงห์เตรียมพร้อมจะบุกตีเราแล้ว"
ปรันมามองติสสา แล้วมองเลยไปที่ทหารด้านหลังพร้อมสั่ง
"ออกไปให้หมด"
เมฆา มารุต ทหารทั้งหมดได้ยินคำสั่ง ก็ถอยออกไปอย่างเร็ว ติสสาแปลกใจกับสิ่งที่ปรันมากำลังพูดต่อไป แต่รู้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก
ปรันมาก้าวเข้ามาใกล้
"มีทางหนึ่งที่เราจะรักษาศรีพิสยาไว้ กองทัพศัตรูหน้าไหนก็ผ่านพ้นกำแพงเมืองเข้ามาไม่ได้"
"วิธีไหน เจ้าปรันมา"
"ข้าต้องถามความเต็มใจของเจ้า"
"ท่านไม่ต้องถามเพราะข้ามีคำตอบเดียว ต่อให้ต้องเอาชีวิตข้าไป ข้าก็เต็มใจเพื่อให้แผ่นดินนี้รอดจากเงื้อมมือกษัตริย์ชั่วอย่างนรสิงห์"
ติสสาแววตาเด็ดเดี่ยว พร้อมเสียสละ ปรันมามองด้วยความพอใจ
ด้านนอกวิหารหลวง นันทวดีพาจันทเทวีมาส่งด้วยความร้อนใจ
"เราต้องทำอะไรบ้าง นันทวดี"
"ข้าก็ไม่รู้ เจ้าปรันมาสั่งแต่ว่าให้รีบพาเจ้านางมาที่นี่ เร็วที่สุด"
เมืองมาสที่ยืนรออยู่ก่อนเดินนำจันทเทวีเข้าไปด้านใน นันทวดีมองส่งอยู่ที่เข้าไปในวิหารหลวง
ติสสาที่อยู่หน้าเรือน ย่อตัวลงกอด หอมดาราน้อย มรันมามองด้วยสายตากังวล แต่ไม่พูดอะไร
ออกมาให้ลูกตกใจ ติสสาปล่อยตัวลูก กาหลงรีบพาดาราน้อยออกห่างไปก่อน
เมฆา มารุต เดินเร็วนำทหารมาเฝ้ารอบๆบ้าน ติสสาบอกมรันมา
"คืนนี้น้องน้อยกับลูกอยู่บูชาเพ็งที่เรือน พี่ชายให้เมฆา มารุต กับทหารดูแลรอบๆนี้ไว้หมดแล้ว"
"แล้วพี่ชายละจ๊ะ พี่ชายจะไปไหน ทำไมพี่ชายไม่อยู่บูชาเพ็งกับน้องน้อย"
"บ้านเมืองกำลังคับขัน คำสั่งเจ้าเหนือหัวให้พี่ชายวางแผนการรบ น้องน้อย อย่าออกไปไหน อาจมีอันตราย ดูแลบ้าน ดูแลลูก จนกว่าพี่ชายจะกลับมา"
ติสสาดึงมรันมามากอดไว้แน่นอย่างเป็นกำลังใจให้คนรัก
ในหอขวัญเมืองเวลาเย็น แสงเทียนถูกจุดสว่างไสวอยู่รอบหอ ปรันมายืนอยู่ด้านหน้า เมืองมาสและนักบวชยืนข้างแท่นบูชา
"ข้ากำลังจะทำพิธีสำคัญเพื่อรักษาศรีพิสยาให้รอดพ้น พิธีนี้จะช่วยซ่อนความลับที่สำคัญที่สุด ไม่ให้ศัตรูล่วงรู้และทำลายลงได้"
ติสสาและจันทเทวีนั่งคุกเข่าอยู่หน้าปรันมา
"เราจะย้ายขวัญเมืองที่ดูแลปกปักรักษาศรีพิสยาในหอนี้ มาสู่ดวงจิตของเจ้าทั้งสอง"
ติสสา จันทเทวีดวงตาแน่วแน่มองปรันมา
"จันทเทวี จิตของเจ้าจะเป็นหัวใจของเมือง ความสุขของเจ้าเสมือนความสุขแห่งศรีพิสยาทั้งมวล"
เจ้าจันทเทวีฉายใบหน้าอิ่มเอิบ รอยยิ้มสว่างไสว
มรันมายืนสั่งงานกาหลง เมฆา มารุต ด้วยน้ำเสียงและแววตาเข้มแข็ง อยู่ที่เรือนติสสา
"วันนี้เจ้าปรันมาสั่งให้ทุกคนบูชาเพ็งครั้งใหญ่ พวกเจ้าจงไปอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด แล้วรีบกลับมาเตรียมเครื่องบูชาให้พร้อม บูชาเพ็งคืนนี้ สำคัญมากกับศรีพิสยา"
นันทวดีดูแลดาราน้อยแล้วมองมรันมา
ในหอขวัญเมืองเสียงปรันมาเปล่งอยู่ในความเงียบ
"ติสสา จิตใจกล้าแกร่งของเจ้าคือบารมีของผู้พิทักษ์ จิตที่เจ้าที่มุ่งเสียสละปกป้อง จะคุ้มครองให้แผ่นดินศรีพิสยามั่นคง ไม่มีวันพ่ายแพ้แก่ศัตรู"
เวลาเย็นใกล้ค่ำ นรสิงห์ก้าวออกจากกระโจม ด้านหลังคือสีหสา คชาพาสุเลวินออกมา ไพลิน วาเรตามมาด้านหลัง เหล่านักรบสีหน้าดุดันยืนเตรียมพร้อม นรสิงห์ก้าวขึ้นยืนโดดเด่น เหนือนักรบทั้งหมด ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า แสงสีส้มสาดส่องไปทั้งบริเวณ
"นักรบของข้า พลังแห่งดวงอาทิตย์ผนึกกำลังให้เราแข็งแกร่งเหนือทุกคน ให้ความร้อนแผดเผาทุกชีวิตที่ขวางหน้า ให้ดาบของเราดื่มเลือดไอ้คนที่มันไม่ยอมก้มหัวลงมาแทบเท้า วันนี้พลังแห่งดวงอาทิตย์คืออำนาจของข้า จะแผ่ไปไกลเหนือผืนฟ้า ผืนน้ำ ผืนดินทั้งหมดบนโลกนี้"
สีหสายิ้มเหี้ยมเกรียม
"หลังตะวันลับฟ้าคือเวลาที่เราจะท้าทายพระเพ็ง เร่งไฟตัณหา ราคะให้พุ่งพล่านร้อนแรง ให้จิตวิญญาณบ้าคลั่ง ให้ขุมพลังในร่างกายพร้อมที่จะฆ่า และเมื่อถึงเวลาแสงอาทิตย์แรกของวันพรุ่งสัมผัสลงบนแผ่นดิน ข้า นรสิงห์จะก้าวขึ้นไปเหยียบบนบัลลังก์เลือดของศรีพิสยา"
"เมื่อใดที่ดวงอาทิตย์แผ่รังสีเจิดจ้า แสงริบหรี่ อ่อนล้าของดวงจันทร์ย่อมดับสลายสูญสิ้น"
นรสิงห์หัวเราะดัง ชอบใจกับคำทำนายของสุเลวิน
นักรบชูอาวุธในมือ โห่ร้องกึกก้อง พร้อมเคลื่อนทัพสู่ศรีพิสยา สีหสายิ้มเปล่งประกายความกะเหี้ยนกะหืออยากออกไปฆ่าฟันชาวศรีพิสยาเต็มที่
ปรันมามองติสสาและจันทเทวี เมืองมาสและนักบวชเริ่มสวดมนต์โบราณ
ติสสา จันทเทวีหลับตาลงเข้าสู่ญาณ ทำสมาธิ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสถิตอยู่ในดวงจิตของตัวเอง
แสงจันทร์สว่างสาดส่องไปทั่ว ปรันมาหลับตาลงเข้าสู่สมาธิ
ปันแสงยืนมองพระเพ็งด้วยสายตาดุดัน
"พระเพ็งจงช่วยให้ข้าได้ครอบครองศรีพิสยา เมื่อนั้นท่านต้องการอะไร ข้าจะมอบให้มากกว่าที่ปรันมาเคยให้"
อินยาก้าวเข้ามายืนใกล้ปันแสง
"หากจะต้องแลกกับชีวิต ติสสา มรันมา ข้าจะกุดหัวมันทั้งสองถวายด้วยมือข้าเอง"
ทั้งสองคนที่มองจ้องไปยังพระเพ็งด้วยสายตาแข็งกระด้าง
เสียงสวดมนต์ยังดังไปรอบหอขวัญเมือง ติสสา จันทเทวีกำลังอยู่ในสมาธิ เมืองมาส นักบวช และปรันมาหลับตาสวดมนต์โบราณด้วยจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหว
ด้านหน้าเรือน กลางแจ้ง แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องลงมาสว่างไปทั่วบริเวณ มรันมา ดาราน้อย นันทวดี ยืนหน้าทุกคน ที่ใกล้โต๊ะบูชา ตั้งดอกไม้ ข้าวตอก ผัก ผลไม้ หีบเครื่องประดับที่เปิดออกเห็นอัญมณีมากมาย มรันมากับทุกคนมองไปที่พระเพ็ง
"ข้าและชาวศรีพิสยาทุกคน มีความสุข สงบอยู่ภายใต้แสงนวลละมุนแห่งพระเพ็งมานานแสนนาน .. ข้าขอบูชาแก่แสงแห่งความสุข"
ในกระโจมนรสิงห์ แสงจันทร์สาดส่องเห็นเงาของร่างสีหสาที่เปล่าเปลือยกำลังกอดรัดร่างกำยำไร้อาภรณ์ขององค์นรสิงห์อย่างแนบแน่น ลุ่มหลง สายตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขสม
"ข้ารู้สึกได้ถึงพลังอำมหิตที่องค์นรสิงห์ถ่ายทอดสู่หัวใจของข้า"
นรสิงห์ยิ้ม สีหสาเลื่อนตัวไปบนร่างนรสิงห์
"และนั่นเป็นความสุขเดียวที่ข้าต้องการที่สุด เพื่อเติมพลังให้ข้าแข็งแกร่งมากขึ้น"
สีหสาสายตาเร่าร้อน ยามนี้ต้องการเพียงรสรักของนรสิงห์
ด้านหน้ากระโจมนรสิงห์ แท่นทำพิธีของสุเลวินที่เต็มไปด้วยศาตราวุธ เลือด สัตว์ที่ถูกฆ่ามาวางไว้
สุเลวินกำลังสวดทำพิธีด้านหน้า มีคชา วาเร ไพลิน ยืนปิดอยู่ทางเข้ากระโจม
"ขอให้อำนาจแห่งองค์นรสิงห์ที่อยู่เหนือทุกสิ่ง นำชัยชนะมาสู่นักรบของเรา"
ในหอขวัญเมือง ติสสา จันทเทวีอยู่ท่ามกลางพิธีย้ายขวัญเมือง เสียงสวดมนต์โบราณของเมืองมาส และนักบวชยังดัง ดวงจิตจากขวัญเมืองที่อยู่ในรูปสัญลักษณ์พระเพ็ง สีฟ้าทั้งสองดวงค่อยๆเรืองแสงขึ้น
ทั้งคู่ยังยังหลับตา สวดมนต์อยู่อย่างนิ่งสงบ แสงดวงจิตขวัญเมืองลอยลงมาเหนือร่างติสสา จันทเทวี แล้วหยุดนิ่งเหนือหัว เสียงสวดมนต์ของเมืองมาสและนักบวชดังขึ้น ดวงแสงสีฟ้าของขวัญเมืองพุ่งลงสู่ร่างจันทเทวี และติสสาพร้อมกัน ร่างของจันทเทวี ติสสาขยับขึ้น รู้สึกได้ถึงพลังอันแรงกล้าที่กำลังเข้าสู่ในร่าง
มรันมานิ่งสงบหน้าโต๊ะบูชาที่ตั้งอยู่ วาบขึ้นถึงพลังบางอย่างที่เกิดขึ้นกับติสสา
"พี่ชาย"
นันทวดีลืมตาหันมอง มรันมาสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่ง รู้สึกเชื่อมโยงถึงพลังแห่งความดี
ดวงแสงเรืองรองสีฟ้าของขวัญเมืองที่เลื่อนเข้าสู่หัวใจของติสสา และจันทเทวี สองร่างนั่งนิ่งทำจิตให้มีสมาธิ เสียงสวดมนต์โบราณหยุด ทุกอย่างนิ่งสงัด แสงเรืองรองของขวัญเมืองสว่างอยู่ที่หน้าอกของจันทเทวีและติสสา วาบขึ้นอีกครั้งก่อนจะกลืนหายไปในร่าง
เมืองมาสลืมตาขึ้น ติสสาและจันทเทวี ปรันมาลืมตาขึ้นพร้อมๆกัน
"บัดนี้ ขวัญเมืองผู้คุ้มครอง ได้มาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของเจ้านางจันทเทวี และ แม่ทัพติสสาแล้ว"
ปรันมายิ้ม มองน้องสาวและแม่ทัพคู่ใจ
"จงทำจิตใจให้กล้าแข็ง ขวัญและกำลังใจที่ดีของเจ้าสองคน คือสิ่งปกปักรักษาศรีพิสยา"
ทั้งสองมองปรันมาด้วยสายตาแน่วแน่
"อย่าให้ใครล่วงรู้ความลับนี้ อย่าให้ใครหรือเรื่องใดมาทำลายความเข้มแข็งและกำลังใจของตัวเองลงไปได้ ชะตาชีวิตของศรีพิสยาขึ้นอยู่กับดวงจิตของเจ้าทั้งสองแล้ว"
ติสสาและจันทเทวียืนขึ้น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยเชื่อมั่นว่าจะปกปักรักษาศรีพิสยาไว้ได้อย่างดีที่สุด
สุเลวินที่กำลังทำพิธี พลัน... ร่างกระตุกขึ้น รู้สึกถึงอำนาจที่มีพลังมากขึ้นในศรีพิสยา สุเลวินนิ่งคิด
"นี่มันอำนาจอะไร พลังรุนแรงมาก ทำไมข้าถึงรู้สึกได้ว่ามันกำลังจะขัดขวางเรา องค์นรสิงห์ต้องรับรู้"
สุเลวินหันหลัง จะเดินเข้าไปทางกระโจม ไพลิน วาเรขยับก้าวมาขวางทันที
"ท่านแม่ทัพสีหสาห้ามใครเข้าไป"
"ข้าไม่ได้อยากคุยกับสีหสา ข้าต้องบอกองค์นรสิงห์ เรื่องสำคัญ เดี๋ยวนี้ !"
นรสิงห์รู้สึกถึงพลังแรงกล้าที่กำลังเกิดขึ้นในศรีพิสยา ก่อนผลักร่างสีหสาออกพ้นตัว
"คืนนี้ศรีพิสยาบูชาเพ็ง ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นที่นั่น"
สีหสามองนรสิงห์อย่างขัดใจ สีหสายิ้มเหยียด
"จะมีอะไร พวกมันก็คงกำลังสวดอ้อนวอนขอให้พระจันทร์คุ้มครองเหมือนพวกขี้ขลาด ไม่ต้องกังวลหรอกท่าน ข้าจะตัดหัวเจ้าปรันมามาวางลงตรงเท้า ให้ท่านเหยียบเล่นเอง"
สีหสาเลื้อยมือไปรวบร่างนรสิงห์เข้ามาจูบอย่างเร่าร้อน
ปรันมาก้าวออกมาหน้ารูปปั้นบูชาพระเพ็ง เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยบุญบารมี
"แผ่นดินเรากำลังถูกท้าทาย ขอให้ผีนาถ ผีฟ้าจงออกมาคุ้มครองปกป้องทั่วทั้งอาณาประชาราษฎร์ของข้า จากกองทัพต่ำช้าของศัตรูด้วยเถิด"
ผีนาถ ผีฟ้า วิญญาณผู้ปกปักเมืองลอยขึ้นจากหน้าแท่นพิธี สองร่างมีเสียงร้องดังหวีดหวิว
แล้วโผบินพุ่งออกไปจากหอขวัญเมือง ทุกคนหันมองตามทันที
อ่านต่อหน้าที่ 3
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ลมพัดแรงมาวูบหนึ่ง สุเลวินยังยืนหน้ากระโจมรู้สึกเย็นวาบผิดปกติ
"พลังจากศรีพิสยา ..."
คชา วาเร ไพลินมองสุเลวินอย่างเมินเฉย ไม่ตื่นเต้น ไม่รู้สึกอะไรด้วย
"ให้ข้าเข้าพบองค์นรสิงห์เดี๋ยวนี้"
สีหสาในชุดนอนก้าวเดินออกมาพร้อมนรสิงห์ คชา วาเร ไพลินขยับถอยออกมา
"บังอาจมาก กล้าล่วงเกินความสุขขององค์นรสิงห์"
"ข้ารู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวในศรีพิสยา"
"ความขี้ขลาดตาขาวของเจ้าไงล่ะ นักบวชเด็ก กลัวแม้กระทั่งเสียงใบไม้ร่วง"
"สิ่งเดียวที่จะทำให้เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ คืออย่าประมาทศัตรู เหมือนเจ้า"
"ศรีพิสยามันน่าจะได้เจ้าไปเป็นโหรหลวง เพราะข้านี่แหละจะเป็นคนแรกที่ฟันปากเจ้า"
"อำนาจไหนจะใหญ่กว่าข้า ถ้าเจ้าจะพูดเพื่อห้ามไม่ให้กองทัพข้าเข้าไปย่ำซากศพพวกมัน ไสหัวกลับไปทำพิธีของเจ้าซะ สุเลวิน" นรสิงห์บอก
"ข้าไม่ได้คิดจะห้ามเรื่องยกทัพ แต่อยากเตือนให้ระวังบางสิ่งบางอย่างในศรีพิสยา"
"งั้นเจ้าก็หุบปากได้แล้ว"
"ปากข้ามีไว้พูดในสิ่งที่ข้าเห็นด้วยจิต มีประโยชน์ไม่น้อยกว่าดาบของเจ้า เจ้าต่างหากที่ควรจะหุบปาก สีหสา เพราะการเอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า"
สีหสาขยับมาจะขย้ำสุเลวิน นรสิงห์พูดขึ้นทันที
"พอแล้ว สุเลวิน เมื่อแสงแรกของตะวัน กองทัพของข้าจะบุกเข้าศรีพิสยา ต่อให้มีอีกร้อยพระเพ็งเต็มท้องฟ้า ข้าก็ไม่กลัว เพราะข้าตั้งใจแล้วว่าข้าจะฉลองคืนบูชาเพ็งให้พวกมันด้วยเลือด"
นรสิงห์ประกาศเสียงดัง สีหสายิ้มเยาะสุเลวินอย่างสะใจที่สุด
พระจันทร์ลอยเด่น ร่างของผีนาถ ผีฟ้าบินมาลอยเหนือกำแพงเมืองที่ทอดเป็นทางยาวของศรีพิสยา
ด้วยพลังนี้กำลังบินวนไปรอบๆ สองวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แผ่ขยายร่างลงมาคลุมปิดทั้งเมืองไว้หมดทันที
สีหสากำลังยืนให้ไพลินสวมเกราะแต่งตัวพร้อมออกรบด้วยแววตามั่นใจว่าจะต้องเข้าไปทำลายศรีพิสยาลงได้
นรสิงห์และสุเลวินที่ยืนอยู่ กำลังมองลงมาจากเนินสูง ทางด้านล่าง คชา วาเรกำลังจัดเตรียมทหาร ที่ถืออาวุธมาตั้งแถวอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนใบหน้าดุดัน
"ตั้งแถว"
สุเลวินยืนห่างจากนรสิงห์ ฟังเสียงวาเร เสียงเท้าของทหาร เสียงเกราะ เสียงอาวุธกระทบเกราะ
ด้วยสีหน้านิ่ง ไม่อาจทัดทานอะไรได้อีก
นรสิงห์หันมาทางสุเลวิน
"สุเลวิน ถ้าเจ้ามีตา เจ้าจะเห็นแสงจันทร์อ่อนล้าน่าสมเพช มันก็แค่เศษเสี้ยวของแสงอาทิตย์ อีกไม่นาน มันก็ดับวูบ .... อีกไม่นาน"
นรสิงห์มองพระจันทร์แล้วหัวเราะด้วยเสียงเหยียดหยัน สุเลวินนิ่ง ไม่อาจพูดทักท้วงอะไรได้อีก
สีหสาก้าวออกมาพร้อมกับไพลิน มายืนตรงหน้าทหารที่สายตาฮึกเหิมทุกคน
"รบเพื่อองค์นรสิงห์"
ทุกคนตะโกนตามสีหสา เสียงดังกึกก้อง สะท้อนขุนเขาฟังดูน่ากลัว นรสิงห์และสีหสาแววตามีแต่ความกระหายอยากจะฆ่า
เจ้าปรันมาหันมามอง เมืองมาสที่อยู่ในญาณลืมตาขึ้น
"พวกมันเคลื่อนทัพแล้ว"
ติสสาขยับ มองไปทางเจ้าปรันมา ทั้งคู่ต่างเดินเร็วออกไปจากหอขวัญเมืองทันที
ฉากที่39ด้านนอกกำแพงเมืองศรีพิสยากลางคืน(ต่อเนื่อง)
เสียงเท้าของทหารนับพันกำลังย่ำลงบนกรวดดิน สีหสา วิ่งนำทุกคนเข้ามาใกล้กำแพงศรีพิสยาที่อยู่ตรงหน้าอีกไม่ไกล
ปรันมาก้าวขึ้นมายืนบนจุดที่สูงที่สุดของเขตพระราชฐานแล้วมองไกลไปถึงนอกกำแพงเมือง ติสสาก้าวมายืนใกล้
"ให้พวกมันเข้ามา จะได้รู้ว่าศรีพิสยาไม่ใช่แผ่นดินที่มันจะเหยียบย่ำได้แม้ดินสักก้อน"
สีหสา วาเร ไพลิน นำทัพวิ่งมา เห็นกำแพงเมืองศรีพิสยาที่เห็นอยู่ข้างหน้าไม่ไกล
"ศรีพิสยา ข้ามาบดขยี้เจ้าแล้ว"
กำแพงเมืองศรีพิสยามีสิ่งเคลื่อนไหว พลังของผีนาถ ผีฟ้าเป็นเหมือนคลื่นน้ำสีฟ้าบางๆกำลังกั้น
ปกคลุมไว้ทั้งเมือง แต่สีหสาไม่สนใจวิ่งพุ่งเข้าไปทั้งร่าง คลื่นพลังสีฟ้าก็วาบขึ้น ผลักร่างสีหสาลอยฟาดลงบนพื้น คชา วาเร ไพลินมองด้วยความตกใจ สีหสาสีหน้าไม่ยอมแพ้
"แค่นี้เองเหรอ ที่จะกั้นกองทัพของข้า"
ไพลิน วาเร กับทหารพยายามจะพุ่งเข้าไป ก็ถูกผลักกระเด็นออกมา ล้มกลิ้ง ระเนระนาดไปกับพื้น
คชามองโกรธจัด ถือง้าวห้าแฉกวิ่งพุ่งแทงเข้าไปที่คลื่นกำบังสีฟ้า แต่ยิ่งโดนพลังสวนกลับแรงกว่าเดิม ผลักคชากระเด็นลอยกลางอากาศ ก่อนร่างจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
สีหสาจะพุ่งสวนเข้าไป วาเร ไพลินรีบเข้ามาดึงสีหสาออกมา
"ปล่อยข้า ข้าจะเข้าไปฆ่ามัน อำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ปกป้องศรีพิสยา ข้าจะทำลายมันให้ยับกับมือ"
ผีนาถ ผีฟ้าได้ยินคำท้าทายของสีหสาก็ยิ่งโกรธ
สีหสาพุ่งเข้าไป เจอพลังอัดกลับจนสีหสากลิ้งกับพื้นไปหลายตลบ พอลุกขึ้นได้ วาเร ไพลินมองเห็น สีหสากำลังสำลักเลือดออกมา วาเร ไพลินรีบเข้าไปกระชากสีหสาออกห่างจากตรงนั้น สีหสาดิ้นรน ไม่ยอม
"ปล่อยข้า ข้าจะเหยียบศรีพิสยาให้ได้ ปล่อย !"
"ไปก่อน พี่สีหสา" ไพลินบอก
"ไม่ไป ข้าจะเข้าไปในศรีพิสยา ข้าจะเผามันให้ราบ"
สีหสาสำลักเลือดออกมาด้วยความแค้นกระอักแน่น
"ท่านแม่ทัพ ไปก่อน พลังอำนาจรุนแรงขนาดนี้ เราต้องถอย" วาเรบอก
วาเร ไพลินพยายามกระชากลากสีหสาออกไป ก่อนที่จะถูกอำนาจของผีนาถ ผีฟ้าทำลายถึงแก่ชีวิต
สีหสาไม่มีความเกรงกลัวอะไรอีกแล้ว มุ่งแต่จะฝ่าพลังที่กำบังเมืองไปให้ได้ พลางตะโกนท้าทายขึ้น
"เอาสิวะ ผีห่าซาตานที่ช่วยไอ้พวกปรันมา ออกมาเดี๋ยวนี้ กูชื่อแม่ทัพสีหสา กูนี่แหละจะฟันมึงให้นับชิ้นไม่ได้กลายเป็นซากวิญญาณเร่ร่อน ไม่มีที่ผุดที่เกิด ออกมา"
คลื่นพลังสีฟ้าของผีนาถ ผีฟ้าวาบแรงขึ้น พุ่งเข้าหาร่างสีหสาทันที
เวลาเช้าต่อเนื่องมา สุเลวินที่ยืนอยู่ด้านในกระโจมนรสิงห์ด้วยความกังวลใจ รู้สึกได้ถึงพลังรุนแรงที่กำลังจู่โจมสีหสา
"สีหสา"
นรสิงห์ได้ยินก็หันมามองสุเลวินทันที
บริเวณกำแพงเมืองศรีพิสยา สีหสาโดนพลังผีนาถ ผีฟ้าผลักจนกระเด็น ร่างครูดไปกับพื้นหลายตลบจนแน่นิ่งไป วาเร คชา ไพลินตกใจ เสียงผีนาถ ผีฟ้าดังหวีดหวิว ทำลายขวัญนักรบนรสิงห์
คชารีบพุ่งไปที่ร่างสีหสา แบกร่างออกไปอย่างเร็ว
"ถอยทัพ นักรบปุระอมร ทุกคนถอย"
วาเร ไพลินนำนักรบนรสิงห์ถอยไปจากตรงนั้นทันที
บริเวณสูงสุดบนเขตพระราชฐาน ปรันมายืนมองไปไกล สีหน้าพอใจเมื่อเห็นทัพของนรสิงห์ที่กำลังล่าถอยห่างจากกำแพงเมือง จึงพูดขึ้นกับติสสาที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ผีนาถ ผีฟ้าคุ้มครองศรีพิสยา ให้นรสิงห์มันได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้"
สีหสาบาดเจ็บเลือดซึมจากปาก นรสิงห์จับผมกระชากอย่างแรงจนสีหสาหน้าหงาย คชา วาเร ไพลิน อยู่ด้านหลัง ทุกคนสีหน้าไม่ดี เมื่อเห็นแววตาโกรธจัด นรสิงห์ถุยน้ำลายลงเฉียดหน้าสีหสา
"มึงยังมีหน้าแบกความพ่ายแพ้อัปยศกลับมาอีกหรือ ถุย ... แม่ทัพของข้า สภาพไม่ต่างจากหมาถูกรุมกระทืบ ไหนหัวไอ้ปรันมาที่จะเอามาวางให้ข้าเตะเล่น"
นรสิงห์คำรามด้วยความโกรธแล้วเหวี่ยงสีหสาออกห่าง ทุกคนแทบหยุดหายใจ สีหสาเจ็บใจที่เอาชนะศรีพิสยาไม่ได้
"ให้ข้ากลับไป"
"กลับไปให้ไอ้ปรันมามันหัวเราะเยาะ แม้แต่กำแพงเมืองเล็กๆ แม่ทัพของข้ายังไม่มีปัญญาเข้าไปได้"
"พวกมันมีเกราะกำบังเมือง ข้าพยายามฝ่าเข้าไปแล้ว"
นรสิงห์ตวัดสายตามองสุเลวินที่ยืนอยู่ด้านหลังทันที
"พลังรุนแรงที่ข้าบอก ศรีพิสยามีสิ่งคุ้มครอง"
"ไม่มีอะไรคุ้มครองศรีพิสยาจากกองทัพข้าได้ พวกเจ้ามันขี้ขลาด ไร้ฝีมือ"
นรสิงห์โกรธจัด คว้าอาวุธประจำกายมาตวัดคมแหลมผ่านหน้าสุเลวิน ไปจ่อที่คอสีหสา
สุเลวินรีบเอ่ยขึ้นทันที ก่อนที่คมอาวุธของนรสิงห์จะแทงร่างสีหสา
"พลังที่คุ้มครองศรีพิสยาไม่อาจชนะได้ด้วยอาวุธแหลมคม"
สีหสาหายใจไม่ทั่วท้อง นรสิงห์แววตาลุกเป็นไฟ สุเลวินเอ่ยต่อ
"ถ้าทำลายเกราะกำบังไม่ได้ ส่งนักรบไปมากเท่าไหร่ คนของเราก็จะตายกันหมด"
"คนที่ต้องตายคือพวกมัน"
นรสิงห์สีหน้าเดือดดาลเต็มที่
"กองทัพของข้าจะล้อมศรีพิสยา นานแค่ไหนข้าก็จะล้อมมันไว้ สุเลวิน เจ้าจงเร่งหาทางทำลายสิ่งที่คุ้มครองศรีพิสยาลงให้ได้ อย่าให้ข้าต้องถูกไอ้ปรันมามันเยาะหยันอีก"
นรสิงห์สั่งเสียงกร้าว แววตาลุกโชนด้วยความเจ็บใจ
ในท้องพระโรงศรีพิสยาปรันมายืนฟังติสสาเข้ามารายงาน พร้อมเมฆา มารุต
"ทหารของเราตรวจตรากำแพงเมืองทุกด้าน ไม่มีใครแปลกหน้าเล็ดรอดเข้ามาได้"
"ดี ข้าเองก็ให้นันทวดีพาตัวน้องหญิงจันทเทวีไปซ่อนตัวในตำหนักชั้นในแล้ว ทหารของเราทุกคนจะไม่ประมาท คนอย่างนรสิงห์ ไม่มีวันถอยทัพกลับไปโดยไม่หลั่งเลือด"
"ข้าและทหารทุกคนจะไม่ยอมให้มันย่ำยีลงบนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของเรา"
ติสสายิ้มอย่างคนที่มีกำลังใจแข็งแกร่ง ไม่หวาดกลัวสิ่งใด
สุเลวินยืนนิ่งใช้สมาธิ สีหสาเดินเข้ามาอย่างร้อนใจ
"เห็นหรือยัง ว่าเราจะฝ่ากำแพงศรีพิสยาเข้าไปได้ยังไง"
"หยุดปากพูดพล่ามของเจ้าก่อน สีหสา ข้ากำลังใช้ความคิด"
"ให้ดาบข้าเคาะกะโหลกเจ้า ช่วยเร่งความคิดหน่อยดีมั้ย"
"ลับดาบไว้รอตัดหัวเจ้าเอง เป็นเครื่องเซ่นตอนยกทัพคราวหน้าดีกว่า"
สีหสาจับดาบคู่จะชักออกมาด้วยความโมโห สุเลวินยิ่งพูดกวนอารมณ์
"หรือจะตัดหัวตัวเองซะตอนนี้เลยก็ได้ ล้างอายที่แพ้กลับมา"
สีหสาคำราม
"ข้าจะตัดหัวเจ้าก่อน"
"งั้นเจ้าก็ต้องโง่งมต่อไป หมดทางเอาชนะวิญญาณที่กำบังเมืองศรีพิสยา"
"เจ้าเห็นแล้วใช่มั้ยว่าจะเอาชนะมันได้ยังไง รีบบอกมา สุเลวิน"
สุเลวินยิ้ม
"ตอนนี้อาวุธที่ดีที่สุดคือ ปัญญาของข้า ไม่ใช่ดาบของเจ้า"
"ถ้าเก่งจริงก็อย่ามัวตีฝีปาก ถ้าให้องค์นรสิงห์รอนานกว่านี้ เราจะตายกันหมด"
น้ำเสียงสีหสาเต็มไปด้วยความเครียด จงใจพูดเน้นให้สุเลวินคิด
"ความกระหายคาวเลือดขององค์นรสิงห์ มันยิ่งกว่าไฟที่ล้างผลาญได้ทุกอย่าง นักบวชเด็กอย่างเจ้า ถ้าเอาชัยชนะมาไม่ได้ ก็เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองไว้ได้เลย"
สุเลวินสีหน้าตรึกตรองกับสิ่งที่สีหสาเน้น เพราะรู้จักความโหดของนรสิงห์ดีเหมือนกัน
ในกระโจม นรสิงห์มองสีหสากับสุเลวินที่ยืนตรงข้ามกัน ด้านหลังคือคชา วาเร ไพลิน
"วันรุ่ง ข้าจะไปสู้กับวิญญาณสองดวงที่กำบังศรีพิสยา"
"ดี ใช้เวทมนตร์ของเจ้าสั่งสอนมัน เปิดทางให้สีหสาเข้าไปให้ได้ อย่าให้พวกมันมีความสุขกันอีก"
นรสิงห์กราดสายตามองทุกคนเป็นคำสั่ง
เรือนติสสา ในบรรยากาศสงบ อบอุ่นยามอาทิตย์อ่อนแสง มรันมาดูกาหลงที่หัดดาราน้อยให้อาหารม้า ติสสาเดินเข้าหา
"กองทัพนรสิงห์ไม่มีวันทำอะไรศรีพิสยาได้"
มรันมายิ้มดีใจ
"พระเพ็งและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพวกเรา"
"แต่เจ้าปรันมายังไม่วางใจ พี่ชายกับเมฆา มารุตต้องคอยตรวจรอบๆ"
ทั้งคู่มองไปด้านหลังเห็นพินทุเดินเข้ามา
"ทหารคนใหม่ พี่ชายจะให้ดูแลที่นี่ ดูแลน้องน้อยกับลูก"
พินทุแนะนำตัวเอง
"ข้าชื่อ พินทุ ขอรับใช้เจ้านางมรันมาและเจ้าดาราน้อย"
มรันมายิ้มเป็นคำขอบใจ ก่อนเอ่ยกับติสสา
"พี่ชายไม่ต้องห่วงน้องน้อยกับลูกนะจ๊ะ ทำหน้าที่แม่ทัพของพี่ชายให้เต็มที่"
ดาราน้อยวิ่งจากกาหลงที่คอกม้าไปไล่จับไก่
"เจ้าดาราน้อย ระวัง ตรงนั้นมีหิน"
ไม่ทันขาดคำ ดาราน้อยสะดุดหินก้อนใหญ่จะล้มลงพื้น พินทุย่อตัวรับร่างดาราน้อยไว้ทัน ติสสา มรันมามองอย่างโล่งใจ กาหลงวิ่งมาใกล้ พอเห็นพินทุหน้าตาดีก็ส่งยิ้มให้ พินทุแค่ยิ้มตอบแล้วหันไปเล่นกับดาราน้อย ติสสาเอ่ยขึ้นด้วยความเชื่อมั่น
"พินทุไว้ใจได้ เป็นทหารรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ มีพินทุคอยอยู่ใกล้น้องน้อยกับลูก พี่ชายก็วางใจ"
บริเวณหน้ากระโจมนรสิงห์ เวลากลางคืน ทุกคนมอง สุเลวินดูขรึม ขลัง น่ากลัวสวดทำพิธีสวดบริกรรม เทเลือดลงราดเครื่องเซ่นไหว้ ทุกคนมองด้วยแววตาเชื่อมั่นว่า สุเลวินจะทำพิธีเพื่อให้ได้ชัยชนะ
เสียงสวดบูชาผีสางแว่ววนเวียนอยู่รอบตัวฟังดูน่าหวาดกลัว
สุเลวินลืมตาขึ้น สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะพิชิตอำนาจผีนาถ ผีฟ้าเหนือกำแพงศรีพิสยา
ภายในวิหารหลวง เช้าวันใหม่ ปรันมากำลังสวดมนต์อยู่อย่างสงบนิ่ง เมืองมาสสวดมนต์ด้วยเสียงหวานใสกังวานแผ่วเบา ติสสาเดินเร็วเข้ามารายงาน เมฆา มารุตเดินมาหยุดรอ
"ทัพนรสิงห์ยกมาที่กำแพงอีกแล้ว"
ปรันมาแววตากังวลขึ้นมาทันที
บริเวณกำแพงเมือง สีหสา สุเลวินยืนอยู่ด้านหน้า ด้านข้างคือ คชา วาเร ไพลิน กองทัพนักรบอาวุธพร้อมมือ ยืนเต็มเรียงรายอยู่ด้านหลัง ทุกคนหน้าตาถมึงทึง สุเลวินแตะประคำในมือ พึมพำมนตร์เพ่งมองเห็นด้วยจิต เห็นร่างของผีนาถ ผีฟ้าวนเวียนอยู่เหนือกำแพง
"อำนาจภูตผี 2 ตนเป็นกำบังกั้นเมือง"
สุเลวินยกมือขวา ลำแสงสีส้มเปล่งพลังออกจากมือ สีหสากับทุกคนมองเห็นก็ยิ้ม คิดว่าพลังมนตร์ของสุเลวินกำลังจะทำลายเกราะกำบังนั้นลงได้ แต่พลังสีส้มไม่อาจจะทำลายเกราะกำบังสีฟ้าของผีนาถ ผีฟ้าได้ ร่างสุเลวินชนเข้ากับเกราะกำบังสีฟ้า ถึงกับเซ
เกราะกำบังกลายเป็นลำแสงสีฟ้าที่เข้มขึ้น กลืนกินพลังสีส้มจนหมด สุเลวินรู้สึกได้ แต่ไม่ทันถอยออกมา ลำแสงสีฟ้ายกร่างสุเลวินลอยขึ้นเหนือพื้น สีหสากับทุกคนมองตะลึง
"สุเลวิน"
ลำแสงสีฟ้าดันร่างสุเลวินขึ้นกลางอากาศแล้วผลักอย่างแรง ลอยกระเด็นมาทางสีหสากับกองทัพ
สีหสาหลบไม่ทัน ร่างสุเลวินกระแทกเข้ามาอย่างเร็วจนล้มกันไปทั้งคู่
คชารีบเข้ามาดึงร่างที่สำลักเลือดขึ้น สุเลวินกำประคำแน่น สีหน้าไม่ยอมแพ้
ภายในวิหารหลวง ปรันมา ติสสายืนสีหน้ากังวล เมืองมาสมองเห็นและรู้สึกได้ถึงมนต์ดำของสุเลวิน
"มันกำลังใช้มนต์ทำลายอำนาจผีนาถ ผีฟ้า"
ปรันมาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นเชื่อมั่น
"จะไม่มีอำนาจชั่วช้าที่ไหนทำลายพลังบริสุทธิ์ของความดีลงได้"
สุเลวินท่องมนต์ เดินตรงเข้าไปอีกอย่างไม่ยอมแพ้ สีหสาถือดาบเตรียมพร้อม เดินลุยเข้าไปพร้อมกัน สีหสาเงื้อดาบ หวังจะฟันลงที่เกราะ สุเลวินยกฝ่ามือจะส่งพลังออกไป พลังสีฟ้าเข้มจัด ผลักทั้งสองเด็นกระดอนออกมาคนละทาง วาเร คชา ไพลินดาหน้าลุยเข้าไป ยกดาบขึ้นฟัน พลังสีฟ้าผลักร่างทั้งสามลอยละลิ่วตกลง สุเลวินสำลักเลือดออกมากองใหญ่ สีหสาหิ้วปีกสุเลวินขึ้น คชารีบเตือน
"พาสุเลวินกลับไปรักษาก่อนเถอะ แม่ทัพ"
สีหสามองอย่างขัดใจ แต่สุเลวินสำลักเลือดออกมาอีกก้อน สีหสาตะโกนสั่ง ตัดสินใจ
"ถอยทัพ"
สีหสาลากร่างอ่อนแรงของสุเลวินออกไป ไพลิน คชา วาเร และนักรบตามออกไปอย่างเร็ว
ภายในวิหารหลวง ปรันมาก้าวออกมา รู้ว่ากองทัพนรสิงห์พยายามจะฝ่ากำบังเมือง
"พวกมันรู้แล้วว่า ต้องทำลายอำนาจของผีนาถ ผีฟ้า"
"แต่มันก็ยังทำไม่ได้"
"นรสิงห์มันจะไม่ไปจากศรีพิสยา มันต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะเรา"
ปรันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจเมื่อศรีพิสยากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้เหี้ยมโหด
ในกระโจม สีหสาปล่อยร่างสุเลวินลงแทบเท้านรสิงห์
"ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายอยู่หน้ากำแพง"
นรสิงห์ตวาด ทุกคนเงียบกริบ
"แค่ผีสองตัวยังทำลายไม่ได้ หรือต้องให้ข้าตัดหัวพวกเจ้าทุกคนสังเวยให้มัน"
"มันต้องมีจุดอ่อน ถ้ามีเวลา เราต้องหาวิธีทำลายมันจนได้" สีหสาบอก
"ข้าจะให้เวลานานเท่าที่กองทัพของข้าจะล้อมศรีพิสยา ปิดทางเข้าออกทุกทางให้พวกมันขาดเสบียง อดอยาก จนต้องฉีกเนื้อ กินกันเอง"
"ศรีพิสยาจะไม่อดตาย"
นรสิงห์กับทุกคนมองสุเลวินที่เอ่ยท้วงขึ้น
"ศรีพิสยาร่ำรวยเพราะค้าขายทางสำเภากับดินแดนอื่น มันยังมีทะเลเป็นทางเข้าออก"
"เราก็บุกมันทางทะเล" สีหสาบอก
"ปรันมามันต้องป้องกันไว้แล้วด้วยกองเรือ พวกมันที่ชำนาญดวงดาว เส้นทางกระแสน้ำจะจมกองเรือของที่เราต่อขึ้นใหม่"
นรสิงห์ไตร่ตรองแล้วพูดขึ้น
"ถ้าทะเลคือความได้เปรียบของศรีพิสยา ความกว้างของทะเลก็ต้องเป็นช่องโหว่ของมันได้เหมือนกัน"
"ต้องมีสักที่ที่กองเรือของพวกมันครอบคลุมได้ไม่หมด"
"รีบหาให้เจอ แล้วลอบเข้าไปเอาความลับของพวกมันมา หาไม่ เลือดที่ใช้ล้างตีนข้า จะต้องเป็นของพวกเจ้าทุกคน"
นรสิงห์สั่ง สีหสาแววตามั่นใจว่าจะต้องหาทางเข้าไปจนได้
สวนตำหนักเจ้านาง ปันแสงเดินร้อนใจเข้าหาเจ้านางอินยา
"นรสิงห์มันจะล้อมเราไว้อีกนานแค่ไหน ทำไมปรันมากับติสสามันไม่ออกไปรบ หรือมันรู้ ว่ายังไงก็สู้นรสิงห์ไม่ได้เลยกำลังหาทางหนี"
อินยาตอบด้วยเสียงกระวนกระวาย
"มิน่าทาสไพร่มารายงานว่าจันทเทวีหายไป"
"มันคงให้น้องสาวหนีไปก่อน พอกวาดสมบัติได้หมด มันก็จะพากันหนีเหมือนกัน แล้วถึงปล่อยให้นรสิงห์เข้ามาฆ่าเราทุกคน"
"ไม่ ข้าจะไม่ยอมตาย"
"เราต้องลงมืออะไรแล้ว เจ้านาง พวกไอ้ปรันมา ติสสามันจะหนีเอาตัวรอดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"
"สืบสาวให้แน่ชัด ถ้าพวกมันวางแผนโง่ๆอย่างนั้นจริง เราจะหักหลังมันอย่างเลือดเย็นและเจ็บแสบที่สุด"
อินยากับปันแสงมองกันด้วยแววตาเดือดดาล ความแค้นสุมแน่นในอก
ริมทะเลกว้าง เวลากลางคืน สีหสา วาเร ไพลินกำลังว่ายน้ำลุยมา
" จงไปทางที่เงียบที่สุด เปลี่ยวที่สุด มันเหมาะที่จะลอบเข้าเมือง" เสียงสุเลวินดังก้องอยู่ในใจคนทั้งสามก่อนขึ้นฝั่งและเร้นกายหายไปในความมืดของราตรี
ในกระโจม นรสิงห์มองสุเลวินที่กำลังนั่งภาวนา คชาเดินเร็วเข้ามารายงาน
"คนของเรากลับมาบอกว่า แม่ทัพสีหสาเข้าศรีพิสยาได้แล้ว"
นรสิงห์คลี่ยิ้มสมใจทันที
เช้าวันใหม่ ในตลาดศรีพิสยา ผู้คนค้าขายคึกคัก อุตลากำลังถือสร้อยร้อยลูกปัดสีสวยในมือ เด็กๆ3-4 คนวิ่งเล่นไล่จับกันมาชนอุตลาเข้าอย่างแรงจนเซ แต่มีอ้อมแขนเข้ามาพยุงไว้ เธอหันไปมอง เห็นวาเรที่ปลอมเป็นชายชาวบ้าน วาเรยิ้มเสน่ห์ให้ เธอที่ทำกระมิดกระเมี้ยน ใส่จริตเขินอาย ทอดสายตาหยาดเยิ้ม
ทางด้านหลัง สีหสากับไพลินปลอมตัวซุ่มมองวาเรทำตามแผนแรก
หน้าร้านน้ำหอมในตลาด วาเรซื้อน้ำหอมให้อุตลาที่รับมาด้วยท่าทางเขินอาย
"เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าชอบน้ำหอม"
วาเรทอดมองสายตาเจ้าชู้
"หญิงงามมักมีกลิ่นหายหอมกรุ่น"
อุตลายิ้มพอใจถือขวดน้ำหอมเดินออกจากร้าน วาเรเดินตามประกบติดทันที
"ข้าจะพบเจ้าได้อีกเมื่อไหร่ คนสวย ออกมาพบกันบ่อยๆได้มั้ย"
"คงไม่ได้หรอก ข้าเป็นถึงคนสนิทของเจ้านางอินยา วันๆมีเรื่องให้ทำเยอะแยะ เหนื่อยสายตัวแทบขาด จิกหัวอีอุตลาใช้อยู่คนเดียว"
วาเรลอบมองสมใจที่เห็นอุตลาเริ่มนินทาเจ้านายอย่างคนปากไม่มีหูรูด
ในท้องพระโรง ปรันมายืนคุยกับติสสา เมฆา มารุตอารักขาอยู่
"ทัพนรสิงห์มาล้อมเราไว้อย่างนี้ มันจงใจให้เรายอมแพ้"
"นรสิงห์มันจะต้องผิดหวังกลับไป จับตาดูไว้ แต่อย่าให้ทำชาวเมืองแตกตื่นกับเรื่องทัพนรสิงห์" ปรัมมาบอก
ติสสาก้มหัวรับคำ เจ้านางอินยาเดินเข้ามา
"กำลังวางแผนการรบสำคัญกันอยู่สินะ"
"เจ้านางมีอะไรกับข้า" ปรันมาถาม
"เจ้าคงลืม หรือแกล้งลืม ข้าก็เป็นราชวงศ์คนนึง มีสิทธิ์รับรู้เรื่องของบ้านเมืองเท่าๆกับเจ้า"
"ถ้าเจ้านางอ้างสิทธิ์นั้น ข้าว่าปันแสงก็ควรจะออกมาปกป้องบ้านเมืองตัวเองให้สมศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย" ปรัมมาย้อน
"ถึงกับจะให้เชื้อพระวงศ์มาคอยเฝ้ายามเหมือนแม่ทัพเชียวหรือ"
เจ้านางอินยาส่งสายตาเยาะไปที่ติสสาที่ไม่สะทกสะท้านกับสายตาเยาะหยันนั้น
"ถึงเป็นยามที่เอาชีวิตแลกเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ข้าก็ดีใจ มากกว่าจะเกิดมาสูง แต่ชีวิตต่ำค่า ไม่มีความหมาย ไม่รู้จักตอบแทนแผ่นดินเกิด"
อินยายิ้ม
"งั้นเจ้าก็จงภูมิใจเถอะ ติสสา ที่ร่างของเจ้าคงจะได้เสียสละ เพื่อบัลลังก์ศรีพิสยาในวันใดวันนึงต่อจากนี้"
เจ้านางอินยาโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้กับสายตาของปรันมาและติสสา
ติสสาสีหน้าครุ่นคิดอยู่หน้าเรือนมรันมาเดินเข้ามามอง ติสสาหันไปมองเมียรัก
"จิตใจเจ้านางอินยาไม่เคยลดละความแค้น"
ห่างออกมา พินทุที่กำลังดูข้ารับใช้ทำความสะอาดม้า ไพลินปลอมเป็นชาวบ้านแบกกระชุฟืนเดินผ่านไปช้าๆ คอยฟังสิ่งที่ทั้งคู่คุยกัน
"ไม่รู้ผิดถูก จ้องแต่จะทำลายทุกคนที่เกลียด"
"ยังไงเจ้าปรันมาก็มีพี่ชายอยู่ใกล้ๆ"
ติสสาหันมามองมรันมาด้วยความห่วงใย
"น้องน้อยต้องระวังตัว อยู่ห่างเจ้านางอินยาให้มากที่สุด"
"ถ้าอย่างนั้น น้องน้อยก็คงต้องอยู่แต่ในอกพี่ชาย"
มรันมาถามด้วยแววตาวิบวับ ติสสามองแล้วชื่นใจ
"หัวใจพี่ชายกับน้องน้อยไม่เคยห่างจากกัน"
มรันมายิ้มซบลงในอกอุ่น ติสสากอดเมียรักไว้แน่น ไพลินชายตามองแล้วเดินเลยห่างไป แววตาพอใจที่รู้เรื่องความบาดหมางกันในศรีพิสยา
เนินข้างตลาดริมน้ำในบรรยากาศยามเย็นที่ร้านค้าพากันปิดกันไปเกือบหมด ชาวบ้านเหลือไม่กี่คน
สีหสา วาเร ไพลินกำลังคุยกันถึงเรื่องที่สืบมาได้
สีหสาสำเนียงเย้ยหยัน
"แตกแยกร้าวฉานไม่พ้นแก่งแย่งอำนาจภายใน"
"ฟังความจากที่อุตลาพูด เจ้านางเป็นคนโหดร้ายที่สุด" วาเรบอก
"คอยหาโอกาสทำร้ายครอบครัวติสสา"ไพลินสนับสนุนคำพูดของวาเร
สีหสามองทั้งคู่ด้วยสายตาพอใจ
"ดี ข้าชอบ ศัตรูที่หัวใจหล่อเลี้ยงด้วยความแค้นอย่างเจ้านางอินยานี่แหละ เป็นคนที่เราต้องเข้าใกล้ให้ได้ วาเร...ลงมือตามแผน"
มุมหนึ่งในบริเวณกำแพงอิฐข้างวังศรีพิสยา เวลากลางคืน วาเรกำลังซุกไซร้อุตลา ฝ่ายสีหสา ไพลินหลบหลังกำแพงอีกด้าน รอให้วาเรใกล้ชิดเพื่อล้วงความลับจากอุตลา
เช้าวันใหม่ ภานนอกวิหารหลวง เจ้านางอินยากับอุตลาเดินมา มรันมากำลังจูงมือดาราน้อยเดินมา กับกาหลง พินทุตามหลังอารักขา ต่างคนต่างเดินมาเจอกัน มรันมาสีหน้าเรียบตึง สั่งขึ้นก่อน
"กาหลง พาดาราน้อยออกไป"
มรันมารีบส่งลูกให้กาหลง
"อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มาร ถึงได้มาวิหารหลวงสวดมนต์ขอพร"
กาหลงดึงดาราน้อยหันหลังจะออกไป แต่เจออุตลายืนขวาง ก่อนพุ่งเข้าจะคว้าตัวเด็ก แต่พินทุยกดาบขึ้นขวางทันที คมดาบวาววับจ่อตรงหน้า อุตลาถอยกรูด
อ่านต่อหน้าที่ 4
สาปพระเพ็ง ตอนที่ 9 (ต่อ)
อินยายิ้มใจเย็นกับมรันมา
"แม่ทัพติสสาคงกลัวว่าเมียกับลูกจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ถึงต้องมีทหารคอยตามรับใช้"
"เพราะพี่ชายรู้ดีว่า ใต้ใบหน้าสวยงาม มันคือรอยแสยะยิ้มของปีศาจ"
"น่าเวทนา ความใฝ่สูงอยากเป็นเจ้านาง คงทำให้เจ้ากลัวว่าจะร่วงตกลงมาเข้าสักวัน"
"เหมือนที่ท่านกำลังเป็นน่ะหรือ เจ้านางอินยา"
อินยาตาลุกวาว
"มรันมา"
" ข้ารู้ว่าท่านเข้าใจดี เวลาที่ไม่มีคนสนใจ มันช่าง...น่าเวทนาแค่ไหน"
มรันมาหันหลังคว้ามือดาราน้อย หันหลังกลับออกไปทันที กาหลงเดินเร็วตามไป
พินทุยังคอยระวังหลัง รอจนห่างออกมาจากอุตลากับเจ้านางอินยา ก็รีบตามมรันมาไป
อินยามองตาหน้าตาโกรธจัด อุตลาขยับมาใกล้ อินยาตบฉาดเข้าที่หน้าอุตลาอย่างแรงหลายทีด้วยความโกรธ
"แกมันโง่เง่า อุตลา จับนังเด็กดาราน้อยแค่นี้ ยังทำไม่ได้ น่าจะให้ไอ้ทหารมรันมามันปาดคอทิ้งซะตรงนี้"
อินยาตวัดสายตาด้วยความโมโห เดินออกไป อุตลากุมแก้มมองตามอย่างเจ็บใจ
มรันมาเดินเร็วเข้ามาที่เรือนกับดาราน้อย
"กาหลง พาดาราน้อยไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน"
กาหลงรีบพาดาราน้อยห่างออกไป มรันมายืนสีหน้าวิตก พินทุเดินเข้ามา
"ขอบใจมาก พินทุ"
"แม่ทัพติสสาสั่งไว้ ทุกคนในตำหนักเจ้านางอินยา ข้าต้องระวังที่สุด"
พินทุมองมรันมาด้วยแววตาจงรักภักดี
ในตลาด อุตลาสีหน้าหงุดหงิด เจ็บใจที่ถูกเจ้านางด่า วาเรห่มผ้าคลุมไหล่ผืนสวยที่ซื้อเป็นของหลอกล่อลงที่ไหล่อุตลาอย่างเอาใจ
"ใครกันทำให้คนสวยของข้าโกรธขนาดนี้ นี่ท่าจะเป็นเจ้านางอินยา"
"จะมีใครล่ะ พอสู้นังมรันมาไม่ได้ ก็พาลมาด่า มาตบตีข้า ไม่มีข้าหลวงคนไหนทนทานความร้ายของเจ้านางได้เท่าข้าอีกแล้ว"
วาเรมองแล้วสบโอกาส เลยทำเป็นพูดเสนอขึ้น
"น่าสงสารเจ้าจริงๆ อุตลา ข้ามีน้องสาวอยู่คนนึง ให้มันมาคอยรองมือรองเท้าเจ้านางอินยาแทนเจ้าบ้างดีมั้ย"
อุตลาหันขวับมองวาเรด้วยความสนใจขึ้นมาทันที
บริเวณสวนในตำหนักเจ้านาง อินยาเดินออกมา มองสีหสาในชุดชาวบ้านที่ก้มหน้าอยู่ตรงหน้า
"เอาผ้าขี้ริ้วสกปรกกองนี้มาวางเกะกะข้าทำไม"
อุตลารีบรายงานหวังจะเอาหน้า
"ข้าหลวงใหม่สำหรับเจ้านาง เฆี่ยนได้ตามใจชอบ"
อุตลาหันไปทางสีหสา
"บอกเจ้านางสิ แกชื่ออะไร"
สีหสาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้านางอินยา
"ข้าชื่อ นิล"
อินยาแค่ปรายตามอง แล้วสั่งกับอุตลา
"สั่งสอนมันด้วย ว่าข้าไม่ชอบอะไร"
อินยาเดินเฉียดหน้าสีหสาที่ซ่อนแววตากระด้างเอาไว้ พอร่างอินยาพ้นไป อุตลาเสียงแปร๋น วางมาดขึ้นทันที
"จำไว้นะ แกเป็นหนี้ชีวิตข้า จะอยู่ที่นี่ให้สุขสบาย ต้องฟังคำสั่งข้า เจ้านางอุตลา"
สีหสามองอุตลาด้วยรอยยิ้มที่ฉาบความเหี้ยมไว้ในหน้า
ติสสาเดินเร็วมาหามรันมาที่กำลังดูข้ารับใช้ทำความสะอาดเรือน
"น้องน้อย เจ้านางอินยาทำอะไรน้องน้อยกับลูก"
มรันมาหันไปทางพินทุที่ยืนอยู่ห่างๆ
"ข้าต้องรายงานท่านแม่ทัพ"
ติสสาเข้ามาใกล้
"น้องน้อย เป็นอะไรมากหรือเปล่า"
มรันมายิ้มอ่อนโยนให้ติสสาคลายกังวล
"ไม่เลยจ้ะ เจ้านางอินยาไม่ได้ทำอะไรน้องน้อยกับลูก แค่พูดให้เจ็บใจเหมือนทุกครั้ง"
ติสสาโมโห มรันมาลูบแขนเอาใจสามี
"น้องน้อยทนได้พี่ชายไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พินทุก็อยู่ทั้งคน พี่ชายกลับไปทำงานเถอะจ้ะ"
ติสสามองเมียรักที่แววตาเข้มแข็ง ปกป้องตัวเองได้ก็ยิ้มเบาใจ
บริเวณสระบัว เจ้านางอินยาสีหน้ายังเจ็บใจเรื่องมรันมา ปันแสงเดินตรงเข้ามาหา
"เราต้องรีบหาทางไปเจรจากับนรสิงห์"
"เจ้าจะมีอะไรไปแลก ให้นรสิงห์ส่งเจ้าขึ้นบัลลังก์ ในเมื่อนรสิงห์เองก็อยากจะก้าวขึ้นไปบนนั้นเหมือนกัน"
"หัวของปรันมากับทุกคนที่ซื่อสัตย์กับมันไงล่ะ ติสสา มรันมา จันทเทวี"
"เรื่องแค่นี้ ถ้านรสิงห์เข้ามาได้เมื่อไหร่ มันจะตัดหัวทุกคนด้วยมือของมันเอง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วย"
"แต่มันก็ยังบุกเข้ามาไม่ได้"
"นั่นน่ะสิ กองทัพเกรียงไกรขนาดนั้น ยังตีเมืองไม่แตก"
ปันแสงมองแม่ที่ท้วงขึ้นด้วยสายตาคิดตาม
"ปรันมาน่าจะใช้เวทมนตร์ อาคมปกป้องศรีพิสยา ถ้าเรารู้ความลับของพวกมัน นรสิงห์ก็ต้องช่วยเรา"
สายตาอินยาคิดหาทาง สีหสาในชุดข้าหลวงลอบฟังอยู่
ในวิหารหลวง เวลากลางคืนต่อเนื่องมา เจ้านางอินยาก้าวเข้ามาด้านใน มองไปเห็นเมืองมาสกำลังนั่งสวดมนต์ ก็โปรยยิ้มเข้าไปหา
"คงเป็นเพราะเจ้า ศัตรูถึงยังไม่สามารถทำอะไรเราได้ เจ้าทำอะไรที่วิเศษเช่นนั้นหรือ"
"ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากหน้าที่นักบวชของข้า"
เมืองมาสตอบเรียบๆ อินยายังคงใบหน้ายิ้มหวานใส
"แล้วข้าล่ะ ข้าควรจะทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง"
เมืองมาสมองเจ้านางอินยาด้วยสายตาสงบเช่นเดิม
"ขอพรพระเพ็ง หรือว่าต้องสวดมนต์ด้วยคาถาศักดิ์สิทธิ์ อะไรที่ข้าจะช่วยศรีพิสยาได้เหมือนปรันมา"
"ทำทุกอย่างที่เจ้านางอยากทำ ด้วยจิตบริสุทธิ์ นั่นก็เพียงพอแล้ว"
เมืองมาสเดินหายเข้าไปด้านใน ทิ้งให้เจ้านางอินยามองตามด้วยความเคืองแค้นที่ยังล้วงความลับไม่ได้
ปันแสงเดินเข้ามาในห้องนอน มีร่างผู้หญิงกำลังยืนหันหลังอยู่
"เจ้าเป็นใคร"
สีหสาหันมา พอเห็นปันแสงก็แกล้งทำตกใจ สะดุดถอยล้มลงบนเตียง ปันแสงพรวดเข้ามากระชากแขนไว้
"ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้า"
สีหสาแสร้งทำเสียงประหม่า ตื่นกลัวปันแสง
"ข้าเป็นข้าหลวงใหม่ ไม่รู้ว่าที่นี่ห้องใคร"
สีหสาทำเป็นขืนตัวจะออกไป แต่ก็ทิ้งจริตมารยาเอี้ยวตัวไปชนไหล่ ปันแสงเห็นความคมเข้มของสีหสาแล้วกระชากตัวมากอดไว้
"เจ้ามาอยู่ใหม่ รู้จักข้าดีหรือยัง"
สีหสาทำเป็นตัวสั่นกลัว
"ท่าน ท่าน อย่าทำอะไรข้าเลยนะ"
ปันแสงยิ่งเหมือนถูกกระตุ้น แววตาหื่นกระหาย ผลักร่างรัดรึงของสีหสาลงบนเตียง แล้วโน้มตัวตามลงไปทันที
สีหสายิ้มเจ้าเล่ห์ สมใจที่ยอมพลีร่างเพื่อล้วงความลับของปันแสง
บรรยากาศคึกคักยามเช้าของตลาดศรีพิสยา ชาวบ้านขวักไขว่ เลือกซื้อหาของกันด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีสีหน้าทุกข์ร้อน ติสสา มรันมา เดินมองดูบรรยากาศตามปกติภายในเมือง ดาราน้อยขี่คอพินทุ ชี้ชวนให้ไปทางโน้นที ทางนี้ที มีกาหลงคอยประคอง เมฆา มารุต มองระวังไปรอบๆ
ประตูหน้าห้องนอนปันแสงถูกเปิดออก สีหสาก้าวออกมา อุตลาถือถาดน้ำมันหอมจะไปห้องเจ้านางอินยา เห็นสีหสาก็ตะลึง
"แก แกเข้าไปห้องเจ้าปันแสง เข้าไปทำไม ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำอะไร"
สีหสายิ้มเยาะ
"จะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนดี เอาตั้งแต่ข้ากอดจูบเจ้าปันแสง หรือเริ่มถอดผ้านุ่ง ผ้าแถบดีน๊อ"
อุตลาพุ่งเข้าไป แต่เจอสีหสาจับข้อมือบิด อุตลาร้องลั่น
"ข้าทำได้มากกว่าที่เจ้าคิด จะลองมั้ย"
สีหสาบิดแรง อุตลาทั้งเจ็บทั้งแค้น ฮึดสู้ เอาถาดจะฟาดใส่สีหสา แต่สีหสาบิดแรงอีกที ถาดน้ำมันหอมร่วงหลุดจากมือ
"แก"
อุตลาเงื้อมือจะตบ แต่ยังไม่ทันถึงตัวสีหสา ปันแสงพรวดออกมาจากห้อง จิกหัวอุตลาไว้ แล้วตบไม่ยั้งพร้อมกับกรีดร้อง สีหสายิ้มสะใจที่ปันแสงเหวี่ยงอุตลาจนกระเด็น
"จำใส่กะโหลกไว้ อย่ามาแตะนางบำเรอของข้าอีก"
"เจ้าปันแสงลืมอุตลาได้ยังไง"
อุตลาถลาเข้าไปกอดขาปันแสงหวังขอความเห็นใจ แต่เจอปันแสงกระชากผมแล้วถีบกระเด็น
กลิ้งไปกองหน้าเท้าเจ้านางอินยาที่ออกมายืนมอง
"ถ้ายังไม่อยากตาย รีบไปให้พ้นหน้าข้า"
อุตลาทั้งเจ็บทั้งกลัว รีบคลานหนีออกไป
อินยาแค่มองรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนอนระหว่างข้าหลวงคนใหม่กับลูกชาย
"ข้าให้มันมารับใช้"
อินยามองไปที่สีหสาที่ยืนนิ่งเฉย ท่าทางนิ่งแต่แววตาดุ
"ไปแต่งตัวใหม่ แล้วออกไปกับข้า"
อินยามองสั่งสีหสา
ในเขตพระราชฐาน ดาราน้อยกำลังวิ่งเล่นอยู่ที่บึงบัว กาหลงคอยดูอยู่ใกล้ๆ เจ้านางอินยากำลังจะเดินไปด้านใน ผ่านเข้ามาเห็นเข้าพอดี
สีหสาเดินก้มหน้าน้อยๆ ลอบสังเกตไปรอบๆอย่างระวังตัว
"ข้าไม่อยากให้ลูกติสสามันมาเกะกะสายตาข้า"
สีหสามองไปที่ดาราน้อย พอรู้ว่าเป็นลูกติสสาก็ยิ้ม อินยายิ้มสั่งสีหสา
"ข้าอยากให้มันหมดลมหายใจเดี๋ยวนี้ เจ้าทำได้มั้ย"
สีหสาเดินตรงเข้าไปหาดาราน้อย กาหลงแม้จะไม่คุ้นหน้าสีหสา แต่พอมองไปเห็นเจ้านางอินยาที่อยู่ด้านหลังก็ตกใจ กาหลงคว้าตัวเจ้าดาราน้อยช้ากว่าสีหสา
"อย่ายุ่งกับเจ้าดาราน้อย"
ไม่ทันพูดจบ สีหสาต่อยกาหลงเข้าเต็มหน้าจนเซ จากนั้นก็ต่อยซ้ำไปอีกสองหมัดจนสลบเหมือด อินยายิ้มชอบใจกับความโหดของข้าหลวงคนใหม่ สีหสาพุ่งเข้าไปคว้าแขนดาราน้อย ลากแขนไปทางบึงบัว แล้วร่างดาราน้อยขึ้นยืนบนขอบสระ
"ข้างล่างนั่นมีปลาสีสวยๆ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากลงไปดู"
สีหสากำลังจะผลักเด็กน้อยลงไปในสระบัว พินทุก็เอาด้ามดาบกระแทกลงที่แขนซ้ายแล้วเอาดาบจ่ออกของสีหสา แล้วรีบคว้าร่างดาราน้อยมาไว้ด้านหลัง
"ถอยไป...อย่าเข้ามาใกล้เจ้าดาราน้อยอีก"
สีหสาไม่ตอบและไม่ถอย อินยามองจ้องว่าสีหสาจะทำอะไร
สีหสายื่นมือไปดึงดาบพินทุ แววตานิ่งกระด้าง ตาจ้องแต่พินทุ แม้จะต้องคมดาบจนเลือดไหล แต่สีหสาสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่รู้สึกอะไร
"ข้ากำลังเล่นกับเจ้าดาราน้อย"
"โกหก"
อินยาเดินตรงเข้ามาทันที
"มันเป็นคนของข้า เจ้าเอาตัวนังเด็กนั่นออกไปเดี๋ยวนี้"
พินทุเกรงเจ้านางอินยาที่เดินตรงเข้ามา สีหสาปล่อยมือจากดาบ พินทุเก็บดาบรีบเข้าไปกุมมือเจ้าดาราน้อยไว้แน่น
"กลับเรือนเถอะ เจ้าดาราน้อย"
พินทุรีบดึงเจ้าดาราน้อยเลี่ยงออกไปอีกทาง อินยามองสีหสา
"ข้าจะให้รางวัลความกล้าของเจ้า"
ในห้องนอน เจ้านางอินยาโยนกำไลข้อมือสีสวยลงตรงหน้าสีหสาที่คุกเข่า มือข้างซ้ายพันแผลไว้ด้วยผ้า
"ต่อไปนี้ มารับใช้ข้าแทนนังอุตลา"
สีหสาเก็บกำไลขึ้นมาถือไว้ แล้วถอยออกไป
บริเวณสวนหน้าตำหนักเจ้านาง สีหสาเดินออกมา อุตลาพรวดเข้าไปคว้าคอไว้
"มานี่"
สีหสาสะบัดหลุดอย่างง่ายดาย อุตลาไม่ยอม พยายามจะกระชากกำไลจากมือสีหสา
"กำไลอันนี้มันต้องเป็นของข้า นังหน้าด้าน"
สีหสาพุ่งเข้าใช้มือขวาขย้ำคออุตลา
"พูดใหม่สิ"
"แก...แก"
สีหสายิ้มโหดบีบแรงจนอุตลาตาเหลือกสำลัก ก่อนปล่อยมือ อุตลาร่วงลงตัวงอ
"ถ้ายังไม่อยากให้ข้าหักคอ ก็อย่ามาให้ข้าเห็นเงาหัวอีก... ไป้"
สีหสาตวาดแรง ยิ้มเหี้ยมสะใจ อุตลาต้องถอย
บริเวณเรือนติสสา มรันมาลุกขึ้นมองพินทุที่เพิ่งเล่าเรื่องจบ กาหลงกำลังเอาลูกประคบสมุนไพรคลึงที่แก้มเขียวช้ำจากการถูกชก มรันมามองไปที่ดาราน้อยที่กำลังช่วยประคบแผลให้กาหลง
"ดาราน้อยบริสุทธ์เกินกว่าที่เจ้านางอินยาจะคอยจงเกลียดจงชัง เอาชีวิต"
"ต่อไปข้าจะอยู่ใกล้ท่านกับเจ้าดาราน้อยไม่ให้คลาดสายตาอีก" พินทุบอก
"ยังไงข้าต้องทำให้เจ้านางอินยารู้ ข้ากับดาราน้อยไม่ใช่ทาสแห่งความพยาบาท"
มรันมาพูดแล้วเดินออกไป พินทุรีบตามไปทันที
บริเวณวิหารหลวง เจ้านางอินยาเดินมา สีหสาพันมือซ้ายถือถาดดอกไม้ตามหลัง อินยากำลังจะก้าวเข้าวิหารหลวง แต่ทหารวังเอาดาบกั้น
"พวกเจ้าอยากคอขาดหรือไง ข้าจะเข้าไปสวดมนต์"
"เป็นคำสั่งของข้า"
เสียงมรันมาดังขึ้น อินยา สีหสาหันไปมอง
พินทุอารักขาอยู่ด้านหลัง มรันมาเดินมาตรงหน้าเจ้านางอินยา
"น้องนางผู้มีศักดิ์สืบต่อบัลลังก์จะเข้าไปในวิหารหลวงก่อน เจ้านางอย่างท่านก็ต้องรอ จนกว่าข้าจะออกมา"
อินยาตาวาววับ มองจ้องอย่างท้าทาย
"คิดว่าเป็นน้องนางแล้วจะชูคอเหนือข้าได้"
"ข้าไม่เคยคิดข่มเหงใคร ถ้าไม่มีคนทำร้ายลูกข้าก่อน เจ้านางเองก็เป็นแม่... ถ้ามีใครมาแตะลูก เจ้านางจะรู้สึกยังไง"
มรันมาจ้องประสานตากับอินยา
"หรือว่าไม่รู้สึก เพราะหัวใจของเจ้านางมันไม่ใช่เลือดเนื้อของคน"
อินยายกมือขึ้นจะตบ แต่มรันมายกมือขึ้นป้อง ตวัดปัดมืออินยาออกอย่างแรง สีหสาพุ่งเข้ามาทางมรันมาทันที
"แกกล้ากับเจ้านาง"
มรันมาที่ระวังอยู่แล้ว คว้าถาดดอกไม้ในมือสีหสา ปาใส่หน้าสีหสาทั้งถาดอย่างแรง สีหสาถึงกับผงะ พินทุกำดาบในมือเตรียมพร้อมจะฟันทันที ถ้าสีหสาขยับมาใกล้มรันมา อินยาโกรธจัด
มรันมาจ้องกลับด้วยความโกรธมากพอกัน
"เจ้านางทำลายชีวิตแม่ข้า เกลียดชังข้า ความแค้นที่เจ้านางอาฆาตข้ากับแม่ มันก็ควรจะอยู่ที่ตัวข้า ดาราน้อยไม่เกี่ยว"
"สายเลือดของผู้หญิงที่กล้าแย่งของๆข้าทุกคน ไม่ว่าใคร มันต้องชดใช้ "
"ถ้าเจ้านางไม่คิดจะละความอาฆาตแค้น ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกของข้าให้พ้นคนจิตใจต่ำช้า อำมหิตเหมือนกัน...ทหาร"
เสียงเรียกของมรันมา ทำให้ทหารวังเข้ามาล้อมอินยา สีหสาไว้
สีหสาใบหน้าดุดัน อยากจะกระโจนเข้าฟันทหารทั้งหมด แต่ต้องสะกดอารมณ์ไว้เต็มที่
อินยายิ้มเลือดเย็น
"จงหวงแหน รักษาลมหายใจของลูกเจ้า ให้อยู่กับร่างเล็กๆนั่นไว้ให้นานแล้วกัน มรันมา เพราะความสุขที่สุดของข้า คือวันที่จะได้เห็นร่างเล็กๆสิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของเจ้า อีกไม่นาน ข้าจะต้องได้เห็น ได้ลิ้มรสความสุขที่สุดตอนที่ดาราน้อยมันตาย"
อินยาเอ่ยเน้นทุกคำ ยิ่งทำให้มรันมาสะท้านใจ สีหสายิ้มร้ายเมื่อเห็นว่า ความบาดหมางของทั้งคู่จะเป็นชนวนชั้นดี
สายตาอินยากับมรันมาจ้องปะทะด้วยความโกรธเกลียดอีกฝ่ายมากพอกัน
มรันมาเดินกลับมาที่เรือน พินทุตามหลัง มรันมาเอ่ยสั่ง
"อย่าบอกเรื่องนี้กับพี่ชาย"
พินทุสีหน้า ลังเล มรันมามองกำชับด้วยสายตา
"พี่ชายมีเรื่องกองทัพนรสิงห์ต้องคิดอยู่แล้ว อย่าเอาเรื่องคนอำมหิตไปรบกวนพี่ชายอีก"
"หน้าที่ของข้าคือเอาชีวิตและวิญญาณปกป้องท่านกับเจ้าดาราน้อย ไม่ใช่เอาปากไปสร้างความเจ็บปวดให้ใคร"
พินทุให้สัญญาหนักแน่น มรันมามองด้วยสายตาพอใจ
ตำหนักเจ้านาง เวลากลางคืน อินยาฟาดแส้ลงบนหลังอุตลาอย่างแรง จนเจ็บแทบทนไม่ไหว
"คนที่คิดจะท้าทายข้า มันต้องเจ็บ เจ็บจนวันตาย"
สีหสาคุกเข่ามองความแค้นของเจ้านางซึ่งอยู่ใกล้กับปันแสง อินยาฟาดลงอีกที อุตลาถึงกับทรุด
สีหสาเข้าไปกระชากร่างขึ้นมาทันที
"อย่าเพิ่งรีบตาย เจ้านางยังไม่สะใจ"
"อีสารเลว"
สีหสาเสียงดังถาม
"แกด่าใคร สารเลว"
สีหสาตบปากอุตลาจนหน้าหัน แล้วตบซ้ำ ถีบร่างอุตลากระเด็น กลิ้งออกไป อินยากับปันแสงมองเฉย
"คางคกมันกำเริบว่าจะเป็นใหญ่เหนือเรา ข้าจะสั่งสอนให้มันรู้เอง ว่าคนที่มันต้องก้มหัวให้ตลอดชีวิตคือข้ากับเจ้านาง"
สีหสายิ้มพอใจที่รู้ว่าปันแสง อินยา กับมรันมาเกลียดชังอย่างรุนแรง
เรือนติสสา เช้าวันใหม่ ท่อนไม้ฟาดลงบนหม้อดินบนเตาไฟ เสียงกรีดวี๊ดว๊ายของข้ารับใช้ดังอลหม่าน อสุนีกระโดดขึ้นมาเตะข้าวของบนแคร่ล้มระเนระนาด มรันมาคว้าตัวลูกสาวมากอดไว้ กาหลงตะโกนเสียงสั่น
"หยุดนะ หยุด"
อสุนีพุ่งเข้ากระชากผมกาหลง เหวี่ยงไปกระแทกกับเสา เจ็บจนจุก ปันแสงเดินเข้ามาจะถึงตัวมรันมากับลูก พินทุถือดาบพุ่งเข้าไปขวาง ปันแสงฟันดาบลงรวดเร็ว และรุนแรงด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า จนยากที่จะต้านไว้ได้ ปันแสงฟันเข้าที่แขนขวาเป็นแผลยาว แล้วถีบพินทุกระเด็น
ปันแสงกำลังเดินเข้าหา มรันมาดันดาราน้อยออกห่าง
"หนีไป ดาราน้อย หนีไป วิ่ง"
ปันแสงผลักมรันมาที่ขวางไว้จนกระเด็น เข้าไปคว้าร่างดาราน้อยที่ตื่นกลัว
"แกหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น"
"อย่าทำลูกข้า"
ปันแสงสั่ง
"ข้าจะไว้ชีวิตนังเด็กนี่ กราบลงที่เท้าข้า แล้วร้องขอชีวิตลูก ทำสิ มรันมาหรือว่าอยากเห็นลูกตาย"
ปันแสงเหยียดยิ้มสะใจ มรันมากำลังจะย่อตัวลงเพราะห่วงชีวิตลูก พินทุเข้ามาด้านหลัง พุ่งเข้ากระแทกจนดาราน้อยหลุดจากมือปันแสง มรันมารีบเข้าไปดึงลูกสาวมากอดไว้ ปันแสงหันมาถีบเข้ากลางอกพินทุ
"กู เจ้าปันแสง มึงบังอาจมาก"
พินทุเซ อสุนีเข้ามาล็อกไว้จากด้านหลัง
"แตะต้องราชวงศ์ โทษมึงถึงตาย"
ปันแสงกำลังจะฟันลงที่ร่างพินทุ มรันมาพุ่งตัวเข้ามาขวาง เอ่ยเสียงกร้าว
"อย่าทำอะไรคนของข้า"
"ต่อให้เป็นผัวเจ้า ถ้าข้าจะตัดคอ ใครก็ห้ามไม่ได้"
ปันแสงจ้องมรันมาด้วยสายตาแข็งกร้าว
ภายในวิหารหลวงศรีพิสยา ติสสาเอ่ยขึ้นด้วยสายตาแน่วแน่กับปรัมมา
"ข้าไม่เคยกลัวตาย ขอเพียงท่านสั่งว่าเมื่อไหร่ที่ข้าต้องออกไปรบ"
"ข้าไม่ใช่กษัตริย์กระหายเลือดเหมือนนรสิงห์ ข้าจะทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตประชาชนของข้าไว้ให้นานที่สุด กลับไปดูแลมรันมากับลูกบ้าง อย่าให้เมียเจ้าต้องน้อยใจ"
"มรันมาเข้าใจข้าดี ถึงภายนอกจะดูบอบบาง แต่จิตใจมรันมาเข้มแข็งมาก"
ติสสายิ้มกับปรันมาด้วยความชื่นชม มั่นใจในตัวคนรัก
มรันมาจ้องปะทะสายตากับปันแสง
"คำก็ฆ่า สองคำก็ตัดคอ ท่านคงลืมไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่ใช่ทาสของท่านกับเจ้านาง ข้ามีศักดิ์เป็นลูกเจ้าศรีพิสยาเหมือนกับท่าน"
"พอได้เป็นน้องนาง ก็คิดจะขู่ข้า"
"ข้าไม่จำเป็นต้องขู่ เพราะคนที่ใช้คำขู่คือคนอ่อนแอ ปกป้องตัวเองไม่ได้"
ปันแสงจ้องแววตาแข็งกร้าวของมรันมา
"กลับไปตำหนักของท่าน บอกเจ้านางอินยา เลิกยุ่งกับครอบครัวข้า เจ้านางไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่รู้จักความแค้น"
ปันแสงมองสายตามรันมาแล้วยิ้ม
"แล้วแกจะได้รู้ ความแค้นของเจ้านาง ความแค้นของข้า มันมากกว่าใครจะหยุดยั้งได้"
ปันแสงมองจ้องลึกลงไปให้มรันมาหวั่นเกรง แต่มรันมากลับนิ่งมอง ไม่หลบตา ปันแสงถอยห่าและเดินเร็วออกไป อสุนีตามติดออกไป
กาหลงกับพินทุรีบเข้ามาทางมรันมา
"มรันมา เจ้าต้องบอกแม่ทัพติสสานะ เจ้าปันแสงกล้าทำถึงขนาดนี้ ต่อไปเกิดลอบฆ่าเจ้าดาราน้อยล่ะ"
กาหลงพูดด้วยความกลัว มรันมามองลูกน้อย
"เจ้าปรันมากับพี่ชายกำลังปกป้องแผ่นดิน ปกป้องประชาชนทั้งหมด ข้าเป็นเมียแม่ทัพแห่งศรีพิสยา ทำไมข้าถึงจะปกป้องลูกข้ากับพวกเจ้าไม่ได้"
มรันมาแววตาเข้มแข็ง พินทุยิ้มชื่นชมความเป็นผู้นำ เอ่ยบอกกาหลง
"ถูกของเจ้านางแล้ว หน้าที่ต่อแผ่นดินย่อมสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว"
มรันมายิ้มขอบใจพินทุที่เอ่ยขึ้นด้วยความเข้าใจ
จบตอนที่ 9