ปีกมาร ตอนที่ 8
ภายในห้องอาหารหรูแห่งนั้น ดวงแก้วยกเหล้าขึ้นจิบ นัยน์ตาจดจ้องมองภูฉาย เห็นท่าทีกระวนกระวายไม่รู้ว่าเป็นเพราะห่วงงาน แต่ก็ให้แปลกใจ
“เป็นอะไรคะ คุณภูฉาย”
“เอ้อ...ผม..ผมเกรงจะรบกวนเวลาของคุณดวงแก้วน่ะครับก็เลย...”
“ถ้าคุณจะห่วงงานก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะคุณคงไม่มีภาระต้องห่วงที่บ้านไม่ใช่หรือ เห็นว่าคุณกำลังจะหย่า…”
“เอ้อ…”
ดวงแก้วเรียกบริกร ยื่นบัตรเครดิตการ์ดทองให้
“เอ้อ...ขอให้ผมได้รับเกียรติดีกว่าครับ คุณดวงแก้ว”
“ฉันไม่อยากให้เรื่องกินข้าวของคุณ เป็นเรื่องตอบแทนที่ฉันมาเปิดบัญชีที่นี่ร้อยล้านแต่…”
แววตาของเศรษฐีนียิ้มยั่ว ขณะพูดคำต่อมา
“ฉันอยากให้เรื่องของเราเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ...คุณภูฉาย”
สีหน้าของภูฉายเจื่อนๆ ฝืนยิ้มให้
ศลัยลานั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ ผจงจิต เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ศลัยลารับสาย เสียงของลายสือดังลอดออกมา
“ฮัลโหล”
“ผมเอง...ผมคิดถึงคุณ”
“ลายสือ” ศลัยลาพึมพำ
ผจงจิตได้ยิน เงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ
“ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าคุณ ได้เห็นแค่หลังคาที่ทำงานของคุณผมก็พอใจแล้ว หลังคาที่นี่สวยมาก มันทำให้ผมหายคิดถึงคุณบ้างแล้วละครับ”
ศลัยลาค่อยๆ วางสายลง มองผ่านหน้าต่างลงไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะ เห็นลายสือเดินออกมานอกตู้ ยืนพิงแล้วมองขึ้นมายังศลัยลา
ขณะเดียวกันละมัยเปิดประตูรับรถยนต์ของภูฉาย สลักก้าวลงมา บ่นอย่างหงุดหงิด
“แม่เสียเวลานั่งรอแกตั้งเกือบสามชั่วโมง คงเป็นลูกค้าสำคัญซีนะถึงได้ไปกินข้าวด้วยกันนานขนาดนั้น”
“ครับ ลูกค้าเพิ่งมาเปิดบัญชีร้อยล้าน”
สลักหูผึ่ง “ตั้งร้อยล้านเชียวหรือ แต่เชื่อเถอะไอ้พวกมีเงินร้อยล้านนี่ มันต้องมีหนี้สองร้อยล้านพวกนักธุรกิจน่ะมันพวกเงินหมุนสู้เงินนอนอย่างแม่ไม่ได้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีดอกเบี้ยกิน”
“มัย ตาหนูเป็นยังไงบ้าง”
“เพิ่งหลับค่ะ ร้องทั้งวันเลยค่ะ”
“เอ๊ะ ตาหนูเป็นอะไร” ภูฉายแปลกใจ
สลักชิงตอบ “จะเป็นอะไร เด็กมันขาดแม่น่ะ มันก็งอแงเพราะสัญชาติณานเด็ก แม่จะขึ้นไปดูตาหนูนะ ภูฉาย”
“ครับ”
ภูฉายและสลักเดินขึ้นตึกด้วยกัน
ละมัยมองตามไปด้วยสีหน้ายุ่งยาก ลำบากใจ
ฟากลายสือนั่งอยู่เงียบๆ อยู่นอกบ้าน ภาษิตลงมาจากตึกถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมไม่ขึ้นเข้าไปในบ้านวะ”
“ฉันเกรงใจคุณแม่”
“แกพูดเหมือนไม่รู้จักแม่ฉันเลยนะ เออ ถ้าเกรงใจพี่ศลัยก็ไปอย่าง เพราะรายนั้นก็กำลังมีปัญหาเรื่องหย่า พี่ศลัยไม่อยู่เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อสองสามวัน คงกลับไปปรึกษาทนายเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกน่ะ”
ลายสือเผลอตัว ออกอาการดีใจ “แล้ว...แล้วมีทางที่จะเป็นไปได้มั้ย”
“ไม่รู้ซี ฉันไม่กล้าให้ความเห็น”
“ภิต พี่เขยแกเป็นคนยังไง”
“เขาก็ดีนะ เป็นคนดีว่ะ แต่เสียตรงที่เขาเป็นคนติดแม่ พวกเลี้ยงไม่โตน่ะ”
ลายสืองงงัน จ้องหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“อ้าว มีจริงๆ นะผู้ชายแบบนี้ สมัยรักกันใหม่ๆ ผู้หญิงเห็นยังนอนหนุนตักแม่ก็เอ็นดู๊เอ็นดู จนหลวมตัวแต่งงานด้วยนานๆ ไปแทบจะอ๊วกออกมาเป็นเลือด กูไม่โทษพี่สาวกูหรอก พี่ศลัยทนมาจนมีลูกคนนึง...มันคงถึงที่สุดแล้วละ เออ...เรื่องของมึงล่ะ เป็นยังไง”
“ก็ไม่เป็นยังไงนี่”
“เพื่อน คนเรานะโว้ย...มันไม่ได้ภาคภูมิอยู่ที่เราเกิดมาเป็นคน แต่เราต้องนับถือตัวเองได้ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะ..คนไม่ใช่หมา”
ภาษิตพูดทำนองหัวเราะขบขัน โดยไม่รู้ว่าลายสือหลงรักพี่สาวตัวเอง
สีหน้าแววตาของลายสือขรึมลงไปถนัด
ที่กองงานโบราณคดี กรมศิลป์ ศลัยลานั่งมองปฏิทินตั้งโต๊ะ ที่มีกากบาทเครื่องหมายไว้ ด้วยปากกาเมจิกสีแดงตรงวันสิ้นเดือน มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ศลัยลานิ่งเฉย ผจงจิตเดินไปรับสาย
“กองโบราณคดีค่ะ....อ้อ...”
ผจงจิตมองมายังศลัยลา เห็นศลัยลานิ่งเฉย
“ไม่อยู่นะคะ...ไม่ทราบค่ะ...ไม่ได้สั่งอะไรไว้”
ผจงจิตวางสายลง ถอนหายใจหนักหน่วง
“โชคดีนะ เมื่อเช้าฉันไม่ได้รับศีล ไม่ยังงั้น...”
ศลัยลาก็ยังนิ่งเฉย แล้วจึงปุบปับลุกเก็บงานบนโต๊ะเตรียมกลับบ้าน
“ศลัย นั่นเธอจะพบเขาหรือ”
“เปล่า ฉันจะไปหาลูก”
ศลัยลาเดินออกไป ผจงจิตมองตามไปด้วยความห่วงใย
เป็นลายสือนั่นเองที่โทร.มา จากมหา’ลัย และวางโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกเงียบเหงาอ้างว้างในจิตใจ เพราะรู้ว่าศลัยลาพยายามตัดรอนตนเอง
แหมวก้าวเข้ามาหา ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา และเทิดทูนเช่นเดิม
“เย็นนี้พี่ลายสือว่างหรือเปล่าคะ คุณแม่ให้แหมวมาชวนพี่ลายสือไปทานข้าวที่บ้านค่ะ”
“พี่ไม่ว่าง บอกคุณอาด้วยนะ ขอบคุณ”
ลายสือเดินออกไปเลย สีหน้าของแหมวสลดลง มองตามไป
เย็นนั้นสลักกำลังนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ศลัยลาก้าวเข้ามา โดยมีละมัยตามมาติดๆ
สลักผุดลุกขึ้นนั่ง ตวาดเสียงดัง
“มาทำไม”
ภูฉายวิ่งเร็วๆ ลงมา สีหน้าร้อนใจ
“แม่ครับ”
“อย่าห้ามแม่นะ ภูฉาย ไล่มันออกไป คนบ้านนี้ไม่ต้อนรับ”
“แม่ ศลัยมาเยี่ยมลูกนะครับ”
“มาเยี่ยม...หรือมาพรากย่าพรากหลานเขากันแน่”
“แม่ครับ ศลัยเพียงแต่แวะมาดูลูก”
“ดูลูก หรือดูว่าแกพร้อมจะหย่าเมื่อไหร่ บอกมันไปเลยว่าแกพร้อมจะหย่าพรุ่งนี้ ฉันอยากจะรู้จักที่ท้าหย่ายิกๆนี่ กล้าหย่าจริงๆ หรือเปล่า แกเป็นผู้จัดการสาขาเงินเดือนตั้งหลายหมื่น ไหนจะมีเกียรติ มีสมบัติเก่า แกไม่ใช่ผัวประเภทเกาะชายกระโปรงสักหน่อย!”
ศลัยลาไม่อยากต่อความ พูดตัดบท “ฉันจะขึ้นไปดูตาหนูนะคะ ภู ฉันไม่มีเวลามาก”
ศลัยลารีบเดินขึ้นไป ละมัยตามไปติดๆ
สลักด่าตามหลัง “เชอะ ทำเป็นผู้หญิงหัวสมัยเห็นงานนอกบ้านสำคัญกว่าลูกกว่าผัว ผู้หญิงน่ะ...ถ้าครอบครัวพัง มันจะเอาดีเรื่องอื่นได้ยังไง ฉันละหมั่นไส้นัก อีพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดนี่..!”
ภูฉายเงอะงะ ตัดสินใจไม่ถูก รีบตามศลัยลาขึ้นไป โดยมีสีหน้า แววตาโกรธจัดของสลักมองตามไป อย่างขัดใจ
“ภู..!”
ศลัยลากอดลูกไว้ด้วยความรู้สึกขมขื่น ละมัยยืนมองอยู่เงียบๆ ภูฉายเปิดประตูเข้ามา ละมัยจึงเลี่ยงออกไป
“ศลัย ผมขอโทษเรื่องแม่ ผมรู้ว่าคุณอดทนมาตลอดเวลา...แต่แม่…”
“แม่คุณยังแข็งแรงค่ะ ยังอยู่ในชีวิตของคุณไปอีกนาน...พรุ่งนี้ฉันพร้อม”
“แต่ผมยังไม่พร้อมนะศลัย เรื่องหย่ามันไม่ง่ายเหมือนตอนที่ เราแต่งงานกัน ผมไม่ยอมหย่า!”
“ถ้าคุณยังไม่พร้อม คุณต้องคืนลูกให้ฉัน ฉันให้เวลาคุณครบตามข้อตกลงของเรา”
“ไม่..ไม่นะ ผมไม่ให้!”
ภูฉายเข้าแย่งลูก โดยมีสลักเข้ามาช่วย
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...นังศลัยลามันจะแย่งหลานฉันไปเอาหลานฉันมา แล้วออกไปจากบ้านของฉัน”
“ได้โปรดเถอะศลัย อย่า เอาลูกผมไป”
สลักผลักศลัยลาเซไปปะทะผนังห้อง ภูฉายตื่นตระหนก กอดลูกไว้แน่น ไม่กล้าเข้าช่วยศลัยลา สลักขวางหน้าศลัยลาไว้ตวาดลั่น
“ออกไป!”
ศลัยลามองไปยังภูฉายอย่างขมขื่น
“ฉันจะให้ทนายของฉันยื่นฟ้อง ฉันต้องเอาตาหนูกลับไปเลี้ยงเองให้ได้”
ศลัยลาเดินออกไป
สีหน้าแววตาของสลัก ตื่นตระหนก ทวนคำออกมา นึกบางอย่างออก
“ทนาย”
ไม่นานต่อมาสลัก กับภูฉายอยู่ที่สำนักงานทนายความแห่งหนึ่ง ทนายฟังจบรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ครับผม เรามีทางที่จะสู้คดีนี้ได้ ด้วยเหตุผลอ้างทั้งพยานบุคคลและความเป็นจริงว่าคุณภูฉายเป็นผู้เลี้ยงดูลูกมาตลอดเวลานับตั้งแต่เกิด และข้อที่จะทำให้ศาลเชื่อว่าคุณเป็นผู้เหมาะสมที่จะดูแลบุตร ก็เพราะ...ผู้ที่เป็นแม่มีความประพฤติอันไม่เหมาะสมหรือทุพลภาพ ไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเด็กได้”
“เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อนค่ะ เดี๋ยวก่อนไอ้ความประพฤติไม่เหมาะสมนี่หมายความว่ายังไง”
“ฝ่ายหญิงประพฤตินอกใจ หรือ...”
สลักสวนออกมา “มันมีชู้ จริงซีนะ...ต้องฟ้องกลับมันข้อหามันมีชู้ เอ้อ...แล้ว...แล้วต้องเสียเงินมั้ยนี่”
“ครับ ต้องเสียค่าใช้จ่าย ในคดีนี่ผมขอค่าใช้จ่ายประมาณแปดหมื่นบาทครับ”
“แปดหมื่น” สลักตกใจ ส่วนภูฉายนั่งก้มหน้าเงียบๆ อย่างเศร้าหมอง
“แปดหมื่นบาทครับ คุณนาย”
สลักตาเหลือกเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ประสาคนงก
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)
ภายในห้องรับแขกอันว่างเปล่า ภูฉายกับละมัยช่วยกันประคองสลักในสภาพที่เพิ่งฟื้นจากอาการเป็นลมเข้ามา
“โอย แปดหมื่น...จะเลิกกับเมียทั้งที ค่าโสหุ้ยแพงยังงี้เชียวเรอะ..แปดหมื่นฉันต้องเอาเงินแปดหมื่นไปเป็นค่าจ้างทนาย โอย...ต่อรองก็ไม่ได้ ฉันไม่กล้าจ่ายเงินมากๆขนาดนั้นหรอก โอย...แสบหูแสบตาไปหมด มันตื่นเต้นเสียจน...ฉันหลับตาแทบจะไม่ลงเป็นชั่วโมงๆ”
“แม่พักก่อนเถอะครับ”
“ฉันอยากจะตายนัก...แกต้องหาทางหย่ามันให้ได้นะภูฉาย เอาให้แบบที่ไม่ต้องเสียเงิน..แล้วก็...”
สีหน้าแววตาของสลักกร้าวแข็ง เสียงเด็ดเดี่ยว
“ไม่ต้องเสียลูกด้วย..!”
ตอนเช้า ศลัยลายืนคนกาแฟอยู่อย่างใจลอย ภาษิตเดินผิวปากออกมา ชะงักเมื่อเห็นพี่สาว นวลนภาทำงานอยู่มุมหนึ่ง
“มาเมื่อไหร่ครับพี่ศลัย”
สีหน้าศลัยลาเฉยเมยไม่ตอบ แต่ถาม
“พรุ่งนี้แกว่างมั้ย”
“พี่ศลัยจะใช้อะไรผม”
“ไปรับตาหนูด้วยกัน”
“ตกลงกันได้แล้วหรือครับ ไม่เป็นคดีใช่มั้ย ดีครับ...ถึงยังไงผมอยากให้พูดกันให้รู้เรื่อง”
“เปล่า ตอนนี้พูดกันไม่รู้ฟังหรอก คงต้องออกแรงกันนิดหน่อย แกถึงต้องไปด้วย”
นวลนภาได้ยินก็ตกใจ เดินเข้ามาหาศลัยลา มองลูกสาวอย่างตื่นตระหนก
“ศลัย...”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูให้เวลาเขามามากพอแล้วคุณแม่อยู่บ้านแล้วเตรียมตัวเลี้ยงหลานเถอะค่ะ”
ศลัยลาวางถ้วยกาแฟลง แล้วเดินออกไป นวลนภาและภาษิตหันมาสบสายตาของกันและกันอย่างกังวล
ขณะเดียวกันลายสือยืนอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะที่เดิมข้างกองโบราณคดี มองขึ้นไป ยังหน้าต่างห้องทำงานศลัยลา
ผจงจิตเดินออกมายืนกอดอกมองลงมา ลายสือจึงละสายตากลับมาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
ขณะที่ละมัยกำลังกวาดเช็ดทำงานบ้านอยู่ สลักเดินท่าทีปวดๆ เมื่อยๆ ลงมา
“โอย ปวดเมื่อยไปหมด เมื่อคืนฉันไม่ได้นอนเลยนะแกยานอนหลับหมด เลยต้องถ่างตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยทั้งคืนนี่....ภูไปตั้งแต่กี่โมง”
“ออกไปแต่เช้าเลยค่ะ”
“เออ แล้วไป ฉันจะงีบสักงีบหนึ่งนะ ไม่ต้องรับโทรศัพท์เข้าใจมั้ย นังมัย”
“ค่ะ”
สลักเอนหลังนอนลงที่เก้าอี้ ละมัยยืนมองทำหน้าเบื่อหน่ายใส่
ส่วนลายสือยืนพิงตู้โทรศัพท์อยู่ ผจงจิตเดินเข้ามาด้วยสีหน้าขรึมๆ
“ศลัยไม่อยู่หรอกคุณ วันนี้ไม่ได้มาทำงาน”
“คุณศลัยเป็นอะไรครับ ไม่สบายหรือเปล่า”
ผจงจิตบอกห้วนๆ “ลากิจ”
“งั้นก็คงจะ...”
สีหน้าลายสือดีใจ
ผจงจิตรีบบอกต่อ “ไม่ใช่หรอกคุณ ไม่ใช่ลากิจไปหย่ากับสามีหรอกแต่เป็นกิจที่เกี่ยวกับลูกน่ะ”
สีหน้าสลดลงของลายสือเต็มไปด้วยความแปลกใจ ฉงนฉงาย ขณะรำพึงออกมา
“ลูก”
ขณะที่เด็กน้อยลูกชายศลัยลา กำลังนอนเล่นอยู่ศลัยลาเปิดประตูเข้ามาเงียบกริบ ตามด้วยละมัย
“เร็วๆ ค่ะเดี๋ยวคุณนายตื่นจะยุ่งนะคะ คุณศลัย”
“ตาหนู แม่มารับลูก ไปอยู่กับคุณยายนะลูกนะ”
“เร็วๆ เถอะค่ะ”
“ขอบใจมากนะ มัย”
“ไปค่ะ เดี๋ยวหนูไปส่งข้างล่าง”
ละมัยดูทางศลัยลาอุ้มลูกออกไป
สลักนอนหลับสนิทอยู่ที่เดิม ภาษิตเดินรออยู่ไปมาอย่างกระวนกระวาย สักครู่ศลัยลาและละมัยอุ้มเด็กลงมา
“เรียบร้อยมั้ยครับ พี่ศลัย”
“ไปเถอะ ได้ตัวตาหนูแล้ว”
“แหม...นี่น่ะข้อหาบุกรุกเชียวนะครับ ส่งตาหนูมาให้ผมดีกว่า”
“ไม่ต้อง ฉันอุ้มตาหนูเอง แกเป็นคนขับรถแล้วกัน”
“ครับ”
ศลัยลาหันมาทางละมัย “มัย ขอบใจมากนะที่ช่วยฉัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่หนูทำยังงี้ก็เพราะ...หนูสงสารคุณหนูค่ะ”
ภาษิตเร่ง “ไปครับ”
ภาษิตกับศลัยลาเดินไปที่รถ ละมัยมองตามไปอย่างโล่งอก
สักครู่หนึ่งสลักค่อยๆ ขยับตัวตื่น มองละมัยอย่างแปลกใจ ละมัยทำหน้าเจื่อนๆ
“นี่มันกี่โมงแล้วนี่”
“บ่ายสามแล้วละค่ะ”
“เตรียมกับข้าวกับปลาหรือยังล่ะ เดี๋ยวภูก็กลับแล้ว...อ้าว แกไม่ได้ขึ้นไปนอนเฝ้าตาหนูหรือ”
“ไม่ต้องเฝ้าแล้วล่ะค่ะ”
สลักงง “ทำ...ทำไมล่ะ”
“คุณศลัยลามาเอาตัวคุณหนูไปแล้วละค่ะ คุณนาย” ละมัยบอก น้ำเสียงสะใจ
“หา…”
สลักตาเหลือก สีหน้าแววตาตื่นตระหนกสุดขีด
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)
ฟากลายสือเดินมาตามลำพังอย่างเงียบๆ ตามทางเดินในมหา’ลัย ผลึกเดินสวนทางมากับตัวนักศึกษาหญิงในคณะกลุ่มใหญ่
“เฮ้ย ไอ้สือ ดูตัวอย่างพ่อนี่ รูปไม่หล่อพ่อไม่รวยก็จริง...แต่นี่ โว้ย มีหลวงพ่อเป็นปึกๆ หญิงยังงี้รุมล้อมตั้งแต่เช้าจรดค่ำ อิจฉากูมั่งมั้ยวะ”
“ไปด้วยกันมั้ย ไปกับคนพกหลวงพ่อน่ะดีนะแคล้วคลาดจากความหิวดี” เพื่อนหญิงชวนลายสือ
“ใช่ มึงเห็นมั้ย...หญิงคณะเราทั้งนั้น ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนไปโว้ยไปด้วยกัน” ผลึกคุยโวต่อ
“เดี๋ยวก่อน มึงพกหลวงพ่ออะไรวะ”
“หลวงพ่อเงินไงล่ะ แน่นอนกว่า”
พลางผลึกหยิบเงินปึกใหญ่ออกมา
“ไม่ต้องปลุก...ไม่ต้องสวด...ไม่ต้องใช้น้ำมันพรายแล้วก็ไม่ต้องเสกเพียงแต่จ่ายๆ จ่ายไม่อั้น ไปไปกูไม่เป็นไร เราไปกันเถอะจ้ะน้อง”
ผลึกพาเพื่อนผู้หญิงเดินผ่านไป
ลายสือเห็นแหมวยืนอยู่ ลายสือจ้องมองแหมว แววตาเริ่มอ่อนโยนลงเพราะความสงสาร
“แหมว”
แหมวมีท่าทีเกรงใจ “ถ้าพี่ลายสือรำคาญ แหมวก็จะไปค่ะ”
“ไม่ต้อง...มานี่ซี...ไป..ไปกินข้าวกับพี่”
ลายสือโอบไหล่แหมว เดินออกไปด้วยกัน
สลักร้องไห้ฟูมฟายน้ำตานองหน้า กับภูฉายซึ่งยืนเงียบๆ สีหน้าร่วงโรย เคร่งเครียดและอ่อนล้า
“ตาหนูถูกลักพาตัว มันเข้ามาขโมยตาหนูถึงในบ้าน มันฉวยโอกาสตอนที่แม่หลับ ก็แม่เหนื่อยนี่...กลางคืนแม่ก็เลี้ยงหลานจนไม่ได้หลับได้นอน คนใช้ก็โง่ ทำไมแกไม่ปลุกฉันตอนที่มันยกโขยงกันเข้ามาขโมยตาหนู”
ละมัยตีหน้าเซ่อ “ก็...ก็คุณนายสั่งไม่ให้หนูเรียกตอนหลับนี่คะ”
“ทำเป็นเสาไฟฟ้า หมั่นไส้นัก” สลักด่าแล้วฟูมฟายต่อ “โธ่...หลานย่า ป่านนี้จะเป็นจะตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ภู จะทำอะไรก็ทำสักอย่างซี แจ้งตำรวจก็ได้ ลูกแกทั้งคนนะ ภู”
ภูฉายเดินออกไปอย่างเงียบๆ สลักหยุดร้องไห้ทันที สีหน้าสงสัย
“นั่นเขาจะไปไหนน่ะ”
“คงไปตามคุณหนูนะค่ะ” ละมัยบอกเซ็งๆ
“คอยดูนะ ถ้าเอาหลานฉันคืนมาไม่ได้ ฉันจะฟ้องศาลแย่งตาหนูมาจากนังศลัยลา”
สลักกระแทกเสียงตอนท้ายด้วยความโกรธสุดขีด
“เสียเท่าไหร่...เสียไป!”
ภาษิตนอนเล่นอยู่กับหลานชาย กำลังเล่นของเล่นกันอยู่ ศลัยลานั่งท้าวคางมองอยู่อย่างมีความสุข แต่แววตายังเศร้าหมองอยู่
“คิดไว้หรือยัง ว่าต่อไปนี้ หนูจะทำยังไง” นวลนภาถาม
“พรุ่งนี้หนูจะไปเซ็นใบแต่งทนายค่ะ ภูเขาคงเอาเรื่องเพราะแม่เขาไม่ยอมง่ายๆ”
“หนูจะฟ้องเขายังงั้นหรือ”
“ค่ะ ฟ้องหย่า ภูไม่มีสิทธิ์ที่จะเตะถ่วงเรื่องหย่าเอาไว้ทำแบบนี้ถือว่าลิดรอนสิทธิของหนู”
“สงสารตาหนูนะ ดูเถอะ...ไม่ได้รู้เดียงสากับเรื่องของพ่อแม่เลย อย่ามัวแต่ตีรันฟันแทงกันเองเสียจนลืมไปล่ะ...ว่าธรรมชาติของเด็กต้องการอะไร” นวลนภาเตือนสติ
แววตาของศลัยลาสลดลงเห็นได้ชัด
ทางด้านผลึกและจืดช่วยกันทำกับข้าวตามมีตามเกิด เมนูไข่และปลากระป๋อง
“ไม่มีหลวงพ่อพกก็ดีไปอย่างว่ะ รู้ว่าชีวิตคืออะไร มันเป็นปรัชยาไส้ของโลก” จืดเล่นลิ้น
“สมน้ำหน้า เวลาที่เตี่ยให้เงินไว้ต่างหน้า แทนที่จะเก็บไว้กินนานๆดันเอาไปเลี้ยงหญิงหมด ถึงต้องกินข้าวกับปลากระป๋องเหมือนเดิม
“นี่ อย่าบ่นได้มั้ยวะ ไอ้จืด มีปลากระป๋องกินน่ะดีเท่าไหร่แล้ววะ คอยดูนะมึง จบออกไปเป็นอธิบดีเมื่อไหร่กูจะทำสเต็กเนื้อในทุกมื้อ อ้าว ไอ้สือ”
ผลึกเห็นลายสือเดินออกมา ท่าทางเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก
“มึงจะไปไหน” ผลึกถาม
“ไปบ้านภาษิต”
“ไปทำไมที่นั่น!”
“เรื่องของกู!”
ลายสือเดินออกไป ผลึกตะโกนตามด้วยความโมดหปนหงุดหงิด
“เออ เรื่องของมึงก็เรื่องของมึง อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องของกูก็แล้วกัน”
“เรื่องอะไรกันวะ”
จืดสงสัย ถามอย่างงงๆ เพราะไม่รู้มาแต่ต้น
“เรื่องของมัน..!”
ผลึกกระแทกเสียงประชด จืดยืนสีหน้างงๆ อยู่อย่างนั้น
ทางด้านนวลนภากำลังชงนมใส่ขวดอยู่ ภูฉายเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นึกแล้วว่าต้องมา”
“ศลัยล่ะครับ แล้วลูกของผม”
“ตาหนูกำลังหลับสบาย ศลัยล่าน่ะเพิ่งออกไปซื้อของใช้จำเป็นของตาหนูเมื่อกี้นี้เอง”
ภาษิตเดินออกมายืนฟังเงียบๆ น้ำเสียงของนวลนภาอ่อนโยน
“เข้าไปดูลูกซีภูฉาย แล้วไม่ต้องทำท่าร้อนรนจนเกินเหตุยังงั้นหรอก”
“ครับพี่ภู เพราะที่นี่ไม่ใช่โรงฆ่าสัตว์” ภาษิตอดแดกดันไม่ได้
“ผมจะขึ้นไปดูลูกนะครับ คุณแม่”
“ฮื่อ”
ภูฉายเดินขึ้นชั้นบนไป สีหน้านวลนภาเปลี่ยนเป็นร้อนรน
“เขาจะมาเอาลูกคืนมั้ยนี่”
“ผมก็ไม่รู้ ไม่กล้าเดาใจเขาหรอกครับ แต่คุณแม่ไม่ต้องกลัว ไหนๆเราก็หลวมตัวเข้าข้างพี่ศลัยแล้ว มันต้องตกบันไดพลอยโจนเสียแล้วละครับ”
เห็นสีหน้าของนวลนภา ดูหวาดๆ ขณะพยักหน้าอย่างจำนน
“เอา เป็นไงเป็นกัน!”
ศลัยลาขับรถยนต์เข้ามาจอดในบ้านแม่ เห็นลายสือเดินเข้าประตูมาศลัยลาชะงัก มองอย่างแปลกใจ
“คุณ...นี่คุณมาทำอะไรที่นี่”
“คุณไม่ได้ไปทำงานสองวัน ผมเป็นห่วงคุณ”
“ฉัน....เอ้อ...ฉัน...”
ภูฉายเดินออกมาจากด้านในบ้าน สบสายตากับศลัยลา
“ศลัย...”
ภูฉายและลายสือ ต่างหันมาสบสายตาของกันและกัน
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)
ศลัยลาเดินเข้ามาในห้องรับแขก ด้วยสีหน้าบึ้งตึง ภูฉายเดินตามมา น้ำเสียงของภูฉายค่อนข้างอ่อนโยน
“ศลัย ทำไมคุณทำยังงั้น คุณทำให้แม่เสียใจนะ แม่ร้องไห้จนเป็นลมเป็นแล้ง”
ศลัยลาโมโห “ฉันให้เวลาคุณมาพอแล้วนะ คิดถึงสิ่งที่แม่ของคุณทำให้เมียเสียใจบ้างซีคะ ภู”
“ถ้าเราตกลงกันด้วยดีได้ เราคงจะไม่...”
ศลัยลาสวนออกมา “ฉันจะหย่าค่ะ ถ้าคุณไม่ยอมหย่าอย่างที่คุณยืนกรานละก็…”
ศลัยลาหันกลับมาเผชิญหน้าภูฉายด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
“ฉันจะให้ทนายของฉันฟ้องหย่าคุณ”
“ศลัย”
ภูฉายอุทาน แววตาที่มองศลัยลางงงัน ปวดร้าว
“อะไรทำให้คุณเป็นศลัยลาที่ผมไม่รู้จักเลย...ตอบผมได้มั้ย”
ภูฉายก้าวเข้ามาใกล้ๆ ศลัยลา มองจ้องด้วยแววตาอันเจ็บปวดและเว้าวอน
“อะไร”
ที่ห้องในหอพัก ผลึกกำลังเปิดตำราอาหาร โดยมีจืดกำลังซอยหัวหอม
“ซอยหัวหอมที่ล้างสะอาดแล้วด้วยความเร็วถี่ยิบประมาณสามช้อนโต๊ะ”
จืดท้วง “อ้าว ซอยซะถี่ยิบแต่ลืมล้างว่ะ เอาไปล้างก่อนดีมั้ยเดี๋ยวผิดตำรา”
“มึงอย่าเรื่องมากนักเลยวะไอ้จืด แค่ยำปลากระป๋องเดี๋ยวพอมันลงไปคลุกๆกันในท้อง ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าล้างหรือไม่ล้าง”
ลายสือเดินเหงาๆ เข้ามา ทั้งสองมองอย่างแปลกใจ
“เฮ้ย ไอ้สือ ก็ไหนว่า...”
ลายสือเดินเข้าห้องไปเฉยเลย ทั้งสองมองตามไปอย่างแปลกใจ
“มันไปกินอะไรผิดสำแดงมาวะ” จืดถามงงๆ
“กูก็ไม่รู้...”
ผลึกมองตามลายสือด้วยแววตาครุ่นคิด
คืนนั้นภูฉายเดินอยู่ริมถนนเปลี่ยว ท่าทางโดดเดี่ยว เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ดวงแก้วขับรถยนต์ผ่านมา แล้วจึงถอยรถยนต์มาจอดดักรอภูฉาย
“ไม่คิดว่าเป็นคุณ”
ภูฉายมองมาอย่างแปลกใจ
“คุณดวงแก้ว”
“ไม่สบายใจเรื่องหย่าหรือคะ ฉันเข้าใจค่ะ เพราะฉันเองก็...เคยเป็นอย่างคุณ มันอีบัดอีโรยอยู่พักใหญ่ มันไม่มีอะไรที่ง่ายอย่างที่เราคิด”
“คุณ...รู้ได้ยังไง มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม”
“ฉันรู้...เพราะฉันอยากรู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้คุณต้องการเพื่อน”
“ไม่ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
“ลองมีเพื่อนสักคนซี แล้วคุณจะรู้ว่า...ดีกว่าคุณอยู่คนเดียเยอะเลย”
แววตาของดวงแก้วยิ้มๆ หว่านเสน่ห์ สบสายตาของอีกฝ่าย แต่สีหน้าของภูฉายดูลังเลชัดเจน
อาหารหลายอย่างวางเรียงอยู่บนโต๊ะ สลักชะเง้อมองออกไปหน้าบ้าน อย่างหงุดหงิดกระวนกระวาย ละมัยยืนหลับสัปหงก อยู่อีกมุม
“ตั้งห้าทุ่มเที่ยงคืนแล้วยังไม่กลับอีก เขาไปทำอะไรของเขานะ ฉันจะโทร.ไปบ้านแม่นังศลัยลาก็ไม่กล้า กลัวมันด่าฝากมาตามสาย นังมัย...นังมัย”
ละมัยสะดุ้งนิดๆ
“คะ”
“โทร. ไปบ้านคุณนวลนภาซิ ถามว่าภูไปที่นั่นหรือเปล่า”
“ค่ะ”
ละมัยหมุนโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ท่าทีสลักลุ้นอาการร้อนใจ
“เป็นยังไงมั่ง”
“ไม่มีคนรับสายหรอกค่ะ นี่มันดึกแล้วนะคะ คุณนาย”
“เพราะแก เพราะความโง่ของแกคนเดียว มันถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายยังงี้ แกนะนังมัย...ทำงานเป็นคนใช้ฉันมาตั้งนาน สมองแกไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยนะ”
ละมัยเปิดปากหาว นัยต์ตาเริ่มหรี่ปรือ
“มันยกโขยงเข้ามาขโมยหลานฉันแกก็ให้พวกมันเดินข้ามหัวฉันไปได้ สิ้นเดือนนี้ฉันจะ…”
สลักหันไปมองเห็นละมัยยืนกอดต้นเสาหลับสนิท
“นัง...นังมัย”
สลักคำรามอย่างโกรธจัด
ละมัยสะดุ้งสุดตัว เผลออุทานด้วยคำติดปากของภูฉาย
“ครับ....แม่”
ในผับหรูแห่งนั้น ทั้งสองกระทบแก้วเหล้ากัน ท่าทีภูฉายนิ่งขรึมต่างนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์
“ฉันคงมอมเหล้าคุณไม่สำเร็จนะคะ” ดวงแก้วเย้า
“ผมไม่กล้าเมาหรอกครับ กลัว...” ภูฉายว่า
“คุณจะต้องกลัวฉันทำไม ฉันไม่ใช่พวกแก๊งรูดทรัพย์สักหน่อย”
ดวงแก้วเบียดไหล่ตัวเอง ชิดไหล่ของภูฉาย อย่างจงใจ
“เอ้อ...”
ภูฉายขยับถอยห่าง รักษามารยาทของสุภาพบุรุษ
“ผมไม่ได้กลัวคุณดวงสมรหรอกครับ”
“งั้นคุณกลัวอะไร”
“แม่ผม...เอ้อ...แม่ไม่ชอบให้ผมเมาน่ะครับ ขอโทษผมเห็นจะต้องกลับละครับคุณดวงสมร ขอบคุณที่กรุณาเข้าใจและอยู่เป็นเพื่อนผม ขอบคุณมากครับ”
ภูฉายหยิบบัตรเครดิตการ์ดออกมาวาง
สีหน้าที่กำลังยิ้มแย้มของดวงแก้วค่อยๆ เจื่อนลง เริ่มโกรธ และอยากเอาชนะภูฉาย
เช้าวันต่อมาละมัยทำงานอยู่ในบ้าน สลักยังสวมเสื้อคลุมเสื้อนอนวิ่งลงบันไดมาอย่างตื่นตระหนก
“มัย...ภูเขาไปแล้วหรือ”
“ค่ะ ออกไปทะงานตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง”
“ตายจริง...ฉันเผลอหลับไปน่ะ เมื่อคืนรอเขาอยู่ถึงตีหนึ่งแล้วเขากลับมากี่โมงกี่ยามแกรู้มั้ย”
“ไม่...ไม่ทราบค่ะ หนูรอไม่ไหวเลยหลับ คุณภูมีกุญแจเข้าบ้านนี่คะ”
สลักโมโหเกรี้ยวกราดใส่สาวใช้
“โธ่ ทำไมแกถึงได้โง่ยังงี้นะนังมัย...โง่ๆๆๆๆ...โง่ยังงี้ ฉันถึงได้เสียหลานไปทั้งคน...แล้วนี่...ถ้านังศลัยมันไม่ยอม ฉันก็ต้องเสียเงินจ้างทนายฟ้องเอาหลานคืนเสียเงินเพราะความโง่ๆๆๆ ของแกคนเดียว...นังโง่!”
แววตาของละมัยสลดลง
เวลาเดียวกัน ศลัยลานิ่งขรึม สีหน้าทุกข์ตรอมหมองไหม้อยู่ที่สำนักงานทนายความ แต่เพียรภมรกลับมีแววที่เปล่งแสงไปด้วยความสุข เอื้อมมือมาแตะลำแขนที่นั่งกุมศีรษะเครียดๆ ของเพื่อนรุ่นพี่
“เราต้องเป็นฝ่ายรอให้เขาเคลื่อนไหว ถ้าคุณนายสลักต้องการตาหนูจริงๆ ทางโน้นก็ต้องแต่งทนายยื่นฟ้อง ในแง่ที่เลี้ยงดูตาหนูมาตั้งแต่เกิด ในแง่ที่พี่ศลัยไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแม่!”
ศลัยลาขมวดคิ้ว เหลือบสายตาขึ้นมองเพียรภมร
“หมายความว่ายังไง ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแม่ของลูกน่ะ”
“มันก็มีสองข้อด้วยกันที่สำคัญ...หนึ่ง..มารดาทุพลภาพไม่สามารถเลี้ยงดูบุตร สอง..มารดาเป็นผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม”
ศลัยลาฉงน “ไม่เหมาะสมยังไง...”
“มันมีข้ออ้างได้หลายเหตุผล ตั้งแต่มีอาชีพน่ารังเกียจ ไม่มั่นคง ไม่สามารเลี้ยงดูให้การศึกษาลูกได้ แต่ข้ออ้างที่เสื่อมเสียที่สุดก็คือ...มารดาเป็นผู้หญิงที่มีความประพฤติ...นอกใจสามี” เพียรภมรบอก
สีหน้าแววตาของศลัยลาตื่นตระหนก หวั่นไหวและหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“มีชู้!”
ฟากภูฉายกอดอกเดินไปมาเงียบๆ ในห้องรับแขก สีหน้าระทมทุกข์ ภาษิตนั่งดูทีวีอย่างไม่มีสมาธิอยู่ไกลๆ ส่วนนวลนภากำลังล้างขวดนมอยู่ตรงครัว
“ศลัยจะกลับสักกี่โมงครับ คุณแม่” ภูฉายถามขึ้นในที่สุด
“ไม่รู้เหมือนกัน ศลัยไม่ได้สั่งอะไรไว้ เมื่อเช้ากว่าจะออกไปทำงานได้ก็สาย มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องตาหนู นั่งซีภู ไม่ได้รีบไม่ใช่หรือ”
ภูฉายลังเล หันไปสบสายตาของภาษิต นวลนภาจูงมือมานั่ง
“นั่งลง แล้วทำใจเย็นๆ ผัวเมียกันมีเวลาหยุดให้กันสักหน่อย แม่ว่าจะได้มากกว่าเสียนะ”
ภูฉายชำเลืองมองไปยังภาษิต เห็นสีหน้าภาษิตมึนตึง
สีหน้าแววตาของภูฉายเหมือนยอมจำนน
“ขอบคุณครับ
ลายสือก้าวเข้ามาเงียบๆ ภูฉายไม่ได้สนใจ
ภาษิตรีบลุกขึ้นยืน ลายสือยกมือไหว้นวลนภา มองไปยังภูฉาย
“อ้าว ลายสือ ทำไมมาเงียบๆ”
ภาษิตแปลกใจเช่นกัน “เฮ้ย มายังไงวะ”
“เบนซ์ สองประตูยี่สิบหน้าต่าง สายแปดเก้า” ลายสือว่าขำๆ
“ยังมีอารมณ์ขันนี่หว่า นี่แสดงว่าอาการยังไม่เพียบหนักเหมือนคนบางคนว่ะ ไป ไปคุยกันข้างนอก”
ภาษิตดึงมือลายสือออกไป ลายสือและภูฉายสบสายตากันแว่บหนึ่ง
สีหน้าแววตาของภูฉายมองที่ตามลายสือไป โดยไม่ได้สนใจดังเดิม
ด้านสลักมีสีหน้าเคร่งเครียดกำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับผู้ช่วยภูฉาย ละมัยทำงานบ้านอยู่ใกล้ๆ
“เขากลับไปกี่โมงฮึ นภดล เอ..ก็น่าจะถึงบ้านแล้วนี่เขาไปกินข้าวกับลูกค้าอีกหรือเปล่า ไม่น่าไปนะ ที่บ้านก็มีเรื่องยุ่ง ไม่รู้กลืนข้าวลงคอได้ยังไง”
สลักกระแทกเสียง ก่อนที่จะวางสายลง สีหน้ายุ่งๆ
“หรือว่า...เขาจะไปตามลูกที่บ้านนังศลัยลา”
ลายสือกับภาษิตเดินคุยกัน สีหน้าเคร่งเครียดทั้งคู่
“ผู้ชายคนนั้นพี่เขยแกหรือ”
“ใช่ เขามารอพบพี่ศลัย คงตกลงเรื่องลูกน่ะ กูกับพี่ศลัยเสี่ยงข้อหาบุกรุกไปอุ้มออกมาจากบ้านยายคุณนายสลักว่ะ”
“แล้ว...เอ้อ...แล้วเด็กเป็นยังไงมั่ง”
“จะเป็นยังไง เด็กก็คือเด็ก กินอิ่มนอนหลับ สุขภาพดีแล้วก็ขี้เล่น”
“แล้วจะเกิดเรื่องยุ่งมั้ย”
“มันก็คงจะยุ่งน่ะนะ ไอ้เรื่องครอบครัวนี่ คนอื่นยุ่งมากก็ไม่ได้ ไอ้จะไม่ยุ่งเสียเลย กูก็สงสารพี่สาวกู เฮ้ย คืนนี้นอนด้วยกันมั้ยวะ ลายสือ”
“เอ้อ...ทำไมวะ กลัวพี่เขยงั้นหรือ”
“พี่ภูเขาไม่ใช่ผู้ชายถ่อยๆ นะ ไม่มีแม่เขาก็ดีไม่มีที่ติ ที่ชวนนอนด้วยกันก็เพราะ..กูอยากคุยกับมึง”
ลายสือพยักหน้ารับคำด้วยความดีใจ ที่จะอยู่ใกล้ๆ ศลัยลา
ด้านภูฉายนั่งขรึมอยู่ โดยมีนวลนภาทำงานอยู่มุมหนึ่งภูฉายค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ผมไม่รอแล้วนะครับ คุณแม่”
“ไม่รอแล้วหรือ”
“ศลัยอาจจะกลับไปบ้านโน้นก็ได้”
“แม่ไม่คิดว่าจะไปหรอกนะ ที่โน่นเข็มมันก็ดูแลได้ ตอนนี้ศลัยคงต้องกลับมาบ้านนี้เป็นส่วนใหญ่แล้วละ ภู”
นวลนภาเดินมาส่งภูฉายที่ประตู เอื้อมมือมาจับแขนของภูฉายบอกด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“ไม่ต้องห่วงลูกนะ ภู แม่เลี้ยงอย่างดีอยู่แล้ว หันหน้าเข้าพูดกันด้วยภาษาผัวเมียเหมือนเมื่อก่อนเถอะ ศลัยอาจจะทำอะไรที่อุกอาจไปหน่อย แต่คนเป็นแม่...ต้องทำเพราะแม่มีสิทธิ์ที่เลี้ยงดูลูกมากกว่าคนอื่น จะหาว่าแม่เข้าข้างศลัยก็ยอมละ เพราะแม่เป็นแม่”
ภูฉายมองหน้านวลนภา ไม่ตอบ ยกมือไหว้ก่อนขยับก้าวจะเดินออกไป
ภาษิตเดินนำลายสือเข้ามา ภูฉายเดินผ่านหน้าลายสือไป ลายสือมองตาม
“แม่ครับ คืนนี้ผมชวนลายสือมันค้างด้วย”
“ตามสบายนะ ลายสือ”
“ครับ คุณแม่”
ลายสือยิ้มๆ แล้วสีหน้าคลายลงขณะมองตามภูฉายไป ด้วยแววตาเคร่งขรึม
ฝ่ายศลัยลาและเพียรภมรเดินมายังรถยนต์ที่ลานจอดหน้าสำนักงานทนายความ
“กลับบ้านเถอะค่ะพี่ศลัย ดูแลตาหนูให้ดีนะ บางทีเราอาจต้องใช้ประโยชน์จากเด็ก”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“แล้วพี่ศลัยจะค่อยๆ เข้าใจไปเอง คดีที่เกี่ยวกับการแย่งผู้เยาว์นี่เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน ศาลจะต้องพิจารณาหลายซับซ้อน เพื่อให้เกิดผลดีกับเด็กมากที่สุด เด็กต้องเติบโตต้องเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม มันจึงเป็นคดีที่ต้องใช้เวลานาน ศลัย...กลับไปพักผ่อน แล้วทำใจให้สบายนะ”
เพียรภมรจูบงมือศลัยลามายังรถยนต์
“เพียรเป็นเพื่อนพี่ศลัยเสมอ”
“ขอบใจมากจ้ะ เพียร”
ศลัยลาขับรถยนต์ออกไป เพียรภมรมองตามไป ด้วยสีหน้าแววตาเจ็บปวด ท่าทีเคร่งขรึมลงอย่างคนที่มีปัญหาทางจิต
“แม่ หนูจะล้างแค้นให้แม่”
อ่านต่อตอนที่ 9