xs
xsm
sm
md
lg

ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8

ชารีฟเล่าเรื่องให้มิเชลล์ฟังเป็นฉากๆ จนเห็นเป็นภาพเหตุการณ์อย่างละเอียด เริ่มจาก ตอนที่ชารีฟอยู่ที่กระโจมของเขา กำลังหารือกับนายพลมุสกัต สีหน้าชารีฟเครียดเหลือเกิน

“เรามาทบทวนรายละเอียดของงานครั้งนี้อีกที ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดจะเดินทางมาผ่าตัดให้เจ้าชายโอมานในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ท่านจะต้องปลอมเป็นเขาและออกเดินทางไปแทนเขา ไปผ่าตัดเจ้าชายโอมาน และแทนที่จะผ่าตัด ท่านต้องฆ่าเจ้าชายแทน”
ชารีฟขมขื่น ซบหน้ากับฝ่ามือทั้งสองข้างพึมพำออกมา “ทำไมไม่เป็นคนอื่น”
“ทำไมไม่ให้คนอื่นไปน่ะหรือ ท่านราชองครักษ์ มีหลายเหตุผล ข้อที่หนึ่ง ทรงมั่นใจในฝีมือของท่าน มั่นใจความเฉลียวฉลาดรู้จักเอาตัวรอดของท่าน”
“นั่นคือดีหรือไม่ดี” ชารีฟตัดพ้อออกมาอีก
“ดีสิ...ดี ข้อสอง ไม่มีใครที่ทรงจะไว้ใจให้ทำงานนี้ได้ ต่อให้หาทั่วอานาอีซา”
ชารีฟทำหน้ายอมรับโดยดุษฎี
“ข้อสำคัญอยู่ที่ข้อสุดท้าย เพราะท่านมีเค้าโครงหน้าและรูปร่างเหมือนศาสตราจารย์โมฮัมหมัดมาก จนไม่มีใครจับได้”
ชารีฟจำต้องยอมรับ “เหตุผลทั้งสามข้อข้าพเจ้าปฏิเสธไม่ได้ แต่มีเหตุผลสำคัญมากที่ข้าพเจ้าต้องปฏิเสธกับองค์อาหเม็ดด้วยตัวเอง”
“ท่านว่าอะไรนะ ท่านจะปฏิเสธไม่รับทำงานนี้”
“ใช่ ข้าพเจ้าจะปฏิเสธไม่รับงานนี้”
“ท่านเดาได้หรือไม่ว่าองค์อาหเม็ดจะรับสั่งว่าอย่างไร”

ในกระโจมองค์อาหเม็ด แบ่งเป็นห้องบรรทมของสุลต่าน และห้องทรงงานส่วนพระองค์ด้วย โดยส่วนด้านนอกในกระโจม เป็นที่รับแขก
ในห้องทรงงานในกระโจมองค์อาหเม็ด เสียงองค์สุลต่านตบโต๊ะอย่างแรง จนเสียงก้องกังวาน ซ้อนกันหลายๆ ที ขนาดนายพลมุสกัตอยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งสุดตัว
ส่วนด้านในชารีฟจ้องหน้าอาหเม็ด สีหน้าตัดสินใจแล้ว องค์อาหเม็ดกัดกรามแน่น พยายามระงับ อารมณ์ซึ่งใกล้เดือดอย่างสุดความสามารถ
และถึงตอนนี้องค์อาหเม็ดตรัสเสียงต่ำเข้ม “เจ้านั่นแหละต้องไป ไม่มีคนไปแทน”
“ข้าพองค์ขอรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างที่จะทรงลงโทษ ยกเว้นสิ่งเดียวคือปลอมตัวเป็นศาสตราจารย์โมฮัมหมัดไปฆ่าโอมาน”
“และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะให้เจ้าทำ...สิ่งเดียวเท่านั้น”
“ข้าพเจ้าขอขัดขืนพระบรมราชโองการพระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดตบโต๊ะอีกสองสามที คราวนี้แรงและดังกว่าเมื่อกี้อีก
นายพลมุสกัตสะดุ้งมากกว่าเดิม
“บอกเหตุผลมา” สุ้มเสียงองค์อาหเม็ดจากเบาๆ แล้วดังขึ้นๆ จนสุดเสียง “บอกมาเหตุผลของเจ้าที่จะไม่ยอมทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้...บอกมา” ท้ายคำสุรเสียงดังสุด และพูดเร็วปรื๋อ
“อย่างที่ทูล ฆ่าคนในสนามรบข้าพระองค์ฆ่าได้ ทหารกบฏหน้าห้องบรรทมสามคนวันที่เกิดเหตุการณ์กบฏนั้น ข้าพระองค์ก็ฆ่าได้เพราะมันเป็นเหตุจำเป็น แต่ฆ่าคนบนเตียงผ่าตัดในฐานะแพทย์ ข้าพระองค์ทำไม่ได้ ข้าพระองค์ไม่สามารถใช้วิชาชีพปลิดชีวิตคนไข้ขณะที่เขานอนรอคอย ข้าพระองค์เป็นหมอ คนไข้เห็นหมอย่อมต้องการหายไม่ใช่ต้องการตาย ข้าพระองค์เป็นแพทย์จริงๆ ไม่ใช่แพทย์ปลอม เหตุใดพระองค์จึงไม่ให้แพทย์ปลอมๆ ไปปฏิบัติงานใต้ดินลับสุดยอดครั้งนี้”
“พอแล้วเจ้าชารีฟ” องค์สุลต่านลุกขึ้นทันที “ข้าไม่ฟังเจ้าอีกแล้ว แต่ถ้าเจ้าไม่ทำงานใหญ่ครั้งนี้ ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ทิ้งข้าไว้กลางทะเลทรายผืนนี้แล้ว เจ้าจะไปไหนก็ไป”
องค์อาหเม็ดกริ้วสุดขีด เดินออกไปทันที
ชารีฟพรวดไปดักข้างหน้า ลงนั่งราบกับพื้น ซาลามต่ำหน้าโขกกับพื้น ทว่าองค์อาหเม็ดเดินหลีกไปอย่างเลือดเย็น
ชารีฟ มองตาม แววตาผิดหวังเหลือเกิน

ที่หน้าห้องทรงงานขององค์อาหเม็ด ในกระโจม ที่แบ่งเป็นห้องบรรทมของสุลต่าน และห้องทรงงานส่วนพระองค์ด้วย โดยส่วนด้านนอกห้องในกระโจม เป็นที่รับแขก
นายพลมุสกัตกำลังอ้อนวอนอัลเลาะห์ ขณะองค์อาหเม็ดเดินออกมา มุสกัตหลบวูบ
สุลต่านเดินไปพูดไป “นายพลมุสกัต เจ้าก็สมควรตามชารีฟไป ข้าอยู่ได้กลางทะเลทรายนี้คนเดียว”
องค์อาหเม็ดลับตัวไปแล้ว นายพลมุสกัตยืนตะลึง ชารีฟโซเซออกมา
ชารีฟพยายามรวบรวมกำลังใจให้เข้มแข้ง จากไหล่ที่ห่อคอที่ตก ค่อยๆ หยัดยืนขึ้นเต็มตัว นายพลมุสกัตมองอย่างเข้าใจ และเห็นใจ
“ข้าพเจ้าจะวางหัวใจของแพทย์ไว้ที่นี้ และใช้หัวใจทหารให้เต็มตัวในการทำงานครั้งนี้”
นายพลมุสกัตตบบ่า “ดีมาก ชารีฟ ขอให้คิดเสมอว่าเราทุกคนเสี่ยงชีวิตครั้งนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อองค์อาหเม็ดแต่เพื่อชาติของเราแต่เพื่อชาวบ้านตาดำๆ ที่เราเคยพบ คนพวกนั้นลำบากเหลือเกินภายใต้อุ้งมือของเจ้าชายโอมาน สายของเราบอกว่าโอมานขูดรีดภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อเอาเงินไปซื้ออาวุธ
“จะมีอาวุธไปทำไมในเมื่อราษฎรยังหิวโหย”
“นั่นแหละคือคำถามที่ไม่มีคำตอบ”

“ท่านรู้หรือไม่ท่านนายพลมุสกัต ว่าใครจะไปกับข้า”

เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นในคืนเดียวกันนั้น ม่านกระโจมที่พักของชารีฟ ถูกเปิดออก เห็นการิมยืนเด่นอยู่ บุคลิกลักษณะแตกต่างไปจากเดิม หนวดเคราขึ้นเต็มหน้า

ชารีฟจ้องแล้วลุกขึ้นเต็มแรง การิมทำความเคารพต่ำ สีหน้าตื่นเต้น
“การิม”
“ข้าพเจ้า…การิมได้รับคำสั่งให้ร่วมงานยิ่งใหญ่ที่สำคัญยิ่งและที่เป็นความลับสุดยอดกับท่านราชองครักษ์ ข้าพเจ้าภูมิใจและเป็นเกียรติที่สุดแม้ว่าจะถึงตายก็ยอม” การิมบอกด้วยเสียงเข้มแข็ง เป็นทางการ
ชารีฟเดินมาจับแขน “ลุกขึ้น เราบอกมไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
สองคนกอดกันอย่างตื้นตันใจ
“เราภาวนาตลอดเวลาให้เจ้ารอดตาย รวมทั้งทหารอีกสองคน ที่เราให้ไปบ้านบิดาเราด้วย”
“ผมก็หวังเช่นนั้นครับท่านราชองครักษ์” การิมเปลี่ยนสรรพนามจากข้าพเจ้าเป็นผม
“ไหนเล่าไปซิการิม เจ้าหนีออกจากเมืองยังไง”
“ผมฆ่าทหารของเจ้าโอมานคนหนึ่ง แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของมัน”
ชารีฟหัวเราะเบาๆ “ไม่น่าเชื่อว่าเราใช้วิธีการเดียวกัน แล้วยังไง เข้าไปร่วมรบกะมันด้วยหรือ”
“รบกับใครก็ไว้ชีวิตเขาทั้งนั้นขอรับท่าน ปล่อยไปหลายคน”
ชารีฟหัวเราะชอบใจ “เออ…ไส้ศึกอยู่ปลายจมูกมันยังไม่รู้”
“ทหารกอง....” การิมหัวเราะเหมือนกัน “ไม่เคยจำชื่อกองทหารนั่นได้เลย ชื่อยาวๆ น่ะครับ”
“กองรักษาการณ์ ลาดตระเวน สอดแนม อะไรทำนองนี้”
“ครับ กองนั่นน่ะครับ มีทหารมาจากทุกทิศทุกทาง มั่วไปหมด ไม่มีใครรู้ระเบียบวินัยของทหารซักคน ลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว”
“ก็นั่นแหละที่โอมานต้องการ รู้จักฆ่าคนเท่านั้น”
สองคนลงนั่ง สีหน้าบ่งบอกทั้งเสียใจและเศร้าใจ
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ”
“ผมไปขอร่วมขบวนกับกองคาราวานที่เดินทางไปโอไอดะ”
“ทำไมถึงไปโอไอดะ มีตั้งหลายเมือง”
การิมมองชารีฟด้วยสายตาซื่อสัตย์มั่นคงดังเดิม เสียงสั่นด้วยความสะเทือนใจ “ผมภาวนา ขอให้พระอัลเลาะห์บันดาลให้ผมไปทางเดียวกับท่าน ผมรู้ว่าท่านต้องหาทางออกจากเมืองจนได้”
ชารีฟตบไหล่ แล้ววางนิ่งอยู่อย่างนั้น พยักหน้าแสดงความขอบใจด้วยท่าทางนั้น การิมไปรินน้ำจากเหยือกส่งให้ชารีฟ ชารีฟบอกขอบใจ
“แล้วมาถึงนี่ได้ยังไง”
“จากโอไอดะ ผมพบสายของนายพลมุสกัต เราเคยรู้จักกัน”
“โอ...เป็นโชคอย่างยิ่ง แล้วเจ้าไปไหนมา เรามาถึงหลายวันแล้ว”
“ผมออกลาดตระเวน เพิ่งกลับมาถึงเมื่อเช้านี้ นายพลมุสกัตบอกข่าวดีนี้ ผมดีใจเหลือเกินครับ ท่านราชองครักษ์”
“งานนี้เสี่ยงมากนะการิม เป็นหรือตายเท่ากัน”
“งานของท่านเสี่ยงกว่าผมหลายเท่า ท่านยังยอม ผมเป็นใครล่ะถึงจะยอมไม่ได้”

อีกเหตุการณ์ วันรุ่งขึ้น ที่ลานหน้ากระโจมที่ประทับขององค์อาหเม็ด
ทหารทั้งหมดยืนนิ่ง รอองค์อาหเม็ด โดยมีทหารแต่งชุดเบดูอินร้อยกว่าคน ยืนเข้าแถวห่างออกไป
องค์อาหเม็ดเดินออกมาจากกระโจม นายพลมุสกัต และนายพลท่านอื่นๆ นายพัน นายร้อย ยืนกันเต็มลาน
ทุกคนจ้องที่องค์อาหเม็ดที่กำลังเดินออกมา มายืนเด่นเป็นสง่า ทหารทุกคนทำความเคารพ ส่งเสียงเข้มแข็งฮึกเหิม
องค์อาหเม็ดพยักหน้ากับทุกคน แล้วชูมือให้เสียงอื้ออึงหยุดลง
“ขอให้ทุกคนเข้มแข็งและเชื่อเรา เราจะนำแผ่นดินฮิลฟารากลับมาให้พวกเราให้ได้ เราสัญญา”
เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้นอีก ทุกคนชูมือ ส่งเสียงร้องเชียร์เซ็งแซ่

องค์อาหเม็ดเดินเข้าในกระโจม ชารีฟ นายพลมุสกัต การิม และนายทหารยศสูง 2-3 คนเดินตาม

เวลาต่อมา องค์อาหเม็ดประทับนั่งเป็นประธานอยู่แล้ว ทุกคนรายล้อมรอฟัง

“ชารีฟเจ้าจะต้องปลอมตัวเป็นศาสตราจารย์โมฮัมหมัด ดูหน้าเขาไว้”
ภาพใบหน้าศาสตราจารย์โมฮัมหมัด เห็นชัดๆ ต่อหน้าทุกคน ซึ่งยืนมองรูปนั้นนิ่งๆ อย่างใช้ความคิดกันทุกคน
“ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดจะเดินทางมาผ่าตัดให้โอมานในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า” มุสกัตบอก
องค์อาหเม็ดเดินมาใกล้ชารีฟ ตบไหล่ “ดู ดูเขาให้เต็มตา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเจ้าจะต้องปลอมเป็น “เขา” ให้แนบเนียนที่สุดจนกว่า...”
ทุกคนนิ่งฟัง
องค์อาหเม็ดบอก “...จนกว่าเจ้าจะฆ่าโอมานตายแล้ว
ทุกคนยืนสงบเงียบ
“ไหนทวนสิว่าแผนการเป็นอย่างไร”
ชารีฟอธิบาย “ข้าพระองค์ไปกับร้อยเอกการิม” พลางผายมือไปทางการิม
การิมก้มซาลามต่ำ ถวายการเคารพ
ชารีฟพูดต่อ “เราจะไปรถไฟจนถึงเมืองชายแดนเล็กๆ เมืองนี้” พลางจิ้มลงไปบนแผนที่ “ข้าพระองค์จะไปพบคนคนหนึ่ง คนคนนั้นที่จะพาไปสมัครงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านของศาสตราจารย์โมฮัมหมัด ที่บ้านท่านศาสตราจารย์ ข้าพระองค์จะคอยสังเกตกิริยาท่าทีของเขาและทำให้เหมือนเขาให้มากที่สุด”
“ต่อจากนั้น...” สุลต่านถาม
“ข้าพระองค์จะออกเดินทางไปกับการิม”
องค์อาหเม็ดซัก “ไปไหน”
“ไปยังจุดที่ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดจะเปลี่ยนจากเรือบินโดยสารธรรมดามาเปลี่ยนเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์เพื่อบินไปฮิลฟาราเข้าห้องผ่าตัด ข้าพระองค์กับการิมจะรอเปลี่ยนตัวที่นั่น”
“อา...แผนการณ์ละเอียดลึกซึ้งดีเหลือเกิน แล้วยังไงต่อไป”
ชารีฟอธิบายแผน “ศาสตราจารย์จะถูกลักพาตัวไป ข้าพระองค์และการิมในฐานะหมอผู้ช่วยจะเดินทางเข้าฮิลฟาราแทน เริ่มงานผ่าตัด”
องค์สุลต่านชอบใจ “และฆ่ามัน ฮ่ะ..ฮ่ะ..ฮ่ะ เอาล่ะ ทีนี้แผนการของข้าสำหรับสนับสนุนการทำงานของเจ้านายพลมุสกัต”
นายพลมุสกัตอธิบาย “กองทัพของเราจะเข้ายึดฮิลฟารา หลังจากท่านราชองครักษ์และการิมเข้าไปในพระราชวัง และส่งสัญญาณพลุสีแดงให้รู้ว่าฆ่าโอมานได้แล้ว”
“ตลอดเวลาที่เจ้าอยู่ในวังกับโอมาน เจ้าต้องช่วยตัวเองชารีฟ ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่นเจ้ายังไม่ทันฆ่าโอมานเกิดสงสัยขึ้นมาหรือไอ้ทหารของมันคนใดคนหนึ่งเกิดสงสัย เจ้ากับการิมรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”
“พระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดหันมาอีกทาง “การิม”
“พระเจ้าค่ะ” การิมรับคำ
“ไหนบอกซิ ว่าจะทำอย่างไร”
ชารีฟกำลังจะพูด องค์อาหเม็ดโบกมือ “ทำอย่างไรก็ได้ ให้ปากเจ้าปิดสนิทไม่เอ่ยอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับกองทัพของเราที่จะบุกฮิลฟารา”
“ข้าพระองค์เป็นหมอ รู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองตายหลายวิธีพระเจ้าค่ะ”
ขาดคำของชารีฟ ทั้งห้องนิ่งเงียบลง สีหน้าแต่ละคนเป็นไปตามอารมณ์ตน
องค์อาหเม็ดมีสีหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ส่งเสียงเข้ม “ฆ่าโอมานบนเตียงผ่าตัด”
ชารีฟก้มลงมองดูมือตัวเองที่ประสานกันในท่าแสดงความเคารพ คิดครวญในใจ
“องค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่ มือสองข้างนี้เคยปฏิญาณว่าจะช่วยมนุษย์ที่เจ็บป่วยทั้งปวง ข้าปวดร้าวใจเหลือเกินที่จะต้องใช้มือทั้งสองข้างนี้ปลิดชีวิตคนในขณะที่เขากำลังอยู่ภายใต้ความช่วยเหลือของข้าพระองค์ ถึงโอมานสมควรตาย ข้าก็ไม่ควรฆ่าเขาบนเตียงคนไข้ อัลเลาะห์...พระผู้เป็นใหญ่แต่เพียงองค์เดียวในโลก ทรงพระกรุณาแก่ข้า ชารีฟบุตรแห่งเจ้าหญิงสุไบดา ผู้มีเลือดเดียวกันกับเจ้าชายโอมานด้วยเถิด ถึงโอมานจะมีเลือดผสมจากพระมารดาที่โหดเหี้ยม แต่ก็ยังมีเลือดแห่งราชวงศ์ฮิลฟาราปะปนอยู่ในองค์เช่นเดียวกับข้า ผู้มีเลือดแม่ในตัว ไม่มีงานครั้งใดที่ทรมานใจข้าเท่าครั้งนี้อีกแล้ว...องค์อัลเลาะห์... โปรดรับฟังคำวิงวอนจากข้าด้วย โปรดประทานหนทางที่งดงามกว่านี้เถิด อย่าให้ข้าต้องทำในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกเลย”
“ชารีฟ...ชารีฟ... ชารีฟ” องค์อหเม็ดสุรเสียงดังสุดๆ
ชารีฟสะดุ้งสุดตัว
“เรารู้ใจเจ้า แต่...เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว มีแต่เราอาหเม็ดที่สามแห่งฮิลฟาราเท่านั้นเป็นผู้เลือกเจ้า”

ทุกคนมองชารีฟเป็นตาเดียวกัน

วันต่อมา รถไฟขบวนนั้นแล่นทะยานไป ผ่านทะเลทรายที่อ้างว้างไปจรดขอบฟ้าข้างหน้า ในโบกี้รถไฟชารีฟ สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลปอนๆ ผ้าโพกผมสีขาวมัวซัว

เสียงองค์อาหเม็ดประโยคสุดท้ายยังดังก้องอยู่ในหัวหูราชองครักษ์
“เรารู้ใจเจ้า แต่...เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว มีแต่เราอาหเม็ดที่สามแห่งฮิลฟาราเท่านั้นเป็นผู้เลือกเจ้า”
ชารีฟหน้าหมองหม่น มือกำแน่นและรู้สึกถึงแหวนที่สวมนิ้วอยู่ ชารีฟค่อยๆ ถอดแหวนออกจากนิ้วแล้วเอาใส่ชายเสื้อผูกเป็นเงื่อนตาย

ชารีฟคิดถึงมิเชลล์ เหตุการณ์ในคืนก่อนออกเดินทาง ที่เล่าเรื่องจบแล้วผุดขึ้นมา ตอนเดินทางอยู่บนรถไฟ
“โอ้...ชารีฟ... ชารีฟ ฉันรู้แล้วว่าท่านจะทุกข์ใจขนาดไหน...ท่านจะทำได้ หรือคะงานที่ต้องฝืนใจทำขนาดนี้”
“ไม่ได้...มิเชลล์ ฉันคงทำไม่ได้”
มิเชลล์มีสีหน้าตรึกตรองว่าจะปลอบโยนชารีฟ อย่างไร
“ขณะนี้...เวลานี้ มีวิธีเดียวที่จะฆ่าโอมานได้...วิธีเดียวเท่านั้น”
“ค่ะ” มิเชลล์มองหน้า จะฟังต่อ
“ถ้าเราหวังผลโดยรวดเร็ว ไม่เสียเลือดเนื้อของทหารอีกมากมาย ไม่นองเลือด...ไม่มีอะไรวุ่นวาย คือโอมานต้องตายบนเตียงผ่าตัด”
มิเชลล์ท้วง “ทหารของเจ้าชายโอมานอาจจะฆ่าท่าน”
“ทหารของโอมานส่วนใหญ่เป็นทหารรับจ้าง ไม่ใช่ทหารอาชีพ พอเห็นเจ้านายตายมันก็คงแขนขาอ่อนกันทุกคน ไม่มีใครกล้าสู้หรอก” ชารีฟบอก
“ชารีฟ ท่านจะทำหรือคะ”
“ไม่...ฉันไม่...แต่...” ชารีฟทอดถอนใจ “ไม่มีใครทำได้นอกจากฉัน”
“ท่านทำไม่ได้นะคะ อย่าทำเลย ท่านจะต้องเสียเกียรติภูมิของแพทย์ ถ้าท่านทำท่านจะเป็นแพทย์ไม่ได้อีกตลอดชีวิต”
ชารีฟกุมหัว ทุกข์ใจจริงๆ
“องค์อาหเม็ดกับประชาชนชาวฮิลฟาราทั้งหมด ท่านไม่ต้องคิดถึงหรอกค่ะ จะลำบากอยากแค้นยังไงท่านไม่ต้องเป็นห่วง ท่านต้องคิดถึงตัวท่านเองก่อน อย่าเพิ่งไปคิดถึงใคร”
ชารีฟนิ่งงันจ้องหน้ามิเชลล์ รู้ดีว่ามิเชลล์แกล้งพูด
มิเชลล์สารภาพทั้งหมดด้วยสีหน้า ว่าแกล้งพูด
“โอ มิเชลล์ เธอนั่นเองเป็นคนตัดสินชะตาชีวิตของฉัน คำพูดแค่นี้เอง เพราะฉันคิดถึงแต่ตัวฉัน”
“ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ...ตัวท่านนั้นแหละ ฉันพูดเพราะฉันรู้จักท่านดี”
ชารีฟกอด สีหน้าซาบซึ้งใจ
“ท่านใช้หัวใจแพทย์” มิเชลล์แตะแล้ววนมือที่หัวใจของชารีฟ “คิดอย่างเดียวท่านยังไม่ได้ใช้หัวใจของทหาร”
ชารีฟพยักหน้า
“ยังไม่ได้ใช้หัวใจของข้ารับใช้เบื้องพระบาทองค์อาหเม็ด”
ชารีฟประคองหน้ามิเชลล์ทั้งสองมือ จูบพรมไปทั่วหน้า พึมพำเสียงพร่า
“ฉันจะขาดเธอได้อย่างไร จะจากเธอไปได้อย่างไร แค่คิดว่าอาจจะตายจากเธอ...”
มิเชลล์แตะริมฝีปากกับปากชารีฟ ทันที เบาๆ แผ่วๆ รวดเร็วมากๆ แล้วโผเข้ากอดรอบคอชารีฟกระซิบข้างหู เสียงหนักแน่นมาก
“หยุดคิดนะคะ...ไม่ต้องคิดเลย ท่านจะไม่ตาย ท่านไม่มีวันตาย เพราะถ้าท่านตาย ฉันจะ...จะ ฉันต้องตายตามท่าน ฉันจะตายตามท่านขอให้ท่านจดจำไว้ให้ดี...จำ...ไว้...ให้...ดีนะคะ”

พร้อมกับคำพูดประโยคสุดท้าย มิเชลล์ถอนตัวออกมา มองจ้องหน้าชารีฟอย่างแน่วนิ่ง
 
อ่านต่อหน้า 2

ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8 (ต่อ)

คำพูดของมิเชลล์ประโยคนั้น ดังขึ้นมาหลอกหลอนชารีฟซ้ำไปซ้ำมา

“ถ้าท่านตาย ฉันจะ...จะ ฉันต้องตายตามท่านไป”
ชารีฟมีสีหน้าปวดร้าวในใจลึกๆ
“ท่านราชองครักษ์” การิมกระซิบเบาๆ
ชารีฟชำเลืองไปรอบตัว ชาวเมืองที่อยู่บนรถไฟนั่งๆ นอนๆ หลับบ้าง เด็กวัยรุ่นคุยกันที่ทางเดินใกล้บันได ทางลง ผู้ชายอีกคนหลับสนิท กรนเสียงดังมาก
การิมกระซิบอีก “ไม่มีใครได้ยินหรอก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...เรียกใหม่”
“ชารีฟ” การิมทำสุ้มเสียงแบบคนชั้นต่ำ
“ฮื่อ”
“เมียข้าจวนจะคลอดแล้วนะ แกรู้หรือเปล่า”
“จริงหรือ คนที่เท่าไหร่”
“คนแรก”
“แม่เขาอยู่ที่ไหน...อานาอิซาเหรอ”
การิมพยักหน้า “ห่วงทั้งสองคนทั้งแม่ทั้งลูก” หน้าหมองลง
“ใครทำคลอดให้ล่ะ”
“หมอตำแยโบราณเลยล่ะ ความจริงข้าไม่น่าเล่าถึงเมียข้าให้ใครฟังหรอกมันผิดธรรมเนียมบ้านเรา...ผัวจะเอาเรื่องเมียมาเล่าให้ใครฟังไม่ได้เพราะมันผิดธรรมเนียม แต่แก...เป็น...” การิมพูดไม่มีเสียง “หมอ...ขอระบายหน่อย”
“เออ ระบายมาเถอะ” ชารีฟตบไหล่ “ข้าฟังได้ทุกอย่าง”
“เฮ้อ...อีกหน่อยงานเราเสร็จ แกกับข้าก็ต้องจากกันไป ข้า...ไม่รู้จะได้เห็นหน้าลูกหน้าเมียหรือเปล่า ส่วนแก...” การิมทำมือว่าสูงขึ้น...สูงขึ้นไป
“พูดเกินเหตุอย่าพูดอีกไม่ชอบฟัง เราสองคนลงเรือลำเดียวกันเท่าๆ กัน” เสียงชารีฟเบาลงทั้งประโยค “ไม่มีใครสูงต่ำทำงานให้เต็มที่...แค่นั้น อะไรจะตามมาไม่ต้องสนใจ”
การิมก้มหัวให้นิดๆ รับคำ
“ถึงสถานีอะไรเนี่ย...” ชารีฟมองชื่อ “ยังไม่ใช่ หิวมั้ย”
“รถไฟจอดรอรถสวน ลงไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” การิมบอก

ที่สถานีรถไฟอันพลุกพล่าน เสียงหวูดดังยาว รถไฟแล่นเข้าจอดที่ชานชาลา และเห็นฝูงลาเดินผ่านไปช้าๆ ซึ่งบนหลังลาตัวหนึ่ง เด็กชายผิวคล้ำ สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว เนื้อตัวมอมแมม กำลังกินแตงโมเห็นเนื้อแตงเต็มปากน้ำแตงโมไหลหยาดหยดลงมาสองมุมปาก
“แตงโมมันน่ากินจริง” การิมกลืนน้ำลาย
“โน่นไง” ชารีฟชี้มือไปทางหนึ่ง เห็นคนขายแตงโมกับแตงโมกองพะเนิน
“อา...วิเศษจริง”
ทั้งสองคนเดินผ่านผู้คนไปที่กองแตงโม สายตาชารีฟเหลือบชำเลืองมองดูรอบๆ แล้วหยิบเงินจากถุงหนังสกปรกที่เหน็บอยู่ข้างเข็มขัดมานับอย่างถี่ถ้วน นับแล้วนับอีก
“ทำท่าอยากจนแนบเนียนดีเหลือเกิน” การิมกระซิบอยู่ข้างๆ
“เราเป็นคนแปลกหน้า มีคนมองสังเกตเราอยู่ อาจเป็นตำรวจหรือทหารของโอมานก็ได้ พวกนี้เจ้าเล่ห์แสนกลทั้งนั้น”
“ไหน...อยู่ตรงไหนบ้าง” การิมทำท่าจะหันมามอง
“อย่าทำอย่างนั้น ระวังตัวหน่อย” ชารีฟเตือน
การิมทำท่าสนใจแตงโมเสียเต็มประดา ชารีฟเลยส่งเงินให้
“แกซื้อแตงโม ข้าจะไปซื้ออาหาร เห็นแล้วทางโน้นมีขนมปังไส้เนื้อย่าง”

ชารีฟเดินไปท่ามกลางผู้คนยากจนเหล่านั้น

ที่ร้านอาหารข้างถนน ซึ่งขายอาหารหลายอย่าง ชารีฟรู้สึกเหมือนมีใครมาเบียดจึงหันมาดู เห็นเด็กหนุ่มเบดูอินในชุดเสื้อคลุมมอซอสีน้ำตาล โสโครก บนหัวมีตะกร้าเก่าๆ ใส่ขนมปัง

เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีดำและลึก จ้องเขม็งมาที่หน้าชารีฟเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง “ช่วยซื้อหน่อย…สักก้อนก็ยังดี” พร้อมกับเบียดเข้ามาใกล้มากๆ
จนชารีฟเอนตัวหนี
“ถึงท่านไม่ซื้อ ข้าก็จะตามไปขายบนรถไฟอยู่แล้วน่า” เด็กหนุ่มบอกเป็นนัย
“ไม่ซื้อ อย่ายุ่งน่า...” ชารีฟดึงตัวเองห่างออกมา
“ช่วยคนยากคนจนนะนายท่าน” เด็กหนุ่มยื่นขนมปังให้แทบจะยัดใส่มือ หัวแม่มือข้างหนึ่งจิกเข้าไปในเนื้อขนมปัง นัยน์ตายังจ้องหน้าชารีฟเขม็ง
ชารีฟชักเอะใจ มองนัยน์ตาเป็นคำถาม แล้วหยิบเหรียญสองอันยื่นให้ รับขนมปังมา
“ซาลาม อาไลกุม” เด็กหนุ่มโค้งแล้วโค้งอีก แล้ววิ่งหายไป
ชารีฟบีบขนมปังในมือพบว่าแข็งโป๊ก
เด็กหนุ่มวิ่งไปถึงมุมตึก แล้วหายลับตัวไป แต่สักครู่ก็โผล่หน้ามาแอบดู เห็นชารีฟเอาขนมปังยัดใส่กระเป๋าเสื้อ เด็กหนุ่มจุ๊ปากจิ๊กจั๊กไม่พอใจ ลุ้นให้กิน
“วะ...กินสิ...กินขนมปัง...บิออก...บิออกดู”

ชารีฟรับขนมปังยัดใส่เนื้อย่าง 2 คู่ จากคนขายแล้วเดินกลับมาที่รถไฟ เด็กหนุ่มคนเดิมวิ่งออกมาอย่างเร็ว ชนเต็มแรงจนกระจาดขนมปังแตกกระจาย ตัวเองเสียหลักลงไปนั่งกับพื้น
“ชนข้าต้องให้เงินข้า” เด็กหนุ่มบอก
“ไอ้…” ชารีฟเงื้อมือจะเขกหัว “เด็กเวรนี่”
“เอาเงินมา ไอ้ผู้ใหญ่ซุ่มซ่าม” เด็กหนุ่มไม่ยอมรามือ
ชารีฟคว้าคอเสื้อเด็กหิ้วมา การิมยืนถือแตงโมคอยอยู่ที่รถไฟ เสียงหวูดรถไฟดังลั่น ชารีฟโยนเด็กหนุ่มกระเด็นไป ตัวเองจะขึ้นรถไฟ เด็กหนุ่มวิ่งมาคว้าขาชารีฟที่กำลังจะก้าวขึ้น ดึงไว้เต็มแรง ชารีฟจับราวไว้แล้วก็เลยเหมือนชักคะเย่อกัน
ชารีฟบอก “ปล่อย”
เด็กหนุ่มไม่ยอมปล่อย “กินขนมปัง ขึ้นราหรือยังครับท่าน”
การิมโมโห “ไอ้เด็กเวร ไอ้ผีเปรต”
เด็กหนุ่มย้ำคำ “ขนมปังขึ้นรา...เขียวเป็นจ้ำๆ ข้างในก็ปิ้งไม่สุก..ท่านรู้หรือเปล่าว่าพี่สาวของข้าเป็นคนทำ นางโง่แล้วก็เซ่อ..ขนมปังที่ขึ้นรา..เขียวเป็นจ้ำๆ เปิดข้างในดูซี..แป้งก็ไม่สุกสนิท กลืนไม่ลง ไม่ขายให้หมดนางก็จะตบเอา”
ชารีฟขมวดคิ้วดกดำของเขาอย่างครุ่นคิด รถไฟออกแล้ว ชารีฟกลับลงจากรถไฟไม่ยอมขึ้น
“ท่านทำอะไรน่ะ เราจะต้องกระโดดจับรถไฟให้ทัน กำหนดให้ลงสถานีข้างหน้าไม่ใช่รึ นี่ท่านมาเดินทอดน่องทำไมกัน” การิมงุนงุนสงสัย
ชารีฟไม่ตอบเดินไปตามถนนทรายซึ่งบัดนี้เงียบเชียบลงทีละน้อยๆ หยิบขนมปังในกระเป๋าขึ้นมาพลิกดูราเขียวเป็นจ้ำๆ และข้างในขาวด้าน ปิ้งไม่สุก
ชารีฟฉีกขนมปังก้อนนั้นอย่างรีบร้อน พึมพำเสียงเบาๆ ออกมาว่า
“นี่ไง…คำสั่งครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วอย่างนี้” กระดาษสีขาวซ่อนอย่างมิดชิดที่ด้านในของขนมปังก้อนนั้น “สายของนายพลมุสกัตแจ้งด่วนมาว่าสถานีเล็กที่กำหนดให้ลง มีตำรวจและทหารคึกคัก คำสั่งเปลี่ยนให้เราออกจากเมืองนี้ด้วยรถบรรทุกแตงโมซึ่งจะเดินทางไปยังเมืองที่กำหนด”
“ถ้าอย่างนั้น เขาจะให้เราขึ้นรถบรรทุกคันไหน รถที่จะออกจากเมืองนี้ไปยังเมืองท่าชายทะเลมีเป็นขบวนยาวจะตาย แถมตำรวจทะเลทรายก็ตรวจตราซะขนาดนั้น” การิมบ่น

“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายน่า การิมออกไปให้พ้นบริเวณรถไฟก่อน ต้องมีข่าวมาอีกซิน่า”

ชารีฟกับการิมเดินมาอีกจุด ตรงบริเวณมุมตึก ขอทานเงยหน้ามอง การิมผ่านไปแล้ว แต่ชารีฟสะดุดใจกับดวงตาคู่นั้นดำคมและแกร่งกร้าว ผิดกับสารรูปทรุดโทรมมอมแมมที่แสดงอยู่ภายนอก

ขอทานคนนั้นเอ่ยขึ้น
“ขนมปังขึ้นรา เขียวเป็นจ้ำ ข้างในปิ้งไม่สุก ขาวด้าน...ท่านกินไม่ได้ ขอให้คนแก่เป็นทานก็ยังดี”
ชารีฟเหลียวมองรอบๆ แล้วเดินไปหยุดยืนใกล้ๆ
“ขนมปังกระจาดนั้นหกหมดแล้ว นังพี่สาวของเด็กนั่นโง่และเซ่อ ขายไม่หมดนางก็จะตบเอาจริงหรือ”
ชารีฟนั่งลง ถามเสียงมีความหมาย
“จริง” ขอทานเสียงหนักแน่น แล้วลดเสียงแผ่วเบา “รถบรรทุกสีเขียวหมายเลขสี่สิบสอง คนขับชื่ออับดุลลา บอกเขาว่ามีขนมปังขึ้นราจะแบ่งให้อีกหนึ่งก้อน เขาจะพาท่านและผู้ช่วยไปเมืองท่า ระหว่างทางจงอย่าพูดเรื่องลับกับเขาเป็นอันขาด เขามีหน้าที่พาท่านไปส่งจนถึงเมืองท่านั้น” ขอทานกระซิบเสียงชัดเจน แล้วเจ้าขอทานผู้นั้นก็ก้มหน้าต่ำอยู่กับกระป๋องเก่าๆ ตรงหน้า
ชารีฟหยิบเหรียญเงินออกมาโยนให้ก่อนจะลุกขึ้น และเดินไปตามทางเบื้องหน้า การิมกระซิบ
“ข้าพเจ้าสงสัยว่าการผ่าตัดของเจ้าชายโอมาน เหตุใดจึงกินเวลาเตรียมการนานนัก โรคนี้รอได้หรือท่าน”
“ไม่มีกรณีรีบด่วนอะไรนักหรอกการิม เฮอร์เนียหรือไส้เลื่อนเป็นโรคที่รอได้ถ้ายังไม่ปวด เจ้าชายโอมานทรงเชื่อใจหมอคนนี้เท่านั้น การผ่าตัดจึงประวิงเวลาไปเกือบเดือน รอให้ศาสตราจารย์กลับจากต่างประเทศเสียก่อน เขาไปประชุมที่สวีเดน ปัญหาของเราอยู่ที่คนที่จะพาเราเข้าไปเป็นคนรับใช้ต่างหาก เขาจะยังจะช่วยเรารึเปล่า”
“ข้อนั้นหายห่วงเถิดท่าน บ้านของศาสตราจารย์คนสำคัญของเรามีคนรับใช้นับไม่ถ้วน เป็นบ้านโบราณเก่าแก่ สายของเราเป็นญาติสนิทกับหัวหน้าคนรับใช้ฝ่ายชาย เขาจะพาไปให้เป็นคนสนิทท่านศาสตราจารย์เองเลย ท่านจะได้สังเกตเขา ปลอมเป็นเขาได้อย่างแนบเนียน” การิมบอก
“งานนี้....พระผู้เป็นเจ้า...ต้องทำงานหนักด้วยเพื่อช่วยคนทั้งประเทศ”

ตรงลานรถบรรทุก ซึ่งจอดเรียงกันอยู่เป็นตับ สองคนเดินมาบริเวณนั้น สอดส่ายสายตาหารถเป้าหมาย
“สีเขียวเบอร์ 42” การิมทวนคำ
“จอดอยู่แถวโน้นแหละ ไปดูกันเถอะ” ชารีฟบอก
“มีทหารเดินตรวจ”
“ตามฉันมา ทำท่าปกติด้วย”

สองคนเดินใกล้ขบวนรถเข้าไปทุกที

ผู้คนขวักไขว่เนื่องจากเป็นด่านออกรถ ต่างเดินไปมาแทบจะชนกัน บางคนชนเข้าไปแล้วก็มี แสงอาทิตย์ลำสุดท้ายหายไปจากบริเวณนั้น ความมืดโรยตัวเข้ามาแทนที่

ชารีฟสอดส่ายสายตาไปตามหมายเลขอย่างร้อนรน “มืดแล้ว เร็ว...ช่วยกันดูการิมเดี๋ยวจะมองไม่เห็น”
รถบรรทุกเริ่มเคลื่อนออกจากบริเวณดังกล่าวทีละคัน ทิ้งฝุ่นทรายละเอียดฟุ้งอยู่เบื้องหลัง
“นั่น” การิมกระซิบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ใช่” ชารีฟตอบมาด้วยเสียงตื่นเต้นเดียวกัน “เบอร์ 42 สีเขียว”
“คนขับนั่งรอเราอยู่แล้ว”
“ไปเถอะ”
ทั้งสองคนขยับไปอย่างเร็ว แต่แล้วต้องชะงักกึก หยุดโดยแรง เมื่อมีทหาร 2 คน เดินหักมุมสวนมาอย่างกะทันหัน ทหาร1ร้องโวยวายถาม
“เฮ้ย...ใครวะ”
ทหาร 2 เข้ามาซัก “มาเดินด้อมๆ มองๆ ทำไม”
ทหาร 1 เข้ามาจิกการิมให้เงยหน้าขึ้น
ไวเท่าความคิด ชารีฟแกล้งทำเป็นตาบอดทันที เงื้อมือเงอะงะไปข้างหน้า
“น้องชายข้า...เจ้าไปไหน อย่าทิ้งข้าไปนะ”
การิมไวพอกันรับลูกทันท่วงที “ถ้าแม่ไม่สั่งไว้ก่อนตาย ข้าจะไม่มีวันช่วยเหลือแกเลย ไอ้พี่ชายเฮงซวย...เกิดมาเป็นภาระจริงๆ”
ชารีฟร้องไห้สะอึกสะอื้นลงไปนั่งก้มหน้าต่ำท่าทางโศกเศร้าเหลือแสน ทหาร 2 คนเลย มองดูเผินๆ ไม่ใส่ใจมาก
“มันเป็นพี่ชาย...ตาบอด แม่สั่งให้ข้าเลี้ยงมันตลอดชีวิต ดูสิ...ท่าน นายร้อยทหารผู้เป็นใหญ่” การิมพูดป้อยอ
ทหาร 1 ออกอาการเขิน “เปล่า...ข้าไม่ใช่...”
ทหาร 2 ยืดอกรับยศนายร้อย “ใช่ ข้านายร้อยทหารแห่งกษัตริย์โอมาน”
ทหาร 1 เบิ๊ดกบาลเพื่อนไปทีหนึ่ง ทหาร 2 จ๋อย หัวเราะแหะๆ
“อยากเป็นนายร้อยว่ะ”
“เออ...งั้นแกสองคนไปได้” ทหาร 1 บอก
สองคนทำเป็นงกๆ เงิ่นๆ ไป
ทหาร 1 ดันเรียกไว้อีก “เดี๋ยว”
สองคนชะงักกึกหันมา ชารีฟแกล้งบิดต่อไขว่คว้าการิมไม่ให้หนี ส่วนการิมก็รับลูกทำท่ารำคาญ
“แกเป็นคนดี...ขอให้อัลเลาะห์คุ้มครอง” ทหาร 1 บอก
ทั้งสองคนทำท่าซาบซึ้งมาก คำนับรับคำ แล้วรีบหันหลังกลับอย่างรวดเร็วให้ทหาร พลางสบตากัน
“ความดีมีทุกแห่งในโลกนี้”

ชารีฟพึมพำ สองคนเดินไป

อ่านต่อหน้า 3 

ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8 (ต่อ)

ตรงบริเวณที่มีรถบรรทุกจอดอยู่หลายคัน เวลาตอนกลางคืน ชารีฟเดินเลียบขบวนรถหลายคันไปเรื่อยๆ การิมตามไปติดๆ

ชารีฟพึมพำ “รถสีเขียว เบอร์ 42”
แล้วมองไปเห็นเบอร์ 42 ติดอยู่ข้างรถสีเขียวคันหนึ่ง ชารีฟชะเง้อขึ้นไปดูที่คนขับ แต่ต้องตกใจ เมื่อเห็นเท้า คนขับรถคันนั้นลอยอยู่
อับดุลลา คนขับรถ นอนไขว่ห้าง ร้องเพลงภาษาอะไรมั่วๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ชารีฟเคาะประตูรถเบาๆ
อับดุลลายังคงร้องเพลงอยู่อย่างนั้น ไม่สะดุ้งสะเทือนจนการิมชักโมโห ทำท่าจะลากเท้าอับดุลลาออกมา
ชารีฟห้ามไว้ แล้วดึงการิมห่างออกมา คอยทีอยู่
การิมกระซิบถาม “ทำไมล่ะท่าน”
ชารีฟทำหน้าปราม
การิมเปลี่ยนสำเนียงพูดเสียงดัง ทำท่าสนิทสนมกัน “เอาไงดีแก”
“เดี๋ยวมันก็มามองหาเราเองแหละ”
อับดุลลาร้องเพลงอยู่ แล้วหยุด นึกในใจ เอ๊ะทำไมเงียบไป เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีคนมามอง สักครู่จึงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น ชะโงกมอง ทุกอย่างเงียบงัน ไม่มีอะไรแถวนั้นเลย
อับดุลลาเปิดประตูรถ ค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาแล้วกระโดดลงมา เดินอ้อมไปหลังรถตัวเอง เพื่ออ้อมกลับมาที่เก่า
อับดุลลาเดินไป จนเลี้ยวกลับมาที่เก่า แล้วต้องชะงัก เห็นชารีฟกับการิมยืนแอบๆ อยู่ อับดุลลาสะดุ้งสุดตัว
แต่รวบรวมสติ แล้วเดินผ่านช้าๆ
อับดุลลาพูดกับลมแล้ง “มีขนมปังรึเปล่า”
ชารีฟบอกทันที “มี แต่ขึ้นราเขียวเป็นจ้ำ เรามีเหลือจะแบ่งให้อีกก้อนเดียว”
อับดุลลารู้กันแล้ว
สักครู่หนึ่ง ผ้าใบข้างหลังรถบรรทุกถูกเปิดขึ้น
“ปีนขึ้นไปด้านหลังนี้ หลังกองสินค้านั่นมีช่องว่างพอจะนั่งซุกตัวได้ พวกท่านต้องนั่งอยู่ตรงนี้ไปไหนไม่ได้เลยนะ..ไปไหนไม่ได้จำไว้”
“เราไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้ว” ชารีฟบอก
“สั่งไว้ก่อน สั่งไว้ก่อน” อับดุลลาพูดซ้ำๆ
“จะพาเราไปถึงไหน” การมถาม
“ถึงเมืองท่าข้างหน้า แล้วจะไปขึ้นเรือ..ไปขึ้นเรือนะ” อับดุลลาพูดซ้ำอีก
“ทำไมมันต้องพูดจาซ้ำซากวะ” การิมงง
ชารีฟส่ายหน้านิดๆ ว่าอย่าพูดมาก
“เราจะพักรถสองครั้งที่โรงกาแฟริมถนน สองครั้งนะ เราจะพักรถสองครั้ง”
“รู้แล้วเว๊ย..ไม่ต้อง…” การิมฉุน จะพูดต่อ
ชารีฟเตะขาเข้าที่หนึ่ง เป็นเชิงเตือน การิมรีบหุบปาก
“เราเข้าใจแล้วว่า ต้องเงียบ” ชารีฟบอก
“ดี..ดี..เงียบอย่างเดียว จำไว้นะ เงียบอย่างเดียว” อับดุลลาว่า
การิมโมโห ขยับตัว ชารีฟขยุ้มคอด้านหลัง แล้วดึงให้ถอยไปด้านหลัง แล้วชารีฟก็ปีนขึ้นไป พยักหน้า นัยน์ตาดุๆ ให้การิมปีนตาม สองคนคลานไปซุกอยู่ท่ามกลางกองสินค้า ที่ยังมีไม่มากเท่าไหร่
“เมื่อไหร่ถึงเมืองที่ว่า” ชารีฟถาม
“พรุ่งนี้เช้า” อับดุลลาเดินผละไป
สองคนมองหน้ากัน
“ไอ้เวรเอ๊ย มันพูดซ้ำพูดซากน่ารำคาญจริงๆ”
“บอกเขาให้หยุดพูด และไม่ต้องพาเราไป...เอามั้ย” ชารีฟบอก
การิม หยุดพูด ปิดปากเงียบ
ชารีฟมองไปรอบๆ อย่างสังเกตสังกา “เขาคงพาฝ่าทะเลทรายไป”
“หวังว่าคงไม่เจอ...พายุทราย”
ได้ยินคำท้าย สีหน้าชารีฟทันที คิดถึงมิเชลล์ขึ้นมาทันทีทันใด
ภาพจำตอนพายุทรายหวีดหวิว ขณะชารีฟกับมิเชลล์พยุงร่างฝ่าพายุมาด้วยกันผุดขึ้นในห้วงคิด

ชารีฟยกแหวนในมือขึ้นจูบเบาๆ

ขณะเดียวกันมิเชลล์ปรนนิบัติพระชายา รินเครื่องดื่มจากกาทองเหลืองใส่ถ้วยใบจิ๋ว สองมือประคองส่งให้เจ้าหญิงพระชายา

พระชายาจิบเครื่องดื่ม มองหน้ามิเชลล์นิ่งๆ
มิเชลล์มองต่ำ สีหน้านิ่ง มีความโศกเศร้าบางๆ แผ่ไปทั้งใบหน้าสวยนั้น พระชายาเชยคางดูหน้ามิเชลล์ฝืนยิ้มให้นิดๆ
“ถ้าต้องทุกข์ เพราะคิดถึงใครสักคน ก็ยังดีกว่าไม่มีใครให้คิดถึงเลย”
มิเชลล์ตื้นตันจับมือพระชายาจุมพิตเบาๆ แล้วทำความเคารพต่ำ
“ชารีฟจะต้องพยายาม รักษาตัวเอง เพื่อกลับมาหาเจ้า มิเชลล์”

ในเวลาต่อมา สินค้าถูกขนขึ้นรถโดยคนงาน 2 คน เป็นกระสอบใหญ่ๆ หนักๆ และโยนโครมลงมาบนหัวการิมพอดี
การิมเงยหน้าอ้าปากจะร้อง มือชารีฟอุดปากไว้ทันที การิมรู้สึกตัวพยักหน้าหงึกๆ ว่าจะระวังตัว ชารีฟจึงปล่อย คนงานขนของมาโยนโครมๆ ติดๆ กัน ชารีฟและการิม หัวกระเทือนไปมาจากแรงโยนของกระสอบสินค้า
สองมือของสองคนคุ้มหัวไว้ไม่ให้สะเทือน จนสุดท้ายมีเสียงดังโครมใหญ่ แล้วทุกอย่างจึงเงียบไป
ชารีฟและการิม นิ่งสนิทไม่กล้าขยับ จนสักครู่เสียงเงียบไปสนิท สองคนเงี่ยหูฟังเสียง
ยินเสียงฝีเท้าคนหลายคู่เดินห่างออกไปทุกที เสียงฝีเท้าจางลงๆ จนไม่ได้ยิน
สองคนขยับตัวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วชะงักเมื่อสบตากับนัยน์ตาคู่หนึ่งที่จ้องเขม็งอยู่ สองหนุ่มใจหายวับ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่จ้องตากันอยู่อย่างนั้น
มือของชารีฟกดมือการิมไว้แน่น พบว่าในมือการิมมีมีดแล้ว
ในที่สุดคนงานคนนั้นก็ยิ้มทีละนิดๆ จนเป็นยิ้มกว้าง หน้าตาเป็นมิตรมาก แล้วจากนั้นก็ผละไป สองคนถอนใจเฮือกใหญ่

เวลาต่อมาแสงไฟหน้ารถส่องสว่างไปไกลยังเบื้องหน้า รถแล่นโขยกเขยกไปเรื่อยๆ บนถนนในทะเลทรายสองคนหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน
ชารีฟ ชารีฟลืมตาขึ้น สายตาเศร้าหมอง คิดถึงแต่มิเชลล์ ภาพ มิเชลล์ในอิริยาบถต่างๆ แสนสวยผุดขึ้นมาอีก
ชารีฟพยายามสะบัดหน้าเหมือนไม่อยากคิด แล้วรถก็จอดเบรคเต็มแรง ชารีฟตกใจชะโงกไปดู

ที่ข้างรถ ทหาร 2 คน ท่าทางเข้มงวด หน้าตาดุ เสียงดัง
“ลงมา” ทหาร 1 เรียกเสียงดุ
“มีอะไรหรือท่าน...มีอะไร”
ระหว่างนี้ทหาร 2 เดินเอาท้ายปืนกระแทกรถเต็มแรง “ถามทำไมวะ”
อับดุลลารีบลงมาอย่างรวดเร็ว
ทหาร 1 ถามทันที “มีอะไรในรถ”
“ของเอาไปขาย…ของที่จะไปขายที่...”
“ของอะไร” ทหาร 2 เป็นคนถาม
อับดุลลาตัวสั่นงันงก “ก็ของใช้ครับผม ของใช้ทั่วๆ ไป”
ทหาร 2จับขยุ้มคออับดุลลา เข้ามาใกล้ๆ แล้วเขย่าแรงๆ “ก็บอกมาสิวะ ว่าอะไรมั่ง...บอกมา”
“ก็..มี..เอ้อ...”
ทหาร 2เบิ๊ดกบาลเข้าไปเต็มแรง
อับดุลลาพูดเร็วปรื๋อ “เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าตัดเสื้อ รองเท้า เครื่องกระป๋อง สมุด ปากกา ดินสอ กระเป๋า แป้ง ทำขนมปัง ผงซักฟอก...”
ทหาร 1บอก “พอ...พอแล้ว”
“ไปได้นะท่าน” อับดุลลาขยับตัวจะขึ้นรถ “จะไปล่ะนะ...ไปแล้วนะ”
ทหาร 2 ร้องเสียงดัง “เฮ้ย...ทำไมต้องพูดจาซ้ำซากอย่างนี้วะ” พร้อมกับคว้าคอเสื้อข้างหลังดึงเต็มแรงจนอับดุลลาหน้าหงาย
 
แล้วบอกทหาร 1เสียงดัง “ไปตรวจ”

ทหาร 1 กระโดดขึ้นมาค้นของในรถ จับเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา สาดไฟฉายฉายไปทางโน้นทางนี้ ชารีฟและการิม ชารีฟสงบนิ่ง มีแต่นัยน์ตาที่เตรียมพร้อม

การิมนั้นกำลังตกใจพอสมควร แต่ชารีฟตบไหล่เบาๆ การิมสงบลง สองคนหมอบและรอคอย
ทหาร 1 ตรวจตรงโน้นตรงนี้ แล้วในที่สุดก็จะเลิกตรวจ พอจะลงจากรถ ทหารชะงัก มองจ้องมา เห็นรองเท้าการิมโผล่ออกมาจากกองผ้า ทหารจ้องเป๋ง
ชารีฟสะกิดการิมเตือนให้ใจเย็น การิมอ้าปากค้าง หัวใจแทบหยุดเต้น

ทหาร 1เรียกทหาร 2 “เฮ้ย มาดูอะไรนี่” พร้อมกับเหลียวไปชะโงกเรียกทหาร 2
การิมสบตาชารีฟ ชารีฟสายตาบอกชัดเจนว่าให้ทำอะไร
ทหาร 2 เดินมา ทหาร 1 ชี้ให้ดูรองเท้า
“อะไร” ทหาร 2 ถามงงๆ
ทหาร 1 บอก “รองเท้า”
“ก็เห็นแล้วว่ารองเท้า แล้วไง”
ทหาร 1 ถาม “ใครใส่”
“อ้าว...รองเท้าของคนนะ...คนก็ต้องใส่น่ะสิ”
ทหาร 1นัยน์ตาโต “ใคร”
“อาจจะเป็น...คนที่เรากำลังหาอยู่”
“เหรอ...” ทหาร 1 ทำท่าจะไปเรียกเจ้านาย
ทหาร 2 ร้อง “เฮ้ยเดี๋ยว...จับมันก่อน” ค่อยๆ ย่องเข้าไป “ข้าจะจับมันนะ...เอาเลยนะ” แล้วจิ้มปลายปืนเข้าในรองเท้าข้างหนึ่ง แล้วงัดลอยขึ้นมา รองเท้าลอยไปตกไปนอกรถ
ทหาร 2 หงุดหงิด “โธ่เอ๊ย”
ทหาร 1 จ๋อยที่สุด
การิมโล่งอกจนออกนอกหน้า ส่วนชารีฟ ยังสงบนิ่ง
“ท่านฉลาดจริงๆ ที่ให้ข้าพเจ้าถอดรองเท้า ว่าแต่” ดูเท้าที่ไม่มีรองเท้าพลางถาม “จะทำยังไงต่อไป”

อับดุลลา พา การิม และชารีฟ มาพักที่ร้านกาแฟกลางทะเลทราย ซึ่งหลังคามุงด้วยใบอินทผลัม
เจ้าของร้านกำลังเทน้ำมันเบนซินลงไปในทราย ที่อยู่ในกระป๋องแล้วจุดไฟ ไฟลุกพรึ่บ
ชารีฟ และการิม จิบน้ำชาร้อนๆ การิมใส่รองเท้าข้างเดียว
อับดุลลากินขนมปังอยู่อีกทาง ปนเปกับพวกชาวคาราวานที่อยู่ในทะเลทราย คุยกันเสียงเบาๆ ชารีฟเห็นหันมาสบตากับการิม

สองคนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในรถที่แล่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดของทะเลทราย ในที่สุด 3 คนมาถึงเมืองท่าแห่งหนึ่งตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ชารีฟลืมตาเหลียวมองไป เห็นแสงสว่างแสบตา รีบปลุกการิม
“ถึงไหนแล้วท่าน”
“คงจะเป็นเมืองที่เขาว่าจะมาส่งเรา”
อับดุลลาเดินมาหา “จอดตรงนอกเมืองนี่ก่อน แต่ท่านจะต้องรอจนกว่าจะค่ำนะ รอจนค่ำนะ”
การิมตาเหลือก “หา..รอทำไม..นี่เพิ่งเช้ามืด ทำไมไม่ไปเลยล่ะ”
“อยากเจอทหารหรือตำรวจล่ะ แถวนี้มีเยอะเลย อยากเจอมั้ย”
การิมจ๋อย
“รอที่ไหน ในรถนี่เหรอ”
“รอในโกดังเก็บของที่ท่าเรือ เดี๋ยวนะ ข้าพเจ้าไปดูซิว่าอยู่ได้มั้ย จะไปด้วยกันเลยก็ได้นะท่าน...ไปมั้ย จะไปด้วยกันมั้ย...ไปได้เลย”
การิมทำหน้าเบื่อหน่ายที่อับดุลลาพูดจาซ้ำซาก

ที่โกดังเก็บของเวลาต่อมา อับดุลลากำชับ 2 คน
“ท่านซ่อนอยู่แถวนี้แล้วกัน ค่ำๆ เจ้าของเรือจะมารับ ตอนนี้หมดหน้าที่ข้าพเจ้าแล้ว..อย่าลืมนะค่ำๆ จะมีเรือมารับ อยู่แถวนี้นะ”
อัลดุลลาพูดซ้ำไปซ้ำมา แล้วจะเดินจากไป ชารีฟเรียกไว้
“เดี๋ยว” ชารีฟควักกระเป๋า หยิบเงินส่งให้
อับดุลลานิ่งไป มองสบตาการิม การิมพยักพเยิดให้ว่า...เอาเงินไปซิ

“ข้าพเจ้ารับไม่ได้หรอก...รับไม่ได้” อับดุลลาว่า

ชารีฟเอาเงินใส่มือ จับมือจนอับดุลลากำเงินไว้

“ก็เท่านั้น” การิมพึมพำเสียงเบาๆ
“ที่ข้าพเจ้าทำนี้ไม่เคยคิดถึงค่าจ้าง ถ้าคิดถึงค่าจ้าง..ไม่ทำหรอก..ไม่ทำ”
การิมงง “เอ๊า..ไม่คิดค่าจ้างแล้วทำทำไม ได้อะไรขึ้นมา”
“ข้าพเจ้า...” อับดุลลาตอบเสียงชัดเจน “เป็นคนของท่านราชองครักษ์”
การิมหันขวับมามองหน้าชารีฟ ชารีฟยังคงนิ่งสนิท
“ใช่ ข้าพเจ้านับถือ ชื่นชม บูชา ท่านราชองครักษ์พันเอกชารีฟมาก”
สองคนสบตากันอีก อับดุลลาพนมมือ เงยหน้ามองสูงขึ้นไป หลับตา
“เคยเห็นรึเปล่า..ท่านราชองครักษ์น่ะ” การิมถามกวนๆ
อับดุลลาเงยหน้ามองการิม สีหน้าโกรธๆ “ท่านเยาะหยันข้าพเจ้ารึ”
“อะไร้..ถามดีๆ”
“ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นตัวท่านราชองครักษ์ก็จริง แต่ข้าพเจ้ารู้เรื่องของท่านทั้งหมด พวกทหารตามป้อมชายแดนทุกคนรู้จักท่านเพราะได้รับสิ่งของเครื่องใช้ที่ท่านอนุเคราะห์มาให้เสมอๆ เรารู้ว่าท่านเป็นคนยังไง เราเชื่อ เราเคารพท่าน ไม่เกี่ยวกับการเคยเห็นหรือไม่เคยเห็นตัวท่านหรอก” อับดุลลาพูดเร็วไม่ซ้ำซาก สุดท้ายกระแทกเสียงใส่หน้าการิม แล้วลุกพรวดไปทันที
การิมมองหน้าชารีฟ แล้วหัวเราะเก้อๆ ท่าทางนอบน้อมกับชารีฟอย่างเดิม
“เข็ดมั้ย”
การิมหัวเราะจ๋อยๆ
อับดุลลาเข้ามาอีก “ข้าพเจ้าจะไปล่ะนะ ถ้าท่านเจอท่านราชองครักษ์ช่วยเรียนท่านว่า ข้าพเจ้าทำงานให้ท่านสำเร็จแล้ว”
“หมายความว่าไง” ชารีฟจ้องหน้า
อับดุลลาจ้องชารีฟนิ่งอึดใจหนึ่งจนชารีฟอึดอัด
“พาท่านสองคนมาส่งครั้งนี้ เพราะท่านราชองครักษ์สั่งมา”

สองคนลงนั่งในโกดัง การิมท่าทางยำเกรง แบบผู้น้อย
“เชิญท่าน” พลางเอากระดาษแข็งๆ ตรงนั้นปูให้ชารีฟนั่ง
“อย่าลืมเลยว่าเราไม่ใช่ราชองครักษ์”
“ยามปลอดคนข้าพเจ้าอดไม่ได้ ยิ่งได้รู้เห็นความสำคัญของท่านอย่างนี้ยิ่ง”
“การิม กองทัพไม่ได้อยู่ได้ด้วยนายพลคนเดียว ทุกคนรวมกันก่อให้เกิดเป็นกองทัพ”
การิมซาลามต่ำมาก
ชารีฟทอดตัวนั่งสบายๆ การิมเหลียวมองไปรอบๆ
“พรุ่งนี้ ขึ้นจากเรือ ใครจะพาไปบ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด”
“ญาติของข้าพเจ้า รับรองในความซื่อสัตย์”
“เราอยากไปดูหน้าท่านศาสตราจารย์ก่อนจะได้ไหม”

วันต่อมา ขณะที่ สองคนยืนเตร่ๆ อยู่ข้างหน้าบ้านของศาสตราจารย์โมฮัมหมัด โดยมีผ้าคลุมหัว ดูไม่เห็นหน้าของชารีฟ และการิมถนัดนัก
รถของศาสตราจารย์โมฮัมหมัดแล่นมา
คนขับรถลงไปเปิดประตูบ้าน ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดลงมา ใบหน้าเหมือนชารีฟราวกับคนเดียวกัน
ชารีฟเดินมาที่การิม การิมมองตา ชารีฟพยักหน้ารับรองว่าหน้าเหมือนกันจริงๆ
“บอกเป็นฝาแฝดยังเชื่อเลย” การิมว่า

ไม่นานต่อมา ภายในบ้านพักที่เป็นที่เก่าห้องเล็กๆ การิมกำลังจัดแจงแต่งหน้าให้ชารีฟให้ดูเป็นคนสูงวัย แต่ไม่ให้ดูเหมือนศาสตราจารย์โมฮัมหมัด แต่งเสร็จชารีฟเอากระจกส่องดู
“เมื่อท่านศาสตราจารย์มองเห็นหน้าคนรับใช้คนใหม่ เขาจะต้องไม่ตกใจว่าหน้าเหมือนเขา เราจึงต้องแต่งให้แปลกกว่าหน้าจริงของท่าน”
ชารีฟดูกระจก ดูไปดูมาอยู่อย่างนั้น
 
“เขาไม่ตกใจหรอก เพราะนี่เราก็ยังจำตัวเองไม่ได้เลย”

อ่านต่อหน้า 4

ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8 (ต่อ)

วันต่อมาศาสตราจารย์โมฮัมหมัดเปิดประตูบ้านออกมา เห็น การิม คนนำทาง และชารีฟซึ่งแต่งตัวปอนๆ แต่สะอาดสะอ้านยืนอยู่หน้าบ้านสลอน

“ข้าพเจ้านำคนรับใช้ใหม่มาให้ท่านศาสตราจารย์ อย่างที่ท่านศาสตราจารย์สั่งไว้” คนนำทางญาติการิมบอก
ศาสตราจารย์มองจ้องชารีฟ แล้วหันมาจ้องการิม จากนั้นหันมาจ้องชารีฟอีก
สองคนชักใจไม่ค่อยดี แต่ชารีฟนิ่งสงบ สายตาซื่อตรงมองศาสตราจารย์ตลอด และศาสตราจารย์มอง
ชารีฟอย่างพอใจ ขณะถาม
“คนไหนหรือ”
ชารีฟโค้งอย่างสุภาพ “ข้าพเจ้า”
ท่านศาสตราจารย์โล่งใจ “อา…ดีมาก ขอบใจมาก” พลางหันไปบอกญาติการิม

ในเวลาต่อมา โมฮัมหมัดเดินนำชารีฟ เข้ามาในบ้าน ชารีฟ สีหน้าไม่สบายใจเลย มองด้านหลังของโมฮัมหมัดจนสะดุดพรมคะมำไปข้างหน้า ตัวกระแทกกับโมฮัมหมัดเต็มแรง
โมฮัมหมัดเซจนล้ม แต่ชารีฟจับตัวไว้จนเซและล้มไปทั้งคู่นอนเคียงกัน หน้าต่อหน้าจ้องมองกัน
โมฮัมหมัดจ้องนัยน์ตาคบกริบ ชารีฟทำหน้าระล่ำระลัก นัยน์ตาตระหนก สีหน้าเซ่อซ่าเกรงกลัว
“ใครควรจะลุกขึ้นก่อน”
“เอ่อ...” ชารีฟหน้างงงวยอยู่ไปมา “ใครลุกก่อน”
โมฮัมหมัดพึมพำตาม “นั่นสิ...ใครจะลุกก่อน”
“ไม่...ไม่ทราบ” ชารีฟบอก
โมฮัมหมัดบอกเสียงเข้ม “เจ้านั่นแหละ..ลุกขึ้นก่อน และประคองเราให้ลุกขึ้นในฐานะที่เราเป็นเจ้านายของเจ้า”
“อ้อ..อ้อ จริงสิ” ชารีฟรีบลุกรวดเร็ว แต่รีบร้อนจนคะมำไปอีกนิด “ขอโทษนายท่าน”
ชารีฟดึงตัวโมฮัมหมัดขึ้นมา ยืนตรง แล้วซาลาม หยิบกระเป๋าที่กระเด็นไป แล้วเดินออก
“เดี๋ยว!” โมฮัมหมัดเสียงดังมาก
ชารีฟชะงักกึก ตกใจมาก
“มานี่”
ชารีฟค่อยๆ หันกลับไป “ข้าพเจ้าจะไปที่ห้อง”
“มาตรงนี้ก่อน”
โมฮัมหมัด ออกเดินนำไป ขาเขยกนิดๆ ชารีฟ รวบรวมสติ แล้วเดินตามไป

สองคนอยู่อีกห้องหนึ่งในบ้าน โมฮัมหมัด หันกลับมาอย่างรวดเร็วจนชารีฟตกใจ
“เจ้าเป็นใคร”
ชารีฟตกใจแต่ระงับไว้อย่างรวดเร็ว “ข้าพเจ้า เอ่อ.. ไม่เข้าใจ”
“เจ้าตกใจง่าย ตกใจอยู่ตลอดเวลา มีอะไรทำให้เจ้าเป็นเช่นนั้น”
“อ๋อ..เอ่อ..เพราะ...เพราะข้าพเจ้าไม่เคยรับใช้เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่”
โมฮัมหมัดทวนถาม “ใครยิ่งใหญ่”
“ใครยิ่งใหญ่” ชารีฟทวนคำถามถ่วงเวลาหาคำตอบ “ใครยิ่งใหญ่น่ะหรือ”
“เจ้าดูผิดปกติ…มีพิรุธ ข้าชักสงสัยเสียแล้ว”
“ให้อภัยข้าพเจ้าเถิดท่านศาสตราจารย์ ข้าพเจ้าทราบแต่ว่าท่านเป็นหมอใหญ่... ใหญ่มาก ท่านเก่งมาก ใครๆ ก็ร่ำรือว่าท่านเป็นหมอเทวดา ข้าพเจ้าไม่เคยอยู่ใกล้คนใหญ่โตอย่างนี้ จึงประหม่ายิ่งนัก”
โมฮัมหมัดมีท่าทางผ่อนคลายขึ้น แต่ยังจ้องเขม็งอยู่ “ทำไมเขาจึงเลือกเจ้ามารับใช้ข้า”
“ข้าพเจ้าขอร้องและยืนยันว่าจะขอมารับใช้ท่าน”
“เพราะอะไร”
“ข้าพเจ้าเป็นคนเซ่อซ่า โง่เขลาเบาปัญญา อยากฉลาดมั่ง”
โมฮัมหมัดหัวเราะเสียงดังมาก “เออ...”
ชารีฟหัวเราะด้วย แต่ทำท่าทางเหมือนคนชั้นต่ำหัวเราะ โยกตัวไปมา โมฮัมหมัดหยุดทันที ชารีฟที่ยังหัวเราะอยู่ แต่แล้วค่อยๆ จ๋อยเงียบลง
“อายุเท่าไหร่เจ้าน่ะ”
“สามสิบแปดนายท่าน”
“อ่อนกว่าเรานิดหน่อย เจ้ารู้มั้ยว่าเจ้าหน้าเหมือนข้า”
ชารีฟจับหน้าตัวเอง “ก็... มีคนพูดเหมือนกับนายท่าน”
“ก็ไม่เหมือนทีเดียวหรอก แค่มีเค้าเหมือน เอาล่ะ เจ้าไปได้” ศาสตราจารย์เปลี่ยนเสียงเป็นคำสั่ง

ชารีฟหันหลังเดินออก ลอบถอนหายใจยาวโล่งอก

ชารีฟเริ่มงานปรนนิบัติศาสตราจารย์โมฮัมหมัด ไปพร้อมๆ กับเก็บทุกกิริยาอาการของศาสตราจารย์ชื่อดัง ทั้งคอยเปิดประตูบ้านให้ เมื่อโมฮัมหมัดเดินเข้า ชารีฟพิจารณาวิธีการเดินของโมฮัมหมัด

ชารีฟรับเสื้อคลุมไปแขวน โมฮัมหมัดยืนคิดอะไรบางอย่าง ใช้นิ้วชี้ทาบสันจมูก ชารีฟลอบมองสังเกต
พอศาสตราจารย์โมฮัมหมัดนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว ชารีฟเอาอาหารมาวางให้ โมฮัมหมัดยิ้มมุมปากให้ ต่อมาโมฮัมหมัดนั่งลงที่ห้องรับแขก ชารีฟหยิบหนังสือ ยกกาชาและขนมไปวางให้ รินชาใส่ถ้วย ใส่น้ำตาล 1 ก้อนจะใส่ก้อนที่สอง ศ.โมฮัมหมัดยกมือห้าม ทำนิ้วว่าก้อนเดียวพอ
ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดจะออกจากบ้านไปทำงาน ชารีฟเดินถือกระเป๋าหนังสือไปส่ง ซาลามอย่างต่ำ
โมฮัมหมัดออกไป สีหน้าแววตาชารีฟสมใจว่า ตัวเองทำงานได้สำเร็จแล้ว

ที่วังกษัตริย์โอมาน อีกวันหนึ่ง ซาอิ๊บ และทหารคนสนิททุกคนเฝ้าอยู่พร้อมหน้า
“ปล่อยข่าวไป..ไอ้ชารีฟปลงพระชนม์กษัตริย์อาหเม็ดแล้วหนีเตลิดไป” องค์โอมานบอก
คนสนิทรับคำ
“ตอนนี้มันกำลังคิดกบฏต่อเรา เพราะฉะนั้น...”
ทุกคนตั้งใจฟัง
“เห็นมันเมื่อไหร่..จับตาย..ให้มันตายคาที่ อยู่ตรงไหน..ตายตรงนั้น”

ชารีฟปลอมตัวเป็นศาสตราจารย์โมฮัมหมัดแล้วจะเข้าประตูบ้าน การิมโผล่มาจากข้างๆ บ้าน ทำมือควักเรียก
ครู่ต่อมาสองคนอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆ ชารีฟ ประคองกล้องยาสูบในอุ้งมือซ้าย หมุนไปมานิดหน่อย แล้วยกขึ้นแตะปากนิดๆ ก่อนจะคาบไว้ที่มุมปาก
“เขาทำอย่างนี้ทุกครั้งก่อนจะสูบ ต้องหมุนไปมาอย่างนี้”
ชารีฟยิ้มมุมปาก
“เขาไม่เคยยิ้มเห็นฟัน ยิ้มอย่างนี้ทุกครั้ง มุมปาก”
ชารีฟลุกขึ้นเดิน
“ขาซ้ายเขาไม่ดีเพราะตกม้าตั้งแต่ยังเด็ก ต้องเดินตะแคงข้างนิดๆ ไม่สังเกตอาจไม่รู้หรอก อย่างนั้น” ชารีฟทำท่าเดินให้ดู “เวลาเขาใช้ความคิดเขาจะเอานิ้วชี้ทาบสันจมูกแบบนี้นะ..แล้วก็คิด...คิด”
“ท่านต้องทำท่าเซ่อซ่าไหมเวลารับใช้เขา” การิมถาม
“พอดีๆ ไม่ต้องมากเกินเหตุ” ชารีฟบอก
“นั่นแหละงานหนัก ข้าพเจ้ากลัวท่านจะซ่อนเร้นสีหน้านัยน์ตาฉลาดเฉลียวไว้ไม่ได้”
ชารีฟหน้าหมองลงทันที “การิม...เราเป็นทุกข์มากงานนี้ รู้ไว้ด้วยนะว่านี่เป็นงานที่ทำให้เราเป็นทุกข์มาก” ว่าแล้วารีฟนั่งลง...ก้มหน้านิ่ง
“ท่านทำในหน้าที่ขององครักษ์ขององค์อาหเม็ด ท่านไม่ใช่แพทย์อีกต่อไป”
ชารีฟสวนคำ “แต่เราเป็น...เรายังเป็นหมอ” ราชองครักษ์อัดอั้นมาก ตบอกเบาๆ “เรายังมีจรรยาแพทย์” ถึงตอนนี้น้ำตาคลอเต็มตา “จรรยาแพทย์ยังอยู่ในตัวเรา”
การิมพลอยเศร้าไปด้วย
ชารีฟพยายามข่มอารมณ์กดลึกลงไป “มีข่าวอะไรเปลี่ยนแปลงมั้ย การิม”
“ไม่มี ทุกอย่างตามแผนเดิมอีกสิบห้าวันท่านศาสตราจารย์จะออกเดินทาง”
ชารีฟย้ำคำกับตัวเอง

“สิบห้าวัน...สำหรับงานยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต...สิบห้าวัน”

โมฮัมหมัดเดินเข้าบ้านมา ส่งกระเป๋าเอกสารให้ชารีฟ

“คนอื่นไปนอนหมดแล้วรึ”
“ใช่ขอรับ”
โมฮัมหมัดเดินไปนั่งทอดขาที่เก้าอี้ท่าทางเหนื่อยล้า
ชารีฟเอาแก้วน้ำชาร้อนกรุ่นๆ มาวาง
“เบื่อมั้ย…ต้องรับใช้ผิดเวลา” ศาสราจารย์ถาม
ชารีฟคำนับ ทำสุ้มเสียงแบบพวกคนชั้นต่ำ “ไม่เบื่อเลย ข้าพเจ้าเต็มใจอย่างมากเลย นายท่าน”
“ก่อนอื่นหัดพูดให้เรียบร้อยกว่านี้ พูดชัดๆ เก็บปากเก็บคำ” โมฮัมหมัดบอก
ชารีฟรับคำ “เก็บปากเก็บคำ”
“ให้ชัดๆ อย่าพูดปล่อยๆ คำ”
“ขอรับนายท่าน” ชารีฟรับแข็งขัน ชัดเจน
“นั่นแหละ ใช่แล้ว”
ศาสตราจารย์โมฮัมหมัดมองชารีฟอีกอย่างเพ่งพินิจ จนชารีฟเริ่มอึดอัด
โมฮัมหมัดถามในที่สุด “เจ้าเป็นเผ่าเบดูอิน”
ชารีฟก้มหัวรับคำ
“เจ้าอายุเท่าไหร่นะ อ้อ…สามสิบแปด เจ้าบอกแล้ว รูปร่างเจ้าสันทัดแบบเบดูอิน มีครอบครัวหรือยัง”
ชารีฟหน้าเศร้าลงนิด “ยังเลยนายท่าน”
“เบดูอินมักจะร่อนเร่ไปตามโอเอซิส ไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็นอย่างนี้เป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว ทำไมเจ้าถึงมาทำงานอยู่กับที่”
“ข้าพเจ้าเบื่อชีวิตพเนจร นายท่าน”
“อิสระดีไม่ใช่รึ”
“อยากหาความเจริญใส่ตัวน่ะนายท่าน จึงอยากรับใช้คนเก่ง คนฉลาด”
โมฮัมหมัดยิ้มนิดๆ ท่าท่างบ้ายอเล็กน้อย
“เราจะเดินทางไปทำงานพิเศษในดินแดนของเจ้า ค่าจ้างนั้นแพงมากพอที่เราจะมาลงทุนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ถ้าสำเร็จเราจะให้เจ้าทำงานด้วย”
“ขอบพระคุณนายท่าน นายท่านจะไปทำงานพิเศษนี้เมื่อไหร่”
“อีกสองอาทิตย์” โมฮัมหมัดบอก
สีหน้าชารีฟ รับฟังอย่างสาสมใจ

เวลาต่อมาชารีฟหยิบรองเท้าแตะมาวางให้ศาสตราจารย์ที่หน้าห้องน้ำ แล้ววางชุดนอนบนเก้าอี้ พาดอย่างเรียบร้อย
จากนั้นเดินไปเปิดผ้าคลุมเตียง พับไปพักบนเก้าอี้นวม พร้อมกับตลบชายผ้าห่มแบบพนักงานโรงแรมทำ
ชารีฟตบหมอน 2-3 ที แล้วฉีดน้ำหอมไปทั่วๆ ในห้อง
ศาสตราจารย์โมฮัมหมัด ก้าวออกมาจากห้องน้ำ สวมเสื้อคลุม เป็นเวลาพอดีกับที่ชารีฟวางถ้วยชาควันกรุ่น ๆ ลงบนโต๊ะเล็กข้างโซฟา
โมฮัมหมัดกวาดตามอง พลางใส่รองเท้า “ทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าไปได้...ขอบใจ”
ชารีฟซาลามแล้วเดินออกไปเบาๆ

ตรงลานประลองกำลังใกล้กระโจมที่ประทับองค์อาหเม็ดเวลานั้น
องค์อาหเม็ดประทับมองการประลองกำลังของทหารคู่ฝึกคู่หนึ่ง การประลองกำลังเป็นไปอย่างดุเดือดยิ่งนัก ที่สุดองค์อาหเม็ดพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย หันมาทางนายพลมุสกัต
“นายพลมุสกัต กองทัพดูพร้อมเพรียงเต็มขีดแล้ว”
“พะย่ะค่ะ พร้อมเต็มที่แล้ว”
“ทวนแผนอีกทีซิ”
“เมื่อราชองครักษ์ชารีฟในร่างของศาสตราจารย์นายแพทย์โมฮัมหมัด ฆ่าองค์โอมานได้สำเร็จ กองทัพของเราจะเคลื่อนเข้าฮิลฟาราทันที”
“เราสงสัยเหลือเกินว่าโอมานจะยอมให้ฆ่าง่ายๆ รึ”

สีพระพักตร์องค์อาหเม็ดดูเป็นกังวล

ที่ห้องทรงงานภายในวังของกษัตริย์โอมาน อีกวันหนึ่ง องค์โอมานมองทหารทีละคน โดยในตอนนี้รู้แผนการฝ่ายตรงข้ามหมดแล้ว

ทหารสนิททุกคนก็มองด้วยสายตารับรู้ซึ่งกันและกัน
“โรคเฮอร์เนียของข้ามันชักจะกำเริบขึ้นทุกที...น่ากลัวจะต้องรีบผ่าตัดเสียแล้วไม่งั้น” สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที “มันก็จะทำให้เจ็บปวดอยู่อย่างนี้”
หน้าตาทหารรับรู้กันหมด ลึกๆ ในหน้า กษัตริย์โอมานหยิบมีดวงเดือนขึ้นมาดู ลบคม
“เปลี่ยนเวลาผ่าตัดให้มันเร็วขึ้น…เราคอยไม่ไหวแล้ว”
องค์โอมานพูดจบ ก็ขว้างมีดควงลิ่วไปปัก ณ ที่แห่งหนึ่ง ในห้องทรงงาน มีดสั่นพริ้ว เสียงดังสะท้อนก้องกังวานฟังแล้วน่ากลัว
“สิบห้าวัน นานไป” องค์โอมานคำรามในลำคอ

ที่บ้านศาสตราจารย์โมฮัมหมัด คืนเดียวกันนั้น
“เจ้าจัดกระเป๋าให้ข้าด้วย เตรียมของไว้พอสองอาทิตย์ ตัวเจ้าเตรียมตัวไปกับข้าด้วย”
ชารีฟชะงัก แต่ระงับความตกใจไว้ ถามเบาๆ “เดินทางเมื่อไหร่นายท่าน ทำไมต้องรีบจัดล่ะท่าน”
“พรุ่งนี้” โมฮัมหมัดบอก
คำพูดกระแทกเข้าใบหน้าชารีฟเต็มแรง
โมฮัมหมัดเห็นพอดี “เป็นอะไร ตกใจอะไร เอ...หรือว่า เจ้ามีคู่รักอยู่ไม่อยากจากไป...เถอะน่ะ” พร้อมกับตบไหล่ปลอบ “ไม่นานก็กลับมาแล้ว”
“ทำ..ทำไมล่ะท่าน ทำไมต้องไปเร็วอย่างนั้น”
“อย่างนี้แหละ คำสั่งใหม่มา พวกเจ้านายเงินหนามีสมบัติพัสถาน มีอำนาจ จะเนรมิตจะสั่งอะไรก็ได้ทั้งนั้นเราเบื่อเสียจริง”
“ท่านไม่ยอมไม่ได้หรือ ท่านก็เป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีฝีมือ จะมาสั่งง่ายๆ แบบนี้ ท่านอย่าไปยอม” ชารีฟวางท่าฮึดฮัด แบบพวกนักเลง คนชั้นต่ำ
โมฮัมหมัดเพ่งมอง สายตาตำหนิ ชารีฟจ๋อยลง
“คนที่เราจะไปรักษาเขาน่ะ ไม่ชอบให้ใครโต้แย้ง ถ้าเขาได้ยินเจ้าพูดอย่างนี้ ยังไม่ทันจบ เจ้าก็ตายแล้ว”

ชารีฟตัวหงอลงไป สีหน้าซึ่งก้มอยู่นั้นไม่สบายใจมาก ที่แผนเปลี่ยนกะทันหันแบบนี้

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น