ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 5
ที่วังกษัตริย์โอมานที่ 1 เวลาเดียวกัน องค์โอมานเดินตรงเข้าหา ฟารีดาลุกพรวดจะเดินหนี
“ฟารีดา หยุด...”
ฟารีดาไม่ฟังเสียง
โอมานเดินพรวดจับข้อมือฟารีดา ลากมาอย่างแรง
“ปล่อยนะ”
โอมานยังลากมา
“ปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีอะไรจะพูด และไม่อะไรจะฟังคนทรยศต่อแผ่นดิน”
โอมานเลือดขึ้นหน้า เหวี่ยงแรงจนฟารีดาหมุนสองรอบสามรอบไปฟุบอยู่
“อย่าเรียกข้าคนทรยศอีก ข้าทำลงไปเพื่อให้เจ้าได้เป็นพระราชินี”
“ไม่จริง เจ้าพี่ทำให้ตัวเองเป็นกษัตริย์ เจ้าพี่อยากเป็นกษัตริย์เพราะเจ้า แม่ของเจ้าพี่พูดใส่หัวเจ้าพี่ตั้งแต่เล็กๆ ว่า...” ฟารีดาพูดอย่างรวดเร็ว
โอมานเหวี่ยงหลังมือเบาๆ ใส่หน้า ฟารีดาหวีดร้องฟุบลงไปอีกแต่ยังพูดต่อ
“...ให้เจ้าพี่แย่งชิงราชบังลังก์”
โอมานตวาด “หยุด...อย่าจ้วงจาบถึงแม่ข้า ถ้าได้ยินอีกคำเดียวเจ้าตาย”
“ฆ่าหม่อมฉันเลย หม่อมฉันไม่กลัวตาย”
โอมานหน้าเครียด จ้องเขม็ง “ฆ่าเจ้ารึ ฟารีดาเราไม่ฆ่าหรอก เรามีวิธีที่จะให้เจ้าแค้นใจจนกระอักออกมาเอง”
โอมานตบมือแรงๆ ตะโกนก้อง “เฮ้ย...”
ไม่นานต่อมาต่อมา ฟารีดานั่งสีหน้าอึดอัดมาก จ้องมองไปข้างหน้า เห็นสาวสวย 3 นาง แต่งเสื้อผ้าบางเบา กำลังร่ายรำตามจังหวะดนตรี ท่าทางเร่าร้อนยั่วรักกับองค์โอมานที่ไขว่คว้า ลวนลาม จาบจ้วง
ฟารีดานั่งหน้าเครียดที่เก้าอี้ มีอะไรบังอยู่ พวกสาวๆ ไม่เห็น แต่องค์โอมานเห็น สักครู่ฟารีดาขยับตัวจะลุกไป โอมาบอกทั้งๆที่กำลังยุ่งอยู่กับสาวๆ
“ยังไปไม่ได้”
ฟารีดาชะงัก แล้วขยับอีก
“ถ้าไป อีนัง 3 คนนี้ตายหมด”
ฟารีดาหยุดกึก อีนัง 3 คนที่ว่า ก็หยุด หน้าตาตื่น
“เฮ้ย...เต้นต่อ ไม่ต้องหยุด เราพูดเล่น”
“พูดเล่นกับใครเพคะ” 1 ใน 3 สาวถาม
“กับตัวเราเอง ทำหน้าที่ของเจ้าไป เร็ว ถ้าไม่อยากตาย”
ฟารีดาเจ็บใจเหลือเกิน
วันหนึ่ง ฟารีดานั่งเศร้าอยู่ในตำหนัก แล้วนึกแค้นขึ้นมา ก่อนจะเศร้าอีก ข้าหลวงจะมารินชาถวาย ฟารีดาส่ายหน้าโบกมือ
“เสวยหน่อยนะเพคะ ไม่ได้เสวยอะไรเลยนะเพคะ” ข้าหลวงทูล
ฟารีดายืนขึ้น เหลือบไปเห็นซาฟีน่าส่งสายตาเข้มลอบมองอยู่ พอสบตาก็รีบหลบวูบ ฟารีดาแปลกใจ สีหน้าครุ่นคิด ตรึงตรองหนัก ชำเลืองมองซาฟีน่าอีกที สองคนสบตากันอีก
“ซาฟีน่า” ฟารีดาเรียกเสียงเข้ม
“เพคะ”
“เจ้าทำความดีความชอบอันใดถึงถูกส่งมารับใช้เรา อยู่วังหลวงดีๆ ไม่ใช่รึ”
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”
“เป็นไปไม่ได้ เจ้ารึจะไม่รู้ อย่าปิดบังเรานะ เจ้ารู้ดี”
“ไม่ทราบจริงๆ เพคะ”
ฟารีดาเสียงดังมาก “โกหก!”
ซาฟีน่าสะดุ้ง
ข้าหลวงทั้งนั้นสะดุ้งเงยหน้า หันหน้าดู
“บอกเรามาดีๆ เจ้าถูกส่งให้มาทำไมที่ตำหนักของเรา”
“หม่อมฉันมาตามรับสั่งของกษัตริย์โอมานที่ 1 เพคะ ไม่ทราบอะไรทั้งสิ้น”
“ถ้าไม่รู้ ก็รู้ไว้เดี๋ยวนี้ว่าเจ้าถูดส่งมาให้คอยจับตามดูเรา แล้วเอาไปบอกพวกทหารของเจ้าพี่ เพื่อจะทูลขึ้นไปถึงเจ้าพี่อีกที...ทำไมซาฟีน่าเบี้ยหวัด เงินปี ที่ได้รับไม่พอใช้รึถึงต้องทำตัวเป็นนกสองหัวอย่างนี้ ชั่วช้าจริง”
ซาฟีน่านิ่งเงียบ
“คนชั่วอย่างเจ้า เราไม่ขอเห็นหน้าให้เป็นเสนียดกับสายตา เจ้าเตรียมตัวไปจากที่นี่ได้ ที่นี่...เป็นที่ที่คนดีๆเขาอยู่กัน”
ภายในห้องทรงพระสำราญองค์โอมาน เวลาเดียวกัน องค์โอมานไขว่คว้านางกำนัลสาวๆ แต่ท่าทีโหดหื่น สาวๆ วี้ดว้าย องค์โอมานชักโมโหขึ้นมา ผลักกระเด็นกระดอน ซาอิ๊บ กับ หะยี ไล่จับมาได้สองคน
“ปล่อยมันไปนังเดนคน ชะ ส่งเสียงวี้ดว้าย น่ารำคาญ”
สองคนปล่อยไปสาวๆ เดินลนลานออกไป จังหวะนี้ซาฟีน่าเดินเข้ามาเร็วๆ โดยมีมุสตาฟาพามา
“ซาฟีน่า! มุสตาฟา เจ้ามานางมาที่นี่ทำไม พาออกไป”
“ได้โปรดเพคะ พระอนุชา” ซาฟีน่าลืมตัว
“พระอนุชารึ” องค์มานกริ้ว ตบโต๊ะเปรี้ยง “เอานางไปขัง...ขังลืมเลยเว๊ย”
“นางมีข้อความจะถวาย” มุสตาฟาทูล
องค์โอมานเหล่ “ไม่สนใจข้อความเว๊ย เราเป็นอะไร ฮะ เป็นอะไร เป็นกษัตริย์ของเจ้าใช่หรือไม่ เรียกใหม่ นังซาฟีน่า”
“เพคะ กษัตริย์โอมานเพคะ พระชายาไล่หม่อมฉันมาเพคะ”
ฟากชารีฟกับมิเชลล์ ยังปั้นปึ่งต่อกัน ชารีฟอยู่หน้ากระโจม บรรทุกของไว้บนหลังอุฐเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้วจัดแจงเตรียมตัวออกเดินทางพลางเหลือบไปมอง
เห็นมิเชลล์ดึงถุงผ้าออกมา หยิบเครื่องประดับเครื่องรางสีเขียวไข่กาที่ฟารีดาให้มาดู แล้วดึงแหวนประดับด้วยหินชนิดเดียวกันมาร้อยเชือก พันเป็นเกลียวก้อนจะขมวดปม แล้วแขวนไว้กับคอ
ชารีฟเดินมาใกล้ มิเชลล์ถอยหนีเหมือนตัวเชื้อโรค
“เอาแหวนเปียรุสคล้องคอทำไม”
“เจ้าหญิงฟารีดาบอกฉันว่า เป็นเครื่องรางสำหรับป้องกันคนคิดร้าย” มิเชลล์มองหน้าชารีฟนิ่งอย่างกล่าวโทษ “เดิมไม่ได้คิดจะแขวนหรอก แต่ตอนนี้จำเป็นเพราะ...มี...คน...คิด..ร้ายฉัน” สาวเจ้าเน้นคำ
ชารีฟงง “คิดร้ายอะไร”
มิเชลล์มองตาคว่ำ
“ฉันไม่เข้าใจ ใครจะคิดร้าย อะไรกับใคร”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เลย ท่านทำหน้าบริสุทธิ์ได้เก่งมาก”
ชารีฟงงอยู่นั่น “ฉันหรือ...เป็นฉันหรือ”
“ใช่สิ ท่านนั่นแหละ”
ชารีฟคิดอยู่สักครู่แล้วถึงเข้าใจ อึ้งไปนิด แล้วมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมา “เก็บของ”
“เก็บของไปไหน ก็ท่านบอกว่าจะพักอีกวัน”
“ไม่พัก เราทหารป่าเถื่อนของพระราชาผู้ถูกน้องแย่งราชสมบัติ กับแม่สาวยุโรปแดนศิวิไลซ์และกล้าหาญ จะกลัวไปทำไมกับความลำบาก ออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้เลย” เสียงชารีฟขุ่นมัวมาก
“ไม่ ฉันจะพัก ยังไม่หายเหนื่อย” มิเชลล์หันหลังกลับเดินไป
ชารีฟเดินตาม “ไม่มีการพัก ออกเดินทางเดี๋ยวนี้”
“ฉันจะพัก ท่านไปคนเดียวสิ ฉันจะไปทางโน้น ท่านอย่าตามไปแล้วกัน ฉันไม่ไว้ใจท่านแล้ว”
“ฉันจะคอยแค่ 10 นาที”
มิเชลล์จ้องชารีฟนิ่ง
มิเชลล์เดินมาที่ริมน้ำหยุดยืนดูรอบๆ ซึ่งเยือกเย็นและสวยงามอย่างไม่อยากจากไป มิเชลล์เห็นใบปาล์มกระทบกันเพราะลมแรง อากาศเย็นสบาย ต้นอินทผลัมเรียงรายมีนกหลายตัวเกาะเป็นเงาตะคุ่มๆ
มิเชลล์ทรุดตัวลงนั่งก้มเอาหน้าลงจุ่มน้ำแช่ไว้นานเท่าที่จะกลั้นหายใจได้ คล้ายจะดูดซับเอาความชุ่มชื่นไว้ให้มากที่สุด จึงเงยหน้าขึ้นมาวักน้ำดื่มจนเต็มที่อย่างที่ไม่เคยดื่มมาก่อน เห็นชารีฟ ตะโกนเตือนอยู่ด้านหลัง
“เร็วๆหน่อยอย่ามัวร่ำไร”
มิเชลล์หน้าบึ้งไม่พอใจกับเสียงนั้นเลย ยังคงเล่นน้ำเฉย
ชารีฟเดินพรวดๆมา
“ดื่มน้ำทำไมมากมาย กระหายมากนักรึ”
มิเชลล์ขยับมีดที่เอว “ฉันกินไว้เผื่อเวลาข้างหน้า จะได้ไม่เป็นลมเดือดร้อนทหารพระราชา”
“อ้อ อยู่กลางทะเลทรายก็เลยทำตัวเป็นอูฐ” ชารีฟแดกดัน
“ใช่ ฉันเรียนรู้ว่ามากับคุณต้องอดทนให้เหมือนอูฐ”
ชารีฟขยับเข้ามา มิเชลล์ถอย แล้วมีดก็ยกขึ้นจ่อตรงหน้า
“อะไรกัน...” ชารีฟฉงน
“ต่อไปนี้ฉันจะไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่ทหารของพระราชเป็นถึงนายแพทย์ เกิดในสกุลสูงส่ง” สาวกำพร้าลูกผสมแตะริมฝีปากลืมตัว “การกระทำแสนจะหยาบคายเมื่อครู่นี้ ฉันจะไม่มีวันให้อภัยท่าน”
“โธ่เอ๋ย เรื่องนี้เอง...”
“โธ่เอ๋ย...คุณพูดแค่นี้ คุณคงคิดว่าฉันง่ายเหมือนสาวๆ ที่คุณเคย…มาก่อนล่ะสิ ไม่มีวัน...ที่ฉันจะใจอ่อน แค่…แค่จูบครั้งเดียว ฉันโตมาอย่างผู้หญิงหัวเก่า ไม่มีวันจะซาบซึ้งกับ...กับ...กับแค่...”
ชารีฟหัวเราะต่อคำให้ “จูบครั้งเดียว”
มิเชลล์มองตาเข้มจัด “ฉันเกลียดคุณ”
ชารีฟนิ่งไปอึดใจ “ไม่เป็นไร ขึ้นอูฐได้แล้ว”
มิเชลล์นิ่งขึง กัดฟันแน่น
ชารีฟเสียงดังขู่ “เร็ว” แล้วเดินพรวดเข้ามาหา
มิเชลล์ตะกายขึ้นหลังอูฐทันที
ไม่นานต่อมากลางทะเลทรายเวิ้งว้าง สองคนเดินทางไปช้าๆ เห็นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ กลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
อับดุลเลาะห์ถูกมัดคุมตัวมาภายในท้องพระโรงวังหลวง พร้อมลูกและเมีย ต่อหน้าพระพักตร์ องค์โอมาน โดยซาอิ๊บ และทหารองครักษ์ราว 20 คน
“มันเป็นคนพาพันเอกชารีฟหนีออกทะเลทรายไปกับกองคาราวานเบดูอิน เราจับได้ตรงเส้นทางเข้าเมือง” ซาอิ๊บรายงาน
องค์โอมานหัวเราะ “งั้นมันก็รู้ดีนะซิว่าไอ้ชารีฟมันมุ่งหน้าไปทางไหน”
“มันไม่ยอมปริปากพูดพระเจ้าค่ะ”
“ท่าทางมันจะเป็นคนหัวดื้อไม่ยอมพูดง่ายๆ ถ้ามันไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรช่างมัน ต่อไปนี้มันก็จะไม่ได้ยินเมียกับลูกมันพูดเหมือนกัน ทหารเอาตัวลูกกับเมียมันไปตัดลิ้นให้หมด”
ขาดคำองค์โอมาน เมียและลูกกรีดร้องลั่น อับดุลเลาะห์ดิ้นรนพร้อมตะโกนด่า ทหารลากตัวอับดุลกับเมียและลูกออกไป
“ไอ้ชาติชั่วไอ้คนถ่อย ท่านราชองครักษ์จะต้องกลับมาฆ่ามึงไอ้คนถ่อย” อับดุลเลาะห์สุดแค้น
เสียงเมียและลูกร้องกรี๊ดๆ
“ทรมานตัวมันจนกว่ามันจะพูด” องค์โอมานตรัส
“ท่านราชองครักษ์จะกลับมาฆ่าพวกมึง”
“ให้มันกลับมาจริงๆ เถอะ มัวไปมุดหัวอยู่เสียที่ไหนเล่า”
องค์โอมานหัวเราะลั่น
รุ่งเช้า เท้าอูฐเดินย่ำไปบนทราย แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มทอแสงอ่อนๆ มิเชลล์นั่งโยกไปโยกมา สะลึมสะลือจะหลับมิหลับแหล่ ไม่เหลือมาดตอนขึ้นอูฐ แต่มิเชลล์ก็พยายามฝืนไว้ แล้วมิเชลล์ก็ต้องลืมตาขึ้นเหมือนเห็นอะไรอย่างหนึ่ง ทางขอบฟ้าด้านทิศเหนือ ปรากฏพายุหมุนที่เกิดขึ้นเสมอในทะเลทรายม้วนตัวเป็นวงจากท้องฟ้าจรดผืนทราย ไม่นานนักกระแสลมก็เข้าปะทะมิเชลล์และชารีฟ
อากาศที่แจ่มใสเปลี่ยนเป็นขมุกขมัว ชารีฟรู้ในทันที ตะโกนก้อง
“มิเชลล์ คลุมหน้าไว้ ลงจากหลังอูฐ พายุมา...พายุหมุน”
ชารีฟสั่งอูฐให้นั่ง มิเชลล์ทำตาม ทั้งสองช่วยกันจูงอูฐเข้าหลบตรงเนินทรายสั่งให้อูฐคุกเข่า
“หมอบลงข้างอูฐ ซุกหน้าเข้าหาตัวอูฐ”
มิเชลล์ทำตามซุกหน้าหาอูฐ ชารีฟก้าวเข้ามาทรุดตัวลงสรวมกอดมิเชลล์ไว้ มิเชลล์ตกใจนิดหนึ่งแต่ก็คิดได้ว่าชารีฟกำลังป้องกันตนจากพายุ ลมเริ่มแรงพัดทรายปลิ้วฟุ้งกระจาย
ชารีฟร้องบอก "เอาผ้าปิดปาก ปิดจมูกเดี๋ยวทรายเข้า"
มิเชลล์ทำตาม
ชารีฟกอดมิเชลล์แน่นขึ้นอีก กดหัวมิเชลล์ให้ซุกหน้าอยู่กับแผ่นอกแกร่งของเขา
พายุพัดจัดทรายปลิวกระจายไปกับอากาศมืดมัวปรวนแปรอย่างรุนแรง
วันเวลาเดียวกัน ที่โบสถ์คาธอลิค เมืองวิลล์ ประเทศฝรั่งเศส ลมพัดกระโชกเข้าทางหน้าต่างโบสถ์ ซิสเตอร์หลุยส์เดินไปปิดประตู คุณแม่อธิการกำลังสวดมนต์ ซิสเตอร์แอนสวดอยู่ด้วย
“ลมแรงเหลือเกินนะคะวันนี้”
คุณแม่อธิการหันมา “รู้มั้ย ซิสเตอร์แอน ฉันสวดมนต์ให้ใคร”
ซิสเตอร์แอนมองหน้า “ไม่ทราบค่ะ ใครคะ”
“มิเชลล์ เดอลาโรนีล์ ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจฉันให้คิดถึงเขาในวันนี้” คุณแม่อธิการหันไปทำท่าไม้กางเขน “ขอพระเจ้าคุ้มครองเธอมิเชลล์”
“มิเชลล์อยู่ที่ไหนคะ คุณแม่อธิการ”
“แม่คิดว่าเขาอยู่ในที่ที่เขาเคยฝันถึง”
“ที่ไหนคะ” ซิสเตอร์แอนฉงน
“เป็นดินแดนไกลโพ้น เขาเล่าให้แม่ฟังว่า เขาฝันถึงบ่อยๆ” คุณแม่อธิการถอนใจยาว “จะเป็นอย่างไรไม่รู้ จะมีใครคุ้มครองปกป้อง คนที่เราทะนุถนอมอุ้มชูมาหรือไม่ เราไม่มีทางรู้เลย”
ทั้งอูฐและคนยังซุกตัวอยู่ที่เดิม พายุสลายตัวไปกลายเป็นกระแสลมอ่อนๆ ชารีฟคลายอ้อมกอดออก เห็นมิเชลล์ซุกตัวหลับตานิ่ง ชารีฟจ้องมองหน้านวลที่อยู่แนบชิดเหลือเกิน มิเชลล์ส่งเสียงครางอู้อี้...แล้วซุกตัวเข้ามาอีก มือไขว่คว้าแล้วกอดชารีฟแน่น
สักครู่ มิเชลล์รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมองเห็นชารีฟจ้องอยู่รู้สึกอาย รีบผลุนผลันลุกขึ้นมองไปรอบๆ แกล้งเฉไฉพูดเรื่องอื่น
“เราอยู่ที่ไหนนี่”
“ที่เดิม”
“ที่เดิม ไม่จริงหรอก ทำไมมัน…ไม่เหมือนเก่าเลย เนินทรายนั่น...หายไปหมดแล้ว”
สภาพโดยรอบเปลี่ยนไปจนสิ้น ชารีฟบังคับอูฐลุก
“ถูกพายุพัด ทะเลทรายมันเป็นแบบนี้เสมอเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”
พลางชารีฟทอดสายตามองออกไปยังทะเลทรายกว้างไกล แล้วจัดแจงทำที่บังแดดบนหลังอูฐอย่างแคล่วคล่องว่องไว
“ทำอะไร” มิเชลล์สงสัย
“ไม่เห็นเหรอ”
“เห็น”
“แล้วถามทำไม” ชารีฟทำไปเรื่อยๆ
“เอ๊ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าอะไร”
“อ๋อ...แต่งตัวให้อูฐมั้ง” ชารีฟประชด
มิเชลล์ค้อนขวับ
ชารีฟทำเสร็จพอดี “ขึ้นอูฐ ต่อไปนี้จะไม่มีแหล่งน้ำที่ไหนอีกเลยจนกว่าจะถึงที่พักใหญ่ของพวกเบดูอินกลางทะเลทราย เราจะไปอาศัยอยู่ ชั่วคราวที่นั่น”
ทั้งสองก้าวขึ้นอูฐ มิเชลล์คล่องแล้วบอกอูฐให้นั่ง แล้วก้าวขึ้นรวดเร็ว
“มีที่บังแดดบนหลังอูฐอย่างนั้น..ไว้ใจได้หรือไม่ล่ะ” ชารีฟแดกดัน
“ไม่ได้” มิเชลล์ตอบเสียงแข็ง
ชารีฟหัวเราะขำๆ “ตามใจ”
ไม่นานต่อมา แลเห็นอูฐทั้ง 3 มิเชลล์และชารีฟ เดินมาในทะเลทรายท่ามกลางแสงแดดเปรี้ยง ที่นั่งของมิเชลล์มีผ้าขึงไว้กันแดดให้ด้วย
ในเวลาต่อมามิเชลล์และชารีฟ เดินทางมาถึงหมู่ต้นปาล์มที่ขึ้นเป็นหย่อมกลางทะเลทราย
ถัดจากนั้นไม่นาน สองคนมาหยุดพัก ในกระโจมชั่วคราวที่ชารีฟตั้งเสร็จแล้ว โดยมิเชลล์กำลังเปิดจุกถุงน้ำ แล้วเทน้ำออกลูบคอลูบแขนยังไม่ทันที่จะปิดจุกน้ำ มิเชลล์ตกใจจนสะดุ้ง เมื่อชารีฟคว้าแขนตนไว้ แล้วดุเสียงดัง
“ใช้น้ำอย่างนี้ได้หรือ ไม่รู้หรือไง ว่าเราต้องสงวนน้ำไว้ให้มากที่สุด ดูซิ ดู” ชารีฟชี้ไปที่ทราย
“ดูทำไม มีแต่ทราย” มิเชลล์เถียงข้างๆ คูๆ
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่รึว่า เราจะไม่มีน้ำอีกเลยจนกว่าจะถึงเชิงเขา นี่ยัง ไม่เห็นเงาภูเขาแม้แต่นิดเดียว เธอจะใช้น้ำหมดเสียแล้ว พูดไม่รู้เรื่องรึไง”
มิเชลล์ฉุน “อย่าตวาดสิ”
“คนพูดไม่รู้เรื่องต้องตวาด” ชารีฟขึ้นเสียงใส่
“ถ้าตวาดจะใช้อีก” มิเชลล์จะเทน้ำ
ชารีฟมองแน่วนิ่ง “ตามใจ”
มิเชลล์หยุดยั้งทันที กัดฟันแน่น ค้อนตาคว่ำพลางบอกงอนๆ
“ไม่ใช้ก็ได้”
ชารีฟมองขำๆ แล้วลงนั่งเต็มแรงข้างๆ มิเชลล์กระเถิบห่าง ชารีฟมองไปสุดลูกหูลูกตา
“ความลำบากยากแค้นในวันนี้ กษัตริย์โอมานที่ 1” ชารีฟพูดเหมือนรำพึง “จำไว้เลยนะ มิเชลล์ชื่อนี้เป็นคนทำให้เราต้องมานั่งตรงนี้ที่ตรงหน้าเราเป็นทะเลทรายที่กว้างไกลไม่มีวันสิ้นสุดแบบนี้...เห็นแต่ฟ้าจรดทรายแบบนี้ มันคือคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงกำเริบเสิบสาน คนอกตัญญู องค์อาหเม็ดทั้งไว้ใจ ทั้งเชื่อถือมอบอำนาจให้มันจนล้นมือ มันยังทรยศ”
ที่ท้องพระโรงวังหลวง กษัตริย์โอมานนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองอร่าม ท่าทางสบายใจมาก
“ไหนลองบอกซิว่าวิธีเพิ่มเงินในท้องพระคลัง นอกจากขายน้ำมันของเก่ากินแล้วมีวิธีไหนบ้าง” รัฐมนตรีคลังดูรายงานแผ่นหนึ่งแล้วร่อนปลิวไป “ไม่เห็นจะเข้าท่าเลยที่ทำเนี่ย ส่งออก-ส่งออกอะไรอีก มีแต่น้ำมัน”
รัฐมนตรีอีกคนกราบทูล “มีอีกวิธีเดียวพระเจ้าค่ะ
“ไหนว่ามา…”
ที่ด่านเก็บภาษีเมืองท่าเกซาห์ ตอนกลางวัน นายด่านเก็บภาษี กำลังเก็บภาษีสินค้าจากพ่อค้าคนหนึ่ง ที่ลงจากเรือ มีคนเข้าคิวมากพอสมควร
“แค่นี้” นายด่านยื่นให้ดูภาษี “คิดยอดรวมสินค้าทั้งหมดแล้ว”
พ่อค้าโวย “โอ้โห ทำไมภาษีแพงขนาดนี้ล่ะ ท่านขึ้นตั้งเมื่อไหร่”
“กษัตริย์โอมานทรงมีพระบัญชาให้ขึ้นภาษีอีกเท่าตัว” นายด่านบอก
“เรื่องอะไรกันทำไมต้องขึ้น” พ่อค้า โวยวายเสียงดังมาก
"ข้าไม่รู้ ข้ามีหน้าที่เก็บ"
"โธ่ แล้วจะมีกำไรที่ไหน เพิ่งขึ้นไปไม่กี่เดือนนี่เอง ขึ้นอีกแล้ว"
"ว่าไง ถ้าไม่จ่ายก็มีความผิดอาญา โน่น ทหารวังหลวงอยู่นั่น เราเรียกนะ" นายด่านขู่
"ปละ เปล่า จ่ายซิต้องจ่ายอยู่แล้วเพียงแต่สงสัย" พ่อค้าส่ายหัวด้วยความเศร้าใจควักเงินจ่ายแล้วออกไป
ซาอิ๊บเดินเข้ามาพร้อมทหารองครักษ์พอดี
นายด่านทำความเคารพท่าทีนอบน้อม “ท่าน” พลางหยิบเงินบางส่วนส่งให้ “นี่ขอรับสำหรับท่านเป็นการส่วนตัว”
“เรารับไม่ได้ นี่เป็นเงินหลวงเจ้าทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ข้าขออภัย” นายด่านก้มติดพื้น “ข้าขออภัยขอรับ”
ซาอิ๊บกระซิบ “ให้แบบนี้ได้ยังไง เอาไปให้ข้างหลังด่านสิวะ”
นายด่านยิ้มนิดๆ “ได้ขอรับท่าน”
ซาอิ๊บเสียงดัง “ทำแบบนี้มีความผิดไปคุยกันข้างหลังหน่อยสิ...ไป…” ตอนท้ายทำเสียงแข็งใส่
องค์โอมานออกนั่งบนบัลลังก์ ที่ท้องพระโรง ในวังหลวง ซาอิ๊บมาถวายรายงาน
“มาตรการเพิ่มเงินคลังโดยเพิ่มภาษี อาจต้องผ่อนผันบางกรณี พระเจ้าค่ะ เพราะว่าพ่อค้าบางคนผัดผ่อน ขอเวลาเตรียมการจัดระบบการค้าตัวเองก่อน”
“เป็นไรไป แต่ให้บอกมาว่าเมื่อไร” องค์โอมานตรัส
องครักษ์เข้ามา ถวายการเคารพแล้วรายงาน
“มิเตอร์โจชัวร์พ่อค้าอาวุธมารอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”
“เรียกเข้ามา” องค์โอมานตรัส
องครักษ์ตบมือ ทหารนำโจชัวร์เข้ามา
โจชัวร์ เป็นฝรั่งมีหนวดเครา แต่งชุดซาฟารีสีกากีถวายคำนับ
“เชิญ รายการอาวุธที่ท่านเอามาให้ดู เราจะซื้อทั้งหมด หวังว่ามันจะมีประสิทธิ์ภาพสูงจริงตามที่คุยนะ” องค์โอมานบอก
“ข้าพระพุทธเจ้าเอาหัวเป็นประกัน อาวุธที่ข้าพระพุทธเจ้าแนะนำเป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดประสิทธิภาพสูงสุดไม่มีประเทศใดในภูมิภาคจะทัดเทียมได้” โจชัวร์รายงาน
“ซาอิ๊บจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
ทหารนำโจชัวร์ออกไป
“คงไม่ตัดสินใจผิดนะ” องค์โอมานตรัส
“ไม่ผิดแน่พระเจ้าค่ะ มิสเตอร์โจชัวร์ไว้ใจได้” ซาอิ๊บกราบทูล
“แสนยานุภาพของเราจะต้องยิ่งใหญ่ที่สุด และในไม่ช้านี้ผืนทรายทั้งหมดในคาบสมุทรนี้จะต้องเป็นของข้าแต่ผู้เดียว เออ ว่าแต่ว่าอย่าลืมไอ้ชารีฟกับนังสนมฝรั่งเศส อย่าลืมว่า เรายังต้องการตัวมันอยู่ ไม่ได้กลัวว่ามันจะมาทำอะไรหรอก แต่แค้นมัน...เจ้าได้ตัวมัน ไอ้ชารีฟ...มีดเนี้ยจะแล่เนื้อมันออกเป็นชิ้นๆเลย”
ว่าพลางหยิบมีดมากรีดโชว์ความคม
อ่านต่อหน้า 2
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 5 (ต่อ)
ด้านมิเชลล์นั่งพิงลังกระสุนปืนผลอยหลับไป จนค่อยๆ เอนตัวลงคุดคู้อยู่ข้างๆ ลังริมกระโจมด้านหนึ่ง
ชารีฟนอนเอาแขนหนุนหัวมองเพดานกระโจมนิ่งครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียว แล้วจึงหันมามองมิเชลล์ซึ่งงอตัวหลับสนิท แต่มือข้างหนึ่งยังกำด้ามมีดที่เหน็บเอวไว้แน่น
“หึๆ” ชารีฟหัวเราะในลำคออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “เห็นฉันเป็นไอ้โจรห้าร้อยหรือไง”
มิเชลล์ยังคงหลับสนิท ชายผ้าคลุมหัวตกลงมาปิดจมูกมิเชลล์ ชารีฟลุกขึ้นเขยิบเข้าหาอย่างแผ่วเบา เอื้อมมือไป จับผ้าเลื่อนออก ยังไม่ทันหดมือกลับมิเชลล์ลืมตาตื่นลุกขึ้นนั่งดึงมีดออกมาจ้องชารีฟ ทันที
“จะทำอะไร”
ชารีฟไม่ตอบแต่สีหน้านึกโกรธ หัวเสีย มิเชลล์นั่งนิ่ง
“เราจะออกเดินทางต่อ”
มิเชลล์โวย “อะไรกันก็พึ่งพักเมื่อครู่นี้เอง จะรีบไปไหน”
“ไม่ต้องถาม”
มิเชลล์เสียงดัง “เอ๊ะ จะถาม สงสัยขอทราบเหตุผล”
“ไม่ต้องถาม บอกแล้วไง”
“ก็บอกแล้วเหมือนกันว่าจะถาม จะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอก” ชารีฟเสียงดุ “ถ้าไม่ลุกเดี๋ยวนี้ก็ตามไปแล้วกัน”
อูฐเดินย่ำไปบนทราย ชารีฟหยุดอูฐรอมิเชลล์ แล้วส่งถุงหนังแพะใส่น้ำให้ มิเชลล์รับมาโดยลืมตัว ดื่มอึ้กๆๆ ...อย่างกระหาย
ชารีฟฉวยถุงน้ำมาจนมิเชลล์คะมำตามมา
“โอ้ย อะไรกันเนี่ย อีกแล้วหรอ”
“เธอไม่จำนี่ฮะ บอกแล้วทำไมไม่จำ”
“พึ่งดื่มไป 2 อึ๊กเนี่ย” มิเชลล์อ้าปากให้ดู “ยังเปียกน้ำไม่ทั่วปากเลย”
“ดื่มแต่น้อยพอแก้กระหาย จำไว้ให้ดีเราจะไม่พบน้ำที่ไหนอีกสามวันเต็ม” ชารีฟพูดโดยไม่มองหน้า เสียงห้วน
มิเชลล์ไม่พูดรับน้ำมาเฉยๆ หน้าบึ้ง
“นี่ เธอเห็นฉันเป็นไอ้ศัตรูใจทรามไปแล้วหรือ ถึงได้ไม่ไว้ใจกันเสียเลย”
“เปล่า” มิเชลล์ตอบห้วนๆ
“นี่..เธอไม่คิดบ้างหรือว่า ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตเธอขนาดไหนในการที่ต้องพาเธอหนีมาด้วยแทนที่จะให้ตายอยู่ที่ตำหนักเจ้าชาย เอ๊ย กษัตริย์โอมานที่ 1 น่ะ ฮะ คิดรึเปล่า”
“ไม่คิด” มิเชลล์ตอบเสียงหนักแน่น
ชารีฟจ้องมิเชลล์เหล่ๆ
“ก็ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ฉันตายไปเสียเลยล่ะ พาฉันมาด้วยทำไม” มิเชลล์ย้อน
“ก็เพราะฉันไม่ใช่คนป่าเถื่อนอย่างที่เธอเข้าใจน่ะสิ”
“ท่านไม่ปล่อยให้ฉันตาย แต่ถ้าท่านพามาเพื่อจะลวนลามข่มเหงแบบนี้ มันก็เหมือนกับฆ่าฉันทั้งเป็นนั่นแหละ”
“นี่แม่สาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ฉันไม่เข้าใจเลย กับไอ้การที่เธอจะเสียอะไรไปบ้างเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอดน่ะ มันไม่มีเหตุผลเพียงพอสำหรับสาวยุโรปอย่างเธอยังงั้นหรอกหรือ” น้ำเสียงชารีฟเยาะหยันสุดขีด
“หยุดนะท่านกำลังดูถูกฉัน”
“ฉันเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่เธอกลับรังเกียจฉันยังกับไอ้วายร้าย เธอไม่สำนึกถึงบุญคุณของฉันบ้างหรือ ทีกับองค์อาหเม็ดเธอยังจะยอมเป็นสนม เพราะเธออ้างว่าทรงมีบุญคุณ”
“หยุดนะ”
“ฉันไม่บังอาจจะคิดว่าตัวเองเสมอองค์อาหเม็ดที่ฉันเคารพเทิดทูนหรอก และฉันก็ไม่ได้คิดจะทำบัดสีอะไรกับเธอแต่ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงยุโรป อย่างเธอจริงๆ ถ้าเธอบอกว่ารักองค์อาหเม็ดสักคำฉันจะไม่สงสัยเลย นี่…มันก็เรื่องหลอกลวงนั่นแหละ”
มิเชลล์เสียงดัง “บอกให้หยุด ไม่งั้นฉันจะโดดนะ”
ชารีฟท้า “ก็เอาซิ อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสาวยุโรปอย่างเธอใจเด็ดแค่ไหน”
มิเชลล์โกรธสุดขีด ลุกขึ้นกระโดดจากหลังอูฐตกลงมา ร่างฟาดพื้นสลบไปทันที เพราะความอ่อนระโหยและขาดอาหาร
ชารีฟตกใจรีบกระโจนจากหลังอูฐวิ่งไปประคอง
“มิเชลล์ มิเชลล์” แล้วรีบไปคว้าถุงน้ำออกมาประคองมิเชลล์แล้วเอาน้ำแตะหน้าผาก “มิเชลล์ ทีหลังฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีก มิเชลล์ มิเชลล์” ชารีฟใจหาย กอดร่างแบบบางไว้กับอกพึมพำด้วยความเสียใจ
“โธ่...ฉันจะไม่ทำแบบนี้กับเธออีก”
คืนนั้น กองไฟถูกจุดหน้ากระโจม แลเห็นเปลวไฟวับแวม มิเชลล์นอนไม่สบายอยู่ พลิกตัวกลับไปมา ปวดหัว ชารีฟที่นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลาเห็นมิเชลล์ขยับ รีบพรวดเข้าถึงตัว มิเชลล์พลิกหน้าไปมาร้องแผ่วๆ หายใจแรงๆ
“มิเชลล์ เป็นอะไร”
“โอย” มิเชลล์บิดตัวท่าทางไม่สบาย
“เจ็บตัวใช่มั้ย ไม่มีอะไรแต่เธอคงเคล็ด คงยอก ปวดตรงไหน”
มิเชลล์จะงอเข่า แล้วร้องแบบปวด ชารีฟจับขาบีบนวดเบาๆ
“ฉันจะนวดเบาๆ นะ เจ็บแล้วบอกด้วยนะ มิเชลล์”
มิเชลล์พยายามเอาขาออก ไม่ให้ชารีฟแตะต้อง
“มิเชลล์ ทำไมล่ะ”
มิเชลล์พลิกตัวคว่ำหน้า ร้องไห้ออกมาแบบอัดอั้นสุดขีด
“มิเชลล์”
มิเชลล์ร้องไห้มากขึ้น และสะอื้นแรงขึ้นๆ น้ำตาหลั่งไหล ชารีฟทำอะไรไม่ถูก หมุนไปมา มิเชลล์ร้องไห้อย่างช้ำชอกสุดๆ
ชารีฟกอดปลอบโยน กอดแนบอกไว้อย่างนั้น
ทั้ง 2 นอนหลับอยู่ในกระโจมจนบ่ายอีกวัน มิเชลล์ลืมตาตื่นขึ้นรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย แล้วก็ตกใจที่เห็นตัวเองนอนอยู่ข้างชารีฟ หล่อนเอามือจับต้องตัวสำรวจร่างกายก็ตะปบดูที่มีด ถอนใจโล่งอกเมื่อพบว่ามีดยังเหน็บอยู่ที่เอว
มิเชลล์นั่งมองหน้าชารีฟด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น ชารีฟหลับสนิท ใบหน้าดูอ่อนโยนน่ารัก
มิเชลล์จ้องหน้าชารีฟนิ่งอยู่ สักครู่ชารีฟลืมตา สองคนสบตากัน
“หอม...”
มิเชลล์ชะงัก “เอ๊ะ”
“หอมกาแฟ...ใครต้มกาแฟนะ”
กองไฟหน้าเต็นท์ มีกาต้มกาแฟมีไอน้ำพวยพุ่งส่งกลิ่นหอมฉุย มิเชลล์รินกาแฟลงถ้วย แล้วหยิบถาดใส่อินทผลัมและลูกนัท เดินเข้าไปในเต๊นท์
มิเชลล์หย่อนตัวลงใกล้ๆ ที่ชารีฟนอนหลับ วางกาแฟไว้กลิ่นกาแฟทำให้ชารีฟตื่นขึ้นหันมามอง
“เห็นจะเป็นครั้งแรกที่ได้ดื่มกาแฟจากมือคนศิวิไลซ์” ชารีฟมองลูกนัทสีหน้าฉงน “เอาผลไม้นี่มาจากไหน” แล้วยันกายลุกขึ้นมาดู
“ฉันพบมันที่ก้นถุง”
“เธอล่ะ”
“ฉันยังไม่หิว”
“ขอบใจนะ ที่ทำให้”
“ท่านจะต้องเดินทางอีกตลอดคืนนี้ ฉันทำตามหน้าที่เราผลัดกันรับผิดชอบ ท่านนำทาง ฉันดูแลเรื่องอาหาร”
“พรุ่งนี้เย็นเราจะเข้าสู่เขตภูเขาที่ตั้งจาอุฟ เมืองกลางทะเลทรายอีกแห่งหนึ่ง ที่นี้จะสบายไม่ต้องเร่ร่อน ที่นี่”ชารีฟเปลี่ยนน้ำเสียง “เราจะพักจนกว่าอาทิตย์จะตกดิน เธอคงแข็งแรงแล้ว ไม่งั้นคงไม่กล้ากระโดดจากหลังอูฐ”
มิเชลล์ก้มหน้า ทั้งอายและโกรธ
“เจ็บตรงไหน” ชารีฟถามเสียงนุ่ม
“กระโดดบนทรายจะเจ็บได้ไง” มิเชลล์เฉไฉ
“เมื่อถึงจาอุฟ เธอต้องระวังตัวให้มากขึ้น ที่นั่นเป็นชุมนุมใหญ่ของพวกเบดูอิน มีทั้งคนดีคนชั่ว และโจรปะปนกันแล้วก็...” ชารีฟชะงัก หยุดไปนิดหนึ่ง “มีเรื่องแก่งแย่งชิงอำนาจ ของพวกที่พยายามเป็นใหญ่แทนที่ชีค”
มิเชลล์ฉงน “ชีค”
“ชีค คือ ตำแหน่งหัวหน้าของเบดูอิน กลุ่มใหญ่คนเยอะที่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ส่วนใหญ่ตามเมืองโบราณในทะเลทราย” ชารีฟอธิบาย
“แก่งแย่งกันไม่มีที่สิ้นสุดทั้งในวังทั้งในทะเลทราย”
“เธอจะว่าพวกป่าเถื่อนอีกละซี”
มิเชลล์รู้สึกตัว “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ไม่เป็นไร เพราะความจริง คือความจริง” ชารีฟหยิบสร้อยเงินเส้นยาว มีตราประจำราชวงศ์แห่งกษัตริย์ฮิลฟาราออกมา “พวกเบดูอิน ร้ายกาจอย่างไรก็ไม่กล้าทำร้ายทหารของพระราชา เธอไม่ต้องกลัวนะ”
ตรงบริเวณใกล้เชิงเขา เวลาบ่ายคล้อยใกล้ยามเย็น สองคนแลเห็นภูเขา และหย่อมหญ้าเริ่มขึ้นเป็นหย่อมๆ มิเชลล์และชารีฟเดินมุ่งหน้าไปทางภูเขาเห็น ทะเลทรายอยู่ด้านหลัง
“ข้างหน้าโน้น เราจะได้อยู่กับเบดูอินที่มีจิตใจดีที่สุด เขาชื่อชีคอัสมัน เราสองคนต่างมีบุญคุณซึ่งกันและกัน เราจะปลอดภัยและอยู่สบาย”
ขณะเดียวกัน ภานในกระโจมของชีคอัสมัน ผู้คนนั่งเรียงรายตามอัธยาศัยใครมัน เอกเขนกบ้าง ขัดสมาธิบ้าง อยู่เป็นคู่บ้าง สามคมบ้าง แยกนั่งคนเดียวบ้าง แต่ทุกคนท่าทางไม่สบายใจ จ้องมองไปที่ชีค ที่นอนอยู่บนตั่ง ลูกเมียอยู่พร้อมหน้า
แต่ละคนล้วนมีสีหน้ากังวล มองไปที่ชีค
เวลาผ่านไปอีก เห็นชีคอัสมันนอนอยู่ แล้วยกมือขึ้นมาไขว่คว้าบางอย่าง ปากเรียกร้องดังๆ น้ำเสียงเจ็บปวดลึกๆ ลูกเมียผวาเข้าหา
สองคนเดินมามาถึงตัวเมืองจาอุฟ ในตอนเย็นย่ำ
ชารีฟจูงอูฐนำหน้ามิเชลล์ ผ่านตึกดินทรงสูงคล้ายหอสี่เหลี่ยม สร้างด้วยหินและดินเหนียว ผู้คนคึกคัก เห็นกระโจมของพวกเบดูอินมากมายกระจัดกระจายเป็นหมู่ๆ
“บ่อนั่นเป็นตาน้ำ ลึกมาก พวกกองคาราวานทั้งหมดได้อาศัยน้ำจากบ่อนี้สักครู่จึงเดินมาถึงตึกใหญ่ตั้งตระหง่านคล้ายหอคอยอยู่เบื้องหน้า”
“ที่อยู่ชีคอัสมันหรือคะ”
ชารีฟพยักหน้า จูงอูฐเดินนำเข้าไปเรื่อย บรรดากองคาราวานมองคนแปลกถิ่น บางคนยิ้มให้ หญิงผิวดำประคองลูกตัวเล็กมือหนึ่ง หิ้วถุงหนังแพะบรรจุน้ำมือหนึ่งผ่านไปตึกรูปทรงคล้ายหอโบราณใกล้เข้ามาทุกที โดยมีอยู่ประมาณ 3-4 หลังเบื้องหน้า
มิเชลล์และ ชารีฟ เดินเรื่อยไป สวนกับพวกเบดูอินที่กลับกระโจม
“เราจะอยู่สบายและปลอดภัย เห็นไหมว่าพวกนี้เป็นมิตร” ชารีฟบอก
อากาศเริ่มมืดลง เบดูอินเริ่มจุดกองไฟหน้ากระโจมเป็นหย่อมๆ ชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ กาเซ็ม เดินซวนเซสวนมาแล้วก็ถลาเข้าปะทะมิเชลล์เต็มแรง เมื่อจะล้มชายผู้นั้นก็คว้าตัวมิเชลล์กอด ไว้แล้วมันก็ร้องเอะอะ เสียงอ้อแอ้
“ผู้หญิง..ไอ้นี่ ผู้หญิง” ตากาเซ็มเบิกโพลงด้วยความตกใจ ระคนคนดีใจ กอดไม่ยอมปล่อย
มิเชลล์ฉุนหันมาทางชารีฟ “ชารีฟท่านเนี่ยนะ สบายและปลอดภัย” พร้อมกับดิ้นรนเต็มที่
“เดี๋ยว…ใจเย็นๆ”
มิเชลล์ตกใจยืนตัวแข็งชารีฟพุ่งเข้ามากระชากมันออกไป ขี้เมากาเซ็มกระเด็นไปกองอยู่ที่พื้น นะหมัด พี่ชายมันรีบเข้ามาขอโทษ ลนลาน
“ไอ้กาเซ็ม น้องของข้ามันเมาสิ้นดี ขอโทษท่านด้วย” นะหมัดว่า
“เมาจนเสียสติ เห็นผู้ชายเป็นผู้หญิงบัดซบ”
กาเซ็มอ้อแอ้ “ผู้ชายเหรอ”
นะหมัดตวาด “เงียบ ซาลามท่านด้วย” แล้วโค้งให้มิเชลล์ “ขออภัยให้น้อยชายของเราด้วย”
ชารีฟแนะนำ “นี่ตาฟา น้องชายเรา”
ชารีฟโอบมิเชลล์ แต่มิเชลล์ขืนตัว ชารีฟเลยลากเข้ามาใกล้
นะหมัดทักทายถามไถ่ “ท่านท่าจะมาใหม่”
“ถูกต้อง ทำไมถึงมีการดื่มสุรา พระคัมภีร์ระบุไว้ว่าสุราเป็นของต้องห้าม เป็นพิษกับชาวทะเลทราย”
นะหมัดผู้พี่จ้องมองหน้าชารีฟ พิจารณาถึงความสูงสง่า ตลอดจนคำพูดที่รู้สึกว่าจะเป็นผู้มีอำนาจจึงเคารพอีกครั้ง
“ข้าพเจ้าจะพยายามหักห้ามใจไม่ดื่มสุราอีก ข้าชื่อนะหมัด น้องชายชื่อกาเซ็ม มันเป็นคนถ่อย บาปหยาบช้า”
“ข้ากินเหล้าชั่วพระอาทิตย์ตก แล้วเท่านั้นเว๊ย” กาเซ็มเถียง
นะหมัดปิดปากกาเซ็ม “ท่านคงเป็นอิหม่ามท่าทางสง่างาม”
“ไม่ใช่ ข้าเป็นพ่อค้า ข้ากับน้องชายจะมาดูลู่ทางการค้า”
“น้องชาย ไม่เห็นเหมือนกันเลย พี่น้องกันแน่รึ” กาเซ็มไม่เชื่อ
มิเชลล์ในคราบตาฟาตกใจมองชารีฟ
กาเซ็มตั้งข้อสังเกตอีก “ท่านสูงสง่า แต่ไอ้น้องมอมแมมเหมือนคนอมโรค”
ชารีฟตัดบท “ข้าจะไปพบชีคอัสมัน”
“พบท่านชีค โอ๊ย ไม่ได้พบหร๊อก ไม่มีใครเห็นท่านชีคหลายวันแล้ว” นะหมัดว่า
“แต่ข้ามีธุระสำคัญ”
ชารีฟ มิเชลล์ พร้อม 3 อูฐ มาอยู่หน้าตัวตึกบ้านชีคอัสมันในเวลาต่อมา
ยามมองหัวจรดเท้า มองเท้าจรดหัว ก่อนถาม “มีธุระอะไร”
“ข้าขอพบชีคอัสมัน”
“ชีคอัสมันไม่พบใครตอนนี้”
“แต่ข้าจำเป็นต้องพบ”
“เอ๊ะ” ยามมองหน้า “พูดไม่รู้เรื่องมาจากไหนเนี่ย”
ชารีฟจะตอบแรงๆ อยู่แล้ว แต่มิเชลล์ดึงเสื้อไว้
ชารีฟก้มหัวให้ยามอย่างนอบน้อม
“จุ๊ยะ รำคาญจริงจะให้บอกชีคอัสมันว่าใครขอพบจะไปบอกให้เอาบุญ”
ชารีฟบอก “อวีเซ็นน่า”
ยามมองชารีฟ อึดใจหนึ่ง แล้วรีบไปทันที
สองคนยืนอยู่ด้วยกัน มิเชลล์สงสัย “ใครหรือคะ”
“แล้วรู้เอง...” ชารีฟหน้าเฉยมาก
มิเชลล์ค้อน “ฮึ ไม่เห็นอยากรู้...ตอนนี้ฉันอยากอาบน้ำ”
“ผู้หญิง…” ชารีฟเหยียดปากนิดๆ
“แน่น้อน เป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นทหารนี่”
“มาถึงที่นี่เธอต้องทำตัวเป็นลูกน้องฉันเข้าใจไหม”
“ไม่ยาก ฉันเป็นลูกจ๊อกท่านมานานแล้วนี่” มิเชลล์แดกดัน
“ผิดละมังแม่คุณ เธอมันเป็นผู้หญิงที่ใช้การไม่ได้ทำอะไรไม่เป็นรอนแรมกันมานี่ เธอเตรียมอาหารกี่ครั้ง”
“ครั้งเดียว”
“เป็นกุศลของฉันมากที่ได้กินอาหารมื้อนั้น” ชารีฟกอดอกมองตามิเชลล์นิ่งๆ
มิเชลล์สบตาทำหน้าไม่ยี่หระ ชารีฟยังจ้องนิ่ง มิเชลล์ชักทำหน้าไม่ถูก จะค้อนไม่อยากค้อนเหมือนคนขี้งอน ชารีฟจ้องแล้วขยับเข้ามา มิเชลล์ขยับหนี
ยามสองคนเดินแกมวิ่งมาชารีฟชะงัก
“ชีคอัสมันให้ท่านเข้าพบ และได้พักผ่อนที่นี่ ส่งอูฐมาให้ข้าๆ จะพามันไปไว้ที่โรงพักด้านโน้น
ยามอีกคนบอก “ตามข้ามาทางนี้”
มิเชลล์และชารีฟ เดินตามยามเข้ามาในห้องโถงกว้าง ปูด้วยพรมทั่วห้อง ไม่ได้ประดับประดาอะไรมากมาย มุมหนึ่งเป็นแท่นสูงประมาณ 2 ฟุต ปูด้วยพรมอย่างดีมีหมอนอิงหลายใบ ใกล้ๆ มีกองไฟลุกโชนอยู่ในเตา
บนยกพื้นเห็นคนนั่งล้อมกันเต็มไปหมด ชายหนุ่ม 2 คนนั่งอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับเด็กชายตัวเล็กๆ เด็กชายสรวมเสื้อคลุมขาวสีขาวดึงเอา ติดกระดุมคอแขนยาวจรดข้อมือ สรวมหมวกกลมสีขาว มีเส้นสีน้ำเงินทองสลับ สวมรองเท้าสายหนังขัดโปร่ง ที่กำแพงมีนักรบเผ่าเบดูอินยืนถือปืนเรียงรายเป็นแถว ดูน่ากลัว บรรยากาศลึกลับ
พวกที่นั่งจับกลุ่มอยู่บนพรมมองมาทางมิเชลล์และ ชารีฟ พร้อมเสียงพูดคุยพึมพำ ด้วยสภาพทั้งมิเชลล์และชารีฟ สกปรกหน้าเป็นมันเยิ้มเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล
มิเชลล์มองดูกลุ่มคนที่นั่งสนทนา เห็นพานใส่ลูกอินทผลัม ลูกนัท และขนมหวาน มีผลไม้เชื่อมแห้งๆ ฝังอยู่ในชิ้นขนม กองล่อตามิเชลล์ กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเดินผ่านของเหล่านี้ ชารีฟและมิเชลล์เข้าใกล้ยกพื้น จึงเห็นผู้ที่นอนอยู่เป็นชายกลางคนล่ำสันหันมามองด้วยแววตาดีใจ ชีคอัสมันโบกมือ ไล่ให้คนที่ล้อมอยู่ขยับไป และพยายามยันกายลุกขึ้น แต่ก็ล้มลงไปใหม่ ชารีฟเร่งก้าวขึ้นไปถึงขณะที่มิเชลล์หยุดยืนอยู่กับที่
ชารีฟย่อตัวลงทักทายด้วยวิธีของคนพื้นเมือง
“อาวีเซนน่า อัลลอห์..พระองค์ทรงช่วยข้าแล้ว ใครจะคิดบ้างว่าจะมาพบกันอีก ฮิลฟารากับจาอุฟนั้นอยู่ไกลกันคนละขอบโลกทีเดียว” ชีคอัสมันทัก
“ท่านเป็นอะไรชีคอัสมัน”
“ข้าป่วยหนัก ความร้อนในตัวข้าสูงมากเหมือนมีกองไฟสักสิบกองเผาผลาญทั้งกลางวันกลางคืนจนนอนไม่หลับ”
“ขอข้าดูสิ” ชารีฟพลิกตัวของชีคอัสมันดู
ชีคอัสมันครางด้วยความระบม “อูย”
ชารีฟกดดูก้อนเนื้อนั้นดู ชีคอัสมันร้องลั่น ทันใดนั้น นักรบขยับปืน วิ่งพรวดมาทั้งกองยืนเป็นระเบียบประทับปืนมาที่ชารีฟ
ชารีฟบอกนักรบ “ไม่เป็นอะไรมากหรอก เป็นฝีเท่านั้นเอง”
“พระเจ้าส่งท่านมาให้ข้าแล้ว ไม่มีโรคใดที่ท่านรักษาไม่ได้ ข้าดีใจจริงๆ ที่ท่านมา” ชีคอัสมันบอก
“ข้าก็ดีใจที่ได้พบเพื่อนเก่า ก่อนอื่นข้ากับตาฟาคนของข้า” ชารีฟดึงมิเชลล์เข้ามาอย่างแรง จนมิเชลล์หน้าคะมำ
มิเชลล์แหงนหน้าขึ้นมอง สีหน้าโกรธจัด
ชีคอัสมันจ้องหน้ามิเชลล์เขม็ง จนมิเชลล์รู้สึกหนาว แม้ชีคอัสมัน จะเป็นไข้แต่ดวงตาแข็งกร้าวทรงไว้ซึ่งอำนาจ
มิเชลล์ทำความเคารพตามแบบพื้นเมือง หน้าตาเปลี่ยนเป็นสุภาพจริงใจ
“เจ้าหนุ่มน้อยของท่านมาจากไหน”
“เด็กที่บ้านข้า มันชื่อตาฟา อายุเพิ่งจะยี่สิบบริบูรณ์”
“หล่อเหลามากเหลือเกิน ทั้งที่ยังสกปรกกับซากศพ มันยังไม่มีเมียรึท่าน”
มิเชลล์สะดุ้งโหยง
“ก็ข้ายังไม่มีมันเป็นคนสนิท จะมีได้อย่างไร”
คนในห้องหัวเราะกันครืน
“ถึงตัวเล็กแต่ท่าทีสง่างามดี” ชีคอัสมัน จ้องมองดูมิเชลล์อีก
มิเชลล์ก้มหน้าหลบ
“แต่ท่าทางขี้อายเหมือนผู้หญิง ฮ่ะ ๆ ๆ อูย” ชีคอัสมันลืมตัว เจ็บฝี “ข้าให้เขาจัดที่จัดทางไว้แล้วอยู่ทางด้านโน้น”
มิเชลล์หน้าฉงนว่าตัวเองละนอนที่ไหน
“คนใช้ข้าจะให้นอนที่ไหน”
ชารีฟถาม
อ่านต่อหน้า 3
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 5 (ต่อ)
ครู่ต่อมา ชีคอัสมันเดินโขยกเขยกด้วยเจ็บฝีมาที่ห้องนอนของหนุ่มๆ เป็นลูกชายชีคอัสมัน หนุ่ม 2 คน เด็กอีก 1 คน และทหารเด็กหนุ่ม 5-6 คน
“ไอ้เด็กรับใช้นี่ ให้มันนอนรวมกับเจ้าพวกหนุ่มน้อยพวกนี้แล้วกัน”
มิเชลล์ตกตะลึงตาเหลือก หันมองหน้าชารีฟ ด้วยแววตาขอร้องและวิงวอน ชารีฟอมยิ้มน้อยๆ เหมือนจะแกล้ง
“คงเป็นเกียรติแก่มันมาก”
มิเชลล์ตาเบิ่งโตขึ้นอีกแล้วจะร้องไห้ ชารีฟเหลือบดูอยู่ตลอด
“ให้ข้านอนกับท่านเถิดท่านราชองครักษ์” มิเชลล์อ้อน
“เฮ้ย...เจ้าจะมานอนกับข้าได้ไง”
มิเชลล์เถียง “ได้สิ ก็ข้าเป็นคนใช้ท่าน”
ชีคอัสมันขัดขึ้น “เพราะเป็นคนใช้นะสิ ถึงนอนกับเจ้านายไม่ได้”
มิเชลล์คราง “ท่าน”
ชารีฟแกล้งอีก “อ้อนวอนอะไรกันนะ น่ารำคาญจริง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“เถอะน่าท่าน อย่าดุมันเลย ท่าทางมันอ่อนต่อโลกจริงๆ” ชีคอัสมันว่า
ชารีฟเอาใหญ่ “ไม่ได้ ไอ้นี่ถ้าไม่ปรามไว้ มันจะกำเริบ”
“ฉันกำเริบตรงไหน” มิเชลล์ดกรธจนลืมตัวแล้วนึกได้ รีบหยุด
“เห็นมั้ยท่าน ผิดคำเรามั้ย”
“แต่มันก็น่าเวทนา...นอนซะ ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”
มิเชลล์ยืนตัวแข็ง
ชีคอัสมันบอกอีก “กลับไปที่กระโจมข้าเถิด ข้าจะพาท่านไปห้องนอน”
จากนั้นชารีฟกับชีคอัสมันออกไปด้วยกัน มิเชลล์เข้าไปขวาง
“ทำไม”
มิเชลล์พยายามมองตาชารีฟ
“ดูแลตัวเองนะเจ้า” ชีคอัสมันตบหัวดังป๊าบ
สองคนออกไป ชีคอัสมันตัวงอ ปวดฝีตอนเดิน
มิเชลล์ยืนงงงวย แล้วหันไปยิ้มกับหนุ่มๆ หน้าอ่อนๆ
หนุ่มคนที่ 1 ถาม “ชื่ออะไรเจ้า”
“ชื่อมิ เอ๊ย ชื่อตาฟา”
หนุ่มคนที่ 2 เรียก “มานอนตรงนี้สิ ขนแกะผืนใหญ่นอนสบาย อยู่มุมนี้แหละไม่มีใครยุ่งด้วย”
มิเชลล์เดินเข้าไป พอจะวางของ
หนุ่มคนที่ 3 กลับบอก “ได้ไง ตรงนี้ของข้า” แล้วเข้ามากระชากแขนมิเชลล์โดยแรง
มิเชลล์ร้อง “โอ๊ย...” สุดเสียง
หนุ่มคนที่ 3 จ้องหน้า “เฮ้ย ร้องเสียงแหลมเชียว เป็นผู้หญิงผู้ชายเนี่ย”
“ผู้...ผู้ชาย”
หนุ่มคนที่ 3 จ้องเขม็ง “กะเทยหรือเปล่าอ่ะ”
“ปละ...เปล่า ผู้ชาย...เต็มที่เลย” มิเชลล์ยืดอก
หนุ่มคนที่ 3 ตบไหล่ดังสุดๆ “ถ้าไม่ใช่กะเทย ไปให้พ้นตรงนี้ที่ของข้า”
มิเชลล์กำลังยืนงงๆ “แล้ว..ถ้าเป็นล่ะ”
“ถ้าเป็นหรอ ข้าก็...” หนุ่มคนที่ 3 เข้ามากอดไหล่ เชยคาง
มิเชลล์สะบัดเต็มแรง “ข้าไม่ใช่กะเทย ข้าเป็นผู้ชายทั้งแท่งจะบอกให้” รีบเดินหลบไป
หนุ่มคนที่ 1 เข้าไปขวางหนุ่มคนที่ 3 เอาออกไปให้พ้น หนุ่มคนที่ 2 โอบไหล่มิเชลล์ พามานอนตรงที่ที่บอกไว้
ชารีฟเข้ามาเห็นร้อง “เฮ้...”
สองคนหันมาดู
ชารีฟรีบเข้ามาจูงมือมิเชลล์ไปทันที “ชีคอัสมันอนุญาตให้เจ้านอนกับข้าได้ ไปเร็วๆ”
“ข้าไม่ไป...ข้าได้ที่นอนสบายแล้ว จริงมั้ย” มิเชลล์อวดเก่งหันไปถามหนุ่มคนที่ 2
“จริง...ให้มันนอนตรงนี้ก็ได้ท่าน มีขนแกะอ่อนนุ่มนอนสบาย”
ชารีฟไม่ฟังเสียง ดึงมิเชลล์อย่างแรง ร่างมิเชลล์ปลิวตามไป
ชารีฟลากพามิเชลล์มาชนิดถูลู่ถูกังเลย เพราะมิเชลล์พยายามขืนตัวเอง
“เดินเร็วๆ”
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า...ข้านอนกับพวกหนุ่มๆ ได้”
ชารีฟกระชากแขนอย่างแรงอีกที
“รีบๆ หน่อยเห็นจะดี เพราะกองไฟในตัวข้าจะเพิ่มเป็น 10 กอง ข้าคงจะต้องตายในที่สุด ปวดก้อนเนื้อเหลือทนแล้ว” ชีคอัสมันบอก
“ขอให้ข้าทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนก็จะดี แล้วข้าจะจัดการกับเจ้าก้อนเนื้อ”ของท่าน” ชารีฟว่า
“ได้ซิ ยูซุฟ ได้ยินแล้วใช่ไหม ไปจัดการ”
“เชิญทางนี้ท่าน”
ชารีฟและมิเชลล์ลุกตามยูซุฟออกไป
หมอโบราณซึ่งเป็นหมอชรา รักษาพวกเบดูอินแอบๆ ฟังอยู่ข้างๆ กระโจม มองตามอย่างไม่พอใจ
ยูซุฟ พาชารีฟ และมิเชลล์เดินผ่านทางเดินในตัวตึกดินเหนียว ลอดทางเดินและผ่านห้องต่างๆ จนกระทั่งถึงห้องๆ หนึ่ง มีหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กๆ เจาะสูงขึ้นไปเป็นทางระบายลมมีอยู่ช่องเดียว ชารีฟและมิเชลล์ก้าวเข้าประตูเตี้ยๆ ที่มี เพียงม่านกั้นแทนประตู
“ข้าจะไปนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ท่านเชิญท่านอาบน้ำได้บ่อน้ำอยู่ทางด้านหลังตึกติดกับกำแพงสูง”
“ขอบใจ”
มิเชลล์มองสำรวจไปรอบๆ ห้อง เห็นหมอนอิงและเหยือกดิน วางอยู่บนพื้นห้องซึ่งปูพรมเติมพื้นไม่มีโต๊ะเก้าอี้ มิเชลล์ลงนั่งอิงหมอน
“อย่าเพิ่งนอนนะ ประเดี๋ยวเผลอหลับไปเรามีงานต้องทำ” มิเชลล์ลุกขึ้นไม่พอใจนัก
“ค่ะ ท่านผู้บัญชาการ” มิเชลล์ค้อนขวับ
ยูซุฟเอาเสื้อผ้าใหม่มาให้ มิเชลล์รีบยืนตรง ทำตัวเป็นผู้ชายสุดฤทธิ์
ทั้งสองเดินหอบเสื้อผ้าใหม่มาด้วย พื้นทางเดินไปบ่อน้ำ เป็นหินลาดลงสู่ที่ต่ำ มืดมาก ชารีฟถือคบเพลิงติดมือมาด้วย
“ชีคอัสมันเป็นอะไรคะ”
“ยังไม่รู้ ดูอาการภายนอกก็เป็นผีธรรมดา แต่ภายในยังบอกไม่ได้”
“เขาอาจเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งก็ได้ ถ้าท่านรักษาไม่หายล่ะ”
“หายสิ”
“ถ้าเขาเกิดตายละค่ะ”
ชารีฟดุ “ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ”
“ก็อยากรู้นี่คะ”
ชารีฟหยุดกึกทันที มิเชลล์ชนเข้าเต็มแรงร้องโอดโอย ชารีฟหันมา
“เดี๋ยวก็รู้”
เวลาต่อมามิเชลล์อาบน้ำชำระกายอย่างชื่นอกชื่อใจ น้ำตกลงพื้นกระจาย มิเชลล์ยกน้ำเทราดหัวด้วยความสุข ชารีฟยืนกอดอกหันหลังให้
“ชารีฟคะ”
“อะไร”
“มีสบู่ไหมคะ”
ชารีฟฉุนปนเซ็ง “สบู่อะไรกัน ที่นี่ไม่มีใครใช้สบู่ อาบเร็วๆ เข้า”
“เสร็จแล้วค่ะ”
มิเชลล์รีบสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ชารีฟเดินมาหามิเชลล์มองๆ ดูสักพักแล้วส่ายหน้า
“มีดอยู่ไหน”
“อยู่ที่ฉันจะทำไม”
“ส่งมีดมาให้หน่อย”
มิเชลล์ถอยห่าง “ไม่ได้ ฉันไม่ไว้ใจใคร ไม่ว่าจะเป็นทหารของพระราชาหรือนายแพทย์”
ชารีฟทำท่าอ่อนใจ แบมือหน้าเข้ม ทำตาดุ มิเชลล์ส่ายหน้าไม่ยอม
“ฉันไม่เอามาทำไมหรอกน่า แค่ตัดผมเธอเท่านั้น”
“ตัดผม” มิเชลล์อึ้ง
“มันยาวอีกแล้ว เร็วๆ เข้า เสร็จแล้วจะเอาไปนอนกอดก็ตามใจ ฉันไม่อยากจะแตะต้องตัวเธอนักหรอกน่า”
มิเชลล์ค้อนชารีฟ ในความมืด “นี่ค่ะ” ควักส่งมีดให้
ชารีฟดึงผมมิเชลล์แล้วใช้มีดเฉือน มิเชลล์หัวสั่นหัวคลอน
“โอ๊ย เบาๆ หน่อย”
“เบาไม่ได้ ทำเบาผมก็ไม่ขาด”
“โอ๊ย เจ็บนี่”
“ทน”
“ฮึ ไม่โดนมั่งก็แล้วไป”
ชารีฟตัดผมให้ ท่าทีเริ่มเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล ชารีฟตัดค่อยๆ ตัดไปมองหน้ามิเชลล์ไป แตะคางทำเหมือนดูว่าตัดแบบไหนจะสวย แล้วค่อยๆ บรรจงตัด ตัดไปถามเบาๆว่า “เจ็บมั้ย” มิเชลล์สั่นหน้า มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นระหว่างสองคน
ในที่สุดชารีฟตัดผมเสร็จ
“ทีนี้โพกหัวสวมกัฟฟิเยให้มิดชิดอย่าลืมว่าชีคอัสมันช่างสังเกต ทำตัวให้สมชายเข้าไว้”
มิเชลล์ทำท่าตะเบ๊ะ “ค่ะ เอ๊ย ครับ”
“ฉันจะอาบน้ำบ้าง” ชารีฟลงมือถอดเสื้อผ้า
มิเชลล์ร้องโวยลั่น “โอ๊ย เดี๋ยวสิ ฉันไปก่อน”
“ไม่เป็นไร จะยืนดูฉันอาบน้ำหรือว่าจะอาบให้ฉันก็ได้ แต่อย่าเพิ่งไปคนเดียว”
“บ้า” มิเชลล์หันหลังกลับไปยืนที่ชารีฟยืนตอนแรก
ชารีฟตักน้ำขึ้นราดตัวหลังจากถอดเสื้อผ้าปากก็คุยไปด้วย
“ประเดี๋ยวเธอต้องเป็นผู้ช่วยฉัน ฉันทำหน้าที่แพทย์เธอเป็นพยาบาล”
“ค่ะ”
“เห็นเลือดได้ไหม”
“ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
“นอกจากทหารพระราชาฮ่ะๆๆ” ชารีฟหัวเราะขัน ชอบอกชอบใจ
มิเชลล์หน้าบึ้งค้อนปะหลับปะเหลือกในความมืด
หมอโบราณเข้าไปหมอบใกล้ๆ ชีคอัสมันในห้องโถงตึกที่พัก นัยน์ตาเหมือนตาเหยี่ยวมองจ้อง คนอื่นๆ อยู่ตามที่ของตัว ไม่สนใจ คุยกันเอง
ภรรยาของชีคเอาผ้าชุบน้ำเย็นซับหน้าชีคอัสมัน เสร็จแล้วถอยห่างไป
“ไม่เชื่อข้ารึ ท่านชีค” หมอโบราณไม่พอใจที่ชีคจะให้ชารีฟรักษา
“นี่...ท่านน่ะเป็นหมอประจำเผ่าของเรามานาน ท่านมีความรู้เรื่องการแพทย์โบราณเป็นที่นับถือแก่ผู้คนของเรามานาน”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่ท่านชีคยังไม่เชื่อข้า โรคของท่านเป็นพิษร้ายจากที่ท่านสู้รบแล้วบาดเจ็บปีที่แล้ว ที่มันยังคั่งค้างอยู่ ท่านต้องรอบัญชจากพระเจ้า สวดมนต์วิงวอนเข้าแล้วท่านจะหาย เรายังสวดมนต์ไม่มากพอ” หมอโบราณว่า
“ขออภัยที่เถิด ที่เชื่อท่านมาจนข้าทนไม่ไหวแล้ว”
“ยัง...ยังไม่พอ” หมอตวาดเสียงเบา ต่ำ “ถ้าไม่เชื่อข้าต่อไปท่านจะมีอันตราย”
ชีคอัสมันตกใจ “ท่านหมอ...”
“ไม่ฟังก็แล้วแต่ท่าน ท่านเลือกเองนะ ไว้คอยดูกันต่อไป”
ชีคไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
ด้านทั้ง 2 คน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินกลับที่พัก
“ทำงานให้ดีๆ ชีคมีลูกสาวหลายคน” ชารีฟเอ่ยขึ้น
มิเชลล์งง “ลูกสาว..แล้วทำไม อ๋อ ท่านชอบลูกสาวชีคอัสมัน”
“ไม่ใช่ บางที่ชีคอัสมันอาจจะชอบใจเธอยกลูกสาวให้เป็นเมียเธอก็ได้” ชารีฟเย้า
“บ้า จะเป็นได้ไง”
“เธออยากจะมีเมียเป็นลูกสาวชีคอัสมัน หรืออยากจะเป็นเมียชีคอัสมัน”
“นี่ฉันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” ท่าทางมิเชลล์ชักฉุน
“แต่ต้องเป็นไอ้หนุ่มตาฟาจำไว้ อันที่จริงฉันอยากให้เธอมอมแมมมากกว่าสะอาดสะอ้าน”
มิเชลล์หยุดเดินทันที เสียงดังใส่ด้วยความโมโห “สะอาด ฉันสะอาดที่ไหนล่ะสบู่ก็ไม่ได้ถูเห็นรึเปล่า”
“หน้าเธอสวยเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย”
ชารีฟหยุดเดินหันมาหามิเชลล์
“ปากของเธอก็หวานราวกับน้ำผึ้ง ใครจะอดใจได้ รู้ไหมว่าฉันต้องระงับใจขนาดไหน ที่ต้องอยู่ใกล้ผู้หญิงสาวสวย ตลอดวันตลอดคืนอย่างนี้”
มิเชลล์นิ่งตะลึงคำพูดของชารีฟซึ่งพูดแบบทีเล่นทีจริง แต่ในความรู้สึกนั้น ชารีฟพูดออกมาจากใจจริงจนมิเชลล์สังเกตได้มิเชลล์ถอยหนีทันที
“อยากเจอมีดก็ลองดูซิ”
“ความจริงฉันน่าจะทวงบุญคุณเธอได้แล้วนะให้ตายซิ” ชารีฟหน้าตากรุ้มกริ่ม ยื่นเข้ามาใกล้
“ป่าเถื่อน”
ชารีฟหยุดเดิน “พูดอีกทีซิ” น้ำเสียงเข้มจัด
“ท่านยั่วให้ฉันพูดก่อนนะ” มิเชลล์หวั่นๆ
“ก็แค่ความสุขอย่างหนึ่งของฉันเวลาอยู่กลางทะเลทราย รู้ไว้เสียด้วย”
“แสดงว่าท่านหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องพรรค์นี้”
“แล้วเป็นไงล่ะ อ๋อมันหยาบคายนักรึ”
“หยาบคายและป่าเถื่อน และ…”
ชารีฟหัวเราะ “ฮ่ะๆๆ ฉันก็อยากจะหยาบคายป่าเถื่อนจริงๆ ตามที่เธอว่า” พลางเดินเข้าหามิเชลล์
มิเชลล์ถอยกรูดมือกุมมีดแน่น “อย่านะ ท่านทำอย่างนี้ไม่ได้นะ”
ชารีฟเดินเข้าหาแล้วจับบ่าทั้งสองของมิเชลล์ไว้ มิเชลล์สะดุ้งหายใจถี่ใจเต้นแรง มือกระชับมีดแน่น
“ฟังนะ แม่นักบุญ ฉันคงจะเป็นคนป่าเถื่อนในแถบนี้ แต่ก็ไม่เคยพูดกับผู้หญิงคนไหนด้วยคำพูดแบบนี้มาก่อนฉันจะพูดกับผู้หญิงที่ฉันพอใจเท่านั้น”
ทั้งสองคนจ้องตากันนิ่งนาน มิเชลล์รู้สึกชาวูบกับคำพูดจากใจจริงของชารีฟ ลืมตัวไปชั่วครู่ จึงรู้สึกตัวขยับตัวจากการเกาะกุมบ่าของเขา
ชารีฟรู้สึกตัวเปลี่ยนอิริยาบถทันที หันหลังกลับเดินตรงไปตึกทันที ปล่อยให้มิเชลล์ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่จึงจ้ำเท้าตาม
“เดี๋ยว..รอด้วย”
“เร็ว...เรามีงานต้องทำ”
ภายในห้องโถงของตึกที่พักของชีคอัสมัน มีหมอโบราณ และลูกน้องชีคอัสมันหลายคนยืนระวังภัยอยู่ และยูซุฟ คนสนิทก็อยู่ด้วย
ชีคอัสมันนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม มีเสียงครางเบาๆ ด้วยความปวดผู้คนเฝ้ามองซุบซิบพูดจากันด้วยความวิตกกังวล ชารีฟและมิเชลล์ก้าวเข้าสู่ห้องโถง ผ่านชาย 2 คน ชารีฟถือท่อเหล็กกลางยาวประมาณ 1 ศอก เข้ามาด้วย
“ท่านเป็นเพื่อนของชีคอัสมัน เป็นหมอสมัยใหม่น่า ขอบใจองค์อัลเลาะห์ไม่ทอดทิ้งพวกเราฮิล..ลาฮา..อิล..ลอล ลอห์” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมกับทำท่าสรรเสริญพระเจ้า
หน้าตาหมอผีบึ้งตึง ดูน่ากลัว ถอยช้าๆ ไปยืนอยู่ทางหนึ่ง
“ท่านชีคอัสมัน ท่านไม่ได้เป็นฝีนะ เชื่อข้าพเจ้า นี่คือพิษร้ายที่บาดเจ็บจากการสู้รบปีที่แล้ว ทำได้คือสวดอ้อนวอนพระเจ้าเท่านั้น อย่าให้ของมีคมกับแผลเป็นอันขาด ข้าเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” ตาเฒ่าบอกขึงขัง
ชีคอัสมันโบกมือห้ามไม่ให้พูด
ชารีฟเดินเข้าไปยังแท่น ผู้คนกรูกันเข้ามุงทันที ชารีฟอึดอัดเล็กน้อย
ชารีฟบอก “ขอน้ำและผ้าสะอาดสัก 2- 3 ผืน เราจะลดไข้ชีคอัสมันก่อน ขอถาดสักใบ”
ชายคนหนึ่งวิ่งออกไป หมอโบราณขยับเข้าใกล้จ้องมองชารีฟเขม็งด้วยแววตาประสงค์ร้าย
มิเชลล์เหลือบมองเห็นกริยาอาการของหมอโบราณโดยตลอด จนหมอโบราณหันมามองมิเชลล์ตาขวาง จนมิเชลล์รีบหลบหน้า
ชารีฟยกท่อเหล็กขึ้น แขกมุงฮือฮาจ้องชารีฟ คิดว่าจะเอาท่อเหล็กฟาดชีคอัสมัน เมื่อชารีฟจ่อท่อเหล็กแล้วเอาหูฟังแทนสเตทโตสโคป พวกแขกมุงถอนหายใจเฮือก
ชารีฟเคลื่อนท่อไปตามอกของชีคอัสมัน แขกมุงพยายามเงี่ยหูตาม บางคนยื่นหัวและหูเข้ามาใกล้ ชารีฟเหมือนจะฟังด้วย ทำภาพตลกๆ เงียบๆ
ชารีฟฟังเสร็จจับชีพจรดูนาฬิกา
“พลิกตัวชีคอัสมันซิท่าน”
หมอโบราณจ้องเขม็ง ชารีฟมองดูที่ก้อนเนื้อโป่งข้างลำตัวชีคอัสมัน คนนำถังน้ำและผ้าสะอาดเข้ามาพอดี
“ตาฟา เอาผ้าชุบน้ำประคบหน้าผากชีคอัสมัน”
มิเชลล์หิ้ว ถังน้ำแหวกแขกมุงเข้ามาข้าง ชารีฟ แล้วทำตามชารีฟสั่ง ชารีฟกดรอบๆ ก้อนเนื้อ ชีคอัสมันสะดุ้งกัดกรามมือเกร็งแน่นทุกครั้งที่ชารีฟกด แขกมุงเบิกตาถลนด้วยความตกใจ
“ข้าคิดว่า..ข้าจะช่วยให้ท่านชีคอัสมันหายจากโรคร้ายและอาการปวดนี้ได้” ชารีฟว่า
เสียงฮือฮาและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของแขกมุงรอบๆ แต่หมอโบราณกลับหัวเสียหงุดหงิด
ชีคอัสมันบอก “เร่งรักษาเถอะ”
“ขอมีดสักเล่มเอาที่ใหม่ๆ นะ”
ชีคอัสมันถาม “ท่านจะผ่าก้อนเนื้อนี้ออกรึ”
“ไม่ใช่ก้อนเนื้อหรอก”
ชายคนหนึ่งส่งมีดเงาวับคมกริบให้ ชารีฟ ทุกคนจ้องที่ชารีฟเป็นตาเดียว ชารีฟเดินไปที่กองไฟ จ่อปลายมีดเข้ากับกองไฟ จนมีดสุกแดงจัด ชารีฟเดินกลับผู้คนแตกฮือหลีกทาง ชารีฟมองหน้าทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพยักหน้าขอกำลัง ทหาร 2 คน เข้ามาจับตัวชีคอัสมันนอนคว่ำกดแขนไว้ คนหนึ่งชักมีดออกมา มาเอาผ้าพัน ชีคอัสมันเอาปากกัดมีดนั้นไว้ ทหาร 2 คน จับแขนกดกับพื้นกระชับแน่น มีเผลอตัวยกมือจะปิดปากตามนิสัยผู้หญิง แต่นึกขึ้นได้รีบเอามือลงจ้องมองที่มือ ชารีฟจรดมีดลงที่ก้อนเนื้อที่ป่องข้างลำตัวแล้วกดมีดกรีดลง ชีคอัสมันกัดมีดที่ปากแน่น
จากนั้นชารีฟเอาถาดคล้ายชามรองน้ำหนองที่ไหลทะลักออกมาจากรอยกรีด แล้วเค้นเบาๆ รอบก้อนหนองที่บวม หนองไหลออกจนกระทั่งมีเลือดช้ำๆ ไหลตามออกมา มิเชลล์ใช้ผ้าสะอาดอีกผืนบิดให้หมาดน้ำเช็ดรอบแผลซึ่งขณะนี้เนื้อที่บวมนั้นยุบแฟบลงแล้ว ชารีฟกระซิบมิเชลล์
“ฝีธรรมดานี่เอง คนเจ็บถึงมีไข้สูง ไอ้หมอโบราณบ้านั่นมันพูดเสียคนเจ็บตกใจ”
“เขาคงอาฆาตท่านแน่” มิเชลล์เหลือบมองไปทางหมอโบราณ
“ช่างมัน ชีคอัสมันสำคัญกับเรามากกว่า”
ทหารเอามีดซึ่งพันผ้าให้ชีคอัสมันคาบออกจากปากชีคอัสมัน
“ท่านผ่าเอาเนื้อร้ายออกแล้วหรือ” ชีคอัสมันถาม
“เป็นฝีเท่านั้นเอง รับรองว่าไข้จะลด ไฟที่สุมในตัวท่าจะหายไปหมดสิ้น พรุ่งนี้จะไม่มีอาการปวดเลย”
ชีคอัสมันดีใจ “โอ..อัลเลาะห์ทรงโปรด ข้าคิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว”
“เอาผ้าสะอาดพันไว้ แล้วอย่าให้ถูกน้ำ” ชารีฟบอก
“ข้าบอกแล้วอาวิเซนน่าคือผู้วิเศษ เราจะกินเลี้ยงกันเมื่อข้าหาย” ชีคจับมือชารีฟบีบขอบใจ
หมอโบราณ เดินลงจากข้างแท่นด้วยความไม่พอใจและอิจฉาชารีฟ
“ข้าขอบใจท่านมาก ไม่มีใครสามารถเกินท่านจริง”
“ท่านพักผ่อนเสียก่อน”
“ข้ามีเรื่องคุยกับท่านอีกมาก ข้าจะหายเร็ว ยูซุฟเตรียมจัดงานเลี้ยงฉลองหลังจากที่ข้าหายป่วย สำหรับนายแพทย์ของข้า ข้ามีรางวัลจะให้ท่านในวันเลี้ยง”
ยูซุฟก้มหัวรับคำ “ได้..ข้าจะจัดการทุกอย่าง”
ชารีฟเหลือบมองมิเชลล์แล้วพูดทีเล่นทีจริง
“แล้วผู้ช่วยของข้าล่ะ”
มิเชลล์หน้าตื่น ชีคอัสมันมองหน้ามิเชลล์ๆ ต้องสะกดอารมณ์ให้นิ่งก้มหน้า
“เจ้าคนนี้ผิวพรรณขาวสะอาดไม่ใช่ดำอย่างทาส ดูมีเทือกเถาเหล่ากอดีเสียแต่ผอมไปหน่อย อืม ถ้าไม่มีพ่อแม่ เราจะขออุปการะมันเองมานี่ซิ”
มิเชลล์เข้าไปใกล้ๆ ชีคอัสมันเอื้อมมือจะโอบไหล่ มิเชลล์ตกใจ ทำท่าจะเบี่ยง ชารีฟฟต้องรีบเข้าช่วยขวางไว้
“มันเป็นคนของข้ากว่าจะฝึกให้เป็นงานขนาดนี้ใช้เวลานานเสียดายจริงๆ ให้ท่านไม่ได้” ชารีฟว่า
“สุดแล้วแต่ท่าน ข้าไม่คิดจะขัดใจท่านเพียงแต่เอ็นดูมัน”
มิเชลล์ถอนหายใจเฮือก เบือนหน้าไปทางอื่น แต่เผอิญไปตรงกับที่หมอโบราณยืนอยู่ จึงเห็นแววตาอาฆาตมาดร้ายของหมอโบราณที่จ้องชารีฟ มิเชลล์ลอบสังเกต ใจคอไม่ค่อยดี
ม่านกั้นแทนประตูห้องเปิดออก ชารีฟ และมิเชลล์ก้าวเข้ามา ชารีฟล้มตัวลงบนพื้นปูลาดด้วยพรม สองมือกุมหัว มิเชลล์ลงนั่งกอดเข่าอีกมุมหนึ่งตาไม่สบายใจ
“มีอะไรหรือ”
“เจ้าหมอผีเฒ่านั้นมันมองท่านยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ”
“อืม ฉันเห็นแล้วล่ะ ฉันจะระวังตัว เธอก็เหมือนกัน”
มิเชลล์ถอนหายใจ “ฉันกลัวว่าจะรักษาความลับไม่ได้ ถ้าชีคอัสมันรู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้ชาย”
“เขาก็ไม่ยกลูกสาวให้เธอน่ะซิ แต่อาจจะเอาเธอไว้ในฮาเร็ม” ชารีฟหัวเราะ “เป็นเมียคนที่สี่”
มิเชลล์ลุกพรวด “ไม่เอาทั้งสองอย่างนั่นแหละ เรารีบไปจากที่นี่เถอะท่าน”
ชารีฟลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ได้หรอก ที่นี่เป็นที่พักที่วิเศษสุด เราจะเปะปะไปอาศัยกับเบดูอินอื่นๆที่ไม่รู้จักไม่ได้อันตราย ระวังตัวไว้หน่อยไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก อย่ากังวลไปเลย”
ชารีฟขยับเข้าหามิเชลล์จะปลอบใจแต่มิเชลล์ถอยหนี ชารีฟได้ยินเสียงหน้าห้องหันไป ชาย 2 คน เปิดม่านนำอาหารมาวางให้มีข้าวหุงน้ำมันปนกับถั่ว เนื้อแกะย่าง นมสีขาวในเหยือกดินเหนียว อินทผลัมแห้งและขนมหวานที่มิเชลล์เคยเห็น มิเชลล์รีบยกเหยือกนมขึ้นดื่มด้วยความกระหาย
“ดีไหม นมแพะสดๆ เลยนะ”
มิเชลล์ตาเหลือกรีบวางทันที ทำหน้าเหมือนจะอ้วก
“อะไรนะ”
“นมแพะ”
“ตายแล้ว” มิเชลล์ทำท่าจะขย้อนออกมา “ไม่ใช่นมวัวหรือ”
ชารีฟจับตัวให้ตรง “กลืนเข้าไป อย่าให้ออกมานะ” บอกเสียงดุ
มิเชลล์ขัดขืน “ไม่” ทำท่าไม่ไหวแล้ว
ชารีฟใช้มือลูบหลังแรงๆ ลูบลงแบบให้กลืน “ลองสิ ลองอ้วกสิจะเอากรอกปากอีกเลย”
มิเชลล์มองสายตาโมโหมาก
“ไม่อ้วกแล้วใช่มั้ย”
มิเชลล์หน้าจะร้องไห้ขณะพยักหน้า
“เอา นี่เนื้อแกะ”
มิเชลล์ตาโต “เนื้อแกะ..ไม่กิน”
“เนื้อกระต่ายอร่อยที่สุด ไม่เหม็นเลย เธอยังไม่ยอมกินคราวนี้เนื้อแกะเหม็นสาปกว่าแต่ต้องกินอยู่ดีนั่นแหละ”
“ไม่กิน ฉันไม่เคยชอบเนื้อแกะ”
“อะไรกัน ชาวยุโรปกินเนื้อแกะเป็นอาหารชั้นดี”
“แต่ฉันไม่ชอบ...ไม่กินค่ะ”
“ไม่กินเรอะ มานี่ ฉันจะป้อนเอง”
มิเชลล์หนี “ไม่ต้องค่ะ”
มิเชลล์หยิบเนื้อแกะขึ้นใส่ปากเคี้ยว ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ดีว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย”
มิเชลล์เหลือบมองชารีฟเป็นเชิงปรามว่าอย่านะ ปากก็เคี้ยวไปอย่างกล้ำกลืน พอกลืนปั๊ปก็คว้าน้ำนมขึ้นดื่มรีบกลืนเอื้อกลงไปจนต้องยกมือลูบคลำคอและหน้าอก ชารีฟพูดกับมิเชลล์ด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู
“เดี๋ยวก็สำลักหรอก”
มิเชลล์รีบคว้าขนมใส่ปากเคี้ยวทันที ชารีฟจับมือมิเชลล์ยกขึ้นหงายดู
“เธอผอมเกินไปแล้วนะมิเชลล์”
มิเชลล์รีบหลบตาชารีฟ แล้วรีบชักมือกลับ
“ฉันจะกินขนมพวกนี้มากๆ”
ชารีฟหัวเราะ
มิเชลล์รีบเทขนมลงในห่อผ้าแล้วห่อไว้
ชารีฟหัวเราะขำ “ทำเป็นเด็กๆ ไปได้นี่”
“รู้แล้วว่าอดอยากเป็นยังไง”
มิเชลล์ยิ้มพร้อมกับหาวง่วงนอน ทั้งคู่ดูผ่อนคลายขึ้นมาก ความโกรธขึ้งในใจสลายลง
ชารีฟปรบมือเรียก ชาย 2 คนที่หน้าห้องพัก เข้ามาเก็บอาหารที่เหลือออกไป ชารีฟหันมามองก็เห็นมิเชลล์เอนตัวหลับไปแล้ว
ชารีฟมองด้วยความเอ็นดู ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น เหม่อมองไปทางช่องหน้าต่างเห็นดวงจันทร์และดวงดาวเต็มท้องฟ้า
ชารีฟหันกลับมาดูมิเชลล์อีก คราวนี้จ้องอยู่นานแล้วก็ถอนหายใจ นำพึงออกมา
“เธอจะทนไปได้นานสักเท่าไหร่กันนะ มิเชลล์”
คืนนั้นมิเชลล์ยืนมองท้องฟ้า หน้าตาเลื่อนลอย ชารีฟเดินเข้ามาใกล้ มิเชลล์ขยับตัวห่าง
“เห็นดวงดาวนั่นไหม มันคือ ดาวเหนือ เราใช้เป็นเครื่องนำทางเวลาเดินทางในทะเลทราย”
“ดาวเต็มฟ้าไปหมด ฉันดูไม่ออก”
“มีกลุ่มดาวไถอยู่ทางโน้น ท้ายคันไถมีดาวสองดวง เราจะลากเส้นจากดวงสองดวงนี้ไปบรรจบกับดาวที่สุกสว่างที่สุด เป็นเส้นตรง นั่นแหละคือดาวเหนือ”
“มีดาวสุกสว่างตั้งหลายดวง”
“แต่ต้องลากเส้นมาท้ายคันไถ ไม่งั้นไม่ใช่”
“ดาวเหนือ แปลว่าอยู่ทางเหนือหรือคะ”
“ใช่ บางวันอาจจะเห็นทางช้างเผือกด้วยนะ มิเชลล์”
“ท่านเรียนแพทย์ไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่”
“เรียนทหารด้วย เรียนที่สหรัฐใช่มั้ยคะ”
“ใช่”
“แล้วใครสอนให้ท่านดูดาว”
“ชาวทะเลทรายดูดาวเป็นทุกคน”
“ท่านเคยไปอยู่ในประเทศเจริญมาก กลับมาอยู่ทะเลทรายได้หรือคะ”
“ฉันรักผืนทราย รักความอิสระ ฉันมีความสุขมากเมื่อได้ยืนอยู่บนพื้นทราย ข้างบนมีดวงดาวเต็มฟ้า”
มิเชลล์มองอย่างเคลิบเคลิ้มนิดๆ
“ฉันจะมีความสุขที่สุด ถ้ามีใครสักคนที่รักพื้นทรายเหมือนฉันมายืนดูดาวด้วยกัน”
มิเชลล์นิ่งงัน ชารีฟหันมามองนิ่งๆ สายตาลึกซึ้ง มิเชลล์จ้องตาสักครู่ก็ถอย ทีละก้าว
“จะไปไหน”
“นอน ง่วงนอนแล้ว” มิเชลล์ไปไม่เหลียวหลัง
ชารีฟยิ้มชอบใจ
ชารีฟหลับฝันไป เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านของเขาในฮิลฟารา แลเห็นไบคานกับสุไบดา พ่อแม่ของชารีฟ นั่งเด่นเป็นสง่าในชุดเต็มยศ ทั้งสองยิ้มแย้ม ญาติอื่นๆ อยู่ในชุดสวยงามยิ้มแย้ม
“ไหนขอแม่ดูหน้าลูกสะใภ้ให้เต็มตาหน่อยซิ”
ชารีฟและมิเชลล์นั่งอยู่คู่กันในชุดบ่าวสาว มิเชลล์คลุมหน้าปิดหมด ขยับเข้าหาแม่แล้วค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออก แม่เอามือเปิดผ้าที่คลุมหัวมิเชลล์ออกด้วย เห็นเป็นใบหน้า มิเชลล์ซึ่งเป็นชุดวิวาห์สไตล์ยุโรปเต็มที่
“ชารีฟ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนชาติเรา ผู้หญิงยุโรปต่างชาติต่างศาสนาแบบนี้ ชารีฟเอาเป็นเมียได้ยังไงลูก ไม่เอาแม่ ไม่ยอมรับ” สุไบดาว่า
“ไล่นังผู้หญิงคนนี้ออกไป” ไบคานบอก
ญาติทุกคนฮือฮาแตกตื่น
มิเชลล์ตกใจตื่นกลัว ชารีฟก็ตกใจ และวิตกไม่น้อยพ่อแม่ ลุกออกไป
“ผมรักเธอครับแม่ พ่อ ผมรักเธอ พ่อครับ แม่ครับแม่” ชารีฟเรียกหาเสียงดัง “ผมรักมิเชลล์”
ชารีฟนอนหลับอยู่ แล้วสะดุ้งพรวดตื่นขึ้น
“แม่”
ชารีฟรู้สึกตัวว่าฝัน เหลือบไปดูเห็นมิเชลล์นั่งกอดเข่ายิ้มมองดูอยู่ ชารีฟตกใจ และรู้สึกอาย
“ท่านละเมอใหญ่เลย” มิเชลล์อมยิ้ม
ชารีฟตกใจ “ฉันพูดอะไรออกไปบ้าง”
“ท่านเรียกพ่อ แม่ องค์อาหเม็ดแล้วก็อีกหลายคนไม่รู้เรียกหมดทั้งตระกูลท่านหรือเปล่า” มิเชลล์หัวเราะขำ “ญาติเยอะดีจัง”
“แค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรนอกจากนี้อีกนะ” ชารีฟถามย้ำ
“เปล่า ทำไมเหรอคะ”
ชารีฟอึกอักไม่ตอบ
“ทำไมคะ ท่านคิดว่าพูดอะไร”
“ไม่”
มิเชลล์เอียงคอมองอย่างฉงน ยิ้มล้อๆ
“แต่ฉันพูดแน่ รอให้ถึงเวลาก่อนเถอะ”
มิเชลล์รีบถามกลบเกลื่อนความเขิน
“ท่านบอกให้ฉันทำงาน...ทำอะไรหรือ”
อ่านต่อหน้า 4
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 5 (ต่อ)
บริเวณลานกว้างข้างนอกในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น สองคนยืนอยู่ข้างอูฐ ชารีฟบอกเรื่องงานไปแล้ว
“ฉันจะทำไงล่ะ” น้ำเสียงมิเชลล์อุทธรณ์สุดขีด
“ดูแลอูฐนี้ไว้”
“ดูยังไง ดูไม่เป็นนี่” มิเชลล์โวยวาย
ชารีฟตบหัวแรงๆ “ยืนดูอยู่อย่างนี้แหละ”
ชารีฟออกไป มิเชลล์ยืนหน้างอ ชารีฟหันมามอง
“จะไปไหน กลับมาเร็วๆ นะ”
มิเชลล์ตะโกนตามเจ้าของแผ่นหลังบึกบึนนั้นไป
ฝ่ายชีคอัสมันนอนอยู่ในห้องซึ่งตกแต่งอย่างงดงามกว่าห้องอื่นๆ พรมเนื้อดีปูลาดเต็มห้อง อาวุธต่างๆ ประดับไว้ตามผนังห้อง มีม่านกั้นเฉพาะที่นอน ชารีฟเดินเข้ามาในห้อง พร้อมเครื่องมือทำแผลที่พอหาได้อ่างน้ำผ้าสะอาด ชีคอัสมันโบกมือไล่คนอื่นๆออกไป
“ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”
ชีคอัสมันลุกขึ้นสีหน้ายิ้มแย้ม “ดีมากจนเกือบเป็นปกติ”
“นอนเถอะท่าน”
“ไม่เป็นไรข้านอนมามากแล้ว” ชีคอัสมันชันกายครึ่งนั่งครึ่งนอน “ไฟในกายข้าตอนนี้ดับหมดแล้ว ท่านมีบุญคุณกับข้าเป็นครั้งที่สองจากที่ท่านรักษาลูกชายข้าเมื่อหลายปีก่อน”
ชารีฟยิ้ม “ข้าดีใจที่ท่านหายปวด เสียได้มิฉะนั้นคนของท่านคงต้องได้ยินเสียงครวญครางตลอดเวลาจนนอนไม่หลับ”
ชีคอัสมันหัวเราะ “ลูกมือของท่านละ”
“ข้าให้มันดูแลอูฐ”
“ต่อไปท่านจะต้องจ้างคนเพิ่ม”
“ทำไมหรือ”
“ก็ท่านจะมีม้าอีกยี่สิบตัว แกะยี่สิบตัว อูฐอีกห้าที่ข้าจะให้ท่านไง” ชีคอัสมันหัวเราะ “ยูซุฟจัดให้หมออย่างที่ข้าสั่ง”
“จะรีบจัดให้ท่านชีคอัสมัน” ยูซุฟรับคำ
“ขอบคุณท่านมาก” ชารีฟบอก
“คนของข้าบอกข้าว่า ท่านจะมาดำเนินอาชีพเป็นพ่อค้าม้าที่นี่ ข้าเหมือนได้ยินเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ท่านช่วยเล่าให้ข้าหายข้องใจบ้างได้ไหม”
“ข้าตั้งใจจะมาค้าม้าจริง”
“ให้ท่านพูดสักร้อยครั้งข้าก็ไม่เชื่อชีวิตร่อนเร่แบบพวกเราเผ่าเบดูอิน มันจะเป็นที่ติดใจท่านถึงขนาดนี้เชียวหรือเป็นไปไม่ได้หรอก”
ชารีฟนิ่งอึ้ง จำนนกับคำพูดของชีคอัสมันผู้รู้จักชารีฟค่อนข้างดี
“ท่าน...ไม่สามารถทำราชการกับกษัตริย์โอมานได้หรือ” ชีคอัสมันกระซิบเบาๆ ทำตาจริงจัง “เพื่อเห็นแก่องค์อาหเม็ด...ข้ารู้ว่าท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะนำบัลลังก์คืนองค์อาหเม็ด
ขณะเดียวกันที่บริเวณหนึ่งของค่ายทหาร องค์โอมานเดินเข้ามา
“ไหน ใครที่ไม่ยอมเสียภาษี”
มุสตาฟาพาเดินมาถึง “นี่ไง 2 คน พะยะค่ะ”
พ่อค้าไม่ยอมเสียภาษี 2 คน ท่าทางเป็นคนซื่อสัตย์ทั้งคู่
องค์โอมานเพ่งมอง “เอ ดูท่าทางเป็นคนดีนี่ ทำไม”
พ่อค้าคนที่ 1 บอก “ข้าเสียได้ แต่ต้องมีหลักฐานว่าเราเสียให้ราชการจริงๆ”
พ่อค้าคนที่ 2 ว่าตาม “จะให้ข้าเสียโดยไม่มีหลักฐาน ข้าไม่รู้เข้ากระเป๋าใคร”
องค์โอมานเหวี่ยงหลังมือซัดทันที 2 ฉาดติดๆ กัน สองพ่อค้าเลือดซึม
พอองค์โอมานตบเสร็จท่าทางเฉยๆ เหมือนกล่าวคำทักทาย ปัดมือไปมา
“ถามคำเดียวจะยอมเสียมั้ย”
พ่อค้าคนที่ 2 ย้ำคำ “เรายินดีเสียให้ถูกต้อง”
“ฆ่ามัน” องค์โอมานตะโกนก้อง
พ่อค้าสองคนตอบพร้อมกัน “ไม่”
ทหารยิงตูม....ตูม สองพ่อค้าฟุบไปทันที
“ไหน รถถังที่เพิ่งซื้อมาอยู่ที่ไหน” องค์โอมานหันไปถามซาอิ๊บ
ในเวลาต่อมา องค์โอมานและซาอิ๊บพร้อมทหารองครักษ์เดินตรวจตรารถถังรุ่นใหม่ ที่เพิ่งซื้อจากพ่อค้าอาวุธซึ่งจอดเรียงเป็นแถวยาวในค่ายทหารฮิลฟารา
“อืม ขอให้มันทรงประสิทธิภาพจริงอย่างคำคุยเถอะ ข้าจะสั่งซื้อมาประจำการ อีก 20 กองพล”
“ดีแน่พระย่ะค่ะ เอ้อ...ระยะนี้พระองค์ไม่เห็นทรงสนพระทัยเรื่องตามหาพันเอกชารีฟเลยพะยะค่ะ” ซาอิ๊บถาม
“ทำไม ได้ข่าวแล้วรึ”
“มิได้พะยะค่ะ ยังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลย”
องค์โอมานหัวเราะ “ข้านึกแล้ว”
“พระองค์ไม่ทรงวิตกกังวลเหมือนเมื่อก่อน”
“ข้าจะไปกังวลทำไม เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของข้ากำลังทหารแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ไอ้ชารีฟ มันมีอะไรอย่างดีก็แค่ทหารชายแดนเราก็อยากให้มันบุกเข้ามาเหมือนกัน จะได้ขยี้มันให้แหลกหมดเสี้ยนหนามเสียเร็วๆ แต่...”
“แต่อะไรพระย่ะค่ะ”
“มันไม่ใช่คนทะเยอทะยาน ข้ารู้ดี มันไม่ต้องการที่จะครองแผ่นดิน มิเช่นนั้นมันไม่หนีไปเรียนหมอรึ ข้าว่ามันอยู่กลางทะเลทราย ไม่กล้าเข้ามาในเมืองหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพระองค์ จะบอกให้ทหารเลิกติดตามมัน”
“เฮ้ย ไม่ต้องเลิก ตามหาต่อไป ยังไงข้าก็ยังอยากให้มันตาย ข้ายังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นตัวการลักลอบ เอาพระศพองค์อาหเม็ดออกไปหรือเปล่า”
ขณะเดียวกันนั้นชีคอัสมันกับชารีฟเดินพูดคุยกันมาที่บริเวณคอกม้า บริเวณที่พัก
“ลือกันว่า พระศพขององค์อาหเม็ดหายไปจากห้องพระบรรทม”
ชารีฟตกใจมาก “ท่านว่าอะไรนะ องค์อาหเม็ดหายไป”
“ใช่ เขาลือกันเช่นนั้น”
“เป็นไปไม่ได้ วิทยุประกาศว่าสิ้นพระชนม์ โอมานต้องเก็บพระศพอย่างดี”
“นั่นสิ แต่ข้าก็ไม่เชื่อหรอก เชื่อยาก แต่เขาลือกันจริงๆ เออ ท่านราชองครักษ์ ข้าขอถามตรงๆ นะ อย่าหาว่าข้าดูหมิ่นท่าน เหตุใดชายชาติทหารเยี่ยงท่าน จึงไม่คิดก่อการกบฏแก้แค้น”
“ท่านจะให้ข้าแก้แค้นแทนใคร ในเมื่อองค์อาหเม็ดก็สิ้นพระชนม์เสียแล้ว”
“ใครๆ เขาก็รู้ว่าโอมานเป็นคนชั่ว ผิดกับท่านที่มีแต่คนรักใคร่นับถือถ้าหากสิ้นองค์อาหเม็ดผู้ที่เหมาะสมที่จะครองราชบัลลังค์คือท่าน”
“ผิดแล้ว ข้าเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นลำดับสุดท้ายล่ะไม่ว่า ยังมีพี่น้องและเจ้าชายอับดุลลาจากอิชฟาอัคอีกพระองค์หนึ่ง ที่เหมาะสมกว่าข้า”
“แต่ถึงอย่างไรข้าก็ว่าท่านเหมาะสมที่สุด ข้ากับพวกพ้องของข้าอีกหลายเผ่า พร้อมจะร่วมมือกับท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านเอ่ยปากเท่านั้น”
“ความจงรักภักดีที่ผู้อื่นมีต่อข้า ไม่ใช่ความประสงค์ของข้าๆ ทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อองค์อาหเม็ด เพื่อให้ทุกคนจงรักภักดีต่อองค์อาหเม็ด ผู้ซึ่งมีพระคุณชุบเลี้ยงข้า ไม่ใช่เพื่อตัวเอง”
ชีคอัสมันบอกหนักแน่น “ก็นี่แหละข้าถึงว่า คนอย่างท่านเท่านั้นเหมาะที่จะครองแผ่นดิน”
ครู่ต่อมาสองคนนั่งลงในกระโจม
“ไม่ใช่ความประสงค์ของข้า” ชารีฟยืนกราน
“งั้นท่านจะหนีอยู่อย่างนี้นะหรือ”
“จะหนีจนกว่าเขาจะลืม”
“ท่านจะตระเวนเร่ร่อนอยู่แบบนี้ได้หรือ”
“ก็บรรพบุรุษของเรา อยู่กันมาได้อย่างไรล่ะ”
“ท่านเป็นคนเข้าใจยากจริงๆ ค่อนข้างจะหัวดื้อเสียด้วย” ชีคอัสมันยิ้ม “ข้าอยากบอกอะไรท่านสักอย่าง”
ชารีฟฉงน “อะไรหรือท่าน”
“ท่านว่าท่านรักองค์อาหเม็ดใช่ไหม เพราะฉะนั้นท่านก็ย่อมจะรักผู้ที่องค์อาหเม็ดทรงรักด้วย”
“ข้าไม่เข้าใจท่านหมายถึงอะไร”
“ประชาชนทั้งประเทศยังไง องค์อาหเม็ดทรงต้องรักประชาชนของพระองค์ ท่านจะปล่อยให้คนชั่วอย่างโอมานมารังแกประชาชนผู้เป็นที่รักขององค์อาหเม็ดเช่นนั้นหรือ ท่านลองคิดซิว่า ท่านเห็นแก่ตัวของท่านเองมากเกินไปรึเปล่าทั้งๆ ที่ท่านก็มีสายเลือดของกษัตริย์”
ชารีฟนิ่งอึ้งครุ่นคิด
“ข้าขออภัยไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิท่าน”
“ท่านกำลังชักจูงข้าให้รับภาระที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับข้า”
“ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่เกินไป สำหรับคนอย่างท่านหรอกท่านราชองครักษ์”
ชารีฟนิ่งคิดถอนหายใจ
ค่ำแล้วชารีฟเดินเข้ามาหน้าห้องพักแล้วหยุดครุ่นคิด คำของชีคอัสมันเมื่อครู่ยังดังก้อง ชารีฟทำท่าไม่อยากคิดเดินเข้า มิเชลล์กำลังปักกวาดพื้นห้อง ชารีฟเดินเปิดม่านเข้ามามิเชลล์รีบเอาผ้าคลุมหน้า
“บอกแล้วไงว่าไม่ให้เอาผ้าคลุมหน้าออก เวลาฉันไม่อยู่ด้วย” ชารีฟอารมณ์เสีย ตวาดแรงๆ
“ฉันเห็นว่าไม่มีใคร”
“ทีหลังอย่าทำอีก” ชารีฟจับมิเชลล์ แล้วเขย่าตัวแรงๆ
มิเชลล์ไม่โกรธ มีสีหน้าเห็นใจ “ดูท่านเคร่งเครียด มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรมากหรอก” ชารีฟถอนหายใจ “ขอโทษนะ เจ็บมั้ย”
มิเชลล์ส่ายหน้า
“มิเชลล์”
“คะ”
“เธอเคยรู้สึกแบบนี้มั้ยว่าเธอขี้ขลาด แล้วก็เห็นแก่ตัวที่สุด”
“บ่อยไปค่ะ ชีวิตเด็กกำพร้าในคอนแวนต์อย่างฉันน่ะ สับสนว้าวุ่นใจอยู่บ่อยๆ ท่านมีอะไรไม่สบายใจคุยกับฉันได้ รับรองฉันช่วยท่านได้แน่” สุ้มเสียงสาวลูกผสมมั่นใจมาก
“ช่วยยังไงไม่ทราบ”
มิเชลล์ตีหน้าตาย “ช่วยฟัง”
ชารีฟมองหน้ามิเชลล์ หัวเราะออก ขำมาก ใบหน้าของมิเชลล์แม้ถูกผ้าคลุมไว้ก็ยังมองเห็นดวงตาที่แจ่มใสเป็นประกายแห่งความจริงใจชารีฟมองตะลึงงัน
พระราชวังในฮิลฟารา ยามเช้า ที่โต๊ะวางแผนสงคราม เห็นองค์โอมานกำลังซ้อมเคลื่อนพลด้วยหุ่นพลาสติกรูปทหาร รถถังปืนใหญ่บนแผนที่แผ่นใหญ่
องค์โอมานจิ้มแผนที่ “เนี่ยเหรอ ...โธ่เอ๊ย ประเทศเล็กแต่ร่ำรวยนักเหรอ ฮ่ะๆๆ แต่แค่ข้าเอารถถังจอดเรียงกันก็ล้อมประเทศมันได้แล้ว อันที่จริงน้ำมันที่มีอยู่ใต้พื้นทรายทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของข้าคนเดียวจริงไหม” องค์โอมานหันไปถามพวกองครักษ์
“จริงพระเจ้าค่ะ” ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
“ซาอิ๊บ ได้คนขโมยพระศพองค์อาหเม็ดไปหรือยัง คิดว่าคนไหนรู้ก็ถามมัน มันไม่ตอบ...ก็แค่ทำให้มันตอบ รู้ใช่ไหมว่าทำยังไงมันถึงจะตอบ ฮ่ะ...ฮ่ะ...ฮ่ะ อยากรู้ว่าใครจะยอมเจ็บจนตาย”
ภายในห้องทรมานนักโทษ ซาอิ๊บ มองดู ผู้คุมนักโทษเฆี่ยนนายพลอัสตาฟาซึ่งถูกแขวนโยงไว้กับผนัง นายพลอัสตาฟาชรามากแล้ว
“นายพลอัสตาฟาบอกมาสิ นายพลมุสกัตใช่มั้ยที่เอาพระศพไป” ซาอิ๊บตวาดแรงๆ “บอกมา...เฮ้ย เฆี่ยนเข้าไปอีกแรงๆ”
นายพลชราร้องโอดโอย แล้วสลบไป ซาอิ๊บอัดเข้าไปที่สีข้างทีหนึ่ง แล้วเดินออกไป นายพลอัสตาฟานิ่งเงียบ
ซาอิ๊บหันมาสั่งก่อนลับตัวไป “เฆี่ยนมันอีก ให้มันสารภาพให้ได้”
นายพลอัสตาฟาส่ายหน้า
ผู้คุมท้วง “แต่ท่าน...ท่านซาอิ๊บ นายพลฮัลตาฟาท่านแก่แล้วสงสารท่านเถอะ คงไม่รู้จริงๆ”
ซาอิ๊บซัดเท้าไปฉาดหนึ่ง “นี่ไง สงสารนักใช่มั้ย”
ผู้คุมยืนก้มหน้าแบบโกรธๆ
ซาอิ๊บขยุ้มคอผู้คุม “มึงเป็นข้าในพระองค์โอมานที่ 1 มึงจะทรยศหรือ”
“ข้าแค่สงสารคนแก่”
ซาอิ๊บซัดไปอีกโครม “มันน่าสงสารนักรึ ไม่เห็นเหรอว่ามันปากแข็ง ทำท่ายโสแบบเนี้ย”
คราวนี้ผู้คุมไม่กล้าตอบ
ซาอิ๊บกระชากตัวนายพลอัสตาฟาขึ้นมาเผชิญหน้า “จะบอกหรือไม่บอก”
นายพลอัสตาฟาสะลึมสะลือมองซาอิ๊บ
ซาอิ๊บเขย่าสุดแรง “บอกสิวะ บอกแล้วไม่ตาย”
นายพลอัสตาฟาถ่มน้ำลายใส่หน้าทีหนึ่ง ซาอิ๊บเหวี่ยงเต็มแรงจนอัสตาฟากระเด็นไปฟุบกองที่พื้น
ฟากองค์โอมานยังคงวางแผนการทหารอยู่ ขณะซาอิ๊บเข้ามาทำความเคารพ
“ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า ผู้ที่เป็นตัวการลักลอบนำพระศพขององค์อาหเม็ดไป”
“มันเป็นใคร” องค์โอมานถาม
“นายพลมุสกัต”
“ไอ้มุสกัต ใครเป็นคนบอกไอ้อัสตาฟารึ”
“อย่างที่พระองค์รับสั่ง ไม่มีใครทนเจ็บจนตาย มีนายพลผู้ใหญ่ อีกหลายคนร่วมด้วยพะย่ะค่ะ แต่ไอ้นายพลอัสตาฟายังไม่ยอมปริปากพูด คงอีกไม่นานหรอกพะย่ะค่ะ ข้าพระองค์จะทำให้มันพูดให้ได้”
“คนสำคัญที่เราจะต้องตามจับมันให้ได้ เห็นจะเป็นเจ้ามุสกัตมากกว่าชารีฟเสียแล้ว มันจะเอาพระศพองค์อาหเม็ดไปทำไมกัน” องค์โอมานค้างคาพระทัย
“แต่ไอ้ชารีฟก็ปล่อยไว้ไม่ได้ มันจะเป็นเสี้ยนหนามในภายหลัง
ไม่นานนัก องค์โอมานก้าวมายืนประจันหน้า สุไบดาโบกมือให้นิชา ออกไป นางข้าหลวงสองสามคนและไบคานออกไป
“เดี๋ยว ท่านน้า” องค์โอมานจงใจเรียกท่าน แสดงว่าไม่ใช่เจ้า “จะไปไหน”
“มีอะไรพูดกับเรา อย่ายุ่งกับท่านไบคาน”
องค์โอมานมองเหยียดหยาม “อยู่ใต้เงาเจ้าน้ารึ ช่างเป็นสามีที่แสนดีจริงๆ”
สุไบดาไม่เกรงกลัว “อย่าสักแต่ว่ามีปาก”
องค์โอมานได้ยินไม่ถนัด “เจ้าน้าว่าอะไรนะ”
“จะสนใจทำไม มีธุระอะไรก็ว่ามา”
“ชารีฟอยู่ที่ไหน”
สุไบดาตอบทันที “ไม่รู้”
องค์โอมานสวนทันทีเหมือนกัน “ไม่จริง”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“เจ้าน้าสุไบดา อย่าให้เรื่องมากกว่านี้เลย หลานรับรองว่าจะไม่ลงโทษชารีฟด้วยประการใดๆทั้งสิ้น”
สุไบดานิ่ง
“หลานรู้ฝีมือชารีฟ เขามีประโยชน์กับฮิลฟาราและราชบัลลังก์”
สุไบดาถามทันที “ราชบัลลังก์ของใคร”
“เจ้าน้า...อย่าพูดจาโยกโย้กับหลาน อย่าทำให้หลานโกรธ”
สุไบดาย้อน “โกรธเป็นคนเดียวรึโอมาน”
องค์โอมานตวาดสุดแรงเกิด “อย่าทำให้โกรธ พูดเข้าใจบ้าง เดี๋ยวก็ตายกันหมดหรอก”
สุไบดาพูดดีๆ ด้วย “โอมาน อย่าให้เลือดนองไปกว่านี้เลย เห็นแก่บุญแก่บาปบ้าง มีชีวิตอยู่ชาติหนึ่งให้ผู้คนจดจำบ้างเถอะ ว่าความดีมีอะไรบ้าง”
โอมานหัวเราะเยาะหยันเสียงดังก้องฟ้า สุไบดานั่งหน้านิ่งสนิท เหยียดหยาม
“เจ้าน้า จำไว้นะว่าหลานจะพลิกแผ่นดินหาชารีฟ ถ้าชารีฟจะตายไม่ใช่ด้วยน้ำมือใคร ต้องด้วยมือนี้” องค์โอมานยกมือชูอย่างแรง
สุไบดาไม่ขยับเลย โอมานจากไปอย่างแรง
สุไบดาถอนหายใจยาว พนมมือพึมพำ “ชารีฟ...พระคุ้มครองลูกด้วย”
ที่กระโจมของชีคอัสมัน เวลาเดียวกัน
“ข้าพเจ้ากำลังให้นำพันธุ์ม้าอาหรับไปขายที่ตลาดค้าสัตว์เมืองซากากา ข้าพเจ้าจะให้ท่านคุมม้าและอูฐไป”
ชารีฟมองหน้ากับมิเชลล์
ชีคอัสมันงง “มีอะไรขัดข้องหรือ”
“ไม่..ไม่มี” ชารีฟบอก
“คนสนิทของข้าพเจ้าจะพาท่านไป” ชีคอัสมันตบมือ ยูซุฟเดินออกมาโค้งต่ำ “คนนี้ไงเขาชื่อยูซุฟ เป็นคนประเสริฐ จริงใจและซื่อสัตย์ ที่สำคัญไม่พูดมาก”
“ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนแห่งมิตรภาพโดยแท้จริง” ชารีฟก้มหัวต่ำ “ขอบใจท่านมาก”
“เดินทางไปนี้ที่ควรระวังคือไอ้พวกโจรตูอิค มันจะปล้น สู้มันยากเพราะมันขี่ม้าฝีเท้าเร็วมาก เออ…เด็กของท่านขี่ม้าทนมั้ย”
มิเชลล์มองหน้า ชารีฟ
“มันขี่ม้าเก่งมาก”
มิเชลล์ตาโต
ชารีฟโม้อีก “มันอดทน เข้มแข็ง แข็งแกร่งที่สุด เด็กของข้าคนนี้”
มิเชลล์คอย่นทุกครั้งที่ชารีฟพูด
“ท่านอยากเห็นหรือไม่”
“ให้ข้าดูหน่อย”
มิเชลล์จะเป็นลม ชารีฟยิ้มสนุก
ไม่นานต่อมาที่เนินทรายใกล้ที่พัก ชารีฟสอนมิเชลล์ให้ขึ้นม้า มิเชลล์กลัวไม่กล้าขึ้น ชารีฟดันส่งร่างขึ้นไป แล้วจูงม้าเดิน
มิเชลล์นั่งโอนเอน หลับตาปี๋ “โอ๊ย...จะตกแล้ว”
“เธอต้องหัด...ต้องพยายามหน่อย”
“ไม่...ฉันกลัว ม้าสูงนี่”
“หลับตา...มิเชลล์...หลับตา”
“หลับตาทำไมฉันยิ่งกลัวอยู่”
“เอาเถอะน่าบอกให้หลับก็หลับสิ”
“ไม่เอาฉันไม่หลับ”
ชารีฟเริ่มมีอารมณ์ “เอ๊ะ บอกให้หลับตา”
“ไม่”
“หลับ”
“ไม่หลับ”
“แค่นี้ทำไมทำไม่ได้”
“ไม่เอา หลับตา ฉันก็ไม่เห็นน่ะสิ”
“เห็นอะไร” ชารีฟงง
มิเชลล์บอก “เห็นคุณ”
“ปัทโธ่ ทำไมต้องเห็นฉัน”
“ก็ฉันกลัว เห็นคุณฉันจะได้รู้ว่าถ้าตกม้าคุณจะรับฉัน”
“เอาล่ะ ฉันสัญญาว่าถ้าเธอตกม้า เธอจะตกม้าในอ้อมแขนของฉัน”
“จริงๆ นะ”
“จริง”
มิเชลล์หลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่ “อย่าหลอกฉันนะ”
“ไม่หลอก...”
“เชื่อได้เหรอ” มิเชลล์อ้อล้อ
ชารีฟหมดความอดทน เงื้อกำปั้น เสียงดัง “บอกให้หลับตา”
มิเชลล์รีบหลับทันที “ดุยังกะอะไรเนี่ย”
“แล้วนึกถึงภาพว่าขี่ม้าตัวสูงใหญ่ แต่เธอขี่มันได้ เพราะเธอตั้งใจ เธอพยายาม เพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอขี่ไม่ได้ ชีคอัสมันสงสัยมาก ไม่มีผู้ชายคนไหนในดินแดนแห่งนี้ที่ขี่ม้าไม่เป็น”
มิเชลล์คิดตามทุกคำ
ไม่นานนัก มิเชลล์ก็ขี่เก่งขึ้น ชักม้าให้เดินเหยาะด้วยตัวเอง
มิเชลล์พาม้าวิ่งวนๆ ม้าวิ่งเหยาะๆ ได้แล้ว จู่ๆ มิเชลล์เอนๆ ร้อง ว้ายๆๆ ร่างตกม้าไหลลงมาอย่างนุ่มนวล ชารีฟรับไว้มิเชลล์อยู่ในอ้อมแขนชารีฟ สองคนมองตากันซึ้ง
ครู่ต่อมาสองขี่ม้ากันไปอย่างเร็ว...พอสมควรชารีฟโอบอยู่ด้านหลัง
“ฉันเก่งรึยัง”
ชารีฟตบหัวเบาๆ หัวเราะขำๆ สองคนขี่ม้ากันไป หัวเราะเสียงดัง
เวลาตอนกลางคืนอีกวันถัดมา นะหมัด และ กาเซ็มสองคนย่องเข้ามาตรงที่จอดพักอูฐและม้าสอดส่ายสายตาหา
“นั่นไง อูฐของมัน” นะหมัดกระซิบ
กาเซ็มแปลกใจ “รู้ได้ไง”
“ไอ้เลาะห์คนตักน้ำบอกข้าว่าท่านชีคให้มัน”
“โห” กาเซ็มตาโตเสียงดังมาก “ให้อูฐตั้งหลายตัวเนี้ยนะ”
มิเชลล์อยู่ในห้อง กำลังปัดๆ ที่นอนได้ยินเสียงแว่วๆ
นะหมัดมือปิดปากกาเซ็ม “ไอ้โง่ เสือกแหกปากขึ้นมา”
กาเซ็มพยักหน้าหงึกๆ ว่าไม่แหกปากแล้ว
“ปล่อยให้หมด ม้าโน่นด้วย” มะหมัดสั่ง
กาเซ็มเสียงดังอีก “ม้าด้วยเหรอ”
นะหมัดตุ๊ยท้องเข้าไปเต็มเหนี่ยว กาเซ็มตัวงอ
มิเชลล์ลุกทันที
สองนั้นวายร้ายย่องเข้าไป พอเอื้อมมือเข้าไปดึงเชือก
เสียงสุดห้าวของมิเชลล์ ดังสนั่น “ทำอะไร”
สองคนหยุดกึก มีปลายปืนแหย่เข้ามาเต็มหน้า
ด้านชีคอัสมัน ชารีฟ ยูซุฟ หมอโบราณพื้นเมือง รวมทั้งคนของชีคอัสมัน 2-3 คน หารือกันอยู่
ชีคอัสมัน เอ่ยขึ้น “ยูซุฟ พันเอกชารีฟ เป็นหมอ อาจจะช่วยพ่อของเจ้าได้”
ยูซุฟดีใจตาโต
“ท่านพอจะช่วยบิดาข้าพเจ้าได้ไหม ป่วยมาสามอาทิตย์แล้ว”
หมอโบราณสวนขึ้นทันที โดยที่ชารีฟ ยังไม่ได้พูด “ไม่มีทาง คนแก่เจ็บมานาน พิษกระจายเต็มร่างรักษายังไงก็ไม่หาย ยาวิเศษอะไรก็ไม่พอ”
ชารีฟไม่สนใจหมอโบราณหันมาพูดกับยูซุฟ “รอข้าเดี๋ยวขอไปเอาเครื่องมือบางอย่างในห้อง รอข้าอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะไปรักษาคนป่วยที่บ้านท่าน” ชารีฟออกไป
หมอโบราณหยัน “เฮอะ มันคิดว่ามันเป็นหมอเทวดารึไง”
ชีคอัสมันตวาดแรงๆ “หยุดทีเถิด เจ้าน่ะ เป็นหมอโบราณล้าสมัยรักษาไม่ได้แล้วยังก่อกวนให้มีเรื่อง”
หมอโบราณหน้าเครียดจัด ก้มหน้านิ่ง
ฟากชารีฟแหวกม่านเข้ามาในห้องตรงเรียกมิเชลล์ หน้าตกใจ มิเชลล์ไม่อยู่ เรียกอีก 2-3 ครั้ง แล้วออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ชารีฟเดินเร็วๆ มาตามทาง มองหา สีหน้าเป็นกังวลเพิ่มขึ้น
ปืนในมือมิเชลล์ ยังจ้องอยู่ที่กาเซ็มเขม็ง กาเซ็มหน้าโหดชำเลืองมองสบตากับนะหมัด มิเชลล์กะแทกปืนเข้าไปที่ข้างหน้ากาเซ็ม สีหน้ามิเชลล์ดุดัน กาเซ็มใช้วิธีโบราณคือ ทำให้ตกใจแบบรู้ว่าผู้หญิงตกใจง่าย มิเชลล์ร้อง “อึ๊บ” เบาๆพร้อมถอยหลังเสียหลักล้มลง
ชารีฟหันมาดูด้านหลัง แต่วิ่งไปคนละทาง
กาเซ็มทำท่าจะกระโจนใส่ให้ตกใจอีกครั้ง แต่มิเชลล์ คราวนี้เก่งขึ้น เสยปืนขึ้นจี้คอ กาเซ็มวิ่งหนีไปทันที
มิเชลล์ลุกเร็ว หันปืนมาทางนะหมัด นะหมัดลุกพรวด วิ่งหนีไป
“ฮะ ฮะ” มิเชลล์จะเป่าปลายปืน สมมุติว่ามีควัน ปืนโดนปากดังกึก เลยร้องลั่น “โอ๊ย..เจ็บ”
มิเชลล์หอบปืนยาว 3 กระบอกอยู่ในอ้อมแขน หน้ามันเยิ้ม ลากลังกระสุนที่วางอยู่บนพื้นทราย เดินตุปัดตุเป๋จากที่พักอูฐมายังตัวตึก ชารีฟปราดเข้าไปรับ คว้าปืนมาถือ
ชารีฟดุ “มายุ่งกับของพวกนี้ทำไม”
“มีคน 2 คน มาด้อมๆมองๆ แถวอูฐของเราค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวนะ...”
“หมายความว่าไง”
“เอ้า...ไม่ต้องกลัวก็แปลว่าไม่มีมัน เพราะฉันไล่มันไปหมดแล้ว”
“แล้วจะเอานี่ไปไหน”
“ฉันเลยจะเอากระสุนไปซ่อนค่ะ”
“กลับไปเดี๋ยวนี้ ฉันขนไปเอง” ชารีฟส่งปืนให้มิเชลล์
มิเชลล์รับกระบอกปืนยาวคืนกลับมา ชารีฟแบกลังกระสุน
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก เธอต้องอยู่ใกล้ๆ ฉันตลอดเวลาเข้าใจมั้ย ถ้าฉันไม่อยู่ก็ต้องอยู่ในห้อง ห้ามออกมา”
“ทราบค่ะ แต่ฉันเห็นคน…”
“ไม่ต้องเถียง จำไว้อย่าชะล่าใจว่าไม่มีใครรู้ความจริงหรือว่าเธออยากถูกจับไปอยู่ฮาเร็มผู้หญิงของชีคอัสมัน”
มิเชลล์เซ็ง “ขู่อย่างเงี้ยทุกที”
“เอาล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรู้ว่าไม่ได้ขู่”
“จะทำไมไม่ทราบ”
“จับเธออาบน้ำขัดตัวให้ขาวผ่อง”
“ขัดทำไม”
“แล้วบอกชีคว่าเธอเป็นผู้หญิง”
มิเชลล์มองตามด้วยสายตาขุ่นๆ สะบัดหน้าเดินกลับไป
ส่วนทางด้านชีคอัสมันนั่งสูบยาเส้น คุยกับเมียสบายอารมณ์
“วาสนาของเราไม่เบาเลยนะแม่ ข้าไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะได้ท่านราชองครักษ์เชื้อสายกษัตริย์แห่งฮิลฟารามาอยู่กับเรา”
“อีกหน่อยท่านก็คงจะไป ท่านจะอยู่นานแค่ไหนกันเชียว...พวกชนชั้นสูง” เมียว่า
“นั่นสิ ข้าไม่อยากให้ท่านไปจากเรา”
“จะห้ามท่านได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ไม่รู้ซิ ข้ารู้สึกเสียดาย ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ท่านมีคุณประโยชน์มากมายกับเรา”
“แล้วเราจะเหนี่ยวรั้งท่านไว้ได้ยังไงล่ะท่าน”
ชีคอัสมันถอนหายใจ “ใครว่าเราจะหน่วงเหนี่ยวท่านเล้าอีแม่เอ๊ย...จะทำให้ท่านอยากอยู่ที่นี่กับเราต่างหาก”
“ท่านจะทำยังไง”
ชีคอัสมันยิ้มมีเลศนัยมาก “เรามีลูกสาวหลายคน...คิดสิ”
เมียทำหน้านึกออก “คนโต..ให้ท่านชารีฟ”
“ถูกต้อง แล้วไอ้หนุ่มตาฟาลูกน้องท่านชารีฟ”
“ให้นางคนรองของเรา”
“พูดอะไรอย่างนั้น คนโต คนรอง ทำไมให้ไปทั้ง 3 นั่นแหละ2 คนให้ชารีฟ อีก 1 คนให้ตาฟา”
“ดีจริงท่าน ได้ลูกเขยทีเดียวสองคน”
ส่วนชารีฟเอาลังกระสุนปืนวางไว้ มิเชลล์วางปืนไว้ด้วย หน้างอมาก ชารีฟหยิบปืนมา
“มีคนเจ็บรายใหม่” ชารีฟบอก
มิเชลล์บ่น “อีกแล้ว ท่านจะเอาอะไรไปรักษาเขา”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ชารีฟเดินไปหยิบท่อนเหล็กกลวงออกมาถือไว้
“เรื่องฟลุคไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นะท่าน ฉันจะบอกให้เอาบุญ”
“อ๋อ เธอหาว่าฉันเดาสุ่มรักษายังงั้นเหรอ”
“เปล่า แต่ท่านไม่ใช่หมอเทวดา จะได้รักษาคนด้วยมือเปล่า แบบนี้ได้ยังไง”
“กลัวอะไรกันนักนะ”
“กลัวคนเจ็บตาย”
“ไม่จริงมั้ง เป็นห่วงฉัน กลัวพวกนั้นจะฆ่าฉันมากกว่า” ชารีฟทำนัยน์ตายิ้มๆ อีก
มิเชลล์บอกเสียงหนัก “ใช่ ถ้าท่านตายฉันก็ลำบาก เพราะว่าฉันอยากกลับฝรั่งเศส”
“ไม่ติดใจมนต์แห่งทะเลทรายบ้างหรือ”
“คนไข้รออยู่นะคะ ยังมีแกใจพูดเล่นอีกหรือไง” มิเชลล์บอกงอนๆ
“หมอต้องอารมณ์เย็น” ชารีฟว่า
“อ้อใช่ซิ ท่านเป็นแพทย์ไม่ใช่ทหาร”
“ฉันก็เป็นทหาร แต่ตอนนี้เป็นแพทย์ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามสภาพอากาศและภูมิประเทศ”
“ดูท่านมีอารมณ์สนุกเหลือเกินนะ ไม่เหมือนเมื่อคืนนี้เลยนั่งอมทุกข์ไม่หลับไม่นอน”
ชารีฟถอนหายใจ “ฉันก็หาความสุขใจเล็กๆน้อยๆ ฉันชอบดูเวลาเธอโกรธ”
มิเชลล์ด่า “อารมณ์รุนแรง และชอบรุกราน ตำราว่าอย่างนั้น” เดินหนีทันทีพอพูดจบ
ชารีฟเดินตาม “ตำราไหน บอกด้วยหรือเปล่าว่ารุนแรง เรื่องอะไร ฮะๆๆ ถ้าชารีฟรุกรานละก็มิเชลล์ เดอร์ลาโรนีล์ ไม่เหลือเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้หรอก ระวังตัวให้ดีนะอารมณ์ว้าเหว่ ขาดความรักของพันเอกชารีฟน่ะ มีมากมายมหาศาล มีดที่เอวนั่นป้องกันอะไรเธอไม่ได้หรอกยิ่งอยู่ในที่สะดวกสบายอากาศเย็นแบบนี้ใครจะกล้ารับรองหัวใจของตัวเองได้ ไปเร็วๆ” ชารีฟเปิดผ้าม่านออกไป
มิเชลล์กำลังจะตามออกมาท่าทีตกใจ “หยุด ท่านพูดแบบนี้อีกแล้วนะ” แล้วหน้าบึ้งเปลี่ยนเป็นโกรธ
“ฉันยั่วเล่นน่า ฉันไม่ค่อยสบายใจ”
“ท่านก็เลยเห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์ใช่ไหม”
มิเชลล์เดินนำหน้า พรวดแซงชารีฟ ออกประตูไป
ชารีฟคว้าแขนไว้ “ไม่เอาน่า ฉันยั่วเล่น..โกรธมากเหรอ” พลางก้มหน้าไปใกล้
มิเชลล์หน้าแดงใจเต้นแรง “คนไข้รอตายเลย พูดเล่นอยู่ได้” แล้วสะบัดแขน เดินนำไป
“อ้าว เดินนำไปนั่นน่ะ รู้หรือว่าคนไข้อยู่ไหน”
มิเชลล์หยุด หน้างอ งอนๆ
“ว่าไง”
“ท่านก็นำไปสิ ไม่เห็นต้องถามเลย ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไข้อยู่ที่ไหน”
ครู่หนึ่ง เห็นที่หน้าอกของพ่อยูซุฟ มีท่อเหล็กที่ชารีฟใช้แบบฟังการเต้นของหัวใจ
ชารีฟเงยหน้าขึ้น “ตับอักเสบ”
มิเชลล์จ้องหน้าชารีฟด้วยความแปลกใจไม่แน่ใจว่าชารีฟมั่วหรือเปล่า
“เราจะลองรักษาดู”
ยูซุฟดีใจ “ขอบคุณองค์อัลเลาะห์ทรงโปรดแล้ว”
“อย่าให้อาหารมันๆ งดพวกของมันของทอดทุกอย่างให้คนป่วยกิน น้ำตาลเยอะๆ พวกขนมหวานที่มีอยู่นั่นแหละ ให้กินมากๆ ทุกวัน” ชารีฟกำชับ
ยูซุฟมองชารีฟด้วยความสงสัยถึงวิธีรักษา “อาหารพวกนี้เป็นยาหรือท่าน”
“เปล่า แต่มันจะช่วยปรับระบบในร่างกายให้เป็นปกติ”
ยูซุฟเห็นพ่อขยับตัว “พ่อต้องหายแน่ ท่านผู้นี้เป็นผู้วิเศษท่านรักษาคนด้วยมือเปล่าไม่ใช้ยาหรือเครื่องมือใดเลย”
มิเชลล์ตาโตหน้าเหรอหรา ตกใจมองหน้าชารีฟแบบใจสั่น ชารีฟขยับตาว่าอย่าโวยไป
“เราไม่ใช่ผู้วิเศษ เราทำไปตามวิชาที่เรียนมา”
“ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านต้องรักษาพ่อให้หายได้”
“ข้าว่าท่านอย่าดีใจไปนัก ข้ามองเห็นชัดข้าเห็นขัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด ข้าเห็นความตายข้าเห็นความตายชัดเจนอยู่ตรงหน้าข้านี่”
หมอผีจ้องหน้าชารีฟ และมิเชลล์ไปมา ดวงตาลุกวาวเป็นประกายอาฆาตแค้นน่ากลัว ดูเหมือนว่าความตายที่หมอว่านั้นจะเกิดแก่ชารีฟและมิเชลล์มากกว่า จะพูดถึงความตายของพ่อยูซุฟ
มิเชลล์ใจหายวาบเมื่อเห็นสายตานั้น
“ท่านชีคอัสมันจะมีพิธีกินเลี้ยง เรียกว่า “ตับซี” ข้าจะบอกทุกๆ คนว่าพ่อข้าหายเพราะหมอวิเศษ” ยูซุฟว่า
คืนต่อมา บนกองไฟมีตัวกีบัส ซึ่งเป็นสัตว์คล้ายแพะ แต่มีมันที่ส่วนต้นขาหลังเป็นก้อนใหญ่ ถูกเสียบไม้หมุนย่างแบบหมูหันเกือบเกรียมทั้งตัว มีชายร่างใหญ่คอยทำหน้าที่ดูแลมุมนึง
ชีคอัสมันซึ่งหายดีแล้วเดินทักทายผู้คนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ท่าทางยินดี มีการเปิดแผลอวดใครๆ ว่าหายดีแล้ว
บนตึกมุมหนึ่ง มิเชลล์ในคราบตาฟาผู้ชายยืนแฝงเงามืดแอบดูอยู่ ชารีฟ เดินออกมา มองหา พอเห็นมิเชลล์ ก็เดินเข้ามา
มิเชลล์หันมา “ชีคอัสมันจะเลี้ยงคนหลายคนหรือคะ”
ชารีฟมองที่ข้างล่าง “ไม่กี่คนหรอก การกินเลี้ยงตับซีเป็นธรรมเนียมโบราณลงไปกันเถอะ”
มิเชลล์ขยับจะลง ชารีฟจับไหล่ไว้ มิเชลล์ชะงัก
“เดี๋ยวก่อน ไหน ดูหน่อยสิ” ชารีฟจับตัวมิเชลล์หมุนดู “เหมือนผู้ชายหรือยังนี่” พลางจัดผมให้หายเข้าไปในผ้าโพก “เอาล่ะใช้ได้”
ชารีฟเดินนำไป มิเชลล์มองตามค้อนด้วยความหมั่นไส้ แล้วตามไป
ชารีฟหันขวับมา มิเชลล์เกือบชน “ขออย่างเดียว”
“อะไรคะ”
“ทำหน้าให้สวยน้อยกว่านี้ได้มั้ย” ชารีฟยื่นเข้ามากระซิบใกล้ๆ
มิเชลล์ผลักตัวชารีฟไปโดยแรง ชารีฟหัวเราะเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจ
อ่านต่อตอนที่ 6