ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 1
โบสถ์แคธอลิคเก่าแก่อันใหญ่โตหลังหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน ผู้คนที่เมืองวิลล์ เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส ต่างรู้จักโบสถ์หลังนี้กันเป็นอย่างดี
สักครู่หนึ่ง แลเห็นรถยนต์สีดำรุ่นโบราณคันหนึ่งวิ่งเข้ามา ตรงไปจอดที่ประตูโบสถ์ ไฟหน้ารถสว่างจ้าสาดแสงเป็นลำ
ส่วนภายในโบสถ์ คุณแม่อธิการ ยืนสวดมนต์อยู่ที่แท่นบูชา
ยินเสียงเคาะประตูดังก้อง ก่อนจะมีเสียงประตูหน้าถูกเปิดออก และสักครู่เป็นเสียงประตูปิดลง ตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังก้องแว่วๆ มา
ไม่นานต่อมาคุณแม่อธิการยืนอ่านจดหมายอยู่ในห้องทำงาน แขกเยือนยามวิกาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากสถานสงเคราะห์ และแม่ชีคนหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่
มีเด็กทารกคนหนึ่งนอนอยู่ในเบาะที่วางบนโต๊ะ ตรงหน้าแม่อธิการ คำนวณจากวัยวัน เด็กน้อยผู้นี้อายุคงไม่เกิน 6 เดือน ยิ้มน่ารัก นัยน์ตาแป๋ว
เวลาผ่านไป ในห้องทำงานของคุณแม่อธิการ ตอนกลางวัน เด็กทารกเพศหญิงวัย 6 เดือนคนนั้น เติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิงวัยสองขวบ และกำลังนั่งสงบเสงี่ยมขาลอยอยู่บนเก้าอี้ หน้าตาน่ารักดวงตาแป๋วแหวว
แสงสดใสลอดผ่านกระจกสเตนกลาสเข้ามา ทำให้ทั้งห้องสว่างไสว
แม่อธิการยืนสงบอยู่หน้ารูปปั้นพระเยซู หลับตา ใบหน้าสงบ สักครู่จึงหันกลับมามอง เด็กหญิงเงยหน้ายิ้มให้กับคุณแม่อธิการ
6 ปี ผ่านไปอีก มิเชลล์ในวัย 6 ขวบ นั่งก้มหน้าสวดมนต์ภาวนาอยู่ตรงหน้าแท่นบูชาในโบสถ์ มองจากด้านข้างเห็นท่าทีสงบ สำรวมของเด็กหญิงนาม มิเชลล์ คนนั้น
เวลาล่วงเลยไปอีก มิเชลล์ เติบโตเป็นสาววัยรุ่น นั่งอยู่ในท่าขาลอยเดียวกันกับสมัยเด็กๆ เด็กสาวแต่งชุดนักเรียนคอนแวนต์ ก้มหน้าสงบเสงี่ยม อ่อนโยนและงดงาม
มิเชลล์ทำเครื่องหมายเคารพ แล้วลุกขึ้น หันหน้ากลับมา
แคชฟียา หรือ “แคชฟี่” ลูกสาวมหาเศรษฐีตะวันออกกลางแห่งเมืองเกซาห์ ซึ่งมาเรียนที่นี่และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของมิเชลล์ เดินเข้ามาหา
“มิเชลล์ เขาจะซ้อมบาส กันแล้ว ไปเร็วๆ หน่อย”
ระหว่างนี้เสียงเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ซึ่งพูดคุยกับคุณแม่อธิการเกี่ยวกับชาติกำเนิดของมิเชลล์ดังขึ้น
“พ่อแม่ของเด็กเสียชีวิตหมดแล้วครับ คุณแม่อธิการ บิดาเป็นคนฝรั่งเศส มารดาเป็นคนตะวันออกไกลครอบครัวไม่ยอมรับลูกสะใภ้ต่างชาติ พ่อเด็กพาครอบครัวไปอยู่อัฟริกาแต่เครื่องบินตกเสียก่อน เหลือเด็กรอดชีวิตมาเพียงคนเดียว”
ตามด้วยเสียงคุณแม่อธิการ “ทำไมไม่พาเด็กส่งครอบครัวของปู่ย่า”
เจ้าหน้าที่บอก “สกุลทางบิดาเป็นสกุลใหญ่และเก่าแก่ของประเทศฝรั่งเศส แต่ปฏิเสธไม่ยอมรับเด็ก เราจึงคิดว่าสถานที่นี่เหมาะสมกับเด็กครับ”
“เด็กนามสกุลอะไรที่ว่าใหญ่และเก่าแก่” เสียงคุณแม่อธิการซักถาม
เจ้าหน้าที่บอก “เดอลาโรนีล์ครับ เด็กชื่อ มิเชลล์ มิเชลล์ เดอลาโรนีล์”
ขณะเดียวกัน รถยนต์คันยาวใหญ่แสดงความมีศักดิ์อัครฐาน แล่นมาจอดที่หน้าโบสถ์ คนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้ท่าทีนอบน้อม มาดามเดอลาโรนีล์ ก้าวลงมา เดินด้วยท่าทางสง่างามสุดๆ
แม่ชีคนหนึ่งมาต้อนรับ
“ขอพบคุณแม่อธิการ ฉันมาบริจาคเงินบำรุง”
ไม่นานต่อมา แม่ชีพามาดามเดอลาโรนีล์มาที่ห้องทำงานคุณแม่อธิการ และเวลานี้มาดามกำลังยื่นเช็คให้คุณแม่อธิการ
“ขอบคุณค่ะ มาดามเดอลาโรนีล์” คุณแม่บอก
“เหมือนเคยนะคะ ไม่ต้องมีหนังสือตอบขอบคุณ ไม่ต้องมีการอนุโมทนาใดๆ เพราะเราไม่ประสงค์จะออกนามค่ะ”
“มาดาม มิเชลล์เป็นหลานของมาดาม มาดามไม่อยากเห็นหน้าหลานสักครั้งหรือ” คุณแม่อธิการถามขึ้น
ฟากแคชฟียา และเพื่อนสาวนักเรียนคอนแวนต์ อีก 5-6 คน เป็นสาวฝรั่งเศสผมทอง 4 คน เป็นแขก ชื่อ เดอลา และ โรนีส์ ที่เป็นชาวอินเดียแท้ๆ และอีกคนเป็นสาวตาเลียนผมดำ 1 คน ทุกคนกำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันในสนามกีฬาข้างโบสถ์ เสียงกรี๊ดกราดสนุกสนานดังเซ็งแซ่
ลูกบาสกลิ้งออกมาหยุดอยู่แทบเท้าในถุงเท้าและรองเท้าเรียบร้อยมากของมิเชลล์ที่นั่งเงียบสงบอยู่ที่ม้านั่งริมสนาม มิเชลล์กำลังนั่งเหม่อลอยคิดไปไกล ไม่รู้ว่าลูกบาสกระเด็นมาแทบเท้า
“มิเชลล์...มิเชลล์” แคชฟียาร้องเรียก
“มิเชลล์..มิเชลล์ เดอลาโรนีล์” เสียงเรียกของซิสเตอร์แอนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสนามด้านฝั่งโบสถ์ดัง ประสานกับเสียงเพื่อนๆ “มิเชลล์ มิเชลล์”
มิเชลล์หันมองเพื่อนๆ เพื่อนๆ ชี้ที่ลูกบาสเป็นเชิงบอกให้ส่งให้ด้วย มิเชลล์ก้มลงเก็บลูกบอลมาถือในมือ
ซิสเตอร์แอนเดินตรงเข้ามาหา
“มิเชลล์ เดอลาโรนีล์ มีญาติมาหาที่ห้องคุณแม่อธิการ”
มิเชลล์หันขวับไปช้าๆ นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างดีใจ
“มาดามเดอลาโรนีล์ คอยเธออยู่” ซิสเตอร์แอนบอกอีก
มิเชลล์ออกวิ่งไปทันที เพื่อนๆ เสียงดัง ลูกบอล..ลูกบอล
มิเชลล์ปาลูกบาสให้เพื่อนเต็มแรง แล้วเดินเร็วๆไปทันที
เพื่อนทั้งหลายวิ่งมารวมกัน พูดเป็นเสียงเดียวว่า มาดามเดอลาโรนีล์ ด้วยเสียงแปลกใจตื่นเต้น
“แม่ของมิเชลล์เหรอ” แคชฟียาสงสัย
มาดามเดอลาโรนีล์ ยังนั่งอยู่ตรงหน้าคุณแม่อธิการในห้องเดิม สีหน้าครุ่นคิดเล็กๆ
“หลานของคุณเป็นเด็กน่ารัก เรียนเก่ง ความประพฤติดียอดเยี่ยม และหน้าตาสะสวยมาก”
เสียงเคาะประตู
มาดามหันขวับไป สีหน้าตื่นเต้นเล็กๆ ประตูค่อยๆ เปิดออก มิเชลล์ก้าวเข้ามา ยืนสงบเสงี่ยม หน้าตาตื่นเต้นมาก แต่พยายามระงับอารมณ์ มาดามลุกขึ้น มิเชลล์จ้องมอง ต่างคนต่างมองกัน
“มิเชลล์ คุณปู่คุณย่าของเธอมาพักผ่อนที่เมืองเซนต์ วาเลอรี่ เมืองชายทะเลใกล้ๆ นี้ คุณอาสะใภ้ของเธอ มาดามเดอลาโรนีล์ จึงนำเงินที่บริจาคที่ให้โบสถ์ของเราเป็นประจำมาให้ด้วยตัวเอง” คุณแม่อธิการบอก
มิเชลล์เดินมาใกล้ มาดามเดอลาโรนีล์ อ้าแขนนิดๆ แล้วกอดจูบแบบธรรมเนียมฝรั่งเศส
“มาดามคะ เพื่อเห็นแก่พระเจ้า กรุณาให้คุณปู่คุณย่าของมิเชลล์ได้เห็นหน้าเธอสักครั้ง เพียงแต่ให้ท่านรับรู้ว่าหลานกำพร้าของท่านจบการศึกษาแล้วและเจริญเติบโต” คุณแม่ขอร้อง
หาดทรายชายทะเล วิวทิวทัศน์เป็นฝรั่งเศส
ข้างในคฤหาสน์ มิเชลล์นั่งสงบนิ่งคอยอยู่ที่ห้องพักแขกที่จัดแบบคลาสสิค หรือเป็นลอบบี้โรงแรมที่จัดสวยงามมาก หน้ามิเชลล์ตื่นเต้น คิดถึงเหตุการณ์วันนี้ที่โรงเรียน
เวลาตอนนั้น มิเชลล์ คุยอยู่กับแคชฟี่
“ฉันจะไปพบคุณปู่คุณย่าของฉันล่ะ แคชฟี่” มิเชลล์พูดไปหยิบรางวัลต่างๆ ใส่กระเป๋า ไปด้วย จะเอาไปอวดปู่ย่า
“เขาไม่ยอมรับเธอเป็นหลานตั้ง 18 ปี จะไปทำไม” แคชฟียาว่า
“ฉันอยากเห็นท่าน และเชื่อว่าท่านอยากเห็นฉันเหมือนกัน” เสียงมิเชลล์ร่าเริงนิดๆ
“แค่เห็น มีประโยชน์อะไร”
“อาจจะมากกว่านั้นก็ได้”
“เช่น รับเธอไปอยู่ปารีส รับเธอเข้าในครอบครัวน่ะเหรอ”
“ใช่ ฉันเอารางวัลกับเหรียญต่างๆ ที่ฉันได้ไปให้ท่านดูด้วยนะ วันนี้”
คฤหาสน์ที่ครอบครัวเดอลาโรนีล์มาพัก เป็นคฤหาสน์เก่าแก่สวยงามคลาสสิค
“ไหน..เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน” เสียงผู้เป็นย่าเอ่ยขึ้น
“พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย” ปู่บอกเสริม
มิเชลล์ลุกขึ้น หันไปเผชิญหน้ากับปู่ย่า ซึ่งยืนหน้าเฉยๆ เพ่งมองมิเชลล์ มาดามยืนอยู่ด้านหลัง
มิเชลล์กอดกระเป๋าใส่ของรางวัลมากมายกับอก สายตาเย็นชาของปู่ย่าทำให้ใจสั่นหวั่นไหว
“สวัสดีค่ะ คุณปู่ คุณย่า”
ผู้เป็นย่ามองมาด้วยสายตาเย็นชา เฉยเมย ไม่ใช่ดูถูกหรือเกลียดชัง แต่เป็นสายตาที่ไม่ยินดียินร้ายใดๆ
“โซฟี เธอทำให้ฉันยุ่งยากใจมากที่พาเด็กคนนี้มา”
มิเชลล์หน้าเสีย
“โซฟีเป็นสะใภ้ไม่รู้อะไรหรอก” ผู้เป็นปู่มองจ้องมิเชลล์ “เราบอกเขาไปตรงๆ ดีกว่าว่าเราไม่เคยรับเธอเป็นหลาน ที่ให้ใช้นามสกุลก็เพราะมันเป็นไปตามกฎหมาย”
มิเชลล์หน้าเสียมากๆ
“ตระกูลเดอลาโรนีล์ไม่เคยมีลูกผสมมาปะปน โดยเฉพาะเลือดคนต่างศาสนา” ปู่บอก
“เราบริจาคเงินบำรุงวัดเพื่อวิญญาณของจ๊าค...พ่อของเธอ…เท่านั้น” ย่าเสริม
คำพูดของผู้เป็นย่า ทำให้มิเชลล์สะเทือนใจสุดๆ ค่อยๆ ถดตัวถอยออกมา 2 ก้าว
“เป็นอันว่ารู้เรื่องกันแล้ว คงจะไม่ต้องพบกันอีก” ปู่บอก
มิเชลล์จ้องสองคนนิ่ง น้ำตาขึ้นมาคลอตา แต่พยายามสะกดไว้ พูดเสียงเรียบร้อย
“ขอ..ขอโทษค่ะ” มิเชลล์ก้มหัวให้อย่างสุภาพ แล้วหันหลังกลับ เดินจากมาด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ ไม่มีน้ำตาตลอดเวลาที่เดินออกมา
มาดามเดอลาโรนีล์ ผู้เป็นอาสะใภ้ ก้าวออกมามองตาม ด้วยสีหน้าสลด
“มันต้องเป็นอย่างนี้ โซฟี” ปู่บอกลูกสะใภ้
“เราไม่มีทางเลือก” ย่าบอก
กลับมาถึงโบสถ์ มิเชลล์ร้องไห้อย่างขมขื่น คุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชา คุณแม่อธิการเดินมาเงียบๆ ด้านหลัง แคชฟียามาด้วย เนื่องเพราะเป็นคนไปเรียกคุณแม่มา
รูปปั้นพระแม่มาเรีย เหมือนมองมาด้วยแววตาเมตตาลึกซึ้ง มิเชลล์ก้มหน้าต่ำ
คุณแม่อธิการยื่นมือไปแตะไหล่ มิเชลล์หันมาหา เงยหน้ามองน้ำตาเต็มตา คุณแม่เข้าโอบร่างมิเชลล์ไว้อย่างปลอบประโลม กอดไว้ในอ้อมอก มิเชลล์ซบหน้าลง
“มิเชลล์...แม่ผิดเอง”
เวลาต่อมาบรรดาถ้วยรางวัล เหรียญ และโล่รางวัล วางเรียงอยู่บนเตียงในห้องพัก มิเชลล์มองดูของเหล่านั้นด้วยสายตาหมองเศร้า
แคชฟียาเข้ามา เก็บของคืนใส่กระเป๋า “เก็บ...ไม่ต้องอวดใครแล้ว ใครเขาเห็นว่าดีล่ะ”
มิเชลล์สะท้อนใจ นัยน์ตาแห้งผาก “ต่อไปนี้ ฉันคือตัวคนเดียวในโลก”
“จะบ้าเหรอ ฉันล่ะ เธอเอาไปไว้ที่ไหน แล้วยังเพื่อนๆ ซิสเตอร์แอน ซิสเตอร์หลุยส์ คุณแม่อธิการล่ะ”
อีกวันหนึ่ง ขณะพวกนักกีฬาเล่นกีฬากันอยู่ในสนาม ลูกบอลลอยออกมานอกสนาม มิเชลล์ที่เล่นอยู่ด้วยวิ่งมาเก็บลูกบอล
คุณแม่อธืการเดินมาพอดี ก้มลงเก็บมาถือไว้ในมือ
“คุณแม่” มิเชลล์ยิ้มแจ่มใส ท่าทางน่ารักมาก
คุณแม่อธิการตบหัวมิเชลล์เบาๆ ยื่นลูกบอลให้ “เอ้า ฉันให้โลกทั้งโลกแก่เธอ”
มิเชลล์มีสีหน้าฉงนๆ ทวนคำ “โลกทั้งโลก”
“ใช่” คุณแม่จิ้มลงบนแถวๆ ด้านบนของลูกบอล “เริ่มที่กรุงปารีสก่อน ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์”
มิเชลล์ยิ้มเต็มหน้า สว่าง แจ่มใส
“หนูได้ทุนไปเรียนที่ปารีสแล้วใช่มั้ยคะ” มิเชลล์ดีใจสุดๆ
มิเชลล์เดินทางไปเรียนที่ซอร์บอนน์ ในปารีส พร้อมแคชฟียา แต่เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะไปเที่ยมชมหอไอเฟล ประตูชัยถนนชองป์เอลิเซ่ และ มูแลงรูจ ฯลฯ
มิเชลล์ตั้งใจร่ำเรียน เข้ากับทุกคนได้ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะกับแคชฟียา ทุกก้าวย่างของเธอที่นี่มีแต่ความมุ่งมั่นตั้งใจ ภาพมิเชลล์ถือหนังสือวิ่งขึ้นตึก และมิเชลล์อ่านหนังสือในห้องสมุด ล้วนเป็นภาพชินตาของเพื่อนๆ
เวลาผ่านไปอีก มิเชลล์สำเร็จการศึกษาแล้ว ถือหมวกที่ใส่วันรับปริญญาลองใส่บนหัวของตัวเอง
ภายในห้องพักที่หอ หมวกวางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ส่วนเสื้อครุยแขวนที่ผนัง มิเชลล์กำลังเก็บของบางอย่างใส่ลัง แคชฟียาเปิดประตูเข้ามาแล้วปิดดังปัง เต้นร่าเริงเข้ามาในห้อง
มิเชลล์หันไปกล่าวสวัสดีว่า Bon jour (บองจูร์)
แคชฟี่ทิ้งตัวลงนอน แล้วหันกลับมาเท้าคาง นัยน์ตาแวววาว ฝันไปไกล
“ชีวิตช่างสมบูรณ์ เรียนจบรับปริญญา จะได้กลับบ้าน อะไรจะมีความสุขขนาดนี้”
มิเชลล์ยิ้มดีใจด้วย แต่ยังเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ
“มิเชลล์..นี่หยุดยิ้มแบบเศร้าเสียที ฉันชวนเธอไปประเทศฉัน ไปช่วยฉันตั้งโรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศสให้เด็กผู้หญิงที่นั่น เธอต้องไปนะ เพราะถ้าเธอไม่ไปกับฉัน เธอจะไปไหน”
“ฉันจะไปไหน ใช่สิ ฉันจะไปไหน”
“ในเมื่อเธอตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่พี่น้องที่ไหน ถึงมีเขาก็ไม่ยอมรับเธอ” น้ำเสียงของแคชฟียา พูดเรื่อยๆ หากจับสังเกตจะพบร่องรอยดูถูกนิดๆ อยู่ในใจ
วันต่อมา มิเชลล์สวดมนต์ ก้มหน้านิ่ง นัยต์ตาสงบงาม จนเสร็จจึงเงยหน้ามองรูปปั้นพระเยซู สายตาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นอะไรบางอย่าง
เวลานั้น ใกล้ค่ำแล้ว มิเชลล์เดินออกมาดูนาฬิกา เหลียวมองไปรอบๆ ไม่มีคนเลย เด็กสาวเร่งฝีเท้าเดินออกจากตรงนั้น ที่มุมโบสถ์ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสนามปิแอร์ก้าวออกมา มองเห็นมิเชลล์ สองคนสบตากัน
มิเชลล์ออกวิ่งหนีทันที ปิแอร์เรียกไว้
“เดี๋ยว...ผมมีบางอย่างจะพูดกับคุณ”
มิเชลล์ยิ่งเร่งฝีเท้า
“อย่าวิ่งเดี๋ยวหกล้ม”
มิเชลล์วิ่งเร็วขึ้น
ปิแอร์วิ่งพรวดเดียวมายืนขวางหน้า ยื่นนามบัตรให้ มิเชลล์มองดู
“รับไว้เถอะครับ ผมชื่อปิแอร์ ทำงานหนังสือพิมพ์ข่าวแฟชั่น เชื่อใจผมหน่อยครับ ผมมีอะไรบางอย่างพูดกับคุณ เป็นเรื่องประโยชน์ของคุณ”
“ฉันไม่ต้องการ”
“เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกด้วยครับ”
ปิแอร์บอกอีกคำ
ครู่ต่อมา สองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง ในร้านกาแฟเล็กๆ บรรยากาศน่ารัก มีกาแฟ 2 แก้ววางอยู่ ปิแอร์เลื่อนให้มิเชลล์
“ขอบคุณ”
“ผมเห็นคุณเดินผ่านโบสถ์นี้ทุกวัน เผื่อไปซอร์บอนน์”
มิเชลล์ขยับตัวลุก “คุณสะกดรอยตามชั้นเหรอ”
ปิแอร์ ไม่ใช่.. ไม่ใช่.. ไม่ใช่ครับ คืออย่างนี้กรุณาอดใจฟังผมสักครู่ คือ คุณเป็น คนสวยมาก สวยอย่างน่าประหลาดใจ รูปร่างคุณสูงเพรียว สวยมากเช่น กัน
มิเชลล์เริ่มเรื่องของคุณได้แล้วคะ ฉันจะรีบไป
ต่อจากนี้หาภาพอินเสิร์ค เร็วๆแว่บหนึ่ง
อินเสิร์ต เป็นคลิปการเดินแบบของห้องเสื้อชั้นสูง นางแบบเดิน.. เดิน.. เดิน..
ปิแอร์ เราอยากได้คุณเป็นนางแบบ
มิเชลล์นางแบบหรือ โอ...ไม่...
“เดี๋ยวครับ..โปรดพิจารณาก่อน เพราะนี่คือรายได้พิเศษสุดสำหรับนักศึกษาอย่างคุณ”
“ฉันเรียนจบแล้วค่ะ” มิเชลล์บอก
“อ้อ หรือว่าต้องขออนุญาตผู้ปกครอง”
“ฉันเป็นเด็กกำพร้าค่ะอยู่ในคอนแวนต์”
“โอ ยิ่งดี ไม่มีพันธะ...นะครับ โปรดพิจารณา”
มิเชลล์มีสีหน้าตรึกตรอง
สองสาวอยู่ในห้องพักที่หอนักศึกษา เรื่องราวถูกถ่ายทอดให้แคชฟียาฟังจบแล้ว
“เธอตอบว่าไง..ฮะ มิเชลล์เธอตอบว่าไง” แคชฟียาซัก ท่าทางตื่นเต้น
“ทาย...”
“ทายเหรอ ไม่ยาก เธอต้องตอบรับอยู่แล้วเป็นนางแบบ โอ...มันคือโอกาสวิเศษสุดของชีวิตผู้หญิง”
“งั้นเชียว แต่...ฉันปฏิเสธ”
“อะไรนะ! อะไรนะ!” แคชฟี่เสียงดังขึ้นไปอีก “เธอปฏิเสธ oh..” พลางทำท่าอ้อนวอนพระเจ้า “my goodness ปฏิเสธโอกาสที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา” คราวนี้แคชฟียากระเด้งตัวขึ้น “มิเชลล์ ฉันหวังว่าเธอคงเสนอชื่อคนอื่นที่...เหมาะสม”
มิเชลล์ยิ้มๆ “ใคร” ด้วยรู้คำตอบแล้ว
“ฉันไง”
“ฉันจะเสนอได้ยังไง แคชฟี ก็เรามีงานสำคัญรออยู่ข้างหน้า งานที่เป็นประโยชน์กับเด็กๆ ที่ประเทศของเธอ”
“เฮ้อ...นั่นคือความจริง เราต้องกลับบ้าน” แคชฟียาทอดถอนใจอย่างเสียดาย
ห้องนอนของสองสาวมืดสนิท มีแต่แสงส่องมาที่หิ้งวางรูปปั้นพระแม่มารี มิเชลล์ประสานมือ มองดูรูปปั้นอยู่ แคชฟีหลับสนิทอยู่บนเตียง
มิเชลล์พูดอยู่ในใจ “แคชฟียาจะกลับบ้าน และลูกก็จะไปกลับเธอ แต่นั่นไม่ใช่บ้านของลูก ลูกจะเรียกที่ไหนว่าบ้านได้บ้าง”
ไม่นานนัก มิเชลล์หลับฝันไป...ฝันเห็นทะเลทรายอ้างว้าง สีสดฉ่ำทรายในทะเลเป็นสีเหลืองจัดสวยงามเหลือเกิน เสียงลมพัดวู่ๆ หวิวๆ ทรายพัดผ่านหน้ามิเชลล์อยู่ไปมา
มิเชลล์หลงทาง มองไปรอบๆ แล้วชะงัก เมื่อมีร่างของชายคนหนึ่ง คลุมผ้าดำอยู่ไกลๆ ตรงสุดขอบฟ้า ที่แท้เขาคนที่มิเชลล์เห็นคือ พันเอกชารีฟ นั่นเอง
มิเชลล์หลับอยู่บนหมอน ออกอาการทุรนทุราย
ชายลึกลับที่เห็นไกลๆ ยกมือขึ้นยื่นเข้ามาหาเธอ ผ้าที่คลุมสะบัดพลิ้วตามลม
ใบหน้ามิเชลล์ยามนี้ ส่ายไปมา ท่าทางปั่นป่วนหวาดกลัว ไร้ที่พึ่ง ไขว่คว้าหา
มิเชลล์ ค่อยๆ จดสายตามองชายคนนั้นใกล้เข้าไป พอได้ระยะปานกลาง ร่างชายคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ
มิเชลล์วิ่งตามทันที “เดี๋ยวท่าน หยุดก่อน หยุด ท่านเป็นใคร...บอกฉันก่อน อย่าเพิ่งไป”
มิเชลล์วิ่งตามในสภาพล้มลุกคลุกคลาน ชายคนนั้นหยุดยืน หันกลับมาหา มิเชลล์เข้าไปจนถึงตัว ชายคนนั้นยืนนิ่ง มิเชลล์เงยหน้ามอง ใบหน้านั้นมืดอยู่ในเงาดำเห็นไม่ชัดเจน เห็นแต่ประกายตาวับวาว
“ท่านเป็นใครจะมาช่วยฉันรึ ช่วยให้ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวคนเดียวในโลกใช่มั้ย” น้ำตาคลอเต็มตา
ชายคนนั้นใช้หลังมือปาดน้ำตาให้มิเชลล์เบาๆ ด้วยกิริยานุ่มนวลมาก
มิเชลล์หลับตา มีแต่เสียงสะอื้นขึ้นมาในอก
“ท่านสงสารฉันใช่มั้ยคะ”
ชารีฟพยักหน้า
“ท่านเป็นใครคะ...เป็นใคร ฉันรู้จักท่านหรือเปล่า”
ชารีฟสั่นหน้า
“ฉันอยากเห็นท่าน”
ชารีฟส่ายหน้า
“ขอฉันเห็นหน้าท่านนะคะ ฉันขอเห็นท่าน”
ชายคนนั้นค่อยๆ ถอยห่าง ถอยเหมือนลอยเลือนจากไป
“อย่าไป...อย่าไปค่ะ” มิเชลล์ตาม
“แล้วเราจะพบกันอีก” ชารีฟบอก
“เมื่อไหร่คะ”
“ไม่ช้า..เราจะพบกัน เธอต้องพบกับฉันอีก..และเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
มิเชลล์ฉงน “หมายความว่ายังไงคะ...ทำไม”
ร่างชารีฟเลือนไป
“อย่าไป...อยู่ก่อนค่ะ อย่าเพิ่งไป”
ทันใดนั้น มิเชลล์วิ่งอ้อมไป ยื่นมือออกไปกระชากผ้าคลุมหน้าทันที ผ้าคลุมตกลง ทุกอย่างตรงหน้ามืดดำวูบลง
พร้อมๆ กับที่มิเชลล์สะดุ้งตื่น เหงื่อโทรมหน้า มิเชลล์ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งลูบหน้า ถอนใจยาว สักครู่จึงลดมือลง มองไปรอบๆ ห้อง
ในห้องมืดสนิท สงบนิ่ง ส่วนบนเตียงของแคชฟียา แคชฟียานอนหลับสนิท พลิกตัวไปมา หายใจสม่ำเสมอ
มิเชลล์ล้มตัวลงนอนต่อ ดึงผ้าห่มมาคลุมเพียงอก ดวงตาคู่สวยหมองเศร้าเหม่อลอย น้ำตารินรดลงที่แก้มนวล
อ่านต่อหน้า 2
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 1 (ต่อ)
อยู่มาวันหนึ่ง มิเชลล์ และแคชฟียา เดินเร็วรี่ หลบหลีกผู้คนออกจากโบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงปารีส ทีท่าของแคชฟี่ตื่นเต้นมาก แววตาเป็นประกาย
“ฉันจะให้เธอพบกับใครคนหนึ่ง เขารออยู่ที่ร้านกาแฟ”
“ใครเหรอ” มิเชลล์มีสีหน้าตื่นเต้น
ใจประหวัดถึงเขา...ชายในผ้าคลุมหน้าสีดำในความฝัน ที่ผุดแวบเข้ามา
“ใครแคชฟี่ฉันรู้จักมั้ย” มิเชลล์ถามอีก
มิเชลล์ตามแคชฟียาเข้ามาในร้านกาแฟ ตรงไปที่โต๊ะๆ หนึ่ง
แคชฟี่แนะนำ “นี่ไง..โรแบร์”
โรแบร์หันกลับมา มิเชลล์มองแล้วหน้าสลดลง แต่รีบปรับยิ้มตอบรับ ส่งมือให้จับ สองคนจับมือกันเบาๆ
แคชฟี่แนะนำต่อ “โรแบร์ แฟนคนล่าสุดของฉัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” สายตาโรแบร์ที่มองจ้องมายังมิเชลล์ มีแววตาที่ชื่นชมว่าสวยแต่พยายามซ่อนเร้น “ได้ยินแต่ชื่อนานแล้ว”
“สวยอย่างที่ว่ามั้ย” แคชฟียาถามชายหนุ่ม
โรแบร์ก้มหัวรับคำ สายตาชื่นชมในความสวยของมิเชลล์
“คุณจะไปสอนหนังสือที่ประเทศของแคชฟี่จริงๆ หรือ”
มิเชลล์บอก “จริงที่สุดค่ะ”
โรแบร์มีสีหน้าเคร่งขรึม จริงจังขณะถาม “คุณคิดดีแล้วหรือ มาดมัวเซลล์”
“เรียกฉันมิเชลล์เถอะค่ะ”
“มิเชลล์ โอเค”
แคชฟียาขัดขึ้น “โรแบร์อยากให้ฉันแต่งงานที่ปารีสนี่” พูดแล้วหน้าสลดลง “เรายังทำไม่ได้”
โรแบร์ย้อนถามด้วยเสียงขุ่นมัวมาก “ทำไม่ได้?”
แคชฟี่อธิบาย “เพราะ…ฉันยังต้องทำอะไรอีก หลายอย่างเมื่อไปถึงประเทศของฉัน”
โรแบร์ทักเป็นเชิงถาม “เท่ากับสิ่งนั้นสำคัญกว่าความรัก”
“ใช่”
“ผมไม่เข้าใจ ไม่มีอะไรในโลกสำคัญกว่าความรัก ความรักเท่านั้นที่ทำให้คนทำอะไรๆ ได้ทุกอย่าง” โรแบร์บอก
มิเชลล์แทรกขึ้น “ความรักมีหลายแบบ ไม่ใช่รักของผู้ชายผู้หญิงเท่านั้น”
โรแบร์ท้วง ท่าทีจริงจัง “แต่รักของชายหญิงสำคัญที่สุด ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อความรัก”
“มิเชลล์จะไปช่วยฉันด้วยนะโรแบร์” แคชพียาบอก
“จริงหรือนี่” สายตาโรแบร์เปล่งประกายประทับใจเล็กๆ ขณะมองมิเชลล์ โดยที่แคชฟียาไม่เห็น
มิเชลล์ผงกหัวรับเบาๆ พูดด้วยเสียงจริงจัง “ฉันรู้มาว่า ในประเทศของแคชฟี่ การศึกษานั้นมีไว้เพื่อเด็กผู้ชายเท่านั้น”
“ใช่...ขณะที่ความก้าวหน้าต่างๆ วิ่งอยู่รอบตัวเรา ชีวิตส่วนใหญ่ของประชาชนในประเทศของฉันยังไปช้าๆ..แต่มิเชลล์เป็นคนเก่ง มิเชลล์จะช่วยจนงานของฉันสำเร็จจนได้จริงมั้ยจ๊ะ”
“จริงที่สุด” มิเชลล์รับคำหนักแน่น “ฉันมองไปข้างหน้า รู้ดีว่ามีอะไรทำอีกมากมาย ที่จะทำให้ชีวิตฉันไม่เกิดมาเปล่าประโยชน์ ฉันพร้อมที่จะสู้ให้ชีวิตมีความหมายไม่ว่าจะลำบากอยากแค้นยังไงก็ตาม”
สาวลูกผสมฝรั่งเศสเอเชียนัยน์ตาเป็นประกาย ทอดเสียงนุ่มเบา แต่หนักแน่นจริงจังยิ่งนัก
ค่ำคืนนั้น มิเชลล์หลับฝันไป น่าประหลาดที่หล่อนฝันซ้ำรอยเดิม ฝันเห็นทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเป็นขอบฟ้าสีครามสว่างใส มิเชลล์หลงทางอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันว่างเปล่า ก่อนมีพายุ และมีชายคนหนึ่งในอาภรณ์สีดำ คลุมหน้าด้วยผ้าสีดำที่ขอบฟ้าไกล
มิเชลล์หลับอยู่บนเตียง กิริยากระสับกระส่าย
ในฝัน...มิเชลล์เข้าไปใกล้ชายนั้นทุกที ชุดเสื้อคลุมดำสะบัดตามแรงลมดังพรึบพรับ
“ช่วยด้วยๆ ฉันหลงทาง..ช่วยด้วย”
ชายผู้นั้นค่อยใกล้ๆ เข้ามาทุกทีๆ มีผ้าคลุมหน้ามิดชิด
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วยค่ะ” มิเชลล์ยื่นมือออกไป ขอร้อง
“ฉันหลงทาง ช่วยฉันที”
เป็นเขา ชารีฟ นั่นเอง ที่ยื่นมือในถุงมือสีดำออกมา มิเชลล์รับจับจากปลายมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง มีผ้าคลุมหน้าชายคนนั้นมิดชิด มีเพียงดวงตาคมกล้าที่มองมาอย่างมาดมั่น
“คุณใช่มั้ย ฉันเคยพบคุณใช่มั้ยคะ”
มือต่อมือถึงกัน จับกันมั่นคง
“คุณช่วยฉันแล้วใช่มั้ยคะ คุณเป็นใครก็ได้ ขอให้คุณช่วยฉัน ฉันไม่มีใครเลย”
สาวลูกกำพร้าน้ำตาไหลริน
ครู่ต่อมา ชารีฟเดินจูงมิเชลล์ไปสู่กลางทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล มิเชลล์ตามไปมองดูรอบๆ ตัว
“นี่ที่ไหนคะ”
“ตามมา”
มิเชลล์ตามไปอีก
ชารีฟกับมิเชลล์อยู่ด้วยกันเพียงสองคน กลางทะเลทราย
จังหวะต่อมาทั้งสองหยุดมองหน้ากัน ใบหน้าชารีฟอยู่ในเงามืด มิเชลล์เพ่งจ้อง อยากเห็นเหลือเกิน
ชารีฟพูดคล้ายจะเตือน ด้วยเสียงอันดังก้องไปทั่งท้องทะเลทราย
“ทะเลทรายอันตรายมากนัก ระวังตัวไว้ ระวังตัว”
“ฉันจะทำยังไงละคะ” มิเชลล์ถาม
“ฉันจะดูแลเธอ จะดูแลเธอ”
“ท่านเป็นใคร ท่านชื่ออะไร”
“ฉันชื่อ...” เสียงของชารีฟขาดหายไป
แคชฟียาตกใจตื่นขึ้น มองดูมิเชลล์บนเตียงข้างๆ เห็นมิเชลล์ยื่นมือไขว่คว้าออกไป
“มิเชลล์ๆ” แคชฟี่ลุรีบกไปเขย่าตัว “มิเชลล์ เธอละเมอเหรอ มิเชลล์”
มิเชลล์ตื่น “หือ…” ลืมตาหันมาหาเพื่อนรัก “แคชฟียา...ฉัน...ฉันฝันอีกแล้ว”
“ฝันว่าอะไร” แคชฟียาฉงนฉงาย
มิเชลล์ไม่ตอบสีหน้าเหมือนจดจำรำลึก
มิเชลล์ยังคงฝันได้ฝันดีทุกค่ำคืน และเป็นฝันเดิม ที่สุดตัดสินใจเล่าเรื่องความฝัน ที่ผุดขึ้นมาแว้บๆ มีเพียงภาพฝันตอนมือเธอที่จับมือชายชุดดำแนบแน่น ที่แสนตราตรึง
“ฝันเหมือนเดิมเลยหรือ” แคชฟียาซัก
“เหมือนเดิม..เหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าฉันอยู่ในดินแดนที่…” สีหน้ามิเชลล์วาบขึ้นเหมือนนึกออก “มันคือทะเลทราย ทะเลทราย ที่กว้างไกลสุดสายตา มีแต่ฟ้าจรดทราย” แล้วนิ่งไป
“แล้วไงอีก”
“แล้ว...มีเขา”
แคชฟียาถามเร็วมาก “ใคร”
“ฉันไม่รู้จัก ผู้ชายคนหนึ่ง…”
“ใคร โรแบร์รึเปล่า”
“ไม่ใช่” สีหน้ามิเชลล์ฉายแววแปลกใจ “ทำไมถึงจะเป็นโรแบร์ล่ะ”
“ไม่ใช่…งั้นใครฮึ มิเชลล์ เธอฝันถึงผู้ชายคนไหนช้ำๆ กันทุกคืน เขาจะเป็นใครได้เธอไม่ยอมสนิทสนมกับผู้ชายคนไหนๆ ซักคน จะเป็น พริ้นซ์ เป็นชีค เป็นลูกชายเศรษฐีคนไหนๆ พวกนั้นน่ะพร้อมจะทรุดตัวลงแทบเท้าเธอ ฉันว่าถ้าเธอไม่โง่ก็บ้าแล้ว ที่ไม่ยอมใช้ชีวิตวัยสาวอย่างเราให้เต็มที่”
บุตรีของมหาเศรษฐีแห่งตะวันออกกลาง มองหน้าเพื่อนรักนิ่งๆ
วันหนึ่ง แคชฟียา พาโรแบร์มาที่บ้านพักของครอบครัวหล่อนในปารีส เป็นบ้านพักของเจ้าหน้าที่ชั้นสูงที่ทำงานในสถานทูต
เมื่อเข้ามาด้านใน เสื้อโค๊ทของแคชฟียาถูกโยนตกลงกับพื้น แคชฟี่ดึงร่างโรแบร์เข้ามาในครัวทันที โรแบร์กำลังถอดเสื้อโค๊ทเหวี่ยงไป เสียงหัวเราะกันคิกคักดังประสาน
“ไม่มีใครอยู่บ้านเลย พี่ชายพี่สะใภ้ไปงานกินเลี้ยง”
โรแบร์เข้ากอดจูบแคชฟี่ ซึ่งแคชฟียาจูบตอบด้วยท่าทางซาบซึ้ง “ฉันรักเธอที่สุดนะโรแบร์ ถ้าเธอทรยศฉัน ฉันจะฆ่าเธอ และฆ่าตัวเองด้วย”
สีหน้าแววตาของโรแบร์ยามนี้ฉายแววกังวลไม่สบายใจออกมา
ระหว่างนี้ประตูบ้านเปิดเข้ามา โมฮัมเหม็ดพี่ชายของแคชฟียา และ โซฟียาพี่สะใภ้ สองคนแต่งตัวหรูหรา ไปร่วมงานกินเลี้ยง โมฮัมเหม็ดหน้าตาบูดบึ้งมาก
“บอกกี่หนว่าอย่าลืมของขวัญ”
“ทำงานหลายอย่างเลยลืม” โซฟียาบอก
มีเสียงหัวเราะคิกคักดังมา
โมฮัมหมัดเดินตามเสียงเข้าไปทันที แล้วต้องตกใจ “แคชฟี่” เสียงของโมฮัมเหม็ดดังมาก
โซฟียาตกใจตามเข้าไป
โมฮัมเหม็ดปราดเข้ามาภายในครัว กระชากโรแบร์ออกจากน้องสาว แล้วหิ้วจะโยนออกไปข้างนอก แคชฟี่เข้ามาดึงแขนพี่ชายรั้งไว้ และต่อสู้กันอย่างรุนแรง โมฮัมเหม็ดดันแคชฟียากระเด็น แล้วหันไปไล่ตะเพิดโรแบร์ให้ออกไปจากบ้าน
โรแบร์แข็งขืน “ผมทำผิดอะไร ทำไมต้องไล่เหมือนหมาแบบนี้”
“แกเป็นคนนอกศาสนา ไปให้พ้น ไปเดี๋ยวนี้” โมฮัมเหม็ดบอก
แคชฟี่กรี๊ดสุดเสียง “อย่าไล่เขานะ”
“แกน่ะ เงียบไปเลย แคชฟี่ นังคนบาป พระอัลเลาะห์จะลงโทษแก ที่ไปยุ่งกับคนนอกศาสนา” โมฮัมเหม็ดด่า
“โลกนี้มีพระเจ้าองค์เดียวนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนศาสนาอะไร คุณจะเรียกพระเจ้าของคุณด้วยชื่ออะไรแต่พระองค์ก็คือพระเจ้าองค์เดียวกัน มนุษย์ทั้งโลกเป็นญาติกัน” โรแบร์ยังคงตีฝีปาก
“ไม่ต้องมาเล่นโวหาร ออกไปไม่งั้นแจ้งตำรวจ”
“โรแบร์ไม่ต้องไป” แคชฟียานัยน์ตาขวาง โกรธจัดผลักพี่ชายออก
“มานี่นังตัวดี” โมฮัดเหม็ดโมโห กระชากแขนแคชฟียา “มานี่...แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องซะแล้วจะต้องให้ล่ามโซ่ตีตรวนกันเหมือนทาสใช่ไหม เอาสิได้เลย มานี่ มา” โมฮัดเหม็ดลากแขนน้องสาวออกไป
แคชฟียาต่อสู้ขัดขืน ร้องกรี๊ดๆ พี่ชายไม่สนล็อคคอลากไป แคชฟี่ดิ้นรนร้องไปตลอดทาง
“ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย... อ๊ายๆๆ” แคชฟี่กรี๊ดๆๆ ดิ้นรนผลักไสอย่างรุนแรงมาก
โรแบร์จะช่วย “แคชฟี่..ปล่อยแคชฟี่เดี๋ยวนี้นะ”
พี่สะใภ้เข้าขวาง “คุณกลับไปก่อนเถอะคุณโรแบร์ ยิ่งคุณแข็งขืน แคชฟี่จะยิ่งโดนหนักนะคะ กลับไปก่อนเถอะค่ะ เชื่อฉันเถอะ”
“ผมจะไม่ยอมให้คนรักของผมโดนกระทำทารุณป่าเถื่อนอย่างนี้ แคชฟี่เป็นคนนะ มีชีวิตจิตใจ”
“คุณไม่เข้าใจคำว่าประเพณีหรือ” โซฟียาจ้องหน้าชายหนุ่ม
“ประเพณีมีได้ แต่ต้องอย่าลืมความเป็นคน แคชฟี่เป็นเจ้าของชีวิตของเขาเอง กฎหมายทุกประเทศยอมรับความเป็นคนที่มีสิทธิในตัวเองของมนุษย์”
“แต่ ณ ที่นี้ ในบ้านนี้เรามีสิทธิ์ ขอให้คุณกลับไปก่อน”
โรแบร์นิ่งอยู่สักครู่ “โอเค ผมจะกลับ แต่ขอบอกให้รู้ไว้ ยิ่งคุณทำอย่างนี้ คุณจะยิ่งขวางเราไม่ได้เลย ไม่ใช่ผมนะ น้องสาวของคุณนั่นแหละ” หนุ่มฝรั่งเศส เดินปังๆ ออกไป
โซฟียามองตามใจคอไม่ดี
ฟากโมฮัมเหม็ดเหวี่ยงแคชฟียากระเด็นลงกับพื้นพรมในห้องนอน
“ฮือๆๆๆ โฮๆๆ ฉันจะฟ้องพ่อฟ้องแม่ ว่าพี่ทารุณกับฉัน โฮๆๆ”
“เอาสิ ไปฟ้องเลย จะได้รู้ ว่าใครกันแน่จะโดนลากคอกลับไป”
“คนเลว คนป่าเถื่อน คนไม่มีอารยะธรรม”
“อารยะธรรมเรอะ ก็เพราะอารยะธรรมตะวันตกนี่ล่ะสิ ที่ทำให้แกเสียคน” พี่ชายด่า
“ฉันเสียคนยังไง ฉันทำอะไรผิด ฉันไม่ได้ทำตัวเละเทะสำส่อนซักหน่อย ฉันไม่เคยมีใครเลย นอกจากโรแบร์ แล้วเราก็จริงจังต่อกันด้วย” แคชฟียาเถียง
“ฉันมันผิดเอง เป็นความผิดของฉันเอง ที่สนับสนุนให้แกได้เรียนสูงๆ ดีล่ะ ฉันจะส่งแกกลับไปล้างบาปที่บ้านแกจะต้องกลับไปเป็นสุภาพสตรีมุสลิมที่ดี”
“พี่ พี่จะให้ฉันไปนุ่งชุดดำ คลุมหน้าคลุมตาอยู่แต่ในห้องอย่างนั้นเหรอ พี่จะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ” ท่าทางแคชฟียากลัวมาก
“ทำได้รึไม่ได้ แกก็คอยดูสิ” โมฮัมเหม็ดชี้หน้า
“พี่ใจร้าย ๆ ฮือๆๆ ฉันเกลียดพี่ๆๆ” แคชฟี่ ทุบเตียง ตีอกชกหัวไปมา
โมฮัมเหม็ด มองน้องสาวอย่างเคืองแค้น แล้วสะบัดตัวออกไป ปิดห้องโครม
แคชฟี่นั่งร้องไห้ แล้วกรี๊ดๆๆ อย่างรุนแรง พร้อมกับดิ้นไปมาที่ถูกขัดใจ
อีกวันหนึ่ง แคชฟียานั่งนิ่งอยู่ในห้องพักที่หอ นัยน์ตาแดงช้ำ ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มิเชลล์มองอย่างเห็นใจ ลูบหลังปลอบเบาๆ พูดไม่ออก
“พ่อฉันบอกมาว่าถ้าคบโรแบร์ต่อไป...” เสียงแคชฟี่ขาดหายไปในคอ
“ทำไม”
“จะฆ่าโรแบร์” แคชฟียาบอกอย่างอัดอั้น
“พระเจ้าช่วย” มิเชลล์ตกใจมาก
“ฉันไม่มีวันยอมเลิกกับโรแบร์ ฉันรักเขาที่สุด ถ้าบังคับกันมากๆ จะฆ่าตัวตาย คอยดู”
มิเชลล์ตกใจมากยิ่งขึ้น “อย่านะแคชฟี่ อย่าทำอะไรไร้สติแบบนั้น”
แคชฟียา สะอื้นแรงๆ กิริยาฮึดฮัด ฟาดมือฟาดแขน ลุกขึ้นต่อยตีข้างฝาแรงๆ มิเชลล์เข้าห้าม ดึงรั้งกันมาบนเตียง ลูบคลำมือที่เจ็บให้
“แคชกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ก่อนนะ”
แคชฟียาร้องไห้ดังๆ ด้วยอารมณ์ของหญิงสาวที่รุนแรงมากๆ
“อยากตาย...อยากตาย”
อีกวันหนึ่ง โรแบร์นั่งซึมอยู่ที่โต๊ะในห้องสมุด จดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า
“มิเชลล์” โรแบร์มองจ้องหน้า
“แคชฟี่ฝากจดหมายมาให้คุณ”
โรแบร์เปิดอ่าน “แคชต้องกลับประเทศเขา” เขามองหน้ามิเชลล์ “คุณจะไปด้วยนี่”
มิเชลล์ลังเลเล็กๆ “ค่ะ…ฉันไปด้วย”
สีหน้าโรแบร์มีริ้วรอยดีใจแวบหนึ่ง พอให้สังเกตได้ เพราะเขาชอบมิเชลล์เสมอมา
“ฉันทิ้งแคชฟี่ไม่ได้ เธอกำลังเสียใจ”
โรแบร์นั่งจ้องมิเชลล์อยู่อย่างนั้น
มิเชลล์ไม่รู้ตัวเอาเลยว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตน “ฉันต้องไปด้วย”
“คุณเป็นคนดีมาก นอกจากจะสวยมากแล้ว ยังดีมาก” โรแบร์บอกเสียงนุ่ม
“ขอบคุณ” มิเชลล์นั่งหน้าหมองครุ่นคิด
โรแบร์มองใบหน้างามด้วยความดื่มด่ำประทับใจ
“คุณจะตามไปด้วยใช่มั้ย”
สีหน้าโรแบร์มองมิเชลล์อย่างลึกซึ้ง
“บอกแคชฟี่ ผมจะตามไป ไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
สองสาวอยู่ในห้องพักด้วยกัน น้ำคำสุดท้ายของโรแบร์ถูกถ่ายทอดให้แคชฟียาฟัง
“จริงหรอ...เขาพูดอย่างนั้นหรอ”
“ใช่ เขาบอกว่า เขาไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
แคชฟียาเศร้า “โธ่ โรแบร์ที่น่าสงสาร เขาคงรักฉันมาก...แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ฉันรู้”
“อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนนะแคชฟี่ ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เธอจะได้พบกับเขาอีกแน่”
“ขอบใจมิเชลล์...ความจริง ฉันเกิดมาได้พบเธอฉันก็นับว่า ชีวิตฉันคุ้มค่าแล้ว”
“โธ่ แคชฟี่”
“เธอเป็นเพื่อนแท้ เธออยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจฉันเสมอ...มิเชลล์ เธออย่าทิ้งฉันนะ มิเชลล์”
แคชฟี่กอดมิเชลล์แน่น มิเชลล์กอดตอบ 2 คนซาบซึ้ง และสะเทือนใจ
มิเชลล์อยู่ที่ห้องคุณแม่อธิการ ที่โบสถ์ในเมืองวิลล์
“ลาก่อนนะคะ คุณแม่อธิการ”
“มิเชลล์” คุณแม่ลูบหัวเบาๆ “ตัดสินใจแล้วนะ แคชฟียาเป็นคนเก่ง หัวแข็งจนออกจะดื้อรั้น คนเก่งที่มีนิสัยคล้ายกันจะทำงานด้วยกันได้อย่างไร”
“แต่หนูไปในฐานะลูกจ้างเขานี่คะ”
“นั่นแหละ แต่หนูก็เป็นคนมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง เขาจะฟังหนูหรือเปล่า”
“แคชฟียาเป็นคนมีเหตุผลนะคะ”
“แต่แม่ก็อยากจะเตือนหนูสักหน่อยนะมิเชลล์” คุณแม่อธิการพยายามพูดอย่างนิ่มนวลที่สุด “แคชฟียาถูกตามใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ความต้องการของเขาไม่เคยถูกยับยั้ง อาจจะมีบางครั้งที่เขาไม่สามารถจะทนความผิดหวังได้”
“ค่ะ คุณแม่อธิการ”
“คนเผ่าพันธุ์นี้เป็นคนดุเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นมิตรแท้เขาก็จะตายแทนกันได้ หากเป็นศัตรู เขาจะทำอะไรรุนแรงได้ง่ายๆ หนูต้องระวังตัวนะลูก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงสถิตอยู่กับหนูตลอดไป”
มิเชลล์ก้มลงจูบมือแม่อธิการอีกครั้ง
อีกวัน มิเชลล์และแคชฟียาปรากฏตัวขึ้นที่ที่สนามบิน เมืองเกซาห์ สองสาวเดินเข็นกระเป๋ามาด้วยกัน มิเชลล์นั้นแต่งตัวสุภาพ แคชฟียาอยู่ในชุดหรูหราสไตล์ชาวปารีส มิเชลล์ตื่นเต้นมองโน่นนี่
“คอยตรงนี้สักครู่” แคชฟี่หยิบกระเป๋าส่วนตัวใบเล็ก เดินจากไป
มิเชลล์ยืนเหลียวมองไปรอบๆ ตัวอย่างแปลกตา สักครู่พอหันไปอีกทางหนึ่งแล้วต้องตะลึง เห็นแคชฟียายืนอยู่ ในชุดผ้าดำคลุมทั้งตัวและใบหน้า
“แคชฟี่”
“กุลสตรีชาวอาหรับ” แคชฟียาชี้ตัวเอง เอียงตัวเข้ามากระซิบ “น่าจะเห็นโรแบร์นะ”
มิเชลล์มองไป “ไม่เห็น”
แคชฟียาหน้าสลดลงเล็กน้อย “ไปกันเถอะ คนรถอยู่นั่นแล้ว”
คนรถบ้านแคชฟียาเดินมาหาโค้งเคารพ แล้วรับรถเข็นของแคชฟียาไป
อ่านต่อหน้า 3
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ทั้งสองนั่งที่เบาะด้านหลัง มิเชลล์ค่อยมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น
“ไม่ร้อนแล้วใช่มั้ย” แคชฟี่ถาม
“อือม์ สบายดี ข้างนอกร้อนมาก”
“ไม่ต้องกลัวนะ ที่บ้านเราติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง”
รถแล่นออกจากสนามบิน ขับไปเรื่อยๆ วิ่งออกไปตามถนน ซึ่งตัดผ่านพื้นที่โล่ง เห็นแต่ทรายและแสงแดดระยิบระยับ แคชฟียาเอ่ยขึ้นขณะมองออกไปนอกรถ
“ทรายที่เห็นอยู่นั่นน่ะ ร้อนเหมือนคั่วในกระทะเลยล่ะ”
“ไม่มีต้นไม้สักต้น?” มิเชลล์เปรยๆ
“ที่นี่น้ำหายากกว่าน้ำมันหลายเท่า ไม่มีใครเขาปลูกต้นไม้หรอก เปลืองค่าน้ำรดต้นไม้”
“เหรอ” มิเชลล์ประหลาดใจ
“แต่ที่บ้านมีต้นไม้หลายต้นนะ พ่อฉันชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้สวยๆ พอๆ กับมีเมียหลายคน”
“4 คน?” เสียงของมิเชลล์เหมือนเป็นคำถาม
“ใช่ 4 คน มันเป็นประเพณี ผู้ชายถ้าเลี้ยงดูให้มีความสุขเท่าเทียมกันได้ ถึงจะมีเมียได้ 4 คน”
จังหวะนี้ มิเชลล์ เห็นหญิงสาวชาวพื้นเมือง คลุมผ้าดำเดินลุยทรายร้อนจัด อย่างไม่สะทกสะท้าน บนไหล่ของหญิงผู้นั้นมีลูกน้อยนั่งคร่อมอยู่ด้วยท่าทางแสนสบาย ดูไม่ทุกข์ร้อนกับสภาพความยากจนตามด้วยสามีซึ่งนุ่งชุดยาวซึ่งดูไม่ออกแล้วว่ามันเคยเป็นสีขาว หิ้วของพะรุงพะรัง
“น่าสงสาร เดินเท้าเปล่าบนทรายร้อนๆ ยังงั้น เท้าไม่พองแย่เหรอ” มิเชลล์ถาม
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก เขาเดินกันจนหนังหนา แถมทนยังกับอูฐ”
มิเชลล์ลอบมองแคชฟียา รู้สึกว่าผิดหูที่ได้ยินอย่างนั้น มิเชลล์ผินหน้าออกไป เพ่งใกล้เท้าของหญิงผู้นั้นซึ่งย่ำจมทรายร้อนระอุ มิเชลล์จ้องอย่างไม่วางตา
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า คนบ้านฉันไม่เป็นแบบนี้หรอก” แคชฟี่ว่า
มิเชลล์หน้าเสีย รู้สึกไม่ดีเลย “ก็แค่สงสาร”
“โธ่เอ๋ยเด็กน้อย ไปสงสารเค้าทำไม เค้าเกิดมาแบบนี้ก็ต้องอยู่อย่างนี้ ฉันว่าเธอรู้สึกเป็นทุกข์มากกว่าพวกเค้าเสียอีก”
รถแล่นเข้าไปในตลาด ไอร้อนของแสงแดดทำให้ภาพข้างหน้าดูไหวพลิ้ว เหมือนกับมองผ่านกระดาษแก้ว
แคชฟียาพยักพเยิด “นั่นไง พวกร้านค้า เห็นเก่าๆ อย่างนั้น ขายข้าวของเครื่องใช้ชั้นดีที่มีขายในปารีสลอนดอน หรือที่ไหนๆในโลก”
มิเชลล์มองร้านรวงขายข้าวของต่างๆ สีหน้ายังไม่คลายลง
“ไม่ค่อยมีผู้หญิงเลย”
“ผู้หญิงเราจะออกมาตลาดกันตอนกลางคืนหลังทุ่มหนึ่งไปแล้วกลางคืนอากาศเย็นสบายกว่านี้มาก”
“ชีวิตกลางคืนคงคึกคักนะ” มิเชลล์ถาม
“แน่นอน เกือบถึงบ้านแล้วล่ะ...คอยดูคฤหาสน์ของฉันนะ แล้วเธอจะรู้ว่าฉันเป็นคนชนชั้นไหนที่นี่”
แคชฟียาอวดโอ้ อย่างภาคภูมิ
รถแล่นผ่านร้านขายของนานาชนิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจอดที่หน้าประตูบานใหญ่ คนขับลงไปกดกริ่งประตูสักครู่คนรับใช้มาเปิดประตูให้
มิเชลล์ถาม “นี่เหรอบ้านเธอ”
แคชฟี่ยิ้มภูมิใจ “เป็นไง...หรือใหญ่เกินกว่าที่เธอจะคิดออกใช่มั้ย”
รถแล่นเข้าภายในบริเวณบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้หลายสี ปลูกเป็นระเบียบ ตัวตึกหลังใหญ่ตระหง่านอวดความมั่งมีอยู่ข้างหน้า ถัดไปเป็นหลังย่อมๆ อีก 3 หลัง ปลูกเรียงรายอยู่ด้านหลังของตึกใหญ่
มิเชลล์ก้าวลงจากรถด้วยสีหน้าพยายามระงับไม่ให้ตื่นเต้นความใหญ่โตของบ้าน เพราะยังคลางแคลงใจคำพูดของแคชฟี่ไม่หาย ก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนที่มีพรมปูลาด พวกคนใช้และเด็กๆ พากันมาแอบดู
แคชฟียาเชิดหน้าวางมาดสง่าเดินนำ มิเชลล์รีบตามแคชฟียาไป แต่วายเหลียวดูพวกเด็กๆ และยิ้มให้
ห้องโถงของตึกหลังใหญ่ ตกแต่งสไตล์บ้านในยุโรป
ตัวละครมิเชลล์ แคชฟียา แม่แคชฟียา น้องเล็กๆ ที่เป็นผู้หญิง 3 คน(อายุวัยรุ่นและถัดๆไป)
แคชฟียาดึงมือมิเชลล์ให้เข้าไปอีกห้องหนึ่งภายในห้อง แม่ของแคชฟี่กำลังรอรับอยู่ และตรงเข้ามาหาสองสาว แคชฟียาเข้าไปกอดแม่ น้องวิ่งเข้ากอดพี่สาว แคชฟียาหันมาแนะนำมิเชลล์กับครอบครัว
“มิเชลล์ คนนั้นแหละค่ะที่หนูเขียนมาเล่าให้แม่ฟังบ่อยๆ”
แม่แคชฟียาเยื้อนยิ้ม สัมผัสมือมิเชลล์แบบฝรั่ง ยิ้มให้อ่อนโยน
มิเชลล์ยิ้มรับด้วยความเอ็นดู และทรุดนั่งลงกอดตอบเด็ก “ตุ๊กตาพูดได้ด้วยหรือจ๊ะเนี่ย” เด็กๆ หัวเราะคิกคัก
แม่แคชฟียาเอ่ยขึ้น “ถ้าเด็กๆ จะชอบหนูเสียแล้วซิ น้องๆ ของแคชฟี่เขาทั้ง 3 คน”
แคชฟียาดึงมือมิเชลล์ไป
“มาดูห้องของเธอเถอะ แม่คะ หนูพามิเชลล์ไปห้องนะคะ” สองสาวดึงกันออกไป
แม่แคชฟียาพยักหน้ารับ มองตามมิเชลล์ไป “สวยเหลือเกิน สวยมั้ยเด็กๆ เพื่อนพี่แคชฟี่”
เด็กๆทั้งสามรับพร้อมกัน “สวยค่ะ”
สองสาวเดินคุยกันมาตามระเบียง เพื่อไปยังห้องของมิเชลล์ที่จัดเตรียมไว้แล้ว แคชฟียาถอดผ้าคลุมหน้าและเสื้อคลุมดำออกพาดไว้ที่แขวนอย่างอิสระร่าเริง พลางชี้ให้ดูด้านหนึ่งของตึก พร้อมกับอธิบาย
“ด้านนอกเป็นที่อยู่พ่อกับน้องชายฉันในเมืองเราผู้หญิงกับผู้ชายอยู่คนละส่วนแยกกันเด็ดขาด ชายอื่นที่ไม่ใช่พ่อหรือพี่น้องจะไม่มีโอกาสเห็นหน้าผู้หญิงในบ้านเรา”
“แล้วถ้าแขกผู้ชายมาหาตอนพ่อไม่อยู่ล่ะ”
“แม่ฉันจะพูดด้วย แต่ต้องพูดผ่านฉากกั้น ทางโน้นเป็นบ้านเมียน้อยพ่อ”
มิเชลล์มีทีท่าแปลกใจ “แปลกนะ เขายอมเป็นเมียน้อยได้ยังไงกัน”
“ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธถ้าพ่อแม่ตัวเองยอมยกให้ผู้ชาย”
“แล้วเธอล่ะ จะยอมถูกบังคับไหม” แคชฟียาหยุดหัวเราะทันทีที่ได้ยิน
“ไม่มีวันเสียล่ะ ฉันไม่ยอมถูกคลุมถุงชนเด็ดขาด”
“เธอจะรอโรแบร์เหรอ”
แคชฟียาหยุดทันที หันขวับมา “ทำเสียงอย่างนี้ หมายความว่ายังไง ฉันไม่ควรรองั้นรึ” แคชฟี่เสียงเขียวจัด หน้าตาดุดันมาก
“แคชฟี่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างที่เธอคิดนะ ทำไมเธอคิดว่าฉันจะคิดอย่างนั้นล่ะ”
แคชฟียาปรับสีหน้าดีขึ้น “ไปห้องเธอไป ห้องที่สวยที่สุดนะจะบอกให้”
แคชฟียาเดินนำออกไป มิเชลล์เริ่มหน้าตาเครียดและอึดอัดไม่สบายใจ รำพันอยู่ในใจ
“เพียงวันเดียว...แค่วันนี้ อะไรๆ เปลี่ยนแปลงขนาดนี้เชียวหรือ”
หลายวันต่อมา คุณแม่อธิการ กำลังอ่านจดหมายจากมิเชลล์ที่เขียนส่งมาหา ราวกับมีเสียงมิเชลล์ม่านข้างๆ หู
“คุณแม่อธิการที่เคารพ หนูกำลังอยู่ในดินแดนที่แสนไกล อยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าปิดกั้นตัวเองกับโลกภายนอกในสายตาของชาวโลกทั่วไป แต่ที่นี่ได้กลายเป็นสวรรค์สำหรับหนู พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตประทานเพื่อนที่เปี่ยมไปด้วยความงามและคุณความดียากที่จะหาใครเปรียบได้ดังเช่น แคชฟียา เพื่อนตายของหนู”
คุณแม่อธิการรำพึง “แคชฟียาเพื่อนตาย ขอให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป”
มิเชลล์อยู่ในห้องนอน และเขียนบันทึกลงไดอารี่
“คุณแม่อธิการคะ หนูจะบอกความจริงคุณแม่ได้อย่างไร คุณแม่ไม่ควรได้รับรู้อะไรที่จะทำให้ไม่สบายใจ”
วันหนึ่ง มิเชลล์ในชุดสาวอาหรับเดินเข้ามาตรงบริเวณชั้นนอก ส่วนที่เป็นของพวกผู้ชาย และท่านเศรษฐีพ่อแคชฟียา เธอเห็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 15-16 น้องชายแคชฟียา จึงร้องเรียก
“น้องๆ” มิเชลล์เรียกและเดินเข้าไปหา
เด็กหนุ่มคนนั้นตาเหลือกด้วยความตกใจ ที่เห็นหญิงในชุดอาหรับเข้ามาในเขตผู้ชาย เด็กหนุ่มเดินหนี
มิเชลล์ยิ่งเดินตาม
“เดี๋ยวก่อนน้อง...น้อง”
เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในตัวตึก มิเชลล์เดินตามเข้าไป
ภายในตัวตึกเห็นเด็กผู้ชายเล่นกันสนุกสนาน คนรับใช้ยืนอยู่ใกล้ๆ จนเมื่อมิเชลล์เข้ามา ทุกคนหยุดทันที เหมือนนัดกันไว้ สายตาทุกคู่จ้องมาที่มิเชลล์ ตกใจและประหลาดใจ โดยเฉพาะสายตาที่ดูถูกและไม่เป็นมิตรของคนใช้ชาย
มิเชลล์รู้สึกอึดอัดที่ถูกจ้องมอง ภายใต้ความเงียบมิเชลล์ก็เอ่ยขึ้น
“เห็นแคชฟียามั้ยคะ”
ทุกคนยังนั่งนิ่ง ยืนนิ่ง จ้องมองมิเชลล์ โดยไม่มีใครตอบ จนมิเชลล์รู้สึกรำคาญ ผ้าที่ปิดปากปิดจมูกอยู่จึงปลดออกเพื่อให้พูดได้ถนัด แต่เมื่อปลดผ้าออก ยิ่งทำให้ทุกคนตกใจมากขึ้น
คนใช้หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความรังเกียจ เด็กๆ เบ้หน้า
“แคชฟียาอยู่ไหนคะ” มิเชลล์เสียงดังขึ้น เพราะชักรู้สึกว่าทุกคนไม่ให้เกียรติแขก
“ออกไป ผู้หญิงเข้ามาในนี้ไม่ได้” คนใช้ในนั้นตะเพิด
“ฉันเป็นคนต่างชาติไม่ยกเว้นหรือค่ะ”
“ผู้หญิงเข้ามาในนี้ไม่ได้” คนใช้คนเดิมบอก
“คือฉันหลงทางค่ะ จะหาแคชฟียา”
“ออกไป”
จู่ๆ คนใช้ร่างยักษ์ซึ่งไม่ได้อยู่ในที่นี้แต่แรก ปรากฏตัวออกมาและตรงรี่เข้ามาหามิเชลล์คนใช้ร่าง
ยักษ์ตะโกน “ออกไป” พร้อมชี้นิ้วตรงรี่เข้ามาอย่างเอาเรื่อง
“ขอ...ขอโทษนะคะ ขอโทษอย่างมากๆ ค่ะ”
มิเชลล์ตกใจกลัวรีบวิ่งออกมา เสียงคนใช้ร่างยักษ์ยังเอ็ดอึงตามหลังมา
มิเชลล์วิ่งหน้าตื่นออกจากบริเวณของพวกผู้ชายมาที่ระเบียงด้วยความตกใจ ปะทะกับแคชฟียา และฮานา สาวใช้ซึ่งกำลังตามหาเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นมิเชลล์” แคชฟียาพอจะนึกขึ้นได้ จึงผลักตัวมิเชลล์ให้ออกห่าง แล้วยืนพิจารณาดูมิเชลล์แล้วก็หัวเราะ
“หัวเราะอะไร” มิเชลล์ยังคงตกใจ “แคชฟี่ ฉันตกใจมากนะ เขาเสียงดัง ไล่ฉัน เหมือนฉันเป็นสัตว์ไม่ใช่คน แล้วเธอยังมาหัวเราะ”
“ก็เธอทำผิดนี้ เขาก็ไล่สิ” แคชฟีย่าบอก
“ทำผิด ฉันขอโทษเขาแล้ว แต่ว่า แค่เดินไปถามแค่นี้ผิดตรงไหน”
แม่แคชฟียาอยู่ในห้อง ตกใจมาก เมื่อได้ฟัง
“เข้าไปในเขตผู้ชาย โอตายล่ะ”
“แล้วแต่งตัวแบบนี้ด้วย พวกผู้ชายพวกนั้นเขาคงตกใจยิ่งกว่าเธอเสียอีก ผ้าคลุมหน้าก็ไม่ได้ปิด” แคชฟี่เล่าเสริม
แม่ร้อง “หา...ไม่ได้ปิดผ้าคลุมหน้า” แม่ทำท่าจะเป็นลม แคชฟียารีบประคอง
“คงไม่เป็นไรหรอกคะ มิเชลล์เป็นชาวต่างชาติยังไม่รู้ประเพณีของเรา”
“ไม่เป็นไรหรอก คราวนี้ถือเสียว่าไม่รู้คราวหน้าก็อย่าเผลอแล้วกัน” พ่อแคชฟียาบอก
มิเชลล์สำนึกผิด “หนูขอโทษค่ะ คุณพ่อ คุณแม่ หนูตั้งใจจะไปหาแคชฟียา”
“แต่ทะเล่อทะล่าเข้าไปในเขตผู้ชาย” แคชฟี่อมยิ้มขำ
“ไม่ใช่เรื่องตลกนะลูก” แม่หันมาพูดกับมิเชลล์ “ประเพณีเราไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปในเขตของผู้ชาย ผู้หญิงอยู่ส่วนของผู้หญิง ผู้ชายอยู่ส่วนของผู้ชายไม่ปะปนกัน ผู้หญิงชาวอาหรับจะพูดกับผู้ชายแปลกหน้าจะต้องปิดผ้าคลุมหน้าเวลาออกไปนอกบ้านก็จะต้องปิดผ้าคลุมหน้า หนูแต่งตัวแบบเราแล้วเปิดผ้าคลุมหน้าพูดกับผู้ชาย ถือว่าเสื่อมเสียเกียรติ คนเขาจะดูถูกเหยียดหยาม สังคมก็รังเกียจ ถือว่าผิดกฎศาสนาอย่างแรงด้วย”
มิเชลล์ เหลือบดูพ่อก็นึกได้ รีบเอาผ้าคลุมหน้าปิด
แคชฟียาหัวเราะขบขัน “ไม่ต้องหรอกกับคุณพ่อ ถือเป็นกันเอง” พลางดึงผ้าออก
“เธอก็เหมือนลูกสาวฉันอีกคนหนึ่งเหมือนกัน” ท่านเศรษฐีบอก
“ถ้าเธออยากอยู่แบบเรา นุ่งห่มแบบเรา เธอคงต้องอดทน” แคชฟียาเสริม
“ฉันยินดี เพราะฉันอยากอยู่กับเธอแบบพี่น้อง ไม่อยากเป็นแขกแปลกหน้า” มิเชลล์ว่า
“ดีแล้วจ้ะ ทุกชาติที่มีขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ยึดถือกันมาแต่โบราณอย่างเคร่งครัด ถึงอย่างไรเราก็ภูมิใจในระเบียบประเพณีของเรา” แม่บอก
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ส่องสว่างเหนือบ้านเรือนชาวอาหรับ ยินเสียงสวดมนต์ดังแว่วๆ
ส่วนในห้องของมิเชลล์ พิณในกล่อง ถูกมิเชลล์หยิบขึ้นมา แล้วกรีดเป็นเสียงเพลงเบาๆ
“ฉันรักพิณตัวนี้ที่สุด ซิสเตอร์ชาวซีเรียคนหนึ่งที่วัดให้ฉันมาเป็นเครื่องดนตรีของชาวตะวันออก”
แคชฟียา ฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม ลุกขึ้นเต้นไปตามทำนองเพลง ท่วงท่าสวยงาม มิเชลล์เหมือนเทพธิดา ผมเป็นประกายสีทอง ขณะดีดพิณ แคชฟี่ ร่าเริงสดชื่น เต้นหยอยๆ เหมือนเด็กน้อย
ที่ด้านนอกยามนี้ ตึกรามบ้านช่อง เป็นเงาทาบกับท้องฟ้า
เสียงพิณดังหวานแว่วและจบลง มิเชลล์วางพิณมาจับมือแคชฟียา
“แคชฟียา ฉันตามเธอมา เพราะอยากทำให้ความฝันของเธอเป็นจริง ในขณะเดียวกันความฝันของฉันก็จะเป็นจริงด้วย” เสียงมิเชลล์มั่นคง สีหน้าเข้มแข็ง “ฉัน... คน ที่ไม่มีใครต้องการนี่แหละ จะทำทุกอย่างให้คนเห็นว่าคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่จำเป็นต้องขาดใจไปกับความรู้สึกสิ้นหวังฉันจะให้ใครๆ รู้ว่า ฉันเกิดมาตัวคนเดียวอย่างนี้แหละ จะทำประโยชน์ให้กับเพื่อนร่วมโลกได้อีกมากมาย”
แคชฟียาจับมือมิเชลล์เขย่า
“โอเค เราจะช่วยกัน มิเชลล์ ถ้าเธอสู้ ฉันพร้อมที่จะสู้กับเธอ เพื่อคนของฉันเอง”
“โอ ขอบใจเธอมาก...ฉัน...อยากขอโทษที่เข้าใจเธอผิด เธอเป็นคนดีอย่างที่ฉันเห็นมาตลอด ฉันตัดสินใจไม่ผิดที่มากับเธอ”
มิเชลล์ดีใจเหลือเกิน
โรงเรียนถูกตั้งขึ้นในอาณาบริเวณบ้านของแคชฟียานั่นเอง แคชฟียาเริ่มงานสอนเด็กๆ พร้อมกับมิเชลล์ ในวันต่อมา ห้องเรียนของแคชฟียา มีเด็กๆ 4-5 คน เล่นกันยุกยิกๆ อยู่ ขณะแคชฟียาเขียนตัว A B C D บนกระดาน แล้วหันขวับมา ใช้ไม้บรรทัดฟาดกระดานปัง…ปัง...ปัง เด็กๆ ตกใจตาเหลือก
แคชฟียาพูดเสียงเข้มงวด “นักเรียนทุกคนเงียบ..แล้วตั้งใจฟังครู ต่อไปนี้ เราจะเรียนอักษรฝรั่งเศสกันก่อน พวกเธอทุกคนจะต้องจำอักษรพวกนี้ให้ได้ เอาล่ะอ่านตามครู” แคชฟี่เอาไม้บรรทัดชี้ทีละตัว แล้วอ่านนำด้วยการออกเสียงแบบฝรั่งเศส
“อา…” น้ำเสียงยังธรรมดา
เด็กๆ อ่าน “อา” แต่อ่านตามแบบไม่ค่อยพร้อมและเสียงเบาๆ อายๆ
“เบ ดังๆ อ่านดังๆ ด้วยนะ จะได้รู้ว่าอ่านถูกหรือเปล่า”
“เบ” เด็กๆ ยังอ่านกันเสียงเบาๆ
“ฉันบอกให้อ่านดังๆ ไง..เซ ดังๆ นะ” แคชฟี่เสียงดังขึ้นอีกนิดหน่อย
เด็กๆ อ่าน “เซ”
แคชฟียาตีกระดานเปรี้ยงๆ “นี่ๆ หัดพูดให้พร้อมกันหน่อย ได้ไหมแล้วต้องอ่านเสียงดังๆ ด้วยใครอ่านค่อยจะถูกจับมาอ่านคนเดียวหน้าชั้นเข้าใจมั้ย”
ทุกคนเลิ่กลั่ก
แคชฟียาตีกระดานเปรี้ยงๆๆ “ครูถามว่าเข้าใจมั้ย”
เด็กๆ ตอบคนละที 2 ที “เข้าใจ ค่ะ”
“บอกให้พูดพร้อมๆ กันดังๆ เข้าใจมั้ย”
เด็กๆ กลัว ลนลาน “เข้าใจค่ะ”
ห้องเรียนของมิเชลล์ มีเด็กนักเรียน 12 คน มิเชลล์กำลังเล่านิทานอย่างสนุกสนาน
“ใครรู้จักหมาป่าบ้างเอ่ย..ยกมือขึ้น”
เด็กๆ พากันเฉย
“ไม่มีใครรู้จักหมาป่าเลยหรือค่ะ เอาล่ะ งั้น ครูจะเขียนรูปหมาป่าให้ดู…” มิเชลล์เริ่มเขียนส่วนหูก่อน “หมาป่ามีปากยาวๆ กว้าง” แล้ววาดส่วนปาก อ้ากว้าง “มีฟันแหลมๆ คมกริบไว้กัดเด็กๆ” วาดฟันเป็นซี่ๆ “มีจมูกไว้ดมกลิ่น แล้วก็มีตาดุ ๆ” มิเชลล์วาดจมูก ตา เติมลงไป “แล้วทีนี้ ใครรู้จักลูกแกะบ้างเอ่ย”
มีเด็กบางคนยกมือ
“แกะมันร้องยังไงคะ”
มีเด็กคนหนึ่ง ทำเสียงแกะ
“แอ๊ะๆๆ”
“เก่งมาก..เอาล่ะ ทุกคนร้องเสียงแกะเร็ว แอ๊ะๆๆ” มิเชลล์ทำเสียงนำ
เด็กๆ ร้อง “แอ๊ะๆๆ” ตามกันใหญ่
“ที่นี้หมาป่ามันก็ชอบกินลูกแกะ เพราะว่าเนื้อลูกแกะหวานมาก อืมนึกถึงลูกแกะ หมาป่าก็น้ำลายไหลยืด.... “ เด็กๆ หัวเราะกิ๊ก “เอาล่ะ ใครอยากเป็นหมาป่า ยกมือขึ้น”
เด็ก 3 คนยกมือ
“เอาล่ะ หมาป่ามาทางนี้ ครูก็เป็นหมาป่าด้วย ทีนี้เรามีหมาป่ากี่ตัว ลองนับ”
เด็กๆ ช่วยกันนับ “หนึ่ง..สอง..สาม..สี่”
“ใช่แล้ว มีหมาป่า 4 ตัว เอาล่ะนอกนั้น คนที่เหลือทั้งหมด ก็เป็นลูกแกะ เอ้าช่วยกันนับเร็ว…มีลูกแกะกี่ตัว”
เด็กๆ นับกันไป “1…2…3…4…5…6…7”
มิเชลล์อารมณ์เย็น อ่อนโยนกับเด็กๆ แตกต่างจากความเป็นคนอารมณ์ร้ายของแคชฟียา ที่แสดงออกมากับนักเรียน
แคชฟียาชี้เด็กคนหนึ่ง “เอ้า..ชาฟีน่า..ตอบสิ..ว่านี้ตัวอะไร” พลางชี้ไปที่ตัว C
เด็กคนนั้นอึ้ง พูดไม่ออก
แคชฟียาเอาไม้บรรทัดในมือฟาดโต๊ะปัง “อะไรกัน เพิ่งบอกไปแป๊บเดียวเอง ซาฟีน่า ลองเริ่มอ่านใหม่ซิ” แคชฟี่จิ้มไปทีละตัวแรงๆ “ทุกคนอ่านเดี๋ยวนี้”
ด้านมิเชลล์เล่านิทานกับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน “ขณะที่ลูกแกะกำลังกินน้ำอยู่นั่นเอง หมาป่าก็ปรากฏตัวขึ้น” มิเชลล์กระโดดผางขึ้นมา “ฮ่าๆๆๆ เจ้าลูกแกะ เจ้ารู้ตัวไหม ว่าเจ้ากำลังกินน้ำอยู่ในลำธารของข้า”
มิเชลล์สมมุติเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง ให้เป็นหมาป่า
“เอ้า หมาป่า ขู่ลูกแกะสิคะ ขู่เลย ลูกแกะกลัวด้วย กลัวมาก”
เด็กๆ ท่าท่าขู่ เด็กอีกกลุ่มทำท่ากลัวหมาป่าวิ่งหนี เป็นที่สนุกสนาน
ฟากแคชฟียา ฟาดไม้บรรทัดโครมๆ เอ็ดเสียงดัง อีกวันหนึ่ง แล้วหยิกเด็กคนหนึ่งเต็มแรง
มิเชลล์ เขียน A… B…C….แล้วสอนให้เด็กพูดตาม อา เบ เซ เด เด็กๆ พูดตามอย่างร่าเริง
อีกวันหนึ่ง สองสาวสอนเสร็จแล้วอยู่ด้วยกันอีกห้องหนึ่ง แคชฟียานั่งลง กางขา อาการเหนื่อยล้า มิเชลล์วางหนังสือ มองยิ้มๆ
“เบื่อแล้ว..เด็กพวกนี้โง่จริงๆ สอนมาอาทิตย์หนึ่ง เหนื่อยเป็นบ้า”
“แต่ว่า…”
แคชฟียาหยิบผ้าดำมาคลุมหน้า “เบื่อไอ้ชุดดำคลุมหน้านี่ที่สุด” พลางกระโดดขึ้นยืน “ออกไปชอปปิ้งกันเถอะ”
“ฉันไม่ไปได้มั้ย ไม่ซื้ออะไร”
“ต้องไป...ลุก ไปด้วยกันเดี่ยวนี้”
“แคชฟี่...ไม่เหนื่อยเหรอ สอนหนังสือมาทั้งวัน”
“ไปชอปปิ้งใครเหนื่อยมั่งละ...ไป เร็วๆ”
อ่านต่อหน้า 4
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตกตอนค่ำ ภายในร้านขายของซึ่งเป็นร้านที่ตกแต่งหรูหรามาก มีลูกค้าเลือกดูของ คนขายดูแลอย่างดี แคชฟียาพามิเชลล์เดินดูของ ชี้เอาๆ ว่าซื้อโน่นซื้อนี่อย่างสบายใจ มิเชลล์ได้แต่มอง หยิบของดูราคาแล้ววาง
“ชอบมั้ย ซื้อให้”
มิเชลล์ส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ
สองสาวเข้าบ้านมาตอนกลางคืน ถุงข้าวของมากมายถูกวางลงในห้องโถง โดยคนใช้ที่ไปรับเมื่อกี้
“โอ้ย เหนื่อยจริง เอ้า ดูของ ซื้อมาฝาก” แคชฟียายิ้มแย้ม “ครบหมดเลยทุกคน” พวกเด็กๆ วิ่งไปที่ของแย่งชิงกันดู
“แคชฟียา ทำไมซื้อของมากมายอย่างนี้” แม่ท้วง
“เอ้ะ แม่…” แคชฟียาเสียงเขียว
แม่สะดุ้งนิดๆ
“เรามีเงิน..กลัวอะไรซื้อของแค่นี้” แคชฟี่ลุกขึ้น “ของที่ซื้อมาให้แม่ นั่น” แคชฟียาพยักหน้าไปทางถุงของ “ไม่อยากได้ก็อย่าเอา”
แคชฟียาเดินออกไปทันที
แม่ทำท่าอ่อนใจ ปนกลัวๆ มองมิเชลล์ แล้วยักไหล่
ครู่ต่อมาสองคนคุยกันอยู่บริเวณสวนภายใน เรื่องแคชฟี่อารมณ์ร้าย แคชฟียาเดินไปเดินมา หน้าตาขุ่นมัว มิเชลล์ยืนกอดอกมองเงียบๆ
“ฉันยอมรับว่าอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ไม่สบายใจ” แล้วหันมาทางมิเชลล์ “เพราะโรแบร์ยังไม่ติดต่อมา ฉันไม่รู้เขาอยู่ที่ไหน”
วันต่อมานั้นเอง ที่สนามบิน โรแบร์เดินออกมาจากทางออกผู้โดยสาร หยุด กวาดตามองไป หยิบกระดาษขึ้นมาดูบ้านเลขที่ของแคชฟี่ แล้วเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ เปิดตู้เข้าไป
ขณะเดียวกันแคชฟียาถือหูโทรศัพท์คุยสาร หน้าตาตื่นเต้นสุดขีด
“ไปเดี่ยวนี้” แคชฟี่วางหู แล้วยืนหน้าอึดสักครู่ ก่อนจะร้องกรี๊ดๆ ดีใจมากมาย
มิเชลล์ได้ยิน ตกใจวิ่งพรวดออกมาทุกหา แม่เอยน้องเอย รวมทั้งคนใช้ วิ่งพรวดพราดออกมาหน้าตื่นเช่นกัน แคชฟียากรี๊ดส่งท้ายอีกครั้ง
ตอนกลางคืน ของวันนั้น โรแบร์ชุดซาฟารีสีขาว ใส่หมวก ดูหล่อจัด ยืนอยู่มุมหนึ่งของตลาดที่นัดหมายกับแคชฟียา เขามองซ้ายมองขวา เห็นผู้คนเดินกันพลุกพล่าน
มิเชลล์ในชุดสากล เดินมายืนข้างๆ สีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
โรแบร์หันไปเห็น “มิเชลล์…โอ ดีใจเหลือเกินได้พบคุณ”
แคชฟียาในชุดสาวอาหรับคลุมใบหน้า เดินเข้ามาขนาบมิเชลล์
“โรแบร์”
“แคชฟี่..โอ แคชฟี่ คุณจริงๆ ด้วย”
“ดีใจ เท่ากับได้พบมิเชลล์มั้ย” แคชฟียาพูดทีเล่นทีจริง
โรแบร์หน้าเจื่อน ดูผิดปกติไปนิดหน่อย เมื่อแคชฟี่หันหน้าไปมองทางอื่น
สามคนเดินไปท่ามกลางผู้คนมากมาย
“เราต้องเดินไปสามคนแบบนี้ มิเชลล์ทำท่าชี้ให้โรแบร์ชมตลาด” เสียงแคชฟียาบอกสองคน
“เป็นฝรั่ง คุยกับผู้ชายในที่สาธารณะได้” มิเชลล์ผสมโรง
มิเชลล์ชี้ซ้ายชี้ขวา แคชฟียา เดินท่าทางสงบเสงี่ยม
โรแบร์เอ่ยขึ้น “ผมได้งานที่บริษัทบ่อน้ำมันในเมืองนี้”
“โรแบร์ คุณช่างดีเหลือเกิน” แคชฟี่พูดก้มหน้าสงบเสงี่ยม
“ใช่ ผมทำตามสัญญานะแคชฟี่”
“ฉันอยากกอดคุณ ฉันอยากจูบคุณสักร้อยหน ฉันอยากให้ตัวคุณแนบสนิทกับตัวฉัน ให้คุณกอดฉัน รักฉัน โอ โรแบร์ ฉันปรารถนาในตัวคุณเหลือเกิน”
มิเชลล์ฟังแล้วอึ้ง หน้าตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
โรแบร์ชำเลืองดูมิเชลล์ เกรงใจ “แคชฟี่ อย่าเพิ่งพูดอะไรอย่างนั้นเลย”
“ทำไม คิดว่ามิเชลล์ไม่อยากฟังรึ อีกหน่อยเขาก็จะมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน”
“ผมจะไปพบพ่อแม่คุณ ดีไหม”
“โอ อย่านะ โรแบร์ ฉันรักคุณเสมอ แต่คุณก็รู้...ว่าประเพณีของฉันเป็นอย่างไร มันจะเป็นอันตรายต่อเราทั้งคู่”
“แล้วเราต้องลักลอบเจอกันอยู่อย่างนี้ตลอดไปรึ”
“ไม่หรอก...โรแบร์ ฉันต้องหาทางออกให้ได้ ฉันมีเงินในธนาคารที่สวิสมากมาย เราจะไปไหนก็ได้ทุกแห่งในโลกนี้”
มิเชลล์เหลียวมองแคชฟียาอย่างฉับพลันทันใด ใจนึกถึงโปรเจ็คท์โรงเรียนที่เพิ่งตั้งขึ้นมา
คืนนั้นเองมิเชลล์เปิดประตูห้องตัวเองเข้ามา จูงมือแคชฟี่เข้ามาด้วย มิเชลล์หันไปหา
“ฉันข้องใจมาก เธอบอกมีเงินในธนาคารสวิสมากมาย หมายความว่าเธอจะไม่อยู่ที่นี่เหรอ จะไปอยู่สวิสเซอร์แลนด์หรือ”
“ใช่” แคชฟียาบอก
“แคชฟี่..แล้วโรงเรียนล่ะ”
“เธอก็สอนไปไง เด็กๆ ชอบเรียนกับเธอออกจะตาย”
“แคชฟี่...เธอเลิกล้มความตั้งใจได้ยังไงเนี่ย”
“ไม่แปลกหรอกน่า ฉันจ้างเธอมาเป็นครูแล้วไง” แคชฟียาลุกขึ้น “พรุ่งนี้ ไปหาโรแบร์กันอีก ไปทุกๆ วันจนกว่าฉันจะหาทางแก้ปัญหาได้” แล้วเดินจะออกไป
มิเชลล์ลุกตามไป พูดด้วยท่าทางจริงจัง “แคชฟี่ เธอจ้างฉันมาเป็นครู โดยฉันรับเงินโดยตรงจากคุณพ่อเธอ ฉันไม่สบายใจเลย ที่ต้องมารู้เห็นเป็นใจกับเรื่องไม่สมควรแบบนี้”
แคชฟี่ชะงักผิดหู หันมา “ไม่สมควรยังไง นี่ถ้าเป็นปารีสนะ ฉันจะไปค้างกะเค้าซะก็ได้” อารมณ์เริ่มขุ่นมัว
“ใช่ แต่นี่ไม่ใช่ปารีส คิดให้ดีนะแคชฟี่”
“ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะมาเตือนฉันนะ มิเชลล์”
“แคชฟี่ เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่จะเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่”
“นี่ ฉันไม่ใช่เด็กกำพร้าเคร่งศาสนาอย่างเธอ ใช่สิ เธอมันคนวิเศษบริสุทธิ์อะไรๆ ก็เป็นบาปทั้งนั้น สำหรับเด็กที่โตมากับนางชีอย่างเธอ ฉันเป็นนายจ้างเธอ เธอนั่นแหละ ต้องฟังคำสั่งฉัน ไม่ใช่มาคอยสอนคอยสั่งฉันราวกับคุณแม่อธิการ จำไว้นะมิเชลล์ ฉันอาจจะหนีไปกับเขาก็ได้ ถ้าฉันพอใจซะอย่าง”
มิเชลล์นิ่งไปครู่หนึ่ง “ฉันเสียใจจริงๆ แคชฟียา แต่ฉันอยากให้เธอคิดให้ดี เธอจะยอมแลกเกียรติยศของพ่อแม่เธอ อนาคตที่มั่นคงท่านจะวางไว้ให้เธอ กับความรักระหว่างเธอกับโรแบร์ที่ยังเอาแน่ไม่ได้ งานการเขาก็เพิ่งทำ แล้วก็ยังเป็นเด็กพอๆ กับเธอ
แคชฟียาหัวเราะอย่างเยือกเย็น “แม่ชีมิเชลล์ เธอนั่นแหละที่ยังเป็นเด็ก ไม่ประสีประสา แต่ทำมาเป็นอวดฉลาด ถ้าฉันแต่งงานกับโรแบร์ เราจะไปอยู่ปารีสด้วยกัน ฉันจะไม่ต้องมาแคร์กับประเพณีบ้าบออะไรนี่อีกต่อไป”
“แล้วไม่แคร์ โรงเรียนของเรา โครงการของเราด้วยใช่ไหมแคชฟี่” มิเชลล์ถามเสียงแผ่ว
“ก็เธอจะเอาอะไรอีกล่ะ” แคชฟียาทำเสียงหงุดหงิดเต็มที่
มิเชลล์ทวนคำงงๆ “ฉันจะเอาอะไรอีก เธอถามฉันงั้นเหรอ”
“ใช่ ก็ฉันก็ทำดีที่สุดแล้ว ฉันอยากจะเปลี่ยนแปลงค่านิยมเก่าๆ ฉันก็เลยทุ่มทุนจ้างเธอมา แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยนี่ เราสอนมาตั้งนาน นักเรียนก็เรียนไปงั้นๆ เธออย่ามาจริงจังอะไรกับคนอย่างฉันนักเลยมิเชลล์ ฉันก็เหมือนพ่อนั่นแหละ ซื้อเรือยอชท์มาไว้เล่นในทะเล เบื่อก็ปล่อยขึ้นคานขึ้นสนิม พี่ชายฉัน ซื้อโรสรอยซ์มาขับเล่น พอชนเสาไฟเขาก็จอดมันทิ้งไว้ข้างถนนซะอย่างนั้นแหละ พวกเขาใช้เงินกันสุก ฉันก็ต้องมีสิทธิจะใช้จริงมั้ย” มิเชลล์ทำท่าจะพูด แต่แคชฟี่รีบพูดต่อ “แต่เธอไม่ต้องกลัวจะตกงานหรอกนะ ปีหน้า ฉันจะให้เธอทำหน้าที่ผู้ช่วยแผนกติดต่อต่างประเทศ ของบริษัทพ่อฉัน ได้เจอคนฝรั่งเศสเยอะแยะ เธออาจจะแต่งงานไปกับใครซักคนก็ได้นะจ๊ะ”
พูดจบแคชฟียาก็จับแก้มมิเชลล์หยอกๆ ปนเย้ยหยัน หัวเราะสะใจ แล้วออกจากห้อง แต่มิเชลล์ขวางไว้ก่อน
“แคชฟี่ อย่าล้มเลิกความฝันของเธอเลยนะ ได้โปรดเถิดฉันสงสารเด็กๆ ทุกคนอยากเรียนหนังสือมากนะ แคชฟี่”
แคชฟียาฉุน “เอ๊ะประหลาดจริง ฉันไม่อยู่แล้วไม่ได้ยินเหรอ ฉัน...จะ...ไม่...อยู่...แล้ว”
“อย่าไปไหนเลยนะ แคชฟียา อย่าไปเลย อยู่ให้โรงเรียนตั้งได้ก่อนนะ ฉันขอร้องได้โปรดเถิด” มิเชลล์เข้ามาดึงแขนเสื้อแคชฟียา เพราะแคชฟี่จะไป
“จะบ้าเหรอเนี่ย ปล่อย...บอกให้ปล่อยนะ” แคชฟียาผลักมิเชลล์แรงๆ
มิเชลล์ดึงไว้ ขอร้องอ้อนวอนเสียงเครือ “แคชฟี่ ...อยู่เถอะนะ”
แคชฟี่สะบัดเต็มแรง สายตาเกรี้ยวกราด
“รำคาญจริง...ฉันไม่ควรเอาเธอมาด้วย เธอมันน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย เป็นคนโง่เง่า...คิดแต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ปล่อยฉัน...บอกให้ปล่อยนะ ปล่อยเดี่ยวนี้ นี่แน่ะ” แคชฟียาผลักเต็มแรง
มิเชลล์โดนสะบัดไปนั่งกับพื้น แคชฟี่ออกไปปิดประตูดังปังใหญ่ มิเชลล์กัดฟันแน่น น้ำตาไหลพราก
วันรุ่งขึ้น มิเชลล์สอนนักเรียนอยู่ในห้อง นักเรียนตั้งใจเรียนกันเต็มที่ ยิ้มแย้มแจ่มใสมาก แต่มิเชลล์หน้าตาไม่สบายใจเลย มองไปทางหน้าห้องเรื่อยๆ กลัวแคชฟียาเข้ามาอาละวาด นักเรียนเขียนหนังสืออยู่ มิเชลล์นั่งเศร้าใจ หน้าหมอง เหลียวดูประตูตลอดเวลา
นักเรียนห้องแคชฟียามายืนแอบมองที่ประตู จ้องตาแป๋วแหวว มิเชลล์พยักหน้าเรียก ทั้งหมดวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ
เพื่อนๆ นักเรียนห้องนี้ต่างต้อนรับกันเกรียวกราว
ที่ตลาดตอนค่ำๆ ของอีกวัน เหตุการณ์ยังเป็นเช่นเดิม มิเชลล์อยู่กลางถูกสองคนขนาบข้าง
“มีคนมอง..โรแบร์จับมือมิเชลล์ไว้เร็ว ทำเหมือนเป็นคู่รักกัน” แคชฟียาสั่ง
มีเสียงเรียก “แคชฟียา..แคชฟียา” ดังขึ้นจากทางหนึ่ง
แคชฟียาหันไป มีคนโบกมือให้
“ตาย! นั่นน้าสาวของฉัน”
แคชฟียาเดินไปหา โรแบร์จับมือมิเชลล์ พร้อมกับจ้องหน้าอย่างดื่มด่ำ
“ปล่อยเถอะค่ะ” มิเชลล์บอก
“ไม่ได้ มิเชลล์ เราต้องเล่นละครเป็นคู่รักกัน” โรแบร์จับมือมิเชลล์บีบไว้
“อย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ โรแบร์”
“ทำไมล่ะมิเชลล์ แคชฟี่สั่งให้เล่นละครให้แนบเนียน เราต้องทำตามคำสั่งเค้า เค้าเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ”
มิเชลล์หน้าไม่ดีเลย “พอแล้ว อย่าพูดต่อเลย ฉันไม่อยากฟัง”
“ผมก็ไม่อยากพูด เพราะไม่รู้ว่าผมจะเผลอพูดไปหรือเปล่า...”
มิเชลล์มองอย่างพิศวง
“ว่าผมไม่ได้เล่นละคร”
คราวนี้มิเชลล์มีสีหน้าตะลึงมองโรแบร์
“ผมอยากให้แนบเนียนโดยไม่ได้เล่น”
เวลาต่อมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โรแบร์นั่งกินอาหารอยู่กับสองสาว แคชฟียานั่งคลุมผ้า ก้มหน้าท่าทางสงบเสงี่ยม
แคชฟียาสั่ง “โรแบร์ ทำท่าว่ารักกับมิเชลล์..เร็วสิ ฉันรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่”
โรแบร์โอบรอบไหล่มิเชลล์ ก้มลงจูบเคลียคลอ อยู่แถวหน้าผาก สีหน้าโรแบร์จริงจังลึกซึ้ง มิเชลล์หน้าไม่ดี
“โรแบร์...พอ” แคชฟียาเสียงเข้ม
สองสาวกลับเข้าบ้านพร้อมๆ กัน เห็นน้องๆ ของแคชฟียา ดูของขวัญกันอยู่ในห้องโถง แม่แคชฟี่หยิบผ้าผืนสวยดูชื่นชม
“แคชฟียา ออกทุกคืนนะหมู่นี้” พ่อเอ่ยขึ้นเป็นเชิงตำหนิ
“ค่ะ พ่อ มิเชลล์อยากไปค่ะ อ้อนวอนลูกขอไปเที่ยว”
มิเชลล์ จับมือบีบกันอย่างหวาดหวั่น
“งั้นรึ” พ่อจ้องมองมิเชลล์ “มีคู่รักรึ”
มิเชลล์หน้าซีด อึ้งไป
“ว่าไงล่ะ มิเชลล์” ผู้เป็นพ่อเสียงเข้มขึ้น
“ค่ะ” มิเชลล์รับคำเสียงแผ่วเบา
“เราไม่ชอบหรอกนะ แต่เผอิญเธอไม่ใช่คนในปกครองของฉัน ไม่เป็นไร แต่อย่าชักชวนให้แคชฟี่ทำอย่างเธอเป็นอันขาด”
“ค่ะ”
“เราพอจะเข้าใจธรรมเนียมของผู้หญิงตะวันตกอยู่หรอก พวกเธอเรียกอิสระ พวกเราเรียก ส่ำส่อน”
มิเชลล์ฟังแล้วอยากตาย
สองสาวอยู่ในห้องนอนของมิเชลล์
“ไม่ไหวแล้วนะแคชฟี่ ฉันกลัว” มิเชลล์บอก ไม่อยากเล่นละครเป็นแฟนโรแบร์แล้ว
แคชฟียาไม่ยอม
“กลัว จะบ้าเหรอ ถ้าถูกจับได้ใครจะปล่อยให้เธอตายเล่า ฉันก็ต้องช่วยปกป้องเธอสิ”
ที่ตลาดตอนกลางคืนของอีกวัน มีหญิงชาวบ้านถูกผูกประจานอยู่ที่เสา ร่างกายเลอะเทอะ เสื้อผ้าขาดวิ่นผู้คนปาก้อนอิฐใส่ สามคนเดินมาช้าๆ มิเชลล์เห็นก็ตกใจ
แคชฟียาบอก “นังนั่นมีชู้ ใครๆ ก็ถมน้ำลายรดหน้าได้ หรือจะขว้างปาลงโทษจนตายก็ได้”
“จริงหรือ แคชฟียา ที่จริงเขาอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวเขานะ” มิเชลล์ทักท้วง
“เชอะ ทำเป็นคนมีเหตุผล จะอวดใครเหรอมิเชลล์”
มิเชลล์จะตอบโต้ แต่เสียงผู้หญิงร้องกรี๊ดดังมากขัดขึ้นเสียก่อน พร้อมกันนั้นก้อนหินก้อนใหญ่ถูกขว้างเข้าเต็มแรง เลือดที่หัวไหลอาบหน้า
“หยุด...หยุดเถิดนะท่าน เขาเจ็บมากแล้ว” มิเชลล์วิ่งจะออกไปช่วย
โรแบร์ดึงมิเชลล์กลับมาเร็วๆ มิเชลล์หันไปสู้ โรแบร์จึงจำเป็นต้องกอดไว้ แคชฟียาตรงเข้ามา ตอนแรกไม่เห็น พอเห็นแล้วเข้ามากระชากแขนมิเชลล์เต็มแรง จนกระเด็นจากอ้อมกอดโรแบร์ แคชฟี่ผลักมิเชลล์เต็มแรง
มิเชลล์ตกใจ “แคช...เธอเป็นอะไรนี่ ทำไมต้องทำขนาดนี้”
มือคนข้างหนึ่งมีเลือดกรังถูกแขวนอยู่บนเสาหน้าร้านๆ หนึ่ง บางส่วนเริ่มเน่า
“มือไอ้หัวขโมย มันขโมยของในร้าน แน่ๆ เลยถูกตัดมือประจาน”
มิเชลล์ตกใจมากไม่อยากมอง แคชฟียาจับหน้ามิเชลล์บังคับให้มอง พลางหัวเราะเสียงเล็กแหลมบาดใจ
“มอง..มองสิ ใครที่เป็นหัวขโมย ไม่ว่าจะขโมยอะไร”
แคชฟียาจงใจเน้นคำตอนท้าย
“ต้องเป็นอย่างนี้ทุกคน จำไว้”
มิเชลล์แปร่งหู งงมากกับคำพูดประโยคนี้ของแคชฟียา
“แคชฟี่ หมายความว่ายังไง เธอจะบอกอะไรชั้น”
“แล้วแต่จะคิด”
มิเชลล์บอกเสียงเข้ม เบาต่ำ “ฉันว่าไม่ได้หรอกแคช แล้วแต่จะคิดไม่ได้ เธอจะพูดอะไร ขอให้เธอพูดออกมาเลย อย่างนี้ไม่ยุติธรรมกับฉัน”
โรแบร์มองมิเชลล์อย่างเห็นใจมาก
“เธอจะมาหวังความยุติธรรมอะไรในประเทศนี้”
“อย่างน้อยก็ต้องได้จากเธอ ที่เป็นเพื่อนของฉัน มา 10 ปี ที่ทำให้ฉันเดินทางติดตามเธอมาถึงนี่ เพราะอยากทำตามความฝันของเราสองคน”
“ถ้าอยากทำตามความฝันก็หุบปากไว้” แคชฟี่ขึ้นเสียงใส่
โรแบร์ไม่ชอบใจนัก เสียงขุ่นใส่ “แคชฟี่ ทำไมพูดอย่างนั้นกับมิเชลล์”
“โรแบร์ คุณไม่เกี่ยว”
“ผมเกี่ยวในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ รู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก ประเพณีลบล้างเหตุผลไม่ได้หรอกนะแคชฟียา เหตุผลเป็นสากลเสมอ”
แคชฟียาฉุน “โรแบร์ เธอออกรับแทนเค้าเหรอ”
“ไม่ได้อยู่ที่แทนใคร อยู่ที่ผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณคิด”
แคชฟียาจ้องมองหน้าโรแบร์ อารมณ์ตอนนี้ขุ่นมัวมาก
โรแบร์พูดเสียงอ่อนลง “แคชฟี่…คุณเคยเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ นี่ครับ”
แคชฟียาจึงมีสีหน้าดีขึ้น
“ความฝันของคุณสวยงาม สวยงามที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ คุณจะทิ้งมันทำไม”
มิเชลล์มองดูโรแบร์สายตาประทับใจ
“คุณสองคนมีความฝันด้วยกัน เป็นความฝันที่มีผลต่อเด็กเล็กๆ ที่ยากไร้ แคชฟียามีเงิน มิเชลล์มีกำลังกาย กำลังสมอง อย่าล้มเลิกเลยนะแคชฟี่ ได้โปรดเถิดแคชฟียา”
แคชฟียายิ้มหวาน “จริงสินะ...ฉันจะไม่ทำลายความฝันของฉัน...ฉันต้องทำความฝันให้เป็นจริง”
ที่จริงแคชฟียาคิดว่า ความฝันที่หล่อนต้องทำให้เป็นจริงคือแต่งงานกับโรแบร์!
ตกกลางคืนมิเชลล์ฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว กำลังเดินหลงทางมาอย่างหวาดหวั่น กลางทะเลทรายอันร้อนระอุเป็นไอ
มิเชลล์หน้าซีด ปากขาว เหงื่อเต็มหน้า ทันใดนั้นมีมือๆ หนึ่งยื่นขึ้นจากทรายมาจับข้อเท้ามิเชลล์หมับ
มิเชลล์ก้มดู มีมือผุดมาจากทรายเต็มไปหมด มิเชลล์ร้องกรี๊ดๆ แล้ววิ่งหนี จนสะดุดล้มลง มองไปรอบๆ พบว่ามันคือกะโหลก และกระดูกขาวโพลน
ขณะมิเชลล์กรี๊ดๆๆ อยู่นั้น ทันใดแคชฟียาเดินเข้ามาหา ยิ้มอ่อนโยน ผมยาวปลิวไสว
“แคชฟี่ๆ ช่วยฉันด้วย แคชฟี่” มิเชลล์ร้องขอความช่วยเหลือ
แคชฟียาก้มลงมา ยื่นมือมาหา มิเชลล์รีบคว้าแขนแคชฟียาฉุดดึงตัวเองจะลุกขึ้น แคชฟี่สะบัดแล้วหัวเราะหยันเสียงแหลมบาดใจ พร้อมกับจับตัวมิเชลล์ผลักให้ไปหามือเหล่านั้นอย่างรุนแรง
มิเชลล์ตกใจ “แคชฟี่..ทำไม ทำไมทำฉันอย่างนี้ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” มิเชลล์ลนลานวิ่งกลับไปกลับมา พยายามพยุงตัวไม่ให้ล้ม “อย่า..ช่วยด้วย”
มิเชลล์มองไป เห็นร่างชารีฟภายใต้ผ้าคลุมสีดำยืนอยู่ มิเชลล์ร้องหา พลางยื่นมือไปวิงวอน ชารีฟลอยวูบเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วรับมือมิเชลล์ดึงเต็มแรง มิเชลล์ลอยเข้าไปในอ้อมอกชารีฟ ทว่าโรแบร์มาจากไหนไม่รู้ คว้าข้อมือมิเชลล์ลอยออกไปจากชารีฟ ชารีฟวูบไปคว้ามิเชลล์ หลุดไปจากโรแบร์
สุดท้ายมิเชลล์ตกโครมลงไปบนหัวกะโหลกทั้งปวง ร้องกรี๊ดสุดเสียง
มิเชลล์ดิ้นรนกระสับกระส่ายไปมาในความมืดสลัวบนเตียง แล้วทันใดก็ผุดกระเด้งลุกแล้วตื่นขึ้น หอบไปมา เหงื่อเต็มหน้า กวาดตามองไปรอบๆ พบว่าภายในห้องทุกอย่างสงบเงียบเป็นปกติ
มิเชลล์กุมอกตัวเอง ค่อยๆ หลับตา ผ่อนลมหายใจยาวๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างมีสติ เสียงคนอาหรับสวดมนต์ดังแว่วๆ มาไกลๆ ภาพชารีฟในฝันแวบเข้ามา
“คุณเป็นใคร...ทำไมถึงมาเฉพาะในฝัน…ครั้งนี้ทำไมคุณไม่ช่วยฉัน คุณไปไหน”
มิเชลล์สะท้อนในอก รำพึงรำพันออกมา
อ่านต่อตอนที่ 2