ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2
เช้าวันนั้น แลเห็นขบวนรถเสด็จขององค์อาหเม็ด เจ้าผู้ครองนครฮิลฟารา เมืองกลางทะเลทรายแห่งนี้ แล่นมาที่ถนนหน้าวัง โดยมีรถมอเตอร์ไซค์นำขบวน รถพระที่นั่งแล่นมา มีรถตามมาเป็นขบวน รถพระที่นั่งจอดหน้าวัง รถขบวนจอดตาม พวกทหารใหญ่รอรับเสด็จอยู่
รถทหารมหาดเล็กองครักษ์ที่ตามรถขบวนเสด็จจอดลงอย่างเร็ว ทุกคนลงมาจากมารถอย่างว่องไว เพื่อคอยรับเสด็จ องค์อาหเม็ดดำเนินลงจากรถ ทหารทำความเคารพ พันเอกชารีฟอยู่ด้วย องค์อาหเม็ดทักทายผู้คน 2-3 คน แล้วเสด็จขึ้นตำหนัก
ชารีฟ และบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ตามเสด็จ
ห้องโถงอันใหญ่โตกว้างขวางว่างเปล่า ก่อนจะมีเสียงทหารตบเท้ากันเข้ามาพรึ่บพรับพร้อมเพรียง ทหารเดินเข้าเป็นระเบียบ แล้วมายืนตรงเป็นแถว
องค์อาหเม็ดดำเนินออก แต่งตัวเต็มยศเหมือนไปงานใหญ่ ชารีฟตามมาใกล้ๆ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคนเดินตามมาห่างๆ
องค์อาหเม็ดเดินมาอย่างงามสง่า สมเป็นฉากเปิดตัว เดินผ่านทหารทำความเคารพเป็นลำดับไป
สักครู่องค์อาหเม็ดหยุด สีหน้าครุ่นคิด หันองค์ไปมองชารีฟสบตากันแรงๆ ชารีฟเดินเข้ามาจนใกล้ ทำความเคารพ
“พระเจ้าค่ะ”
อาหเม็ดตรัสเสียงเบา นัยต์ตามองไปทางอื่น เหมือนพูดเรื่องไม่สำคัญ “ไม่เห็นโอมาน”
ชารีฟทูลตอบสีหน้าเป็นนัย “พระเจ้าค่ะ”
องค์อาหเม็ดสบตากับชารีฟอีกครั้ง สายตาบอกซึ่งกันและกันว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น สักครู่องค์อาหเม็ดเปลี่ยนเสียงให้เป็นปกติแกมร่าเริง “ตามมาชารีฟ เราอยากรู้เรื่องนางคนสวยที่เกซาห์”
ชารีฟซาลามต่ำ องค์อาหเม็ดดำเนินต่อไป ชารีฟตามเสด็จ
ไม่นานต่อมา ชารีฟนั่งหันหลังให้องค์อาหเม็ดซึ่งประทับนิ่งอยู่ภายในห้องทรงสำราญ สักครู่องค์อาหเม็ดหันมาหาตรัสถาม
“ชารีฟเห็นตัวนางแล้วรึ”
“เห็นแล้วพระเจ้าค่ะ นางสวยการศึกษาดี ฐานะดีมากพระเจ้าค่ะ”
อาหเม็ดพอพระทัย
“ลูกใคร”
“นางเป็นลูกสาวเศรษฐีแห่งเมืองเกซาห์พระเจ้าค่ะ”
“นางทำอะไร”
“นางจบมาจากปารีส ตั้งโรงเรียนสอนภาษาฝรั่งเศสในบ้าน”
“อา...นางมีจิตใจดีอย่างนั้น เรา...อาหเม็ดก็ปรารถนาในตัวนางเป็นอย่างยิ่ง นางตั้งโรงเรียน...สอนคนเดียวหรือ”
“นางมี...เอ้อ...ครูคนอื่น” ชารีฟกราบทูล
“ครู...คนบ้านเจ้ารึ ภาษาฝรั่งเศสเรียนจนสอนได้ นี่ไม่ใช่เรียนมาน้อยๆ นะ หรือว่าไงชารีฟ”
“พระเจ้าค่ะ!”
อาหเม็ดตรัสต่อ “จะว่ายังไงก็ตาม เจ้ามีหน้าที่จัดการให้เราได้ลูกสาวเศรษฐีเกซาห์นั้น”
“พระเจ้าค่ะ” ชารีฟน้อมรับสั่ง
“ตกลงนางสอนกับใคร ใครช่วยนาง”
“มีเพื่อนชาวฝรั่งเศสมาช่วยคนนึง พระเจ้าค่ะ” ชารีฟทูล
“เจ้าเคยเห็นมั้ย”
“เคยเห็นพระเจ้าค่ะ” ชารีฟทูล
“สวยมั้ย” อาหะเม็ดถามทันควัน
ชารีฟกำลังจะตอบ “ก็...”
“ไม่เป็นไร คนนี้ก่อน ลูกสาวเศรษฐีแห่งเกซาห์เสียก่อน” อาหเม็ดตรัสตัดบท
วันรุ่งขึ้น มีข้าราชการและเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มาจากองค์อาหเม็ด 2 คน มาพบท่านเศรษฐีที่คฤหาสน์ พ่อ และ แม่แคชฟียาให้การต้อนรับอยู่ที่ห้องโถงบ้าน มีคนรับใช้หญิงคอยดูแล อย่างนอบน้อม
ทั้งหมดนั่งเจรจา เจ้านาย 2 คน มาจากวัง เพื่อมาสู่ขอแคชฟียาให้องค์อาหเม็ดนั่นเอง การเจรจาเป็นไปด้วยดี พ่อ กับแม่ แคชฟียา มีกิริยาท่าทางอ่อนน้อมมาก
“อีก 3 วันจะคอยคำตอบว่าท่านจะยกลูกสาวให้ตามที่มีพระประสงค์หรือไม่” เจ้านายคนแรกสรุป
เจ้านายอีกคนเสริม “องค์อาหเม็ดพระทัยร้อน ไม่อยากคอยนาน”
ไม่นานต่อมา ที่อีกบริเวณหนึ่งในบ้าน พวกน้องผู้ชายเล่น คุยกันเสียงดัง น้องผู้หญิงดูเล่นตุ๊กตาสวยๆ กันไป ท่านเศรษฐีผู้พ่อ นั่งนิ่งอยู่
จู่ๆ เสียงแหลมสูงของแคชฟียาก็แหวขึ้นมา
“อะไรนะแม่ สู่ขอลูก...สู่ขอลูก เรื่องตลกหรือเปล่า”
แม่สะดุ้งตกใจถอยออกไปไกล เรียกหาพ่อทันที “ท่านพี่”
“เป็นหน้าที่มารดา ที่จะกล่อมเกลาลูกสาว” ท่านเศรษฐีลุกออกไปทันที
แม่นั่งคุยกับลูกสาวต่ออีกหลายคำ แคชฟียาโต้ทุกประโยค
จนสุดท้ายแม่บอก “แม่ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของครอบครัว ถ้าลูกตกลง เป็นสนมขององค์อาหเม็ด ลูกจะมีลูกถึง 6 คน ตามคำทำนาย”
แคชฟียาทำหน้าสยดสยองมาก พึมพำงึมงำ “ลูก 6 คน”
“ลูกจะได้เป็นราชินีแน่นอน”
แคชฟียาลุกเนือยๆ หันมาทางแม่ นัยน์ตาสวยคมวาววับขณะตอบ
“ลูกไม่ตกลง ไม่มีวันตกลงเป็นนกอยู่ในกรงทอง”
ท้องฟ้ายามเช้า พระอาทิตย์ส่องแสงสีทองสวยงามอย่างที่มิเชลล์ไม่เคยเห็นมาก่อน เวลาผ่านไป มิเชลล์เริ่มภารกิจเช้านี้ กำลังสอนเด็กๆ อยู่ แคชฟียามาหาถึงในห้องเรียน
“มิเชลล์วันนี้พอแล้ว ไม่ต้องสอนต่อ”
“ไม่ได้ แคชฟี่ ยังไม่หมดเวลา”
“พอ...” แคชฟียาตบมือไล่ “ไปให้หมด เลิกเรียนแล้ว” เด็กนักเรียนงง แคชฟี่ไล่ช้ำ “บอกให้ไป”
คราวนี้เด็กๆ วิ่งกรูออกไปเสียงเกรียวกราว
“แคชฟี่ ทำไม...” มิเชลล์ตกใจมาก
“มิเชลล์ ไปเตรียมตัว ฉันต้องพบโรแบร์ให้ได้”
แคชฟียาบอกอย่างหมายมาด
ไม่นานต่อมา แคชฟียากับมิเชลล์ ก้าวลงจากรถช้าๆ นุ่มนวล แคชฟียากวาดสายตามองหาโรแบร์จนเจออยู่ตรงมุมหนึ่งของตลาด
“อยู่นั่น มิเชลล์โบกมือเร็ว โบกมือให้มานี่”
มิเชลล์หน้างงๆ แต่ก็พยายามโบกด้วยท่าทีน่าขัน
“แคชฟียา แคชฟียา” เสียงคนเรียกซะเสียงดัง
แคชฟียากำลังจะเดินไปหาโรแบร์ ต้องชะงัก หน้าบึ้งทันที
“พวกบ้านทางใต้ เบื่อจริง”
แคชฟียาเดินไปหาญาติบ้านใต้ที่เรียกเสียงดัง มิเชลล์เดินห่างออกไปหาโรแบร์
สองคนอยู่ด้วยกันในอีกมุมหนึ่ง โรแบร์เอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณจะเมตตา ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
“เรื่องอะไรคะ” มิเชลล์ยังยิ้มแย้มอยู่
“ผม..ผมเพิ่งรู้ตัว ว่าผมคิดผิดที่มาหลงแคชฟี่”
มิเชลล์ตกใจ “โอ...โรแบร์”
“ผมเบื่อความยุ่งยาก การลักลอบพบปะ เบื่ออุปสรรคเรื่องประเพณี แคชฟี่กับผม เราแตกต่างกันมาก”
“แต่คุณ...ก็รักแคชฟี่มากนี่คะ”
“ใช่ แต่ ตอนนี้ ความรักมันหมดไปแล้ว”
“อะไรกัน…โรแบร์” มิเชลล์ทั้งตกใจแลผิดหวัง มองมาอย่างตำหนิ “กะแค่อุปสรรค์แค่นี้ ก็ทำให้ความรักของคุณหมดไปได้เหรอคะ แคชฟี่รักคุณมากนะคะ”
โรแบร์พูดด้วยท่าทางจริงจังมาก
“ตอนที่ผมรักแคชฟี่ผมก็รัก แต่ขณะนี้ผมรักคนอื่น ผมก็รักคนอื่น”
“คุณ...คุณรักคนอื่นแล้ว แล้วคุณมาทำอะไรที่ประเทศนี้ เรากำลังจะทำงานเพื่อส่วนรวมด้วยกัน แต่คุณก็มาทำให้โครงการของเราพังทลายหมด พอตอนนี้แคชฟี่มีความหวังว่าจะแต่งงานกับคุณ แล้วจู่ๆ คุณก็มาบอกว่า คุณมีคนอื่น บ้าที่สุด”
“ใช่ มันบ้า…แต่ผมต้องบอกคุณว่า ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร…” โรแบร์จ้องมิเชลล์เขม็ง
“ฉันไม่ต้องการรู้ คุณพูดกับแคชฟี่เองก็แล้วกัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกแล้ว” มิเชลล์เดินหนี
โรแบร์เดินตาม เรียก “มิเชลล์ มิเชลล์”
มิเชลล์มองหาแคชฟียาโรแบร์วิ่งมาจนทันถึงตัว
“มิเชลล์ คุณต้องรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
มิเชลล์ฉุนมากขึ้น “เอ๊ะ โรแบร์ หน้าไม่อายเที่ยวประจานความผิดตัวเองให้คนอื่นฟัง”
“คุณไม่ใช่คนอื่น…คุณคือผู้หญิงคนนั้น” โรแบร์บอก
มิเชลล์ตกตะลึง ยืนตัวแข็งเป็นหิน
“มิเชลล์ มันนานพอดูนะ กว่าที่ผมจะรู้ว่า ความคิดที่ตรงกันเป็นเชือกเส้นใหญ่ที่จะผูกมัดคนให้รักกัน ไม่ใช่ความสนุก ไม่ใช่การไปเที่ยวด้วยกัน ไม่ใช่สัมผัสซึ่งกันและกัน มันแค่นี้” โรแบร์ชี้ที่หัวใจตัวเอง
มิเชลล์นิ่งอึ้ง ใจสับสนหนัก
“ผมชื่นชมในความคิดของคุณ ความมุ่งมั่นของคุณ คุณเป็นผู้หญิงที่มีค่า”
มิเชลล์เริ่มได้สติและเตือนสติโรแบร์บ้าง“แล้วแคชฟี่ล่ะ คุณจะเอาแคชฟี่ไปไว้ที่ไหน คุณจะบอกเธอยังไง”
“คุณก็รู้…ว่าผมกับแคชฟี่เข้ากันไม่ได้ เมื่อแคชฟี่อยู่ปารีส เธอน่ารัก แต่อยู่ที่นี่ เธอเจ้าอารมณ์ ชอบใช้อำนาจ ผมต้องการภรรยาที่มีความคิดว่าสามีภรรยาต้องเท่ากัน”
มิเชลล์ยืนอึ้ง คิดตาม เห็นใจโรแบร์
โรแบร์แตะมือมิเชลล์เบาๆ สุภาพ มองหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน มิเชลล์ลืมตัวปล่อยให้โรแบร์จับค้างไว้อย่างนั้น
สองคนไม่รู้ว่า แคชฟียายืนนิ่งอยู่ในเงามืด ห่างไปราว 2 เมตร จดสายตาจ้องมองมาด้วยนัยน์ตาคมกริบ
ไม่นานหลังจากนั้นแคชฟี่เดินกรุยกรายมาจนถึงในห้องโถงที่ตั้งถาดแก้ว แจกันแก้ว เครื่องแก้วเจียระไนจากยุโรปสีสวยงาม ซึ่งล้วนเป็นของเก่าแอนทีค แล้วมาหยุดยืนนิ่งร้าวรานใจ ใบหน้าสวยเฉี่ยวค่อยๆ ฉายความโศกเศร้าเสียใจสุดซึ้งออกมา
ทันใดนั้นแคชฟียาก็ระเบิดความรู้สึกอันรุนแรง กวาดเอาชุดเครื่องแก้วทั้งชุดลงจากโต๊ะ กระเด็นตกแตกดังเพล้งกระจัดกระจาย แคชฟี่ยืนจังก้าแค้นจัด
ติเยาะมาโผล่เห็นพอดี ตกใจร้องว๊ายเบาๆ แล้วรีบเอามือปิดปาก
แคชฟียาด้ยินเหลียวขวับมา “มีอะไร นังติเยาะ”
“คุณแม่คุณ ให้...ให้ มาตามคุณ ไปพบคะ” ติเยาะอึกอักลนลานจัด
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ” แคชฟียายิ้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะเดินเชิดออกไป
ติเยาะอกสั่นขวัญแขวน แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปเก็บกวาดแก้ว
วันแล้ววันเล่า โรแบร์ตั้งตาคอยอยู่ที่ตลาด คอยๆๆ ท่าทางสลดลงทุกที
จนวันนี้ สองสาวยืนพูดกันอยู่ที่ประตูซึ่งเปิดอ้าอยู่ ลักษณะมิเชลล์ถูกแคชฟียาผลักออกมา
“ฉันไม่ไป”
มิเชลล์ยืนกรานหนักแน่น
แคชฟียาเข่นเขี้ยวอารมณ์ขึ้นมาเป็นริ้วๆ ทีละน้อยๆ กลายเป็นแค้นจัด มิเชลล์จะปิดประตู แคชฟียาผลักออกเต็มแรง
“ไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
“ฉันบอกให้ไป” แคลฟียาผลักเต็มแรง
มิเชลล์ย้ำคำเดิม “ไม่”
แคชฟียานัยน์ตาลุกวาว “แกเป็นลูกจ้างฉันนะ”
มิเชลล์ตกตะลึง “แคชฟี่”
ไม่เท่านั้นแคชฟียาเข้ามาตบตีดึงทึ้งอย่างรุนแรง “ไป...ไปเดี๋ยวนี้ บอกให้ไปกับฉัน”
“แคชฟี่ เธอบังคับฉันไม่ได้ ฉันไม่มีวันไป”
มิเชลล์จับตัวแคชฟี่ลุ้นให้ออกไปจากห้องด้วยกำลังแรง ปิดประตู
แคชฟียาเดินมาจากข้างบน หน้าตาขุ่นมัวมาก ตั้งใจจะออกมาหน้าบ้าน แต่ใจนึกว่าจะออกไปได้ยังไง เดินไปเดินมาคิดหาทาง พวกคนใช้สาวๆ เดินมา ทำความเคารพ แคชฟี่ไม่สน
สักครู่ แคชฟียาจะเดินเข้าตึก เห็นเด็กชายอาหมัด ลูกชายคนงาน 1 ในนักเรียนของมิเชลล์ มายืนชะเง้อเมียงมอง มือถือจดหมาย
“อาหมัด…จะหาใคร”
พออาหมัดเห็นแคชฟียา หันหลังกลับ วิ่งหนีรีบเอาจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง
เสียงดุดันกราดเกรี้ยวของแคชฟียาดังตามหลังมา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ มานี่”
แคชฟี่ลากอาหมัดมาตีหลายทีที่แขน
“มีอะไรปิดบัง บอกมา”
อาหมัดส่ายหน้าร้องไห้เสียงดัง
แคชฟียาตบไปอีก 2 ที “เจ้าปิดบังอะไรบอกมา” เห็นเด็กชายเงียบ แคชฟี่ยิ่งบันดาลโทสะตบอีกอีกเปรี้ยง ค้นตามตัวแล้วหยิบจดหมายจากกระเป๋ากางเกงอาหมัดออกมา
“ใคร...ใครให้เอามาให้ใคร”
อีกสักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ขณะมิเชลล์กำลังเล่นพิณอยู่ในห้องพัก หล่อนรีบลุกไปเปิดให้ เห็นอาหมัดในสภาพหน้าตาเลอะเทอะน้ำตามีเลือดกำเดา มอมแมม ยืนกลัวๆอยู่
“อาหมัด เป็นอะไรเนี่ยอาหมัด ใครทำ” มิเชลล์ตกใจมาก
อาหมัดยัดจดหมายใส่มือมิเชลล์แล้วรีบไป สภาพจดหมายยู่ยี่มาก มิเชลล์เปิดจดหมายออกอ่านทันที
“ผมคอยคุณอยู่ มิเชลล์ มีเรื่องสำคัญมาก ถ้าคุณไม่ออกมาพบ ผมจะบุกเข้าไปถึงในบ้านแคชฟี่ มาพบผมที่โรงแรม...”
ไม่นานต่อมา มิเชลล์ก้าวเท้ารีบเร่ง ลงบันไดหน้าคฤหาสน์มา มิเชลล์อยู่ในชุดกระโปรงขาวดูงามเก๋ ถือกระเป๋าขาว มีหมวกขาวผูกโบว์ชมพูสวมอยู่ยิ่งดูงดงาม เธอรีบเร่งก้าวไปที่ประตูบ้าน
แคชฟียาซุ่มดูอยู่ที่ระเบียงชั้นบน โผล่หน้ามามองอย่างเคืองแค้น มองมิเชลล์ที่รีบร้อนออกประตูไปแคชฟียามองตามด้วยน้ำตาคลอ แล้วถอยพ้นไปจากตรงนั้น
“มันร่วมมือกันทรยศฉัน มันสองคนลืมแล้วว่าหัวขโมยของในร้านยังถูกตัดมือประจาน นี่มิเชลล์ แกขโมยหัวใจของฉันทั้งดวง ต้องแลกด้วยอะไร”
แคชฟียาคำรามในลำคอ
ติเยาะกำลังเช็ดเลือดกำเดาให้ลูกอยู่ตรงมุมหนึ่งบริเวณหลังคฤหาสน์ ท่าทางร้อนใจ เป็นทุกข์มาก
“บอกแม่สิ…บอกแม่....ใครทำลูก...หา อาหมัด ใครทำลูก
เด็กชายเอาแต่ส่ายหน้าร้องไห้ ติเยาะทายาให้ลูก
“ตรงนี้ก็เขียวไปหมด แกซุกซนไปชกกับใครมาหาอาหมัด”
จังหวะนี้ แคชฟียาก้าวเข้ามา อาหมัดเห็น ขยับถอยแอบหลังแม่ หน้าตากลัวจัด
แคชฟียาทำเป็นยิ้มหวาน “เป็นไง...อาหมัด...แกเจ็บมากไหม”
อาหมัดไม่ตอบ โผซุกอกแม่แน่น
“อย่าบอกใครนะ ถ้าแกปากสว่างจะโดนหนักยิ่งกว่านี้ จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้แล้วเอาเกลือทาด้วย”
“ทำไมต้องทารุณด้วยล่ะ” ติเยาะซาลาม “ขอทีเถิด”
“หยุดปากโสมมของเจ้า นังติเยาะ”
“ลูกฉันเจ็บหนักนะเจ้าค่ะ”
“ดูในกระเป๋าของลูกแกอีกที”
ติเยาะหยุด หยิบเงินในกระเป๋าอาหมัดออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ทำหน้าอย่างนั้น หมายความว่ายังไง ไม่พอใจรึ” แคชฟียาจ้องหน้า
“ความเจ็บปวด ของลูกฉันไม่ขายเป็นเงินนะคะ คุณซื้อไม่ได้หรอก” ติเยาะวางเงินคืน ใบหน้าขมขื่นเสียใจ ทำท่าจะร้องไห้
แคชฟียาจ้องนิ่งอยู่สักครู่ แล้วฉวยเงินไป “จองหอง จนแล้วยังจองหอง อดตายเมื่อไหร่ถึงจะรู้”
แคชฟี่ไปแล้ว ติเยาะกอดอาหมัด ร้องไห้โฮๆ
ขณะเดียวกันที่ห้องอาหารในโรงแรมหรู มิเชลล์เจอโรแบร์แล้ว สองคนนั่งที่โต๊ะตรงมุมหนึ่ง มิเชลล์ตัดสินใจบอกเขาไปตามตรง
“โรแบร์ ฉันไม่ได้รักคุณ”
โรแบร์ผงะ ตกตะลึง
มิเชลล์บอกสำทับอย่างจริงจัง “ฉันยังไม่อยากมีพันธะค่ะโรแบร์ อย่าโกรธฉันเลย ฉันรู้ว่าคุณมีความตั้งใจจริง แต่ฉันยังพอใจกับชีวิตอิสระ ลืมฉันดีกว่าค่ะ โรแบร์”
“มิเชลล์” โรแบร์คราง จับมือหญิงสาว จดสายตาจ้องหน้าอยู่อย่างนั้น “ทั้งๆ ที่ผมกับคุณนั้นเหมือนกัน เราจะอยู่มีความสุข”
“เราจะไม่พบกันอีกนะคะ โรแบร์ ฉันจะนึกถึงคุณ ในฐานะของเพื่อนที่ดีคนนึง” มิเชลล์บีบมือตอบปลอบใจ
โรแบร์พยายามสบตาเว้าวอน
ทันใดนั้น ที่ประตูห้องอาหาร คณะของพันเอกชารีฟก้าวเข้ามา ชารีฟนำตามด้วยการิม และพวกนายร้อยในชุดทหารเต็มยศเดินพรึ่บพรับเข้ามาดูสง่างามและน่าเกรงขามมาก
ชารีฟสอดส่ายสายตาหาคนที่นัดแล้วชะงัก เมื่อสายตาไปประสบภาพมิเชลล์นั่งสบตาซึ้งเว้าวอนอยู่กับโรแบร์
ชารีฟชะงัก มองดูเฉพาะมิเชลล์ด้วยแววตาคมกล้า จังหวะเดียวกันมิเชลล์เองเมินจากโรแบร์ เงยหน้าขึ้น เจอสายตาชารีฟพอดิบพอดี มิเชลล์ชะงัก เธอพบว่าชารีฟมองมาอย่างเขม็งและเปิดเผย ดวงตาคมวาวดูดุเข้ม
ใบหน้าชารีฟในความฝันผุดขึ้นมาทันควัน
มิเชลล์ตกใจมากว่าเขาช่างเหมือนชายหนุ่มในความฝันอะไรอย่างนี้ เธอลุกขึ้นยืนพรวด
โรแบร์ตกใจถามว่า “เป็นอะไร” มิเชลล์ได้สติข่มใจนั่งลงอย่างเดิม
ชารีฟมองมิเชลล์อยู่อีกอึดใจ แล้วเดินต่อไปอีกมุมหนึ่งของร้าน ลูกน้องตามไปเป็นพรวน พวกบริกรวิ่งโค้งขวักไขว่
มิเชลล์ค่อยๆ หันไปมองอีก แล้วสะดุ้งวาบ เห็นชารีฟนั่งลง ปากพูดอะไรกับลูกน้องเบาๆ แต่ตาจ้องเขม็งมาที่มิเชลล์ จนมิเชลล์รีบหันหน้ากลับมา หน้าแดง มือสั่น จับแก้วน้ำสั่นๆ จนต้องรีบวางลง
“ใครคะโรแบร์ ผู้ชายคนนั้น”
“ราชองครักษ์ของกษัตริย์อาหเหม็ด” คำต่อมาโรแบร์บอกเบาๆ “เป็นที่ไว้ใจของพระองค์ที่สุดชื่อนายแพทย์พันเอกชารีฟ”
มิเชลล์ตะลึง “ทำไม…โอ...ทำไม”
ภาพความฝันทุกครั้งทุกคืน ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
โรแบร์ฉงน “ทำไม…อะไรหรือ”
“เปล่า…ไม่…ไม่มีอะไร ฉันอยากกลับ ป่านนี้แคชฟี่อาจถามถึงฉันอยู่ก็ได้” มิเชลล์เสียงแผ่ว
โรแบร์มองงงๆ ชารีฟจ้องมิเชลล์เขม็ง
“ขอบคุณสำหรับอาหารกลางวันค่ะ โรแบร์”
โรแบร์สายตาละห้อย “ผมคงอยู่ที่นี่สักพัก แล้วจะย้ายไปอยู่อัฟริกาเหนือกับคุณอาอีกคน”
“ถ้ามีโอกาส ฉันอาจจะไปเยี่ยมคุณค่ะ ถึงตอนนั้นคุณอาจจะมีลูกหลายคนแล้วก็ได้” มิเชลล์บอก
“ขอบคุณ มิเชลล์ คุณพูดได้ตรงมาก” โรแบร์ยิ้มบางๆ
“ฉันไม่ชอบหลอกใครค่ะ ทั้งคนอื่นๆ และหลอกตัวเองด้วย”
“คุณคิดจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตหรือไง” โรแบร์ถามเสียงนุ่ม
มิเชลล์ยิ้มสงบ “ฉันอาจจะกลับไปบวชชีที่คอนแวนต์ค่ะ”
โรแบร์นั่งมองมิเชลล์ นัยน์ตาปวดร้าวเหลือแสน พยายามระงับอารมณ์
“ผมจะไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตได้พบผู้หญิงที่งามทั้งกายทั้งใจ ผมขอให้คุณพบกับคนที่รักคุณอย่างแท้จริง คนที่ทำให้คุณรักเขา คนที่จะคุ้มครองให้คุณมีความสุขตลอดไป” น้ำเสียงโรแบร์สั่นสะท้านขณะพูดคำต่อมา “ผมจะไม่ลืมคุณเลย มิเชลล์”
มิเชลล์จิตใจอ่อนไหวขึ้นมา ให้นึกสงสาร จึงแตะมือโรแบร์ที่วางบนโต๊ะเบาๆ เชิงปลอบประโลม
ทันใดนั้นเอง ชารีฟเดินนำคณะออกมาจากภายใน และต้องชะงักที่เห็นมิเชลล์กับโรแบร์จับมือกัน และมองจ้องอีกเขม็ง
ส่วนมิเชลล์เงยหน้าขึ้น เจอสายตาชารีฟที่จ้องเขม็ง ถึงกับชะงัก
อ่านต่อหน้า 2
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2 (ต่อ)
สายตาคมเข้มของชารีฟที่จ้องมองมา ทำให้มิเชลล์ใจสั่นสะท้าน เอามือออกจากมือโรแบร์ทันที ชารีฟยังคงจ้องด้วยสายตาคมเข้ม แล้วเดินผ่านโต๊ะของมิเชลล์ในระยะใกล้มาก
ขณะชารีฟผ่านตัวมิเชลล์นั้น เกิดมีลมแรงพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ผ้าคลุมสีดำของชารีฟ โบกสะบัดละผ่านมือของมิเชลล์ที่จับอยู่บนพนักเก้าอี้ เป็นสัมผัสเบาๆ บางๆ ในกันและกันโดยที่มิเชลล์นั่งตัวแข็งทื่อ
แล้วชารีฟก็ผ่านไป พร้อมการิม และคณะ
ไม่นานต่อมา โรแบร์กับมิเชลล์ ยืนร่ำลากันที่หน้าร้าน สองคนจับมือกันท่าทีใกล้ชิดอีกนิดหน่อย เฉพาะโรแบร์จับมือมิเชล์ มองหน้าอย่างซาบซึ้งเปิดเผย ส่วนมิเชลล์ได้แต่สงสาร ทอดยิ้มปลอบใจ
จังหวะนี้รถยนต์สีดำคันใหญ่แล่นผ่านไปช้าๆ มิเชลล์หันไปดูสบตาชารีฟที่นั่งอยู่ด้านหลัง ชารีฟหน้าเฉยเป็นหน้ากาก
มิเชลล์กลับถึงบ้านแคชฟียา เห็นติเยาะกวาดพื้นอยู่ จึงร้องเรียก
“ติเยาะ”
ติเยาะหันมามอง แล้วเดินหนี มิเชลล์เดินตามไปจนทัน
“อาหมัดเป็นยังไงบ้าง เลือดเขาออกมากนะที่จมูกน่ะ เขาไปต่อยกับใครมา”
ติเยาะเงียบก้มหน้า น้ำตาหยดเป็นสาย
“ใครต่อยเขาใช่มั้ย” มิเชลล์ถามซ้ำ
“ไม่มีใครต่อยมันนายหญิง” ติเยาะตอบแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ
“ถ้าอย่างนั้น เขาเคยมีเลือดออกทางจมูกบ่อยๆ หรือเปล่า”
“เปล่า”
“แล้วใครทำอะไรเขาล่ะจ๊ะ” มิเชลล์ฉงน อยากรู้มาก
ติเยาะ เอามือประสานกันแน่นยิ่งขึ้นขณะบอก “ลูกสาวของท่านผู้หญิง”
มิเชลล์ไม่เชื่อ “แคชฟี่รึ ไม่จริงหรอก”
“จ้ะนายหญิง ลูกชายของฉันเป็นคนรับจดหมายมาให้นายหญิง ลูกสาวท่านพบเข้าขอดู มันไม่ยอมให้ เพราะนายฝรั่งไม่ได้ฝากให้ท่าน คุณแคชฟียาก็เลยตบมันหลายที”
ติเยาะเล่าจนเห็นภาพเป็นฉาก ตั้งแต่แคชฟียาตีอาหมัด มือแย่งจดหมายของโรแบร์ ปากก็พูดว่า
“เอามานี่...บอกให้ส่งมา”
อาหมัดไม่ยอมบอก “นายฝรั่งให้นายหญิงคนสวย”
แคชฟี่ฟาดโครมเข้าไปที่หน้า จมูกเด็กชายเลือดไหลทันที แคชฟียาฉวยจดหมายมาอ่าน ก่อนจะคืนให้
เสียงของแคชฟียาเรียก “มิเชลล์” ดังขัดขึ้น มิเชลล์สะดุ้งหันไปหา
“เพิ่งกลับหรือมิเชลล์”
“ใช่”
“บอกฉันได้ไหมว่าไปไหนมา”
“เธอก็รู้แล้วนี่” มิเชลล์บอกเสียงเรียบ
แคชฟียาตาวาววับ “ใครบอกเธอ นังปากดีนั้นนะซี”
“ฉันเห็นเด็กถูกทำร้ายจนเลือดกำเดาไหลจึงถามเขา” มิเชลล์บอก
แคชฟียาตะโกนเรียกสาวใช้ชราเสียงดัง “ฮาน่า...”
ไม่มีใครตอบ แคชฟี่ฉุนเดินไปกดกริ่ง เสียงดังกังวานก้องทั่วคฤหาสน์
ฮาน่า พี่เลี้ยงเก่าแก่เดินงกๆ เงิ่นๆ ออกมา
“ฮาน่า บอกนางแม่ลูกสองคนนั่น ให้มันเก็บของและไสหัวออกไปจากบ้านของฉัน ภายในวันนี้ก่อนตะวันตกดิน อย่าให้ฉันเห็นมันแม่ลูกอีกต่อไป”
“นายหญิง” ฮาน่าพึมพำ ด้วยความตกใจ
“มีอะไรอีก” แคชฟีย่ามองเป็นเชิงถาม
“สองคนแม่ลูกน่าสงสารที่สุด มันเป็นหม้าย ผัวตายบนเกาะกลางทะเลเพราะป่วยเป็นฝีดาษ เขาก็เลยจับผัวมันไปขังที่เกาะนั่น อาเหม็ดยังไม่คลอดเลย นายหญิงก็มีเมตตาเลี้ยงดูมาแล้ว มันทำผิดอะไรหรือจึงไล่มัน มันไม่มีใครที่ไหน อีกแล้วนะคะ” ฮาน่าพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ทำตามที่สั่ง ถ้ายังไม่อยากไปอีกคน” แคชฟียาบอกเสียงขุ่น
มิเชลล์หน้าไม่ดีเอาเลย มองสบตาแคชฟียา แต่แคชฟี่ยักไหล่แล้วเดินจากไป
ครู่ต่อมา ฮาน่านั่งคอตกหน้ากระท่อมคนใช้หลังหนึ่ง มิเชลล์เดินเข้าไปใกล้ๆ ติเยาะกอดลูกชายไว้กับอก น้ำตาไหลเป็นทางยาวอาบแก้ม ห่อผ้าสีขาวมอๆ มัดรวมกับของใช้กระจุกกระจิกอันมีกาน้ำทองเหลืองจับรอยคราบเขียวใบหนึ่งและกระทะเหล็กเก่าๆ สีดำสนิทรอยเป็นพวงวางข้างตัว
นางเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นมิเชลล์ รั้งลูกเข้ามากอด ชักชายผ้าคลุมสีดำปิดหน้า เสียงสะอื้นดังแผ่วๆ นางก้มหน้าลงระหว่างเข่า
มิเชลล์เรียก “ติเยาะ”
ติเยาะนิ่ง เห็นไหล่สะเทือน
อาหมัดหน้าซีดเข้าไปกอดแม่
“รับเงินนี่ไปเถอะฉันให้...เผื่อว่าจะยังหางานใหม่ไม่ได้ มันมากจะอยู่ได้ทั้งเดือนเชียวนะ ฉันเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้เธอกับลูกชายต้องลำบาก”
“นายหญิง” ติเยาะพึมพำพลางหันกับมามอง น้ำตาเต็มหน้า
“จริงๆ ฉันเสียใจจริงๆ ด้วยนะ”
“ข้าจะไม่ลืมความใจดีของนายหญิงเลย อัลหล่าคงจะบันดาลให้ข้าได้ช่วย”
“อัลหล่าคงจะไม่รับฟังหรอก นายหญิงอยู่ถึงในเมือง เจ้านั้นนับวันจะห่างไกลไปจากเมืองทุกที...นายหญิง...ติเยาะกับลูกคู่นี้จะกลับไปอยู่กับพี่ชายที่เป็นพวกเบดูอินเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย มันจะไม่กลับมาที่นี่อีก” ฮาน่าบอก
มิเชลล์ตกใจระคนแปลกใจ “ทะเลทราย...อยู่ได้อย่างไง”
“ชาวเบดูอินคู่กับทะเลทราย อยู่ได้นายหญิง ห่วงแต่ลูกมันจะไม่ได้เรียนหนังสือ” ติเยาะว่า
มิเชลล์พยักหน้ารับรู้ ติเยาะจับมือมิเชลล์จูบอย่างนบนอบ แล้วแม่ลูกก็พากันออกไป เสียงสะอื้นดังแว่วๆ มาตลอดทาง
“ฮาน่า แคชฟี่ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนะ” มิเชลล์พูดเป็นเชิงถามหญิงชรา
“ความแค้นทำได้ทุกอย่าง” น้ำเสียงฮาน่ามีนัยบางประการซ่อนอยู่
ฮาน่าเดินไป มิเชลล์หน้าเป็นกังวล
ค่ำคืนนั้น มิเชลล์นั่งพนมมือ ท่าทางสงบสวดอ้อนวอนพระเจ้า
“ขอให้พระอัลเลาะห์ผู้เป็นใหญ่ ช่วยสองคนแม่ลูกนั่นด้วยนะเจ้าคะ เขาสองคนเชื่อมั่นในพระองค์มาก”
เช้าวันรุ่งขึ้น มิเชลล์นั่งคอยนักเรียนอยู่ในห้อง หน้าตาผิดหวัง เวลาผ่านไป มิเชลล์นั่งแปลกใจ ที่ไม่มีนักเรียนมาสักคน จึงลุกขึ้นเดินจะออกไปดู
แคชฟียาเดินเข้าประจันหน้ากัน
“แคชฟี่”
“จะไปไหน”
“ไปตามนักเรียน”
“ไม่ต้องไปตามหรอกไม่มีใครเรียนแล้ว”
มิเชลล์งง “ทำ..ทำไมล่ะ”
“ฉันสั่งห้ามพวกมัน” แคชฟียาหันไปเห็น เด็กนักเรียนยืนออกันตรงประตูห้อง แอบๆ ท่าทีหวาดหวั่น
“มายืนเฝ้าอะไร กลับไปให้หมด”
เด็กๆ ยังลังเล
“ไป๊” แคชฟียาหยิบของอะไรบางอย่างปาไปที่เด็กๆ จนเด็กๆ หายไปหมด
“แคชฟียา อธิบายได้ไหมว่าคืออะไร” น้ำเสียงมิเชลล์ค่อนข้างแหลมเพราะตกใจปนโกรธ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
แคชฟียาจ้องมิเชลล์ดวงตาเข้มจัด หันหลังกลับเดินจากไปเร็วรี่
มิเชลล์ตามติดจะเอาคำตอบ แคชฟี่หันมาผลักเต็มแรง
“ไม่ต้องตามฉันมา”
มิเชลล์ยืนนิ่งตกใจมากขึ้น
“ฮ่ะ...ฮะ” แคชฟียาหัวเราะเสียงแหลม “รู้ไว้ด้วยว่าเธอเป็นลูกจ้าง ต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง”
แคชฟี่เดินหนีทันที มิเชลล์ไม่ยอมเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
แคชฟียาเดินพรวดเข้ามาหาแม่ที่กำลังพูดอยู่กับพ่อท่าทางเป็นกังวลอยู่ในห้องโถง มิเชลล์ตามมาติดๆ
แคชฟียาหันไปตวาดอย่างรุนแรง ชี้หน้าไล่ “ไปให้พ้นหน้าฉัน ไม่อยากเห็น”
มิเชลล์ยืนตะลึงพรึงเพริด แคชฟี่หันหลังกลับเดินไปหาพ่อแม่
มิเชลล์ หันหลังวิ่งกลับห้อง
แคชฟียามีท่าทางหงุดหงิด บ่นพึมพำเบาๆ “นังตัวดีมันบังอาจมาแย่งโรแบร์”
“แคชฟี่ มานี่ซิ” ท่านเศรษฐีเรียก
“หนูยังไม่อยากฟังเรื่องอะไรทั้งสิ้น” แคชฟี่เสียวเขียวใส่บิดา
“ปฏิเสธองค์อาหเม็ด...เราจะลำบากนะแคชฟียาหนูคิดดูให้ดีๆ”
ผู้เป็นแม่มองมาด้วยหน้าตาวิงวอน
“คิดดีที่สุดแล้ว พ่ออุตส่าห์ส่งไปเรียนถึงฝรั่งเศสเพื่อให้กลับมาเป็นผู้หญิงที่วันๆ คอยว่าเมื่อไหร่สามีจะมานอนด้วยน่ะเหรอ..หนูไม่ยอมหรอก”
แคชฟียาเดินพรวดจะออกไป ท่านเศรษฐีซวนเซลงนั่ง ปวดขมับ แม่ร้องเสียงดังว่า “ท่านพี่เป็นอะไร” แคชฟี่หันมาดู
ท่านเศรษฐีเงยหน้าสบตาเมีย นัยน์ตาลึกล้ำหวาดหวั่น จนนางกลัว
“อย่านะคะ ท่านอย่าคิดเอาใครไปหลอกลวงองค์อาหเม็ดแทนแคชฟียา เท่ากับส่งคนไปตายนะคะ”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าแคชฟียาเต็มแรง นึกแผนได้ในใจ เดินห่างออกมา แต่สีหน้ามาดมั่นตั้งใจฟังเต็มที่”
“จำไม่ได้หรือคะนังแม่คนที่มันสับเปลี่ยนตัวเอาหลานสาวไป แทนลูกสาว เจ้าชายโอมานพระอนุชากริ้วจัดสั่งตัดหัวนังตัวปลอมนั่นทันทีไม่ฟังเสียงด้วยซ้ำ”
แคชฟียา ได้ไอเดียทันที หันกลับไป
พ่อกลัดกลุ้ม แม่คุกเข่าอยู่ข้างพ่อ แคชฟียา เข้าไปนั่งทำกิริยาลุแก่โทษตามธรรมเนียมชาวอาหรับ พ่อแม่หันมาหน้าตามีความหวังมาก
“แคชฟี่ ลูกรัก”
“คิดดูอีกที ลูกโง่มากที่ปฏิเสธองค์อาหเม็ด ลูกตกลงค่ะ”
พ่อแม่ดีใจสุดๆ
“ขออย่างเดียว อย่าบอกมิเชลล์นะคะ ลูกอายมิเชลล์”
แคชฟียาบอกเสียงเข้มตาเป็นประกาย
คืนนั้นขณะที่มิเชลล์เล่นพิณอยู่ในห้องพัก สีหน้าเศร้าสร้อย แคชฟียาเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาหน้าตาร่าเริงสุดๆ
“มิเชลล์พรุ่งนี้สอนหนังสือเสร็จแล้ว เราไปชอปปิ้งกันนะ..ค่ำๆ ก็ได้เธอจะได้หายเหนื่อยก่อน”
พูดจบแคชฟียาออกไปปิดประตูดังปัง
มิเชลล์ทำหน้างงๆ “สอนหนังสือเสร็จ…สอนหนังสือได้แล้วเหรอ” น้ำเสียงมิเชลล์เยาะๆ “จะมีเด็กไหนมาเรียนล่ะ เธอไล่ไปหมดแล้วนี่”
วันรุ่งขึ้น มิเชลล์จำใจมาชอปปิ้งกับแคชฟียา เจ้าของร้านคอยดูแลบรรดาลูกค้า ซึ่งลูกค้าในร้านขายของเลิศหรู ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสุภาพสตรีชั้นสูง ทุกคนคลุมหน้ามิดชิด และสุภาพบุรุษมาดภูมิฐาน
แคชฟียากรีดนิ้วหยิบผ้าไม่สวยงามผืนหนึ่งขึ้นมา ลอบย่นหน้า กิริยาไม่ชอบเลย
“ฉันซื้อผ้าชิ้นนี้”
มิเชลล์ท้วง “แต่แคช..มันเอ้อ..ไม่สวยนะ สีมันแดงเกินไปลายก็ไม่สว”
แคชฟียาไม่แยแส “ฉันจะซื้อ”
แคชฟียากลับบ้าน ตรงมายังห้องนั่งเล่น เอาผ้าผืนดังกล่าวอวดมารดา
“สวยมั้ยคะแม่”
ผู้เป็นแม่มองจ้องเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ “สวยหรือ แม่จะพูดว่าอย่างไรดี” พลางทำหน้าสยดสยองเพราะผ้าน่าเกลียดมาก
แคชฟียารู้ทัน “มันน่าเกลียดใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ คำนั้นเหมาะสมที่สุด”
“งั้นหนูจะขอให้มิเชลล์ไปเปลี่ยนให้ดีกว่า” แคชฟียาบอก
“ดีแล้วหนูไม่ต้องไปเองหรอก เพราะ…” ผู้เป็นแม่ยิ้มด้วยสีหน้าลึกล้ำขณะบอก “ใกล้วันมาแล้ว”
แคชฟียามีสีหน้าขรึมลง “แม่คะ หนูต้องทำยังไงบ้างคะ”
นางมองหน้าลูกสาว เข้าใจว่าแคชฟี่หมายถึงอะไร “หนูทำตัวให้สวยงาม พร้อมทั้งตัว” พร้อมกับทำมือไล่ไปตามรูปร่างของแคชฟียา “และ…” ประโยคต่อมาลดเสียงลงมองไปรอบๆ “เมื่อถึงวันที่นัดหมายจะมีคนมารับลูกไป..เงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก...ลูกต้องนิ่งๆ ที่สุดอย่าส่งเสียงอะไรทั้งสิ้น”
“เขาจะมารับหนูที่บ้านนี้หรือคะ”
“ไม่ใช่ เขาจะมารับที่ร้านที่ลูกซื้อผ้ามาวันนี้นี่แหละ เขาจะมารับอีก 2 วันนะ”
“อีก 2 วันเหรอคะ...ฮ...ฮะ อีก 2 วัน” แคชฟี่ตกใจนิดเดียว
ครู่ต่อมา แคชฟียาเดินมาตามทางในบ้าน สีหน้าลึกล้ำ วางแผนชั่วร้ายมาก
ตอนค่ำวันนั้น ที่บริเวณตึกหลังใหญ่
ยินเสียงแคชฟียาสั่ง “มิเชลล์ ผ้าที่ซื้อมาวันนั้น เธอเอาไปเปลี่ยนให้ด้วย”
มิเชลล์เดินหนีเข้าห้องตัวเอง
แคชฟียาคตามมา ในมือมีผ้าผืนสีน่าเกลียดนั้น
“ฉันบอกเธอแล้วว่าผ้าเนี่ย...ไม่สวย ถึงขั้นน่าเกลียด”
แคชฟียาขัดขึ้นกลางคัน “ไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอแค่มีหน้าที่เอามันไปเปลี่ยน”
มิเชลล์ทักท้วง “แต่ว่า…”
“ไม่มีใครอยากได้ความเห็นของเธอ” แคชฟียาไม่แยแส
มิเชลล์โต้ ฉุนมากขึ้น “ไม่ใช่ความเห็น มันเป็นความจริงว่าฉันท้วงเธอแล้ว เธอไม่เชื่อ เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะพูดไม่ได้”
แคชฟี่หน้าบึ้ง มิเชลล์ถอนใจก่อนจะถาม
“จะให้ไปเปลี่ยนเมื่อไหร่”
สีหน้าแคชฟียาลึกล้ำมาก ขณะบอก
“อีก 2 วัน”
2 วันต่อมา แม่กับพ่อแคชฟี่ นั่งคู่กันอยู่ที่โต๊ะสนามในสวนสวยหน้าบ้าน แคชฟียานั่งนิ่งสีหน้าตาตรึกตรองเป็นกังวลนิดๆ
“พ่อขอบใจแคชฟียา”
“แม่ด้วย”
แคชฟียาหันมาทางพ่อ แม่ “พ่อกับแม่คิดว่าหนูเป็นลูกที่ดีมั้ยคะ”
พ่อหน้างง มองแม่
“ทำไมหนูถามอย่างนั้น” แม่ถามกลับ
“หนูถามให้แน่ใจว่าหนูทำถูกแล้ว”
“ถูกสิลูก รู้มั้ยว่าพ่อจะได้อะไรจากการที่มีลูกสาวเป็นสนมขององค์อาหเม็ด” ท่านเศรษฐีบอก
แคชฟียานั่งหน้านิ่งๆ สักครู่แล้วลุกขึ้น คุกเข่าลงจับมือพ่อและแม่แล้วลุกเดินจากไป
เศรษฐีแห่งเกซาห์กับภรรยามองตากัน อาการงงนิดๆ
ตกตอนค่ำ มิเชลล์ในชุดหญิงอาหรับสีดำคลุมหน้าก้าวลงจากรถ เดินเข้าร้านอย่างรวดเร็ว แคชฟียาในคลุมหน้าเหมือนกัน โบกมือให้จากในรถสีหน้ายิ้มแย้ม มิเชลล์หน้าบึ้ง เบื่อปนหน่ายเหลือเกิน
“ฉันจะไปบ้านน้าสาวสักชั่วโมง แล้ว...จะกลับมารับ...”
“ฉันจะรอที่ร้านนี้ ชั่วโมงหนึ่งก็จะรอที่นี่”
แคชฟียาอ้อน “ช่วยเลือกให้ใหม่ด้วยนะ เอาผืนที่เธอว่าสวย ฉันเชื่อตาเธอ...ไปได้” แคชฟี่เปิดหน้าต่างรถ ร้องสั่งคนขับรถ
รถแล่นไปทันที มิเชลล์เดินเข้าร้าน พูดกับคนขาย ดึงผ้าไหมน่าเกลียดขึ้นมา
“คุณแคชฟียาซื้อผ้าชิ้นนี้ไปเมื่อ 2 วัน มาแล้ว เธอจะขอเปลี่ยนได้หรือไม่ เพราะว่า...”
พูดไม่ทันจบคำ ชาย 3 คน ตรงเข้ามาประกบ ซ้าย ขวา และหลัง มือชายคนหนึ่งจับต้นแขนขวา มือคนนึงจับต้นแขนซ้าย
“ไป” ชายคนแรกออกคำสั่ง
3 ชายคว้ามิเชลล์ที่งงๆ ออกไป
“อะไรกันเนี่ย ปล่อยนะ ปล่อย…ช่วยด้วย”
เจ้าของร้านจัดของต่อหน้าตาเฉย สีหน้าไร้อารมณ์มาก เหลือบมองมิเชลล์แวบหนึ่ง ทำนองว่าอย่าแกล้งทำขัดขืนเลย
ชายทั้ง 3 ฉุดมือออกไปจนได้ มิเชลล์ดิ้นขัดขืนรุนแรงมาก
“จะแกล้งร้องไห้ทำไม” ชายคนหนึ่งตะโกนใส่
พร้อมๆ กันนี้เหตุการณ์ที่ห้องโถงใหญ่ ก่อนออกเดินทางมาที่ร้านขายผ้า ผุดขึ้นในห้วงคิดมิเชลล์
เวลานั้นแคชฟียาลาน้องๆ เข้ากอดพ่อ กอดแม่ต่อมา แม่ลูบหน้าลูบหลังลูบไหล่ กระซิบอวยพรเบาๆ มิเชลล์ มองงงนิดๆ ว่าทำไมต้องลากันมากอย่างนั้น แคชฟียาเดินมายืนข้างมิเชลล์ สีหน้าอารมณ์ดูซึมเซา
“แคชฟี ลาพ่อลาแม่เหมือนจะไปนานๆ”
กิริยาท่าทีของแคชฟียา เปลี่ยนอารมณ์ “อุ้ย มิเชลล์ ถ้าจะไปนานๆ ต้องเป็นเธอแล้ว ไม่ใช่ฉันหรอก”
“หมายความว่ายังไงแคชฟี่”
“เธอก็คิดดูซิว่า ฉันพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” แคชฟี่ยอกย้อน
“แคชฟี ขอฉันพูดอะไรตรงๆ เถอะนะ ฉันไม่ชอบที่เธอพูดอะไรที่เป็นปริศนา เราเป็นเพื่อนกัน ฉันทิ้งประเทศของฉันตามเธอมาเพราะตั้งใจ จะทำสิ่งดีๆ ที่เราพูดกันไว้ แต่เธอรู้มั้ยว่าเธอเปลี่ยนไปมากเกือบจะทั้งหมด เวลานี้ฉันเริ่มจะมั่นใจมากขึ้นทุกทีว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว”
แคชฟียายืนนิ่ง
“ดี!” เสียงมิเชลล์สั่นๆ ค่อยๆ สายตาเข้ม มีแววเคว้งคว้างหน่อยๆ
มิเชลล์มองแคชฟียาอย่างผิดคาด แล้วสายตามิเชลล์ก็ค่อยๆ เข้าใจ ปลง และทำใจได้
“ไม่ต้องห่วงเลยว่าฉันจะดื้อ แย่งและยึดสัญญาจนไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ฉันรู้ว่าสัญญาเขียนได้ก็ฉีกได้”
“ดี!”
มิเชลล์มองแคชฟี สายตาผิดหวังมาก แล้วมิเชลล์ก็เดินไป
“ดี” แคชฟียา เค้นเสียงในคอกลั้วหัวเราะเบาๆ
ร่างมิเชลล์ถูกยัดเข้าไปในรถลีมูซีนสำดำอย่างแรง จนถลาฟุบลง พอเงยขึ้นได้พยายามจะเปิดล็อค แต่ไม่สำเร็จรถออกวิ่งไปแล้ว มิเชลล์เงยไปข้างหน้า
เห็นชาย 3 คนนั่งอยู่ในรถตอนกลาง แต่ไม่มีใครหันมามองเลย นั่งเฉยเหมือนรูปปั้น มิเชลล์พยายามเคาะกระจกที่กั้นระหว่างรถตอนท้ายกับตอนกลาง
“ปล่อยนะ..ปล่อยฉันไปนะ”
มีชายคนหนึ่งหันมามองและยิ้มอย่างเป็นมิตร มิเชลล์ยิ้มให้อย่างดีใจว่าเขาดีด้วย แต่ทันใดนั้น ที่ช่องใต้กระจกมีควันสีขาวๆ พุ่งออกมาเบาๆ ฟุ้งไปทั่วทั้งที่นั่งตอนหลัง
มิเชลล์สูดหายใจ 2-3 ที แล้วค่อยๆ ค่อยพับลง
“ช่วยด้วย..ช่วยด้วย..โอ..พระเจ้า” มิเชลล์สลบ สิ้นสติไปในที่สุด
รถแล่นตัดไปในถนนทางกลางทะเลทรายอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงจันทร์เบื้องบน
เวลาเดียวกันที่คฤหาสน์ท่านเศรษฐี แม่ของแคชฟียานั่งหน้าเศร้าหมองอยู่ในห้องโถง มีฮาน่า นั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ
“โถ..คุณผู้หญิงคะ..อย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลยค่ะ คุณหนูแคชฟียาจากไปเพื่อความรุ่งเรืองนะคะ อีกหน่อยคุณผู้หญิงจะมีหลานน้อยๆ เป็นเจ้าชายนะคะ”
“ฉันรู้…ฉันรู้จัก…ฮานา...แต่ฉันคิดถึงลูกนี่”
แคชฟียาเดินตัวตรงเหมือนไร้วิญญาณเข้าประตูมา ฮาน่าหันไปเจอ ถึงกับตะลึง อ้าปากค้าง แคชฟี่ไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เดินตรงไปจะขึ้นบันใด
แม่เงยขึ้นมาพอดี เห็นแคชฟียาก็ชะงัก “แคชฟี่…แคชฟี่”
แคชฟียาหันมา
“จ้ะ ลูกเอง…”
“อ้าว...แล้ว...ทำไม”
“เขาเอาตัวมิเชลล์ไปแทนลูก” แคชฟียาแสยะยิ้ม ตาวาว “อีกไม่ช้า มันอาจจะต้องโทษถึงประหาร...ในฐานตบตาเจ้าครองนคร...หรืออย่างน้อย มันก็จะถูกขังอยู่ในฮาเร็มนั่น...ตลอดชีวิต” พูดจบแคชฟียาก็แผดเสียงหัวเราะดังก้องอย่างสาแก่ใจ แล้วเดินลิ่วขึ้นบันไดไปรวดเร็ว
“ตายแล้ว ฮาน่า หมายความว่ายังไงกันเนี่ย”
อ่านต่อหน้า 3
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2 (ต่อ)
แคชฟียาเปิดเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงล็อก แล้วหัวเราะร่าอย่างสะใจ
“โรแบร์…โรแบร์ที่รัก...โรแบร์ คนทรยศ...คุณคิดจะทิ้งฉันไปเหรอ...เสียใจด้วยนะโรแบร์ นังมิเชลล์คนสวยมันไม่มีวันเป็นของคุณอีกต่อไปแล้ว...ไม่มีวัน ถ้าคุณรักมันจริง ก็ตามมันไปได้เลย...ตามไปในรถนั่นเลย...” แคชพี่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วหัวเราะจนน้ำตาไหล แล้วค่อยนิ่ง หลับตาลงสีหน้าสงบอิ่มเอิบ “เจอหรือยัง...ศพของมันน่ะ เจอหรือยังฮะ โรแบร์”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ตามด้วยเสียงแม่เรียก “แคชฟี่..เปิดประตู แคชฟี่”
รถลีมูซีนแล่นมาถึงหน้าพระราชวังฮิลฟารา ตอนรุ่งเช้าวันใหม่พอดี
มิเชลล์นอนหลับสลบสไลอยู่ตอนท้ายรถมีแสงจ้าส่องสว่าง มิเชลล์ค่อยๆ ทำตายิบๆ แล้วลืมตาขึ้น เห็นเพดานรถ มิเชลล์ผงะ นึกได้รีบดีดตัวขึ้นสูง
ชาย 3 คนยังนั่งตัวตรง รถแล่นไปเรื่อย มิเชลล์มองจากในรถไปรอบๆ แล้วตะลึง พบว่ารถกำลังแล่นเลี้ยวขึ้นสู่ปราสาทราชวังสีขาวบนเนินสูง แวดล้อมด้วยต้นไม้ เขียวชอุ่ม จำพวกปาล์ม อินทผาลัม ไม้ดอกกระบอกเพชรต่างๆ นาๆ
พระราชวัง โอ่อ่าสง่างาม ใหญ่โตอัครฐานมาก รถผ่านพระราชวังใหญ่ไปยังตึกสีขาวหลังย่อมๆ หลังหนึ่ง ซึ่งเป็นวังขององค์อนุชาโอมาน
รถแล่นมาจอดหน้าตึกเล็กสีขาวขององค์ชายโอมาน มีทหารยาม 7-8 คน ยืนสงบรักษาการณ์เป็นระยะ
ชาย ทั้ง 3 ลงจากรถไปยืนสงบอยู่มุมหนึ่ง
มิเชลล์รีบเอาผ้าคลุมหน้า คนขับลงมาเปิดประตูให้มิเชลล์ หัวหน้านางกำนัลหญิงร่างอ้วนในชุดดำคลุมหน้าก้าวลงบันไดเดินเร็วๆ ตรงมาที่มิเชลล์ ยื่นมือมาให้จับ
“เชิญสิ…ขอต้อนรับผู้มาใหม่ นี่คือวังของเจ้าชายโอมาน”
มิเชลล์งง “วังเจ้าชายโอมาน ทำไมมาที่นี่”
“ยังไม่ถึงเวลาน่ะสิ ใจเย็นๆ” หัวหน้านางกำนัลบอก
มิเชลล์งงหนัก “ถึงเวลาอะไร...จะเอาฉันไปไหน”
มิเชลล์งงๆ หวั่นๆ ในใจ ว่าเรื่องอะไรแน่ หญิงอ้วนหัวหน้านางกำนังจับมือให้ลงจากรถ จูงมิเชลล์ผ่านชาย 3 คนที่ยืนก้มหน้าสงบเสงี่ยม ผ่านทหารที่ยืนระวังตัวตรง เดินเข้าประตูไป
มิเชลล์สะบัดเต็มแรง แล้วออกวิ่งกลับไปตามทางเดิมจะออกประตู
ทหารโลดแล่นตาม มิเชลล์วิ่งหนีสุดฝีเท้า เลี้ยวไปเลี้ยวมาด้วย แต่ในที่สุดทหารจับได้ มิเชลล์ดิ้นรนแต่สักครู่ต้องสงบลง นัยน์ตาหวาดหวั่น ไม่เข้าใจ
นางกำนัลอ้วนเจื้อยแจ้ว พร้อมกับออกท่าทางไปด้วย “แรกๆ หนี ไม่อยากมา แต่อยู่ๆ ไปเถอะ แล้วจะรู้ รู้และติด ติดความหรู...เริด...เชิด...ได้ตลอดเวลา”
หัวหน้านางกำนัลอ้วนพี เดินนำมาตามทาง ภายในวังองค์อนุชาโอมาน สร้างด้วยหินอ่อนทั้งสิ้น มีทาสหญิงผิวดำนั่งเป็นกลุ่มประปรายอยู่ตามมุมต่างๆ ราวๆ 20 คน ตรงมุมห้องมีของมีค่ามากมายวางตั้งอยู่ ทางเดินปูพรม มีไฟช่อระย้า และรูปปั้นต่างๆ
ทหารพามิเชลล์เข้ามา หญิงอ้วนจูงไปขึ้นบันไดสู่ชั้นบนที่ยิ่งดูอลังการตื่นเต้นใจ มีไฟช่อขนาดใหญ่เหนือบันไดเพดานเขียนลวดลายเครือเถางดงาม มิเชลล์ตามทั้งที่ไม่อยากไป ดึงรั้งเสียจนหญิงอ้วนเสียหลัก 2 คนดึงยื้อไปดึงมา
“ยอมมาถึงนี่แล้ว จะหนีไปไหนอีกเล่า”
หัวหน้านางกำนัลอ้วนพีบอก
ภายในห้องใหญ่เพดานสูงห้องหนึ่ง ซึ่งตกแต่งสวยหรู พื้นปูพรมผืนใหญ่กลางห้อง มีเฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุโรปหรูหรา โคมไฟอิตาลี รูปปั้นหินอ่อน แจกันดอกไม้มหึมาวางประดับอย่างสวยงาม
ทันใดนั้นเองประตูบานสูงใหญ่ถูกเปิดเข้ามา โดยนางทาสดำ 2 คน แล้วรีบออกไป หัวหน้านางกำนัลอ้วนพีพามิเชลล์เข้ามา จูงมาที่โซฟา บอกเสียงอ่อนหวาน
“พักที่นี่ก่อนนะท่าน อีก 2 ชั่วโมงท่านจะได้เฝ้าพระอนุชา…เจ้าชายโอมาน” นางกำนัลอ้วนจะเดินออก
มิเชลล์เรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน”
นางกำนัลตุ้นนุ้ยชะงัก หันกลับ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ ใบหน้าอ้วน แต่สวยคมคาย ดวงตาเคร่งขรึม
“มีอะไรอีกรึ”
มิเชลล์งงอยู่ ไม่รู้จะว่าไง อึ้งไป “เอ้อ...เปล่า ขอบใจ”
นางกำนัลพยักหน้ารับ “ประเดี๋ยวจะมีนางทาสมาช่วยท่านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะเฝ้าพระอนุชา”
มิเชลล์สุดอัดอั้น อดถามไม่ได้ “เฝ้าทำไม...แล้วนี่...ฉันอยู่ที่ไหน”
หญิงอ้วนหัวหน้านางกำนัล ขมวดคิ้ว ฉงนฉงาย
“มารดาของท่านไม่รู้รึ...ว่าส่งลูกสาวมาที่ไหน”
จากนั้นค่อยๆ เดินกลับมาหามิเชลล์แล้วเลิกผ้าคลุมออก มิเชลล์มองตอบอย่างงงๆ ซื่อๆ
หญิงอ้วนผงะ อ้าปากค้าง ถอยกรูด 2-3 ก้าว ยกมือทาบอก
“หญิงต่างชาติ..มีการเล่นตลกอีกแล้ว อัลลอห์ช่วยด้วยเถิด”
มิเชลล์ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “นี่ฉันอยู่ที่ไหน...บอกฉันได้ไหม”
หัวหน้านางกำนัลตัวสั่น กิริยาสยอง “ท่าน…ท่านมาจากบ้านเศรษฐี แห่งเกซาห์ใช่หรือไม่”
มิเชลล์ พยักหน้างงๆ “ใช่..ฉันอยู่ที่นั่น”
นางกำนัลสะบัดมือจากมิเชลล์อย่างรังเกียจ “เลว..น่าละอายแท้ๆ คอยดู” ชี้หน้าด่า “แล้วเจ้าจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม”
นางกำนัลร่างอวบเดินตึงตังออกไปอย่างโกรธจัด แล้ปิดประตูลงโครม
มิเชลล์ทรุดตัวลง งงมาก
ภายในที่ประทับอนุชาโอมาน อีกห้อง ซาอิ๊บ นายทหารคนสนิทของพระอนุชาโอมาน กำลังนั่งเขียนเอกสารอยู่ที่โต๊ะตัวใหญ่ สง่างาม มีธงชาติตั้งไว้ และมีแผนที่ประเทศติดอยู่เต็มผนังด้านหลัง ทหาร 2-3 คนนั่งสนทนากันอยู่มุมหนึ่ง
ทันใด หัวหน้านางกำนัลรูปร่างอ้วนพี ก็เคาะประตูถี่ๆ แล้วเปิดเข้ามา ซาอิ๊บเงยหน้าขึ้น สงสัย นางกำนัลตรงเข้าไป กระซิบอย่างเบาๆ ซาอิ๊บผงะ
“รอก่อน...เดี๋ยวจะไปทูลพระอนุชา” ซาอิ๊บลุกไปเดินไปสู่ประตูด้านในที่มีม่านแขวนกั้นไว้
หัวหน้านางกำนัลเดินไปมากังวลใจ ทันใดมีเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินมา พร้อมกับเสียงทรงอำนาจของโอมาน
“เศรษฐีเกซาห์บังอาจขนาดนี้เชียวเรอะ”
หัวหน้านางกำนัลหันไป ซาอิ๊บแหวกม่านออก
พระอนุชาโอมานแห่งองค์อาหเม็ด ก้าวออกมาจากม่าน แต่งชุดดำสนิท หน้าตาโหดจัด หนวดเคราขลิบเป็นระเบียบ ตาคมดุจเหยี่ยว
ซาอิ๊บทรุดตัวลง “พระอนุชา”
โอมานก้าวเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงเข้มมาก “ตบตากันอีกแล้วรึ”
“เพคะ..คราวนี้..เป็นหญิงต่างชาติเพคะ” หัวหน้านางกำนัลหมอบตัวสั่น
โอมานยิ้มโหดเหี้ยมระบายทั่วหน้า น้ำเสียงเยียบเย็น
“มันหาที่ตายแท้ๆ เชียวนั่น”
ครู่ต่อมามิเชลล์นั่งบีบมือไปมาสีหน้ากระวนกระวายอยู่ในห้องๆ หนึ่ง แววตากริ่งเกรงแฝงความพิศวงงงงวยและใคร่ครวญ ทันใดเสียงเคาะประตูถี่รัว นางกำนัลอ้วนคนเดิมเปิดเข้ามาท่าทางจริงจัง
“คลุมหน้าซะ แม่คนสวยนอกศาสนา น่าเสียดายที่จะเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่...ไม่น่าเลยนี่นา”
มิเชลล์ละงัก “หมายความว่าอย่างไร ฉัน…ฉันไม่เข้าใจ จะฆ่าฉันรึ ฉันผิดอะไร”
นางกำนัลส่ายหน้า “น่าเวทนาจริงๆ แต่พระอนุชากริ้วมากไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก
มิเชลล์ตกใจ ตัวสั่น ร้องไห้ออกมา “ได้โปรดเถิด...นี่มันเกิดอะไรขึ้น” สาวลูกผสมยุโรปเอเชีย จับตัวนางกำนัลเขย่าๆ
นางกำนัลอ้วนจับบ่ามิเชลล์ออกห่าง “คลุมหน้าซะเถอะน่า ทหารมารอแล้วอย่าขัดขืนดีกว่า ข้าก็ไม่รู้...ว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงเกิดขึ้นอีก…เศรษฐีเกซาห์ก็ร่ำรวยมหาศาล...ไม่รู้ว่ามีประสงค์อันใด…จึงได้หลอกลวงองค์อาหเม็ด”
มิเชลล์งงหนัก “องค์อาหเม็ด” พร้อมกับพึมพำ “หลอกลวงองค์อาหเม็ดหรือ”
“จะมีอะไรเล่าถ้าไม่ใช่หลอกลวง...ไป”
มิเชลล์ชักผ้าคลุมหน้า ตามนางกำนัลอ้วนออกไปจากห้อง โดยไม่มีทางเลือก
หัวหน้านางกำนัล เดินนำมิเชลล์ซึ่งเดินหวาดหวั่นสั่นเทาตามมา ทหารทั้ง 3 คนเดิมยืนรออยู่ จ้องตาเป๋งมาที่มิเชลล์ อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มีคนหนึ่งสายตาเห็นใจ มิเชลล์สบตาพวกทหารแล้วยิ่งใจสั่นตัวสั่น หลบตาลงต่ำวูบทันที
“หมดหน้าที่ของข้าแล้ว เจ้าจะต้องไปกับทหารตามลำพัง”
มิเชลล์ถาม ขณะทำหน้าสยอง “ไปไหน”
“องค์อาหเม็ดมีรับสั่งให้นำเจ้าขึ้นเฝ้าด่วนที่ที่ประทับส่วนพระองค์ที่นั่นจะมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และนายทหาร ที่จะตัดสินความผิดของเจ้า” หัวหน้านางกำนัลเดินจากไปเลย
มิเชลล์เรียกไว้ “เดี๋ยว ฉันทำผิดอะไร”
ทหารทั้ง 3 เข้าขนาบมิเชลล์ ทำสัญญาณให้ตามไป
มิเชลล์เหลียวหาหัวหน้านางกำนัล แต่นางกำนัลหลบไปอีกทาง จังหวะนี้ซาอิ๊บพยักหน้าให้ตามไป แล้วเดินนำ
“ฉันไม่ไป จะมาบังคับฉันไม่ได้” มิเชลล์โวยวาย และไม่ยอมไป
ทหารคนหนึ่งตวาด “ต้องไป เร็ว”
“ไม่…” มิเชลล์ยืนปักหลัก “บอกมาก่อนว่านี่มันเรื่องอะไร ฉันจะไม่มีวันยอมไปไหน”
ทหารอีกคนบอกเสียงนุ่ม “ไปเถิด อย่าขัดขืนเลยไม่มีประโยชน์หรอก”
มิเชลล์หมดหนทาง ต้องเดินตามไป
อะมีนาเฝ้ามองอยู่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
ขณะที่ชารีฟจ้ำเดินพรวดๆ ท่าทางรีบร้อนเข้าไปในสวน อะมีนาโผล่ออกมา
“ท่านราชองครักษ์”
ชารีฟหันมาหา “อะมีนา มีอะไรหรือ ท่านนายพลมุสกัตพ่อของเจ้าส่งข่าวด่วนอะไรมารึ”
“ไม่ใช่ค่ะ อะมีนามาจากวัง พระอนุชาโอมานเกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
“หลบมาทางนี้”
ชารีฟพานางไปหลังต้นไม้ใหญ่ อะมีนาเล่าเรื่อง ชารีฟฟังด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ซาอิ๊บ และทหารทั้ง 3 พามิเชลล์ลงบันไดมา พวกทหารชั้นผู้น้อยยืนยามทำความเคารพพึ่บพรับตลอดเวลา ซาอิ๊บเดินนำ มิเชลล์มองรอบๆ เหมือนจะหาที่พึ่ง 3 ทหารผลักให้รีบไป
ทหารทั้ง 3 พามิเชลล์มาตามทางเดิน พวกทหารรักษาการณ์ทำความเคารพพึ่บพรับอีก พวกทหารทุกคนหน้าตาเหี้ยมๆ ทั้งนั้น มิเชลล์ตามไปอย่างหวาดกลัว น้ำตาไหลซึมตลอดเวลา
ทหารส่งมิเชลล์ขึ้นรถที่จอดคอย ในรถมีทหารอยู่แล้ว รถแล่นไปจอดหน้าวังที่ประทับขององค์อาหเหม็ด
ขณะเดียวกันชารีฟเคาะประตูห้องห้องทรงสำราญขององค์อาหเม็ด แล้วรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว โบกมือนิดๆ ให้ทหารองครักษ์ 2 คน ว่าอย่าออกไป
“ท่าทางมีเรื่องใหญ่นี่ อะไรเหรอ”
“เดี๋ยวจะทรงทราบ สิ่งหนึ่งที่ข้าพุทธเจ้าแนะนำ คือ ยับยั้งพระอนุชาโอมานด้วย ข้าพระบาททูลอะไร ให้ทรงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามนะพระเจ้าค่ะ”
ในเวลาต่อมา ผ่านท้องพระโรงเล็ก ของวังหลวง ทหารทั้ง 4 รวม ซาอิ๊บ พามิเชลล์เข้ามาในท้องพระโรงขนาดใหญ่ หรูหรา หลังคาเป็นรูปทรงดอกไม้คลี่กลีบมาบรรจบกัน มีทางเข้า 3 ทาง มียกพื้น บัลลังก์ทองฝังเพชรพลอยวูบวาบตั้งตระหง่านบนนั้น มีม่านปักทองห้อยเต็มไปหมด
ทหารอีก 6 คน ยืนกระจายกันรักษาการณ์อยู่ที่ทางเข้าทั้ง 3 ทาง จุดละ 2 คน
มิเชลล์ถูกพาเข้ามาหน้าที่ประทับหน้ายกพื้น
ทันใดมีเสียงขาน ดังมาจากภายใน เสียง “องค์อาหเม็ดเสด็จ”
ทหารที่คุมตัวมิเชลล์ถอยออกไปยื่นเป็นแนวอีกทาง ทุกคนในห้องทำท่าเรียบอาวุธพร้อมกัน
องค์อาหเม็ดก้าวเข้ามา ตามด้วยอนุชาโอมาน
มิเชลล์หันไป ตัวสั่น องค์อาหเม็ดซึ่งร่างกายสูงสง่า หน้าตางดงาม คมคายสงบ หนวดเคราเป็นระเบียบ ดูมีอำนาจ ก้าวเข้ามาก่อนพวกทหารโค้งกันแทบติดดิน ตามมาด้วยอนุชาโอมานซึ่งหน้าตาเหี้ยมดุดันทรงอำนาจ นัยน์ตาเย็นเฉียบมองมา เดินเหินกิริยาดูเป็นนักเลง
มิเชลล์มองทั้งสององค์อย่างหวาดหวั่นสั่นเทาไปหมด
จังหวะนี้ทันใดเสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งก้าวตามมาอีกคน มิเชลล์มองเลยไป แล้วผงะ ตาเบิกกว้าง
เป็นพันเอกชารีฟที่ก้าวตามมาท่าที่สงบเสงี่ยมทว่าองอาจ ตามด้วยการิม มิเชลล์สะท้านถอยหนึ่งก้าว มองจ้องชารีฟไม่วางตา ชารีฟมองมาทางมิเชลล์จ้องตาเขม็ง ขมวดคิ้วทบทวนความจำ
ภาพในความฝัน ที่ฝันเห็นชารีฟตลอดเวลาผุดขึ้นมาในหัวมิเชลล์แว้บๆ ชารีฟจ้องมิเชลล์ภาพความคิด ในวันพบเจอที่โรงแรมผุดขึ้นมา มิเชลล์ในอาภรณ์สีชมพูของสาวยุโรป สวย หวาน ประทับใจ
มิเชลล์นึกออกอีก ว่าเคยเจอกันที่โรงแรม ตนถูกชารีฟจ้องเขม็ง
จังหวะนี้องค์อาหเม็ดประทับลงบนบัลลังก์ อนุชาโอมานยืนประจำที่ข้างๆ ที่ลดระดับต่ำมานิดหนึ่ง องค์อาหเม็ด เอี้ยวตัวไปกระซิบบางอย่างกับน้องชาย
โอมานพยักหน้าทำท่าเคารพเต็มที่ แล้วหันมาทางมิเชลล์ แล้วมองทุกคนหนึ่งรอบ แล้วรับสั่งเสียงก้อง
“ท่านทั้งหลายคงทราบทั่วกันแล้วว่า การเรียกประชุมด่วนวันนี้เป็นกรณีพิเศษ เนื่องมาจากการกระทำอันลบหลู่พระบรมเดชานุภาพองค์อาหเม็ดแห่งฮิลฟารา” โอมานหยุดหายใจ “ผู้กระทำคือ คหบดีแห่งเกซาห์”
มิเชลล์จ้องมองที่โอมาน ตั้งใจฟัง ตกใจมาก องค์กษัตริย์วางพระพักตร์ขรึมเฉยเมย มองตรงมา
ชารีฟมองโอมาน นัยน์ตาชารีฟสงสัยในตัวโอมาน
โอมานประกาศต่อ “การส่งตัวสตรีผู้มีเกียรติเข้ามารับใช้องค์อาหเม็ด ถือเป็นเกียรติ เป็นวาสนาสูงส่งของสตรีผู้นั้น แต่คหบดีแห่งเกซาห์ไม่ตระหนักในเกียรติที่ได้รับ ลูกสาวของมันที่จะมาเป็นสนมฝ่ายซ้ายได้ถูกสับเปลี่ยนเป็นนางผู้หญิงต่างชาติ ต่างศาสนาผู้นี้” โอมานชี้มือมาที่มิเชลล์ “เป็นการกระทำหลอกลวงหยาบช้าที่สุด และโทษของมัน...”
ใบหน้ามิเชลล์ หวาดหวั่น หันมาสบตากับชารีฟงวยงงอยู่อย่างนั้น
ชารีฟ มองใบหน้ามิเชลล์ ซึ่งบัดนี้แทบไม่มีสีเลือด
โอมานประกาศต่อ “ประหารชีวิตคนกลาง”
มิเชลล์หลับตาลงทันที ความจริงเดาเรื่องออกอยู่แล้ว ว่าต้องลงเอยอย่างนี้
“เปิดหน้ามัน” น้ำเสียงโอมานเหี้ยมเกรียมมาก
มิเชลล์ถอยกรูดอย่างหวาดกลัว ซาอิ๊บปรี่เข้ามาหาแล้วชักดาบออกมา ทุกคนกลั้นหายใจ มิเชลล์ยืนตัวแข็ง ชารีฟขยับตัว
ทันใดนั้น ซาอิ๊บตวัดปลายดาบเกี่ยวผ้าคลุมหน้า และชุดดำทั้งตัวที่คลุมร่างมิเชลล์อยู่ให้ปลิวลงไป เห็นถนัดว่าดาบกรีดผ้าขาดกองกับพื้น ชุดภายในของมิเชลล์คือชุดบางเบาสีเขียวไข่กาสด แบบที่ผู้หญิงอาหรับใส่อยู่กับบ้าน เนื้อผ้าพลิ้วบางเห็นสัดส่วนสวยงามท่ามกลางแสงจ้า
องค์อาหเหม็ดตะลึง โอมานเบิกตากว้างและหรี่ตาลงอย่างประสงค์ร้าย
อ่านต่อหน้า 4
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะเดียวกันนั้น ชารีฟชะงัก สีหน้าเหมือนใจหายอย่างแรง เนื่องเพราะชอบมิเชลล์ตั้งแต่แรกพบกันที่ภัตตาคารในโรงแรมหรู
มิเชลล์นั่นเล่าทั้งอาย ทั้งกลัว ยืนตัวสั่นเทาเหมือนลูกกวางในฝูงหมาป่า น้ำตาไหลเต็มหน้า
ทันใดนั้นองค์อาหเม็ดหันมาสบตาชารีฟ สายตาเป็นคำถามว่า ทำยังไงต่อไป ชารีฟเข้าไปใกล้ถวายเคารพ แล้วกระซิบกับองค์อาหเม็ด
“นางเป็นคนฝรั่งเศสไม่น่ากล้าทำอะไรอย่างนี้ สมควรจะสอบถามความจริงจากสถานฑูตฝรั่งเศสก่อน พระเจ้าค่ะว่านางเป็นใคร รวมทั้งประวัติการเดินทางมาเกซาห์ด้วย”
องค์อาหเม็ดพยักหน้า โอมานชำเลืองมองสายตาระแวง ชารีฟเต็มที่
ชารีฟถอยออกมาถวายการเคารพ แล้วหันมาทางมิเชลล์ก่อนจะเดินตรงลงมาหามิเชลล์จนใกล้ มิเชลล์ถดตัวถอยหนี ชารีฟหน้าตาลึกซึ้งจ้องมิเชลล์
แต่ฉับพลันนั้นเอง ชารีฟจับข้อมือมิเชลล์ อย่างแรง มิเชลล์สะดุ้ง อ้าปากจะร้องแต่ร้องไม่ออก
ชารีฟดึงมิเชลล์ ให้มาตรงหน้าบัลลังค์อาหเหม็ดใกล้ๆ แล้วถอยไปถวายเคารพอีก และกลับไปยืนที่เดิม
อาหเม็ดมองมิเชลล์อย่างพอใจ ยิ้มในหน้า มิเชลล์หลบตาต่ำ
โอมานทำหน้าไม่พอใจในท่าทีดังกล่าว
องค์อาหเม็ดกระแอมเบาๆ “น่าจะมีอะไรเป็นอุบาย...โอมาน” พลางหันไปตรัสกะโอมานเบาๆ “แม่สาวคนนี้อาจไม่รู้เรื่อง หล่อนเป็นคนต่างชาตินะ”
“ไม่ใช่อุบายหรอกพระเจ้าข้า” โอมานไม่พอใจ
“เจ้าแน่ใจรึ” อาหเม็ดลูบคาง มองจ้องหน้ามิเชลล์
มิเชลล์ยิ่งก้มต่ำ ใจหวาดหวั่น
“หม่อมฉันว่า มันคงรับจ้างเขามาโดยมีแผนเลวร้ายร่วมกัน ใครเลยจะกล้าเข้ามาท้าทายความตายทั้งๆ ที่ก็รู้โทษทัณฑ์ดีแล้ว..นอกจากจะเป็นไอ้ฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการจะหมิ่นเจ้าพี่ โทษครั้งนี้” โอมานประกาศเสียงดังก้องต้องประหารชีวิตตามที่เคยปฏิบัติมา”
สีหน้าและแววตาชารีฟ ใคร่ครวญหนัก จ้องมองโอมานอย่างพิจารณา สงสัยอยู่ในใจ
“เร่งประหาร มันเถิดพระเจ้าค่ะ”
มิเชลล์ผงะ เหลือบตาแวบไปสบกับชารีฟ ที่มองมาทันทีเหมือนกัน
องค์อาหเม็ดยกมือ “ช้าก่อน น้องเรา....อย่าใจร้อนนัก รอการลงอาญาไว้สัก 7 วัน พี่อยากรู้ข้อเท็จจริง”
โอมานฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “มันโกหก เจ้าพี่ฟังยังจะฟังอีกรึ”
องค์อาหเม็ดฉุนเสียงห้วนขึ้นอย่างไม่พอใจบ้าง “เรื่องเท่านี้ เล็กเท่าเม็ดทราย สืบให้รู้ว่า มันเป็นใคร ขอประวัติละเอียดและประวัติการเดินทางมาที่เกซาห์ด้วย” พลางหันไปทางชารีฟ “ชารีฟ..ให้คนของเจ้าไปเกซาร์ด่วน..ใช้เครื่องบินส่วนตัวของเราตามตัวเจ้าเศรษฐีคนนั้นมาพบเราให้ได้ ทุกอย่างต้องเสร็จภายใน 3 วัน” สุดท้ายหันมาทางโอมาน “โอมาน…ให้นางผู้นี้ไปอยู่กับเจ้าหญิงฟารีดา มเหสีแรกของน้องก่อน”
โอมานจะค้าน “เจ้าพี่”
องค์อาหเม็ดชักเซ็ง “อะไรอีกเล่า”
“มันหลอกลวง ประหารมันเถิด”
“ถ้าใครกล้าหลอกเรา...เราจะสั่งตัดคอมันภายหลัง”
โอมานท้วง “แต่รายอื่น...เราไม่เคยรอการลงอาญา เราฆ่าทันที อย่างนี้ไม่ยุติธรรมกับพวกที่ตายไปแล้ว”
ชารีฟมองโอมานอย่างจับสังเกต ที่พยายามจะเร่งให้ประหารเหลือเกิน
องค์อาหเม็ดหัวเราะขำๆ “โอมาน...รายก่อนๆ นั่น อย่าลืมสิว่าเจ้าเอง สั่งการฆ่านางพวกนั้นไปโดยพลการ พี่ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลย ยังไม่เห็นหน้าพวกที่ถูกเปลี่ยนตัวเข้ามาซักคน”
“หม่อมฉันทนไม่ได้..นอกจากหลอกลวงเราแล้ว มันลบหลู่พระบรมเดชานุภาพด้วย”
“แต่พี่ไม่เห็นด้วยว่าจะประหารนาง”
“เพราะนางเป็นชาวต่างประเทศหรือ” เสียงโอมานเยาะหยัน
องค์อาหเม็ดยังคงเยือกเย็น “ถึงจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง แต่พี่อยากจะบอกว่า บางกรณีเราก็ต้องผูกมิตรกับพวกเขาชาวต่างประเทศเหมือนกัน”
“ทำไม..ทำไมต้องผูกมิตร ในเมื่อน้ำมันใต้แผ่นดินนี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของมัน”
“เราจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ เวลานี้ทุกประเทศกำลังเร่งรัดเรื่องสันติภาพ เรื่องการติดต่อสัมพันธ์ และที่สำคัญเรื่องการค้าระหว่างประเทศ”
“หม่อมฉันไม่เห็นด้วย ไม่จำเป็น”
“ไม่เป็นไร เพราะฮิลฟาราอยู่ในมืออาหเหม็ดไม่ใช่โอมาน” องค์อาหเม็ดตรัสเสียงห้วน
โอมาน นิ่งสนิท ลึกๆ ในดวงตามีแววรอคอย เพราะเตรียมจะก่อกบฎอยู่แล้ว
อาหเม็ดลุกเดินมาที่โอมาน จะพูดอะไรบางอย่าง
“หม่อมฉันลา” โอมานชิงทำความเคารพ แล้วออกเดินไปในทันที
ทุกอย่างเงียบสงบ
โอมานพูดโดยไม่หันหลังมา “หม่อมฉันจะให้คนมารับมันไปเฝ้าฟารีดาเดี๋ยวนี้”
ซาอิ๊บถวายบังคมแล้วรีบตามไป
โอมานก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ออกมาหน้าตำหนักท้องพระโรง ยืนเด่นเป็นสง่า ตามมาด้วยซาอิ๊บ และทหารคนสนิทอีก 3 นาย
“ฮิลฟาราอยู่ในมืออาหเหม็ดไม่ใช่โอมาน...เฮอะ”
แล้วโอมานก็หันหน้ามาทางซาอิ๊บ ยิ้มน้อยๆ หยันๆ
“ฮิลฟาราอยู่ในมือใคร”
“อยู่ในมือ โอมาน” ทหารคนหนึ่งบอกแข็งขัน
“ไม่ใช่อาหเม็ด”
ทหารอีกคนเสริมอย่างเอาใจ
ในเวลาต่อมาไม่นานนัก มิเชลล์ถวายบังคมต่ำ พึมพำเบาๆ
“หม่อมฉันรอดตายเพราะพระกรุณาของพระองค์”
จากนั้นมิเชลล์ถอยออกมา ทำท่าจะหันหลังกลับ
องค์อาหเม็ดตรัสเรียกไว้ “หยุดก่อน”
มิเชลล์ชะงัก
“บอกชื่อจริงและนามสกุลของเธอ”
“มิเชลล์ เดอลาโรนีล์..เพคะ”
องค์อาหเม็ด ชะงัก ทบทวนคำ “เดอลาโรนีล์...ใครเป็นบิดาเธอ”
“นายแพทย์ปิแอร์ เดอลาโรนีล์เพคะ”
องค์อาหเม็ดร้อง “อ๋อ” พยักหน้าแล้วหันไปพยักเรียกชารีฟให้มาหา
ชารีฟถวายความเคารพแล้วก้าวเข้ามา อาหเม็ดกระซิบอะไรบางอย่างกับชารีฟ พลางมองมาที่มิเชลล์
มิเชลล์จ้องมอง อาหเม็ดเสด็จออกไป มีองค์รักษ์ตาม
“เตรียมตัวไปวังเจ้าหญิงฟารีดานะ” เสียงของชารีฟนุ่มหูและอ่อนโยนนัยน์ตาที่มองมามีแววปลุกปลอบ มิเชลล์จ้องหน้าชารีฟ นัยน์ตาฉงน วิงวอน ขอร้องความเห็นใจ
ชารีฟจ้องตอบเหมือนจะบอกด้วยสายตาว่า หล่อนไม่ต้องกลัว
สวนดอกไม้ร่มรื่นอวดความสวยงาม อยู่เป็นระยะ ทั่วบริเวณรอบตำหนักสีขาวฝ่ายใน
สายมากขึ้น พระอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรง ความเชียวชอุ่มรอบบริเวณ พอดับความร้อนได้บ้าง มิเชลล์เดินมากับทหาร 3 คน ตามทางเดินคดเคี้ยวในสวนดอกไม้ จุดหนึ่งมีน้ำพุรูปร่างแปลกตา ต้นไม้ทอดใบเขียวครึ้ม
อีกบริเวณของสวนดอกไม้อันร่มรื่น มีบรรดาทาสหญิงบ้างรดน้ำพรวนดิน บ้างตัดดอกไม้จะเอาไปใส่แจกัน
ทหาร 3 คนนำมิเชลล์เข้ามา
พวกทาสหญิงตกใจ รีบเอาผ้าคลุมหน้าปิดหน้า มิเชลล์มองรอบๆ หน้าตาตอนนี้เริ่มอ่อนล้าโรยแรงนิดๆ
เสียงซาฟิน่า หัวหน้านางกำนัล ดังขึ้น “ท่านนำตัวนางมาแล้วรึ”
ทุกคนหันไป หัวหน้าก้าวออกมา ท่าทางเคร่งขรึม หน้าดุ
พวกทหารโค้งกันวูบ
“หัวหน้านางกำนัลซาฟิน่า...ข้ามาส่งถึงมือท่านแล้วนะ”
“ท่านกลับไปได้แล้ว ข้าจะนำนางเข้าเฝ้าเอง” ซาฟิน่า หัวหน้านางกำนัลสูงวัยบอก
พวกทหารทั้ง 3 ถอนใจ โล่งอก
ซาฟิน่าก้าวเข้ามาหามิเชลล์ “นางคนต่างชาติ มาสิ…เจ้าหญิงคอยอยู่”
มิเชลล์ทำท่ามึนๆ เล็กน้อย ครั่นเนื้อครั่นตัว เริ่มรู้สึกไม่สบาย
ที่ห้องโถงตำหนักฝ่ายใน ทาสหญิง 4 คน เดินถือดอกไม้เข้ามา เจ้าหญิงฟารีดาในรองเท้าสีทองก้าวลงมา ใบหน้าสวยคม รูปร่างงดงาม แต่งชุดม่วงทั้งชุดปักเลื่อมสีทอง แพรวพราวเป็นลายคล้ายช่อชัยพฤกษ์ที่อก และปลายแขนเสื้อที่บานกว้าง มือสองข้างสวมแหวนทั้ง 5 นิ้ว แต่ละวงมีโซ่บางๆ เป็นสร้อยโยงมาบรรจบที่แป้นทองโปร่งหลังมือและเชื่อมมายืดที่กำไลข้อมือทองลายงดงาม มิเชลล์มองฟารีดา ตะลึงในความงามสง่า
ซาฟิน่าหันมาบอกมิเชลล์ “เจ้าหญิงฟารีดาในเจ้าชายโอมาน พระอนุชาขององค์อาหเม็ดแห่งฮิลฟารา” แล้วปล่อยมือจากมิเชลล์
มิเชลล์ก้าวออกไปข้างหน้า ฟารีดาก้าวเข้ามาหาก้าวหนึ่ง
มิเชลล์พยายามยิ้ม ทำท่าจะถวายบังคมแล้วหัวหมุนทรุดฮวบลงสลบไปเลย
ฟารีดาชะงัก “อ้าว…”
ทุกคนตกใจ ร้องหวีดกันเบาๆ มิเชลล์สลบไสลสิ้นสติไปแล้ว
ในเวลาต่อมามิเชลล์หลับสนิท ขณะอะมีนาถือยาดมมาจ่อๆ อยู่ที่จมูก มิเชลล์ค่อยๆ รู้สึกตัว ส่ายหน้าไปมาช้าๆ ค่อยๆ กระพริบตา แล้วลืมตาขึ้น อะมีนายืนอยู่ตรงหน้าจ้องมาที่มิเชลล์ เห็นลางๆ เพราะมีผ้าโปร่งบางสีดำคลุมหน้า
มิเชลล์กระพริบตางงๆ มองไปรอบๆ มีฉากลายโปร่งสีทองสลับดำกั้นอยู่ ส่วนตนเองกำลังนอนบนตั่งสูงพอประมาณมีผ้าคลุมบางขาวสะอาดห่มให้อย่างเรียบร้อย เห็นเงาทาสหญิงตะคุ่มๆ คลุมผ้าดำๆ อยู่นอกฉากทองคำ 6-7 คน อะมีนากดที่บ่ามิเชลล์ทำท่าจะลุกขึ้น แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้ลุก มิเชลล์หลับตาลงใหม่เงาทาสที่ดูอยู่หน้าฉากลุกหนีไปหมด เห็นเงาของชารีฟยืนเด่นอยู่
ชารีฟ เอื้อมมือมา ชะงักนิด แล้วจับชีพจร
มิเชลล์สะดุ้ง ลืมตาขึ้นแล้วผวาตัว เบิกตากว้าง ชารีฟยังอยู่ในชุดเต็มยศเหมือนเดิม แต่มีหูฟังของหมอสวมอยู่รอบคอ ตาจับแน่วแน่ที่นาฬิกาข้อมือของตน
มิเชลล์มองตาปริบๆ สักพักชารีฟ เงยหน้ามองมิเชลล์
“มีอะไร ที่เธอตกใจเมื่อเข้าเฝ้าเจ้าหญิงฟารีดาจึงเป็นลม”
“ไม่ใช่ค่ะ ตกใจตั้งแต่เข้าเฝ้าองค์อาหเหม็ดแล้วค่ะ แล้ว...แล้ว” น้ำเสียงมิเชลล์เริ่มสั่น “ดิฉันไม่รู้ตัว...มันวูบไป…”
นัยน์ตาชารีฟคมกริบขณะมองหน้ามิเชลล์ แต่เสียงปลอบอ่อนโยน
“เล่าประวัติของเธอมาซิ มาดมัวเซลล์ เดอลาโรนีล์ ตั้งแต่เดินทางมาเซกาห์ จนถึงวันที่ทหารไปรับเธอมาจากเกซาห์ จะได้รู้ว่า สมควรจะประเมินเธอใหม่ไหม”
“ดิฉันจบการศึกษาจากซอร์บอร์น ปารีส และเดินทางมาเป็นครูสอนหนังสือ ที่เมืองเกซาห์...ที่บ้านเพื่อน...เขารวย เขาตั้งโรงเรียน เขาชื่อแคชฟียา”
มิเชลล์เริ่มต้นเล่าเรื่องของตัวเอง
เช้าวันต่อมา แคชฟียาอยู่ในห้องตัวเอง เขียนจดหมายจบลงท่าทางเหมือนคนคลุ้มคลั่ง หัวเราะอย่างสะใจ
“จาก..แคชฟียา สุดที่รักของเธอ..ฮะฮะฮ่า โรแบร์ เธอจะว่ายังไงบ้างนะถ้าได้รู้ว่า แม่มิเชลล์ของเธอต้องกลายเป็นผีเฝ้าพระราชวังฮิลฟารา..ฮะฮะฮ่า” แคชฟี่พับจดหมายใส่ซอง
ทันใดมีเสียงเคาะประตูถี่ๆ
แคชฟียาสะดุ้ง “ใคร”
“แม่เองแคชฟียา”
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้แคชฟียา”
น้ำเสียงผู้เป็นพ่อดุดันมาก แคชฟียาตกใจ รีบลุกไปเปิด
“แม่คะ…ลูกบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่า…ลูกช่วยไม่ได้นังมิเชลล์มันอยากเป็นมเหสี ลูกก็เลยต้องสละให้มันไปแทน ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่มันจะต้องถูกประหาร ลูกบอกมันแล้ว มันอยากไม่เชื่อลูกเอง”
ท่านเศรษฐีเข้ามากรากจับร่างแคชฟียาเขย่า
“แคชฟียา..แกเป็นบ้าไปแล้วรึไง รู้ไหม ว่าองค์อาหเม็ดรับสั่งให้พ่อเข้าเฝ้าด่วน”
“โธ่..ไม่มีอะไรหรอก พ่อจ๋า จะทรงให้พ่อไปรับศพนังคนฝรั่งเศสนั่น..เท่านั้นเอง” แคชฟี่หัวเราะร่วน
“แคชฟี่..ลูกเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับลูก”
ท่านเศรษฐีเห็นจดหมาย จึงหยิบมา
“จดหมายอะไร ภาษาฝรั่งเศสถึงชาวต่างชาตินี่…” ท่านเศรษฐีชะงัก
“พ่อ..เอามานะ”
พ่อหยิบจดหมายออกไป แม่รีบตามไป
“พ่อๆ จ๋า เอาจดหมายหนูคืนมานะ..พ่อๆ พ่อ”
แคชฟียาโมโห ตีอกชกหัวไปมา
เวลาต่อมาท่านเศรษฐีนั่งกุมขมับอยู่ในห้อง จดหมายวางอยู่ตรงนั้น
“จดหมายถึงคนต่างชาติ...มันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของลูก และมิเชลล์ แน่นอน”
“ลูกมันเขียนว่ายังไงคะ”
“ปัทโธ่…ฉันจะรู้ได้ยังไง อ่านไม่ออกภาษาฝรั่งเศส แต่คราวนี้องค์อาหเม็ดคงพิโรธมาก เราคงต้องเดือดร้อนแน่ๆ เพราะแก..แกมันตามใจลูก จะส่งลูกไปถวายตัว ทำไมไม่ตามควบคุมให้ดี ปล่อยให้เกิดการสับเปลี่ยนตัวได้ยังไง”
“ก็..ก็ลูกของเราเต็มใจ ข้าก็เลย ไม่คิดว่า...”
ท่านเศรษฐีสวนออกมาด้วยความโมโห “คราวนี้ ได้ฉิบหายวายวอดทั้งตระกูลเพราะนังลูกสาวคนนี้แน่ๆ”
“ที่มันเป็นยังงี้ ก็เพราะท่านนั่นแหละ ที่ส่งมันไปเรียนที่เมืองตะวันตก ไม่งั้นมันก็จะเป็นหญิงอาหรับที่ดี อยู่ในกรอบประเพณีเหมือนลูกสาวของคนอื่นๆ”
“เพราะแกนั่นแหละ เป็นความผิดของแก ที่ไม่จัดการเรื่องถวายตัวให้ดี”
“ไม่จริง”
“จริงหรือไม่จริง...ข้าก็อาจจะถูกประหาร แล้วแกก็เหมือนกัน องค์อาหเม็ดทรงเหี้ยมโหดแค่ไหน เราตายกันหมดแน่ ไม่เคยได้ยินหรือว่า ใครหลอกเปลี่ยนคนเข้าไปถวายตัว ตายหมด”
ท่านเศรษฐีฟุบหน้า ฝ่ายเมียร้องไห้โฮ
“ครูมิเชลล์ไม่รู้เลยหรือนี่ว่าถูกแคชฟียาหลอก นางโง่ถึงขนาดนี้เลยรึ”
ขณะเดียวกัน ภายในห้องพักมิเชลล์ ทันทีที่มิเชลล์ส่ายหน้าไปมาช้าๆ เห็นอามีน่านั่งอยู่ห่างๆ พอจะไม่ได้ยินบทสนทนา
“จากนั้น ดิฉันก็ถูกพาตัวมาขึ้นรถ แล้ว..ก็ถูกนำตัวมาที่นี่”
ชารีฟไม่ค่อยเชื่อนัก “ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าเธอถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนที่ชื่อแคชฟียาแห่งเกซารห์ นางผู้นั้นคงเจ็บแค้นในเรื่องคนรัก.. เมอร์สิเออร์ โรแบร์คนนั้น” นายพันราชองครักษ์หัวเราะเบาะๆ ในลำคอหยันๆ “และคิดว่าเธอจะถูกประหารทันที โดยไม่มีการไต่สวน ดังเช่นหญิงหลอกลวงรายอื่น”
“ท่านรู้ทุกอย่างหรือคะ” มิเชลล์ประหลาดใจมาก
“มันก็น่าโกรธไม่ใช่หรือ คนรักของเขาทั้งคน”
“เปล่านะคะมันไม่จริง...ไม่จริงค่ะ” มิเชลล์ปฏิเสธ
ชารีฟมองด้วยสายตาดุๆ มิเชลล์อึ้งไป แล้วสบตาเขาอย่างขลาดๆ
“เหตุใด…องค์อาหเม็ดจึงทรงพระกรุณา ไม่ประหารดิฉันเหมือนคนอื่นๆ”
“คนอื่นๆ ไม่ได้แม้แต่จะเข้าเฝ้า พระอนุชาโอมานสั่งประหารก่อนทุกครั้ง เธอโชคดีที่ได้เข้าเฝ้าก่อน”
“ใครทูลองค์อาหเม็ดล่ะคะ” มิเชลล์สงสัย
ชารีฟนิ่ง สีหน้าเฉยสนิท มิเชลล์ถามย้ำ
“คะ ใครทูลคะ ใครขอชีวิตของฉัน ท่าน...” น้ำเสียงกลัวๆ “ท่านหรือคะ”
ชารีฟตอบเร็วๆ กิริยามีพิรุธนิดหน่อย “ฉันมีเหตุผลอะไรที่จะขอชีวิตเธอ ช่างเถอะ..อย่างช้าพรุ่งนี้เรื่องต่างๆ จะคลี่คลายหมดสิ้น เราจะได้รู้ว่าคำพูดที่เธอบอกเรามาเมื่อครู่นี้ จริงหรือไม่”
มิเชลล์เชิดหน้า ตาวาว “ดิฉันไม่พูดปด ไม่เคยพูดปด”
ชารีฟยิ้มเยาะ “คนผิดทุกคน ถ้าพูดปดแล้วไม่ตาย ไม่มีใครไม่พูดหรอก”
มิเชลล์แค้นใจ “อาจจะจริง ที่ว่าคนใกล้ประหารอาจจะโกหกเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่ดิฉัน ท่านคงได้รู้หรอกว่า ฉันก็ไม่ได้อยากที่จะมาเจอเรื่องสกปรกอย่างนี้เหมือนกัน ที่กลัวเมื่อกี้ไม่ใช่ความกลัวตาย...ขอให้ท่านรับทราบไว้ด้วยนะ..ท่าน...” ตอนท้ายมิเชลล์มองหน้าเป็นคำถาม
“พันเอกนายแพทย์ชารีฟ” ชารีฟบอกเสียงเรียบๆ
มิเชลล์กัดฟัน ความรู้สึกเสียใจพลุ่งขึ้นมา ก้มหน้าต่ำ ร้องไห้ออกมาอย่างน้อยใจในชะตากรรมแห่งตน
ชารีฟเสียงอ่อนลง “ไม่กลัวตาย...แล้วร้องไห้ทำไม”
มิเชลล์ยกแขนป้ายน้ำตาเหมือนเด็กๆ “ฉัน...ฉันสมเพชตัวเอง”
“ถ้าเธอพูดความจริง ก็มั่นใจเถอะ ถ้าพิสูจน์หลักฐานได้ เธอจะพ้นความผิด”
“ท่านเชื่อฉันหรือไม่”
“ฉันเชื่อที่เธอเล่ามาทั้งหมด มาดมัวแซลเดอลาโรนีล์”
“ขอบคุณยิ่งในน้ำใจของท่าน”
ชารีฟมองนิ่งๆ อีกอึดใจ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “องค์อาหเหม็ดรับสั่งว่า...ทรงเคยได้ยินชื่อสกุลของเธอเมื่อครั้งเสด็จประพาลเมืองนีซเมื่อหลายปีมาแล้ว ยังทรงเคยเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่คฤหาสน์ของสกุลเดอลาโรนีล์ด้วย”
มิเชลล์เหยียดปากพูดออกมาอย่างขื่นขมใจ “ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก”
“ถ้าหากเธอพ้นผิด…เธอจะกลับไปเกซาห์หรือว่าปารีส”
มิเชลล์อึ้ง “ฉันคงกลับไปเกซาร์ไม่ได้อีกแล้ว…”
“งั้น...ก็คงจะกลับปารีส…เราจะติดต่อญาติพี่น้องเธอให้”
“ฉันไม่มีญาติพี่น้อง” มิเชลล์ตอบทันที
“แล้ว..คนรักของเธอใช่มั้ย เมอสิเออร์โรแบต์นั่น ป่านนี้เขาคงเป็นห่วงเธอที่สุด”
มิเชลล์ตอบด้วยเสียงเรียบเย็น “ฉันตัวคนเดียว ไม่มีใคร ถ้ามีความสุข ฉันจะยิ้มและหัวเราะคนเดียว ถ้าฉันต้องตาย ฉันก็ตายคนเดียว ไม่มีใครเสียใจ”
ชารีฟจ้องมองมิเชลล์ลึกซึ้งมาก สายตาฉายแววสงสาร มิเชลล์หันมามอง ชารีฟเปลี่ยนสายตาทันที
มิเชลล์ถามด้วยท่าทีเป็นปกติ “ถ้าคุณจะติดต่อ ใครสักคน ฉันจะให้ที่อยู่ที่คอนแวนต์กับชื่อคุณแม่อธิการที่เลี้ยง ดูฉันมาแต่แรก และคุณสอบประวัติฉันทุกอย่างได้ที่นั่น”
“ตอนนี้ หมดหน้าที่ฉันแล้ว ต่อไปก็คือการรอคอย อีก 2 วัน เราก็จะรู้ ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้าหญิงฟารีดาจะเป็นผู้ควบคุมดูแลเธอระหว่างอยู่ทีนี่ ขอให้โชคดี” ชารีฟเก็บอุปกรณ์การแพทย์แล้วออกไปเงียบๆ
มิเชลล์มองตามร่างสง่านั้น ด้วยแววตาครุ่นคิด
คืนนั้นท่านเศรษฐี กำลังจะหนี มีรถคอยอยู่แล้วที่หน้าประตู บ่าวคนหนึ่งเอากระเป๋าใส่รถ ท่านเศรษฐีออกมาพร้อมภรรยา ท่าทางตัดสินใจแล้ว
“ทำไมท่านไม่ทูลความจริง” เมียถาม
“ไม่มีประโยชน์ ไม่เคยมีใครรอดพ้นอาญา ถ้าหลอกเปลี่ยนตัวคนไปถวาย ตายไปแล้วกี่คนได้ยินมาว่าไม่มีการสอบสวนด้วยซ้ำ..ฉันไปล่ะ”
ผู้เป็นภรรยาทำซาลามสามี น้ำตาเต็มหน้า ท่านเศรษฐีวางมือบนไหล่นิ่งๆ แคชฟียายืนมองตาขวางเหมือนคนใกล้ๆ จะสติขาด ดูลอยๆ นิดๆ
“ขอให้อัลเลาะห์คุ้มครองเจ้า” ท่านเศรษฐีมองลูกสาว สายตายกโทษให้
แคชฟียาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
เศรษฐีแห่งเกซาห์หันหลังรวดเร็ว ตามด้วยบ่าวชายขับรถ บ่าวชาย และคนสนิทอีกคน เปิดประตูรถให้ ท่านเศรษฐีขึ้น บ่าวตาม ปิดประตู รถเคลื่อนไปอย่างเร็ว
พอออกถึงประตูบ้านที่กำลังเปิดออกช้าๆ รถทหารองครักษ์เข้ามาจอดอย่างเร็ว เผชิญหน้ากัน ท่านเศรษฐีตกใจ เปิดประตูรถวิ่งมาที่บ้าน ร้องบอกเมียเสียงดังลั่นว่า “จดหมาย…จดหมาย”
เมียหันหลังเข้าบ้านทันที แคชฟียายังยืนตาลอย เรื่อย ทหารวิ่งตามถือปืน ยิงขึ้นฟ้านัดหนึ่ง
ท่านเศรษฐียกมือสองข้าง ยอมแพ้
ตำรวจจางวังหลวง จ่อปืนเข้าที่ท้ายทอยทันที ท่าทางดุดัน เอาจริงมาก
“ผมแค่จะเอาหลักฐานชิ้นหนึ่งไปด้วย”
ภรรยาท่านเศรษฐีวิ่งตามชูจดหมายออกมา แคชฟียาเห็นโผนเข้าแย่งจดหมายแม่ แต่แม่ไม่ยอม แม่ลูกแย่งกันไปมา
“จดหมาย..หลักฐานสำคัญ” ท่านเศรษฐีบอก
แม่แคชฟียาโยนจดหมายให้ทหาร จดหมายลอยอยู่กลางอากาศ ทหารรับไว้ได้
“แคชฟียา ลูกทำผิดต้องยอมรับผิด องค์อาหเม็ดอาจจะเห็นใจและอภัยโทษถ้าได้อ่านจดหมาย”
ท่านเศรษฐีไม่สำเหนียกสักนิดว่าตนคิดผิดมหันต์
เศรษฐีแห่งเกซาห์ เข้าเฝ้าองค์อาหเม็ด และกำลังยื่นจดหมายนั้นให้ชารีฟ
องค์อาหเหม็ด และอนุชาโอมานประทับบนโซฟาคนละตำแหน่งกัน การิมและชารีฟ ยืนรักษาการอยู่ทางด้านอาหเหม็ด และซาอิ๊บยืนรักษาการณ์อยู่ทางด้านโอมาน
เศรษฐีแห่งเกซาห์ หมอบตัวสั่นอยู่กับพื้น ชารีฟคลี่จดหมายดูแล้วถวายต่อองค์อาหเหม็ด พระองค์รับมา แล้วอ่านจดหมายในใจ
“โรแบร์ที่รัก ฉันเสียใจกับคุณเป็นอย่างยิ่ง...ที่มันปฎิเสธคุณ นังมิเชลล์มันไม่ใช่คนธรรมดาแบบเราๆ หรอกนะโรแบร์ มันเป็นนางฟ้า บริสุทธิ์ประดุจแม่พระผู้ไร้มลทิน มันไม่คู่ควรกับคุณหรอก เพราะคุณเป็นแค่มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ฉันก็เลยส่งมันให้กลับสู่สวรรค์ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อคุณได้รับจดหมายฉบับนี้ อีนังมิเชลล์คงถูกตัดหัวหรือไม่ก็ ถูกกักขังอยู่ในฮาเร็มของสุลต่านอาหเม็ดไปแล้วอย่างไม่มี วันผุดวันเกิด
จากแคชฟียา สุดที่รักของเธอ”
พออ่านจบองค์อาหเม็ดหัวเราะเหี้ยมๆ มองตรงมาที่พ่อแคชฟียา
“ได้โปรดเถิดพระเจ้าข้า..หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าในจดหมายนั้นเขียนว่าอะไรเป็นภาษาฝรั่งเศสหม่อมฉันอ่านไม่ออก แต่เพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์ของครอบครัวหม่อมฉัน หม่อมฉันยินดีเปิดเผยทุกอย่าง ขอพระองค์จงทรงไว้ชีวิตลูกเมียหม่อมฉันด้วยเถิด”
องค์อาหเม็ดส่งจดหมายไปให้โอมานอ่าน
“หม่อมฉันและภรรยา มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ไม่เคยคิดลบหลู่พระบารมีแม้แต่น้อย ขอจงทรงเมตตาด้วยเถิด…”
โอมานอ่านจบส่งคืนองค์อาหเม็ด “หมดธุระของหม่อมฉันแล้ว สุดแต่เจ้าพี่จะพิจารณา” พร้อมกับลุกขึ้นอย่างถือตัว ทำความเคารพและออกไป
ซาอิ๊บถวายบังคมลา และตามไป
องค์อาหเม็ดมองตามก่อนจะหันมาสบตาชารีฟ ส่ายหน้าหนักใจในตัวโอมาน
“นังแคชฟียามันโง่เง่า มันทำทุกอย่างไปเพราะความเป็นเด็ก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงส่งเพื่อนมันไปแทน หากพระองค์ไม่โปรด นางคนต่างชาติ หม่อมฉันจะส่งนังแคชฟียามาให้พระองค์ทรงปราบพยศด้วยพระองค์เอง ถึงมันจะอ่อนเดียงสาแต่ความงามของมันคงจะสบพระราชหฤทัยบ้างไม่มากก็น้อย”
องค์อาหเม็ดหัวเราะดังลั่น “ท่านยังคิดอีกรึ ว่าข้าจะพอใจในตัวนางเด็กร้ายกาจ ใจคอโหดเหี้ยม คิดฆ่าเพื่อนได้เพราะความหึงหวง คิดได้ยังไง”
“แล้ว...พระองค์”
“ถือเสียว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้มีผลอะไรที่ร้ายแรงก็แล้วกัน..ข้าขอมอบหมายให้เจ้า เป็นผู้ลงโทษนางลูกสาวของเจ้าเอง…” องค์อาหเม็ดลุกขึ้น ตรัสกับชารีฟ “แปลจดหมายร้ายกาจฉบับนั้นให้ท่านเศรษฐีฟังด้วยนะ” แล้วเสด็จออกไปทันที
ชารีฟ การิม และพวกทำความเคารพ พึบพรั่บ
“พระอาญาไม่พ้นเกล้าๆ” ท่านเศรษฐีหมอบเคารพแล้วเคารพอีก
ชารีฟขยับเข้ามา
“ฟังนะ เราจะแปลจดหมายให้ท่านฟัง”
ไม่นานหลังจากนั้น ยินเสียงแคชฟียาร้องกรี๊ดๆๆๆ ขณะที่พ่อฉุดกระชากลากถูมาตามคฤหาสน์
“มานี่..นังตัวดี..แกมันใจคอโหดเหี้ยมผิดมนุษย์คิดจะฆ่าเพื่อนได้ลงคอ..หนำซ้ำยังบังอาจรักใคร่กับไอ้คนฝรั่งเศสขัดคำสั่งพ่อแม่ เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล้าเล่นกับอาญาแผ่นดิน ทำให้ครอบครัวต้องล่อแหลมต่อพระอาญา ข้าจะจัดการกับแกเอง”
“ท่านขา...ท่าน...ปล่อยลูกก่อน...ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก่อน” แม่แคชฟี่ขอร้อง
“พอกันที..มันได้ใจมากเกินไปแล้ว”
“แต่ลูกยังเด็ก ลูกรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
“เด็กเรอะ ก็เพราะความเป็นเด็กของมัน ทำให้เราเดือดร้อนใจมากี่เรื่องแล้ว อยู่ฝรั่งเศสก็ไม่ตั้งใจเรียน คบผู้ชายนอกศาสนากลับมาตั้งโรงเรียนก็ปล่อยโรงเรียนเละเทอะ ไม่ตั้งใจสอนทำให้พวกญาติพี่น้องมาหัวเราะเยาะข้า...มานี่...นังแคชฟี่”
แคชฟียาร้องกรี๊ดๆๆ “อั๊ยๆๆ” แล้วดิ้นจนหยุด “นังมิเชลล์ๆ มันยังไม่ตาย...ลูกจะไปฆ่ามันๆ”
แม่กุมอก “แคชฟี่ๆ ควบคุมสติหน่อยลูก”
“เออใช่..มิเชลล์ยังไม่ตาย แล้วองค์อาหเหม็ดจะส่งนางกลับฝรั่งเศสด้วยรู้เอาไว้…นังตัวดี” พ่อเยาะ
“กลับฝรั่งเศสๆ มันก็จะได้พบกับโรแบร์อีก นะสิ แล้วมันจะได้ครองรักกันโอ๊ย ลูกทนไม่ได้ๆ ฮือๆๆ” แคชฟียาเซไปกอดเสา “มิเชลล์ กับโรแบร์ ไอ้คนทรยศ…ลูกไม่ยอมๆๆ” พร้อมกับเอาหัวโขกเสาเต็มแรง
แม่แคชฟี่ตกใจจับแขนสามี “พ่อ...แคชฟียาเป็นอะไรไปแล้ว”
“นังแคชฟียา มัน..มันเป็นบ้า” ท่านเศรษฐีสยอง
แคชฟียาร้องไห้ฮือๆๆ แล้วแผดเสียงลั่น
“ฮาน่า ๆๆ”
ฮาน่าวิ่งเข้ามาเห็นภาพตรงหน้า ก็ตะลึงทำอะไรไม่ถูก “คุณหนู…โธ่ คุณหนู”
“ฮานา เอาจดหมายไปส่งให้โรแบร์ด้วยนะ เอาไปส่งเดี๋ยวนี้ นังมิเชลล์มันไม่มีวันได้พบโรแบร์หรอก องค์อาหเม็ดผู้โหดเหี้ยมจะตัดหัวมัน ชัวะ ๆๆ หัวขาดกระเด็นเลย ฮ่าๆๆ”
ท่านเศรษฐีและภรรยา มองแคชฟียาอย่างอเนจอนาถ สิ้นหวัง แกมพิศวงงงงวยในอาการคล้ายคนวิกลจริตของบุตรี
อ่านต่อตอนที่ 3