ปีกมาร ตอนที่ 9
เวลานั้นภูฉายยืนมองประตูรั้วเรือนหอ รถยนต์ยังเปิดไฟหน้าทิ้งไว้เป็นลำแสง ทอดสู่ตัวบ้านเข็มวิ่งออกมาเปิดประตู อุทานอย่างแปลกใจ
“คุณภู”
“เปิดประตูเถอะเข็ม ฉันจะเข้าไปข้างใน”
“ค่ะ”
เข็มเปิดประตู ภูฉายเดินเข้ามา ยังปล่อยให้รถยนต์จอดอยู่ที่เดิม บอกสภาพที่อ้างว้างในจิตใจของภูฉาย
ศลัยลาขับรถยนต์เข้ามาจอดในบ้านแม่ เปิดประตูรถยนต์ลงมา ชะงักเมื่อเห็นลายสือยืนกอดอกรออยู่ ศลัยลาถามอย่างแปลกใจ
“ลายสือ คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ภาษิตเขาชวนผมนอนด้วย”
“ระยำจริงๆ”
ศลัยลาอุทานหงุดหงิด แผ่วเบา
“แล้วคุณก็เชื่อเขา คุณกำลังทำให้ฉันกับภูแย่ลงนะ”
“ดี ผมชอบ เพราะผมทนเห็นท่าทางที่ดี ความเป็นคนดีของเขาไม่ได้ ทนเห็นหน้าที่การงานที่ดีมีเกียรติ ทนฟังใครยกย่องชมเชยเขาไม่ได้ ผมทนไม่ได้”
ลายสือเสียงดังขึ้น ศลัยลาเงียบ รีบถอยก้าวเดินขึ้นตึกไป
ลายสือเริ่มรู้สึกตัว มองตามด้วยสีหน้า ท่าทีรู้สึกผิด
เวลาต่อมาประตูห้องนอนเปิดออก ภายในห้องยังจัดอยู่ในสภาพเดิมที่เคยอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ภูฉายเดินไปหยิบข้าวของใช้ส่วนตัวของศลัยลาขึ้นมาจ้องมอง ด้วยความรู้สึกโหยหาอาวรณ์ ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่ง ซบหน้าลงกับฝ่ามือ และร้องไห้ออกมาเงียบๆ
“ศลัย”
ขณะเดียวกันศลัยลาเปิดประตูห้องเข้ามา ภายในห้องแสงไฟสลัว เห็นนวลนภานอนหลับอยู่บนเตียงใกล้ๆ กับเตียงของหลานชายอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง นวลนภาพลิกตัวตื่น
“อ้อ ศลัย กลับมาแล้วหรือ ทำไมไม่เปิดไฟล่ะลูก”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวตาหนูตื่น”
“ภูเขามารอหนู เพิ่งกลับเมื่อค่ำๆ นี่เอง ไปไหนมา”
“หนูแวะไปหาเพียรภมรค่ะ มีเรื่องต้องปรึกษากันเรื่องลูก คุณแม่นอนเถอะค่ะ หนูจะอาบน้ำแล้วลงไปกินกาแฟสักถ้วย”
“ก็ตามใจ”
ศลัยลาเดินมาดูลูก ก้มจูบลูกชายแล้วเดินออกไป นวลนภามองตามไปด้วยความกังวล
ขณะลายสือยืนชงกาแฟอยู่ ท่าทีเงียบขรึม ศลัยลาสวมชุดนอนเดินลงมา
“ผมชงกาแฟให้คุณ”
ลายสือเดินเข้ามายื่นกาแฟให้
แววตาศลัยลาเย็นชา ปฏิเสธเสียงห้วน
“ไม่ต้อง!”
แววตาของลายสืออ่อนโยน รู้สึกผิดอย่างรุนแรง
“ผมก็แค่...อยากทำอะไรๆให้คุณบ้าง ผมรู้ว่าคุณเจ็บปวดมากแค่ไหน กันเรื่องที่มันยังคาราคาซังอยู่นี่ คุณจะไม่ยอมรับความใส่ใจของผมบ้างเลยหรือ”
แววตาของศลัยลาเริ่มอ่อนโยนลง ยื่นมือไปรับ พูดตัดบท
“ขอบใจ คุณไปนอนได้แล้ว เอาเป็นว่าฉันขอบใจก็แล้วกัน”
“ครับ ผมก็ต้องการแค่นั้น”
ลายสือเดินออกไปจากห้องรับแขกอย่างเงียบๆ
สีหน้าแววตาของศลัยลาหม่นหมองชัดเจน
รุ่งเช้าสลักวิ่งตามภูฉายลงมา ร้องไห้ฟูมฟายกับภูฉายซึ่งกำลังจะไปทำงาน
“แกไปแทบทุกคืน ไหนว่าจะไปตามตาหนูกลับมา...ไหนล่ะ ตาหนูของแม่ แกรู้มั้ยแม่ไม่ได้หลับได้นอนเลย แม่ห่วงแกรอแก กลัวพวกมันจะรุมกันฆ่าแก แกไปไหนก็น่าจะโทร.บอกแม่สักคำนะ บอกสั้นๆ ก็ได้ว่าแกยังไม่ตาย..!”
ภูฉายไม่ได้หันมามองสลัก ขับรถยนต์ออกไปเลย
สลักหยุดร้องไห้ มองตามไปอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ เขาเป็นอะไรของเขาน่ะนังมัย”
“คงยังไม่ตื่นละมังคะ เมื่อคืนคุณภูกลับเกือบสว่างแน่ะค่ะ”
สลักฉงน “เกือบสว่าง เขาไปไหน”
“แฮ่ะๆ หนูไม่รู้” ละมัยมีสีหน้าเจื่อนๆ ขณะสั่นหน้า
สลักมองค้อนละมัยวงใหญ่ แล้วมองตามภูฉายไปอย่างสงสัย
วันเดียวกันนั้น ลายสือออกจากบ้านภูษิตกลับหอพัก เดินเข้ามาภายในห้อง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นผลึกยืนกอดอกรออยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเอาเรื่อง ที่โต๊ะอาหารมุมห้องมีกับข้าวอยู่สองสามอย่าง
“ไปไหนมาวะ”
ลายสือเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
“นอนกับภาษิต”
ผลึกของขึ้น “มึงเป็นไอ้ตัวอันตรายนะ มึงกำลังจะทำให้เพื่อนมองหน้ากันเป็นสัตว์คนละจำพวก”
ลายสือขี้กียจจะทะเลาะ ตัดบท “กูหิว…”
แหมวยกกับข้าวมาวางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“หิวก็ทานข้าวซีคะพี่ลายสือ แหมวมาช่วยทำกับข้าวให้ค่ะ”
ลายสือแปลกใจ “แหมว”
“น้องมึงไปรอที่คณะ ไม่รู้มึงหายหัวไปไหน กูก็เลยชวนมาทำกับข้าวกิน มึงน่ะ..ควรจะให้เวลาน้องนุ่งให้มากๆ นะ ยังไงก็เป็นพี่น้อง” ผลึกอบรม
“กินข้าวกันดีกว่า พี่หิวแล้ว นี่ถ้าน้องแหมวแวะมานี่ทุกวันมีหวังพวกพี่อ้วนเป็นหมูตอนแน่ๆ” จืดจ้องกับข้าวเขม็ง
“กินข้าวเถอะค่ะ พี่ลายสือ”
ลายสือฝืนหยิบช้อน หันไปสบสายตาเข้มดุของผลึกที่กำลังมองมาอย่างบังคับ ลายสือฝืนรับประทานอาหารโดยไม่เต็มใจ
ค่ำคืนนั้นภูฉายนั่งดื่มอยู่ตามลำพังกับความเศร้าหมองในผับประจำ ดวงแก้วเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
“ท่าทางคุณหนักขึ้นนะคะคุณภูฉาย ถึงตอนนี้คุณปฏิเสธว่าคุณไม่ต้องการเพื่อนแก้เหงาเห็นจะไม่ได้”
“ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นเพื่อนแก้เหงาเลยนะ เพราะฐานะอย่างคุณ...คุณเป็นลูกค้าคนสำคัญของเรา”
“เป็นลูกค้าคนสำคัญเป็นที่ไหนก็ได้ แต่ฉันอยากเป็นคนพิเศษสำหรับคุณมากกว่า”
“ในชีวิตของผมนี่...”
ภูฉายเริ่มมีรอยยิ้มที่รื่นรมย์ แต่แฝงความขมขื่น
“มีบุคคลที่พิเศษสำหรับผมแค่...”
ดวงแก้วตอบแทน “คนเดียว ภรรยาคุณซีนะ”
“คุณทายผิด สองคน ..เมีย..กับแม่ของผม”
“งั้นฉันก็พอจะรู้แล้วละ ว่าปัญหาที่ทำให้คุณต้องมานั่งกอดแก้วเหล้าอยู่คนเดียวนี่..เพราะอะไร ขอดื่มให้กับ...คนสำคัญของคุณค่ะ”
รอยยิ้มของดวงแก้วมีแววเยาะหยัน ผสมยั่วยวน แววตาหล่อนเป็นประกายอย่างท้าทาย เมื่อยกแก้วเหล้าขึ้น
คืนนั้นลายสือเดินมาส่งแหมวที่หน้าบ้าน พร้อมกับอบรม
“เอ้า ส่งถึงบ้านแล้ว เข้าบ้านซี ทีหลังไปหาที่คณะก็พอแล้วไม่ต้องเลยไปหาที่หอ มันน่าเกลียดรู้มั้ย”
“น่าเกลียดยังไงคะ แหมวก็เห็นพี่ๆเขาดีกับแหมวทุกคนไม่ว่าจะเป็นพี่ผลึกหรือพี่จืด”
“ฉันสั่งยังไง เราก็ทำตามที่ฉันสั่งก็แล้วกัน” ลายสือขึ้นเสียง
“พี่ลายสือ แหมวเหงา...คุณแม่ก็ไม่อยู่ต้องไปๆ มาๆ ทำไมพี่ลายสือไม่เลิกคิดว่าพวกเราเป็นคนอื่นเสียที เมื่อคืน...พี่ลายสือยังไปค้างบ้านเพื่อน...ก็แค่เพื่อน” แหมวทักท้วงแกมตัดพ้อ
“ใช่ พี่ไปค้างบ้านภาษิต”
“งั้นก็พบคุณศลัยลาด้วยใช่มั้ยคะ คุณศลัยลาทั้งเก่งทั้งสวย ถ้าแหมวเป็นอย่างคุณศลัยลาได้ พี่ลายสือคงจะ…”
ลายสือตัดบท “เข้าบ้านได้แล้ว แหมว”
“เอ้อ..ค่ะ”
แหมวจ๋อย เดินเข้าบ้านด้วยความน้อยใจ
ลายสือมองตามไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างกังวล รู้ดีว่าเด็กสาวรู้สึกอย่างไรกับตน
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ 09.30 น.
ปีกมาร ตอนที่ 9 (ต่อ)
รุ่งเช้า นวลนภากำลังให้นมหลานชายอยู่ ศลัยลาแต่งตัวพร้อมที่จะไปทำงานเปิดประตูเข้ามา ด้วยสีหน้ายิ้มแจ่มใส
“กินกาแฟหรือยัง” นวลนภาถาม
“หนูช่วยตัวเองได้ค่ะ เป็นยังไงคะ คุณแม่”
“กินอิ่ม นอนหลับแล้วก็เล่นน่ะซี เด็กน่ะไร้เดียงสา จะไปรู้หรือว่าพ่อแม่จะฆ่าแกงกันยังไง นี่แหละเขาว่า...มีสงครามสักพันครั้งเด็กก็ยังดูสวยงาม...นะ”
ศลัยลาอดสะเทือนใจไม่ได้ สีหน้าค่อยๆ สลดลง อุ้มลูกขึ้นมากอดไว้ด้วยความปวดร้าว
ส่วนสลักเดินเร็วๆ ตามภูฉายลงมาจากชั้นบนอย่างเอาเรื่อง สั่งละมัยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ปิดประตูซินังมัย พูดกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องออกไปทำงาน...ภู”
“ครับ”
“เรื่องตาหนูว่ายังไง แม่ต้องเสียตาหนูจริงๆ หรือมันเอาลูกแกไปซ่อนหรือยังไง แกถึงเอาตัวตาหนูกลับมาไม่ได้เสียที”
“เอ้อ...ก็...”
“วงวารว่านเครือมันเยอะนี่ มันสุมหัวกันวางแผนลักพาตัวตาหนู แกเป็นพ่อแกทำอะไรไม่ไม่ได้เลยหรือ ฮึ เออ หรือว่าจะแจ้งข้อหาบุกรุก ให้นังมัยมันเอาไม้ฟาดกระถางที่บันไดให้แตก แล้วเพิ่มข้อหาทำลายทรัพย์สิน เอาใบที่ถูกๆนะ ใบใหญ่ลายครามนั่นอย่าเชียว แพง!”
ภูฉายนิ่งเฉย สลักกิริยาอ่อนลง
“ภู ภูฉาย แกเป็นอะไรไปน่ะ หรือว่าตาหนู...”
“ตาหนูไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับแม่ ลูกสบายดี”
“สบายกว่าอยู่บ้านนี้ซีนะ แกถึงไม่กล้าเอาลูกกลับมา”
“ผม...ผมไม่รู้จะทำยังไงครับแม่”
น้ำเสียงของภูฉายเริ่มสั่นเครือ
สลักแผดเสียงดังลั่นบ้าน “เพราะแกมันอ่อนแอน่ะซี แกไม่กล้าทำอะไร ไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่เป็นเพราะแกไม่กล้า..ไม่กล้าๆๆๆๆ”
ภูฉายร้องไห้โฮออกมา อย่างสุดกลั้น
“แม่ ช่วยผมด้วย ผมไม่ต้องการสูญเสียศลัย ไม่ต้องการสูญเสียลูก ผมควรจะทำยังไงดี แม่ ช่วยผมด้วย บอกผมที”
“ภู ภูฉาย”
สลักตะลึงงัน พยายามเขย่าตัวเพื่อเตือนสติของภูฉาย แต่ภูฉายก็ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ
“เงียบ นิ่ง อย่าร้องไห้ เดี๋ยวแม่ตีนะ เงียบเดี๋ยวนี้”
“แม่ โฮๆๆ...”
สีหน้าแววตาของสลักตื่นตระหนก กอดภูฉายไว้แน่น
ในห้องกายภาพบำบัด ของโรงพยาบาล เพียรภมรและศลัยลามองไปยังร่างของฉวีท่านั่งอยู่บนรถเข็น ก้มหน้านิ่งๆ เหมือนคนไร้ความรู้สึก เพียรภมรดึงตัวศลัยลาให้หันกลับ
“แม่ต้องอยู่ที่นี่ เพราะต้องทำกายภาพบำบัดช่วย เพียรมาดู แม่ทุกวัน หวังทุกวันว่าแม่จะดีขึ้น ไอ้ผู้ชายที่ทำร้ายแม่ก็ยังลอยนวล พี่ศลัยต้องระวังผู้ชายพวกนี้นะ”
ศลัยลาฉงน “เธอหมายคงวามว่ายังไง…”
เพียรภมรดึงศลัยลาเดินออกไปจากฉวี
“พี่ศลัยอยากพบคุณภูฉายมั้ย”
“ไม่ ขี้เกียจฟังเขาพูดซ้ำๆ ซากๆ การพูดของเขาไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยนะ”
“บางทีพี่ศลัยอาจจะต้องการเวลา”
“ไม่ ไม่ ไม่เลย!”
“ถ้าไม่ให้โอกาสตัวเอง เธอควรให้โอกาสภูฉายเขาบ้างนะจะได้ยุติธรรมต่อเขา”
ศลัยลาฉุนนิดๆ มองหน้าเพียรภมรอย่างแปลกใจ
“เพียร เธอเป็นทนายให้เขาหรือว่าเป็นทนายให้ฉัน ฮึ”
“เราเป็นเพื่อนกันนะคะ...เราทั้งสามคน ถ้ามันมีวันนี้ เพียรต้องทำหน้าที่ของทูตสันติด้วย เมื่อก่อนเห็นรักกันจะเป็นจะตาย”
ศลัยลาหัวเราะอย่าขบขัน
เพียรภมรงงมั่ง “หัวเราะอะไร”
“ขำ ไม่อยากเชื่อ...ฉันกำลังจะหย่ากับภูฉาย!”
“ถามจริงๆ เถอะ เขามีผู้ผู้หญิงอื่นหรือ”
“ไม่มี!”
“แล้วพี่ศลัยล่ะ มีผู้ชายอื่นนอกจากคุณภูฉายหรือเปล่า”
ศลัยลานิ่งงัน มองหน้าเพียรภมร แววตาของศลัยลาจริงจัง
“อาจจะ..ฉันไม่สัญญากับใครว่าฉันจะไม่มี อาจจะ...แน่นอน...อาจจะมี..!”
ทางด้านภาษิตมือถือตุ๊กตากำลังร้องเพลงและเต้นจังหวะเร็วๆ ทันสมัย ให้หลานดู ลายสือเดินเข้ามาหยุดยืนมองขำๆ
“เป็นอะไรวะ”
“ไม่มีอะไรหรอก แม่ออกไปซื้อของเลยให้กูเลี้ยงหลานเพราะวันนี้พี่ศลัยกลับค่ำ”
“นี่น่ะหรือ ลูกชายคุณศลัยลา”
“หวัดดี ไอ้หนู หวัดดีฮับ” ภาษิตบอกหลาน
ลายสือค่อยๆ ก้าวเข้ามายื่นมือมารับตัวเด็กมาอุ้มไว้
“ระวังนะ อย่าทำหลุดมือ ขืนทำตาหนูคอหักตอนนี้มีหวังยายคุณนายสลักกับพี่ภูเล่นงานตายเลยว่ะ”
สีหน้าของลายสือสลดลง เมื่อได้ยินชื่อของภูฉาย
“มา ส่งมาเถอะ กูไม่ค่อยไว้ใจมึง”
“เมื่อไหร่คุณศลัยลาจะกลับ”
แหมวเลิกเรียนแล้วกำลังจะกลับบ้าน โรงเรียนระดับมัธยมปลายที่แหมวเรียนอยู่ เป็นโรงเรียนชั้นดีของบรรดาลูกข้าราชการผู้ใหญ่
ศลัยลาขับรถยนต์ผ่านมา มองเห็นแหมว จำได้จึงแวะทัก แหมวยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณศลัยลา ไปไหนมาคะ”
“ฉันเพิ่งกลับมาจากทำงานน่ะหนู ขึ้นมาซี ฉันจะไปส่ง”
“เกรงใจคุณศลัยลาจังเลยค่ะ”
“ขึ้นมาเถอะ”
แหมวขึ้นรถยนต์ ศลัยลาขับออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 9 (ต่อ)
สลักช่วยละมัยจัดโต๊ะอาหารอยู่ ภูฉายเดินเนือยๆ ลงมา ด้วยสภาพที่ทรุดโทรมลงไปมาก สลักพูดจาอ่อนหวาน อ่อนโยนกับภูฉายเป็นพิเศษ
“จะไปไหนล่ะ ภู”
“ผมจะไปดูตาหนูครับ ผมคิดถึงลูก”
“ไปทำไม ไว้ให้เสร็จเรื่องเสร็จราวเรื่องหย่าแล้วเราก็ได้เลี้ยงตาหนูแน่ๆ”
“ผมไม่ไปไม่ได้หรอกครับแม่ ผมอยากเห็นหน้าลูก อยากกอดลูกของผม”
เห็นท่าทีเศร้าหมองของภูฉายทำให้สลักกลัว จึงไม่ค้าน
“ก็ตามใจ รีบไปรีบมา ถ้าจะให้ดีเอาตาหนูมาด้วยเลยส่วนเรื่องหย่าน่ะบอกนังศลัยลามันว่าแกหย่าแน่...ใช่มั้ยภูฉาย...ใช่มั้ย”
ภูฉายนิ่งด้วยท่าทีลังเล น้ำเสียงของสลักกระด้างขึ้น
“แม่ถามว่า...ใช่มั้ย”
ภูฉายตอบเสียงแผ่วๆ ละมัยตั้งใจฟัง
“ครับ...แม่”
ภูฉายรีบเดินออกไป สลักถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ภูฉายยังอยู่ในอิทธิพลของตนเอง
ฟากศลัยลาทำหน้าที่ขับรถยนต์ แหมวนั่งกอดกระเป๋านักเรียน มองศลัยลาอย่างชื่นชม
“คุณศลัยลาทั้งเก่งทั้งสวยนะคะ แหมวอยากเป็นเหมือนคุณศลัยลาบ้างจังเลยค่ะ เพื่อนๆพี่ลายสือทึ่งความสามารถของคุณศลัยลาทั้งนั้นเลย”
ศลัยลามีท่าทีกังวลขณะถาม “หนูเป็นน้องสาวของลายสือหรือคะ”
“ค่ะ เป็นน้องคนละแม่ คุณพ่อกับคุณแม่ไปๆมาๆ ค่ะ ถึงได้อยากให้พี่ลายสือไปอยู่ที่บ้านของเรา แต่...พี่ลายสือไม่ยอมไปค่ะ ยังงอนคุณพ่อที่คุณพ่อแต่งงานกับคุณพ่อของแหมว”
“งอน เอ๊ะ เป็นผู้ชายงอนได้หรือคะ”
“แหมวก็ไม่เข้าใจค่ะ แต่เคยมีคนเคยบอกว่าพี่ลายสือรักคุณแม่เขามาก เขาถึงทนไม่ได้ที่เห็นคุณพ่อมีคุณแม่ของแหมว จอดข้างหน้านั่นแหละค่ะ เดี๋ยวแหมวเดินเข้าซอยไปนิดเดียว”
ศลัยลาจอดรถยนต์ แหมวก้าวลง ปิดประตู หันมายกมือไหว้
“ขอบคุณมากนะคะ คุณศลัยลา”
“ค่ะ”
ศลัยลาขับรถยนต์ออกไป แหมวชะเง้อมองตามไปด้วยความชื่นชม
ด้านสลักเดินวนเวียนอยู่หน้าโทรศัพท์ ดูเวลาที่ข้างฝาเกือบหกโมงเย็น
“มัย...มัยเอ๊ย”
“ขา...”
“โทร. ไปบ้านคุณนวลนภาที แกจำเบอร์ได้ไม่ใช่หรือ”
“โทร. ไปทำไมคะ”
“บอกให้ภูฉายกลับบ้านด่วน ฉันไม่สบาย!”
ละมัยท้วง “แต่คุณนายไม่ได้เป็นลมเป็นแล้งมาตั้งนานแล้วนี่คะ”
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเดี๋ยวฉันจะไม่เป็นน่ะ โทร.ไป ทำตามที่ฉันสั่งเร็วเข้า นังมัย”
“ค่ะ”
ละมัยหมุนโทรศัพท์
โทรศัพท์ที่บ้านนวลนภา เสียงกริ่งดังขึ้น นวลนภาเดินไปรับ มองเห็นภูฉายนั่งรออยู่เงียบๆ รีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นรถศลัยลาแล่นเข้ามาในบ้าน
“ศลัยกลับมาแล้วละครับ”
“เดี๋ยวนะ...ใครนะคะ”
ศลัยลาเดินเข้ามา
“ศลัย”
นวลนภาถือสายค้าง อ้าปากจะพูดแต่ไม่ได้จังหวะ
“ฉันรู้แล้วว่าคุณจะพูดเรื่องอะไร ฉันคืนคุณให้แม่คุณแล้ว ฉันก็เอาตาหนูคืนมา ยื่นหมูยื่นหมากันแล้วนี่”
ภูฉายหน้าเศร้า “ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือ”
“ทางไหนล่ะ มันไม่มีทางนั้นหรอกค่ะ ภู”
นวลนภาจะหาช่องแทรก “เอ้อ...” ไม่มีใครสนใจฟัง
“นี่เราต้องหย่ากันจริงๆ หรือ”
“ค่ะ ต้องหย่า”
“ศลัย...ใจคอคุณจะ…”
นวลนภายิ้มเจื่อนๆ ขณะพูดแทรก
“ภูฉาย...คุณสลักให้สาวใช้โทร. มาตามแน่ะ เห็นว่า...ไม่ค่อยสบายให้กลับบ้านด่วน”
ศลัยลาฟังแล้วสะเทือนใจ วิ่งร้องไห้ขึ้นบันไดไป
“ศลัย”
ภูฉายมองตามไป ด้วยความรู้สึกเสียใจ
“เอ้อ ศลัย ผมต้องไปดูคุณแม่ก่อนนะครับ”
ภูฉายเดินออกไปอย่างร้อนรน นวลนภามองตามไป ส่ายหน้าอย่างจำนน
ส่วนลายสือยืนพิงประตูตู้โทรศัพท์ตู้เดิมอยู่ ผจงจิตเดินผ่านมา ชะงักมอง ลายสือเมินหน้าไปทางอื่น
“คุณมาทำอะไรแถวนี้อีกล่ะ ลายสือ”
“ผมมีบัตรนกศึกษา มีบัตรประชาชน ผมทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่อายุสิบเจ็ด อ้อ...แล้วถ้าคุณไม่เชื่อผมมีสำเนาทะเบียนบ้านด้วยนะครับเพราะฉนั้น...ผมเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็น ผมมีสิทธิ์ไปไหนก็ได้ ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แต่ทางที่คุณมายืนแกร่วอยู่นี่ หวังว่ามันคงจะสวนทางปืนของใครนะ”
ผจงจิตเตือน แล้วเดินออกไป
ลายสือไหวไหล่นิดๆ สีหน้าเจื่อนๆ ยังคงยืนต่อไป
ด้านสลักเอะอะ ร่ำร้องบ้างลดเสียง เกลี้ยกล่อมภูฉาย ซึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ตรงหน้า
“ถ้าไม่ทำยังงี้ มันคงเอามารยาผู้หญิงมัดให้แกนอนค้าง มันคงโกรธน่ะซีที่แม่รู้ทัน วางแผนเรียกตัวแกกลับ เสียลูกแล้วต้องเสียค่าเลี้ยงดูให้มันอีก แกอย่ายอมเสียนะ”
“ศลัยคงไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ”
“แล้วทำไมแกไม่หย่ากับมันให้เสร็จเรื่องเสร็จราวเสียทีแล้วกลับมาอยู่เป็นโสดเหมือนเมื่อก่อน ดีซี ไม่ต้องแบ่งเงินในกระเป๋าแกให้มันใช้”
“เอ้อ...จริงๆ แล้ว ศลัยกับผมใช้เงินกันคนละกระเป๋า ครับแม่”
“ก็ดีแล้วนี่...มันไม่ยอมให้ตาหนูก็ไม่เป็นไร ฟ้องกันก็เสียเงินค่าทนายตั้งหลายหมื่น ข้อสำคัญแกจะได้ไม่ต้องเสียค่าเลี้ยงดูลูก...เรื่องนี้...”
สีหน้าแววตาของสลักจริงจังมาก
“แม่จัดการเอง!”
ขณะที่ศลัยลานั่งทำงานอยู่กับผจงจิต จู่ๆ สลักเดินเข้ามาด้วยท่าทีปั้นปึ่งเข้ามา ศลัยลาลุกขึ้นยืน
“ที่ฉันมานี่ ฉันไม่ได้มาง้อนะ ฉันมาตกลงเรื่องหย่า...เอาเป็นว่าฉันคืนตาหนูให้ เธอต้องคืนภูฉายให้ฉัน เราต่างก็ได้ลูกคืน ยุติธรรมดีแล้ว”
“ค่ะ เมื่อไหร่ค่ะ”
“พรุ่งนี้ที่เขต....สักเก้าโมงนะ”
“ได้ค่ะ”
“ฉันกับภูฉายจะรอ!”
สลักยิ้มเยาะ แล้วเดินเชิดออกไป
ศลัยลาสะเทือนใจมาก ผจงจิตเข้าประคอง
“ศลัย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันมีเวลาอีกคืนเดียวเท่านั้น เวลาที่จะมีภู พอถึงพรุ่งนี้..เขาก็เป็นคนอื่น...เราก็เป็นคนอื่นสำหรับกันและกัน”
“โธ่ ศลัย”
น้ำตาคลอเต็มตาของศลัยลา
เช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่ของสำงานเขต กำลังเขียนรายละเอียดหย่าร้างลงในเอกสาร ศลัยลานั่งอยู่เงียบๆ นิ่งเหมือนรูปปั้น ภูฉายกระวนกระวาย แต่โดนสลักส่งสายตาบังคับ
“คุณทั้งสองรับทราบในรายละเอียดที่ให้การไว้ในบันทึกการหย่าร้างเรียบร้อยแล้ว กรุณาเซ็นชื่อที่ตรงนี้ด้วยครับ...คุณ”
ศลัยลารับปากกา ลังเลนิดหนึ่ง หันมาสบสายตาของภูฉายก่อนที่จะเซ็นลงไปเจ้าหน้าที่เลื่อนเอกสารมาตรงหน้าภูฉาย
ภูฉายลังเล รับปากกามาถือไว้ด้วยมือที่สั่นเทา
“ศลัย”
สลักคอยกำกับ “เซ็นชื่อซีภู เซ็นชื่อ...ทุกอย่างก็จบ!”
“เซ็นเถอะค่ะภูฉาย เซ็นแล้ว...ก็ต่างคนต่างไป!” ศลัยลาบอกอย่างเจ็บปวด
เหงื่อซึมไปทั่วหน้าผากของภูฉาย เริ่มสั่นสะท้าน แววตาหวั่นไหวสะเทือนใจอย่างรุนแรง
“แม่…”
“เซ็นซีภู เซ็นชื่อลงในใบหย่าแล้วกลับไปเป็นลูกของแม่ ไปมีชีวิตอย่างเก่าๆ ในครอบครัวของเรา มีแม่มีลูก มีกันแค่สองคน เรารักกัน...แม่รักแกนะภูฉาย”
น้ำตาของสลักคลอเต็มดวงตา พยายามบีบภูฉายด้วยความรัก ภูฉายตัวสั่นหนักขึ้น
“เซ็นเถอะค่ะ ภู”
“เซ็นซีลูก นี่เป็นคำสั่งของแม่นะ ภู!”
ภูฉายผุดลุกขึ้นยืน แผดเสียงตะโกน ร้องไห้
“ไม่..แม่..ผมไม่เซ็นอะไรทั้งนั้น ผมยังไม่พร้อม...แม่...ผมไม่หย่า..!”
ศลัยลาตื่นตะลึง
ละมัยทำงานบ้านอยู่ ขณะสลักเดินเข้ามา โดยมีภูฉายเดินตามมาห่างๆ ก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิด สลักนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ขว้างกระเป๋าลงกับพื้น ภูฉายสะดุ้งสุดตัว
สลักระเบิดออกมาอย่างโวยวายอย่างรุนแรง
“ทำไมแกทำยังงั้น แกทิ้งนาทีทองของแก แกรู้มั้ย...นาทีทองในชีวิตของคนน่ะมันไม่มีบ่อยๆ หรอก ทำไมแกไม่ยอมหย่า แกยังอาลัยอาวรณ์อะไรนังศลัยลา ทั้งที่มัน...มันเกือบจะไม่มีเยื่อใยเหลือให้แก โธ่ ภูฉายนี่ถ้าแกไม่ใช่ลูกของฉัน....แม่ด่าแกว่า “ไอ้ควาย” ไปแล้ว”
ภูฉายก้มหน้านิ่ง ยังสะเทือนใจอย่างรุนแรง สลักคั่งแค้นใจจนร่ำไห้จริงๆ
“ผม...ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ครับคุณแม่ ให้โอกาสผมบ้าง”
“ฉันจะไม่ถามหรอกว่าเมื่อไหร่แกจะพร้อม ฉันไม่มีใจที่จะเจ็บมากไปกว่านี้ แกเห็นความรักของแม่เป็นอะไร มันไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะโอบอุ้มชีวิตของแกยังงั้นหรือ แล้วไอ้พ่อแกทิ้งแก”
สลักกดปลายนิ้วลงบนหน้าผากของภูฉายอย่างเกรี้ยวกราด ละมัยมองสลักด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่เคยเห็นสลักโมโหร้ายแบบนี้มาก่อน
“ไม่ใช่ฉันหรือ ไม่ใช่อีแก่คนนี้หรือที่เลี้ยงแกมาจนแกมีเมียได้ จนแกได้เติบโต จนแกได้ดิบได้ดีมาจนทุกวันนี้...ไม่ใช่อีแก่ที่เป็น”แม่”ของแกหรือ...ภู!”
ภูฉายทรุดตัวลงกอดท่อนขาของสลักไว้ ต่างคนต่างร้องไห้
“แม่...ผม...ผม....ผมไม่รู้ว่าผมทำไม ผม...ผม...ถึงได้...”
สลักสวนออกมา “เพราะแกอ่อนแอ...เพราะแกมีเลือดของพ่อแกมากกว่าเลือดแม่ พ่อแกหนีเราก็เพราะอ่อนแอ เขาไม่กล้าสู้กับความภาพ-ผิดชอบ แกเป็นยังงั้น..แกเป็นยังงั้น..!”
“ไม่จริงครับแม่ ไม่จริง...ผมรักแม่...ผมรักแม่ครับ แม่...ผมรักแม่”
ภูฉายยังคงกอดสลักไว้แน่น ร่ำไห้คร่ำครวญเหมือนเด็กๆ
“ผมรักแม่...ครับ ผมรักแม่…”
สลักมองมองภูฉายด้วยจิตใจที่เริ่มอ่อนโยนลง
ศลัยลายืนพิงรถยนต์อยู่หน้าที่ว่าการเขต ด้วยท่าทีครุ่นคิด งงงันกับเหตุการณ์ที่ผิดความคาดหมาย ภูฉายไม่ยอมหย่า จู่ๆ ลายสือโผล่เข้ามา
“คุณศลัย”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ผมโทร.ไปหาคุณที่กอง คุณผจงจิตเป็นคนบอกผมว่าคุณมาหย่า”
ท่าทีของลายสือตื่นเต้นดีใจ
“คุณหย่ากับเขาแล้วใช่มั้ย”
“เปล่า”
“หมายความว่ายังไง”
“เขาไม่ยอมหย่า ลายสือ ฉันจะกลับบ้าน อย่าตามฉันไปที่นั่นนะ...ฉันจะกลับไปตั้งหลักที่บ้าน แล้วอย่าถามฉัน...ว่าฉันจะทำยังไงต่อไป อย่านะ”
ศลัยลาขับรถยนต์ออกไป ลายสือมองตามไปด้วยความรู้สึกฉงน
ฝ่ายแหมวเดินกอดหนังสือเรียนเข้ามา ยังอยู่ในชุดนักเรียน ลายสือยืนมองออกไปนอกแม่น้ำ แหมวก้าวเข้ามายืนใกล้ๆ ด้วยแววตาห่วงใย
“พี่ลายสือเป็นอะไรคะ”
ลายสือบอกเสียงห้วนๆ “เปล่า”
“อย่าโกหกแหมวเลยค่ะ แหมวรู้...ว่าพี่ลายสือไม่มีความสุขคนที่เขามีความสุข เขาทำหน้าแบกทุกข์ยังงี้หรอกค่ะ”
ลายสือค่อยๆ เบนสายตาจ้องมองแหมว แววตาเริ่มไม่พอใจ
“แล้วเรารู้หรือว่าความทุกข์มันเป็นยังไง คนที่เกิดมาบนความพร้อมบนกองเงินกองทองบนความรักของพ่อแม่อย่างเราน่ะ รู้จักชีวิตสักแค่ไหนเชียว”
“แล้วมันเป็นความผิดของแหมวหรือคะ ที่แหมวมีแม่ แต่พี่ลายสือไม่มี”
แววตาของลายสือเริ่มสลดลง ด้วยความรู้สึกผิด โอบไหล่ของแหมวเข้ามา
“พี่ขอโทษ ไป...ไปกินข้าวกันดีกว่า...พี่จะเลี้ยงแหมวเอง”
“ค่ะ”
แหมวยิ้มปลื้ม ทั้งสองกอดคอกันออกไป
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 9 (ต่อ)
ศลัยลายังอยู่ในเสื้อคลุมเสื้อนอนนั่งกุมศีรษะอยู่ พลางหลับตานิ่งๆ ภาษิตนั่งมองอยู่ไกลๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ นวลนภาเอายาและแก้วน้ำมาให้
“เอ้า กินยาซะ ไม่ต้องไปทำงานหรอก แม่โทร.ไปบอกคุณผจงจิตแล้วว่าไม่ค่อยสบาย”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรที่มันทำให้แย่ลงเลยครับ พี่ภูเขาไม่ยอมหย่า เขาก็ยังมีเวลาตัดสินใจใหม่อีก”
“เขาไม่ยอมหย่า ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ชั่วชีวิตของเขา...เขาไม่เคยขัดใจแม่ของเขาเลยนะ มันทำให้เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ได้แล้วละ”
“แล้วหนูจะทำยังไง”
สีหน้าแววตาของศลัยลาเด็ดเดี่ยวมากขณะบอกออกมา
“หนูจะฟ้องหย่าค่ะ!”
สองคนอยู่ในห้องกายภาพบำบัด ที่โรงพยาบาล เพียรภมรทำกายภาพบำบัดให้ฉวี ศลัยลายืนนิ่งๆ สีหน้าระทมทุกข์ ท่าทีฉวีนิ่งเฉย เลื่อยลอย ไร้ความรู้สึกอย่างเก่า
“ได้ แต่ก่อนอื่นฉันขอคุยกับภูฉายก่อน”
“ทำไมต้องคุยกับเขาด้วย” ศลัยลาฉงน
“เพราะ...ถ้าเรายังตกลงกันได้ด้วยดี ความสูญเสียที่มันจะเกิดขึ้น มันก็คงไม่มาก อย่างน้อยการฟ้องหย่าก็ต้องใช้เงินด้วยกันทั้งสองฝ่ายนะ”
“ฉันไม่เสียดายเงินหรอก ...ความรู้สึกที่ดี มันมีค่ากว่าเงินเรายังเสียมันได้ ฟ้องเถอะ..พอถึงจุดนี้จริงๆ ฉันทนเห็นผู้ชายคนนี้ไม่ได้แม้แต่..วินาทีเดียว!”
ศลัยลาสะเทือนใจ
เพียรภมรละมือจากฉวี มาแตะลำแขนของศลัยลาอย่างปลอบโยน
“เพียรจะไปพบคุณภูฉาย”
ไม่นานต่อมา ภูฉายนั่งนิ่งมาดขรึมอยู่ในห้องทำงานที่แบงค์ เหลือบสายตาขึ้นมองเพียรภมรด้วยแววตากระด้าง
“ผมไม่หย่า ผมมีเหตุผลของผม”
“แต่ศลัยลาต้องการหย่ากับคุณ คุณก็รู้ว่าปัญหาของคุณกับศลัยลาต้องจบลงด้วยการหย่า”
“คุณไม่เข้าใจปัญหาของเราหรอก เพราะคุณไม่เคยแต่งงาน...ผมยืนยันอยู่คำเดียว..ไม่หย่า!”
เพียรภมรลุกขึ้นยืน แววตาเย็นชา
“ฉันให้เวลาคุณทบทวนตัวเอง แล้วที่ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพราะฉันเป็นทนายของพี่ศลัย แต่เราเคยเป็นเพื่อน อะไรที่สูญเสียน้อยที่สุดสำหรับเพื่อนฉันสองคน ฉันจะทำ”
ภูฉายเสียงเข้ม “ผมไม่หย่า!”
“งั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้วละ”
เพียรภมรลุกขึ้นยืน ดวงสมรเดินสวนทางเข้ามา ต่างทักทายกันและกัน เพียรภมรยกมือไหว้ก่อน
“อ้าว คุณทนาย สบายดีเหรอคะ”
“ค่ะ ประชุมคราวที่แล้วไม่พบคุณดวงแก้วเลยนะคะ”
“ไม่อยู่ค่ะ ฉันไปนอกเพิ่งกลับ แต่เห็นว่าคุณทำงานแข็งขันมากแล้วค่อยคุยกัน”
“ค่ะ”
เพียรภมรหันไปมองภูฉายด้วยแววสงสัยนิดหนึ่ง ก่อนเดินออกไป
“ทนายมาคุณทำไม” ดวงแก้วถามหลังเพียรภมรลับตัวไปแล้ว
“เรื่องหย่า...แต่...แต่ผมไม่หย่าหรอกครับ ผมรักศลัยลา”
ภูฉายพยายามฝืนยิ้มอย่างเก้อๆ วางสีหน้าไม่ถูก
ขณะเดียวกันแหมวเดินตามลายสือมาตามฟุตบาธ พยายามโน้มน้าว อ้อนวอน
“ไปอยู่กับพวกเราเถอะค่ะ น้องๆ ของแหมวทุกคนอยากมีพี่ชายเท่ห์ๆ ไม่อยากเป็นพี่ชายที่แสนดีของเราหรือคะ พี่ลายสือ”
“พี่เป็นไม่เป็นหรอก เป็นลูกคนเดียวจนเคยตัวน่ะ นี่..ถ้าเป็นเพื่อนตัวเองได้ดี ไม่ต้องมีหรอกพี่ๆ น้องๆ น่ะ”
ลายสือเดินออกไปเลย
แหมวหยุดก้าว มองตามลายสือไปด้วยสีหน้า สลดลง
“พี่ลายสือ”
เย็นจวนค่ำ สลักชะเง้อมองออกไปที่ประตูบ้าน ด้วยท่าทีเหงาหงอย บ่นเบาๆ ละมัยทำงานบ้านอยู่ มองมายังสลักด้วยความแปลกใจ ที่ไม่เห็นสลักตีโพยตีพายเหมือนเดิม
“ทำไมป่านนี้ภูเขายังไม่กลับอีกนะ หรือว่าเขาโกรธ...ที่ฉันเล่นงานเขาหนักไปหน่อยวันนั้น”
“เพิ่งจะห้าโมงเย็นนะคะคุณนาย”
“แต่เขาเคยถึงบ้านแล้วนะ”
“คุณภูอาจจะเลยไปดูคุณหนูที่บ้านคุณศลัยก็ได้นี่คะ”
สลักเหลียวขวับมา นัยน์ตาลุกวาวด้วยความโกรธ
“อย่าเอ่ยชื่อนังศลัยลาให้ฉันได้ยินอีกนะ ฉันเกลียดมัน มันคงทะนงที่ภูยังรักมันอยู่ หมั่นไส้ภูฉาย ถ้าเขาไปที่นั่นฉันจะไปตามเขา!”
สลักสลัดหน้าขึ้นชั้นบนไป ละมัยมองตามไป อุทานอย่างกังวล
“ตายแล้ว นั่นคุณนายจะไปจริงๆหรือ”
ที่ผับแห่งนั้น ภูฉายนั่งหมุนแก้วเหล้าอย่างเงียบๆ ดวงแก้วนั่งมองภูฉาย ขณะภูฉายรำพึงเบาๆ
“ผมรักศลัยลา ความรักในหัวใจผมไม่ได้ลดลงหรือมากขึ้นเพราะมันเป็นความรู้สึกที่อยู่ตัว ผมไม่หย่าเพราะผมรู้ว่าผมขาดศลัยลากับลูกไม่ได้”
“ถ้าคุณขาดใครไม่ได้เลย ระวัง...คนพวกนั้นจะรุมกันกัดคุณจนไม่มีอะไรเหลือ คนที่เขาจัดระบบชีวิตให้มีความสุขได้ เพราะเขากันความรักส่วนหนึ่งเอาไว้รักตัวเอง!”
“คุณหมายความว่า...”
“ฉันพยายามจะบอกคุณ เพราะฉันเคยหย่ามาก่อน ฉันเข้าใจคุณค่ะ..ภูฉาย”
ทั้งสองสบสายตากันและกัน
คืนเดียวกันนั้นศลัยลายืนกอดอก สีหน้าเคร่งเครียด สลักเดินลงมาจากชั้นบนหลังจากไปดูหลาน และหาภูฉาย แต่ไม่พบ นวลนภาเดินตามมาส่ง สีหน้าสลักยังคงโกรธเกรี้ยว
ภาษิตประชด “เราไม่ได้ซ่อนพี่ภูไว้ใช่มั้ยครับ คุณแม่ คุณนายก็เลยหาตัวพี่ภูไม่พบ”
สลักโกรธ “คุณควรจะอบรมลูกชายคุณให้รู้จักใช้ยาสีฟันยี่ห้อดีๆ เสียบ้างนะคุณนวลนภา อ้าปากพูดไม่กี่คำ กลิ่นน้ำนมฟุ้งเชียว อ้อ...แม่ศลัยลาไอ้เรื่องหย่าน่ะ ฉันจะจัดการให้เรียบร้อยเร็วที่สุด”
ศลัยลาเมินไป พยายามอดกลั้น
“ภูน่ะ...เขาเป็นคนรักแม่ แม่สั่งคำไหนคำนั้น หวังว่าคงไม่รีบร้อนลุกขึ้นมามีผัวใหม่ทั้งที่เรื่องหย่ายังคาราคาซังนะ!”
สลักยิ้มเยาะ แล้วเดินออกไป
ภาษิตโกรธ โวยวายกับพี่สาว
“ทนฟังอยู่ได้ยังไงน่ะ พี่ศลัย ยังงี้มันดูถูกกันนี่”
นวลนภาฉุน “คุณสลักนี่พิลึก พูดออกมาได้ทั้งที่ผมน่ะถ้าไม่ย้อมก็สามสีแล้วละมั้ง...ภาวะยังงี้ใครมันจะนึกอยากมีผัวใหม่ล่ะ มันเพิ่งจะเข็ดขี้อ่อนขี้แก่กับผัวเก่า!”
“หย่าเถอะครับพี่ศลัย หาทางหย่าให้ได้ ร่วมญาติกับคนพวกนี้แล้วผมบอกตรงๆ ผมไม่อยากมีเมียเลย กลัวญาติเกี่ยวดองอย่างคุณนายสลัก!”
ภาษิตเดินขึ้นชั้นบนไป
สีหน้าแววตาของศลัยลาอ่อนล้าเหลือเกิน
ภูฉายนั่งทำงานอยู่ ดวงแก้วเดินเข้ามา ด้วยท่าทีเชื่อมั่นในตัวเอง
“ฉันมารับคุณไปกินข้าวด้วยกันค่ะ”
ภูฉายปฏิเสธ “เห็นจะไม่ละครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ หรือว่ามีนัดกับแม่”
“ครับ”
ภูฉายรับคำเคร่งขรึมแล้วบอกต่อ
“ผมมีนัดกับแม่”
ภูฉายเดินออกไปจากห้องทำงาน ดวงแก้วมองตามไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
ขณะที่ศลัยลาจอดรถยนต์ ก้าวลงมา แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นลายสือยืนรออยู่ ศลัยลามองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัวจะมีคนอื่นเห็น
“คุณไม่ควรมายุ่มย่ามแถวๆ ที่ทำงานของฉันนะ”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง ร้อนเป็นไฟอยู่ที่หอพักงั้นหรือ...ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมรอคุณ...ผมอยากรู้เรื่องหย่า มันไปถึงไหนแล้ว”
“มันอยู่ที่เดิม ภูเขาไม่ยอมหย่า”
“แล้วนี่...คุณทำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
“ลายสือ”
ศลัยลามองท่าทีร้อนรนของลายสือ แล้วมีท่าทีทะนงขึ้น
“ถ้าฉันจะทำอะไรสักอย่างเรื่องหย่า...ฉันทำเพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อคุณ”
ศลัยลาเดินขึ้นตึกไป แววตาของลายสือสลดลง
ในร้านอาหารจีนชื่อดัง ภูฉายใช้ตะเกียบคีบอาหารจีนมาใส่จานของสลัก
“ร้านนี้เขาอร่อยนะ แม่ไม่ได้ออกมากินอาหารจีนตั้งนานแล้วมัวแต่ยุ่งๆ เรื่อง…” ภูฉายค้างคำแล้วเปลี่ยนเรื่อง “กุ๊กมาจากฮ่องกงครับ ผมเคยมาเลี้ยงลูกค้าที่นี่”
“เออ ลูกค้าร้อยล้านซีนะ แม่โทร.ไปแกถึงไม่ค่อยจะอยู่ แม่มีความสุขขึ้นบ้างแล้วละภูฉาย แกให้เวลาแม่บ้างยังงี้แม่รู้สึกว่าแม่ได้ถูกทอดทิ้ง”
ภูฉายหันไปเรียกบริกร
“เช็คบิลเลยนะ”
“ที่เหลือๆ นี่ห่อกลับบ้านด้วยนะ เอาไปอุ่นขึ้นโต๊ะได้อีกมื้อนึง”
“ครับผม” บริกร
ทะนงเดินออกมาหลังรับประทานอาหารแล้ว มองเห็นภูฉายเข้า ก็ตื่นเต้นดีใจ
“ภูฉาย”
“เอ้อ...”
ภูฉายหันมามองสลักอย่างเกรงใจ ท่าทีทะนงดีใจ สลักนั่งเชิดหน้าเมินหนีไป
“ไปไหนมาครับ”
“พ่อเข้ามาซื้ออะไหล่เครื่องจักรน่ะ เลยแวะมากินข้าวสบายดีหรือลูก”
“เอ้อ.. ครับ..ผมสบายดี”
“คงไม่สะดวกที่จะคุยกันนะ พ่อไปละ นามบัตรที่พ่อให้ไว้ยังอยู่หรือเปล่า”
“อยู่ครับ”
“ดี เผื่อนึกถึงพ่อ แกจะได้มีที่ไป”
ทะนงจับมือภูฉายมองไปยังสลักก่อนเดินออกไป ภูฉายมองตามไปแววตาสลักโกรธ
“พูดพิลึก...ที่ไป...แกมีแม่ทั้งคน จะมีที่ไปที่อื่นได้ยังไง ยิ่งแก่ ยิ่งเพ้อเจ้อ ทุเรศ!”
บริกรนำบิลเข้ามา
“ทั้งหมดสามพันแปดร้อยบาทครับ ผม”
สลักจอมขี้เหนียว ตาเหลือกด้วยความตกใจ เอะอะโวยวาย
“หา..เท่าไหร่นะ สามพันกว่าๆ เชียวเรอะ อาหารบ้าบออะไรกันมื้อละสามสี่พันบาทน่ะ แจ้งตำรวจเถอะภู แจ้งข้อหาค้ากำไรเกินควร ไม่ต้องไปจ่ายมัน เอาเปรียบผู้บริโภคนี่”
“เอ้อ....แม่ครับ แต่ว่า”
สลักโพล่งขึ้น “แจ้งตำรวจ..แม่สั่งให้แกเรียกตำรวจมาเดี๋ยวนี้ อะไร...กะอีแค่กินอาหารจีนแค่สองคน สามสี่ร้อยฉันยังว่าแพงเลย...ภู”
สีหน้าแววตาของสลักเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“เรียกตำรวจ!”
ศลัยลาใช้โทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“มัยหรือ...ฉันต้องการพูดกับคุณภู...ไม่เป็นไร งั้นฉันจะโทร.ไปหาเขาที่ทำงาน”
ศลัยลาหมุนโทรศัพท์เข้าธนาคารที่ภูฉายทำงาน ผจงจิตนั่งมองด้วยความห่วงใย กังวล
ท่าทีศลัยลาเริ่มโกรธ “ขอสายผู้จัดการ...ฉันต้องโทร.สักกี่ครั้งนี่ ถึงจะได้พูดกับผู้จัดการของคุณ บอกภูด้วยก็แล้วกัน ภรรยาเขาโทร.มาเรื่องหย่า!”
ศลัยลากระแทกสายลง
“ศลัย..ใจเย็น ซีศลัย”
“เขาหลบหน้าฉัน เขาไม่ยอมหย่า... คอยดูนะผจง ฉันต้องพบภูให้ได้..!”
สีหน้าแววตาของศลัยลาเด็ดเดี่ยวมาก
ที่ด้านนอกร้านอาหารจีน ภูฉายดึงสลักมายังรถยนต์ สลักส่งเสียงมาตลอดเวลา
“คอยดูนะ ฉันจะไม่เหยียบร้านนี้ ซอยนี้ก็ไม่ผ่าน ฉันซื้อกินที่หน้าปากซอยถุงละยี่สิบบาทแค่นั้น เพราะแก...แกไม่ยอมเรียกตำรวจ ไม่ยังงั้น...”
“แม่ครับ ที่นี่ไม่ใช่ร้านแบกะดินอย่างที่แม่เคยซื้อหน้าปากซอยราคามันต้องต่างกันครับ”
“แต่ไม่ใช่ต่างกันมากยังงี้ เอ...งั้น...งั้นพ่อแกเขาคงดีขึ้นซีนะ เขาถึงได้มีปัญญามานั่งกินอาหารแพงๆ ยังงี้”
“เรากลับกันเถอะครับ แม่”
ภูฉายดึงตัวสลักมานั่งรถยนต์ สลักยังบ่นต่อด้วยความไม่พอใจ
“หรือแกล้งทำเป็นรวยก็ไม่รู้ ไอ้พวกบ้านนอกเข้ากรุงเทพฯนี่มันแกล้งรวยเก่งจะตายไปเหมือนตอนที่…”
ศลัยลาขับรถยนต์มาจอดติดไฟแดง สีหน้าหงุดหงิด โกรธสุดขีด รถยนต์ของภูฉายเทียบจอดติดไฟแดง ศลัยลาหันไปมองเห็นภูฉาย ต่างเปิดประตูรถยนต์ลงมา โดยศลัยลาเป็นฝ่ายระเบิดเสียงใส่หน้าภูฉาย
“ทำไมคุณไม่ยอมหย่า!”
“เพราะผมไม่ต้องการหย่า มันจำเป็นหรือ เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในครอบครัว เราต้องหย่ากัน”
สลักก้าวลงมา ยืนมองอย่างงงัน
“คุณให้ฉันรอ คุณเห็นเวลาของฉันไม่มีค่าเลยหรือยังไง”
“มีเหตุผลหน่อยซีศลัย ถ้าคุณมีเหตุผล เรื่องของเราคงไม่เลวลงยังงี้”
“มันเลว...มันเลวลงเรื่อยๆ มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก ตราบใดที่...”
ศลัยลาเหลียวไปมองสลัก แต่สลักเมินหน้า
“คุณทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นแม่ผมนะ คุณหึงแม่ผมหรือ นั่นแม่ผมแล้วผมน่ะ...ผมเป็นอะไร หัวหลักหัวตอ ไม่ใช่ผัวไม่ใช่พ่อของลูก!”
“คุณจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณต้องหย่า..!”
“ไม่....ผมไม่หย่า!”
ภูฉายตะโกนก้องถนน
“ฉันจะฟ้องหย่า!”
“เชิญ..!”
ศลัยลาสะบัดหน้าขึ้นรถยนต์ มีเสียงแตรไล่ทั้งสอง ศลัยลาขับรถยนต์ออกไปด้วยความโกรธจัด ภูฉายหน้าบึ้ง มองตามศลัยลาไปไม่วางตา มีเสียงแตรรถยนต์กดไล่ถี่ๆ ภูฉายหันไปด่า
“โธ่โว้ย ไล่อยู่ได้ ไม่มีใครนอนค้างบนถนนหรอกน่ะ จะรีบกลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านหรือยังไง”
สีหน้าสลักซีดเผือดตกใจสุดขีด เมื่อเห็นอารมณ์โกรธที่แท้จริงของภูฉาย รีบผลุนผลันขึ้นรถทันที ภูฉายขับรถทะยานออกไป
อ่านต่อตอนที่ 10