xs
xsm
sm
md
lg

แค้นเสน่หา ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แค้นเสน่หา ตอนที่ 9

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ฉัตต์นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะภายในร้านกาแฟที่ต่างประเทศ มีเพื่อนฝรั่งเดินเข้ามาหา ฉัตต์ทักทายกันสองสามคำ เบาๆ

“Hi…no class? - ไม่มีเรียนเหรอ?” เพื่อนทัก
“No…sit down here - ไม่มี...นั่งนี่สิ” ฉัตต์ชวน
“Thanks….a friend’s over there - ขอบใจ...เพื่อนฉันอยู่โน่น”
“All right..see you then - งั้นเหรอ..แล้วเจอกัน”
เพื่อนเดินจากไป
ระหว่างนี้ พิสินี หรือ บัว ธิดาคนเล็กของคุณหลวงวิเศษธำรง ซึ่งแต่งตัวเปรี้ยวตามยุคสมัย สีหน้าพิสินี จ้องมองฉัตต์อยู่ก่อนแล้วอย่างสนใจ นัยน์ตาเป็นประกายล้ำลึก เจษฎาเพื่อนคนไทยร่วมรุ่นเข้ามาวางหนังสือ วางเสื้อโค้ต วางถ้วยกาแฟ ที่ยังมีควันกรุ่นๆ
“เดี๋ยวไปห้องสมุดมั้ยฉัตต์”
พิสินีได้ยินถนัด นัยน์ตาวาววับขึ้นมา เมื่อรู้ว่าฉัตต์เป็นคนไทย

ครู่ต่อมาฉัตต์หอบหนังสือ ใส่เสื้อโค้ตเดินก้าวเร็วๆ มีเจษฏาเดินมาด้วยกัน
“แวะซื้อข้าวจีนแล้ว ฉันจะกลับหอ ไม่ไปนะห้องสมุด” ฉัตต์บอก
“โอเค”
“จะให้ซื้อข้าวเผื่อมั้ยเจษ”
“โอเค...Thanksอ้าวกุญแจ” เจษฎาหันกลับไปหยิบ ลืมวางไว้ที่โต๊ะ
ฉัตต์เดินถึงประตูแล้ว จะเอื้อมมือไปเปิด พิสินี เดินเร็วๆ มาจากอีกทาง ก้มหน้าก้มตาหยิบของในกระเป๋าถึงประตูพอดีอย่างไม่ตั้งใจ ดูแบบเนียนที่สุดมือเอื้อมไปกระทบมือของฉัตต์พอดีที่จะเปิดประตู
พิสินีถอยมานิด ปรายตามองฉัตต์ “Sorry”
ฉัตต์ผายมือให้พิสินีไปก่อน “Please”
“Never mind..Thanks” พิสินีจ้องหน้านิ่ง
“No…after you - ทีหลังคุณ”
“อ้าว...คุณบัว” เจษฎาเดินกลับมา ถือกุญแจไว้ในมือ
พิสินีทำเป็นทักเหมือนเพิ่งเจอกันแนบเนียนมาก
“คุณเจษฎา ดีใจจังที่ได้เจอ...มากับใครคะนี่”
ฉัตต์มองดูพิสินีอย่างทึ่งพอสมควร
“มากับเพื่อนครับ นี่ครับ ฉัตต์...รู้จักคุณบัวรึยัง”
ฉัตต์ยิ้ม ขำๆ “รู้จักก็ทักแล้วสิ” ฉัตต์พูดเบาๆ เฉพาะกับเจษฏา
“เออ นั่นสิ” เสียงเจษฎาจากเบาๆ แล้วดังขึ้น “นี่ คุณพิสินี วิเศษธำรง เรียนยูเดียวกับเรา”
“สวัสดีค่ะ บัวเพิ่งย้ายมาจากแอลเอค่ะ ยินดีที่รู้จัก” เปลี่ยนชื่อเมืองตามประเทศที่ไปถ่าย
“ครับ ยินดี ผมฉัตต์ครับ ฉัตต์ ปัณณธร”
พิสินีมองเข้าไปในดวงตา “เพื่อนคนแรกของบัวในนิวยอร์คเลยนะคะ”
“อ้าว...เอาผมไปทิ้งที่ไหนฮะคุณบัว” เจษฎาท้วง โวยนิดๆ
“คุณเป็นเพื่อนเก่าจากเมืองไทย...ไม่นับ” พิสินียื่นมือให้ฉัตต์ “ดีใจมากค่ะ”
สองคนจับมือกัน

ส่วนอีกฟากหนึ่ง ในเมืองที่จริมาพักอยู่ จริมากำลังเขียนจดหมายถึงรุ้ง
“ตัวเล็ก...ทำไมเงียบไป ไม่เขียนจดหมายถึงพี่ฉัตต์ เขาเขียนมาทวงนะ” จริมากัดปากกา..คิด “เออ แต่ช่วงนี้ไม่มีจดหมายของพี่ฉัตต์...อาจจะเรียนหนัก หรือมีเพื่อน ใหม่ก็ได้”

ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ สองคนเดินมาด้วยกันแต่ไกล จนใกล้เข้ามา
“ของส่งมาหมดหรือยังครับ” ฉัตต์ถาม
“หมดแล้วค่ะ” พิสินีหัวเราะเบาๆ “ของบัวเยอะ บัวคงต้องอยู่คนเดียวไม่มีรูมเมท”
สองคนเดินกันมาอีกนิดหนึ่ง
“คุณฉัตต์ รู้มั้ยว่า คุณพ่อคุณเป็นเพื่อนสนิทกับคุณพ่อบัว”
“อ๋อ นั่นน่ะสิ ผมเห็นนามสกุลคุณบัวคุ้นๆ อยู่ แต่ไม่กล้าถาม”
“พ่อกับพ่อเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ทำไมลูกกับลูก ไม่เคยเจอกัน”
“ผมพบคุณพ่อคุณบัวบ่อยๆ คุณแม่ด้วย ท่านไปทานข้าวที่บ้านผม”
“คุณพ่อคุณฉัตต์สบายดีหรือคะตอนนี้” พิสินีถาม
“ครับ ท่านสบายดี ผมเพิ่งได้จดหมายของท่านวันนี้”
คำตอบของฉัตต์ ทำเอาพิสินีแปลกใจมาก

อีกวันหนึ่ง ที่บ้านคุณหลวงวิเศษธำรงค์เวลานั้น คุณนาย ผู้ภรรยา ซึ่งยังสาวสวย แต่งตัวทันสมัย หน้าตายิ้มแย้ม แต่เป็นคนแข็งอยู่ข้างใน นั่งอ่านจดหมายของพิสินีอยู่ในห้องโถง มือหนึ่งถือถ้วยชาสวยงามยกขึ้นดื่ม แต่สายตายังมองที่จดหมาย สักครู่คุณหลวงวิเศษเดินเข้าถามเบาๆ
“จดหมายยายบัวรึ”
“ค่ะ ย้ายไปนิวยอร์คเรียบร้อยแล้ว ดิฉันไม่เข้าใจว่าคุณพี่อนุญาตได้ยังไง ในเมื่ออีกปีเดียวก็เรียนจบแล้ว”
“เขาอยากไป ห้ามได้ยังไง”
“เราเป็นพ่อแม่ ทำไมจะห้ามไม่ได้คะ”
“เราไม่ได้เรียนหนังสือกับเขานะ” คุณหลวงว่า
“ถึงยังงั้นก็เถอะค่ะ เขาเป็นลูกควรจะรู้ว่าพ่อแม่เลือกน่ะ มันดีที่สุด เรียนยูซีแอลเอ ดีๆ แท้ๆ” คุณนาย
ปยุตแต่งเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามา “พูดถึงยายบัวใช่มั้ยครับ อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปนิวยอร์คนั่นแหละผมว่า คุณแม่อย่าเป็นกังวลเลยครับ”
ปยุต พี่ชายพิสินี เป็นตำรวจเหมือนพ่อ รูปร่างแข็งแรง ใบหน้าหล่อเหลา พูดจาเสียงดังฟังชัด เป็นคนรักความถูกต้อง

หลวงวิเศษหยิบหนังสือพิมพ์ส่งให้ปยุต “อ่านหรือยัง วัยรุ่นสองกลุ่มตีกันเพราะเพลงผู้ใหญ่ลี”
ปยุตรับมา “เหรอครับ” แล้วอ่าน พลางถาม “แค่ร้องเพลงผู้ใหญ่ลีเนี่ยนะครับ”
“มันไม่ใช่เพราะเนื้อเพลงหรอก เพลงมันก็ผู้ใหญ่บ้านที่งงๆ กับการพัฒนาไม่ได้ยั่วยุอะไร แต่มาร้องเพลงรบกวนเขาตอนกลางคืนเนี่ยสิมันยั่วยุอารมณ์กันตรงนี้”
“อ้อ..คุณพี่คะ ยายบัวบอกว่าพบลูกชายคุณพจน์ ปัณณธร เพื่อนคุณพี่ด้วยค่ะ ที่นิวยอร์ค แต่เห็นว่าลูกชายไม่รู้ว่าพ่อไม่สบายมาก ไม่เห็นพูดถึง..ก็แปลกดีนะคะ”

คุณนายหลวงวิเศษตั้งข้อสังเกต

เวลาผ่านไปอีก 3 ปี แล้ว

วันนี้ พจน์นอนแบบอยู่บนเตียง ในโรงพยาบาล อาการป่วยค่อนข้างทรุดหนัก หมอกำลังตรวจอาการ พยาบาลถือแฟ้มคอยอยู่ข้างๆ คุณหญิงเพ็ง หน้าตาวิตกมาก จันทร์อยู่ใกล้ๆ ละเมียดยืนห่างออกมา หมอตรวจอาการ สีหน้าวิตก ดูออกว่าเคร่งเครียด
รุ้งในชุดนักเรียนพยาบาลเคาะประตูเบาๆ เปิดเข้ามา จันทร์หันไปเห็นยื่นมือรับ รุ้งจับมือเข้ามาหาแม่
“แม่จันทร์”
“รุ้ง” จันทร์ทักเสียงเบา แต่เสียงสั่นสะท้าน “ซื้อตั๋วเรือบินส่งไปให้...”
“แม่จันทร์...” รุ้งน้ำตาคลอทันที “ไม่จริงใช่มั้ยแม่” พลางมองคุณหญิงเพ็ง
“อะไรนะจันทร์เมื่อกี้ว่าอะไร” คุณหญิงได้ยิน
“เอ้อ...” จันทร์อึกอัก
“แม่คงหูไม่ฝาด...ว่าจะซื้อตั๋วเรือบินส่งไปให้...ให้ใคร...ริมาเหรอ”
“ค่ะ คุณแม่”
“ทำไม พ่อพจน์ไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้นลูกก็รู้นะจันทร์”
จันทร์เล่าที่จริมาเคยขอร้องเอาไว้ทันที
“น้าจันทร์ ริมาจะทนไม่ได้แล้วนะ อย่าให้ริมาไปเลย ริมาไม่ไป ไม่อยากไปไม่อยากทิ้งคุณพ่อ”
คุณหญิงเพ็งฟังแล้ว เศร้าหมอง สงสารหลาน
“โธ่เอ๋ยริมา”
“ดิฉันจึงต้องให้สัญญากับคุณริมา”
“สัญญาอะไร” คุณหญิงสงสัย
จันทร์เล่าเรื่องที่ตกลงกับจริมาไว้อีก
“ไป ริมาจะไป ริมาจะไม่ทำให้คุณพ่อเสียใจ แต่น้าจันทร์กับตัวเล็กต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไรคะ”
“น้าจันทร์ต้องซื้อตั๋วเรือบินให้ริมากลับมาดูใจคุณพ่อ”
คุณหญิงเพ็งเครียด ถอนใจใหญ่ คิดหนัก
“คุณแม่คะ”
“อย่าขัดใจคนกำลังจะตาย” คุณหญิงเพ็งเดินไปที่เตียงพจน์ทันที
จันทร์หน้าสลด รุ้งยิ่งสลดกว่า

เวลาต่อมารถที่มีแนบขับแล่นมาระหว่างทาง มุ่งหน้ากลับบ้านปัณณธร ภายในรถคุณหญิงเพ็งนั่งหน้าไม่สบายใจลึกๆ จันทร์นั่งคู่อยู่ด้านหลัง กิริยานั่งนอบน้อมไม่ตีเสมอ รุ้งนั่งหน้า จันทร์กับรุ้งสีหน้าไม่ดีพอกัน
รถจอดหน้าตึก คุณหญิงลงรถ ละเมียดมารับกระเป๋าถือ คุณหญิงเดินเข้าไป รุ้งมองหน้าแม่ จันทร์ตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“คุณแม่คะ”
คุณหญิงเพ็งหันมา สายตาไม่อยากพูด แต่จำเป็นต้องพูด
“พ่อพจน์คงมีชีวิตต่อไปไม่นานถ้าเขาตายไป ใจยังเป็นห่วงว่าริมาจะกลับไปเรียนต่อให้จบหรือเปล่า...วิญญาณเขาไม่ไปไหนแน่”
สองคนอึ้ง
คุณหญิงเพ็งเดินเข้าตึก ละเมียดสบตาจันทร์สายตาเป็นคำถาม แต่ก็เดินตามคุณหญิงไป
จันทร์หันมาทางรุ้ง “รุ้ง”
รุ้งน้ำตาเต็มตา แต่สีหน้าสู้ตาย
“รุ้ง” สุ้มเสียงจันทร์วิตกว่ารุ้งจะทำอะไร
รุ้งปาดน้ำตาอย่างแรง เดินไปทันที

ครู่ต่อมาสองแม่ลูกยืนพูดกัน ในลักษณะทุ่มเถียงกันอยู่ตรงสนามหญ้า รุ้งพยายามอธิบาย แต่จันทร์ส่ายหน้าว่าทำไม่ได้ อย่าทำเลย รุ้งมีท่าทีมั่นใจว่าจะทำ แต่กิริยายังนุ่มนวล จันทร์ยืนอึ้ง
รุ้งว่าจะส่งตั๋วเรือบิน แต่จันทร์ไม่ให้ขัดใจคุณหญิง

จริมาอยู่ในห้องพัก อ่านจดหมาย น้ำตาร่วงทันที
“คุณย่าไม่ให้ริมากลับเมืองไทย กลัวริมาไม่กลับไปเรียน แต่รุ้งจะส่งตั๋วให้ริมา เพื่อนคุณลุงจะให้คนที่สถานทูตออกตั๋วให้ริมาก่อน ไม่งั้นไม่ทัน รุ้งให้เงินค่าตั๋วไปแล้ว แต่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าริมาไม่ยอมกลับมาเรียนต่อ รุ้งจะไม่พูดกับริมาตลอดชีวิต อีกอย่าง...ห้ามบอกคุณฉัตต์ เพราะคุณฉัตต์ไม่มีวันกลับไปเรียน”
จริมากัดปากแน่น หยิบจดหมายรวดเร็ว เขียนหัวกระดาษ
“พี่ฉัตต์...ริมาต้องบอกพี่ฉัตต์ว่า...”
แต่แล้วจริมาก็หยุดเขียน พร้อมๆ กับเสียงของรุ้งดังขึ้นในหู
“ถ้าคุณฉัตต์กลับ คุณลุงตาไม่หลับแน่”

จริมาขยุ้มกระดาษเป็นก้อนปาไปอย่างแรง

อีกวันหนึ่ง ที่หน้าตึกเรียนในมหาวิทยาลัย ฉัตต์เดินออกมากับอาจารย์ฝรั่งคนหนึ่ง คุยกันเบาๆพิสินี เดินเร็วๆ ขึ้นบันไดไป ทักทายกัน กิริยาสบายๆ เป็นกันเอง สองคนดูสนิทกันมากขึ้นแล้วในเวลานี้

“อ้อ...บัวสวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ฉัตต์”
ฉัตต์แนะนำ “Dr.Smith…my advisor - ด็อกเตอร์สมิทธิ์ อาจารย์ที่ปรึกษาของผม” แล้วจึงแนะนำอาจารย์ให้รู้จักกับพิสินี “Miss.Pisinee a friend of mine - คุณพิสินี เพื่อนของผมครับ”
สองคนจับมือกัน พูดเบาๆ “nice to meet you” เหมือนๆกัน
สมิทธิ์ถาม “Are you Thai - คุณเป็นคนไทยหรือ”
“Yes, I’m Thai - ค่ะ...ฉันเป็นคนไทย”
“Never seen you…study here? - ไม่เคยเห็นคุณ...เรียนที่นี่หรือ” สมิทธิ์ถาม
“I’ve just moved from LA - ฉันเพิ่งย้ายมาจากแอลเอค่ะ”
“Ah…good” สมิทธิ์หันไปทางฉัตต์ “See you later - แล้วพบกันนะ” หันไปพูด “Bye” กับพิสินี
“Yes, thank you Dr.Smith - ขอบคุณครับ”
พิสินีบอกลา “Goodbye”

ตรงลานสวยงามในมหาวิทยาลัย สองคนเดินเร็วๆ ไปตามทางในบริเวณนั้น
“วันนี้ไม่มีเรียนหรือครับบัว”
“เรียนเช้าค่ะ...บ่ายบัวว่าง ฉัตต์มีเรียนมั้ยคะ”
“ผมมีคลาสอีกตอนบ่ายสาม”
“ฉัตต์ ไม่สบายใจหรือคะ บัวดูหน้าแล้ว...หน้าไม่เหมือนวันก่อน”
“นิดหน่อยครับ คอยจดหมาย”
หน้าตาพิสินีจับสังเกตทันที “จดหมายใครคะ”
“จดหมายน้องสาวครับ”
พิสินีหยุดเดิน “อ๋อ น้องที่เรียนอยู่มิชิแกนใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ เขาเคยเขียนจดหมายเดือนละฉบับ นี่สองเดือนแล้วไม่เขียนมา”

ฉัตต์ไม่มีทางรู้ว่า เวลาเดียวกันนั้นจริมานั่งหน้าหมองเศร้าอยู่บนเรือบินลำนั้นที่กำลังพาเธอกลับประเทศไทย มองออกไปนอกหน้าต่าง

วันต่อมาฉัตต์ถือกาแฟมาวางให้ พิสินีพูดขอบคุณเบาๆ จนพอกาแฟหมดถ้วยแล้ว พิสินีเลื่อนถ้วยกาแฟของฉัตต์ที่พร่องไปนิดเดียวให้ฉัตต์ที่กำลังอ่านจดหมาย
“ขอบคุณครับ” ฉัตต์พับจดหมาย หลังอ่านเสร็จแล้วดื่มกาแฟ
“คุณพ่อของฉัตต์ดีนะคะ เขียนจดหมายถึงลูกสม่ำเสมอใช่มั้ยคะ คุณพ่อบัวหลายเดือนถึงจะเขียนซักฉบับ คุณแม่ไม่เขียนเลย”
“สม่ำเสมอครับ สองเดือนฉบับหนึ่ง”
พิสินีสีได้ฟัง มีสีหน้าฉงนมาก แต่ฉัตต์ไม่เห็น
“มีเรื่องอะไรที่เมืองไทยมั้ยคะ”
“ไม่มีครับ คุณพ่อจะเขียนสั้นๆ เตือนผมให้ตั้งใจเรียนทุกฉบับ...” ฉัตต์ยิ้มขำๆ “และก็บอกท่านสบายดี”
“คุณย่าแข็งแรงนะคะ”
“ครับ..คุณย่าดูแลสุขภาพดี”
“คุณพ่อละคะ” พิสินีถามไปเรื่อยๆ
“คุณพ่อก็สบายดีครับ งานหนัก แต่ท่านดูแลตัวเองดีครับ”
สีหน้าพิสินียิ่งแปลกใจ

ส่วนที่เมืองไทย หลวงวิเศษ แต่งตัวในชุดลำลอง เดินออกมาอย่างรวดเร็ว
คุณนายผู้เป็นภรรยาร้องถาม “คุณพี่ไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวหรือคะ”
หลวงวิเศษมองตัวเองนิดหน่อย “ไม่เป็นไร” แล้วรีบเดินออกไปต่อ
“เปลี่ยนหน่อยเถิดค่ะ ดิฉันเตรียมไว้แล้ว”
“บอกว่าไม่ก็ไม่” เสียงคุณหลวงเย็น ในท่าทีนิ่งๆ
“เมื่อกี้คุณพี่บอกให้ดิฉันเตรียมเสื้อให้ด้วย”
“คุณนายอย่าพิรี้พิไร เมื่อกี้ให้เตรียมก็เพราะจะเปลี่ยน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเหมือนกัน...เปลี่ยนใจ”
ปยุตวิ่งมาเร็วๆ “ผมขับรถให้คุณพ่อครับ”
สองคนเดินออกไปด้วยกัน
“แกไม่ไปทำงานหรือ ปยุต”
“ผมออกเวรครับ…คุณแม่เป็นอะไรครับ”
“ถามทำไม...เป็นเหมือนปกติ” สีหน้าคุณหลวงขุ่นมัว ปยุตรู้ดีพ่อไม่เคยพูดดีกับแม่อยู่แล้ว
“ไป...ปยุต...เร็ว”

สองคนพ่อลูกเดินออก อย่างรีบเร่ง

ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหน้าห้องคนไข้ของโรงพยาบาล  หลวงวิเศษ ปยุต ยืนคุยกับคุณหญิงเพ็ง จันทร์ และหมอเจ้าของไข้ เรื่องอาการของพจน์ หมอธิบายด้วยสีหน้าดูออกว่าหนักใจ ปยุตรู้ดี มองจันทร์อย่างเห็นใจ

คุณหญิงซับน้ำตานิดๆ จันทร์น้ำตาซึม
อีกมุมหนึ่งใกล้ๆ จริมาซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึง กับรุ้ง และละเมียด เดินมา จริมา ไม่แต่งหน้าเลย หน้าซีดขาว รุ้งอยู่ในชุดนักเรียนพยาบาล
รุ้งคอยจับแขน มองหน้า หลั่งความเข้มแข็งให้จริมาเต็มๆ จริมาน้ำตาเริ่มคลอ
“ร้องไห้ไม่ได้ อย่าร้องไห้เป็นอันขาด”
“ทำไม”
“คุณลุงจะเป็นห่วงมาก คุณลุงเข้มแข็ง ริมาต้องเข้มแข็งให้เหมือน”
คุณหญิงมองไปเห็นตกใจนิดๆ “ริมา...มาเมื่อไหร่” แล้วหันขวับไปทางจันทร์ “จันทร์ อะไรกันนี่”
“ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันสัญญาคุณริมาไว้แล้วว่าจะให้กลับมา”
จริมาก้าวเดินเร็วๆ เข้ามาถึงคุณย่า เข้ากราบที่อกกอดแน่น “คุณย่า ทำไมจะไม่ให้ริมามาหาคุณพ่อคะ”
คุณหญิงย่ากอดหลาน น้ำตาไหลริน สะอื้นอย่างอดกลั้นไม่ได้
“พ่อเขาจะเป็นห่วง เขาสั่งไว้ เขาอยากให้เรียนหนังสือให้จบ ย่าเองไม่ได้จะขัดขวางริมาเลยนะลูก แต่ต้องเห็นใจพ่อ เขาจะไปไม่สบายยังมีห่วงอยู่”
“คุณย่า” จริมามองหน้าเป็นคำถาม
คุณย่าพยักหน้า สีหน้าสะกดกลั้นความรู้สึกใจหายที่ประดังขึ้นมาจนแน่นอก
จริมายืนนิ่ง แล้วยืนไม่ไหว ต้องนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ ก้มหน้า สองมือปิดหน้าอยู่สักครู่ มีเสียงสะอื้นแบบคนที่พยายามสะกดกลั้นอย่างเต็มที่ แล้วเงยหน้าปาดน้ำตาทิ้ง ลุกขึ้น
ไกลออกไปเห็นจริมาไหว้คุณหลวง ไหว้ปยุต แล้วหันมาไหว้จันทร์ กอดกับจันทร์
แล้วคุณหญิงเพ็ง จริมา รุ้ง และจันทร์ จึงเดินเข้าห้องไป คุณหลวงกับปยุต นั่งคอยที่เก้าอี้ด้านนอก

ภายในห้องผู้ป่วย จริมาอยู่ข้างๆ พจน์ ขณะพจน์ยังหลับอยู่ จริมาจดสายตาจ้องพ่อ เห็นคุณหญิง จันทร์ ยืนคุยอยู่กับหมอเบาๆ หมอพูดอาการให้ฟัง คุณหญิงสีหน้าเคร่งขรึม ฟังอย่างตั้งใจ
จริมาจ้องหน้าพ่อนิ่ง กล้ำกลืนความอัดอั้นลงไปในอก มือของจริมาที่ห้อยอยู่ข้างตัว มีมือรุ้งเอื้อมมาสอดประสาน
จริมาหันไปทางรุ้ง รุ้งบอกด้วยสีหน้าว่าต้องเข้มแข็ง สองสาวมองหน้ากัน เหมือนให้สัญญาต่อกัน
พจน์ลืมตา มองจ้องไป “ริมา...ริมาหรือนั่น”
จริมาหันไปหา อ้าแขนเข้ากอดพ่อ ซุกหน้าลงที่ไหล่

“พจน์ไม่อยากให้ลูกสองคนกลับมา เพราะกลัวจะไม่กลับไปเรียนต่อให้จบ โดยเฉพาะลูกชาย เขารู้ว่าฉัตต์ไม่กลับแน่ๆ สิ้นพ่อแล้ว ฉัตต์ต้องคิดว่าจะปกป้องดูแลย่ากับน้องแทนพ่อ” คุณหญิงเล่าให้คุณหลวงฟังที่หน้าห้อง
“ถึงแม้คุณพจน์จะเสียชีวิต ก็ไม่บอกลูกชายหรือครับ คุณหญิง” หลวงวิเศษทักท้วง
“เขาคิดว่า เรื่องตายเป็นธรรมชาติ ทุกคนต้องตาย แต่คนหนุ่มที่ยังมีอนาคตต้องให้ก้าวต่อไป ลูกจะกลับหรือไม่กลับ พ่อก็ต้องตายอยู่ดี เขาว่าไม่ต้องดูใจกันต่อหน้าเพราะตัวเขาไม่เคยไม่คิดถึงลูกชาย ส่วนฉัตต์เขาก็เชื่อว่า ไม่มีวันที่จะไม่คิดถึงพ่อ”
หลวงวิเศษหน้าไม่ดี
“ขอผมเข้าไปหาพจน์หน่อยครับ”

ครู่ต่อมา หลวงวิเศษมองหน้าพจน์ สายตาสงสารเพื่อนรักมาก พจน์มองหน้า พยายามเข้มแข็ง คุณหลวงจับมือพจน์บีบปลอบๆ
“อย่างสิ้นหวัง ยังมีหวัง”
“ขอบใจเพื่อนรัก..ไม่ไหวแล้ว”
คุณหลวงข่มใจ กัดฟันแน่น “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลทุกคนแทนแก”
“ขอบใจ...” พจน์มองไปเรียก “ริมา”
พจน์จ้องหน้าลูกสาวนิ่ง สายตาทั้งรักทั้งห่วง ขณะเอ่ยขึ้น “สัญญา...”
“ลูกสัญญาว่าจะกลับไปเรียนให้จบ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ” จริมายิ้ม เป็นยิ้มที่ฝืนมากๆ
พจน์พยักหน้า “ขอบใจมากริมา...บอกฉัตต์ว่าพ่อขอโทษ อย่าโกรธพ่อเลย ที่ไม่บอก”
จริมาทนไม่ไหวแล้ว ตัวสั่นสะท้าน เพราะกลั้นร้องไห้ ซบหน้าข้างๆ ตัวพจน์ แต่แขนกอดไปรอบตัว น้ำตาไหลนองเต็มหน้า รุ้งจับแขนจริมา บีบอย่างแรง
จริมาหันไปหา มองหน้ารุ้ง รุ้งบอกด้วยสายตาว่าอย่า ริมาตอบรับด้วยสายตา เช็ดน้ำตาจนแห้ง
“ริมา” พจน์เรียก
“คะ”
“พ่อไม่สบาย...อยู่ไปก็ทรมาน คิดสิ...ว่าพ่อตาย พ่อไม่เจ็บปวดอีกต่อไป” พจน์ว่า
“ค่ะ คุณพ่อ”
พจน์มองตาจริมานิ่ง บอกลาคำสุดท้าย “ลูกรัก...พ่อจะไปอย่างสงบ ไม่ต้องห่วงพ่อ”
“ค่ะ”
รุ้งถอยออกมา แต่ถอยเร็วไปนิดเลยชนปยุตเข้า ปยุตประคองด้วยท่าทีสุภาพแล้วรีบปล่อย
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรนะครับ” สายตาปยุต มองรุ้ง รู้สึกประทับใจแล้ว
“ริมาพูดกับฉัตต์ให้ดี” พจน์กำชับ

“ค่ะ คุณพ่อ”

แค้นเสน่หา ตอนที่ 9 (ต่อ)

ราวกับดวงจิตพ่อส่งถึงลูกชาย ด้วยเวลานั้น ฉัตต์หลับฝันไป ว่าเห็นพจน์ยืนอยู่ที่ท่าน้ำ บ้านปัณณธร ทอดสายตามองสายน้ำไหลไปเรื่อย ๆ สักครู่พจน์หันมามอง เหมือนว่ามองฉัตต์

“จำไว้นะฉัตต์ สายน้ำเหมือนชีวิต จะทำอะไรต้องระวังเพราะทำไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เหมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ”

ฉัตต์นอนหลับอยู่ในห้องพัก สีหน้ายิ้มนิดๆ กับความฝันที่ฝันถึงพ่อ เสียงเคาะประตูเบาๆ ฉัตต์ไม่ขยับ เสียงเคาะประตูซ้ำ ฉัตต์สะดุ้ง ลืมตา แล้วรีบไปเปิดประตู
“ฉัตต์.....ขอโทษค่ะ บัวเคาะประตูดัง เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ทำไมหรือครับ”
“บัวเคาะประตูสองสามครั้ง กำลังจะกลับ นึกว่าไม่อยู่”
ฉัตต์เปิดประตูให้เข้ามา พิสินีเดินผ่าน วางหนังสือลง ถอดเสื้อโค๊ท แล้วไปนั่ง ฉัตต์ รินน้ำผลไม้ให้ บัวรับ มือถูกมือนิดหน่อย
“อุ้ย...ทำไมมือร้อนจัง ขอโทษนะคะ” พิสินีเอาหลังมือแตะแก้ม “ฉัตต์ไม่สบาย ตัวร้อนขนาดนี้ นั่งเลยค่ะ”
“ผมทานยาแล้ว”
“ตัวร้อนขนาดนี้ ยาก็เอาไม่อยู่...เดี๋ยวบัวทำให้”
ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กแตะลงซอกคอฉัตต์ เช็ดเบาๆ และนุ่มนวล ฉัตต์นั่ง พิสินียืน ฉัตต์พึมพำ
“ขอบคุณนะครับ”
“เป็นไข้ เช็ดตัวบ่อยๆหายได้นะคะ เอาความร้อนออกจากตัว ฉัตต์เป็นอะไรคะ เนี่ย สีหน้าดู..ดูมีความสุข”
“ผมฝันถึงคุณพ่อ”
“จริงหรือคะ” พิสินีสังหรณ์ใจ “ฝันดีหรือฝันร้ายคะ”
“ฝันดีครับ ตอนผมยังเด็ก คุณพ่อสอนว่าให้ใช้ชีวิตระวัง เพราะอะไรที่เกิดแล้วจะไม่หวนกลับมาเหมือนสายน้ำที่ไม่เคยไหลกลับ”
พิสินีสงสารมาก
“คุณพ่อจวนเกษียณแล้ว อีก 3 ปี ตอนนั้นผมก็จะเรียนจบปริญญาโทพอดี ท่านจะได้พักผ่อน”
ฉัตต์ยิ้มกับพิสินี สีหน้าแจ่มกระจ่าง ยามพูดถึงพ่อ
พิสินีใจอ่อนยวบ สงสารจนล้นใจ โอบร่างฉัตต์เข้ามาในอ้อมแขน พิสินียังยืนอยู่ และฉัตต์ก็ยังนั่งอยู่
“คุณบัว”
พิสินีกอดนิ่งๆ แล้วปล่อย ดึงตัวฉัตต์ให้ลุกขึ้นยืน “ไปหาข้าวกินกันดีกว่าค่ะ”
ฉัตต์อึกอัก “เอ่อ...”
“บัวแค่ประทับใจที่คุณพ่อสอนฉัตต์.. .ก็แค่นั้นค่ะ let’s go I’m starving” หญิงสาวบอก (ไปค่ะ บัวหิวแทบตายแล้ว)

ไม่นานต่อมาสองคนนั่งอยู่ในร้านอาหารสวย บรรยากาศดี พิสินีพับผ้าเช็ดปากวางบนโต๊ะ หยิบแก้วไวน์แดงมาดื่ม
“อิ่ม...อร่อยมาก ขอบัวเลี้ยงนะคะ”
“ไม่ได้ครับ” ฉัตต์บอกในจังหวะที่บัวหยิบกระเป๋าตังค์พอดี “บัว..อย่าครับ” หยิบกระเป๋าตังค์มาจ่ายเอง “บัวมีน้ำใจกับผม แล้วยังจะเลี้ยงอีก ไม่ได้ คุณพ่อรู้เข้า ผมโดนแน่ๆ”
พิสินีจ้องหน้า “ฉัตต์รักคุณพ่อจัง”
“ผมไม่มีแม่ สามขวบเองที่คุณแม่เสีย” สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้นนิดหนึ่ง แล้วคลายเป็นปกติ “มีแต่คุณพ่อ คุณย่า น้องสาว”
พิสินีจ้องหน้าฉัตต์ สายตาทั้งสงสาร เห็นใจ และไม่เข้าใจ
“อิ่มแล้ว เดินเล่นกันหน่อยนะครับ”

วันต่อมา ทุกคนอยู่ข้างเตียงพจน์ ขณะหมอเปิดประตูเดินเข้ามาเร็วรี่ พยาบาลตามเข้ามาคนหนึ่ง ที่ไปตามหมอมา ภายในห้องทุกคนกระวนกระวายอยู่ที่เตียง หมอเข้าไป ก้มลงตรวจแล้วหันมาทางพยาบาล พยักหน้าเรียกยา สั่งเบาๆ พยายาลออกไป หมอวัดความดัน ท่าทีหนักใจมาก พยาบาลเข็นรถเข้ามา ส่งเข็มฉีดยาให้ หมอรับไปฉีด จริมาหน้าเสียมาก จับมือพจน์บีบเบาๆ

สองคนเดินเที่ยวกันในสวนสาธารณะสวยๆ นอกเมือง บรรยากาศร่มรื่นน่ารื่นรมย์
“ครอบครัวบัวถึงจะเป็นครอบครัวใหญ่ พี่น้องลูกหลานหลายคน แต่ไม่อบอุ่นเท่าครอบครัวฉัตต์เลยค่ะ”
ฉัตต์ยิ้มบางๆ สายตาคิดถึง “เรามีด้วยกัน 4 คนเท่านั้น..น้อยมาก ตอนนี้คงเหงาเพราะมีแต่คุณย่ากับคุณพ่อ ผมกับน้องมาเรียนไกล ผมต้องรีบเรียนให้จบ รีบกลับเมืองไทย ถ้าเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาก็จะมีความสุขกันมากกว่านี้”
พิสินีให้นึกสงสาร มองมาด้วยสายตาละมุน ฉัตต์หันมาเห็น
พิสินีสอดมือเข้าประสานกับมือฉัตต์ ฉัตต์มีสีหน้าอึ้งไปนิด แต่ก็บีบมือตอบรับอย่างนุ่มนวล ด้วยต่างคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องของน้ำใจธรรมดา สองคนเดินไปด้วยกัน

ในเวลาต่อมาฉัตต์อยู่ในห้องพัก ที่ต่างประเทศ และฉัตต์กำลังเขียนจดหมาย
“ริมา ทำไมริมาถึงใจร้ายอย่างนี้ ไม่เขียนจดหมายถึงพี่เลย เป็นอะไร เจ็บป่วยไม่สบายรึเปล่า พี่โทรศัพท์มาหาริมาสองครั้งแล้ว ก็ไม่พบ”
“ริมาไม่รู้หรือว่าจดหมายของทุกคนเป็นกำลังใจให้พี่ตั้งใจเรียน สำหรับริมา อะไรเป็นกำลังใจพี่ไม่รู้ สำหรับพี่คือ ครอบครัวสำคัญที่สุด มีคุณพ่อคนเดียวที่ เขียนจดหมายถึงพี่สม่ำเสมอ คุณพ่อคนเดียวเป็นกำลังใจให้พี่ตลอดเวลา”

ถึงตรงนี้ ฉัตต์จ้องที่รูปรุ้ง สายตาเข้ม แล้วหยิบรูปรุ้งคว่ำลงไปในลิ้นชัก ปิดลิ้นชักอย่างแรง

ส่วนที่เมืองไทย มองจากมุมสูงลงมาภายในห้องพจน์ ในโรงพยาบาล  เห็นร่างพจน์แน่นิ่ง หมดลมแล้ว

หมอจับชีพจร เบิกตา ก้มลงดู แล้วหันมาบอกด้วยสายตากับคุณหญิงเพ็ง คุณหญิงรับรู้อย่างนิ่งสงบ ทุกคนอึ้ง นิ่งงัน
บรรยากาศสงบนิ่ง ทุกคนอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกอย่างเดียวกัน แต่ไม่มีเสียงร้องไห้ระงม เพราะทุกคนรู้ล่วงหน้าแล้ว
เสียงสั่งเสียของพจน์ ดังขึ้น
“จันทร์..ขอบใจสำหรับทุกอย่างที่ทำให้พี่
รุ้ง...ลุงขอบใจ ดูแลแม่ให้ดี
คุณแม่...ชาติหน้าผมจะเกิดเป็นลูกคุณแม่อีก
ริมา...ต้องเข้มแข็ง ให้สมเป็นลูกพ่อ
พ่อฝากคำถึงฉัตต์ไปกับริมา ริมาบอกพี่เขาให้เข้าใจ”
สีหน้าทุกคนอยู่ในอารมณ์ตามถ้อยคำนั้นๆ

อีกวันหนึ่ง รถบ้านปัณณธรแล่นเข้าวังรังสิยามา แนบไปจอดหน้าตึกดับเครื่อง รีบลงจะเปิดประตูให้จริมาซึ่งอยู่ในอาภรณ์สีดำ จริมาเปิดประตูออกมาก่อน เดินจะขึ้นตึก
ทอแสงรัศมีเดินออกมา “จริมา”
“ทอแสงรัศมี”
“มาที่นี่มีธุระอะไรไม่ทราบ”
“ฉันยังไม่อยากรู้เลยว่า เธอมาที่นี่มีธุระอะไร”
“ฉันไม่จำเป็นต้องมีธุระ นี่คือวังท่านป้าของฉัน” ทอแสงรัศมีมองทั่วตัว “เอ๊ะ เธอเพิ่งกลับจากเมืองนอก น่าจะมีน้ำมีนวลกว่านี้นะ ทำไมโทรม อย่างนี้ล่ะ” หญิงทอแสงทำเสียงพูดทีเล่นทีจริง
จริมายิ้มนิดๆ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ “เธอไม่เคยเปลี่ยนนะทอแสงรัศมี”
“เพราะฉันพูดกับเธอไงจริมา เราเป็นเพื่อนกัน ฉันพูดตรงๆ แบบนี้แหละ”
“ขอบใจที่อุตส่าห์บอก”
“ว่าไง...มาทำไม”
“ฉันมาหาคุณชายเดียว”
หญิงทอแสงได้ฟัง เปลี่ยนท่าทีทันทีจากที่พูดทีเล่นทีจริง กลายเป็นหน้าขรึม
“มีธุระอะไรกับพี่ชายเดียว”
“เธอไม่น่าจะอยากรู้นะทอแสงรัศมี ฉันพูดตรงๆเหมือนกัน”
“ทำไมจะอยากรู้ไม่ได้ เรื่องพี่ชายเดียวฉันรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เธอไปเรียนหนังสือไม่รู้หรอกว่า ทางนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปยังไง”
“หญิงทอแสง..ใครมา” เสียงชายเดียวดังก่อนตัวจะเดินออกมาเห็น “ริมา...มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“คุณชาย...ฉันมีธุระขอคุยส่วนตัวได้มั้ย”
ชายเดียวท่าทางจริงจังขึ้น “ไป...เชิญข้างใน”
“จริมา...ฉันฟังด้วย ถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วย” ทอแสงรัศมีแทรกขึ้น
“ขอบคุณหญิงทอแสง แต่ฉันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ ฉันมีธุระกับคุณชาย เรื่องพี่ชายของฉันที่เธอไม่รู้จัก”
“แต่ฉันเป็นน้องพี่ชายเดียวนะจริมา”
“หญิงทอแสง....หลีกไปเถอะ” ชายเดียวแตะแขนจริมาให้เดินไป “เชิญครับริมา..ทางนี้”
จริมาเดินไปแล้ว ชายเดียวหันกลับมา
“หญิง พี่ว่าจริมามีเรื่องสำคัญจะพูดกับพี่ หญิงมีมารยาทหน่อยนะ”
“แต่หญิงก็เป็นเพื่อนเขา” หญิงทอแสงเสียงอ่อย
“เขาจะพูดกับพี่ส่วนตัว”
“จะไปพูดกันสองคนในห้อง น่าเกลียดมาก หญิงจะฟ้องท่านป้า”
“ท่านแม่ไม่ทรงสบาย หญิงจะเอาเรื่องไปกวนทัยทำไม”
“ต้องเล่านี่คะ เขามาถึงวัง”
“ถ้าเอาเรื่องนี้ไปทูล ต้องทูลความจริง ถ้าเพ็ดทูลเรื่องไม่จริง ระวังนะ พี่จะไม่ให้เธอเข้าวังอีกเลย”
หญิงทอแสงโกรธ “พี่ชาย”
“พี่พูดจริงๆ คิดดูให้ดี” ชายเดียวเดินกลับเข้าไป
ทอแสงรัศมีหน้าเครียด ยืนอึ้ง...เงียบ เพราะไม่รู้จะเถียงอย่างไร

จริมายืนอยู่ในห้องๆ หนึ่ง หันหลังมองไปนอกหน้าต่าง
“ริมา” ศักดินาทัก
จริมายืนตัวสั่นน้อยๆ
“ริมา...เกิดอะไรขึ้น”
“คุณพ่อเสียแล้วเมื่อคืน”
ชายเดียวอึ้งไปครู่หนึ่ง “ริมา...เสียใจด้วยนะครับ”
“ตอนคุณพ่อไม่สบาย ไม่ให้บอกพี่ฉัตต์ ตอนนี้ทุกคนเลยให้ฉันมาบอกคุณชาย...ขอร้องว่าอย่าบอกพี่ฉัตต์ว่าท่านเสียแล้ว”
“ผมจะไม่ถามเหตุผล...แต่สัญญาว่าจะไม่บอก”
“ขอบคุณ ฉันอยากได้ยินจากปากคุณชายเท่านั้น” จริมาถอนใจเบาๆ “ไม่เป็นไร ฉันควรต้องบอกว่าทำไมคุณพ่อท่านอยากให้พี่ฉัตต์เรียนให้จบ เพราะรู้ดีว่าพี่ฉัตต์ดื้อ เขาจะคิดว่าเขาต้องรับผิดชอบครอบครัว เขาจะไม่เรียนต่อแน่ๆ ฉันกับรุ้งก็ยังเรียนไม่จบ”
“ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง”

จริมาตอบทันควันว่า “ไม่ต้อง”

ชายเดียวหน้าเสีย จริมารู้ตัว พูดเสียงอ่อนลง

“ขอโทษ...คุณพ่ออยากให้พี่ฉัตต์เรียนปริญญาโทต่อ ปีนี้พี่ฉัตต์จะจบปริญญาตรีแล้ว” จริมาพูดแล้วมองชายเดียวนิ่งๆ “คุณชายล่ะ”
“ริมา...ผมเล่าไปแล้วในจดหมายถึงคุณ”
จริมานิ่งอึ้ง
“คุณไม่ได้เปิดอ่านใช่มั้ย ทีแรกผมเสียใจที่คุณไม่ตอบ นี่อ่านคุณยังไม่อ่านเหรอ”
“ขอโทษคุณชาย...ฉันตัดปัญหา ต้องรีบเรียน ไม่เขียนจดหมายถึงใครเลย”
“ไม่อ่านของใครด้วยเหรอ”
“โธ่ คุณชายฉันขอโทษแล้วไง”
ชายเดียวหน้านิ่ง
“จะโกรธไปถึงชาติหน้ามั้ยเนี่ย”
“คุณลองเอาใจเขามาใส่ใจเรามั่ง”
“โอเค...ต่อไปจะอ่าน แต่ไม่ตอบนะ ไม่ชอบเขียนจดหมาย”
“ขอบคุณ...เรื่องงานศพ ผมขอช่วยบ้างนะริมา”
“เราจัดงานเรียบง่ายมาก คุณพ่อสั่งไว้ไม่ให้สิ้นเปลือง และไม่รบกวนคนให้มางานหลายวัน”
“ผมนับถือคุณอาพจน์ ท่านเป็นพ่อที่น่าเคารพจริงๆ” ศักดินาพูดจากใจ
จริมานิ่งงัน ความเศร้าพลุ่งขึ้นมาอีก กัดฟันแน่นไม่อยากร้องไห้ ชายเดียวมองอย่างสงสารมาก เห็นจริมาสะกดกลั้น
“ริมา...ทำไมไม่ร้องไห้...ร้องสิ ร้องออกมาให้หมด”
จริมา จ้องชายเดียว ถ้อยคำนั้นเหมือนเปิดประตูทำนบ เด็กสาวสะอื้นแรงๆ แล้วลงนั่ง สองมือปิดหน้า อันเป็นท่าประจำของจริมาเวลาเสียใจสุดขีด
ชายเดียวคุกเข่าลงข้างๆ มองอย่างสงสาร จริมาหยุดร้องไห้ในที่สุด มือป้ายน้ำตาจนแห้ง
“ขอโทษนะคุณชาย”
“ดีแล้วที่คุณเชื่อผม”
จริมามองชายเดียวนิ่งๆ อยู่สักครู่ เหล่ๆ อยู่ในที แต่ไม่โต้ตอบอะไร
“ผมจะไปส่งคุณที่บ้านนะ”
“แนบขับรถมา ไม่ต้องหรอกคุณชาย ขอบคุณ ไปนะ”
“ผมจะตามไปที่โรงพยาบาล”
“ไม่จำเป็นหรอกคุณชายไม่มีอะไรยุ่งยากนัก โรงพยาบาลเขาจัดให้อยู่แล้ว”
“ผมจะไม่บอกพี่ฉัตต์ตามที่คุณขอร้อง แต่จะทำตามที่ผมอยากทำด้วย คุณห้ามผมไม่ให้ช่วยงานศพไม่ได้”
“ทำไมดื้อจริง”
“อย่าคิดว่าผมทำเพื่อคุณสิ”
“อ๋อ...” จริมามองจ้อง ในใจคิดว่า “อ๋อ เขาทำเพื่อรุ้ง”
“ริมา...ได้ยินรึเปล่า” ชายเดียวถาม
จริมาหัวเราะนิดๆ หันหลังกลับพร้อมพูดว่า “งั้นก็ตามใจ ฉันควรจะรู้อยู่แล้ว

จริมาเดินออกมาที่หน้าตำหนัก ชายเดียวตามมาส่ง
ทอแสงรัศมีคอยอยู่ “จะกลับแล้วเหรอจริมา”
“ใช่”
“ไม่น่ามีเรื่องอะไรที่ปิดบังขนาดนี้”
“ถ้าไม่มีฉันจะปิดเธอทำไม”
ทอแสงรัศมีมองจริมาท่าทีเหยียดหยันนิดๆ จริมามองตอบแบบไม่ยี่หระ
ชายเดียวเดินตามออกมา
“ผมจะไปส่งคุณที่รถ”

ครู่หนึ่งนั้น มือชายเดียวเอื้อมมาเปิดประตูให้
“ขอบคุณคุณชาย”
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกันนี่”
จริมายืนอึ้งในอีกครึ่งก้าวนั้น จริมาขึ้นรถ แนบออกรถไป สีหน้าจริมาจดจำคำพูดเมื่อครู่
“เราเป็นเพื่อนกันนี่”
จริมา นิ่งงัน คิดถึงเหตุการณ์ที่ชายเดียวเคยบอกว่าจะไปส่ง ในวันที่ไปเรียนเมืองนอก
“ริมา ผมจะขอท่านอาจารย์กลับเร็วซักชั่วโมง วันศุกร์นี้”
“บอกฉันทำไมไม่ทราบ”
“จะรีบมาส่งคุณไง ศุกร์นี้คุณเดินทางใช่มั้ย”
ความน้อยใจประดัง สีหน้าริมาเข้มขึ้น เหมือนไม่แคร์

ด้านศักดินา หันกลับไปขึ้นตึก
“เขามาทำไมคะพี่ชาย” ทอแสงรัศมีเซ้าซี้ จะรู้ให้ได้
“มาธุระ” ศักดินาพูด ยังไม่หยุดเดิน
“ธุระอะไรคะ ถึงต้องปิดประตูคุยกัน”
“พี่ไม่จำเป็นต้องรายงานหญิงทุกเรื่องนะ” น้ำเสียงยังประนีประนอมอยู่
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้อง แต่นี่ผิดปกตินี่คะ ถ้าไม่มีอะไรปิดประตูทำไมคะ พี่ชายไม่ทราบหรือคะว่าไม่งาม”
“บางทีนะ...พี่ไม่อยากให้ใครเห็นก็ได้นี่นา”
“พี่ชาย”
“อ้าว...พูดความจริง คนที่เขาจะโรม้านซ์กัน ใครจะเปิดประตูโล่งโจ้งล่ะคะน้องหญิง” สุ้มเสียงตอนท้ายประชดเข้าให้
แล้วชายเดียวก็เดินหนีไปทันที
“พี่ชาย...ทำไมพูดอย่างนี้คะ”

หญิงทอแสงตามไปทันทีเช่นกัน

คุณชายกับคุณหญิง เข้ามาในห้องนอนท่านหญิงแขไขเจิดจรัสแล้ว

“แขกของชายกลับไปแล้วหรือจ๊ะ” ท่านหญิงถามทันทีที่เห็นชายเดียวเดินเข้า
ชายเดียวนั่งเรียบร้อย หันไปมองหญิงทอแสง “หญิงทอแสงทูลท่านป้าสิว่ากลับไปแล้ว”
“ชาย...อย่าประชดน้องต่อหน้าแม่ แม่คนนั้นเขามีธุระสำคัญอะไรถึงกับต้องปิดประตูคุยกัน”
ชายเดียวมองหญิงทอแสงอีกครั้ง ขณะบอก “คุณอาพจน์เสียแล้วค่ะท่านแม่”
ท่านหญิงนิ่งไปนิด แบบคนเป็นเจ้านาย ไม่ตื่นเต้น “อยู่มานานกว่าที่หมอให้เวลาไว้ใช่มั้ย”
“มิน่า เขาดูโซ้ม..โซม” หญิงทอแสงพูดแล้วทำสีหน้าเหมือนหลุดปากพูด “ทำไมเขาถึงต้องปิดประตูคุยกับพี่ชายด้วย”
ศักดินาทำหน้าระอาเล็กๆ
“นั่นสิ...ทำไมหรือชาย” เสียงท่านหญิงเรียบเย็น
“เขาขอร้องเรื่องหนึ่งค่ะท่านแม่ แต่ไม่อยากให้ใครรู้”
“ไม่บอกเขารึว่าหญิงทอแสงเป็นน้องของชาย ไม่ใช่คนอื่น”
“เขาต้องการอย่างนั้น” ชายเดียวเสียงอ่อย
“เขาให้บอก ถ้าแม่ถามว่าเรื่องอะไรชายบอกแม่ได้มั้ย”
ชายเดียวนิ่ง...สีหน้าอึดอัด
“ไม่เป็นไรค่ะท่านป้า หญิงออกไปก่อนก็ได้ พี่ชายเดียวต้องทูลท่านป้าสิคะ...จะปิดได้ไง จริมาเขาไม่อยากให้หญิงรู้ หญิงก็ไม่อยากรู้” ทอแสงรัศมีออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตกลงเรื่องอะไรหรือชาย”
“จริมาขอร้องไม่ให้ชายบอกพี่ฉัตต์เรื่องคุณอาพจน์เสียค่ะท่านแม่”
ทอแสงรัศมีแอบฟังอยู่หน้าห้องได้ยินทั้งหมด แต่ทำหน้าเฉยๆ พลางคิดไปด้วยว่า ทำไม?

คุณชายกับคุณหญิง เข้ามาในห้องนอนท่านหญิงแขไขเจิดจรัสแล้ว

“แขกของชายกลับไปแล้วหรือจ๊ะ” ท่านหญิงถามทันทีที่เห็นชายเดียวเดินเข้า
ชายเดียวนั่งเรียบร้อย หันไปมองหญิงทอแสง “หญิงทอแสงทูลท่านป้าสิว่ากลับไปแล้ว”
“ชาย...อย่าประชดน้องต่อหน้าแม่ แม่คนนั้นเขามีธุระสำคัญอะไรถึงกับต้องปิดประตูคุยกัน”
ชายเดียวมองหญิงทอแสงอีกครั้ง ขณะบอก “คุณอาพจน์เสียแล้วค่ะท่านแม่”
ท่านหญิงนิ่งไปนิด แบบคนเป็นเจ้านาย ไม่ตื่นเต้น “อยู่มานานกว่าที่หมอให้เวลาไว้ใช่มั้ย”
“มิน่า เขาดูโซ้ม..โซม” หญิงทอแสงพูดแล้วทำสีหน้าเหมือนหลุดปากพูด “ทำไมเขาถึงต้องปิดประตูคุยกับพี่ชายด้วย”
ศักดินาทำหน้าระอาเล็กๆ
“นั่นสิ...ทำไมหรือชาย” เสียงท่านหญิงเรียบเย็น
“เขาขอร้องเรื่องหนึ่งค่ะท่านแม่ แต่ไม่อยากให้ใครรู้”
“ไม่บอกเขารึว่าหญิงทอแสงเป็นน้องของชาย ไม่ใช่คนอื่น”
“เขาต้องการอย่างนั้น” ชายเดียวเสียงอ่อย
“เขาให้บอก ถ้าแม่ถามว่าเรื่องอะไรชายบอกแม่ได้มั้ย”
ชายเดียวนิ่ง...สีหน้าอึดอัด
“ไม่เป็นไรค่ะท่านป้า หญิงออกไปก่อนก็ได้ พี่ชายเดียวต้องทูลท่านป้าสิคะ...จะปิดได้ไง จริมาเขาไม่อยากให้หญิงรู้ หญิงก็ไม่อยากรู้” ทอแสงรัศมีออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตกลงเรื่องอะไรหรือชาย”
“จริมาขอร้องไม่ให้ชายบอกพี่ฉัตต์เรื่องคุณอาพจน์เสียค่ะท่านแม่”
ทอแสงรัศมีแอบฟังอยู่หน้าห้องได้ยินทั้งหมด แต่ทำหน้าเฉยๆ พลางคิดไปด้วยว่า ทำไม?

ที่วังท่านหญิงเล็ก เย็นวันนั้น ท่านหญิงเล็ก กับ ท่านป้า หรือ หม่อมเจ้าหญิงพรรณพิไล พี่สาวท่านชายวรจักร และเป็นพระญาติเกี่ยวดองกับท่านหญิงแขไขเจิดจรัส นั่งคุยกันอยู่ในห้องโถง
ท่านป้าสวมสายสร้อยเส้นเล็กๆ น่าเอ็นดู จี้ห้อยสวย ให้ศศิลักษณาซึ่งอยู่ในชุดนิสิต ทอแสงรัศมี กลับจากวังรังสิยา หยุดกึก แอบมอง
“รางวัลที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หญิงลักษณ์ตั้งใจเรียนให้ดี”
หญิงลักษณ์กราบที่เข่า “ขอบทัยคะท่านป้า”
“อย่าทำตัวเหมือนพี่สาวเธอ”
“โธ่ พี่หญิงคะ หญิงทอแสงหัวไม่ดีเหมือนหญิงลักษณ์ สอบไม่ได้มาสองปีแล้ว หญิงเห็นใจลูกมาก เพื่อนๆเรียนมหาวิทยาลัยกันทุกคน” ท่านหญิงเล็กว่า
หญิงทอแสงเดินเข้า คุกเข่าบังคมท่านป้า แล้วไปนั่งใกล้แม่ ท่าทางปกติ เอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงธรรมดา
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านแม่ หญิงว่าเรียนหนังสือไม่จำเป็นต้องเรียนในมหาวิทยาลัย”
“เอ๊ะ พูดชอบกลหญิงทอแสง ไม่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วเรียนที่ไหนกันยะ”
“มหาวิทยาลัยชีวิตค่ะท่านป้า”
ท่านป้าหัวเราะเยาะนิดๆ “หญิงเล็กลูกสาวเธอช่างคิดเสียจริง นี่ฟังนะหญิงทอแสงมหาวิทยาลัยชีวิตน่ะ คนเรียนต้องมีวุฒิภาวะมากพอที่จะเก็บเกี่ยวเรื่องราวต่างๆ มาเป็นความรู้ เธอน่ะคิดว่ามีมากพอมั้ยล่ะ”
หญิงทอแสงฟังแล้วโกรธเหมือนกัน “พอค่ะท่านป้า เพราะหญิงจะแต่งงาน...” พูดแบบหลุดปาก
ทุกอย่างเงียบงัน ทุกคนฟังตกตะลึง
ท่านหญิงเล็กรู้สึกตัวก่อน “หญิงทอแสง..ลูก พูดจาอะไรอย่างนั้น”
ท่านป้าตำหนิทันที “ไม่รู้จักยับยั้งความรู้สึก ชั้นรู้ว่าเธอโกรธที่ชั้นว่าเธอ แต่สิ่งที่เธอโพล่งออกมามันไม่ใช่วิสัยของผู้หญิงดีๆ ไม่ใช่วิสัยของเด็กที่จะพูดกับผู้ใหญ่ ไม่รู้จักสำรวมกิริยาวาจา หญิงเล็กเธอเลี้ยงลูกยังไง อ้อ...ชายวรจักรน่ะสิให้ท้ายลูกสาวทอแสงเธอพูดจาน่าเกลียดจริงๆ อย่าให้ป้าได้ยินอย่างนี้อีก”
“ขอประทานอภัยคะ แต่หญิงพูดเรื่องจริง” ทอแสงรัศมีไม่ยอมหยุด
“หญิง...พอได้แล้วลูก”
“หญิงจะแต่งงานกับพี่ชายเดียว หญิงรักพี่ชายเดียว”
คราวนี้เหมือนระเบิดลง ทุกคนตกตะลึง ท่าทียังสำรวมประสาเจ้า
“พี่หญิง” ศศิลักษณากระซิบเตือน “พูดอะไรคะนั่น”
หญิงทอแสงตกบันไดพลอนโจน “จะยังไงก็ตามหญิงก็หมายความอย่างที่หญิงพูดคะท่านป้าท่าน”“เธอเสียสติรึเปล่าหญิงทอแสง ชายเดียวเป็นญาติเกือบจะร่วมสายเลือดเดียวกัน ไม่มีใครยอมให้เธอกับชายเดียวทำอะไรผิดธรรมเนียมแบบนั้นหรอก” ท่านป้าสุดทนลุกขึ้น “ชั้นไม่ฟังอีกต่อไป หญิงเล็กเตือนลูกสาวด้วย จะเป็นบ้ากันไปใหญ่แล้ว” พร้อมกับเดินจะออกไป
ทอแสงรัศมีลุกตาม

“ท่านป้าคะ หญิงทราบค่ะ ทราบมาตั้งนานแล้วว่าพี่ชายเดียวไม่ใช่ลูกของท่านป้าแขไข”

 
อ่านต่อหน้า 3

แค้นเสน่หา ตอนที่ 9 (ต่อ)

อีกวันต่อมา วังรังสิยาของท่านหญิงแขไขเจิดจรัส กำลังต้อนรับ ท่านหญิงปั้น...หม่อมเจ้าหญิงพรรณพิไล โดยมีละมัย นางข้าหลวงนั่งเฝ้าอยู่ไกลๆ ละมัยคลานถือถาดใส่น้ำชาจีนมาวางให้ ท่านหญิงพรรณพิไลดูจะร้อนใจเรื่องท่าทีของทอแสงรัศมีเอามาก

“หญิงแขไข เรื่องราวจะยุ่งกันใหญ่นะ เธอคิดแก้ไขไว้บ้างรึเปล่า”
ท่านหญิงถอนใจใหญ่ สีหน้าตรึกตรองหนัก “หญิงยังไม่คิดว่า...เรื่องจะไปถึงขั้นนั้นคะ พี่หญิง”
“หญิงทอแสงพูดเต็มปากเต็มคำว่ารักกับชายเดียว จะแต่งงานกัน เพราะรู้มามาตั้งนานเรื่องชายเดียวไม่ใช่ลูกเธอ ถ้าเป็นจริงก็จะรู้กันหมด เรื่องชายเดียวเป็นลูกของนางบุหลัน คิดถึงหัวใจชายเดียวซิ”
“หญิงคิดตลอดเวลาคะพี่หญิง คิดมาตั้งแต่วันแรกที่หญิงรับชายเดียวเป็นลูกชายว่าต่อไปข้างหน้า ถ้าความลับเปิดเผย ลูกชายจะเป็นอย่างไร”
“พี่จะบอกเธออย่างหนึ่งนะ หญิงทอแสงไม่ธรรมดา พี่ยังคิดไม่ออกว่าจะมีอะไรยับยั้งหญิงทอแสง ชายเดียวล่ะคิดยังไงกับหญิงทอแสง”
“ไม่เห็นกิริยาอะไรเลยคะพี่หญิง”
“บางทีรักกันไปอาจจะดีกว่าเข้าทำนองเรือล่มในหนอง แต่ถ้าชายเดียวไม่มีใจให้หญิงทอแสง...น่ากลัวจะเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อยเชียว ก็คอยดูฤทธิ์เดชหญิงทอแสงกันต่อไป” ท่านป้าลุกขึ้น ข้าหลวงขยับตัวจากที่นั่งเฝ้าอยู่ห่างๆ “พี่จะกลับล่ะ อ้อ...เกือบลืมว่าจะถามหลายครั้งว่าคุณหญิงปัณณธรมีลูกกี่คนนะหญิงแขไข”
ท่านหญิงแขไขอึ้งมาก ท่านหญิงพรรณพิไล เสียงเบาลง แต่กังวานจริงจังและหนักใจ
“ใครมันจะเหมือนกันถึงขนาดนั้น...จริงหรือหญิงแขไข”
“หญิงคิดว่าจริงคะพี่หญิง แต่..ยังไม่มีหลักฐานอะไรแน่ชัด หญิงยังไม่ปักใจอะไรทั้งสิ้น”
ท่านหญิงพรรณพิไลมองหน้าท่านหญิงแขไขแน่วนิ่ง “นังเฟืองใช่มั้ย คนจัดการเรื่องนี้ นังคนนี้ตายไปแล้วยังทิ้งพิษร้ายไว้อีก”
ฉับพลันนั้นเอง เหมือนอากาศในห้องจะปั่นป่วนขึ้นทันที ลมกระแทกข้าหลวงที่ถือกระเป๋าคอยอยู่ที่ประตูจนเซ ข้าหลวงเลิ่กลั่ก
ท่านหญิงแขไขทำปากขมุบขมิบออกมาว่า “เฟือง อย่านะ”
ท่านหญิงพรรณพิไลไม่สะทกสะท้าน พูดเสียงเบา “ได้ยินมานานแล้วว่ามันเฮี้ยน...จริงใช่มั้ยหญิงแขไข”
“เฟืองรักหญิง”
“แต่ไม่ใช่เหตุผลที่มันจะมาทำให้ชีวิตเธอยุ่งยากแบบนี้”

ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส กับท่านหญิงพรรณพิไลลงตำหนักมา ข้าหลวง และละมัยตามลงมาด้วย สองคนยืนอยู่ห่างๆ
“ระวังตัวให้ดีหญิงแขไข เธอฟังมันมากตอนมันยังไม่ตายไม่เป็นไร แต่อย่าลืมว่าเวลานี้มันตายแล้ว พอทีเถอะกับนังเฟือง”
จู่ๆ เหมือนมีลมพัดผ่านร่างท่านหญิงพรรณพิไลไปอย่างเร็ว ผ่านละมัยและข้าหลวงไป สองคนสะดุ้ง ลมวูบผ่านไปข้างๆ วัง ก่อนจะพัดผ่านไปข้างๆ ตัวตำหนัก ไปตามทางวูบๆ
ระหว่างนั้นพิกุลกับสาลี่หอบของพะรุงพะรังกลับจากตลาด
สาลี่มองไปหน้าตึก “ใครมาเหรอพิกุล ...รถใคร”
“ท่านหญิงปั้นโทร.ตั้งแต่เช้าว่าจะเด็จมีเรื่องสำคัญ”
ลมผ่ากลางไปวูบใหญ่ สองคนเซ
สาลี่พูดตามหลัง “เฮ้อ...ยังไม่ผุดไม่เกิดเสียทีเร้อ...”
ลมหวนกลับมาอย่างแรง แล้วสวนเข้าที่ตัวสาลี่เต็มๆ สาลี่เซซวนไปพิงต้นไม้
“ป้า....เนี้ยเค้าเรียกว่าวอนนะป้า”
“เออ...แต่ข้าไม่กลัวแล้วเว้ย”

ลมพัดวูบเข้ามาในเรือนข้าหลวงอย่างแรง ที่พื้นห้องร่างของนางเฟือง ค่อยๆ เห็นเป็นรูปรอยชัดขึ้น จากเงาลางเลือน และหันหน้ามาช้าๆ สีหน้าแค้นสุดขีด

แต่ยังคงหอบเหนื่อยจากแรงดุดันที่อาละวาดไปทั่วตำหนัก

อีกวันหนึ่ง ในฤดูหนาว ที่หน้าตึกเรียน นักศึกษาหญิงชายคู่หนึ่งเดินออกมาด้วยกัน ชายเป็นฝรั่ง แต่หญิงเป็นเอเชีย สองคนคุยกันเบาๆ สีหน้าเคร่งเครียด ผู้ชายถือกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นประกาศขึ้นค่าเล่าเรียน มองดู

ตามมาด้วย ดร.สมิทธิ์ ที่เดินมาเร็วรี่ จอร์จนักศึกษาอีกคนหนึ่งวิ่งเข้าตึกมา พอเห็นสมิทธิ์ ก็ตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“George, how come you’re so late I’can’t stay any longer - จอร์จ คุณมาสายมากฉันอยู่ต่อไม่ได้ Have to go now. - ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้” สมิทธิ์ว่า
“I’m so sorry Dr.Smith I’ve got some accident. - ผมขอโทษอย่างมากครับ ดร.สมิทธิ์ เกิดอุบัติเหตุครับ” จอร์จบอก
“Let’s make it later - นัดกันใหม่แล้วกัน”
“Here is my thesis proposal - นี่ครับ โครงร่างวิทยานิพนธ์ของผม The revised one - แก้ใหม่แล้วครับ”
“O.K.” สมิทธิ์รับของไป “Bye” แล้วเดินไปอย่างเร็ว

จอร์จเดินเข้าตึก ฉัตต์เดินสวนลงมา สีหน้าเคร่งขรึม อ่านกระดาษประกาศในมือมาตลอด พอเงยหน้าเจอพิสินียืนตรงหน้า สีหน้าไม่สบายใจ ด้วยรู้ว่าพจน์ตายแล้ว
“บัว...ไปไหนมา” ฉัตต์มองหน้า “เป็นอะไร มีอะไรยุ่งยากเหรอ”
พิสีนีพยายามทำหน้าปกติส่งมือให้ฉัตต์ “จะกลับหอหรือคะ ไป..บัวไปส่ง”
ฉัตต์มีสีหน้าฉงน แต่ก็ส่งมือให้โดยดี บัวจับกระชับแน่น จูงไป
“บัวเป็นอะไรนะครับ”
“บัวมีเรื่องเศร้า”
“ถ้าบัวอยากเล่า เผื่อจะคลายเศร้าบ้าง ผมฟังได้นะ”
“เรื่องเศร้าของคนที่บัวรัก” พิสีนีมองหน้าฉัตต์นิ่ง “แต่เจ้าตัวเขายังไม่รู้ บัวก็เลยยิ่งเศร้าสงสารเขามาก”
ฉัตต์มองอย่างเข้าใจ พิสินีน้ำตาคลอๆนิดๆ
“บัวสงสารเขามาก” เสียงพิสินีเครือๆ
ฉัตต์โอบพิสินีเข้ามาชิดตัวแบบเพื่อน สองคนเดินไปด้วยกัน
“ฉัตต์ก็มีเรื่องในใจ...ใช่มั้ย”

ไม่นานนักสองคนอยู่ในห้องพักฉัตต์วางถ้วยชาให้พิสินี
“มหาวิทยาลัยปรับค่าหน่วยกิตขึ้นทุกคณะ บัวรู้หรือยัง”
“ยังค่ะ..เหรอคะ...ก็ดี จะได้มีเงินจ้างอาจารย์ดีๆ มาสอนเรา”
ฉัตต์ยังหน้าไม่ค่อยดี
พิสินีลุกขึ้น มาจนใกล้ แตะแขนเบาๆ “เป็นอะไรนอกจากเรื่องนี้รึเปล่าคะ” สายตาที่มองมายังฉัตต์อาทรมากๆ
“เรื่องนี้เรื่องเดียว คุณพ่อผมเป็นข้าราชการ มีแต่เงินเดือน ต้องรับผิดชอบหลายชีวิตในบ้าน น้องสาวก็กำลังเรียน”
พิสินีค่อยๆ ระบายลมหายใจ
“คุณพ่อรู้คงหนักใจเหมือนกัน ถ้าผมจะเรียนปริญญาโทต่อ มหาวิทยาลัยของน้องก็คงขึ้นค่าเรียนเหมือนกัน เป็นนโยบายของมหาวิทยาลัยเอกชนทั้งประเทศ ผมอาจต้องหางานทำ”
สีหน้าพิสินีเศร้าลงอีก สงสารฉัตต์จับจิต

การเงินของบ้านปัณณธรประสพปัญหา ด้วยค่าใช้จ่ายสูง แต่ไม่มีรายรับเข้ามา เวลานี้ทั้งสี่คนนั่งโต๊ะล้อมวงอยู่ในห้องนั่งเล่น มีสมุดบัญชี กระดาษวางเต็มตรงหน้า

จันทร์พูด พลางเปิดบัญชีให้คุณหญิงเพ็งดู ทุกคนฟัง จริมาหน้าตาไม่สบายใจ
“จันทร์...คิดว่าเราต้องให้คนออกจากงานหรือ” คุณหญิงเพ็งถามขึ้น

อีกฟากหนึ่ง ซึ่งรับรู้ปัญหาดี สำเนียง สำลี ละเมียด สารภี อ่อน ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ครัว
“เสร็จงานศพแล้ว...เฮ้อ” ทุกคนมองสำเนียงเป็นตาเดียว
“จะเป็นไงต่อไปคะ คุณเมียด” สำเนียงปรารภขึ้น
“หมายความว่ายังไงสำเนียง”
“คุณเมียดขา...ตรงนี้ห้าชีวิต...อ้อ...หก”
ยอดเดินค้อมๆ ตัวเข้ามานั่งสมทบ
“หกนะคะ ที่ท่านเลี้ยงเราอยู่ คุณพจน์เสียแล้ว ท่านจะไหวเหรอคะ
ละเมียดถอนใจยาว “ฉันยังไม่ได้ยินท่านพูดอะไรเลยนะสำเนียง แต่ก็นั่นแหละท่านเป็นนายไม่ถึงที่สุดท่านไม่พูดหรอก แล้วอย่างคุณหญิงเราก็รู้กันอยู่ข้าเก่าเต่าเลี้ยงท่านไม่เคยทิ้ง” ละเมียดว่า
“ถ้าจำเป็นต้องทิ้ง...ท่านจะทิ้งใครก่อนคะคุณเมียดในพวกเราทั้งหกคนเนี่ย” สำเนียงบอก
“แม่...ลืมลุงแนบแล้วเหรอ” สำลีท้วง
สำเนียงตบเข่า “เออ...รวมเป็นเจ็ด”
“นั่นสิ เจ็ดคนมากกว่าเจ้านายเสียอีก” ละเมียดบอก
“ท่านจะให้หนูกลับบ้านมั้ยคะคุณเมียด” อ่อนว่า
“หนูว่าหนูคนแรกที่ต้องกลับ...คุณฉัตต์ คุณริมาโตแล้ว หนูก็ไม่ต้องเลี้ยงใครแล้วนี่คะ” สารภีหน้าหมอง

ในห้องสำราญ ของบ้านปัณณธร ทั้ง 4 คน กำลังพูดคุยเรื่องเดียวกัน คุณหญิงเพ็งเอ่ยขึ้น
“สำหรับสารภี แม่จะคิดดูก่อน หน้าที่เลี้ยงเด็กเราก็ไม่ต้องมีแล้ว”
ทุกคนนิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก
“คุณย่าขา...”
“หยุด ไม่ต้องพูดอะไรริมา ที่หนูคิดย่าทำไม่ได้ หลานสองคนต้องเรียนให้จบอย่างที่พ่อเขาสั่งไว้”
รุ้งกับจันทร์มองตากัน

“คุณแม่คะ..ดิฉันมีทางออกเสนออย่างหนึ่งค่ะ...คุยกับรุ้งไว้เมื่อคืน คุณแม่ลองฟังหน่อยนะคะ”

ละเมียด สำเนียง สำลี สารภี อ่อน ยอด และ แนบ เดินเรียงแถวมาที่ตึกใหญ่ สีหน้าแต่ละคน เคร่งขรึมไม่ค่อยสบายใจ เจ้านายสี่คนคุณหญิงเพ็ง จันทร์ รุ้ง จริมา นั่งคอยอยู่แล้วที่ห้องโถง พอมาถึงคนในครัว แยกย้ายกันนั่งกับพื้น รวมทั้งละเมียด ทำท่าจะนั่งตาม

“ละเมียดมานั่งนี่....นั่งบนเก้าอี้” คุณหญิงบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ อิฉันนั่งนี่ได้”
คุณหญิงเสียงเข้มขึ้น “ฉันสั่งให้มานั่งบนเก้าอี้
“ค่ะ”
“ฉันรู้ว่าพวกแกทุกคนกำลังกลัวว่าคุณพจน์เสียแล้ว ฉันคงไม่มีกำลังเลี้ยงพวกแกต่อไป” คุณหญิงกวาดตามอง “นังเนียงแกต้องทำกับข้าว ถึงฉันจะยากจนลง แต่ก็ต้องกินข้าว จะให้ไปทำเองก็ไม่ไหวหรอก”
สำเนียงไหว้ค้อมตัวต่ำ “เจ้าค่ะ คุณหญิง”
“สำลี แกเป็นลูก แกก็ต้องอยู่กับแม่ เว้นแต่จะมีผัวออกเรือนไป”
“หนูไม่มีค่ะท่าน” สำลีบอก
“แกอย่าเพิ่งพูดล่วงหน้าเลยนังสำลีเอ๊ย” หันมามองแนบ “แนบ แกต้องขับรถให้ฉัน จะให้ฉันลุกขึ้นขับเองคงต้องเตรียมตัวเข้าโรงหมอ”
ทุกคนหัวเราะกันเบาๆ
“ยอด...”
ยอดทำท่ารับฟัง
“ต้องนับว่าแกเป็นกำลังสำคัญของบ้านนี้ ขาดแกไปไม่ได้เด็ดขาด เวลานี้แกคนเดียวทำให้บริเวณบ้านข้างนอกสะอาดเรียบร้อยอย่างนี้ อย่างอื่นด้วย งานช่าง งานซ่อมข้าวของอะไรๆ แกทั้งนั้น”
ยอดกราบลง
“ละเมียดเธอดูแลฉันอยู่ก็ทำต่อไป” คุณหญิงแทนตัวละเมียดว่า “เธอ”
ละเมียดไหว้ “อิฉันไม่เอาเงินเดือน ขอแค่ที่อยู่ที่กิน”
สำเนียง สำลี แนบ ออกเสียงเบาๆ ว่า “อิฉันด้วย” / “กระผมด้วย”
“ไม่ต้องพูดเรื่องเงินเดือน ฉันให้แกไม่มากอยู่แล้วแต่ต้องให้ ทำงานเหนื่อยต้องมีค่าตอบแทน เก็บออมไว้ เอาไว้กินขะหนมขะต้มยามแก่”
สารภีสบตาอ่อน
คุณหญิงว่าต่อ “อ่อน ถ้าแกอยากกลับบ้านไปอยู่กับแม่ที่บ้านนอก ฉันจะให้แนบไปส่ง แต่ถ้าแกจะอยู่แกก็อยู่ แม่แกดูแลที่นาให้ฉัน ฉันไม่ทิ้งแกหรอก”
อ่อนก้มกราบลง “หนูอยู่ค่ะท่าน”
“ดีแล้ว กลับไปบ้านนอกก็ไม่มีอะไรทำ จะไปทำนาก็ไม่ไหวมั้ง”
“แม่ไม่ให้กลับค่ะ ให้อยู่รับใช้ท่าน” อ่อนบอก
คุณหญิงหันมามองสารภีที่ก้มหน้านิ่งอยู่
“สารภี”
สารภีเงยหน้า น้ำตาเต็มตา ก้อนสะอื้นพลุ่งขึ้นมา พยายามกลั้นไว้เต็มที่
“แกเลี้ยงคุณฉัตต์กับคุณริมา สองคนนั่นก็โตแล้ว”
สารภีน้ำตาร่วงทันที ก้มหน้าก้มตาเช็ดน้ำตาเงียบๆ
“แกไม่ต้องเลี้ยงเด็กอีกต่อไป”
สารภีก้มหน้านิ่งทุกคนมองเห็นใจ
“แกไม่มีที่ไปฉันรู้”
สารภีเงยมองคุณหญิง
“ที่ไปของแกมีอยู่ที่เดียว...ที่บ้านนี้ไง” คุณหญิงบอกออกมาในที่สุด
สารภียิ้มทั้งน้ำตา ตื้นตันใจ...ดีใจจนพูดไม่ออก ได้แต่กราบแล้วกราบอีก ทุกคนหันมายิ้มยินดีกับสารภี แต่ไม่กรี๊ดกร๊าดหรือตบมือหรือออกนอกหน้าจนเกินไป
“ท่านเจ้าขา...งานกับข้าวอิฉันทำกับลูกสองคนไหวค่ะ คุณจันทร์ก็ดูแลอยู่ ให้อ่อนไปช่วยงานบ้านสารภี กวาดบ้านถูบ้าน ตอนนี้อ่อนซักผ้ารีดผ้าอยู่เจ้าค่ะ”
“ต่อจากนี้ไปสำเนียง งานครัวของแกจะหนักที่สุด สำคัญที่สุด ฉันจะบอกให้แกทำสองคนกับสำลีไม่ไหวหรอก”
ทุกคนมองอย่างฉงน
“จันทร์” คุณหญิงพูดเป็นเชิงถาม
“เราจะทำร้านอาหาร”

จันทร์บอกท่าทีแน่วนิ่ง

ทุกคนเดินกลับไปทางครัว ท่าทางสดชื่นรื่นเริง ตามบุคลิกของแต่ละคน สารภียังเช็ดน้ำตาอยู่ อ่อนเดินเงียบๆ แต่หน้าตาเบิกบาน สำเนียงเดินไปร้องเพลงขำๆ ไป สำลีเดินไปรำไปด้วยตามเพลงของสำเนียง

ละเมียดมองทุกคน ยิ้มอย่างสุขใจ หันไปสบตากับแนบ เห็นแนบยกมือไหว้ไปทางตึกที่คุณหญิงอยู่ ละเมียดหันไปมองยอด เห็นยอดมองอยู่ที่สำลี นัยน์ตาชื่นชม ละเมียดขมวดคิ้วนิดๆ จับสังเกตว่ามีความผิดปกติ
ทุกคนเดินไปตามทางจนเห็นแต่หลัง เสียงเพลงของสำเนียงยังดังอยู่อย่างร่าเริง

ขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างมองจ้องมาที่จันทร์
“จันทร์...ไหวนะลูก” คุณหญิงเพ็งถามอย่างกังวล
“ดิฉันจะทำให้เต็มที่ ความรู้เรื่องอาหารมีเท่าไหร่จะใช้ให้หมด รุ้งเองก็เป็นเพราะดิฉันฝึกหัดมา คุณแม่วางใจเถิดนะคะ ดิฉันมั่นใจเพราะอาหารเราอร่อยด้วย สวยด้วย ขึ้นชื่อว่าอาหารชาววังดิฉันเชื่อว่าขายได้ค่ะ”
“ต้องทำสถานที่ให้สวยงามด้วยนะคะน้าจันทร์”
“ทำริมน้ำนะคะคุณย่า เป็นเรือนน่ารักๆ ใส่ต้นไม้เยอะๆให้ยอดย้ายต้นไม้ไปลงตรงนั้น” รุ้งว่า
“เราโฆษณาว่ามาทางเรือก็ได้ ....ดีมั้ยคะ” จริมาออกความเห็น
ทุกคนยิ้มแย้มรับคำ
“แต่...ริมาไม่อยู่ช่วย แย่จัง”

สองสาวอยู่ในห้องนอนจริมา รุ้งกำลังจัดของจริมาลงกระเป๋าเดินทาง จริมานั่งห้อยขาอยู่บนเตียงมองรุ้ง ที่ก้มหน้าก้มตาจัด
“ตัวเล็ก ริมาขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไมคะ”
“ริมาเห็นแก่ตัวหนีไปสบาย ทุกคนทางนี้ต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะรุ้ง เพราะต่อไปนี้งานของรุ้งหนักมากนะ”
“ริมา ยิ่งกว่านี้รุ้งก็ทำได้ ทุกคนในบ้านมีพระคุณกับรุ้ง กับแม่ ริมาอย่าคิดมาก ตั้งใจเรียน คุณย่าจะได้ดีใจ..คุณลุงจะได้...” รุ้งสะอึกนิดๆ “ไปที่ดีๆ”
“ริมาอยู่ทางโน้นคงไม่มีข่าวร้ายของคุณย่านะตัวเล็ก”
“ไม่มีแน่ค่ะ รุ้งรับรอง รุ้งดูแลอยู่ตลอดเวลา”
“ตัวเล็กคิดถูกแล้วที่เรียนพยาบาล ริมาขอบใจมาก” จริมาเลื่อนตัวลงมากอดรุ้งไว้ “ไม่มีใครดูแลคุณย่าดีเท่าตัวเล็ก”
“แม่ไงคะ แม่ไม่เรียนอะไรมาซักอย่าง แต่เก่งกว่ารุ้งเสียอีก ให้ยาคุณย่าหายทุกครั้ง”
“ยาของน้าจันทร์เลี้ยงพวกเรามาจนโตแหละนะ ขำพี่ฉัตต์ น้าจันทร์จะกวาดยาหนีกระเจิง”
รุ้งนิ่งงันไป จริมาต่อ
“น้าจันทร์เลยไม่กล้าบังคับพี่ฉัตต์”
รุ้งเผลอหลุดปาก “เพราะแม่รู้ว่าคุณฉัตต์เกลียดแม่...เกลียดรุ้ง”
“ตัวเล็ก...ทำไมพูดอย่างนั้น พี่ฉัตต์ไม่ถึงกับเกลียดนะ”
“เกลียด..เพราะคิดว่าแม่กับรุ้งทำให้คุณแม่คุณฉัตต์เสีย”
“ใช่..แต่นั่นมันเด็กๆ พี่ฉัตต์ไม่ได้ฝังใจมาจนทุกวันนี้หรอก”
“รุ้งกับแม่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าพเนจรมา แล้วคุณราตรีก็เสียชีวิต”
“ไม่...หยุดพูดเดี๋ยวนี้ พี่ฉัตต์เลิกคิดไปนานแล้ว ไม่เข้าใจเหรอรุ้ง”
รุ้งนั่งนิ่ง...แต่สีหน้าอึดในใจ
จริมาเองก็อึดอัดเหมือนกัน หันหน้าไปทางอื่นพยายามข่มอารมณ์ แต่ในที่สุดจริมาก็หันมาพูดเสียงเข้ม “ตัวเล็ก ไม่งั้นพี่ฉัตต์จะซื้อเปียโนให้ตัวเล็กเหรอ พี่ฉัตต์เอาเงินเก็บตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ วันเกิด ปีใหม่ เงินอะไรๆ เอามาหมด เงินที่คุณแม่สั่งให้พี่ฉัตต์ก่อนคุณแม่ตายด้วย” จริมาพูดรัวเร็วเพราะยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์
“ตบหัวแล้วลูบหลัง” รุ้งว่า
จริมาหันขวับมามองทันควัน พูดเสียงสูง “ตัวเล็ก... ทำไมพูดขนาดนี้ อะไรนักหนาฮึ”
สีหน้ารุ้งทั้งเสียใจทั้งโกรธเล็กๆ
“รุ้ง”
“ไม่ค่ะ...ไม่ได้โกรธ”
“ริมามั่นใจว่าพี่ชายของริมาไม่เกลียด” จริมาเน้นคำ “แต่เขาไม่อ่อนโยน พูดดีๆไม่เป็น รุ้งคิดอย่างนี้กับเขา ริมาไม่สบายใจเลย”
รุ้งนิ่งไม่ตอบแต่สีหน้ายังเสียใจลึกๆ
“ริมาไม่เคยคิดว่าตัวเล็กเป็นคนอื่น นอกจากเป็นพี่น้อง อะไรที่ริมาให้ตัวเล็กได้ พี่ฉัตต์เขาก็ต้องให้ได้เหมือนกัน เพราะเราสองคนเป็นน้องเขา”
รุ้งก้มหน้า น้ำตาร่วงเพราะน้ำคำของจริมา
จริมาเลื่อนตัวลงมานั่งข้างรุ้ง แล้วกอดรุ้งอย่างนุ่มนวล

รุ้งหน้าหมองไปถนัด คิดถึงฉัตต์แล้วนึกหวั่นใจขึ้นมา

อ่านต่อหน้า 4

แค้นเสน่หา ตอนที่ 9 (ต่อ)

เวลานั้นท่านหญิงประทับนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ภายในวัง สายตาเหม่อมอง มีมือนางเฟืองแตะที่ขาเบาๆ

“เฟืองหรือ” ท่านหญิงเงียบ ฟังสักครู่ “เฟือง หญิงนี่ไม่มีความหมาย ไม่มีค่าอะไรกับใครเลย”
นางเฟืองหมอบที่พื้น แทบเท้าท่านหญิง ที่กำลังก้มลงมอง
“ชายเดียวไปแล้วเฟือง”
นางผีร้ายเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำไมเขาถึงต้องไปที่นั่นบ่อยๆ ฮึเฟือง หญิงอยากจะรู้..อยากจะรู้จริงๆ”
นางเฟืองหน้าเริ่มเครียด ดุดันมากขึ้น
“วันนี้วันอาทิตย์ หญิงอยากให้เขาพาหญิงไปข้างนอกบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีเวลาเลย เรียนหนักตลอด หญิงไปหาที่ห้อง ผ่องบอกว่าไปแล้ว”
หน้าตาผีนางเฟืองยิ่งดุดันมากขึ้นๆ จนใบหน้านั้นแทบปริ
“เฟือง...” ท่านหญิงเห็นสีหน้า “เฟืองอย่านะ...อย่าทำอะไรใคร เฟือง...เฟือง”
เฟืองกำลังจะสลายตัวไปอยู่แล้ว
“เฟือง กลับมาหาหญิง”
นางเฟืองกลับมาช้าๆ จนเป็นรูปรอยตามเดิม ท่านหญิงเอื้อมมือหา นางเฟืองยื่นมือออกมา มือประสานกัน
“เฟืองจ๋า หยุดนะอย่าทำอะไรรุนแรงกับใครอีก หญิงขอ..หญิงไหว้” ท่านหญิงพนมมือ นางเฟืองตกใจ ระล่ำระลักจับมือให้เอาลง ส่ายมือ ส่ายหน้าว่าอย่า
“เฟือง...ไปเกิดนะ...ไปเกิดเชื่อหญิง หญิงจะอธิษฐานจะทำบุญให้เฟือง อย่าทนทุกข์ทรมานอย่างนี้อีกเลย”
นางเฟืองก้มหน้าหมอบติดพื้นเอาแต่ส่ายหน้า ท่านหญิงอัดอั้นตันใจที่สุด

ท่านหญิงแขไขคล้องผ้าพันคอ ถือกระเป๋าลงบันไดมา เจอผ่องถือเสื้อแขวนของท่านหญิง 1 ตัว ซิ่น 1 ตัว และเสื้อพับในมือ จะเอามาเก็บ
“ท่านหญิง เด็จข้างนอกหรือมังคะ”
“ผ่องไปเรียกสน ฉันจะไปวังท่านหญิงเล็ก ผ่องไปด้วยกัน” ท่านหญิงบอก
“สนไปส่งคุณชายมังคะ”
“อ้อ..จริง งั้นเรียกแท็กซี่แล้วกัน” ท่านหญิงนิ่งไปนิด “ชายเดียวไปไหน ผ่องรู้มั้ย” ท่านหญิงแกล้งถามที่จริงรู้อยู่แล้ว
“ไปบ้านปัณณธรมังคะ”
ท่านหญิงเดินห่างออกมา สีหน้า ดูว้าเหว่ลึกๆ แต่ดำเนินอย่างเข้มแข็งตามปกติ ท่านหญิงเล็กเดินเข้ามาพอดี เจียดถือชามโคมห่อผ้า บันลือถือถุงสองสามถุงตาม
“พี่หญิงจะเด็จข้างนอกหรือคะ”
“จะไปหาเธอนั่นแหละหญิงเล็ก มาก็ดีแล้วพี่มีเรื่องจะคุย ไปข้างบนดีกว่า”

เวลาเดียวกันนั้นที่บ้านปัณณธร รุ้งเล่นเปียโน เพลงลาวดวงเดือน สีหน้ารุ้งตั้งใจเล่น แต่เศร้าลึกๆ

สองพี่น้องอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นบนของตำหนัก วังรังสิยา
ท่านหญิงเอ่ยขึ้น “วันก่อนพี่หญิงปั้นโทร.มาแต่เช้าว่ามีเรื่องสำคัญที่จะ...”
“เรื่องหญิงทอแสงใช่มั้ยคะ เล็กมาก็เรื่องนี้เหมือนกันค่ะพี่หญิง”
ท่านหญิงแขไขจ้องหน้าท่านหญิงเล็กนิ่ง สายตาต่อว่า
“พี่หญิง”
“พี่จะไม่พูดมาก...เธอบอกมา”
ท่านหญิงเล็กมีอารมณ์ ของขึ้นเล็กๆ “เล็กไม่ทราบ” น้ำเสียงห้วนนิดๆ
ท่านหญิงสวนทันทีเสียงยังเบาต่ำแต่เข้ม “ไม่จริง ฉันขอร้องเธอแล้วว่าอย่าบอกใคร”
“หญิงไม่ได้บอกใคร”
“แค่บอกลูกสาว...งั้นสิ”
“พี่หญิงคิดว่าจะเป็นความลับนักหนาเหรอคะ พี่หญิงไม่เคย...ไม่เคยท้อง แล้วอยู่ๆ ก็มีลูกชายขึ้นมาคนหนึ่ง..จะไม่มีใครสงสัยเลยงั้นเหรอคะ”
“ฉันไม่แคร์คนอื่น แต่ชายเดียวจะรู้ไม่ได้”
“เรื่องนั้นทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าบอกชายเดียวไม่ได้”
“แต่ลูกสาวเธอนั่นแหละจะเป็นคนบอก”
สองคนเถียงสวนกันเร็วๆ ขาดคำของท่านหญิงแขไข ท่านหญิงเล็กอึ้งสนิท ในที่สุดท่านหญิงเล็กลุกขึ้น
“หญิงจะห้ามหญิงทอแสง แต่ห้ามได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่อง”
“ฉันรู้ว่าเธอห้ามไม่ได้ เธอไม่รู้จักลูกสาวรึไง หญิงทอแสงรักชายเดียว ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หญิงทอแสงรู้ว่าชายเดียวไม่ใช่พี่ชาย ทำไมความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้องถึงกลายเป็นรักแบบหนุ่มสาวไปได้”
“อาจจะแค่รู้สึกหวือหวา”
“ฉันรู้ว่าไม่ใช่ หญิงทอแสงอยู่ใกล้ชายเดียวไม่ได้ต้องเข้ามาใกล้ชิดติดพัน เธอสอนลูกยังไงหญิงเล็ก”
“เป็นยังไงล่ะคะ” ท่านหญิงเล็กย้อน
“ใช้ความเป็นน้องมากอดแขน...มานั่งเบียด”
“โธ่เอ๊ย...พี่หญิงคร่ำครึแบบเนี้ย เจ้าพี่ถึงต้องไปเอานางบุหลันเป็นหม่อมอีกคน”
คำพูดนั้นแทงใจดำเต็มแรง ท่านหญิงเหมือนถูกแทงข้างหลังทะลุถึงใจ ร่างสั่นเทิ้มไปทั่วตัว
“ไปให้พ้น”
“หญิงพูดความจริง”
จู่ๆ ลมกระโชกเต็มแรง หน้าต่างปิดเข้ามาดังปัง ข้าวของหล่นโครม
ท่านหญิงเล็กเหลียวขวับ รู้ทันที “อีเฟืองใช่มั้ยคะนั่น”
“ออกไป...”
“มันอยู่กับพี่หญิงตลอดเวลาหรือคะ ตายไปแล้วยังคอยชักจูงพี่หญิงอยู่เหรอคะ”
ท่านหญิงแขไขลุกขึ้นเดินหันหลังกลับ
“พี่หญิงยังเชื่อมันอยู่เหรอคะ...พี่หญิง ทำไมถึงงมงายอย่างนี้”
ท่านหญิงแขไขเดินเร็วขึ้นอีก
ท่านหญิงเล็กบอก “หญิงจะกำชับหญิงทอแสงไม่ให้บอกชายเดียว หญิงสัญญา”
ท่านหญิงแขไขเดินลับตัวไปแล้ว

ท่านหญิงเล็กยืนนิ่งท่าทีอึดอัด ด้วยเบื้องลึกแล้วไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่ด้วยความที่ไม่เคยหงอใคร แม้กระทั่งพี่สาว และยิ่งถ้าโดนต่อว่า ก็จะพูดโต้กลับแรงๆ แต่ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกผิดเล็กๆ
ครั้งนี้ก็เช่นกันท่านหญิงเล็กบ่นพึมพำ “อยากมาว่าทำไม” แล้วหันหลังกลับ
จังหวะนี้เงาของนางเฟืองแวบไปอย่างรวดเร็ว ท่านหญิงเล็กขมวดคิ้ว รู้สึกผิดปกติ ลมวูบไปด้านหลัง เหมือนขึ้นบันไดไป
ท่านหญิงเล็กหันไปดู เห็นหลังนางเฟือง ผมสยายยาวแวบหายเข้าห้องไปห้องท่านหญิงแขไข

ท่านหญิงเล็กยืนแข็งทื่อ อ้าปากค้าง มีเสียงหัวเราะแหบพร่าชวนสยองดังแผ่วๆ ไปทั่วบริเวณนั้น

ท่านหญิงแขไขนั่งนิ่งสนิทอยู่ในห้อง ปีศาจนางเฟืองหมอบฟุบแทบเท้า แขนทอดแตะเท้านิดๆ อย่างปลอบประโลมเสียงดังแหบพร่า

“ท่านหญิงของหม่อมฉันเสียพระทัย...ใครทำ...ระวังตัวให้ดี”
“อย่า...อย่านะเฟือง” ท่านหญิงบ่นอุบอิบในลำคอ นัยน์ตาจ้องนางเฟืองเขม็ง “อย่า...”

ส่วนในห้องเปียโน บ้านปัณณธร เวลานั้น เสียงเปียโนหวานเศร้าขับคลอเพลงดาวดวงเดือนของรุ้งดังออกมา ศักดินายืนฟังอยู่หน้าประตูห้อง รุ้งเล่นจนจบ มือค้างอยู่ที่คีย์บอร์ด
ศักดินา ยังไม่เห็นสีหน้ารุ้ง ทำท่าจะตบมือ รุ้งฟุบหน้าลงกับเปียโน
“รุ้ง...” ชายเดียวถลันเข้าไปประคองรุ้งอย่างอาทร พาไปนั่งเก้าอี้ “เป็นอะไร”
รุ้งผวาขึ้นอย่างตกใจ นัยน์ตาแดงช้ำ “คุณชาย
“ไม่สบายเหรอ...หน้าซีดเชียว ร้องไห้ด้วยหรือรุ้งเป็นอะไร”
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” รุ้งปาดน้ำตาเร็วๆ ลุกขึ้น พยายามฝืนยิ้ม
“ขอโทษนะ” ศักดินาแตะเบาๆ เหมือนหมอ “ตัวรุมๆ นิดหน่อย น่าจะมีไข้”
“คุณหมอ” เสียงรุ้งล้อนิดๆ
“ถึงไม่ใช่หมอก็ขอให้รู้ไว้ด้วยว่าตัวร้อนแปลว่า มีเชื้อโรคในตัว ทำให้อักเสบ เป็นไข้ ทานยาแก้ไข้ก่อน แอสไพรินมีมั้ยครับ”
“ค่ะ มี”
“ต้องดูแลตัวเองนะรุ้ง ริมาจะไปพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างตกอยู่ที่รุ้งจะไหวเหรอ อีกหน่อยร้านอาหารเปิดยิ่งเหนื่อยตาย”
“เหนื่อยแต่ได้เงินทุกวัน ตอนนับเงิน รุ้งคิดว่าหายเหนื่อย”
“เงินเยอะนักเหรอรุ้ง” เสียงศักดินาจริงจัง มองหน้าเป็นความหมาย
รุ้งนิ่งงันไป “ใช่ค่ะ รุ้งว่าคาดหวังสูงไว้ดีกว่า ถึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราทำเต็มที่ แม่กำลังคิดค้นสูตรสำเร็จของอาหารโบราณหลายๆอย่าง รุ้งเชื่อว่าแม่ทำได้”
“ผมนับถือรุ้งนะ รุ้งสู้จริง ผมประทับใจ”
“มีเรื่องเดียวที่กลัว”
“อะไร”
“ตอนคุณฉัตต์กลับมาเห็นบ้านเป็นร้านอาหาร”
“พี่ฉัตต์ต้องเข้าใจสิ คุณทำเพราะหารายได้ให้พี่ฉัตต์เรียน”
“คุณฉัตต์เข้าใจง่ายแบบคุณชายก็ดีสิคะ ไม่พูดถึงคุณฉัตต์ดีกว่า คุณชายมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมจะมาลาริมา เขาจะยอมพบผมมั้ยเนี่ย” ชายเดียวบอก หน้าตาดูกังวล

ด้านจริมาเดินมาเรื่อยๆ สีหน้าหมองเศร้า ภาพคิดภาพจำมากมายหลายเหตุการณ์ผุดขึ้นในห้วงคิด
จนมาจบที่ตอนจริมาเดินลงมาพอดี และเห็นว่าชายเดียวประคองรุ้งอย่างอาทร
จริมานั่งบนเก้าอี้ที่ท่าน้ำเรียบร้อยแล้ว ทอดสายตามองไปในน้ำ
เสียงคุ้นหูเรียกขึ้น “ริมา”
จริมาหันไป “คุณชาย”
“ผมมาลา พรุ่งนี้ผมไปส่งไม่ได้”
“แหม...คุณเคยไปส่งได้เหรอ”
“ริมา ผมเขียนในจดหมายแล้วว่าเพราะอะไรผมถึงไปส่งคุณไม่ได้ตอนคุณไปคราวที่แล้ว คุณไม่อ่านผมก็เลยผิด...จะผิดไปตลอดชาติมั้ยเนี่ย”
“บ่นเป็นคนแก่ รู้แล้วน่าว่าคุณล้มก่อนมาถึงที่บ้าน”
“รถ...ไม่ใช่ผม อยู่ดีๆผมจะล้มได้ไง”
“เอ๊า...อยู่ดีๆก็ไม่ล้มนะสิ นี่เพราะอยู่ไม่ดีไง้”
“คุยกับคุณไม่มีวันตามทัน”
“งั้นก็ไม่ต้องคุย” จริมาหันกลับจะเดินออกไป ชายเดียวคว้าแขน
“เฮ้ย...อีกแล้ว ชอบเงี้ยเรื่อย” จริมาโมโหปัดมืออย่างแรง
“นี่...คิดว่าผมน่ะจะ...เอ้อ...”
“ใช่” จริมาชี้หน้า “อย่าเถียง พูดดีๆก็ได้ไม่ต้องจับ เข้าใจ๋”
ชายเดียวหัวเราะขำ “เอาแล้ว ริมาคนเก่ากลับมาแล้ว”
“ทำไม ฉันเป็นคนใหม่ตรงไหนเหรอคุณชาย”
“ไม่ใช่...เพราะคุณมีเรื่องเศร้าคุณถึงเปลี่ยนไป”
จริมาหน้านิ่งขึ้น
“ผมเห็นใจคุณมากนะริมา คุณไปเรียนไกล...เหงา ว้าเหว่ แล้ววันหนึ่งก็ต้องกลับมาเพราะคุณพ่อเสีย แล้วคุณก็ต้องกลับไปเหงา ไปว้าเหว่อยู่คนเดียวอย่างเดิม”
จริมาหันหลังให้ชายเดียว น้ำตาขึ้นมาแล้ว กัดฟันแน่น ไม่อยากร้องไห้
“ริมา” ชายเดียวเดินมาข้างหน้า จริมาหันหลังหนีไปอีกทาง
“ทำไมริมา”
“ฉันไม่อยากให้คุณเห็นฉันร้องไห้นี่...เข้าใจมั้ยคุณชาย อย่ามาถามฉันอีก ฉันไม่ชอบร้องไห้ให้คนเห็น” ว่าแล้วจริมาก็ปิดหน้าด้วยสองมือ
“วันที่คุณไปหาผม ผมบอกให้คุณร้องออกมา คุณร้องแล้วคุณก็ดีขึ้น”

จริมานิ่งงัน อัดอั้น กลั้นน้ำตา แต่ไม่ไหว เดินไปอีกมุม ป้ายน้ำตาซ้ายขวา

ครั้นพอจริมาหันกลับมา เห็นชายเดียวถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ

“อะไร”
“ผ้าเช็ดหน้า...ไม่กล้าให้กลัวคุณไม่เอา”
จริมามองสักครู่ หยิบผ้าเช็ดหน้ามา เช็ดน้ำตา แล้วไม่รู้จะเก็บตรงไหน
“มาให้ผมเถอะ”
“เปื้อน”
“ไม่เป็นไร...มา ผมเอาไปซักเอง” ชานเดียวดึงไปเก็บใส่กระเป๋า
“คุณชาย...ขออะไรอย่างนะ”
“หลายอย่างก็ได้ อย่าลืมว่าเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ เราสี่คนไง”
“ช่วยดูแลรุ้งให้ด้วย”
“ทำไมต้องสั่ง”
“ฉันไม่ได้สั่งแต่บอกให้รู้ รุ้งเป็นคนที่ฉันรักมาก”
“สั่งให้ดูแลคนอื่น คุณล่ะ คุณอยู่โน่นใครดูแลคุณ”
“ฉันดูแลตัวเองไม่ต้องห่วงหรอก” จริมามองไปตามสายน้ำ ซ่อนสายตาน้อยใจไว้
ชายเดียวมองนิ่ง น้อยใจอยู่เหมือนกัน
จริมาหันกลับมา
ชายเดียวพูดทันที “ใครบอกว่าผมห่วง รู้แล้วว่าเก่ง ดูแลตัวเองได้ไม่ง้อใคร”
“เข้าใจฉันดีหรือเกินนะ”
“ใช่ เสียดายที่คุณไม่เข้าใจผมเลย”

ที่บริเวณแคมปัส มหาวิทยาลัยของจริมา วันหนึ่งในฤดูหนาว จริมาสะพายเป้เดินดุ่มๆ สายตาหมอง คิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ทะเลาะกับชายเดียวขึ้นมา
“เข้าใจฉันดีเหลือเกินนะ”
“ใช่ เสียดายที่คุณไม่เข้าใจผมเลย”
จริมาถึงเนินสูง เหวี่ยงเป้ลงพื้นแรงๆ แล้วพูดกับเป้ “โธ่เอ๊ย...ทำไมชั้นจะไม่เข้าใจคุณ ฉันน่ะ รู้จักคุณทุกอย่างย่ะ รู้ด้วยว่าคุณน่ะ..”
สุ้มเสียงสาวเจ้าเหวี่ยง อย่างมีอารมณ์
ภาพคิดภาพจำผุดขึ้นมากวนใจอีก คราวนี้เป็นภาพชายเดียวประคองรุ้งที่ฟุบอยู่กับเปียโน
จริมาหยุดพูด ระบายลมหายใจแรงๆ แล้วหยิบเป้ ออกเดินเร็วๆตรงไปยังตึกมหาวิทยาลัยที่อยู่ตรงหน้า จริมาเดินดุ่มๆพลางระบายอารมณ์อีก
“คิดว่าจะปิดบังฉันได้เหรอ...เชอะ..อย่าหวังเลย”
แต่แล้วต้องหยุดกึก เมื่อมีใครคนหนึ่งเดินตาม จริมาหันไปดู เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น คนๆ นั้นก็เดินเร็วตาม จริมาเหวี่ยงเป้มาข้างหน้ากอดอก แล้ววิ่ง คนๆ นั้นวิ่งตาม จริมาวิ่งสุดแรงเกิด
“Stop” เป็นเสียงฉัตต์
แต่จริมาโกยอ้าว จำเสียงพี่ชายไม่ได้เพราะฉัตต์พูดอังกฤษ
“หยุดก่อนริมา”
จริมาหยุดกึกหันไป มองตาโต ฉัตต์ถอดแว่น ยืนมองจ้องอยู่
“พี่ฉัตต์” จริมาเหวี่ยงเป้ลอยไป แล้ววิ่งหัวซุน เข้าไปหากระโดดกอดคอแน่น “พี่ฉัตต์จริงด้วย”
“ก็พี่นะสิ วิ่งหนีทำไม”
“คิดว่าโจร”
“คิดถึงพี่หรือเปล่า”
ความรู้สึกในใจจริมาพลุ่งขึ้นมาทันที สะอื้นฮักๆ กอดพี่ชายแน่น จนฉัตต์งง
“ริมา”

จริมายังคงร้อง...ร้อง...แล้วก็ร้องอีก ด้วยความอัดอั้นในใจ สงสารพี่ คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ คิดถึงย่าเหลือเกินแล้ว

จริมาพยายามหยุดร้องไห้ แต่ยังบังคับตัวเองไม่ได้

“ร้องไห้ทำไมริมา”
“นึกยังไงมาหาน้อง เซอร์ไพรส์เหรอคะ”
“ไม่ต้องถาม...บอกพี่มาก่อน”
“บอ...บอกเรื่องอะไรคะ”
“ทำไมไม่เขียนจดหมาย ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
จริมาลอบระบายลมหายใจ “ริมาขอโทษ เรียนหนักไม่ได้เขียน เอ๊..พี่ฉัตต์โทร.หรือค”
“คนรับแมสเสจไม่บอกเหรอ พี่ฝากบอกริมาให้โทร.กลับ เป็นห่วงมากกลัวไม่สบาย กลัวเรียนไม่ได้ กลัวคิดถึงบ้านขึ้นมามากๆ เดี๋ยวแอบบินกลับบ้านไป”
“โธ่เอ๋ย...ใครจะหนีไปได้ ริมาจะเอาตังค์ที่ไหนซื้อตั๋วเรือบินนะคะคุณพี่...ไม่ใช่ตั๋วเรือด่วนข้ามฟาก”
ฉัตต์หัวเราะเสียงดัง...ชอบใจมาก
พิสินี ยืนอยู่ห่างออกมา มองจ้องด้วยสายตาไตร่ตรอง

ขณะเดียวกันที่ บ้านปัณณธร รุ้ง คุณหญิงเพ็ง และจันทร์เดินมาตามทางเดินออกจากตัวเรือน ไปร้านอาหาร
“นี่คือยอดค่าใช้จ่ายสร้างร้านอาหารค่ะคุณย่า” รุ้งบอก
“ตรวจสอบแน่นอนไม่ผิดนะลูก”
“ไม่ผิดค่ะ ตอนนี้ไม่มีเงินเดือนคุณลุง ต้องดึงเงินที่ส่งให้คุณฉัตต์กับคุณริมามาใช้ เราต้องรีบเปิดร้านอาหารให้มีรายได้เร็วที่สุดค่ะ”

ร้านอาหาร ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งอยู่ริมน้ำ บรรยากาศรื่นรมย์ต่อเนื่อง สามคนยืนมองร้านอาหาร คุณหญิงมองไปรอบๆ สายตาตรึกตรอง หนักใจอยู่พอสมควร
คนอื่นๆ ยอด สำเนียง สำลี ละเมียด อ่อน แนบ สารภีอยู่ตามที่ต่างๆ ยืนมองอยู่ สายตาทุกคนไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน
คุณหญิงหันมาพูดกับทุกคน แจกแจงงาน
“เอาล่ะ ทุกคนฟังนะ ร้านอาหารนี้เราจะช่วยกันทำ คุณจันทร์เป็นแม่งาน รุ้งช่วยได้ก็เฉพาะตอนกลับจากวิทยาลัย เพราะฉะนั้นสำเนียงแกเป็นแม่ครัวใหญ่ สำลีช่วยแม่ของแก คนอื่นๆ เป็นคนเสิร์ฟ อ่อน.. สารภี ถ้ากิจการดีจะจ้างมาเพิ่มให้ช่วยแก”
ยอดชูมือ และทำท่าว่าจะขอล้างจาน
“ดีแล้ว ยอดเป็นคนล้างจาน” จันทร์บอก
“ไหนเข้าไปดูข้างในซิ”
คุณหญิงเดินเข้าก่อน คนอื่นๆตามไป
รุ้งหันมาทางแม่พูดเบาๆ “รุ้งกำลังคิดว่า ถ้าคุณฉัตต์รู้ว่าเราเอาบ้านเธอมาทำเป็นร้านอาหารจะโกรธซักขนาดไหน”
สีหน้าจันทร์ดูออกว่าวิตกมากเหมือนกัน

ส่วนอีกฟากโลก พิสินี มองไปที่ฉัตต์กับจริมาที่ยังทักทายกันอยู่ไกลออกไป สายตายังคงครุ่นคิดตรึกตรอง แล้วตัดสินใจก้าวเท้าออกไป ตรงเข้าไปหาสองพี่น้อง จริมาเหลียวไปมองเห็นพิสินี
“เพื่อนพี่...ชื่อพิสินี” ฉัตต์บอก
“แฟนพี่ฉัตต์” จริมาทิ้งเสียงเป็นคำถาม
“นึกไม่ผิดเลย...ไม่ใช่แฟน”
จริมามองหน้าฉัตต์อย่างค้นหาความจริง สีหน้าฉัตต์จริงจังมาก
“เชื่อพี่ไหม”
“เชื่อค่ะ”
“ไม่ได้พบกันนานเหลือเกินนะ 3 ปีกว่า”
จริมาก้มหน้า เหมือนน้ำตาจะไหล แต่กล้ำกลืนไว้ “พี่ฉัตต์กอดน้องอีกทีได้มั้ย”
พิสินีเดินเข้าไปช้าๆ เห็นฉัตต์อ้าแขนกอดริมาแนบอก
สายตาพิสินีเข้มขึ้นนิด มองเห็นอย่างลึกซึ้งว่าฉัตต์รักน้องมาก
“ริมารู้สึกดีจัง”
“พี่ก็เหมือนกัน”
จริมาเหลือบมองเห็นพิสินี จงใจพูดเสียงดัง “เรายังเด็ก อย่าเพิ่งมีแฟนเลยนะคะพี่ฉัตต์”

พิสินีเดินมาถึงพอดี ได้ยินเต็มๆ ยิ้มในสีหน้าบอกตัวเองในใจว่า อุปสรรครักอันใหญ่หลวงของเธออยู่ตรงหน้านี้เอง

อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น