xs
xsm
sm
md
lg

แค้นเสน่หา ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แค้นเสน่หา ตอนที่ 6

ท่านชายวรจักรเดินมาลงนั่งในห้องโถง ท่านหญิงเล็กอ่านหนังสือ “ชาวกรุง” นิตยสารรายเดือนยอดนิยมแห่งยุค

“ยังไม่แต่งตัวอีกหรือหญิงเล็ก”
“แต่งแล้วค่ะ” ท่านหญิงเล็กแต่งชุดดูธรรมดาๆ มาก เหมือนอยู่กับบ้านมากกว่า
“อะไรกัน จะไปอย่างนี้เหรอ”
“ค่ะ”
“ไม่ได้ ไปเปลี่ยนซะ ไปอย่างนี้น่าเกลียด”
ท่านหญิงเล็กนั่งนิ่งอยู่สักครู่ ก็ลุกขึ้นเดินไปหน้าเฉยๆ หญิงลักษณ์ขยับตัวตาม
“หญิงลักษณ์”
“คะ ท่านพ่อ”
“แสดงอะไรรึเปล่างานโรงเรียน”
“เปล่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ เราเป็นพระญาตินะ ทำไมท่านชายไม่จัดให้หญิงแสดงอะไรซักอย่าง”
หญิงลักษณ์เงียบ
“ไปทำท่าอะไรให้ครูเขาไม่ชอบ หญิงทอแสงยังได้แสดง..อะไรนะหญิง”
“พี่หญิงแสดงระบำสเปญค่ะ” หญิงลักษณ์บอก

หลายวันต่อมา ที่สนามหลังบ้านปัณณธร จริมากระโดดเชือกไปพูดไป รุ้งจัดอาหารว่าง ฉัตต์นั่งอ่านหนังสือ
“ไม่อยากเล่นเล๊ยจริงๆ ให้ตายสิไอ้ระบำสเปญเนี่ย”
รุ้งมองเหล่ๆ
“ให้ตายจริงๆ นี่นาเพราะไม่อยากเต้นกับยายหญิงทอแสง ไม่ได้พูดหยาบซะหน่อยมองอย่างนั้นทำไมตัวเล็ก”
รุ้งยิ้มๆ ค้อนๆนิดๆ แล้วสบตาฉัตต์ที่ทำท่าอ่านหนังสือแต่มองมาปังใหญ่ ฉัตต์หน้าบึ้งอีกหนึ่งองศา สบตานิ่งอยู่อึดใจ ก็ก้มลงอ่านหนังสือตามเดิม รุ้งหน้าม่อย
“เฮ้อ เมื่อไหร่จะมาซะที พี่ฉัตต์ นัดเค้าไว้กี่โมงคะ หรือว่าท่านแม่เค้าจะไม่ให้มาเพราะขี้เกียจมารับเหมือนอย่างวันนั้น” จริมาบ่น
“จวนแล้ว” ฉัตต์บอก
“ไม่เชื่อหรอก เลยเวลาแล้วล่ะ ไม่ว่า” จริมาบอก
“เอ๊ะ จะเลยได้ไง แค่จวน..จวนเวลาแล้ว”
“เลย...เลยแน่นอน เพราะว่าริมาหิวแล้ว นี่มันเลยเวลากินกลางวันไปแล้วเห็นมั้ย” จริมาทำท่าดูนาฬิกา ทั้งๆไม่มีนาฬิกา
รุ้งหัวเราะกิ๊ก แล้วเหลือบไปทางฉัตต์อีก หน้าม่อยอีกตามเคย “ขอโทษค่ะ” เสียงของรุ้งดังอุบอิบ
“หัวเราะเสียงดังทำไม ฉันพูดอะไรผิด” ฉัตต์น้ำเสียงตวัด
จันทร์ที่ยกอาหารมาให้ ได้ยินเต็มๆ มองไปที่รุ้ง นึกสงสารลูก รุ้งหน้าสลดลงมาก ก้มหน้านิ่ง จันทร์ยกอาหารไปวาง
“อะไรคะน้าจันทร์” จริมาเอื้อมมือมาจะหยิบอาหาร
จันทร์จับมือจริมาไว้เบาๆ หน้ายิ้มๆ ส่ายหน้าน้อยๆ “รอก่อนค่ะ”
“ไปดีกว่า ไม่รอแล้ว อีตาชายเดียวคนผิดเวลา”
จริมาออกวิ่งพรวด แล้วเบรคพรืด ตรงหน้าคุณชายศักดินาพอดิบพอดี แต่ไม่ชนกัน
“ผมมาแล้วครับ”
จริมาชี้ข้อมือที่ไม่มีนาฬิกา “มาช้า”
ชายเดียวชี้เหมือนกัน และไม่มีนาฬิกาเหมือนกัน “ไม่ช้า”
“ช้าไป” จริมายังชี้อยู่ “5 นาที”
ชายเดียวชี้เช่นกัน “มาถึงพอดี เดินเข้ามาตอนนี้ช้าไป...สองนาที”
สองคนโต้กันไปมา ไม่มีใครยอมกัน
“ห้า”
“สอง”
“ห้า”
“สอง”
“หิวมั้ยคะ คุณชายเดียว” จริมาถามเสียงหวาน
“หิวครับ”
“มากมั้ยคะ”
“มากครับ” ศักดินาบอก
จริมาเสียงเขียว “นั่นแหละ...คุณไม่ได้มาช้าแค่ห้านาทีหรอกอาจเป็นสิบ..สิบห้า..ยี่สิบ..ไม่อย่างนั้นจะหิวมากเหรอ เพราะร่างกายคนเราตอบรับกับเวลา ถ้าเลยเวลาอาหารกลางวันมานาน.. เราก็จะหิว นี่คุณหิวมาก ก็แปลว่าเลยเวลามานานมาก” สาวก๋ากั่นพูดเร็วปรื๋อ
ศักดินาเจอชุดใหญ่หน้าเหวอไป ท่าทีน่าขำมาก
“แล้วยังมีหน้ามาบอกแค่สองนาที...ฮึ...” จริมาวิ่งจู๊ดไปทันที
แต่ชายเดียวคว้าแขนไว้จริมาสะบัดสุดแรง
“เฮ้ย...แต๊ะอั๋งเหรอ”
“เปล๊า...” ชายเดียวร้องเสียงหลง
“นี่ไง แขนยังเป็นรอยอยู่เลย”
“ขอโทษ ผมแค่อยากจะบอกว่า...”
จริมาไม่ฟังวิ่งพรวดไป แต่สะดุดก้อนหินก้อนเขื่องวางขวางอยู่ จนล้มคะมำหัวซุนไปสองสามก้าว ล้มแบบแขนกางขากาง หน้าคว่ำ
จริมานิ่วหน้า สีหน้าฮึดฮัด เจ็บเว๊ย
ศักดินาเดินเข้ามาใกล้มาก ยิ้มนิดๆ
“เฮ้อ...ว่าจะบอกให้ระวังสะดุดก้อนหิน” พลางหยิบหินไปพ้นทาง “บอกไม่ทันแล้ว เสียใจจริงๆ”
รุ้งวิ่งมาเห็นเข้า “ริมา...เจ็บมั้ยคะ”
จริมาลุกพรวด เดินดุ่มๆไป บ่นพึมพำไปตลอดทาง
“คุณชาย” รุ้งทักทาย
“รุ้ง” ศักดินายิ้มบางๆ หล่อมากมาย “ผมมาช้าไปหน่อย ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณชายมายังไงหรือคะ”
“เชื่อมั้ย...ผมเดินมา”
“เดินมา...จากวัง” รุ้งพูดเป็นเชิงถาม
“ครับ เดินมาเรื่อยๆ จากวังมาถึงนี่” ศักดินาทำท่าดูนาฬิกา แล้วหน้าขำๆตัวเอง “น่าจะประมาณยี่สิบนาทีถึงครึ่งชั่วโมง”
“ทานน้ำก่อนนะคะ”

ด้านฉัตต์ยังกางหนังสืออยู่ แต่มองลอดผ่านหนังสือไปดู เห็นรุ้งท่าทางสุภาพนุ่มนวล น่ารัก ผายมือให้ชายเดียวเดินมา ชายเดียวเดินเคียงกันมาดู เป็นภาพหนุ่มสาวหล่อสวยเหมาะสมกัน
ฉัตต์ ก้มลงอ่านหนังสือตามเดิม
“คุณฉัตต์คะ” รุ้งเรียก
ฉัตต์เฉย
รุ้งขยับมาตรงหน้า “คุณฉัตต์”
“ทำไม” ฉัตต์ถามเสียงห้วน
“คุณชายมาแล้วค่ะ อยู่โน่น”
ฉัตต์สบตารุ้งเต็มๆ “เห็นแล้ว” ลุกแล้วเดินไปทันที
รุ้งหน้าเสียมาก จันทร์ยืนมองอยู่ห่างๆ มองชายเดียว สลับกับมองรุ้ง และมองฉัตต์

ไม่นานต่อมาจันทร์ เดินมาที่ท่าน้ำ มองเหม่อๆ สีหน้าครุ่นคิด
ยอดเรียกเบาๆ “หม่อมครับ”
จันทร์หันมาหา “ยอด”
“หม่อมไม่สบายใจเรื่องอะไรครับ”
จันทร์ทอดถอนใจ
“คุณฉัตต์” ยอดรู้ทันที
“ใช่....สงสารรุ้ง”
“หม่อมอย่าคิดอะไรมากเลยครับ เรื่องมันนานมาแล้ว ผมว่าคุณฉัตต์เองก็คงเลือนๆ ไปแล้วเหมือนกัน”
“ยังหรอกยอด”
“หม่อมครับ ไม่มีใครหรอกครับที่จะไม่แพ้ความดีงามของคน”
จันทร์มองยอดฉงน ทำไมวันนี้พูดจาเป็นสาระ
“ผมเป็นขี้ข้าไม่น่าพูดอะไรอย่างนี้ใช่มั้ยครับ แต่ผมพูดจากความรู้สึกจริงๆ ครับ หม่อมกับคุณหญิงสุดแสนดี คุณฉัตต์ไม่ใช่คนหยาบ...เธอรู้ครับ”
“เธอเกลียดรุ้งไม่หาย”
“ไม่ใช่เกลียดครับหม่อม....ดูๆ ไปเถอะครับ” ยอดบอกอย่างมั่นใจ

เสียงสำลีดังขัดจังหวะเสียก่อน
“พี่ยอด....พี่ยอด”
ยอดเปลี่ยนท่าที เป็นทำท่าพูดอะไรบางอย่างแบบคนใบ้
สำลีวิ่งเข้ามาหาสองคน “คุณฉัตต์เรียก”
ยอดทำท่าถามว่าเรื่องอะไร
“จะถามว่าเรื่องอะไรใช่มั้ย”
ยอดพยักหน้า
“ไม่รู้”
ยอดอ่อนใจ ลุกเดินไป
สำลีมองตาม สายตาลวนลามขำๆ หันมาเห็นจันทร์...ยิ้มเขิน “คนอะไร้”
“ทำไมหรือสำลี” จันทร์ถาม
“หล่อค่ะคุณจันทร์ ขนาดเป็นใบ้นะ”
“ถ้าไม่เป็นใบ้…”
“เก๊าะ หล่ออย่างเดียว”

จันทร์หัวเราะเบาๆ สองคนเดินไปทางตึกใหญ่ ยินเสียงจันทร์ถาม "ทานกันเสร็จหรือยัง" ตามมาด้วยเสียงสำลีตอบ “เสร็จแล้ว”

แค้นเสน่หา ตอนที่ 6 (ต่อ)

จักรยานจอดอยู่ที่ถนนหน้าบ้านปัณณธร 2 คัน ยอดจูงมาเพิ่มอีกคัน

“มีจักรยานสามคัน จะไปกันยังไง” จริมาถาม
“รุ้งไม่ไปก็ได้ค่ะ จะไปช่วยแม่ทำกับข้าว”
“ไม่ได้...ตัวเล็กเป็นเจ้าของจักรยานคันหนึ่ง จะไม่ไปได้ยังไง” จริมาไม่ยอม
ศักดินาทำหน้าทองไม่รู้ร้อน
“พูดอย่างนั้นหมายความว่ายังไงริมา ชายเดียวเป็นแขกของพี่นะ” ฉัตต์เม้ง
“พูดไปตามความจริง ไม่มีความหมายใดๆ” จริมาโต้
ฉัตต์เหล่น้องสาวมากๆ “แล้วพูดทำไม”
“คนเราไม่ให้พูดความจริง แล้วจะให้พูดความไม่จริงเหรอคะคุณพี่” จริมาย้อน
รุ้งกระซิบ “คุณริมา..อย่าไปว่าเค้าค่ะ”
จริมาพูดเสียงปกติ “ว่าใคร....ไม่ได้ว่าใครซักคน อย่าออกรับแทนใคร ตัวเล็ก...เดี๋ยวสวย”
“ริมา เป็นเด็กผู้หญิงนะ ไม่ได้นักเลงโต” ฉัตต์เอ็ด
ยอดเข้ามา ทำท่า
“จะเอาอะไรหรือจ๊ะยอด” รุ้งถาม
ยอดทำกิริยาว่า เอาจักรยานของผมไหม?
“ไม่เอา แกไปไหนก็ไปหมดหน้าที่แกแล้ว”
ยอดหน้าเสีย ค่อยๆ ถอยไป
รุ้งคิดอึดใจหนึ่ง “ยอด”
ยอดชะงัก
“ไปเอาจักรยานมา”
รุ้งบอก ยอดอึกอัก มองหน้าฉัตต์
“เอามาทำไมตัวเล็ก” จริมาถาม
“รุ้งใช้จักรยานของยอดได้”
“โอ๊ย...จะพังอยู่แล้ว ตัวเล็กจะใช้ได้ไง”
“ได้...รุ้งขี่ได้”
ฉัตต์ฉุนอีก “ฉันบอกไม่ก็ต้องไม่ ฟังไม่เข้าใจหรือ”
รุ้งก้มหน้านิ่ง ชายเดียวจ้องรุ้งอย่างสงสาร จริมาเหล่พี่ชาย
“ริมา รุ้งไม่ไปนะคะ”
“รุ้งครับ..มา..ซ้อนท้ายรถผม” ศักดินาบอก
รุ้งเหลือบดูฉัตต์ ท่าทางกลัวๆ
“เอ้า คุณชายเดียวขยับจักรยานให้รุ้งสิจะให้ซ้อนก้อ” จริมาออกเสียงสั่ง “พี่ฉัตต์...จะห้ามอีกไม่ได้แล้วนะคะ”

สรุปว่ารุ้งซ้อนจักรยานชายเดียว ฉัตต์หน้าบึ้งๆ แต่เพราะเส้นทางที่ขี่กันมาทิวทัศน์สวยงาม ฉัตต์เลยเปลี่ยนสีหน้าเป็นสบายๆ ทั้งหมดขี่จักรยานกันไป ร้องเพลงไป บ้างร้องแซงๆ บ้างร้องแข่งกันร้องเสียงดังเป็นที่สนุกสนาน

ในที่สุดทั้ง 2 พี่น้อง ก็มาถึงบริเวณสวนสวยๆ ของชาวบ้าน บ้านหลังนี้ทำสวนผลไม้อยู่ริมน้ำ และมีเรือพายจอดอยู่ตรงท่าน้ำสวยๆ
จักรยาน 2 คันจอดล้มอยู่ จริมาเดินเข้าพลางเรียกพลาง “หนูตุ่น....หนูตุ่นอยู่รึเปล่า”
หนูตุ่น เป็นลูกสาวของชาวบ้านผัวเมียหน้าตาซื่อๆ บ้านนี้ อายุประมาณ 7-8 ขวบ อ้วนป้อม แต่หน้าตาน่ารักผิวคล้ำ
ฉัตต์ยืนอยู่แต่หันหลังไปมองว่า สองคน รุ้งกับศักดินา ทำไมยังไม่มา
“หนูตุ่นเอ๊ย”
มือของหนูตุ่นค่อยๆ ยื่นมากระตุกขาริมา
จริมาไม่มองลงไป “อ้ะ...ใครเอ่ยมากระตุกขา ระวังน้า คุณริมาสะดุด...เหยียบตัวแบนไปว่าไง”
หนูตุ่นหัวเราะคิก เดินตุ้มตุ้ยออกมา
“เหยียบเลย....อยากตัวแบนค่ะ”
จริมาหัวเราะชอบใจ แต่แล้วมองหาฉัตต์
“คุณฉัตต์เหรอคะ...ตรงโน้นแน่ะ”
จริมามองตามมือหนูตุ่น เห็นฉัตต์ยืนอยู่ตรงทางเข้า มองชะเง้อไป

สองพี่น้องแฝดคนฝา รุ้งซ้อนจักรยานชายเดียวมาแต่ไกล แต่อาการเก้ๆกังๆ กันอยู่บนถนน
“ทำไมผมขี่ช้าจัง สองคนนั่นหายไปแล้ว”
“รุ้งตัวหนัก ให้เดินไปก็ได้นะคะ”
“ถ้าผมยอมรู้มั้ยว่าผมต้องเจออะไรมั่ง” ศักดินาปรารภ
“ริมา” รุ้งรู้ ตอบทันที
ชายเดียวหัวเราะ “ผมจะฟังไม่ทันเลยล่ะ”
“คุณชายซ้อนรุ้งมั้ยคะ”
“ได้เหรอ”
“ได้ค่ะ รุ้งถีบรถจักรยานแข็งค่ะ
“ผมว่า...น่าจะดี เพราะผมถีบไม่เก่งจริงๆ”

ฉัตต์กอดอกยืนมองไป เห็นรุ้งถีบจักรยานท่าทางคล่องมาก และปั่นมาอย่างเร็ว โดยมีมือชายเดียวแตะอยู่ที่เอวรุ้งเบาๆ ทั้งสองข้าง
สีหน้าฉัตต์เฉยเมย พอรุ้งถีบมาถึง ฉัตต์สบตารุ้งอย่างแรง รุ้งจ้องตอบ นัยน์ตาเป็นคำถาม
ฉัตต์หันหลังกลับเดินไปทันที ชายเดียวไม่เห็นสีหน้าฉัตต์ เพราะมัวแต่ระวังตัว และดูทางด้วย
“ระวังหลุมนะครับรุ้ง”
“ถึงแล้วค่ะ”

ฉัตต์หน้าตาขุ่นมัวมากๆ นั่งพิงเสาเรือนนิ่งๆ อยู่
“มาแล้วเหรอ...คุณชาย...ทีหลังอย่าอวดเก่งให้ใครซ้อนเลย” เสียงจริมาดังขึ้น
“ผมให้ซ้อนมั่งไม่ซ้อนมั่ง” ศักดินาโต้
“เอ๊ะ” จริมาเท้าสะเอวข้างเดียวด้วยท่าทางน่าขัน “หมายความว่าไง”
“ตามที่ผมพูดทุกคำ”
จริมาหน้าคว่ำ “ก็นั่นแหละไม่เข้าใจ”
“รุ้งเป็นคนถีบค่ะ ตอนหลังคุณชายซ้อน..ถึงช้าค่ะ” รุ้งบอก
ฉัตต์ได้ยิน สีหน้ายิ่งเฉยใหญ่
“ไม่จริง ช้าตอนผมถีบ...ถีบไม่ค่อยเก่ง” ชายเดียวทักถามเสียงอ่อยๆ “พี่ฉัตต์ล่ะครับ”
“โน่น คอยคุณชายหลับไปแล้วมั้ง”
“หนูตุ่นล่ะคะ” รุ้งถาม
“ไปบอกพ่อแม่ว่าเรามา เขาเตรียมเรือไว้แล้ว...ไปกันเถอะ”

มิ่งยืนในเรือคอยทุกคนอยู่แล้ว ต้อยติ่งเมียนายมิ่งแม่หนูตุ่นเอ่ยขึ้น
“ไอ้หนูตุ่นเอากล้วยส่งให้พ่อเอ็ง...ให้คุณไปทานในสวน”
รุ้งพูดในขณะที่ฉัตต์กับจริมาลงเรือไปแล้ว “มิ่งกับต้อยติ่งเขาเป็นพ่อแม่ของหนูตุ่นค่ะ”
“เราจะไปไหนกัน” ศักดินาสงสัย

ในคลองเล็กๆ อันเป็นเส้นทางลัดเลาะไปในสวนฝรั่ง มิ่งพายเรือมา ได้ฉัตต์ช่วยพาย สีหน้ายังเฉยเมยอย่างเก่า
รุ้งพูดเบาๆ “รุ้งช่วยพายนะคะคุณฉัตต์”
ฉัตต์มองมานัยน์ตาคมเข้ม สายตาบอกว่าไม่ต้อง รุ้งหลบตา ใจสั่น
“สวนของมิ่งเหรอครับริมา” ศักดินาถามขึ้นซื่อๆ
“เอ๊ะ คุณชาย มิ่งเค้าจะพาไปสวนคนอื่นเหรอ” จริมาตีฝีปาก
“อ๋อ...สวนของเขาจริงๆ ด้วย” ชายเดียวบอกเสียงซื่อ
จริมาจอมแก่นเหล่มาก “โห...ทำเป็นอินโนเซนส์”
ชายเดียวยิ้มขำๆ แต่ไม่ต่อคำ
“รุ้งครับ พายเรือเป็นมั้ย”
“เป็นค่ะ”
“เก่งจัง เป็นทุกอย่างเลย ถีบรถก็เก่ง” ชายเดียวชม
“เพราะเรามาเที่ยวสวนของมิ่งตั้งแต่เด็กๆ ถีบรถมาแล้วก็มาพายเรือ” รุ้งบอก
“ผมสิ...อะไรก็ไม่เป็นซักอย่าง กลับไปผมจะให้คนที่วังหัดให้พายเรือ แล้วผมจะพายให้รุ้งกับริมานั่ง...” ศักดินาหันมาดูฉัตต์ “ตอนที่พี่ฉัตต์ไปเมืองนอกแล้ว นะครับพี่ฉัตต์”
“ชายเดียวไม่ต้องหัดหรอก ให้รุ้งเขาพายให้” ฉัตต์ประชด
“เรื่องอะไรมาใช้แรงงานผู้หญิง ไปหัดเถอะคุณชาย จะได้ไม่ต้องนั่งเฉยๆ อายฟ้าอายดินเปล่าๆ”
ถูกถากถางแต่ชายเดียวกลับชอบใจ หัวเราะเสียงดัง “จริงด้วย ตอนนี้ก็อายจัง”
จริมาค้อนขวับ หันไปบอกฉัตต์
“เร็วเข้าพี่ฉัตต์ ...หิวอีกแล้ว กว่าจะได้กลับมากิน”

ตรงมุมสวยๆ ในสวนใกล้ๆ บ้าน ต้อยติ่งกะหนูตุ่น เตรียมอาหารที่มีข้าวเหนียว เนื้อเค็ม น้ำพริก และผักจิ้ม อยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้
“หนูตุ่น เอ็งอย่าลืม เด็ดมะละกอมาทำส้มตำ” ต้อยติ่งบอก
หนูตุ่นหยิบมะละกอดิบชูสองมือ “แม่..ดูนี่”

ด้านฉัตต์ จริมา ปีนป่ายอยู่บนต้นฝรั่ง เก็บแล้วโยนให้รุ้งที่รออยู่ใต้ต้นไม้ ชายเดียวยืนมอง
“คุณชาย ขึ้นได้รึยังยืนมองอยู่ทำไม” จริมาเรียก
“ผมไม่เคยปีนต้นไม้”
“ไม่เคยปีนต้นไม้เนี่ยนะ” จริมาร้องเสียงหลง “แล้วไม่อายฟ้าอายดินเหรอ”
“ก็...อายเหมือนกันครับ”
จริมาหัวเราะ ฮ่ะ..ฮ่ะ...ฮ่ะ เยาะเย้ย เย้ยหยัน ด้วยท่าทางน่าขำมาก
รุ้งพยายามห้าม แต่จริมายิ่งเยาะเย้ยมากขึ้น ชายเดียวทำท่าเขินแบบน่ารักมาก
“ริมา...พอ...พอ เยอะเกินไปแล้ว”
“ขี่จักรยานโย้ไปเย้มา ต้นไม้ไม่เคยปีน อ้อ...” จริมาดีดนิ้วเปาะ “แล้วอย่างเงี๊ยก็ไม่เป็นอีกตามเคยใช่มั้ย”

ทุกคนอยู่ที่ท้องร่อง มีต้นมะพร้าวเล็กๆ ทอดข้าม
“เอ้า...เป็นรึเปล่าคุณชาย”
ชายเดียวยืนหน้าแหยงๆ
จริมาเดินพรวดๆ อย่างเร็ว อึดใจเดียวไปยืนอยู่ฝั่งโน้น “ไม่ได้ก็บอกมา”
ชายเดียวอึกอัก “เอ่อ...”
จริมาเดินพรวดๆ กลับมาอย่างรวดเร็วอีก “ว่าไง..เห็นมั้ยว่ามันหมูมาก..ผู้หญิงยังเดินได้ชายอกสามศอกจะยอมแพ้เหรอ อายฟ้าอายดินอีกนา คุณชาย”
“ริมาคะ...อย่าแกล้งเขาเลย สงสาร” รุ้งเดินไปหาจริมา
ฉัตต์หันมาเผชิญหน้ากับรุ้ง ตวาดเบาๆ “ยุ่งอะไรด้วย ทำไม..เป็นห่วงมากนักเหรอ” เดินมาขวางหน้ารุ้ง
รุ้งมีสีหน้าจริงใจมากขณะบอก “ค่ะ เป็นห่วง”
ฉัตต์ของขึ้นพาลสุดๆ “ห่วงทำไม...ห่วงว่าไง”
“คุณชายอาจจะตกน้ำค่ะ”
ฉัตต์กระซิบดุๆ “ไม่ให้ตกแล้วเมื่อไหร่จะเดินเป็น”
“ก็...” กระซิบเหมือนกัน “ทำไมต้องเดินเป็นล่ะคะ ไม่ได้จำเป็นนี่คะ”
“แต่..ฉันเห็นว่าจำเป็นมาก อย่ายุ่งดีกว่าไม่รู้อะไร...ยุ่ง”
รุ้งหน้าเหวอ อ้าปากค้าง ตาโต เป็นกิริยาที่น่ารักมาก ฉัตต์เผลอจ้อง รุ้งจ้องตาม แล้วกลัว ค่อยๆหลบตา
ส่วนชายเดียว ยืนที่ต้นมะพร้าวกับจริมา สองคนไม่เห็นฉัตต์กับรุ้ง
รุ้งเดินไปที่ชายเดียว ท่าทางจ๋องมาก ฉัตต์ขวางไว้อีก หน้านิ่งๆ รุ้งหยุดไม่กล้าไป
“ผมจะลองก็ได้ แต่ริมาต้องสัญญาก่อน” ศักดินาตั้งข้อแม้
“สัญญาเล๊ย..ได้ทุกอย่าง....มา”
“ไม่ถามเลยเหรอว่าสัญญาว่าไง”
“อะไรก็ได้...มา”
“ว่าจะไม่หัวเราะเยาะถ้าผมตกน้ำ”
จริมาชะงักทันที “อุ๊ย...ไม่เอา ถ้าคุณชายตกน้ำจะไม่หัวเราะได้ไง เสียธรรมเนียมหมดสิ ถ้าตกน้ำ...ต้องหัวเราะอย่างเดียว....อย่างอื่นได้สัญญาทุกอย่างว่าจะไม่ทำ”
“ถ้างั้นผมไม่เดิน” ชายเดียวบอก
“ยอมอายฟ้าอายดิน ว่างั้นเถอะนะ”
“ยอม”
“ยอม...ฮะ...ฮะ..ยอมเหรอ...ฮะ...ฮะ โอ้ย อยากหัวเราะให้ได้ยินไปถึงวังคุณชายเลย ฮะ... ฮะ...ผู้ชายอะไร้...เดินแค่นี้เดินไม่ได้”
ขณะที่จริมาหลับหูหลับตา หัวเราะดังก้องอยู่นั่น ฉัตต์ซึ่งยืนเท้าสะเอวมองจริมาอย่างขำๆ หันหลังให้รุ้ง
รุ้งเดินไป คว้ามือชายเดียวแล้วพาเดินไปอย่างรวดเร็ว ถึงฝั่งโน้น ฉัตต์เห็นเข้าทำท่าจะตามไปเข่นรุ้ง แต่ก็ไม่ไป ยืนหน้าบึ้ง
รุ้งเดินกลับไปอย่างรวดเร็วมาก แล้วไปยืนสงบเสงี่ยมข้างๆ ฉัตต์ อย่างเดิม
จริมาหัวเราะเสร็จ ลืมตามองปรากฏว่า ชายเดียว...ไม่อยู่ที่เก่า
“อ้าว” จริมาหันมาเห็น “ฮะ...เดินมาเองเหรอ”
ชายเดียวไม่ตอบ แต่ยืนทำหน้าซื่อ
“เดินมาเองรึเปล่า ตัวเล็ก...พาคุณชายมาใช่มั้ย”
“รุ้งอยู่ตรงเนี้ย” รุ้งบอกตามตรง
“คุณชาย” จริมาถามอย่างเอาเรื่อง
“ผมก็มาอยู่ตรงนี้แล้วไงครับ” ชายเดียวบอก
“พี่ฉัตต์”
“พี่อยู่ตรงนี้แหละ” ฉัตต์ว่า
จริมามองทุกคน อย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ริมารับรองคุณชายน่ะ ไม่มีทางเดินมาคนเดียว เพราะถ้าเดินเอง คุณชายต้องตกน้ำไปแล้วอย่างแน่นอน ต้นมะพร้าวมันเล็ก แล้วก็ดิ้นได้ด้วย ตอนเราหัดเดินยังตั้งหลายวัน จริงมั้ยพี่ฉัตต์ จริงมั้ยตัวเล็ก”
สองคนหน้าแหยๆ ไม่ตอบอะไร
“ถ้าจะให้เชื่อ เดินกลับไปอีกหน”
ชายเดียวอึ้ง
“ว่าไงคุณชาย ไม่งั้นฉันไม่เชื่อ แล้วรับรองนะฉันพูดเรื่องนี้จนตายเลย”
“กลับกันได้แล้ว” ฉัตต์ว่า
“จริงค่ะ กลับเถอะ” รุ้งว่าตาม
“นั่นสิ ...กลับดีกว่า” ศักดินาเห็นด้วย
จริมาซ่อนยิ้ม “ได้เลย...กลับ” พลางเดินข้ามมาอย่างรวดเร็ว
“อ้าว” ชายเดียวตกใจเพราะตัวเองยืนอยู่คนเดียว
“ข้ามมาเลยคุณชาย ฮะ....ฮะ....ไงล่ะ ....ข้ามได้รึเปล่า ไหนบอกว่าเดินไปเองไง” จริมาทำเสียงยั่วเย้าต่างๆ นานา
ชายเดียวหน้าจ๋อย ฉัตต์มองรุ้ง รุ้งถอนใจยาว ออกเดินจะข้ามไปรับชายเดียว แต่จริมาจับแขนรุ้งไว้ทันที ทั้งๆ ที่นัยน์ตาไม่มองรุ้ง เรียกศักดินาอีก
“มาเลยคุณชาย”
“ริมาก้อ...”
ฉัตต์ เข้ามาจับแขนรุ้ง แล้วลากกลับไปทันที สองคนเดินลับตัวไป ชายเดียวทำท่าจะก้าวข้ามมา
“ระวัง” จริมาร้องเสียงดัง
ชายเดียวหยุดชะงัก “โธ่...เงียบๆ สิครับ”
“เชียร์...ฉันเชียร์”
ชายเดียวยกมือห้าม ไม่ให้เชียร์ แล้วก้าวเดิน 1 ก้าว 2 ก้าว…
“ระวังมันพลิกได้นะคุณชาย”
ศักดินายกมือห้าม แล้วเดินอีกก้าว
จริมาแกล้งทำเป็นเห็นตัวอะไรบางอย่าง กระทืบเท้าส่งเสียงดังเหมือนฆ่าไอ้ตัวนั้นไปแล้ว
ชายเดียว ตกใจ โงนเงน จะล้ม มือจริมาจับที่คอเสื้อด้านหลัง ริมายืนอย่างแข็งแรงจนชายเดียวยืนได้
-ชายเดียว ใจสั่น หันมายืดตัวริมาแน่น ตัวเองตั้งท่าน่าขำ กางขากว้าง
จริมายื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าชายเดียวเหลือเกิน ยักคิ้วทีหนึ่ง มองจ้องนัยน์ตา “เป็นไง”
ชายเดียวมองนัยน์ตาจริมาสักครู่ พูดเบาๆ “ใจสั่น”
“เหรอ” จริมามองนัยน์ตายั่วๆ “ทำไม..กลัวตายเหรอ”
“รู้ว่าตกไปไม่ตายหรอก แต่ผมไม่อยากตก”
“ทำไม”
“น้ำมันดำ ผมไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในน้ำมั่ง”
“เหรอ! ไม่รู้เหรอ งั้นได้รู้ซะสิ”
จริมาผลักเบาๆ ทีเดียว ปรากฏว่าชายเดียวหล่นโครม หน้าคะมำลงไปในน้ำ จริมาขำสุดๆ
ชายเดียว ค่อยๆ หันหน้ามา โคลนเต็มหน้า หน้าตาแหยงๆ นัยน์ตาน่าสงสาร มองจริมาอย่างลังเลว่าจะโกรธดีมั้ย
จริมาหัวเราะเยาะอีก “หน้าดำปี๋เลย”
ศักดินาคว้าที่เท้าดึงพรวด จริมาตัวลอยหล่นตูมน้ำแตกกระจาย ลงไปในอ้อมแขนของชายเดียวพอดิบพอดี
สองคนมองหน้ากัน แล้วชายเดียวก็เริ่มหัวเราะออกมาก่อน
จริมาหน้าคว่ำ แต่แล้วก็ต้องขำ สองคนหัวเราะกันลั่นสวน

ฉัตต์ กับ รุ้ง นั่งคอยอยู่ มิ่งดูแลเอาน้ำมาวางให้ ต้อยติ่งลงมือตำส้มตำ
ชายเดียว กับ จริมา ล้างหน้าล้างตาที่ตุ่มน้ำ มีหนูตุ่นคอยตักน้ำให้
จริมาล้างไปบ่นไป “คอยดูเถอะ อย่าให้เผลอนะคุณชาย”
“คุณก็อย่าให้เผลอเหมือนกัน”
จริมาหน้าคว่ำ มองจ้องหน้า “เอ้า หนูตุ่น ราดน้ำสิ เหม่ออะไรอยู่”
หนูตุ่นบอก “ดูคนทะเลาะกัน”
“เป็นยังไงคะ” ชายเดียวถาม
“ตลกดีค่ะ เหมือนแมวกัดกัน” หนูตุ่นว่า
จริมากับชายเดียว อึ้งสักครู่ แล้วหัวเราะขำพร้อมๆ กัน จริมาสาดน้ำใส่ชายเดียว ชายเดียวก็สาดน้ำใส่จริมา
รุ้งมองสองคนแกล้งกันขำๆ
“เอ้า...มองอะไรเค้า”
“ก็...เค้าหัวเราะกัน”
“อ๋อ อยากไปหัวเราะกะเค้าด้วยงั้นสิ”
“ค่ะ” รุ้งสบตาฉัตต์จังๆ “อยากไป”
“ไปเลย...ไม่ต้องกินหรอก ข้าวน่ะ”
“ทานค่ะ”
“ไม่ต้องกิน”
“รุ้งจะทาน”
“ไม่ให้”
“รุ้งจะ...” รุ้งก้มลงบ่นอุบอิบ “ไม่ใช่ข้าวคุณฉัตต์ซะหน่อย”
“ทำไมจะไม่ใช่ เอามาจากบ้าน” ฉัตต์พาลพาโล
“แต่รุ้งเป็นคนทำเป็นคนจัด แล้วให้สำลีเอามาส่งไว้ที่มิ่งตั้งแต่เช้า คุณฉัตต์น่ะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีข้าวรับทาน”
“แต่ข้าวเนี่ย...มันก็ข้าวของคุณ...” ฉัตต์จะพูดว่าของ...คุณพ่อ แต่รู้สึกไม่ค่อยดี จึงหยุดชะงัก
“ถึงจะเป็นข้าวของคุณลุง ที่เป็นพ่อของคุณฉัตต์ แต่คุณลุงก็เลี้ยงรุ้งมา ถึงเวลาอาหาร รุ้งก็ต้องทาน ไม่งั้นรุ้งก็ตายนะสิคะ”
ฉัตต์พูดไม่ออก อึ้งไป รุ้งไม่ได้เถียงแบบเสียงแข็ง เป็นเสียงโต้แบบกลัวๆ ด้วย มองๆ หน้าฉัตต์แล้วหลบตาวูบ
ในที่สุดฉัตต์ร้อง “เชอะ” เบาๆ
รุ้งขำๆ ขณะมองหน้าฉัตต์ แล้วก้มหน้า พูดลอยๆ “พูดความจริง”
ฉัตต์พาล “เอ้า...เร็วๆ สิ ริมา หิวจะตายอยู่แล้ว” พอพูดจบ มองจ้องหน้ารุ้ง
รุ้งมีสีหน้ายิ้มๆ แบบรู้ทัน เอื้อมมือจะรินน้ำให้
“ไอ้หนูตุ่น มารินน้ำให้คุณฉัตต์..เร็ว”
รุ้งหัวเราะเบาๆ ในความโฉเกของฉัตต์ แต่ยังรินน้ำให้ และหัวเราะอีกมองฉัตต์เหมือนมองเด็กเกเร

บนถนนขากลับ สี่คนขี่จักรยาน 3 คัน ถีบกันมาเรื่อยๆ
ศักดินาซ้อนท้ายฉัตต์
สักครู่ จริมาก็ร้องเพลงเสียงดัง
“ข้างขึ้นเดือนหงาย เราขี่ควายชมจันทร์
เพลิดเพลินใจฉันโคมสวรรค์พราวพราย”
ถึงท่อนนี้จริมาบอก “พี่ฉัตต์ต่อ” แต่ฉัตต์ไม่ร้อง จริมาเลยร้องต่อ
“ไขว่ห้างนั่งเฉย เอ้อระเหยลอยชาย
เป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควาย ชื่นพระพายโชยมา”
จริมาบอกอีก “ชายเดียว...เร็วร้องต่อ”
“ผมร้องไม่เป็น”
“โธ่เอ๊ย.....” จริมาลากเสียงยาว “ไม่เป็นอะไรเล๊ย”
“อยากฟังรุ้งร้องเพลง ...ร้องหน่อยนะครับ” ชายเดียวร้องขอ

“อันความกรุณาปราณี
จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเอง เหมือนฝนอันชื่นใจ
จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน”
รุ้งร้องเพลงจบ ในจังหวะที่จักรยาน 3 คัน มาถึงหน้าวังรังสิยาพอดี และจอดเคียงกัน
“เพราะจังครับรุ้ง” ชายเดียวบอก
“โห..ตัวเล็ก เสียงหวานเจี๊ยบ” จริมายิ้มชื่น
มีฉัตต์หน้าเฉยๆคนเดียว “ทำไมถึงร้องเพลงนี้..อยากว่าใคร”
“เปล่านี่คะ” รุ้งบอก
“ไม่จริง ร้องเพลงนี้มีความหมายใช่มั้ย”
“มีความหมาย..ค่ะ”
“นั่นไง” ฉัตต์ว่า
“ทำไม พี่ฉัตต์ คิดว่าตัวเล็กเค้าร้องว่าตัวเองใช่มั้ย” จริมาถาม
ชายเดียวสงสัย “ทำไมรุ้งถึงจะร้องว่าพี่ฉัตต์”
“เพราะพี่ฉัตต์น่ะชอบโหดกับตัวเล็ก” จริมาบอก
“ทำไมพี่ฉัตต์ถึงโหดกับรุ้ง” ศักดินาสงสัยอีก
“จะบ้า ริมา ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย” ฉัตต์โวย
“หือม์..แน่ใจเหรอคะพี่ชาย” จริมาย้อน
“แน่ใจ ไม่เกี่ยว หรือเจ้าตัวเค้าจะว่าเกี่ยวล่ะ ถามเขาสิ” ฉัตต์โบ้ย
“ไม่เกี่ยวค่ะ รุ้งร้องเพลงนี้เพราะชอบ ที่ชอบเพราะเป็นเพลงประจำของพยาบาลค่ะ”

คืนนั้นสองแม่ลูกอยู่ในห้องนอนด้วยกัน
“แม่จันทร์จ๋า จบชั้น ม.6 ลูกจะไม่เรียนชั้นเตรียมต่อนะจ๊ะ”
จันทร์มีสีหน้ายังงงอยู่ “ไม่เรียนชั้นเตรียมต่อ ทำไมล่ะลูก”
“ลูกจะเรียนพยาบาล”
“เรียนพยาบาล! เรียนทำไมพยาบาล ทำไมไม่เรียนชั้นเตรียมแล้วเข้ามหาวิทยาลัย”
“ต่อไปบ้านเราจะมีคนแก่หลายคน คุณย่า คุณลุง แม่...ป้าสำเนียง พี่สารภี รุ้งจะเรียนพยาบาลจะได้พยาบาลคนแก่ไงจ๊ะแม่”
“รุ้ง...แม่อยากให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัย เรียนจุฬาหรือธรรมศาสตร์นะลูก ลูกต้องสอบเข้าได้แน่นอน...แม่รู้”
รุ้งฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนจะคล้อยตาม
“แม่อยากเห็นลูกเรียนมหาวิทยาลัย อยากเห็นรุ้งแต่งชุดนิสิตหรือนักศึกษา คงจะน่ารักมาก”
“ชุดนักเรียนพยาบาลก็น่ารักนะจ๊ะแม่”
จันทร์นิ่งอึ้งไปสักครู่ สีหน้าเริ่มคิดตาม
“ใช่มั้ยจ๊ะแม่ แม่คิดออกแล้วใช่มั้ยว่ารุ้งเรียนพยาบาลน่ะเหมาะสมที่สุด”
จันทร์มีสีหน้าซาบซึ้งในจิตใจใสสะอาดของลูกสาว อ้าแขนรับรุ้งที่โผเข้ามากอด มองหน้าลูกสาว ใจคิดถึงลูกชาย น้ำตาไหลรินออกมา รุ้งเช็ดน้ำตาให้แม่
จันทร์พยักหน้า “แม่รู้แล้ว...แม่รักหนูนะ รักที่สุด รุ้งเป็นความชื่นใจของแม่ที่ยังเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นแม่คง...คงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” จันทร์ถอนสะอื้นเงียบๆ
“ทำไมแม่พูดอย่างนี้” รุ้งฉงน
“วันหนึ่งนะลูก...วันหนึ่งแม่จะเล่าให้รุ้งฟัง...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของแม่”
รุ้งพยักหน้า ยิ้มให้แม่ “รุ้งควรรู้ใช่มั้ยจ๊ะแม่”
“ใช่ลูกแต่วันนี้ แม่ขอบใจ...ขอบใจที่รุ้งไม่เคยถามแม่ ถึง...ถึงชีวิตแต่หนหลังของแม่ ไม่เคยถามถึงพ่อของลูก แม่รู้ว่ารุ้งสงสัย..อยากรู้”
รุ้งพยักหน้าช้าๆ “ใช่จ้ะแม่ รุ้งอยากรู้..ตลอดมา”
“วันหนึ่ง...หนูจะได้รู้ทั้งหมด” จันทร์ให้คำมั่น

วันนั้นท่านหญิงแขไขยืนทอดสายตามองออกไป เห็นเรือนหลังเก่าของบุหลัน สีหน้าเคร่งขรึม คิดถึงความหลัง
ตอนนั้นท่านชายรังสิโยภาสมาบอกเรื่องบุหลัน
“ถึงมันจะเป็นเมียก็เป็นเมียบ่าว มันจะอยู่แต่ที่เรือนของมัน พี่จะไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับหญิง ไม่ให้มาตีเสมอหญิงเป็นอันขาด”
สีหน้าท่านหญิงเข้มขึ้น
เสียงท่านชายดังก้องขึ้นอีกประโยค “พี่ขอโทษ ที่ไม่ได้ขึ้นมานอนข้างบนหลายวัน บุหลันมันแพ้ท้องมาก แพ้จนน่ากลัว”
คำพูดนี้ทำให้ท่านหญิงกัดฟันแน่น กลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อ
“พี่ฝากหญิงสั่งคนดูแลมันด้วย พี่จะรีบไปเยี่ยมหม่อมแม่แล้วจะรีบกลับ บุหลันคงจวนคลอด หวังว่ารังสิยาจะได้ทายาทสืบสกุลเสียที”
คำพูดนี้ทำให้ท่านหญิงน้ำตาไหลรินทันที ทุบมือกับหน้าต่างเบาๆ
“ท่านแม่คะ” ศักดินาในชุดนักเรียน เดินเข้ามายืนเคียง “ชายกลับมาแล้ว”
ท่านหญิงบอกเสียงแข็ง “ออกไปก่อน”
“ท่านแม่” ชายเดียวตกใจนิดๆ
“ออกไป” ท่านหญิงเสียงดังขึ้น
ชายเดียวผละไป ประตูปิดลงเบาๆ
“เฟือง” ท่านหญิงเรียกเสียงแผ่ว “เฟืองอยูไหน..เฟืองมาหาหญิงหน่อย”
ตรงมุมห้องที่มืดสลัว ปีศาจเฟืองที่หันหลังให้อยู่ ค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมา น่ากลัวมากๆ
ท่านหญิงมีสีหน้าครุ่นคิด
“เฟือง”
ผีนางเฟืองปรากฏตัวหันพึบมาต่อหน้าต่อตา ก่อนเคลื่อนตัวเหมือนลอยออกมาจากเงามืด
“มังคะ
ท่านหญิงเหลียวกลับมาจ้องนางเฟือง น้ำตาเต็มตา เห็นมือนางเฟืองเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
ปากนางผีร้ายใกล้ใบหน้าท่านหญิงมาก
“อย่าร้องไห้มังคะ...นิ่งเสีย”
ท่านหญิงยืนนิ่งขณะบอกออกไป

“เฟือง...มันยังอยู่ บุหลันมันยังอยู่ อยู่ใกล้ๆ นี่เอง”

แค้นเสน่หา ตอนที่ 6 (ต่อ)

ค่ำแล้ว...ความมืดโรยตัวครอบคลุมทั่วทั้งวังรังสิยา ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสวนสวย สีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง ผีนางเฟืองหมอบอยู่บนพื้นก้มหน้าท่านหญิงเลื่อนสายตามามองที่นางเฟือง

“ทำอย่างไรจะรู้ว่าใช่มันรึเปล่า”
นางเฟืองก้มหน้าตอบ “ไม่ใช่หรอกมังคะ”
“หญิงว่าใช่ คนเราจะเหมือนกันได้ถึงเพียงนี้หรือเฟือง”
“ถึงจะใช่ มันก็พ้นทางไปแล้วนะมังคะ”
“พ้นทาง! แล้วหญิงมีความสุขรึ เฟืองคิดว่าหญิงมีความสุขนักรึที่บุหลันมันไม่อยู่ ฮึ...เจ้าพี่ทรงโศกเศร้าถึงมัน คิดถึงแต่มันแม้แต่นอนเจ็บอยู่ สิ้นไปแล้ววิญญาณก็อาจไปวนเวียนอยู่ใกล้มัน” ท่านหญิงอารมณ์ขึ้นเป็นริ้วๆ ยืนขึ้นแล้วหันมาก้มมองเฟือง “คิดจะฆ่ามัน แต่แล้วมันก็ไม่ตาย”
หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นท่านหญิงยืนอยู่คนเดียว
นางเฟืองยังคงก้มหน้า แต่พูดเสียงเข้มจัด “มันตายแล้วมังคะ...ตายแล้ว”
“มันยังไม่ตาย...รู้ไว้ด้วยเฟือง ถ้าเฟืองฆ่ามันจริงก็ขอให้รู้ด้วยว่าเฟืองทำไม่สำเร็จ มันยังอยู่ มันยังมีชีวิตอยู่”
“รับสั่งบอกหม่อมฉันว่าผู้หญิงคนนี้มีลูกสาว อายุเท่าคุณชายจะเป็นมันได้อย่างไรมังคะ”
ท่านหญิงอึ้ง
จังหวะนี้คุณชายศักดินายืนมองอยู่ที่หน้าต่างห้อง เพ่งมองด้วยความสงสัย เพราะที่เห็นเป็นภาพท่านหญิง ยืนเหมือน กำลังพูดกับใครสักคนที่หมอบนั่งอยู่ที่พื้น

ไม่นานต่อมา ท่านหญิงเดินมาจะขึ้นตำหนัก ชายเดียวเดินเข้ามา ยื่นมือรับ แล้วเดินพาจูงไป
“ท่านแม่ทรงเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“ทำไม”
“ชายเห็นท่านแม่เมื่อกี้ ท่านแม่...”
ท่านหญิงหันขวับ “เห็นแม่...ที่ไหน”
“ในสวนค่ะ ท่านแม่ประทับอยู่องค์เดียว แต่เหมือนท่านแม่รับสั่งด้วย...”
ท่านหญิงอึ้งไปนิด
“ท่านแม่...” ชายยังไม่ทันพูดต่อ ท่านหญิงชิงพูดก่อน
“ใช่ แม่พูดคนเดียว บางครั้งคนเราก็ทำอย่างนั้น ชายไม่เคยหรือไง”
“เคยค่ะ...เวลาโกรธคน บางครั้งก็พูดว่าเขาออกมาดังๆ คนเดียว เพราะไม่กล้าว่าเขาตรงๆ”
“อาจไม่ใช่เพราะไม่กล้า แต่เป็นเพราะเรายังรักษาน้ำใจเขาอยู่”
“ใช่ค่ะ ....เป็นเพราะชายยังรักษาน้ำใจเขาอยู่” ชายเดียวเปลี่ยนเรื่องเมื่อถึงบันได “ท่านแม่ทรงโกรธใครหรือคะเมื่อกี้ที่อยู่ในสวน”
ท่านหญิงมองหน้าชายเดียวนิ่ง สะกดอารมณ์และข่มใจ
ใบหน้าบุหลันลอยขึ้นมาในภวังค์ ซ้อนทับกับใบหน้าของชายเดียว เป็นหน้าที่ยิ้มแย้มยามพูดจากับท่านชาย
ท่านหญิงหันหลังกลับ เดินพรวดขึ้นบันไดชั้นบน
“ท่านแม่คะ” ศักดินาตามเร็วรี่ “ท่านแม่”
“ขอโทษ แม่อยากอยู่คนเดียว”
“ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“ไม่” ท่านหญิงเดินพรวดๆ ไป

ในเวลาต่อมาประตูห้องบรรทมเปิดเข้ามาอย่างแรง ท่านหญิงแขไขเดินเข้า ไม่ได้ปิดประตู
เหมือนนางเฟืองตามเข้ามา อึดใจหนึ่งประตูถึงปิดลง
“ถึงอย่างไรก็อยากรู้ คนที่เหมือนกันขนาดนี้มีแต่ฝาแฝดเท่านั้น...สุ้มเสียงมันก็ใช่”
“จำเป็นต้องรู้หรือมังคะ”
เสียงของนางเฟืองที่ตอบท่านหญิงดังขึ้น เสียงนั้นกระแทกเข้าใบหน้าประนอม นางข้าหลวงในวังรังสิยาที่กำลังถูพื้นอยู่หน้าห้องจนเหลียวมามอง สีหน้าตกใจมาก อ้าปากค้าง
ร่างของนางเฟืองจากบางเบา แล้วค่อยๆ ชัดขึ้น...ชัดขึ้น
ท่านหญิงและเฟืองไม่เห็นเด็กคนนี้
“เด็กคนนั้นอาจจะไม่ใช่ลูกสาวมัน มันเอาใครมาเลี้ยง...ได้มั้ย มันเหมือน เหมือนมากจน...”
“อย่าทรงวิตกทุกข์ร้อนเลยมังคะ เดี๋ยวจะประชวรไปอีก ไม่ใช่มันหรอกมังคะเพราะ...”
“อะไรหรือเฟือง”
“เพราะหม่อมฉันฆ่ามันแล้ว...นังบุหลันมันตายแล้วมังคะ ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้วมังคะ คนนั้นน่ะแค่เหมือนมังคะ แต่ไม่ใช่ เพราะมันตายแล้ว”
สิ้นเสียงสารภาพของนางเฟือง ท่านหญิงตกพระทัยมาก ยกมือทาบอก ตาเบิกกว้าง นางเฟืองจ้องหน้าท่านหญิงเขม็ง
ห้องเงียบกริบ เข็มเล่มหนึ่งตกบนพื้นยังได้ยิน เสียงแก๊กดังขึ้น สองคนหันไปมอง
เห็นประนอมยืนหน้าตกใจอ้าปากค้าง ถือถังใส่น้ำอยู่ในมือ
ร่างนางเฟืองสลายไปอย่างรวดเร็ว ท่านหญิงยืนใช้ความคิด ประนอมเลี่ยงจะออกไป
“ประนอม” ท่านหญิงเรียก
“มังคะ” ประนอมรับ เสียงเบามาก
“ถ้าแกปากสว่าง แกจะได้อะไร”
ประนอมก้มหน้างุด
“คิดดูให้ดี”
“มังคะ” ประนอมก้มหน้าแทบติดพื้น
“ออกไปได้”
ประนอมเดินไปอย่างเร็ว เปิดประตูออกไป ประตูห้องจะปิดอยู่แล้ว แต่เหมือนมีลมอะไรพัดประตูเผยอออกไปอีก
“เฟือง....อย่า” ท่านหญิงผวาตามไป
แต่ประตูปิดใส่หน้าท่านหญิงอย่างแรง
“เฟือง....อย่าทำบาปอีก” ท่านหญิงเปิดประตู “อย่า...เฟือง” แล้วต้องชะงัก เบิกตาด้วยความตกใจ เมื่อ เสียงมีเสียงตกบันได เสียงถังน้ำหล่นโครมคราม ตามด้วยเสียงประนอมร้องหวีด
ท่านหญิงเปิดประตูพรวดออกไป

ประนอมกำลังกลิ้งหลุนๆ ลงบันได ถังน้ำ ผ้าขี้ริ้วกระจาย ท่านหญิงได้ยินเสียงก้าวพรวดออกมาจากห้อง
ร่างประนอมกลิ้งถึงบันไดขั้นสุดท้ายพอดี แน่นิ่งไป ท่านหญิงตกใจ มองจ้อง แล้วเหลียวซ้ายแลขวาหานางเฟือง
ลมพัดวูบหนึ่ง ผ้าม่านปลิว ลมพัดออกไปทางหน้าต่าง ท่านหญิง มองตาม สายตาโกรธจัด
แล้วพุ่งลงบันไดจนถึงตัวประนอม ก้มลง จับตัวหงายขึ้นดู เห็นประนอมนัยน์ตาค้าง อย่างคนที่กลัวสุดขีด
สนวิ่งมาจากข้างนอก ผ่องวิ่งมาจากอีกห้อง ชายเดียวตามลงมาจากข้างบน
ท่านหญิงลุกขึ้นยืน ทุกคนมายืนงงงวย
“ท่านแม่คะ” ชายเดียวทักถาม
ท่านหญิงพูดขึ้นทันที “ประนอมตกบันได ผ่องดูอาการมันด้วย ถ้าเป็นมากให้สนพาไปโรงพยาบาล” ท่านหญิงจะเดินออก แล้วหยุดชะงัก เมื่อมีเสียงคุณชายศักดินาเอ่ยขึ้น
“ประนอมตายแล้วนี่....นายสน....ใช่มั้ย”
สีหน้าท่านหญิง เย็นชาราวกับเป็นหน้ากาก
“ใช่ครับ คุณชาย..ไม่มีลม” เสียงนายสนตอบดังมา
ท่านหญิงเหลียวไปดู เห็นสนอังมือที่จมูกศพประนอม แล้วส่ายหน้ากับชายเดียว
ท่านหญิงออกไปเหมือนพายุบุแคม

ท่านหญิงเดินไปอย่างแรง และเร็ว ตามทาง ตรงไปยังเรือนนางข้าหลวง

ที่ต้นไม้รกๆ ข้างทาง ปีศาจนางเฟืองยืนมอง หน้าตาหวั่นวิตกเล็กๆ

แค้นเสน่หา ตอนที่ 6 (ต่อ)

เวลาต่อมา หน้าเรือนพักของนางเฟือง เห็นเหล็กชะแรงอันหนึ่งวางกลิ้งอยู่กับพื้น ท่านหญิงแขไขหยิบขึ้นมา ใช้ชะแลงงัดสายยูกุญแจกระเด็นออกมา ด้วยแรงโกรธสุดๆ

ประตูเปิดกว้าง ท่านหญิงเดินพรวดเข้าไปในห้อง
ประตูยังเปิดอ้าอยู่อย่างนั้น ท่านหญิงเรียกเสียงต่ำ และเบา
“ออกมา...”
ทุกอย่างเงียบกริบ
“ออกมาเดี๋ยวนี้ มาพูดกันให้รู้เรื่อง”
เงียบอีก
“อย่าให้โกรธมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้”
จู่ๆ สายลมพัดวูบเข้ามา ประตูที่เปิดกว้างทั้งสองบาน ค่อยๆ ปิดลง

ด้านสาลี่วิ่งพรวดเข้ามาที่บันไดตำหนักใหญ่
“นังนอม....ไหน...อยู่ไหน”
พิกุลวิ่งตามเข้ามาด้วย
ชายเดียวเดินออกมาหาสนที่ยืนหน้าเสียอยู่
“ท่านแม่ล่ะสน”

ฝ่ายผีนางเฟืองหมอบอยู่กับพื้นในห้องของมัน เสียงท่านหญิงยังเกรี้ยวกราด
“อยากเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ อีกร้อยปีอีกพันปี แค่นี้ยังทุกข์ทรมานไม่พออีกรึ รู้ไว้ด้วยนะว่าไม่ใช่ตัวคนเดียว ที่ทรมานฉันเองก็เป็นทุกข์ด้วย ฉันเองก็เหมือนตายทั้งเป็น”
นางเฟืองก้มหน้างุด
“คิดว่าทำดีกับฉัน คิดว่าปกป้องฉัน คิดว่าแก้แค้นแทนฉัน แล้วนี่อะไรล่ะ ฉันต้องรับรู้ว่าตัวฆ่าคนอย่างเด็กประนอม ทำไมมันต้องตาย เพราะมันมารู้ว่าตัวฆ่านังบุหลันงั้นรึ เฮอะ คิดเหรอว่าไม่มีใครรู้ เขารู้กันทั้งวัง ตัวเป็นผีเร่ร่อนเที่ยวหลอกเที่ยวหลอนคนในวังอยู่อย่างนี้...” พูดถึงตอนนี้ ท่านหญิงโกรธสุดขีด “ทำไมประนอมมันต้องตาย...ทำไมต้องฆ่ามัน ฆ่ามันแล้วทุกอย่างจะจบสิ้นงั้นรึ”
นางเฟืองหมอบเกือบติดพื้น นัยน์ตามีน้ำตาเต็มตา สีหน้าเจ็บปวดเหลือเกิน นัยน์ตานางผีร้ายแดงก่ำเหมือนสายเลือดซ่านไปหมด แล้วน้ำตาก็หยดเผาะลงสู่พื้น
ท่านหญิงพยายามสะกดอารมณ์ มองจ้องเฟือง อารมณ์เสียใจอัดอั้นตันใจสะท้อนขึ้นมาในอก กลั้นน้ำตาจนปวดกระบอกตาไปหมด แต่ไม่ไหว น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้นมา ก่อนจะไหลเป็นทาง ท่านหญิงปาดออกอย่างรวดเร็ว ความเป็นเจ้าถูกสอนมาว่า ไม่ร้องไห้ง่ายๆ
“อย่ากันแสงมังคะ....อย่ามังคะ” นางเฟืองปลอบ
“ทำไม” ท่านหญิงสะอื้นเฮือกขึ้นมาอีก “ฉันไม่มีหัวใจงั้นรึ ต้องเก็บทุกอย่าง รัก...ชอบ...โกรธ....เสียใจ ต้องเก็บไว้ในอก แสดงออกไม่ได้ น้ำตาไม่ให้ใครเห็น ฉันเป็นคนหรือเปล่านี่...ไม่ใช่คนใช่มั้ย” น้ำตาหลั่งไหลพรุ่งพรูจนเต็มหน้า
ปีศาจนางเฟืองสะอื้นไห้เหมือนกัน พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยื่นมือจะแตะปลอบโยน ด้วยท่าทางน่าสงสารมาก
ท่านหญิงสะกดกลั้นอารมณ์ลงไปจนหมด เช็ดน้ำตาจนเหือดหาย
“เฟือง หญิงจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เฟือง ให้มากพอที่เฟืองจะไปผุดไปเกิด หญิงไม่อยากเห็นเฟืองในสภาพอย่างนี้”
ผีนางเฟืองสวนคำทันที “หม่อมฉันไม่รับบุญ”
“ทำไมล่ะเฟือง”
“ผีไม่รับบุญทรงทำยังไงก็ไม่ถึงหม่อมฉัน อย่าทรงทำเลยมังคะ”
“เฟือง หญิงขอร้อง”
ผีนางเฟืองมีสีหน้าอึดอัด
“รักหญิงมั้ยเฟือง”
นางเฟืองสวนคำ สีหน้าเจ็บปวดสุดประมาณ “ถามหม่อมฉันอย่างนั้นทำไม”
“ถาม...แต่ไม่ต้องตอบหญิงหรอก...หญิงรู้ รักหญิงต้องเชื่อหญิงนะเฟือง”
นางผีร้ายส่ายหน้าน้อยๆ แต่ไม่ตอบ
“ถ้าใครถามหญิงว่าทุกวันนี้หญิงมีใครบ้าง ที่รักหญิง ที่ห่วงใยหญิงยิ่งกว่าตัวหญิงเอง หญิงจะตอบได้ทันทีว่ามีคนๆ เดียว คนๆ นั้นเป็นยิ่งกว่าแม่ของหญิง”
นางเฟืองตื้นตันใจสุดๆ
“ถึงคนๆนั้นตายไปแล้ว แต่หญิงก็คิดถึงเสมอ..ได้ยินมั้ยเฟือง เฟืองไม่มีชีวิตอยู่กับหญิงแต่เฟืองจะอยู่ในใจหญิงตลอดไป”
นางเฟืองฟุบหมอบไปกับพื้น กายสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น
ท่านหญิง ก้าวเดินจะออกจากห้อง นางเฟืองเงยหน้ายื่นมือไปหา ร่างหายวูบไปจากตรงนั้น
มาซบหมอบที่เท้าท่านหญิง
ท่านหญิงก้มลงมองนางเฟือง แล้วก้มลงจะลูบหัว มือจะถึงอยู่แล้ว
นางเฟืองเงยหน้าฉับพลัน “คุณชายมา”
“ท่านแม่คะ....อยู่ไหนคะ” เสียงศักดินาดังเข้ามา

ใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว ศักดินายืนมองประตูที่มีรอยงัด ด้วยหน้าตาสงสัยเหลียวไปดูสน ซึ่งสนก็ยืนงงเหมือนกัน
“ใครบอกสนว่าท่านแม่มาที่นี่”
“มาจริงๆ ครับคุณชาย”
“ท่านแม่ทรงงัดประตูเหรอสน”
“ท่านหญิงองค์เดียวที่จะทำครับ” สนยืนคำ
“ทรงงัดทำไม แล้วท่านอยู่ไหน อยู่ในห้องนี้เหรอสน”
“เอ่อ...คงไม่ใช่หรอกครับ”
“ห้องนี้เป็นห้องของใคร...ใครอยู่ ฉันเห็นแต่ข้าหลวงอยู่เรือนทางโน้น”
“เอ่อ....”
“สน....เปิดประตูซิ”
“อย่าเลยครับคุณชาย ....อย่าเปิดเลย”
“ฉันเปิดเอง”
ชายเดียวเอื้อมมือจะเปิดแต่ประตูเปิดออกมาเสียก่อน
“ท่านแม่”
ท่านหญิงมองมายังสน “สน...พาประนอมไปรึยัง”
“ยังกระหม่อม แม่สาลี่พาไปที่เรือนก่อน น่ากลัวต้องพรุ่งนี้ถึงจะพาไปวัดกระหม่อม”
“มัน...ตายแน่รึ”
“แน่กระหม่อม...ไม่มีลมหายใจแล้ว”
“ช่วยกันจัดงานศพมันให้เรียบร้อย บอกสาลี่ใส่บาตรให้มันด้วย” ท่านหญิงหันกลับมาปิดประตู “แล้วแกจัดการซ่อมประตู”
“กระหม่อม”
ท่านหญิงออกเดินไป
ชายเดียวเรียกอีก “ท่านแม่”
“ชายเดียว....อย่าถามอะไรแม่ แม่ไม่มีคำตอบอะไรให้ชาย แม่มาที่ห้องนี้แม่มีเหตุผลแต่ชายไม่จำเป็นต้องรู้ มันไม่เกี่ยวกับชาย”
ศักดินานิ่งอึ้ง
“เข้าใจที่แม่พูดมั้ย”
“เข้าใจค่ะท่านแม่”
ท่านหญิงนิ่งไปอึดใจ “ขอบใจ”
“ชายพาท่านแม่กลับตำหนักนะคะ” ชายเดียวยื่นมือรับมือท่านหญิงพาเดินไป “หิวหรือยังท่านแม่ ออกไปเหวยที่โอเรียนเต็ลมั้ยคะ” เสียงนั้นแว่วห่างออกไปตามลำดับ
สนยืนหน้าไม่ดี หวาดๆ แล้วค่อยๆ ไปดูรอยงัดว่าจะซ่อมยังไง พอสนเอื้อมมือไปถึง ประตูเปิดผางออกมาอย่างแรง ผีนางเฟืองยืนจังก้าอยู่ สภาพน่ากลัวสุดๆ
สนหงายหลังดังโครม ลมพัดผ่านไปวูบหนึ่ง สนผงกหัวขึ้นมาอีกแล้วหงายหลังผึ่งลงไปอย่างเดิม

ที่เรือนของสาลี่ ร่างประนอมนอนอยู่ในห้อง คลุมหน้าอยู่ คนอื่นๆ พิกุล และนางข้าหลวงเด็กสาวอีกคนนั่งกอดเข่าเจ่าจุก หน้าไม่เป็นหน้ากันทั้งนั้น
สาลี่สบตากับผ่อง พูดไม่ออกกันทั้งคู่ สนวิ่งเตลิดเข้ามา หน้าตาหวาดกลัวเต็มที่
ทุกคนหันไปมอง สนหายใจหอบแรง หน้าตาหวาดหวั่นสุดขีด มองสบตากับสาลี่ กับผ่อง สองคนนั้นรู้ดีทีเดียวว่าสนเจออะไร

ไม่นานต่อมาสนกับคนสวนแบกศพประนอมซึ่งห่อเสื่อ สนนั้นยังมีสีหน้าหวาดๆ มองทางโน้นทางนี้คนอื่นๆ เดินตามกันไปเป็นพรวน
ชายเดียวยืนมองลงมาจากหน้าต่างชั้นบน

เวลาเดียวกันที่บ้านปัณณธร เสียงโทรศัพท์ในห้องโถงดัง รุ้งเดินมารับ
“บ้านปัณณธรค่ะ....รุ้งพูดค่ะ คุณชายหรือคะ” รุ้งนิ่งฟัง “อ๋อ ได้ค่ะคุณชาย...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรุ้งจะบอกริมานะคะ”

สักครู่ ต่อมารุ้งมาบอกจริมาถึงในห้อง
“ก็ดี....ไม่เห็นอยากไป เลิกนัดได้ก็ดีจะได้ไปทำอย่างอื่น”
รุ้งมองยิ้มๆ
“มองทำไม มีอะไรสงสัยพูดมาเลย”
“ไม่อยากไปจริงหรือ” รุ้งเย้า
จริมามองตอบสักครู่แล้วหน้าจ๋อย หัวเราะแหะๆ
“ไม่จริงหรอกแหมใครจะไม่อยากไป นั่งเรือเร็วบื๋อในแม่น้ำเจ้าพระยา...ก็ไม่เคยนี่ ว่าแต่นัดแล้วเลื่อนนัดกะทันหันแบบนี้ริมาไม่ชอบเลย ทีหลังอย่ามานัดเราอีก เราไม่ไปเด็ดขาด”
“คุณชายเลื่อนนัดจากพรุ่งนี้ตอนบ่ายเป็นตอนเช้าเพราะบ่ายต้องไปวัด” รุ้งบอก
จริมาหน้าเอ๋อมาก “เหรอ...ทำไมไม่พูดให้กระจ่างแจ้งไป พูดแค่ว่าโทร.มาเลื่อนนัดก็คิดว่าจะเลื่อนไปปีหน้าน่ะสิ”
ว่าแล้วจริมากระโดดลุกขึ้น “ไปหาน้าจันทร์ดีกว่า ขอขนมไปทานพรุ่งนี้ ถ้าได้ข้าวผัดน้ำพริกยิ่งดี ริมาจะเรียกว่า...” สาวจอมแก่นคิดๆ “จะตั้งชื่อให้นะว่า “ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ” ฮ่ะ...ฮ่ะ..ฮ่ะ แจ๋วแหววมั้ย”

เช้าวันรุ่งขึ้น สี่คนอยู่ในเรือ “ศักดินา” ด้วยกัน แลเห็น “ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ” ที่จัดอย่างสวยงามในชามโคมที่มีผ้าขาวสะอาดหุ้มอยู่
“ข้าวอะไรนะครับรุ้ง” ศักดินาถาม
“ข้าวผัดน้ำพริกค่ะ”
“ลงเรือ” จริมาต่อให้
“ใครลงเรือ” ศักดินาถามอีก
จริมาอ้าปากหัวเราะเยาะเต็มเสียง “ใครล่ะ....ใครลงเรือ ใครตัวเล็ก”
ตอนนี้ชายเดียวหน้าเหรอมาก “ไม่....ไม่ถูกเหรอครับ ก็ริมาบอกลงเรือ ก็ต้องเป็นใครซักคน”
ฉัตต์ขัดขึ้น “ชายเดียวจะไปฟังริมาทำไม พูดไปเรื่อยตามประสาคนพูดมาก”
จริมาหัวเราะตัวสั่น เดินไปท้ายเรือ
“รุ้งครับ” ชายเดียวถายด้วยเนื้อเสียงอ่อนโยนมาก
“คะ”
จริมาชำเลืองมอง ฉัตต์ก็ชำเลืองมองดู
เห็นสองคนมองกันหัวเราะกัน ชายเดียวก้มหน้าถาม รุ้งเงยหน้าตอบ กิริยาน่ารักต่อกัน เห็นท่าทางรู้ว่าเขาพูดกันเบาๆ เสียงรุ้งดังขึ้นว่า
“ข้าวผัดค่ะ ริมาเขาตั้งชื่อว่า ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ”

จานข้าวน้ำพริกลงเรือ ตั้งอยู่บนโต๊ะเสวย ท่านหญิงแขไขทอดสายตามอง สาลี่กับพิกุลดูแลเครื่องเสวย เอาน้ำมาวาง
“ข้าวอะไร” ท่านหญิงถามอย่างแปลกใจ
“ข้าวน้ำพริกลงเรือมังคะ” สาลี่บอก
“มันก็ข้าวผัดน้ำพริก มีเครื่องเคียง เหมือนข้าวคลุกกะปินั่นแหละ ทำไมต้องเรียกข้าวน้ำพริกลงเรือ”
“นั่นสิมังคะ น่าจะเรียกข้าวผัดน้ำพริก”
“เด็กสองคนที่มาจากบ้านปัณณธรนำมาถวายมังคะ เขาบอกว่าเรียกอย่างนี้” สาลี่บอก
ท่านหญิงนั่งอึ้งสักครู่ ลุกขึ้น
สาลี่กับผ่องร้อง “อ้าว”
ท่านหญิงเดินไปทันที
“ไม่เหวยหรือมังคะ เขาทำน่าเหวยนะมังคะ” สาลี่เรียก
“เด็จไหนมังคะ” ผ่องงงสุดขีด
ท่านหญิงเดินไปโดยไม่เหลียวหลัง

ส่วนในเรือศักดินา ทั้งสี่คนร่าเริงสดใส รุ้งสงบเสงี่ยมตามอุปนิสัย ชายเดียวเรียกเบาๆ ให้รุ้งไปหัดขับเรือ ฉัตต์มองหน้าขุ่นๆ
รุ้งไม่อยากไปจึงส่ายหน้า ชายเดียวบอกมาเถอะ ไม่ยาก รุ้งยังไม่ยอมไป
“ตัวเล็กเขาไม่กล้าหรอก ต้องฉัน มา...คุณชายขอขับหน่อย” จริมาบอก
ชายเดียวหลีกทาง จะเดินห่างไป
“เดี๋ยว คุณชาย” จริมาดึงแขนเสื้อไว้ “อยู่ตรงนี้แหละ เผื่อฉันทำเรือแล่นหวาดเสียว คุณชายจะได้แก้ทัน”
“อ้าว คิดว่าขับเป็น”
“เนี่ย...นาทีแรกเลยที่เคยแตะพวงมาลัยเรือ แบบนี้” จริมาเงื้อมือขึ้นสูงแล้วจับเต็มสองมือ
เรือแล่นไปอย่างแรง เสียงหัวเราะก้อง จริมาเป็นคนขับ
“เลี้ยวนะคุณชาย เลี้ยวแล้วน้า....ระวังตัว”
เรือเลี้ยววงแคบๆ มีเสียงร้องวี้ดว้าย
“รุ้งเป็นอะไรรึเปล่าครับ” ศักดินาถามอย่างเป็นห่วง
เวลาต่อมาชายเดียวคุกเข่าข้างๆ รุ้ง ที่ตัวเอียงแล้วลุกมาได้ แต่ชายเดียวไม่ได้แตะตัวรุ้ง แค่ทำท่าเหมือนจะแตะ
ฉัตต์ขัดขึ้น “ชายเดียวดูริมาดีกว่า เดี๋ยวทำเรือล่มแน่ถ้าปล่อยคนเดียว”
“ครับ...พี่ฉัตต์” ชายมองรุ้งเป็นห่วงแล้วขยับไปดูจริมา
“เป็นยังไง...อ้อยสร้อยเหลือเกินนะ” ฉัตต์แขวะ
“แปลว่าอะไรหรือคะ” รุ้งถาม
“ไม่เห็นต้องถาม”
รุ้งมองฉัตต์ตรงๆ นิ่งๆ อยู่อึดใจแล้วหันหลังให้
ฉัตต์ฉุน “อย่ามาทำกิริยาอย่างนี้กับฉันนะ อวดดีใหญ่แล้ว”
รุ้งเหลียวมามองฉัตต์เหมือนมองเด็กเกรเร
“มองอย่างนี้จะพูดอะไร”
“คุณฉัตต์คิดว่ารุ้งอยากพูดอะไรล่ะคะ”
“อย่ามาย้อนฉันนะ ตัวอยากพูดอะไรก็พูดมา”
“ขนาดรุ้งยังไม่ได้พูดอะไร คุณฉัตต์ยังว่ารุ้ง ถ้ารุ้งพูดคุณฉัตต์อาจจะผลักรุ้งตกน้ำเลยก็ได้”
“จะบ้าเหรอ เรื่องอะไรจะคิดฆ่าตัว”
“รุ้งไม่ตายหรอกค่ะ ว่ายน้ำเก่ง”
“เฮอะ ลองมั้ยล่ะ”
รุ้งมองฉัตต์อีก ยิ้มๆ เหมือนมองเด็กเกเร
“กับฉันล่ะทำเป็นอุบอิบไม่ยอมพูด”
ฉัตต์บ่นบ้าหน้าบูด รุ้งยิ้มขำ
“ขำอะไร”
“เปล่าค่ะ”
“ไม่จริง...บอกมานะ”
รุ้งหัวเราะเบาๆ
ฉัตต์จับข้อมือบีบแรงๆ จนรุ้งร้องโอ๊ยเบาๆ ฉัตต์รีบปล่อย
“เจ็บจัง” รุ้งร้องแต่เสียงอุบอิบ คลำข้อมือยู่ไปมา
ฉัตต์มองเป็นห่วงเหมือนกัน “อยากกวนโมโห”
รุ้งค้อนนิดๆ “ทีหลังรุ้งไม่พูดกะคุณฉัตต์แล้ว” แล้วขยับตัวจะลุกไป
ฉัตต์เอื้อมมือมาจะจับแขนอีก รุ้งปัดโดยแรง แล้วเดินไปที่หัวเรือ ฉัตต์นิ่งอึ้ง
“รุ้ง...มาหัดขับเรือนะครับ” ศักดินาเรียก
“ตัวเล็ก...มา....เอ้าคุณชายสอนเขาสิ ไม่ต้องกลัวตัวเล็ก...หมูๆ นะเรื่องขับเรือน่ะ”
ฉัตต์มองตามอย่างขุ่นมัว
“พี่ฉัตต์ครับ ขับเรือมั้ยครับ”
“เออ จริงด้วย พี่ฉัตต์....ทำไมเงียบเชียวมาขับเรือสิคะ” จริมาเรียก
“ไม่ล่ะ ชายเดียว จวนถึงวัดรึยัง” ฉัตต์ถาม
ภายในเรือสนกับพิกุล นั่งแอบๆ อยู่ท้ายเรือ

ที่วัดเล็กๆ แห่งนั้น บรรยากาศสวยสงบดูร่มเย็น สี่คนไหว้พระอยู่ในโบสถ์ นั่งเรียงกันสลอน สีหน้าแจ่มแจ๋ว ทุกคนสวยงามเปล่งปลั่งด้วยวัยหนุ่มสาว สี่คนก้มกราบพระอย่างสวยงาม นุ่มนวล
ชายเดียวชำเลืองมองรุ้ง ที่อยู่ห่างออกมามีจริมาคั่นอยู่
ฉัตต์มองเห็นว่าชายเดียวมองรุ้ง และจริมาเองก็เห็น

ส่วนพิกุลกำลังเก็บยอดกระถินอยู่บริเวณหนึ่งในวัด สนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
“น้าสน น้าว่า... คุณชายกะคุณรุ้ง” พิกุลเอ่ยขึ้น
“พิกุล ข้าไม่ชอบคนนินทาเจ้านาย หยุดพูด”
“หยุดพูดแล้วคิดได้มั้ย... ฮึ น้าสน”
“คิดก็ไม่ได้ เรื่องเจ้านาย”
“ไม่เชื่อหรอกว่าน้าสนไม่คิด” พิกุลว่า

ด้านสี่คนเดินเล่น ดูบริเวณวัด รุ้งเก็บดอกไม้ชายเดียวเดินตามแล้วช่วยเก็บให้ รุ้งขอบคุณ เป็นภาพที่น่ารัก จริมายืนจ้องสองคนนัยน์ตาซุกซน พอเหลียวมามองพี่ชาย เห็นฉัตต์ยืนจ้องนัยน์ตาเข้ม

ทุกคนกลับมาถึงวังรังสิยา เด็กสามคนหมอบกราบท่านหญิงแขไขเจิดจรัสอย่างสวยงาม ชายเดียวมองยิ้มน้อยๆ
นัยน์ตาคมกริบของท่านหญิงมองจ้องที่รุ้งคนเดียว รุ้งหมอบกราบ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองสบตากับท่านหญิงเต็มแรง ท่านหญิงเห็นใบหน้าชายเดียวซ้อนอยู่กับหน้าของรุ้ง
ชายเดียวพูดอะไรเบาๆ กับรุ้ง โดยรุ้งหันไปตอบรับอย่างนุ่มนวลละมุนละไม ชายเดียวยิ้มน้อยๆ พยักหน้ากับรุ้ง
ท่านหญิงหน้าเครียดขึ้นทันที ลุกขึ้นยืนแรงนิดหนึ่ง เด็กๆ มองหน้าตาตื่นนิดๆ
“ท่านแม่คะ” ชายเดียวแปลกใจ
“แม่จะพักผ่อน ชายบอกสนไปส่งเพื่อน”
“เรามาจักรยาน...” จริมาหยุด งง เพราะท่านหญิงเดินออกไปทันที ได้แต่มองตาม
“ขอโทษนะครับพี่ฉัตต์ ท่านแม่เป็นอะไรไม่ทราบผมดูท่าน...ไม่ค่อยสบายพระทัย ดูหงุดหงิด” สีหน้าชายเดียวดูวิตก แล้วเปลี่ยนท่าที “ผมแค่...จะบอกว่าท่านแม่ไม่เคยเป็นอย่างนี้...เชิญครับ”
จริมาไม่ชอบใจอาการของท่านหญิงเอาเลย

ครู่ต่อมา สองคนพี่น้องยืนอยู่กับจักรยาน ที่หน้าตำหนัก กำลังลาชายเดียว สนจูงจักรยานมาส่งให้รุ้ง ฉัตต์กับจริมามีจักรยานอยู่แล้ว
“ขอบใจมากนะชายเดียว สนุกจริงๆ” ฉัตต์บอก
“ครับ.. มาอีกนะครับ พี่ฉัตต์”
“ให้ท่านแม่คุณชายสบายพระทัยก่อนแล้วกัน” จริมาพูดขึ้นมาลอยๆ
รุ้งกระตุกมือจริมา แต่จริมาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ มองฟ้ามองดิน
“ผม...” ชายเดียวเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง
ฉัตต์ตบไหล่เบาๆ ปลอบโยน
“รุ้งสนุกมากค่ะคุณชาย ชวนอีกนะคะรุ้งมาแน่ๆ”
ชายเดียวมีสีหน้าดีขึ้น “ขอบคุณมากครับรุ้ง”
“ฮึ...” จริมาค้อนขวับจูงรถเดินไปทันที
สองคนยิ้มให้ชายเดียว แล้วจูงรถตามไป
ชายเดียวทำท่าจะตามไป ฉัตต์ทำมือไม่ต้องไปส่งหรอก ไปเอง สามคนจูงรถเดินมาเรื่อยๆ
“สนุกมาก....สนุกม๊าก...มาก แต่ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ไม่สนุกกะเราหรอกนะ...แถมบอกเราตรงๆ เลย” จริมาเอ่ยขึ้น
“รุ้งสงสารคุณชายเดียว” รุ้งว่า
“อุ๊ย....คุณรุ้งกินน้ำ...ไม่เห็นน่าสงสารเลยสงสารทำไม”
รุ้งหันหน้าไปดูชายเดียว ทว่าในสายตารุ้งกลับเห็นผีนางเฟืองยืนอยู่หลังชายเดียว จ้องมองตรงมาที่รุ้งเขม็ง
ปีศาจนางเฟืองจ้องมาที่รุ้งด้วยนัยน์ตากล้าแข็งมาก สบตากับรุ้งเต็มๆ
“ใคร” รุ้งฉงน
ฉัตต์กับจริมางง “อะไรรุ้ง” แล้วเหลียวไปดูตามสายตารุ้ง
แต่สองคนเห็นศักดินายืนอยู่คนเดียว
“ใครเหรอ” จริมาซัก
รุ้งหันมาทางจริมา “คนแก่...ผู้หญิง นุ่งโจงกระเบน” รุ้งหันกลับไปอีก “เอ๊ะ”

พบว่าชายเดียวยืนอยู่คนเดียว รุ้งมีสีหน้าสงสัยมาก

คืนนั้นสองแม่ลูกอยู่ในห้องนอนรุ้ง เตรียมตัวนอนจันทร์มองรุ้งด้วยสีหน้าฉงน
“คุณฉัตต์คุณริมาบอกว่าไม่เห็นใครเลย แต่ลูกเห็นจริงๆ นะจ๊ะแม่”
“ที่วังนั้นมีคนแก่ผู้หญิงสองคน”
“แม่รู้” รุ้งงง
จันทร์รีบบอกอย่างแนบเนียน “รู้จ้ะลูก ได้ยินใครๆ เล่ากัน แต่ตอนนี้ได้ยินว่า...” เสียงสะอึกนิดๆ ขณะพูดต่อ “ตายไปคนหนึ่งแล้ว”
รุ้งมีสีหน้าขมวดมุ่น สงสัยมาก “ลูกเห็น” รุ้งพึมพำเสียงแผ่วๆ
“ทำไมหรือลูก คิดอะไรอยู่”
รุ้งมองหน้าจันทร์ครุ่นคิดบางอย่างแต่ไม่พูดออกมา
จันทร์ใจหายอ่านสีหน้ารุ้งออก สังหรณ์ใจอะไรบางๆ แต่ต้องสะกดใจไว้
“รุ้งนอนเถอะลูก”
“แม่ล่ะจ๊ะ แม่ยังไม่นอนเหรอ”
รุ้งนอนหลับไปแล้วจันทร์ดูแลมุ้งที่กาง ไฟดับสลัวทั้งห้อง
จันทร์เขียนสมุดบันทึกเรื่องราว มีไฟโคมส่องลงมาที่สมุดเล่มนั้น

ในแสงสลัว สีหน้าจันทร์ดูออกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก เหลียวมองไปที่รุ้งในมุ้งอย่างเป็นกังวล และสังหรณ์ใจประหลาด

อ่านต่อตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น