แค้นเสน่หา ตอนที่ 11
ไม่นานหลังจากนั้นศักดินาเดินกลับเข้ามาในห้องอย่างเร็วรี่ ผ่องกำลังดูแลรุ้งอยู่ หันมาบอก
“ดีขึ้นแล้วค่ะคุณชาย”
“รุ้ง...”
รุ้งเงยหน้ามองศักดินา สีหน้าโศกซึ้ง มีแววแห่งความงุนงงในสิ่งที่เกิดขึ้น ชายเดียวจ้องหน้ารุ้ง รู้สึกสงสารมาก
“คนแก่คนนั้นเขาเป็นข้าหลวงท่านหญิงใช่มั้ยคะ”
สีหน้าผ่องฉายแววหวั่นวิตก
“ไม่รู้สิ...ผมไม่เคยเห็น” ชายเดียวบอก
“แต่เขาบอกรุ้งนะคะว่าเป็นข้าหลวง” รุ้งว่า
ชายเดียวหันมาทางผ่อง “ผ่อง”
“คะ...คุณชาย”
“ยายแก่คนนั้นเป็นข้าหลวงเหรอ”
ผ่องอึกอัก “เอ้อ...”
“รุ้งเคยเจอแก” รุ้งนึกออก “เมื่อคราวก่อนแกเหมือน...เหมือนคนที่ไม่..ปกติ ผมรุงรังพูดอะไรก็แปลก ๆ แต่คราวนี้ดูแกเรียบร้อย”
“ผ่อง เขาเป็นข้าหลวงรึเปล่า”
“ใช่ค่ะคุณชาย เขาเป็นข้าหลวง”
“ถ้างั้นฉันเคยเห็นเค้านะ เขาไปเฝ้าท่านแม่ตอนกลางคืน ฉันเคยเห็นสองสามครั้ง ได้ยินเสียงคุยกันด้วย แล้วเขาไปทางไหน ผ่องเห็นมั้ย”
“ไม่เห็นค่ะ” ผ่องบอก
“รุ้ง...เห็นมั้ยว่าเขาเดินไป ทางไหน” ชายเดียวถาม
“ไม่เห็นค่ะ”
“ผมก็ไม่เห็น พารุ้งออกมาไม่ได้มองแกเลย”
ผ่องพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ไปเฝ้าท่านหญิงเถอะค่ะคุณชาย”
“เขาชื่ออะไรผ่องรู้มั้ย”
“ใครคะ” ผ่องเฉไฉ
“ผ่อง” ศักดินาเสียงดัง “อย่าเฉไฉ คนแก่คนนั้นน่ะ”
“เขาชื่อเฟืองค่ะ” ผ่องอึกอักนิดหน่อย
ชายเดียวฉงน “เฟือง...ไม่เคยได้ยินต้องทูลถามท่านแม่”
ผ่องรีบเข้าทูลท่านหญิงแขไขก่อน ในห้องบรรทมท่านหญิง
“แล้วฉันจะตอบชายเดียวยังไง ผ่องไม่น่าบอกชื่อเฟืองไปเลย”
“หม่อมฉันไม่อยากปดมังคะ วันหนึ่งคุณชายก็ต้องทราบ”
“จะให้ฉันทำยังไงกับเฟืองดี”
ผ่องหน้าตาไม่ดี
“ฮึ ผ่อง นี่อย่านั่งหน้าซื่อดื้อเงียบนะผ่อง ช่วยกันคิด”
“ท่านหญิงรับสั่งกับพี่เฟืองตั้งหลายครั้งแล้ว แกเชื่อเสียเมื่อไหร่ล่ะมังคะ”
“ฉันบอกให้แกช่วยคิด”
“คิดไม่ออกมังคะ”
“เพราะแกรักเฟือง ผ่อง แกจึงคิดวิธีไล่เฟืองไม่ได้ เหมือนฉัน ฉันรักเฟือง ฉันคิดวิธีไล่เขาไม่ได้ ที่จริงก็มีวิธีแต่ฉันไม่ทำเพราะเฟืองจะเจ็บปวดมาก” ท่านหญิงว่า
“วิธีอะไรหรือมังคะ”
“หาคนมาไล่เฟือง...แต่ผ่องคิดว่าฉันจะทำร้ายเฟืองได้หรือ”
ขณะเดียวกันนางเฟืองอยู่ที่เรือนข้าหลวง นัยน์ตานางผีร้าย แลเห็นน้ำตาค่อยๆ ซึมขึ้นมาจนเต็มตา ด้วยความตื้นตันในน้ำพระทัย
ร่างนางเฟืองหมอบร่างแทบฝังเข้าไปในพื้นกระดาน เสียงร้องไห้ของเฟืองดังสะท้านสะเทือนไปทั้งวังรังสิยาในยามนั้น สายลมพัดใบไม้โยกโยน
ด้านท่านหญิงนั่งอยู่เพียงลำฟังในห้องบรรทม คิดถึงเฟือง สีหน้าหมองเศร้า ก้มดูจดหมายลายมือยู่ยี่ของเฟืองที่อยู่ในมือ
คล้ายเสียงผีนางเฟืองมาอ่านให้ฟังด้วยตัวมันเอง “อย่าทรงโศกเศร้าเมื่อหม่อมฉันไปแล้ว ...หม่อมฉันจากไปแต่เพียงร่าง หัวใจและวิญญาณยังคอยดูแลท่านหญิงอยู่เสมอ
ท่านหญิงพึมพำ “เฟือง...ไม่ต้องห่วงหญิง....ไปเสียเถอะเฟืองหญิงขอให้เฟืองไปอย่าให้หญิงต้องหาคนมาพาเฟืองไปเลย”
บ่ายคล้อยเจียนค่ำ ศักดินาอยู่กับรุ้งในห้องรับแขกที่วังรังสิยา
“รุ้งไปพร้อมกันมั้ยไปส่งรุ้งก่อน”
“รุ้งจะอยู่เฝ้าท่านหญิง ค่ำถึงจะกลับ”
“งั้นสนไปส่งผม เดี๋ยวมารับรุ้ง”
“ค่ะ” รุ้งลุกขึ้นแต่เซนิดๆ
ชายเดียวประคองรุ้งให้ยืน สีหน้าอ่อนโยนยิ่ง รุ้งเงยหน้ายิ้มกับชายเดียว
ความรู้สึกของทั้งสองคน ต่างคนต่างซึมซับรับรู้ดีว่า ไม่ใช่ความรักหวือหวาแบบหนุ่มสาว แต่เป็นความผูกพัน ดึงดูดอย่างประหลาด อย่างที่ลูกแฝดเป็นกัน แต่เพราะทั้งสองคนไม่รู้ว่าเป็นพี่น้อง เลยเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ต่างฝ่ายต่างมีใจเอื้ออาทร คิดถึงกันอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ความรัก
ทอแสงรัศมีดูอยู่ในมุมลับตา มองจ้องด้วยสายตาสะเทือนใจ รู้สึกผิดหวัง โหวงเหวงในใจ สะท้อนสะท้าน รู้ตัวดีว่าผิดหวังแน่ๆ
หญิงทอแสงเดินลงมาจากตึก ก้าวมาอย่างรวดเร็วจนเกือบเป็นวิ่ง แล้วลดฝีเท้าลง ช้าลง...ช้าลง...ถึงต้นไม้ใหญ่ เซซวนไปพิงต้นไม้นั้น น้ำตาไหลริน ร้องเงียบๆ ไม่ฟูมฟาย
ส่วนชายเดียวพารุ้งเข้ามายังห้องบรรทมท่านหญิงแขไข
“รุ้งจะกลับแล้วหรือ”
“ยังมังคะ รุ้งจะอยู่จนค่ำมังคะ”
“ขอบใจมากที่มีกะใจมาดูแลฉัน ขอให้เจริญๆ”
“ชายต้องกลับแล้วค่ะท่านแม่”
“พรุ่งนี้สอบ...กลับไปเถอะแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว รุ้งเขาอยู่”
ชายเดียวเดินไปโอบกอดท่านหญิง ด้วยกิริยาน่ารัก แลดูอบอุ่นยิ่ง รุ้งจ้องมองชื่นชม ยิ้มละมุนละไมในหน้า
ท่านหญิงโอบร่างชายเดียว หลวมๆ ก่อน แล้วแน่นขึ้นอีกนิดพอสังเกตได้
“ขอบใจนะลูก จะสอบยังอุตส่าห์มา”
ฟากทอแสงรัศมีเดินเศร้านัยน์ตาคิดหนักนึกถึงอากัปกิริยาชายเดียว แล้วสะท้อนใจอีก หยุดยืน กลั้นน้ำตาไม่อยากร้องไห้ กัดฟันแน่น กล้ำกลืนน้ำตา แล้วตัดใจหันขวับไปทางตัวตำหนัก แต่ต้องสะดุ้งสุดตัว
“อุ๊ย”
ผีนางเฟืองยืนอยู่ใกล้มาก หญิงทอแสงร้องเบาๆ อีกครั้ง
“เอ๊ะ”
นางเฟืองยิ้มเยือกเย็น
ทอแสงรัศมีฉงน “ใคร?”
นางเฟืองก้มหัวลง แบบคารวะนาย “อิฉันเป็นข้าหลวงค่ะ”
“ข้าหลวงหรือ ไม่เห็นเคยเห็นเลย ทำอะไร”
นางเฟืองยิ้มสงบงาม “ก็ทำหลายอย่างค่ะ” แล้วก้มตัวนิดๆ เดินผ่านไป
หญิงทอแสงหมดความสนใจ ไม่มองตาม จบความสนใจเพียงแค่นั้นหันไปอีกทาง แต่ชะงักอีกเมื่อเห็นชายเดียวกำลังจะกลับ สองคนอยู่ที่รถ สนยืนคอยปิดประตูรถ เห็นชายเดียวก้มหน้าพูดอะไรเบาๆ กับรุ้งรุ้งเงยหน้าฟัง และตอบโต้ด้วย 2-3 คำ แต่สรุปกิริยาค่อนข้างใกล้ชิด ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วชายเดียวขึ้นรถไป รุ้งยังมองตาม ชายเดียวโบกมือให้
ทอแสงรัศมีมองตะลึง หัวใจเต้นแรงด้วยความริษยา
“นังมารยา” เสียงนางเฟืองด่าออกมา
หญิงทอแสงตกใจหันขวับมา เห็นนางเฟืองยืนมองด้วยสีหน้าแววตาเกลียดชังไปที่รุ้ง
“แกก็รู้ใช่มั้ยว่ามันน่ะมารยา เจ้าเล่ห์ ทำเป็นสงบเสงี่ยม”
“รู้ค่ะคุณหญิง รู้ดีทีเดียว” นางผีร้ายบอก
ขณะเดียวกันฉัตต์ปลอมตัวเข้ามาในร้าน สวนราตรี อีกครั้ง ลูกค้าในร้านแน่นพอสมควร และฉัตต์กำลังนั่งคอยรุ้ง ด้วยหัวใจร้อนรุ่ม อ่อน สารภี เสิร์ฟอาหารอยู่ แต่ชำเลืองมองไปอีกทาง เห็นจันทร์มองอยู่
จันทร์มองมือฉัตต์ตามที่รุ้งเคยบอก ที่ทอดอยู่บนโต๊ะนิ่งๆ จันทร์จ้องพลาง พยามยามคิดทบทวนว่าตัวเองจำได้หรือเปล่า บนโต๊ะฉัตต์ว่างเปล่า ไม่มีอาหาร
สารภีถือถาดผ่านมา “คุณจันทร์”
“เขาสั่งอะไร” จันทร์ถาม
“ไม่สั่งอะไรเลยค่ะคุณจันทร์”
จันทร์เป็นกังวลมาก
จันทร์เดินกลับเข้ามาในครัว อ่อน สารภี และสำลี เดินยกอาหาร สั่งอาหารกันไป
“เขาจะเอายังไง...ฉันออกไปถามเอง” สำเนียงสุดทนขยับตัว ฟาดมีดปังตอบนเขียง ดังเปรี้ยง
“ไม่ต้องพี่เนียง”
“อ้าว แล้วจะให้นั่งอยู่งั้นเหรอคะคุณจันทร์” สำเนียงท้วง
จันทร์ถอนหายใจยาว หนักใจเหลือเกินจะทำยังไงดี
“คุณจันทร์คะ เด็กที่สมัครเป็นคนเสิร์ฟเขามาแล้วค่ะ” อ่อนบอก
เด็กสองคนยืนคอยอยู่
“ให้พี่เนียงคุย พี่เนียงคะ ถ้าพอใช้ได้เราจ้างไว้เถอะค่ะ คนเราขาด”
จันทร์พูดจบลุกออกขึ้นเลย มายืนมองเข้าไปในร้านอีก ทอดถอนใจไปมา
ขณะเดียวกัน ที่ห้องบรรทมท่านหญิง ตอนหัวค่ำ
“ที่บ้านมีหมอประจำชื่อหลวงแพทย์ ท่านหญิงจะโปรดให้ถวายการักษามั้ยมังคะ” รุ้งเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้อง รุ้งคนเดียวก็พอ”
“ไม่ได้หรอกมังคะ รุ้งเป็นแค่พยาบาลฝึกหัด”
“ก็แค่ดูแลวัดความดัน ให้กินยา ไม่เป็นไร หมอของฉันมีแล้ว”
รุ้งค้อมหัวทำท่าตอบรับ
“จะกลับแล้วหรือ”
“มังคะ เดี๋ยวแม่คอยมังคะ”
ท่านหญิงมองรุ้งอย่างพินิจพิจารณา สายตามีแววประหลาด ระแวง เกลียด ปะปนกัน
“ทูลลามังคะ” รุ้งกราบลงตรงที่นอน
ท่านหญิงเปลี่ยนสายตาเป็นอ่อนโยนลง “บอกแม่ของเธอ..ฉันขอบใจ”
“แม่ไม่ทราบว่าหม่อมฉันมาที่นี่มังคะ...ไม่ได้บอก”
เวลานั้นจันทร์เดินออกมาหน้าร้าน เห็นยอดยืนอยู่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
“ยอด รุ้งมารึยัง”
ยอดทำมือแล้วพูดในคอ “ยังครับ”
“หรือจะโทร.มาบอกแต่ไม่มีใครรับสาย...เราอยู่ร้านอาหารกันหมด”
“ครับ...อาจเป็นได้” ยอดก้มหน้าบอก
“ที่โรงพยาบาลบอกว่ามีโทรศัพท์มาหารุ้ง รุ้งก็ออกไปเลย แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่มา” จันทร์ห่วงลูก
“หม่อมใจเย็นๆ ครับ เชื่อใจคุณหญิงว่าไม่ไปที่ไม่ดีหรอกครับ” ยอดปลอบ และยอดมักเรียกรุ้งว่า “คุณหญิง” ตามศักดิ์หม่อมราชวงศ์
“ต้องโทรศัพท์พูดกับฉันให้ได้สิ ต้องหาทางบอก ไม่ใช่หายเงียบไปอย่างนี้”
“เธออาจจะโทร...แต่ไม่มี...” ยอดยังแก้ให้
“ไม่มีคนรับ เอาล่ะ...เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดอีก ยอดรอรุ้งนะฉันต้องไปดูในร้านอีกที” จันทร์เดินไปแล้วเดินกลับมา “ยอด รู้มั้ยว่าคุณฉัตต์มาแล้ว”
ยอดชะงัก “จริงหรือครับ”
“อยู่ในร้านคนนั้นไง” จันทร์พยักเพยิดให้ดู
ยอดจำได้ “คนที่มาวันก่อน”
“เขาไม่แสดงตัว ฉันก็ไม่กล้าทักเขา ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ทำไมเขาต้องแกล้งทำอะไรแบบนี้”
“เขาโกรธ”
“ใช่ เขาโกรธ แต่เรามีเหตุผล...ไปเถอะยอดไปคอยรุ้ง ฉันจะ...จะลองไปไปพูดกับคุณฉัตต์”
ในที่สุดจันทร์ตัดสินใจเดินออกไปหาฉัตต์
“จะสั่งอาหารมั้ยคะ คุณ...เอ้อ คุณ”
ฉัตต์ขัดขึ้นทันที “ฉันอยากพบคนที่พูดกับฉันวันก่อน”
“มี...มีอะไรหรือคะ”
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้ เรียกผู้หญิงคนนั้นมาพบฉันด้วย”
“เขาไม่อยู่ค่ะ”
“ไปไหน”
“ไปทำงานยังไม่กลับค่ะ”
“คุณพจน์ ปัณณธร” เสียงฉัตต์สะอึก แล้วหยุดไปนิดหนึ่ง “เสียชีวิตไปแล้วใครเป็นเจ้าของต่อมา”
จันทร์จ้องมองฉัตต์ ใจนึกปั่นป่วนว่าฉัตต์จะเอายังไง ฉัตต์ไม่เฉลียวใจว่าจันทร์รู้แล้ว
“คุณ...” ฉัตต์ถามย้ำ
“เธอชื่อคุณฉัตต์ ปัณณธร เป็นลูกชายคนเดียวของคุณพจน์ เธอเป็นเจ้าของร้านที่นี่ บ้านปัณณธร และทุกอย่างที่คุณพจน์มีค่ะ”
ฉัตต์นิ่งไป แต่แล้วหาเรื่องต่อ “แล้วลูกชายเขารู้รึเปล่าว่าคุณเอาบ้านของเขามาทำเป็นร้านอาหาร”
จันทร์รวบรวมกำลังใจเป็นอย่างมากขณะบอก
“ไม่ทราบค่ะ”
จันทร์รู้ว่าเป็นฉัตต์ พยายามตอบตามความจริง
“ทำไมคุณไม่บอกเขา”
จันทร์จ้องหน้าฉัตต์ พูดเสียงเหมือนกระซิบ “เรามีเหตุผลค่ะ...เราอธิบายได้” จันทร์มองหน้าฉัตต์แน่วนิ่ง
ฉัตต์ลุกขึ้นโดยแรง เลื่อนเก้าอี้ แล้วพรวดออกไปเหมือนพายุ
แขกเหลืออยู่แค่โต๊ะเดียว หันมามอง อ่อน สารภี สำเนียงโผล่ออกมากันทุกคน
“มาอีกแล้วหรือคุณจันทร์ มาเนียงเอง”
“อย่าพี่เนียง เขาไม่ใช่ใคร...” จันทร์หยุดไป
“ไม่ใช่ใคร...ใครล่ะคะ”
จันทร์ส่ายหน้า “รุ้งยังไม่กลับ ฉันจะไปคอยรุ้งที่บ้าน” มองไปเห็นยอดจึงถาม “ยอด”
ยอดทำมือว่ารุ้งมาแล้ว
จันทร์ไปอย่างรวดเร็ว
จันทร์เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วถามทันที
“ไปไหนมา”
รุ้งกำลังผลัดเสื้อผ้านุ่งผ้านุ่งและคาบส่วนหนึ่งไว้ในปาก ร้อง “อุ๊ย” เบาๆ แต่พอเห็นเป็นแม่ก็คลาย
ปล่อยผ้าที่คาบไว้แล้วนุ่งเป็นผ้าถุงอย่างเดิม เก็บของที่วางรกๆ ปัดเตียงนิดหน่อย
“แม่จันทร์นั่งสิจ๊ะ”
“แม่ถามว่าไปไหนมา”
“ไปเฝ้าท่านหญิงที่วังจ้ะ”
จันทร์หน้าเครียดมากทวนคำ “ไปวังโน้น”
“แม่จันทร์...มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“ทำไมถึงไป ไปเองหรือใครมารับไป”
“คนขับรถชื่อนายสนจ้ะ”
“คุณชายเดียวอยู่รึเปล่า”
“อยู่จ้ะ”
“ทำไมรุ้งถึงไป...ทำไมไม่ขออนุญาตแม่”
“ขอโทษจ้ะแม่ ป้าผ่องบอกว่า...”
“ใครบอกอะไรก็ไม่ได้ แม่ไม่ให้ไป คุณชายมาที่นี่คุยได้แต่ห้ามไปพบกันที่อื่น” จันทร์ยื่นคำขาด
“แม่จันทร์...นี่อะไรกันจ๊ะ ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ท่านหญิงประชวร ลูกไม่ได้ไปเพื่อพบคุณชาย แม่จันทร์อย่าคิดไกลอย่างนั้น”
“คิดไกลอย่างไหน...แม่เคยบอกแล้ว่าต้องเจียมตัว ตีเสมอเธอไม่ได้ คุณชายเธอเป็นลูกเจ้าลูกนาย มาที่บ้านคุยกันพอแล้วไม่ต้องไปหาที่วัง”
“ลูกไม่เคยคิดอะไรอย่างที่แม่จันทร์ว่า ลูกเจียมตัวเสมอ คิดแต่เรื่องเรียนเรื่องทำงาน ไม่เคย...” รุ้งพูดเจือเสียงสะอึก “คิดว่า...”
จันทร์ขัดขึ้น “แม่ไม่คิดว่ารุ้งจะทำได้ขนาดนี้”
รุ้งกลืนก้อนสะอื้นเข้าไป “ลูกไม่อยากเถียงแม่แต่ลูกไม่มีเจตนาไปพบคุณชายท่านหญิงประชวร...”
จันทร์ขัดอีก “ถึงยังไงก็ไม่สมควร วันหลังถ้าแม่พบคุณชายแม่จะบอกเองว่าไม่ให้รุ้งไปที่นั่น”
“อย่าทำนะจ๊ะแม่จันทร์ ลูกคงกลั้นใจตายถ้าแม่จันทร์พูดอย่างนั้น แม่จะทำให้เรื่องไปกันใหญ่ คุณชายเธอไม่เข้าใจแน่ๆ”
จันทร์ยืนอึ้ง ใจว้าวุ่นสับสนหนัก เต้นจนไม่เป็นส่ำ ทำยังไงจะห้ามพี่น้องได้
“เอาเป็นอันว่าลูกเชื่อแม่ลูกไม่ไปที่นั่นอีก”
จันทร์จ้องหน้ารุ้งนิ่งๆอยู่อึดใจ “รักษาสัญญาแล้วกัน”
จันทร์พูดจบเดินจากไปทันทีดูออกว่าโกรธมาก รุ้งยืนอึ้ง
จันทร์เดินจะไปที่ร้านอาหาร ยอดเดินตาม จันทร์ลงนั่งตรงมุมห่างร้านออกมา
“ฉันกลัวเหลือเกินยอด”
“หม่อมคิดมากไป เชื่อใจคุณหญิงเถอะครับหม่อม” ยอดก้มหน้าพูด ไม่มองจันทร์
“ถึงจะขัดใจกับรุ้งแต่ฉันต้องกันไว้ดีกว่าแก้ คนหนึ่งพี่ คนหนึ่งน้อง ฉันเหมือนน้ำท่วมปากจริงๆนะ พูดอะไรไม่ได้จะสำลักน้ำตาย แล้วอีกอย่างฉันไม่อยากให้รุ้งไปที่วังเลยนะยอด ห้ามเข้ารุ้งก็โกรธ เขาไม่รู้หรอกว่าที่นั่นน่ะอันตรายแค่ไหน เราสองคนแม่ลูก รอดตายมาหวุดหวิดเต็มที”
“หม่อมครับผมผิดเหลือเกิน” ยอดน้ำตาคลอ “ผิดขนาดนี้หม่อมยังเลี้ยงผม”
“เรามีวาสนาต่อกันมา ถึงได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ฉันไม่เคยคิดว่ายอดผิด”
ยอดทรุดลงก้มลงกราบแทบเท้า
“ไม่ต้อง...ยอด พอแล้ว” จันทร์ขยับเท้าหนี
ยอดลุกนั่งอย่างเดิม
“ถึงเฟืองตายแล้วฉันก็ยังกลัว ยิ่งนึกก็ยิ่งกลัว รุ้งไปที่นั่นฉันก็ยิ่งกลัว...เขาเรียกสังหรณ์ใช่มั้ย”
“ป้าเฟืองแกตายแล้วนะครับหม่อม”
“ใช่ แกตายแล้ว แต่ฉันก็ยังกลัว”
“กลัวอะไรครับหม่อม”
“ไม่รู้...มันกลัว...แต่ไม่รู้ว่ากลัวอะไร”
ยอดเงยหน้ามองจันทร์ เห็นสายตาของจันทร์จริงจังมาก
“แล้วยังคุณฉัตต์อีก...ฉันจะทำยังไงดี คุณฉัตต์จะทำอะไรต่อจากนี้ก็ไม่รู้”
ฉัตต์อยู่ในห้องพักที่โรงแรม นั่งอ่านจดหมายที่พจน์ไปให้ที่เมืองนอก ใกล้ๆ กันมีจดหมายพจน์วางซ้อนกันเป็นตั้ง
อ่านเสร็จแล้ววาง ก่อนจะหยิบฉบับใหม่อ่านต่อ...แล้วหยิบอ่านอีกฉบับ จนกระดาษจดหมายเกลื่อนไปหมด ฉัตต์พิงพนักเก้าอี้มองสูง น้ำตาคลอเต็มตา
เสียงพจน์ ดังซ้อนๆ กัน เหมือนอ่านจดหมายต่อเนื่องกัน
“พ่อดีใจที่รู้ว่าฉัตต์ปรับตัวได้แล้ว เริ่มเรียนเป็นยังไงบ้าง...ปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษจะแก้ได้ด้วยการหมั่นฝึกฝน ลูกต้องฝึกอย่างหนัก…ได้รับผลการสอบแล้ว น่าพอใจมาก เป็นผลของความพยายามของลูก...พ่ออยากให้ฉัตต์เรียนต่อปริญญาโท...อากาศหนาวต้องระวังอย่าปล่อยให้คอกับหน้าอกเย็นมากจะไม่สบาย...พ่อคิดถึงลูกเสมอ ระวังสุขภาพด้วย...คิดถึงลูกที่สุด ขอให้อดทน ตั้งใจเรียนให้จบ”
ฉัตต์ยกแขนปาดน้ำตาแรงๆ สะอื้นเฮือกใหญ่คิดถึงพ่อเหลือเกิน
เวลาเดียวกันที่บ้านหลวงวิเศษ กระแตสาวใช้ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แล้วอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
เสียงพิสินีดังขึ้น “กระแต เดี๋ยวแมลงวันก็เข้าปากหรอก”
กระแตลุกพรวด พุ่งตัวเข้าไปด้านใน
“คุณผู้หญิง...คุณผู้หญิงขา”
คุณหลวงวิเศษ และคุณนาย นั่งโต๊ะรับแขกคู่กัน พิสินีทรุดลงกราบที่เข่าพ่อ แล้วกราบที่เข่าแม่
คุณนายกอดลูกสาวเต็มอ้อมกอด “ลูกบัว...มาทำไมไม่บอก แม่ดีใจเหลือเกิน”
หลวงวิเศษแม้สีหน้าจะยินดีที่ลูกสาวกลับมาแต่ก็ยังอดตำหนิไม่ได้ “แปลว่าไม่เรียนต่อปริญญาโท ทำไมทำอย่างนี้ไม่ปรึกษาพ่อแม่” เสียงคุณหลวงก็ยังเข้ม “ทำไม่ถูก”
พิสินีมีสีหน้าสลดลง
“แต่ผู้หญิงเรียนมากไปก็อาจลำบาก...” คุณนายแก้ต่างแทนลูก
หลวงวิเศษขัดขึ้นทันที “หมายถึงหาผัวไม่ได้ใช่มั้ย...ฉันไม่เห็นแปลกว่ายายบัวจะไม่แต่งงาน แต่เป็นผู้หญิงหนึ่งคนในไม่กี่คนของกรุงเทพฯ ที่จบปริญญาโทจากเมืองนอก นี่สิแปลก”
ผู้เป็นแม่เงียบทันที
“อย่าสอนลูกผิดๆอีก”
คุณนายยิ่งหน้าเสียลงไปอีก
“บัวมีคนรักแล้วค่ะ คุณพ่อ บัวอยากจบที่การแต่งงาน...เร็วๆ ด้วยค่ะ” พิสีนีเอ่ยขึ้นอย่างมาดหมาย
คุณหลวงฉงน “ใคร...คนรักของแก”
ฉัตต์นอนอยู่ในห้องพักที่โรงแรม แล้วฝันไป ว่ากำลังคุยอยู่กับพจน์ผู้เป็นพ่อ พจน์นั่งฟังฉัตต์พูดด้วยท่าทางสงบ สายตาจับจ้องที่ฉัตต์ ที่เดินไปมา
พจน์พูดเสียงปลอบประโลม “อย่าดึงคนอื่นมาเป็นประเด็น”
“เขาเป็นคนอื่นของคุณพ่อหรือครับ” ฉัตต์เถียง
“ฉัตต์มีเหตุผลบ้าง” พจน์ปราม
“ผมไม่มีเหตุผลให้เขาเลย อยู่ๆ เขาก็มา มากันสามคน แล้วแม่ผมก็ตาย...แม่ผมตาย ตายวันที่เขามา”
“ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีก”
“ผมเลิกไปแล้ว แต่เขาไม่เลิก เขาทำให้คุณพ่อสงสาร ทั้งแม่ทั้งลูกเขาหลอกคุณพ่อได้ หลอกคุณย่าได้ แต่เขาหลอกผมไม่ได้”
“เขาเป็นคนดี”
ฉัตต์โต้ทันที “ไม่จริง...เป็นคนดีต้องบอกผมเรื่องคุณพ่อเสีย เขาปิดผมทำไม เขาจะเอาสมบัติของผม เขาถึงไมให้ผมกลับมา เขาบอกริมาเพราะริมาก็หลงเชื่อเขาเหมือนกัน”
“เขาเป็นคนดี” พจน์ย้ำคำเดิม
“เขาไม่ดี ...ไม่ดี...ไม่ดี คุณพ่อยังไม่รู้อีกเหรอว่าเขาไม่ดี...ไม่ดี คุณพ่อยังไปรักเขา คุณพ่อรักเขา รักมากกว่าลูก”
พจน์มีสีหน้าเสียใจ ขณะมองฉัตต์ แล้วร่างก็ลอยห่างออกไป ไกลออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ
“คุณพ่อ...คุณพ่อ”
ร่างพจน์ลอยไปๆ จนหายลับตาไป
“ผมรู้ว่าคนที่ไม่ยอมบอกเรื่องคุณพ่อเสียคือแม่จันทร์ เขาเจตนาไม่ให้ผมกลับมา เขาจงใจไม่ให้ผมรู้ เพื่อเขาจะได้ทำอะไรๆ กับบ้านเราได้ตามความพอใจ”
ฉัตต์ลืมตาขึ้นท่ามกลางห้องที่มืดสนิท ครางเบาๆ ออกมา “คุณพ่อ” สักครู่จึงตระหนักว่าพ่อไม่อยู่แล้ว
ฉัตต์ซบหน้ากับหมอนกัดฟันแน่น ความเจ็บแค้นแน่นอก น้ำตาซึมแล้วค่อยๆ ไหลริน ยินเสียงสะอื้นเหมือนเปล่งออกมาจากหัวใจ
อ่านต่อหน้า 2
แค้นเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ขณะเดียวกันรุ้งหลับสนิทอยู่บนเตียง ฝาหีบใบเล็กๆ ที่ใส่ของ ตกลงมาปิดมีเสียงดังแก๊ก รุ้งลืมตา
เห็นจันทร์นั่งอยู่มุมห้อง แสงจากไฟส่องที่มือจันทร์ซึ่งกำลังมองหีบของที่ฝาปิดแล้ววางอยู่ข้างๆ รุ้งเพ่งมองแม่ จันทร์พลิกเหรียญในมือ
“แม่จันทร์” รุ้งเรียก
ครู่ต่อมาจันทร์ใส่สร้อยให้รุ้ง เป็นสร้อยที่ท่านชายรังสิโยภาสให้มาในวันจากกัน
“สร้อยอะไรจ๊ะแม่จันทร์” รุ้งมองดูสร้อย “เหมือนพระอาทิตย์ ตราอะไรจ๊ะแม่ สร้อยของแม่หรือจ๊ะ”
“ของ...พ่อ” จันทร์บอก
“พ่อ พ่อของรุ้งหรือ”
“ใช่ สร้อยของรุ้ง ใส่ไว้อย่าถอด ทะ.....พ่อของรุ้งให้ไว้ตั้งแต่รุ้งยังไม่เกิด”
รุ้งมองสร้อยนิ่งสักครู่ แล้วตัดสินใจถาม “พ่อของลูกตายแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“วันหนึ่งลูกจะรู้ทุกอย่าง”
รุ้งนอนหลับ มือแตะที่เหรียญ
จันทร์นั่งนิ่งอยู่ในเงามืด แสงส่องที่สมุด ที่จันทร์เขียนบันทึกอยู่
“แม่ไม่รู้ว่าแม่ทำผิดหรือเปล่าที่ปิดปังชาติกำเนิดของลูก ทำให้ชีวิตของลูกต้องมาตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น”
จันทร์หันไปมองรุ้ง แล้วเขียนต่อ
“แต่ลูกมีความสุขใช่มั้ย ขอแค่เห็นลูกแม่มีความสุข แม่ก็พอใจแล้ว”
แค้นเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น รุ้งแต่งชุดพยาบาลเรียบร้อย ยืนมองตัวเองหน้ากระจก มือแตะเหรียญ สีหน้าอ่อนโยนแกมฉงน หันไปดูโต๊ะเตี้ยๆ ที่แม่เขียนหนังสือ เห็นสมุดที่จันทร์เขียนบันทึกยังวางอยู่
สีหน้ารุ้งอยากเปิดอ่านมาก แต่ไม่กล้า ในที่สุดก็เดินไปเปิดประตู จันทร์มาถึงพอดี รุ้งยิ้มกับแม่ จันทร์ตื้นตันในใจเข้ากอดลูกแนบแน่น รุ้งยังขืนตัวนิดๆ เพราะยังหมองใจเรื่องเมื่อวานที่ทะเลาะกันไม่คลายคืน
“จะไปแล้วหรือลูก”
“จ้ะ ลูกจะไปวัดความดันคุณย่าก่อน วันนี้คุณย่าไปวัดกี่โมงจ๊ะแม่”
“ไปบ่าย วันนี้วันพระใหญ่คุณย่าจะไปค้าง แม่ว่าจะไปด้วย..เป็นห่วงท่าน รุ้งกลับเร็วหน่อยได้มั้ยลูกมาดูร้านรอบเย็น”
“ได้จ้ะแม่ ลูกจะรีบกลับ” รุ้งเดินออกไปทางห้องโถงเร็วรี่
จันทร์เหลียวไปเห็นสมุดบันทึกที่ลืมเก็บ สงสัยนิดๆ ว่ารุ้งอ่านหรือเปล่า
ฝ่ายคุณหญิงเพ็ง ซึ่งแต่งชุดขาวทั้งตัวเตรียมไปนอนถือศีลวัด รออยู่ในห้องโถงแล้ว รุ้งลงบันไดก้าวเข้ามาในห้องอย่างเร็วรี่ ถือเครื่องมือวัดความดัน
“คุณย่าอยู่นี่ รุ้งไปดูในห้อง
“ย่าหิว..แปลกหิวแต่เช้า ทานเสร็จแล้ว เอ้า...” คุณหญิงเพ็งยื่นแขนให้
รุ้งวัดความดันอย่างคล่องแคล่ว คุณย่ามองจ้องแล้วเอ็นดูมาก
รุ้งวัดเสร็จ ยิ้มอย่างอ่อนหวานขณะบอก “เก่งจัง”
“เท่าไหร่”
“125...เก่งที่สุดเลยค่ะ”
คุณหญิงเพ็งแตะบ่ารุ้งเบาๆ ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ใครล่ะที่เก่งกว่า”
รุ้งยกมือทาบหน้าอกตัวเอง “ภูมิใจมากค่ะ คนไข้คนแรกของรุ้ง”
คุณหญิงเข้ามากอด ลูบหลังเบาๆ รุ้งมีสีหน้าตื้นตัน ด้วยที่ผ่านมาคุณหญิงไม่เคยกอดด้วยกิริยาแบบนี้ มือของรุ้งค่อยๆ สอดเข้าไปรอบเอวคุณหญิงเพ็ง แล้วรัดแน่นขึ้น
สักครู่ต่อมาจันทร์เดินออกมาหน้าตึกเห็นรุ้งยืนอยู่ “รุ้ง ยังไม่ไปหรือลูก” รุ้งหันมา “ร้องไห้ทำไมหรือลูก”
“คุณย่ากอดจ้ะ ลูกดีใจคุณย่าไม่เคยกอดลูกเลย”
“เคย แม่ก็เห็นนี่”
“ไม่เคยกอดอย่างนี้ อย่างที่กอดวันนี้ อย่างวันนี้ต้องแม่จันทร์ แม่กอดทุกวัน”
จันทร์กอดรุ้ง แต่สีหน้าไม่สบายใจ
“อือม์...ดีจังเลยวันได้สองกอด”
“โกรธแม่หรือเปล่าลูกเรื่องที่แม่พูดเมื่อวาน”
“ถึงลูกจะไม่เข้าใจ แต่คิดว่าแม่ต้องมีเหตุผล” รุ่งว่า
“ขอบใจลูก ใช่ แม่มีเหตุผลที่ไม่อยากให้รุ้งไปที่วังรังสิยา แม่มีเหตุผลที่ไม่อยากให้รุ้งข้องเกี่ยวกับคุณชายเดียวมากไปกว่าเพื่อน”
“แม่จันทร์จ๋า แม่จันทร์ไม่รู้หรือจ๊ะว่าคุณชายชอบใคร” รุ้งรู้ดีว่าศักดินาชอบจริมา ไม่ใช่ตน
“รุ้งล่ะ แม่ห่วงรุ้ง รุ้งชอบคุณชายรึเปล่า”
“ลูกอยากให้ผู้ชายทุกคนในโลก อ่อนโยนน่ารักใจดีเหมือนคุณชาย ลูกชอบคุณชายรึเปล่าล่ะจ๊ะอย่างเนี้ย”
“สัญญานะลูกว่าจะชอบคุณชายแค่นี้ จะไม่ข้ามเส้นเป็นอย่างอื่น ถ้าอยากเห็นแม่มีชีวิตอยู่” นัยน์ตาจันทร์ขณะพูดแดงก่ำ พยายามกลั้นน้ำตา
“แม่...” รุ้งตกใจ
“หลีกเลี่ยงไม่ไปที่วังนะยากแม่รู้ แต่แม่ขอสัญญาอย่างหนึ่งที่แม่ยอมแลกได้ด้วยชีวิตแม่ ลูกต้องไม่ชอบคุณชายเดียวมากว่าเพื่อน ไม่ใช่แค่นั้นต้องอย่าให้คุณชายคิดกับลูกเป็นอย่างอื่นด้วย”
แม้สีหน้าจะไม่เข้าใจ แต่มองตาแม่นิ่ง รุ้งรับคำเสียงสั่น “ลูกสัญญา”
สองคนเดินออกมาหน้าตึก
“รู้มั้ยว่าเมื่อวานคุณฉัตต์มาอีก เขาโกรธเรื่องทำร้านอาหารไม่บอกเขา”
“รุ้งรู้อยู่แล้ว”
“แม่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราถือความสุจริต แม่ไม่กลัว”
รุ้งยิ้มแฉ่ง “งั้นลูกจะกลัวอะไรล่ะจ๊ะ”
สองคนกอดกัน ให้กำลังใจกัน ยอดพรวนดินตรงนั้น มองมานัยน์ตาตื้นตัน
“แม่ไม่อยู่ เขาอาจจะมาอีก รุ้งใจเย็นๆ ถ้าเขามาหาเรื่องวันหนึ่งถ้าเขาปรากฏตัวเราก็อธิบาย”
“บอกเขาว่าเราหาเงินส่งเขาเรียนหรือจ๊ะ”
“เราก็ต้องบอกสิ มันคือเหตุผลจริงๆ นี่”
ด้านยอดถือตะกร้าปุ๋ย มือถือเสียม เดินมาตามทางจะไปที่ครัว เห็นสำลีกำลังเก็บใบโหระพาอยู่ในสวนครัว ซึ่งพอเก็บเสร็จหันมาเจอนัยน์ตายอดมองจ้องอยู่ สำลีเขินอยู่หนึ่งวินาที แล้วยิ้มหน้าล้อๆ
“แอบดูเหรอ”
ยอดทำท่าว่าไม่ได้แอบ
สำลีเย้า “ไม่ได้แอบ ดูเลย...ใช่มั้ย”
ยอดยิ้ม พลางพยักหน้า
“ทีหลังจะเก็บตังค์แล้วนะพี่”
ยอดทำท่าทางว่า...ทำไม?
“เอ๊า...คนนะไม่ใช่โททัด จะได้มาดูฟีๆ”
สำลีหมายถึงโทรทัศน์ และคำสุดท้ายคือ ฟรีๆ พอพูดจบก็เดินสะบัดตัวออกไป
ยอดมองตามด้วยสายตาพึงพอใจ
ฝ่ายสำเนียงอยู่ตรงมุมหนึ่งไม่ไกล มองออกไป เห็นพฤติกรรมลูกสาวอย่างชัดเจน อ่อน สารภี ก้มหน้าก้มตา ทำงานเตรียมขายของ
สำลีเดินมา หน้ายังยิ้มทะเล้น แต่ชะงักเมื่อเห็นหน้าแม่ “แม่...”
สำเนียงยกตะหลิวชี้หน้า “อย่านะเอ็ง”
“เอ๊อ....อะไร”
สำเนียงเดินเข้าไปหาในครัว บ่นพึมพำ “นึกว่ากูไม่รู้เรอะ”
สำลีตามมา หน้าเสียไปเหมือนกัน
“จะไปถูบ้านให้ก่อนนะพี่สารภี” อ่อนว่า
“ฮื่อ....ขอบใจน่ะอ่อน เอาผ้าลงมาด้วยจะซัก” สารภี
“เดี๋ยวช่วยซัก” อ่อนบอกแล้วเดินออกไป
จันทร์เดินสวนมาพอดี อ่อนยอบตัวสวนออกไป
“คุณจันทร์ ของที่จะเอาไปวัดเสร็จแล้วค่ะ” สำเนียงถือตะกร้าใส่ของ มีผ้าขาวห่อเรียบร้อย
“พี่เนียง กลางวันนี้ลูกค้าไม่น่าเยอะนะ”
“สำคัญอย่าให้ไอ้โจรคนเก่านั่นมาระรานอีกแล้วกัน” สารภีบ่น
“อ๋อ ถ้ามาคราวเนี้ยอีเนียงไม่ปล่อยหรอก จัดการเอง” สำเนียงฮึดฮัด
“พี่เนียง ถ้าเขามาอีก สัญญากับฉันว่าอย่าว่าอะไรเขา อย่าพูดอะไร เขาจะเอะอะอะไรจัดให้เขา เขาอาละวาดยังไงทุกคนต้องเฉย..จำไว้นะ...” จันทร์มองกราด “ทุกคน” แล้วเดินกลับไปทางตึกใหญ่
สำเนียงหน้าเอ๋อไม่เข้าใจ บ่นบ้าตามประสา
“จะใจดีอะไรกะไอ้โจร”
อ่อนถือของคุณหญิงเพ็งที่เตรียมไปวัดออกไป แนบเปิดประตูรถให้ อ่อนเอาของใส่หลังรถ
คุณหญิงเพ็งเดินออกมา “แม่ไปคนเดียวได้ จันทร์ไปใครจะดูร้านล่ะลูก”
“วันนี้คนน้อย พี่เนียงดูได้ค่ะ”
“รอบเย็นล่ะ”
“รุ้งมาดูค่ะ บอกว่าจะรีบมา”
รุ้งอยู่ในห้องผู้ป่วย กำลังวัดปรอทคนไข้รถชน
“ไม่มีไข้เลยค่ะ ทานยานะคะ” ทำท่าจะเดินออกไป
คนไข้เรียก “เดี๋ยว...หนู วันนี้ไม่ทำแผลเหรอ”
“แผลทำวันเว้นวันได้แล้วค่ะ”
“อยากให้ทำทุกวันนี่”
รุ้งหัวเราะ ห่มผ้าให้แล้วออกไป
ฉัตต์โกนหนวดเคราออกหมดแล้ว ถอดวิก เป็นฉัตต์ที่แสนหล่อเหลา เดินเข้าบ้านปัณณธรมา ฉัตต์เดินดุ่มๆ ไป แล้วเดินช้าลงๆ จนหยุดยืนมองไปที่ตัวบ้าน สีหน้าเศร้าลึกๆ
อ่อนถือตะกร้าใส่เสื้อผ้าซักเดินออกมา แล้วตะลึง เมื่อเห็นฉัตต์ยืนอยู่
“คุณฉัตต์”
“ดีแล้วที่ยังจำกันได้ คุณย่าอยู่ข้างบนยังไม่ลงมาหรือ” ฉัตต์ถาม
“ท่านไปวัดกับคุณจันทร์ค่ะ เดี๋ยวอ่อนไปบอกพวกในครัว”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้น” ฉัตต์มองหน้า เสียงเข้ม “ถ้าไม่ฟัง ไม่ต้องอยู่บ้านนี้”
อ่อนอึ้ง
ฉัตต์สำทับ “คำสั่งคือคำสั่ง ไม่อย่างนั้นฉันจะสั่งทำไม”
อ่อนวิ่งเข้ามาในครัวของสวนอาหาร แล้วยืนหอบ ทุกคนหันมาถามกันว่าเป็นอะไร...มีอะไร
“คุณฉัตต์กลับมาแล้ว”
ทุกคนร้อง “หา...จริงเหรอ” ต่างกระวีกระวาดจะลุกขึ้น
“คุณฉัตต์บอกว่าไม่ต้องบอกใคร ถ้าไม่ฟังไม่ต้องอยู่บ้านนี้”
ทุกคนกลับเข้าสู่ที่นั่งอย่างเดิม
“อยากอยู่รึเปล่าล่ะ” สำเนียงถาม
“อยาก” อ่อนบอก
ทุกคนพูดกันว่า งั้นไม่รู้ ...ก็ยังไม่รู้...ไม่ได้บอก
ฉัตต์อยู่ในห้องโถงบ้านปัณณธร คุยโทรศัพท์กับพิสินี
“มาหาผมที่บ้านปัณณธรได้เลยบัว เชิญพี่ชายคุณมาด้วยนะ”
พิสินีอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน กำลังคุยโทรศัพท์กับฉัตต์
“ค่ะ ที่บ้านปัณณธร...บัวคิดว่าไปถูก ฉัตต์พูดถึงจนบัวหลับตาเห็นเลยค่ะโอเค..SEE YOU”
พิสินีวางโทรศัพท์หันมาเจอปยุตยืนอยู่
“พี่ปยุต ทำไมถึงมาถูกวันมาก คุณฉัตต์เชิญทานข้าวที่บ้านเย็นนี้”
“ฉัตต์ ปัณณธร น่ะหรือ เรื่องอะไรมาชวนพี่”
“เขาคงอยากรู้จัก...เขาควรจะอยากรู้จักพี่ชายของบัว”
“ทำไม” ปยุตมองหน้า “อ๋อ กำลังจะบอกฉันว่าเขาจะมาเป็นน้องเขยฉันงั้นสิ เขาเรียนที่เดียวกะเธอหรือยายบัว”
“บัวเรียนที่เดียวกะเขามากกว่า โอเคนะพี่ยุต ไปบ้านปัณณธรเย็นนี้”
หลวงวิเศษเดินออกมาทันได้ยิน “เขากลับมาแล้วหรือ งั้นเขาก็รู้แล้วสิ”
“รู้อะไรครับคุณพ่อ” ปยุตงง
“ค่ะ คุณพ่อ เขารู้แล้วว่าคุณพ่อเขาเสีย เขาโมโหมาก” พิสินีตอบ
“เขาว่าไง”
“อย่างที่บัวเรียนคุณพ่อไปแล้ว เขาคิดว่ามีคนเสี้ยมคุณพ่อเขา จะเอาสมบัติเขาแต่บัวไม่ทราบว่าใคร”
หลวงวิเศษด่าทันที “บ้า...คิดบ้าๆ”
“คุณพจน์มีเมียน้อยหรือคะคุณพ่อ” พิสินีถาม
“ยิ่งบ้าไปกันใหญ่ อย่างนี้แกจะให้คนสิ้นคิดอย่างนี้มาเป็นลูกเขยฉันเรอะยายบัว มันรู้อะไรทั้งหมดมันยังคิดได้อย่างนี้รึ”
พิสินีนิ่ง แต่สีหน้าอึดอัด...ออกแนวดื้อเงียบ
หลวงวิเศษเหลือบเห็นคุณนายแอบมองอยู่
“แม่...ออกมา อย่ามาทำลับๆล่อๆ” แม่ออกมา “บอกลูกสาวเธอว่าให้คิดดูให้ดีๆ ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในประเทศนี้”
“แต่บัวรักเขา” พิสินีขัดขึ้น
“ฉันกำลังพูดกับแม่แก” หลวงวิเศษตวาด
“ก็มันเรื่องของบัว” พิสีนีเถียงอีก
“แต่ฉันเป็นพ่อแกฉันมีสิทธิ์เป็นห่วงแก”
พิสินีจะตอบโต้อีก ปยุตคว้าแขนไว้
หลวงวิเศษเอ่ยขึ้น “นี่คุณแม่พูดกับลูกสาวเพราะถ้าให้ฉันพูดมันจะไปกันใหญ่” แล้วเดินเข้าไปทันที
ทั้งหมดนิ่งอึ้งกันไปหมด แม่อึดอัด
“เผด็จการ” พิสีนีหน้าคว่ำเสียงเครียด
“คุณแม่..คุณแม่ว่าไงครับ”
“ไม่ใช่แม่ว่า...คุณพ่อว่า บัว..ที่บัวคุยกับคุณพ่อวันนั้น แม่สรุปให้ว่าคุณพ่อไม่ชอบคู่รักของบัว ไม่ชอบที่เขาคิดกับคุณพ่อเขา ไม่ชอบที่เขาคิดกับคนที่ชื่อจันทร์ ที่ใครๆก็คิดว่าเป็นเมียคุณพจน์ คุณพ่อรู้ดีว่าไม่ใช่”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงวันหนึ่งฉัตต์เขาก็ต้องรู้ คุณพ่อรู้ดีก็เป็นคนบอกเขาสิ” พิสินีโต้
“คุณพ่อไม่ชอบที่เขาไม่คิดเอง คุณพ่อว่าเขาโตมากับคุณจันทร์คนนั้น ควรจะเข้าใจ แต่ตัวคุณพ่อ...ท่านบอกว่าท่านไม่พูด ไม่อยากพูดกับเด็กไม่มีความคิด มีแต่อคติ” คุณนายอธิบาย
พิสินีนิ่งงันไป
“ฉันเห็นด้วยกับคุณพ่อ เขาน่าจะสืบสาวราวเรื่องให้มากกว่านี้ อย่างนี้เหมือนยังไม่โต แย่”
“แต่เขาไม่แย่ในสายตาบัว เข้าใจผิดเข้าใจใหม่ได้ ถ้าเขารู้ความจริง”
“มันก็เนี่ยล่ะยังไม่รู้ความจริงดันโกรธไปก่อนแล้วน่ะสิ”
“ไม่เป็นไร สำหรับบัวเรื่องอื่นฉัตต์ดีทุกอย่าง บัวรักเขา รักเขามาก ตอนนี้ใครขวางก็ไม่ฟัง” พิสินีเดินเข้าห้องไป
สองคนแม่ลูก ยืนมองหน้ากัน ปยุตเย้า
“เป็นไงครับ...ลูกสาว”
“ก็น้องแก”
“นี่คุณแม่ เวลาคุณพ่อไม่อยู่คุณแม่เก๊ง..เก่ง พูดจาเป็นเหตุเป็นผลเป็นข้อๆ เลยแต่พอคุณพ่อปรากฏตัว คุณแม่...”
“หัวหด” ผู้เป็นแม่ว่าต่อให้ พลางหัวเราะเบาๆ “สามีฉันเป็นผู้ชายโบราณ จะว่าไปก็คล้ายๆ กับคนที่เขาไม่ชอบนั่นแหละ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว...โกรธนำมาก่อน แล้วค่อยๆหาความจริงทีหลัง” พลางมองหน้าปยุต
“เหมือนเขา ทำไมเขาไม่ชอบ” ปยุตว่า
“ก็บอกแล้วว่าเขาเป็นผู้ชายโบราณ...โบราณน่ะ ผู้ชายเป็นใหญ่เป็นเท้าหน้าของช้าง” แม่บอก
ปยุตพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจ เข้ามากอดแม่เล่นแรงๆ อย่างรักใคร่ “เห็นใจ...เห็นใจ”
“ไม่ต้องมาเห็นใจ ถึงฉันเป็นเท้าหลังของช้าง ฉันก็เดินได้เหมือนกัน เพียงแต่เดินให้มันถูกจังหวะเท่านั้น”
“ยายบัวมันต้องมาเรียนรู้จากคุณแม่” ปยุตเย้าขำๆ
เย็นวันนั้นคนไข้ที่ถูกรถชน มองตามรุ้งที่ยืนดูปรอท ด้วยสายตาชื่นชม
“ยังมีไข้นิดหน่อยค่ะ” รุ้งเปิดแฟ้มที่ห้อยปลายเตียง จดลงไป “ทานยานะคะ” พลางเดินมาหยิบยาส่งให้ “จวนออกได้แล้วนะคะ”
“ขอบใจนะครับคุณพยาบาล” รุ้งพยักหน้าให้ แฟนคนไข้เอาชะลอมเล็กๆ ใส่ไข่เค็ม 4-5 ใบส่งให้
“อะไรคะ” รุ้งถาม
“ไข่เค็ม...แฟนผมทำเอง”
“อุ๊ย...ไม่เป็นไรค่ะ”
“อร่อยจริงๆ ครับ ให้คุณไปทาน”
รุ้งไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
คนไข้มองมาด้วยสายตาอ่อนโยน รับไหว้
รุ้งเข็นรถออกมาจากห้องคนไข้ เกดสวนมา หน้าตายิ้มมีนัย “รุ้ง...มีคนมาคอย”
รุ้งดูนาฬิกา “ใครคะ...ไม่ได้ให้ใครมารับนี่คะ...ลุงแนบหรือคะ”
“โอ...ที่รัก คนนี้ห่างไกลจากคำว่า “ลุง” มาก” เกดเย้า
รุ้งหันไปดู เห็นศักดินายืนยิ้มอยู่
“อ๋อ คุณชายเดียว”
เกดกระซิบ “ไม่เคยบอกเลยว่าแฟนหล่อขนาดนี้” แล้วเดินยิ้มออกไป
รุ้งเดินเข้าไปหา คุณชาย
“ผมมารับรุ้ง...ท่านแม่ให้พารุ้งไปหาหน่อย”
“รุ้งไปไม่ได้ค่ะ วันนี้ต้องกลับไปดูร้าน ขอโทษด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมทูลท่านแล้วว่ารุ้งอาจไม่ว่าง เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน...ไป”
ส่วนที่บ้านปัณณธร สารภีกำลังต้อนรับพิสินี และปยุต
“เชิญค่ะ คุณฉัตต์อยู่ข้างใน”
ปยุตกับพิสินี เดินตามกันมา เดินเข้าห้องไปในห้องโถง
“บ้านสวย เก่าดีจริง บัวชอบ แต่งงานแล้วมาอยู่ที่นี่” พิสินีกระซิบ
“โธ่เอ๋ย เขาขอหรือยัง”
“รออยู่เนี่ย”
ครู่ต่อมา สารภีกำลังวางน้ำ ที่หยิบจากถาด ปยุต พิสินีเดินเข้า
“เชิญค่ะ คุณฉัตต์กำลังลงมาค่ะ” สารภียอบตัวเดินออกไป
พิสินีมองไปรอบๆ แบบรักษากิริยาด้วย เห็นรูปรุ้งถ่ายคู่กับจริมา 2 รูป รูปหนึ่งแต่งชุดนักเรียน เอียงหน้าชนกันยิ้มหวานทั้งคู่ อีกรูปแต่งชุดเล่นละครงานโรงเรียน
พิสินีหันมามอง เห็นปยุตกำลังมองอยู่เหมือนกัน
“สวย...เหมือนตัวจริง” ปยุตบอก
“พี่ยุต...น้องรู้แล้วทำไมตอบรับง่ายเหลือเกิน ที่คุณฉัตต์เชิญ ทั้งๆ ที่ตัวไม่รู้จักคุณฉัตต์...รู้จักเขาเหรอ” พิสินีหมายถึงรุ้ง
“ชื่อรุ้ง เป็นผู้จัดการร้านอาหารสวนราตรี”
“รุ้งเหรอคะ พี่ยุตรู้มั้ยว่าเป็นอะไรกับฉัตต์” พิสินีถาม
เสียงฉัตต์ตอบค่อนข้างห้วนดังขึ้น “ไม่ได้เป็นอะไรเลย”
พิสินีหันไปทางเสียง “ฉัตต์”
ฉัตต์ก้าวเข้ามา นัยน์ตาคมกริบมองปยุต
“ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากเป็นกาฝากที่มาพักพิงอยู่ในบ้านหลังนี้ แล้วมาตีสนิทกับน้องสาวผมก็เลยได้ถ่ายรูปกับครอบครัว”
เสียงของฉัตต์กระแทกเข้าหน้าปยุตเต็มแรง รู้สึกเหมือนเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน
“สวัสดีครับคุณร้อยตรี ขอต้อนรับในนามเจ้าของบ้านปัณณธรและสวนอาหารราตรี”
ปยุตมั่นใจพึมพำเบาๆ “คุณนั่นเอง”
“พี่ยุต ...เพื่อนบัวคุณฉัตต์ ปัณณธร ฉัตต์คะ พี่ยุตพี่ชายบัวค่ะ”
“คุณก็คือผู้ชายหยาบคายที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งขายหน้าต่อหน้าธารกำนัน ที่แย่ที่สุดคือผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในครอบครัวคุณเอง”
“ผมบอกแล้วไงว่า คนๆ นั้นเป็นแค่กาฝากของบ้านนี้” ฉัตต์บอกกวนๆ
ปยุตโกรธ “คุณฉัตต์”
สองคนเดินขึ้นมาด้วยกัน รุ้งหยุด รู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
“รุ้ง เป็นอะไรครับ”
รุ้งมองจ้องหน้าชายเดียว กิริยากระสับกระส่าย
ชายเดียวถามอีก “รุ้ง”
“ไม่ทราบเป็นอะไรค่ะ” รุ้งกดที่ท้องเหมือนมวนและปั่นป่วนในท้องอย่างประหลาด
สารภีเดินออกมา “คุณรุ้ง คุณฉัตต์มาแล้ว”
รุ้ง รู้แล้ว่าอาการตัวเองเป็นเพราะอะไร
“พี่ฉัตต์มาแล้วหรือ” ชายเดียวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
รุ้งยังยืนนิ่ง
ชายเดียวหันกลับมาคว้าแขนรุ้ง “ไปรุ้ง ไปหาพี่ฉัตต์”
ชายเดียวจูงมือรุ้งเข้ามาเร็วรี่ สารภีเดินตามแล้วหลบไปอีกทาง
“พี่ฉัตต์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมไม่บอกกันเลย” ถึงจะตื่นเต้น แต่กิริยาชายเดียวก็ยังเรียบร้อยสมเป็นคุณชาย
ฉัตต์มองนิ่ง เลื่อนสายตาลงมาแบบแวบเดียว ไม่โจ่งแจ้ง มือชายเดียวกุมมือรุ้งแน่น
“ชายเดียว”
ชายเดียวไหว้ “โอ พี่ฉัตต์ผมดีใจจริงๆ ได้พบกันแบบไม่รู้ล่วงหน้า รุ้งครับ” จูงมือรุ้งให้มายืนหน้าฉัตต์ “ไม่ดีใจหรือ”
รุ้งยืนนิ่ง ชายเดียวยังจับมืออยู่
“จะไม่ทักทายกันสักคำหรือคุณรุ้ง” ฉัตต์ว่า
รุ้งยังยืนนิ่ง
พิสีนี จ้องมองทุกกิริยา ด้วยสายตาใคร่ครวญ ปยุต มองจ้อง สายตาตรึกตรองเหมือนกัน ทั้งสองคนเหมือนรู้ถึงหัวใจของฉัตต์ ว่าต้องมีอะไรผิดปกติ
รุ้งปลดมือตัวเองจากมือชายเดียว พนมมือไหว้ฉัตต์ “คุณฉัตต์”
“ขอบใจที่ปกปิดเรื่องคุณพ่อ” ฉัตต์แดกดันเสียงเครียดจัด
รุ้งเม้มปากแน่น
“รุ้งเขามีเหตุผลนะครับพี่ฉัตต์”
ฉัตต์ค่อยๆ หันมาทางชายเดียว จ้องตานิ่ง แต่ชายเดียวไม่หวั่นไหว สู้ตานิ่ง
“พี่ฉัตต์ควรฟังเหตุผลก่อน” ชายเดียวย้ำ
“ผมนึกว่าชายเดียวเรียนหมอ ไม่รู้ว่าเรียนกฎหมาย เป็นทนายแก้ต่างให้คน” ฉัตต์แขวะ
“ผมก็นึกว่า พี่ฉัตต์ไปเรียนเมืองหนาวจะทำให้ใจเย็นลง” ชายเดียวโต้
“ผมก็มีเหตุผล”
“ทุกคนมีเหตุผล น่าจะใช้เหตุผลตัดสินไม่ใช่อารมณ์”
“ตัดสินด้วยเหตุผลแล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้”
ชายเดียวนิ่งอั้น รุ้งก็นิ่ง และทุกคนก็นิ่งสนิทไปกันหมด
“ผมขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ วันนี้พี่ฉัตต์อารมณ์ไม่ดี มีแขกด้วย ผมลาก่อนคงได้คุยกันวันหลัง”
ฉัตต์เงียบ สีหน้ายังเข้ม
“ผมแค่มาส่งรุ้งเท่านั้น” หันไปหาบอกลา “รุ้งครับ” น้ำเสียงชายเดียวอ่อนโยนมาก
รุ้งเงยหน้ามองชายเดียว ใบหน้าโศกซึ้ง ชายเดียวก็มองรุ้ง เป็นภาพแสลงตาบาดใจฉัตต์อย่างที่สุด
“ผมส่งรุ้งตรงนี้นะครับ จะทูลท่านแม่ว่ารุ้งจะไปค้างด้วยวันหลัง” ชายเดียวบอก
ฉัตต์สวน “มาส่งทำไม”
ทุกคนหันไปดู
ฉัตต์มองหน้ารุ้ง เห็นสีหน้าตื่นตระหนก ยิ่งยั่วอารมณ์ให้แรงขึ้น
“อยู่วังรังสิยามีความสุขดี ก็อยู่ที่นั่นไปเลยไม่ต้องกลับมา บ้านปัณณธร ไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้”
ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนนิ่งงัน ถ้ามีเข็มสักเล่มตกในห้อง ทุกคนคงได้ยินชัดเจน
สีหน้าทุกคนต่างไปตามอารมณ์ของแต่ละคน สารภีตกใจด้วย
รุ้งมองฉัตต์ นัยน์ตาปวดร้าวมาก แต่ไม่มีน้ำตา ฉัตต์เองตกใจในคำพูดตัวเองเหมือนกัน
“รุ้ง” ฉัตต์หลุดปากเสียงเหมือนกระซิบ
“มากไปแล้วพี่ฉัตต์...มากไปแล้ว”
แล้วชายเดียวก็คว้าข้อมือรุ้ง ดึงเต็มแรง
“ไปรุ้ง...ไปกับผม บ้านปัณณธรไม่ต้อนรับ แต่วังรังสิยาเปิดประตูต้อนรับรุ้งเสมอ”
ชายเดียวดึงมือรุ้งไปทันที ฉัตต์ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น สองคนพี่น้องก็ยืนนิ่งเหมือนกัน
สักครู่ฉัตต์ขยับตัว แต่สีหน้ายังเครียดเข้ม
“ฉัตต์คะ ทำไมฉัตต์โมโหขนาดนี้คะ เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย” พิสินีถาม
“ใช่ เขายังไม่พูดอะไรเลย ขนาดสอบสวนผู้ต้องหา เขายังต้องเปิดให้จำเลยได้พูด คุณคิดว่าคุณเป็นเทพเจ้าชี้เป็นชี้ตายให้คนอื่นได้หรือไง”
ฉัตต์หันมามองปยุต แต่สายตาเหมือนไม่รู้รับ
“ผมทุเรศคุณตั้งแต่วันนั้น แต่ตอนนี้ผมยิ่งทุเรศคุณเพิ่มขึ้น คุณเก่ง คุณยิ่งใหญ่เหลือเกินที่ทำผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่มีทางสู้ ด่าเขา ประนามเขาต่อหน้าคนตั้งหลายคน คุณมันไม่ใช่คน”
พิสินีตกใจ “พี่ยุต”
“พี่ทนอยู่ในบ้านนี้ไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว บัว น้องอยากอยู่ก็อยู่ไป พี่กลับก่อนล่ะ”
ปยุตเดินออก ฉัตต์ยังยืนเหมือนกับรูปปั้น
ปยุตพึมพำต่อว่าน้องสาวด้วยความหงุดหงิด
“ยายบัวเอ๊ย...โง่จริงที่ชอบผู้ชายคนนี้”
แค้นเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในครัวบ้านปัณณธรเวลานั้น ยังไม่รู้เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับรุ้ง ยินเสียงสำเนียงเอ็ดตะโรเอากับพวกคนครัว
“เอ้าเร็วๆ จวนเวลาเปิดร้านรอบเย็นแล้ว เอ๊ะ หม้อแกงมัสมั่นข้าเคี่ยวอยู่ไปไหน”
อ่อนบอก “หนูเอาไปที่ร้านแล้วจ้ะป้า”
“เออ..ดีแล้ว” สำเนียงเดินออกมา “อย่าลืมเชี่ยนหมากข้านะอ่อน”
“อ่อนไปเถอะชั้นเอาไปเอง” สำลีเดินไปแถวๆ ยอดหยิบของ
ยอดทำท่าจะหยิบให้
สำลีถาม “หยิบให้”
ยอดพยักหน้า
“ใจดีจังนะพี่” สำลียิ้มยั่วเย้านิดๆ
ยอดเคลิ้มเล็กๆ สำเนียงมองเห็นอ่อนใจเล็กน้อยหันไปอีกทางเห็นสารภีพรวดเข้า เกือบชน ดีว่าหลบหลีกว่องไวไม่สมกับรูปร่าง
“ขอให้ล้ม..ล้มเลย กะพรวดกะพราดนัก” สำเนียงด่า
สารภีโพล่งขึ้น “คุณฉัตต์ไล่คุณรุ้งออกจากบ้าน”
ทุกคน ตกใจ ยอดตกใจกว่าใคร พุ่งตัวออกไป
สำลีเรียกไว้ “พี่ยอด...จะไปไหน”
ยอดไม่ฟังเสียง ไปทันที
สำเนียงถามย้ำ “สารภี...พูดใหม่ซิ”
สารภีงง “พูดว่าไง”
“ว่าเอ็งพูดเล่น” สำเนียงว่า
“จะพูดได้ไง ก็มันเรื่องจริงป้าเนียง” สารภีบอก
สำเนียงเข่าอ่อนลงนั่ง
“เดี๋ยวพี่สารภี มันเรื่องอะไร อยู่ๆ คุณฉัตต์จะไล่ได้ไง” สำลีว่า
“คุณจันทร์ไม่อยู่ด้วย โธ่เอ๊ยท่านก็ไม่อยู่” สำเนียงบ่น
“แม่ อย่าเพิ่งโอดได้มั้ย...กำลังถาม พี่..ว่าไง”
“ไม่รู้เรื่องเหมือนกันได้ยินแต่เสียง คุณชายมาส่งคุณรุ้ง คุณฉัตต์ของขึ้นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ได้ยินเสียงไล่ คุณบัวก็อยู่ด้วยนะ” สารภีว่า
“ใคร..คุณบัว” สำเนียงสงสัย
“คู่รักคุณฉัตต์มาจากเมืองนอกด้วยกัน”สารภีบอก
สำลีคาใจ “เอ๊ะ ก็คู่รักอยู่ทำไมถึงจะอารมณ์เสีย จะว่าคุณรุ้งไปยั่วโมโหอะไร คุณรุ้งเคยซะที่ไหน กลัวหงอตั้งแต่เด็กแล้ว”
ยอดวิ่งหน้าเริ่ดมาหน้าตึกใหญ่ แต่หน้าเรือนว่างเปล่าไม่มีใคร ยอดยืนหน้าเสีย ใจเป็นห่วงคุณหญิงวิมลโพยมของมัน หันไปหันมาทำอะไรไม่ถูก
ด้านศักดินาเดินนำเข้ามาในห้องโถงวังรังสิยา รุ้งเดินตาม
“นั่งก่อนรุ้ง” ศักดินาหันไปมอง เห็นรุ้งยืนหน้าซีดหมดสีเลือด
“รุ้ง...” ศักดินาปราดเข้ามาโดยเร็ว “เป็นอะไร”
รุ้งมีอาการเหมือนจะเป็นลม แต่พยายามทรงตัวด้วยใจที่ฝืนมาอย่างหนัก ชายเดียวจูงมา จัดให้นั่งคว้ามือแตะชีพจร อย่างหมอที่ชำนาญ แตะไปพูดไป
“นอนดีกว่า นอนหัวราบๆ” ชายเดียวประคองลง
รุ้งแตะมือชายเดียว ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“ทำใจสบายๆ อย่าเพิ่งคิดอะไร มีเวลาที่จะเสียใจอีกมาก”
รุ้งมองหน้าทันที “ทำไมหรือคะคุณชาย ทำไมเป็นอย่างนี้”
“ผมก็เดาไม่ถูก ทำไมพี่ฉัตต์ต้องโกรธถึงกับต้องไล่ เรื่องทั้งหมดพูดกันได้นี่..เรื่องคุณลุงก็คุณลุงเป็นคนสั่งเอง ใครจะขัดคำสั่งได้ล่ะ”
“ไม่ทราบแม่กับคุณย่าจะกลับเมื่อไหร่”
“นั่นสิ เขาก็ควรรอพูดกับผู้ใหญ่ก่อน วู่วามแบบนี้ยังกับไม่ใช่พี่ฉัตต์คนเดิม”
“รุ้งควรจะทำยังไงต่อไป”
“ยังไม่ต้องทำอะไรก็อยู่ที่นี่ไปก่อน”
“ไม่ได้ค่ะ...แม่ไม่ให้อยู่อย่างแน่นอน”
“ทำไม” ชายเดียวถามทันที
รุ้งนิ่งอึ้ง
“คุณน้าจันทร์รังเกียจอะไรที่นี่”
“ไม่...ไม่ใช่ค่ะ”
“แต่รุ้งบอกคุณน้าจะไม่ให้อยู่แน่ๆ คุณน้าไม่ชอบอะไรที่นี่ ไม่ชอบท่านแม่หรือ”
รุ้งตอบอย่างรวดเร็ว “เปล่าค่ะคุณชาย แต่แม่คงไม่อยากให้รุ้งรบกวน”
“ถ้าคุณน้าไม่อยากรบกวน คุณน้าจะทำยังไง”
รุ้งมองด้วยสายตาอับจนหนทาง
“จะพารุ้งไปอยู่ที่ไหน” ชายเดียวถาม
รุ้งสะอื้นออกมาทันที
“คุณย่าจะยอมให้ลูกสาวกับหลานสาวระเหเร่ร่อนไปไหน คุณย่าก็ต้องพูดกับหลานชายจนได้ ไม่ต้องกลัวหรอกรุ้ง”
รุ้งจ้องหน้าชายเดียว พร้อมทั้งตอบในใจ
“ไม่มีใครทัดทานคุณฉัตต์ได้ เขาเป็นเจ้าของบ้าน รุ้งไม่มีวันอยู่กับเขาอีกต่อไป”
“รุ้ง...”
รุ้งบอกตัวเองในใจ “เขาเกลียดรุ้งมากเกลียดมาตลอดชีวิตของเขา รุ้งผิดเองที่ไปวุ่นวายก้าวก่ายใน
ชีวิตของเขา”
“รุ้ง...นอน...นอนเดี๋ยวนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ...”
ชายเดียวจับตัวรุ้งลงนอน นุ่มนวลอ่อนโยนมาก
“นอนซะคนดี ไม่มีอะไรร้ายแรงจนแก้ไม่ได้ ทุกปัญหาต้องมีทางออก”
รุ้งพยักหน้า น้ำตาเริ่มซึมออกมา ด้วยความซาบซึ้งใจ
“รุ้งเป็นคนดีที่สุดที่ผมเคยรู้จัก อย่าคิดว่าตัวเองไม่ดีเขาถึงมาขับไล่ วันนี้เขาเข้าใจผิด วันหนึ่งเขาก็รู้ความจริง รุ้งมีความจริงอยู่ในมือ ไม่ต้องกลัว”
รุ้งสะอื้นอย่างอดไม่ไหวในน้ำคำปลอบประโลมที่อ่อนโยนนั้น
ชายเดียวไล้น้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้าพี่ฉัตต์รู้ความจริงแล้วยังคิดอย่างเดิมก็ให้เขาคิดไป ถึงตอนนั้นรุ้งคงรู้แล้วว่าต้องทำยังไง ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดไปไกล”
รุ้งพยักหน้า กล้ำกลืนน้ำตา
“ผมไปทูลท่านแม่ก่อน”
ชายเดียวเดินออกไป ยินเสียงเรียก ผ่อง...ผ่อง...ผ่อง เบาๆ
แล้วเดินผ่านไป ทอแสงรัศมียืนแอบอยู่ได้ยินหมดทุกอย่าง สะใจ หญิงทอแสงพึมพำคนเดียวในลำคอ
“ถูกไล่ออกมาแล้ว สะใจ”
ท่านหญิงยืนอยู่ตรงหน้าพระรูปท่านชายรังสิโยภาสในห้องทรงงาน มองหน้าท่านชายนิ่งๆ นึกถึงเรื่องในอดีต
“ถึงพี่จะมีบุหลันแต่พี่ก็รักหญิง”
ท่านหญิงยิ้มหยันๆนิดๆ “รักผู้หญิงสองคนในเวลาเดียวกัน”
“หญิงแขไข พี่รู้ดีว่าพี่ทำร้ายจิตใจเธอ พี่ขอโทษ”
“ความรักอยู่ใกล้เหลือเกินกับความแค้น รักมากแค่ไหนก็แค้นมากเท่านั้น”
ท่านหญิง พยายามกล้ำกลืนความเสียใจที่ยังเต็มหัวใจดวงนี้
“เวลาผ่านไปนานมาก แต่หญิงยังเสียใจอยู่ ความแค้นหมดไปแล้วมีแต่ความเสียใจ คงจะเสียใจไปจนตาย”
ท่านหญิงมองจ้องใบหน้าท่านชายในรูปแน่วนิ่ง เน้นที่นัยน์ตาท่านชาย
“เจ้าพี่ห่วงชายเดียว...ไม่ต้องห่วงนะคะ หญิงเลี้ยงมาหญิงก็รักเหมือนเป็นลูกหญิงเหมือนกัน หญิงไม่ใจร้ายกับเชื้อสายรังสิยาหรอกค่ะ เขาน่าสงสารกำพร้าทั้งพ่อทั้งแม่” สายาตาวาววาบ ฉุกใจคิด “กำพร้าแม่หรือ...”
ท่านหญิงมานั่งเก้าอี้ นัยน์ตาใคร่ครวญอย่างหนัก เสียงทะเลาะกับนางเฟืองเรื่องบุหลันกับจันทร์ดังขึ้นมา
“มันตายแล้วมังคะ ไม่มีเสี้ยนหนามอีกต่อไป”
“เฟืองรู้ได้ยังไงว่าเขาตาย”
“ถ้ามันยังไม่ตายมันก็ต้องกลับมาหาลูกมันสิมังคะ”
ท่านหญิงพึมพำ “คนเราจะเหมือนกันขนาดนี้รึ” แล้วเริ่มเสียงดังขึ้น “ถ้าเฟืองตอบหญิงได้ หญิงถึงจะเชื่อว่าเขาตายแล้ว...เฟือง...เฟือง”
เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบจากนางเฟือง แต่มีเสียงเคาะประตู
“ใคร”
“ชายเองค่ะท่านแม่”
ส่วนที่โถงชั้นล่างวังรังสิยา รุ้งนั่งนิ่งสนิท นัยน์ตาชอกช้ำแต่ไม่มีน้ำตา เสียงฉัตต์ดังขึ้นอีก
“บ้านปัณณธรไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้”
รุ้งกล้ำกลืน พยายามทำใจให้เข้มแข็ง
ผ่องออกมา “คุณรุ้งคะ” ถือถ้วยชาร้อนๆมาด้วย
รุ้งไหว้ผ่อง “ป้าผ่อง”
“คุณชายให้อิฉันมาอยู่กับคุณรุ้งคะ” ผ่องวางถ้วยน้ำชา “คุณชายเฝ้าท่านหญิงอยู่ค่ะ”
รุ้งสีหน้าวิตก
“ไม่ต้องกลัวค่ะ ท่านหญิงทรงเมตตาคุณรุ้ง” ผ่องบอก
2 แม่ลูกอยู่ในห้องทำงานท่านชายรังสิโยภาส เวลาต่อเนื่อง
“ท่านแม่จะโปรดให้รุ้งอยู่ที่นี่ได้มั้ยคะ” ศักดินาเอ่ยขึ้น
ท่านหญิง...นิ่งอึ้งไป ด้วยความอึดอัดในพระทัย ไม่รู้ว่าจะคิดยังไงดี
ชายเดียวหน้าเสีย เห็นท่านหญิงนิ่ง “ท่านแม่...ไม่ได้หรือคะ”
“ทำไมถึงกับต้องไล่ เขาเป็นพี่น้องกันไม่ใช่รึ”
“พี่ฉัตต์โกรธที่ไม่บอกเรื่องคุณลุงพจน์ กับไม่บอกเรื่องทำร้านอาหาร”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตทำไมถึงต้องไล่ออกจากบ้าน รุ้งเป็นน้องสาวนะเป็นลูกของน้องสาวพ่อไม่ใช่ใครที่ไหน”
“เรื่องนั้นชายไม่ทราบค่ะ แต่ชายอยู่ด้วยตอนพี่ฉัตต์ไล่รุ้ง”
“แม่ว่าแปลกดี”
ชายเดียวมองท่านหญิง สีหน้าไม่ดี
“ชายอย่ามองแม่อย่างนั้น แม่เป็นผู้ใหญ่ต้องคิดมาก บางทีเราอาจจะเข้าไปยุ่งในเรื่องของครอบครัวเขาเกินไปมันไม่เหมาะ”
“รุ้งไม่มีที่ไป”
“เขาเป็นลูกหลานของบ้านนั้น ใครจะขับไล่ไสส่งกันจริงๆจังๆ ก็แค่อารมณ์ เว้นไว้แต่จะไม่ใช่ลูกหลานเท่านั้น”
ชายเดียวมองท่านหญิง หน้าพิศวง
“มองแม่ทำไม”
“ทำไมท่านแม่คิดว่ารุ้งไม่ใช่ลูกหลานล่ะคะ”
“แม่พูดไปตามเหตุผล เอาล่ะ ชายไปพารุ้งมาหาแม่เถอะ”
“ที่นี่หรือคะ ท่านแม่ให้เข้ามาเฝ้าห้องนี้หรือคะ”
“จ้ะ ห้องนี้...ท่านพ่อจะได้ทรงรับรู้ด้วย”
ฉัตต์นั่งเงียบ สีหน้าเครียดเคร่ง พิสินี อยู่มุมห้อง ถือหนังสือเล่มหนึ่งในมือ เปิดดูเล่นๆ และชำเลืองมองฉัตต์ตลอด ส่วนฉัตต์นั้นอารมณ์ขุ่นมัว คิดวนเวียนแค้นเคืองกับเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะในวันนี้
ตั้งแต่ตอนตัวฉัตต์เอง ยืนต่อหน้ารูปภาพของพจน์ เสียใจมาก ภาพร้านอาหาร มีคนมาทานเยอะ คนเสิฟเดินเสิร์ฟ เห็นรุ้งในความคิดว่า พูดคุยกับแขกท่าทาง ไฮโซ รุ้งทำท่าเป็นเจ้าของร้าน
และภาพรุ้งเข้ามากับชายเดียว สองคนจูงมือกัน
สุดท้ายภาพความคิดเป็นตอนชายเดียวประกาศก้องว่า วังรังสิยาต้อนรับรุ้ง
พิสินีเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ จับมือสองข้างของฉัตต์อย่างปลอบประโลม “ฉัตต์..พักผ่อนนะคะ บัวกลัวล่ะค่ะ”
“ขอบคุณ”
“บัวจะโทรเรียกพี่ยุตมารับ ป่านนี้คงสงบแล้ว”
“ไม่เป็นไรผมจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉัตต์พักผ่อนนะคะ ไปทางไหนบัวพาไป” จูงมือฉัตต์ไป “ข้างล่างหรือข้างบนคะ..บ้านฉัตต์ดี๊ดีนะคะ เย็นสบายน่าอยู่จัง
“ชอบเหรอ”
“ค่ะ บ้านโบราณน่าจะ...กี่ปี” พิสินีชะงักเพราะฉัตต์สวนคำเหมือนไม่ฟังที่หล่อนพูดเลย
“ชอบก็มาอยู่สิ”
พิสินีชะงักกึก หน้าตกใจเล็กๆ “ยังไงคะ บัวจะมาอยู่ได้ยังไง.. ตลกแล้ว...ไป...ทางไหนคะ” ฉวยแขนฉัตต์ดึงไปอย่างตื่นเต้น
ฉัตต์ดึงตัวเองไว้ “ผมอนุญาตอยู่นี่ไง ..มาเถอะมาเลย เราแต่งงานกัน คุณก็มาอยู่นี่”
พิสินีเบิกตากว้าง จ้องหน้าฉัตต์
“คุณชอบผมไม่ใช่หรือ”
“ฉัตต์...”
“ผมควรแต่งงานกับคนที่รักผม คุณจะแต่งงานกับผมมั้ยพิสินี”
ต่างคนต่างจ้องกัน
รุ้งหมอบกราบท่านหญิงแขไขเจิดจรัส สีหน้าท่านหญิง มองจ้องด้วยสายตาใคร่ครวญครุ่นคิด รุ้งเงยหน้า ยิ้มบางๆ กับท่านหญิง
“อยู่ที่นี่ไปก่อนฉันอนุญาต จะไม่ถามให้มากเรื่องกว่ามีเรื่องอะไร แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่ต่อไปคงต้องคุยกันกับคุณหญิงและแม่ของเธอ”
“มังคะ เป็นพระกรุณามังคะ” สีหน้ารุ้งนิ่งสงบ
“ชายกลับได้แล้ว สอบอีกกี่วันเสร็จ”
“อีกวันเดียวค่ะ ก็ปิดเทอมแล้ว สอบมะรืนนี้”
ท่านหญิงพยักหน้าให้ชายกลับได้
ชายเดียวเข้าไปกอดท่านแม่ จูบเบาๆ ที่แก้ม แล้วหันมาทางรุ้ง พยักหน้าให้กำลังใจ
รุ้งไหว้ “ขอบคุณค่ะคุณชาย”
“ผมสอบเสร็จจะรีบกลับมา” ชายเดียวแตะมือรุ้งเบาๆ ท่าทีสุภาพ “อยู่กับท่านแม่ไม่ต้องกลัว
รุ้งพึมพำ “ขอบคุณ” ท่านหญิงมองภาพนั้นอย่างเพ่งเล็ง
“รุ้ง...มากราบท่านพ่อของชายเดียว ขออนุญาตท่านว่าจะมาอยู่”
รุ้งกราบลง ท่านหญิงแขไขมองด้วยสายตาใคร่ครวญตริตรอง รุ้งเงยหน้าพนมมือ นัยน์ตามองที่พักตร์ท่านชาย ท่านหญิงจ้องรุ้งเอาๆ
รุ้งลดมือที่พนม สายสร้อยและจี้เห็นถนัด เพิ่งหลุดจากคอเสื้อตอนกราบ ท่านหญิงตกตะลึงอย่างแรง มองจ้องที่จี้
รุ้งจับจี้ “มังคะ” เสียงเป็นเชิงถาม
“ขอดูหน่อย เหรียญอะไรแปลกดี ไม่ต้องถอดหรอก มาตรงนี้”
รุ้งเขยิบเข้าไปใกล้ ท่านหญิงหยิบเหรียญมาดู สีพระพักตร์ซีดเผือด
“ใครให้เหรียญนี่”
“แม่เพิ่งให้มังคะ”
“แม่ซื้อมาหรือ”
“ไม่ได้ซื้อมังคะ แม่บอกว่าเป็นของพ่อให้ไว้มังคะ ตั้งแต่รุ้งเกิด”
“เธอเกิดวันอะไรหรือรุ้ง”
ท่านหญิงเปิดประตูเข้ามาเต็มแรง เดินเร็วๆ เข้ามา เหวี่ยงประตูปิดแล้วยืนเคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูกภาพเหรียญที่คอรุ้งลอยเด่นอยู่ในความคิด
ท่านหญิงสับสนยิ่งนัก ยืนไม่ไหวต้องเดินเซไปนั่ง
“เฟือง...เฟืองอยู่ที่ไหน”
ผ่องเปิดประตูห้องนอนแขกที่วังรังสิยา “อยู่ห้องนี้ค่ะ” แล้ววางเสื้อ “เสื้อผ้าใส่นอน ห้องน้ำอยู่ข้างนอกนะคะ”
“ขอบคุณค่ะป้าผ่อง” รุ้งไหว้ขอบคุณ
“อุ้ย อย่าไหว้อิฉันค่ะ คุณเป็นเพื่อนคุณชาย อิฉันเป็นบ่าวค่ะ”
“ป้าผ่องเป็นผู้ใหญ่ค่ะ จัดห้องให้รุ้งด้วยใช่มั้ยคะ”
“ค่ะ อิฉันจัดให้ พรุ่งนี้คุณรุ้งไปทำงานให้สนไปส่งนะคะ ท่านหญิงทรงสั่งไว้ให้ไปรับตอนเลิกงานด้วยค่ะ”
“รุ้งไปเองค่ะป้าผ่อง ไม่ต้องรบกวนลุงสน”
“อย่าขัดพระทัยค่ะ อย่าขัดพระทัย” ผ่องว่า
ฉัตต์เปิดประตูห้องกวาดตามอง ทุกอย่างเรียบร้อยมาก ฉัตต์ยืนจ้องแล้วคิดถึงรุ้ง ใบหน้ารุ้งยิ้มแย้มสดชื่น แจ่มใส หัวเราะ หัวใคร่สนุกสนาน และภาพที่รุ้งกลัวฉัตต์คอยหลบตา และเถียงฉัตต์หลายๆอิริยาบถ ที่ประจันกับฉัตต์ สุดท้ายจบลงที่ภาพรุ้งจูงมือกับชายเดียว เข้ามาในห้องวันนี้
ฉัตต์เดินไปหยิบรูปรุ้ง คว่ำลงอย่างแรง แล้วเดินออกจากห้องทันที ปิดประตูดังเปรี้ยง
รุ้งนอนลืมตามองเพดานมุ้งหน้ามืดสนิท เสียงฉัตต์ที่ไล่รุ้งวันนี้ดังก้องขึ้นในความมืด
“บ้านปัณณธรไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้”
รุ้งกัดฟันแน่น พยายามจะไม่ร้องไห้ แต่สุดท้ายไม่ไหว พลิกหน้าซบกับหมอนน้ำตาไหลเป็นทาง
ฉัตต์เดินปังๆ ลงบันไดมาในห้องโถงอย่างเร็ว เจอยอดที่ยืนละล้าละลังอยู่ หลบวูบ
“ไอ้ยอด...มานี่”
ยอดหันกลับมาหน้าเฉยนิ่ง
“แกจะว่ายังไงก็ว่ามา”
ยอดยังยืนเฉย
“เข้ามาทำไมแกมีหน้าที่อะไรข้างในบ้าน”
ยอดนิ่ง
“พูดออกมาสิวะ แกพูดได้ฉันรู้อย่ามาตบตาฉันเลย”
ยอดส่ายหน้า
“แกมันก็พวกหลอกลวงเหมือนกัน แกทุกคนหลอกฉัน พ่อฉันเจ็บไม่มีใครบอกจนท่านตาย พวกแกคิดถึงใจฉันบ้างมั้ย”
ยอดทำท่าว่าพูดอะไรไม่ถูก
“พวกแกมาเอาบ้านฉันเป็นร้านอาหาร ให้คนเข้ามาเหยียบมาย่ำรอยเท้าเป็นเทือก” ฉัตต์หมายถึงทำให้บ้านเขาเลอะเทอะ “บ้านฉันเป็นที่สาธารณะงั้นรึ ร้านอาหารใหญ่โตขายดิบขายดี แต่ฉันไม่เคยเห็นซักบาท ใครกอบใครโกยเข้าพกเข้าห่อ ทำท่าเป็นเจ้าของร้านที่แท้พวกแกเป็นใครล่ะ ก็พวกมาจากน้ำซมซานมาให้ย่าฉันพ่อฉันเลี้ยง คิดจะหมายสูงงั้นรึ อยากเป็นคุณนาย ไม่ต้องมามองหน้าฉันไอ้ยอด ฉันว่านายแกนั่นแหละ” พูดไปเคียดแค้นมากขึ้นทุกที “ตัวแกด้วยฉันรู้ แกไม่ได้เป็นใบ้แกพูดได้แกแกล้งทำเป็นใบ้ทำไม...ห๊ะ”
ฉัตต์ทนไม่ไหว ปราดเข้าหายอด แล้วชกเต็มแรง ยอดกระเด็นไป ฉัตต์ตามไปกระชากคอขึ้นมา แล้วซัดเข้าไปอีก 2-3 ที ยอดไม่สู้เลย ฟุบไป แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเลือดไหลเต็มปาก นัยน์ตาพยายามบอกว่าไม่จริง
“แกไป...ไปให้พ้นหน้าฉัน อย่ามาให้ฉันเห็นอีกจะเจ็บยิ่งกว่านี้...ไปสิวะ ยังจะมองอะไร
ยอดยอมไป
ฉัตต์ด่าอย่างคั่งแค้น “เลว เลวทั้งแม่ทั้งลูก”
ยอดเดินซมซานมาที่ประตูรั้วบ้านปัณณธรด้วยความเจ็บปวด สีหน้าวิตกเกาะประตูรอคอยจันทร์
“พี่ยอด” เสียงสำลีเรียก
ยอดหันมา
“โธ่เอ๋ย...โดนคุณฉัตต์ซ้อมใช่มั้ย เรื่องอะไรนะเนี่ย”
ยอดส่ายหน้าเป็นเชิงว่าอย่าว่าฉัตต์
“เขารู้กันหมดแล้ว ลุงแนบแกได้ยินแกไปบอกพวกในครัวฉันถึงรีบออกมาหาพี่”
ยอดทำท่าเดี๋ยวแม่ว่าเอา
“แม่เหรอ” ยอดพยักหน้า “ใครกลัวแกล่ะ...พี่กลัวเหรอ”
ยอดพยักหน้า
“กลัวก็อย่ามาพูดกะฉัน”
ยอดก้มหน้า
“มาทำอะไรตรงนี้”
ยอดทำท่าชะเง้อคอย
“คอยคุณจันทร์เหรอ กลับพรุ่งนี้ พี่จะคอยทำไม ไปเถอะพี่ ฉันจะทำแผลให้”
ยอดส่ายหน้า นัยน์ตาวิตกกังวลสุดขีด ลงนั่งเกาะรั้วมองไปข้างนอกท่าทางน่าสงสาร
“เอา...คอยก็คอยชั้นคอยด้วย”
ยอดส่ายมือว่าอย่า แล้วตบยุงแรงๆ ทำท่าว่ายุงเยอะ
“เอ้า...พี่คอย ยุงไม่กัดพี่เหรอ”
ยอดมองสำลีนิ่งๆ สายตาบ่งบอก สำลีมองหน้าดุๆ นิดๆ เย้าหน่อยๆ แล้วยอดลุกขึ้น ยื่นมือให้สำลี จับลุกขึ้นเดินไปด้วยกัน
ทอแสงรัศมีเคาะประตูห้องบรรทมเบาๆ แต่เงียบ หญิงทอแสงเคาะดังขึ้นนิด
“ไม่เอาอะไรแล้วผ่องแกไปนอนได้” เสียงท่านหญิงแขไขดังออกมา
ทอแสงรัศมี “หญิงเองค่ะ”
ท่านหญิงนิ่งเงียบ
“ท่านป้า”
“หญิงทอแสงไปนอน อย่ารบกวนป้า”
“แต่ว่า...”
ท่านหญิงแขไขกระแทกลิ้นชักเต็มแรง
“บอกให้ไป...ไป๊”
ทอแสงรัศมีวิ่งลงมาที่หน้าตึก น้ำตาไหลอาบหน้า ยืนสักครู่ทำท่าจะวิ่งลงบันไดไป
“คุณหญิงจะไปไหน” ผีนางเฟืองเอ่ยขึ้น
หญิงทอแสงเหลียวขวับมาดู “ใคร”
“จะไปไหนคะ”
“แกเป็นใคร” หญิงทอแสงเพ่งมองจำได้ “อ๋อ ข้าหลวงแก่คนนั้นน่ะเอง”
“จะไปไหนคะ”
“เอ๊ะ..จะบ้าเหรอ ถามอยู่คำเดียว ชั้นจะกลับวัง”
“กลับได้ยังไงคะ นี่มันดึกแล้ว”
“ท่านป้าไล่” ทอแสงรัศมีเสียงสะอื้นด้วยความน้อยใจ “ไล่ฉันเหมือนตัวอะไรไม่รู้”
“ไม่เห็นเป็นเรื่อง...แค่นี้เอง ขึ้นตำหนักเถอะค่ะ”
“เอ๊ะ เรื่องอะไรแกมาว่าชั้น แกไม่ใช่คนโดนไล่นี่แกจะรู้อะไร”
“อิฉันโดนค่ะ โดนไล่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้ไปเกิ...” นางผีร้ายจะหลุดคำว่าเกิด
“ไปไหนนะ”
“แต่ไล่ยังไงอิฉันก็ไม่ไป อิฉันรักท่าน มีความรักเราทนได้ทุกอย่าง”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าทอแสงเต็มแรง
“ถ้าจะรักต้องอดทนเจ้าค่ะ อดทนไว้แล้วจะมีหนทาง”
หญิงทอแสงฟังอย่างเสียไม่ได้ เดินไปทันที
“มี...หน...ทาง” เสียงนางเฟืองแหบพร่า
ฟากท่านหญิงอยู่ในห้องบรรทมแล้ว เรียกนางเฟืองให้ออกมา
“เฟือง..มานี่เดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย..ฉันบอกให้ออกมา เราต้องพูดกัน” เดินไปทั่วห้องจนอ่อนใจ ลงนั่งกระแทกตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างแรง
“เขาคือบุหลันจริงๆ เขามาแล้ว ฉันจะทำยังไงดี ชายเดียว..มันจะมาเอาชายเดียวไปจากหญิงนะเฟืองอยู่ไหนมาช่วยกันคิดสิ” พูดแล้วลุกขึ้นอย่างแรง ด้วยโทสะ
“ไหนว่ามันตายไง..ฮะ...เฟือง”
แค้นเสน่หา ตอนที่ 11 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ในครัววังรังสิยา สาลี่กำลังตักกับข้าวจากหม้อแกง คนอื่นๆ ล้อมวงกินข้าว สนรีบกิน
“เอ้า...” สาลี่วางชามแกง “ตาสน จะรีบไปไหนนั่นน่ะ”
“ไปส่งคุณรุ้งไปทำงาน ป่านนี้เธอเสร็จแล้วมั้ง” สนบอก
“ว๊าย...แล้วเธอรับทานอะไรเนี้ย ตายจริงกูลืมไปสนิท”
สาลี่หมุนตัวกลับไป หยิบจานชามรวดเร็ว
ผ่องดื่มน้ำ “อาจจะไม่รับก็ได้ เดี๋ยวฉันไปถามให้ พี่ลี่ให้พิกุลยกตามไปนะ” ผ่องรีบออกไปเร็วรี่
“ลุงสน เหลืออีกสองคำกินให้หมดสิ” พิกุลบอก
“ไม่ทันแล้ว” สนไป อย่างไว
“เอ้า...แล้วให้ยกสำรับให้คุณรุ้งรึเปล่าล่ะ หรือจะรอพี่ผ่องถามก่อน” พิกุลหันกลับมา
สาลี่ยืนถือสำรับคอยอยู่
พิกุลถาม “เอาไงป้า”
“ข้าไม่เอาไง ข้าจะกินข้าว เอ็งน่ะยกไปเร็วๆ เลย”
“ได้...ได้ ไปเดี๋ยวนี้” พิกุลรับถาดไปแล้ว
ละมัยวิ่งมาแต่ไกล
พิกุลเห็น “นั่น ละมัยมาเร่งแล้ว...ไปเดี๋ยวนี้”
“ป้าผ่องให้มาบอกป้าสาลี่ว่าคุณรุ้งไม่รับทาน กำลังจะไป” ละมัยบอก
รุ้งเดินรีบๆ จะออกจากห้อง ผ่องเดินตามเร็วๆ เหมือนกัน
“ไม่ค่ะ...ไม่ รุ้งไปเองไม่ต้องไปส่ง”
“ท่านรับสั่งไว้แล้วไม่ได้หรอกค่ะ คุณเป็นเด็ก อย่าขัดพระทัยเลย ท่านทรงเมตตาคุณ”
“รุ้งออกเวรแล้วจะไปที่ร้านก่อนค่ะ ไม่ต้องให้ลุงสนไปรับหรอกค่ะป้าผ่องต้องไปเอาเสื้อด้วย”
“กลับไปร้านอ้าว...คุณไม่ได้ถูก...เอ้อ”
“ใช่ค่ะ เขาไล่รุ้ง แต่ที่ร้านอาหารรุ้งต้องไปดูค่ะ ไม่งั้นจะยุ่งกันใหญ่เพราะแม่จันทร์ไม่อยู่”
รุ้งเดินเข้ามาในโรงพยาบาลเร็วรี่ มีข้าวของถือมาด้วย ฉัตต์ซึ่งรออยู่นานแล้วมองตาม แต่ร่างกายไม่ขยับ นั่งนิ่งตัวตรง มีแต่นัยน์ตาเท่านั้นที่มองตามอย่างเกลียดชังจนรุ้งลับตัวไป ฉัตต์ลดระดับความเกลียดชังมาเป็นอารมณ์ธรรมดา สายตาตรึกตรองมาก แล้วลุกขึ้นจะเดินออก
รุ้งเดินเร็วๆออกมาอีกที มุ่งหน้าจะไปที่หนึ่ง โดยไม่มีข้าวของในมือแล้ว
ฉัตต์เบรกพรืด ถอยไปจนอะไรตรงนั้นหล่นดังโครมคราม คนทั้งห้อง หันมาดูเป็นตาเดียว รวมทั้งรุ้งด้วย ตาต่อตา สบกันเต็มแรง
“คุณฉัตต์” รุ้งเดินเข้าไปหา ยืนประจันหน้ากัน ไหว้สวยๆ
ฉัตต์ได้แต่มอง ไม่รับไหว้
“ไม่...ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“เรามีเรื่องต้องพูดกัน”
“ค่ะ”
“จะพูดกันสองคน หรือจะให้แม่ของเธออยู่ด้วย”
“เรื่องที่คุณฉัตต์จะพูดเกี่ยวข้องกับแม่หรือเปล่าคะ” รุ้งย้อน
“ถามทำไม ไม่รู้หรือว่าพวกเธอเกี่ยวทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่พวกเธอมันคงไม่เป็นอย่างนี้หรอก”
รุ้งสะท้อนใจ มองเข้าไปในดวงตาของฉัตต์ เห็นแต่แววของความเกลียดชัง
“ว่าไง”
“ค่ะ”
“หมายความว่าไง...ค่ะ” ฉัตต์ถามเสียงเข้ม
“หมายความว่าคุณฉัตต์ต้องการอะไร คุณฉัตต์จะได้ทุกอย่าง”
ฉัตต์เถียงไม่ถูก เหลือบชำเลืองไปรอบๆ คนนิ่งฟังกันตาแป๋ว
“ไปทางโน้น” ฉัตต์คว้าข้อมือดึงไป
ตรงบริเวณลับตาคน เป็นมุมสวนสวยมีต้นไม้ร่มรื่น ฉัตต์จูงรุ้งมาอย่างเร็วในลบริเวณนั้น มาถึงเห็นมือรุ้งในมือตัวเอง ก็สะบัดเต็มแรง จนรุ้งแทบคะมำ
“ทำไมคุณฉัตต์ต้องทำอย่างนี้คะ”
“ทำเป็นไม่รู้”
“รุ้งไม่ทราบจริงๆค่ะ”
“อย่าพูดแก้ตัวฉันไม่อยากฟัง จนขนาดนี้ยังไม่รู้ว่าความผิดของตัวเองคืออะไรมันจะไม่โง่ไปหน่อยหรือ”
รุ้งถอนใจยาว ส่ายหน้าไปมาเหมือนกำลังพูดกับเด็กเกเร
“อย่าทำท่าเหมือนฉันพูดไม่รู้เรื่อง” พูดแล้วยิ่งอัดอั้นขึ้นมาในอกอีก “ถ้าเธอจากบ้านไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว” ถึงตอนนี้เสียงฉัตต์สั่นด้วยความสะเทือนใจ “กลับมาบ้าน..พ่อตาย บ้านกลายเป็นร้านอาหารมีคนสารพัดแบบมาเดินเหยียบย่ำจนเป็นรอยเต็มไปหมดเธอจะรู้สึกยังไง”
“รุ้งทราบ..” รุ้งยังไม่ทันพูดจบ ฉัตต์เลยทันที
“เธอจะรู้สึกยังไงก็ตาม ฉันจะไม่ทำท่าเวทนาเธออย่างนี้หรอก”
รุ้งไหว้พลางบอก “รุ้งไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น รุ้งขอโทษค่ะ” สายตาที่มองอีกฝ่ายเศร้านิ่ง
ฉัตต์เกือบใจอ่อน มองแล้วใจหวั่นไหว
“รุ้งว่าเราต้องพูดกันยาว วันนี้รุ้งจะไปทำงานที่ร้านค่ะ แล้วค่อยพูดกันได้มั้ยคะ”
“ยังจะมีหน้าไปร้านนั่นอีกหรือคิดว่าเป็นเจ้าของรึไง”
รุ้งพยายามสะกดความรู้สึก “แม่ไม่อยู่ ร้านไม่มีคนดูจะยุ่งมากค่ะ”
“มันจะยุ่งมากกว่านั้นอีก เพราะฉันจะปิดมัน ไม่มีการขายอาหารอีกต่อไป ปิดไปตลอด”
ฉัตต์พูดแล้วเดินไปทันที
“คุณฉัตต์” รุ้งวิ่งตาม “เดี๋ยวค่ะคุณฉัตต์”
หลายคนที่เดินผ่านสวนมา มองเป็นตาเดียว รุ้งหยุดชะงัก
เกดเดินมาอีกทาง “รุ้ง คนไข้คนนั้นเขาจะ discharge แล้วนะ เขาอยากพบรุ้งแน่ะ”
รุ้งมองตามฉัตต์ ที่เดินไปไกลแล้วเหมือนมีแม่เหล็กดึงดูด ฉัตต์หันกลับมา จ้องมองกัน แล้วอึดใจเดียวฉัตต์หันกลับเดินลับหายไปเกดไม่เห็นฉัตต์ รุ้งยืนอึ้งคาที่
“รุ้ง...ไหนว่าจะไปซื้อของ...เป็นอะไรไป…รุ้ง”
ภายในห้องพักคนไข้ที่ถูกรถชน หมอ กับพยาบาลคนหนึ่งคอยจดที่หมอพูดคุยเรื่องอาการกับคนไข้ ซึ่งไหว้ขอบคุณหมอ
“ขอบคุณครับหมอ”
“ครับ..ต่อไประวังตัวด้วยจะข้ามถนนดูซ้ายดูขวาให้ดี”
“ครับ”
“อีก 7 วันมาตัดไหม ตอนนี้ระวังอย่าให้กระเทือนมากเดี๋ยวแผลจะแยก”
“ครับ”
“หมอจะสั่งยากลับบ้านให้ ทานยาให้ครบอย่าลืมล่ะครับ”
“พยาบาลคนนั้นอยู่ไหนครับหมอ”
“พยาบาล...ใคร?”
“คนสวย”
“พยาบาลที่นี่สวยทุกคน ขี้เหร่เราไม่รับครับ” หมอพูดเสียงขำๆ
พยาบาลอายเล็กๆ ทำหน้าตาน่าขำมาก
“เอ...ก็มีนี่ครับขี้เหร่น่ะ”
หมองงๆ แล้วนึกออกทันที หันมามองหัวเราะเบาๆ
พยาบาลขี้เหร่ ค้อนคนไข้ แล้วสะบัวเดินเชิดไปทันที รุ้งสวนเข้ามาพอดี
“นี่ไงพยาบาลคนนั้น” คนไข้บอก
“อ๋อ คนนี้เหรอ คนนี้ไม่ค่อยสวย เนี่ย ขี่เหร่ที่สุดที่เรารับมา”
หมอหันมายิ้มกับรุ้ง บอกเบาๆ ว่าวันนี้ออกได้แล้ว
“ค่ะ”
หมอออกไป รุ้งปรับหน้าปกติเข้าไปหาคนไข้
“หนูเป็นอะไรหรือ”
รุ้งฝืนยิ้ม “เปล่าค่ะ กลับบ้านแล้วนะคะวันนี้”
คนไข้ชายพิศดู
“หนู..มีคนทำให้หนูไม่สบายใจ แต่หนูเป็นคนดีไม่มีใครทำอะไรหนูได้ ในที่สุดความดีจะชนะทุกอย่างเชื่อผมนะ ผมเคยเจอมาเยอะ”
พิกุลยกถาดเครื่องเสวยมาที่ครัว ไม่พร่องสักอย่าง สาลี่ถาม
“อ้าว...ไม่เหวยเหรอ”
“ไม่...”
“รีบเอาลงมาทำไม...ตั้งไว้อีกกะเดี๋ยวท่านก็เหวยเอง”
“พี่ผ่องให้เก็บเลย”
“เฮ้อ...หมู่นี้ท่านเหวยอะไรไม่ค่อยได้ ทรงเป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย” สาลี่บ่น
“ป้า...เรื่องมันเป็นยังไงกัน...อืมครึมไปหมด”
“อยู่แต่ในครัวใช่มั้ย” สาลี่ชี้ที่ตัวเองเป็นเชิงบอก
“ใช่...ทำไมล่ะ”
“เอ๊า...แล้วกูจะรู้มั้ย” สาลี่บ่นบ้า
“เออ...ก็จริงของป้า ป้ามันดักดานอยู่แต่ในครัว” พิกุลพูดจริงจัง
สาลี่มองเหล่พิกุลเอามากๆ
“แต่อย่างชั้นไม่ดักดานเหมือนป้า”
“ย้ำจริงนะเอ็งนังพิกุล”
“ชั้นก็ยังไม่รู้เลย” พิกุลบอก
เย็นนั้นฉัตต์ยืนคอยรุ้งที่หน้าร้านสวนราตรี หน้าเครียดจัด ทุกคนในครัวอยู่ตามที่ต่างๆ แอบดูใจเต้นระทึก
ยอดยังมีร่องรอยฟกช้ำที่ถูกฉัตต์ต่อย ค่อยๆ แอบดู
สำลีเข้ามาหา “พี่ยอด อยากเจ็บตัวอีกเหรอ ไปคอยคุณจันทร์หน้าประตูไป”
ยอดพยักหน้าแล้วไป
สำเนียงลูบอกอยู่ไปมา “เฮ้อ อกอีเนียงจะแตกแล้ว คุณฉัตต์จะปิดร้านจริงมั้ยเนี่ย”
ทุกคนหน้าตาหวาดหวั่น
“คุณรุ้งมาแล้วโน่น”
รุ้งเดินมาตามทาง ซึ่งเป็นทางเข้าอีกทางมาถึงร้านอาหารสวนราตรี โดยไม่ผ่านตัวบ้าน ฉัตต์จ้องอยู่
รุ้งมองเห็นเหมือนฉัตต์ยืนคอย ฉัตต์รุ้งต่างเดินเข้ามา สองคนเดินมาประจันหน้า จ้องมองกันนิ่ง ใจเต้นแรงทั้งคู่
“มาทำไม”
“รุ้งบอกแล้วว่าจะมา”
“ฉันก็บอกแล้วว่าฉันจะปิดร้าน”
“จะปิดต้องแจ้งลูกค้าก่อน”
“ไม่จำเป็น”
“จำเป็นค่ะ”
“ฉันบอกว่าไม่จำเป็นเธอมีสิทธิ์อะไรมาออกความเห็น”
“คุณฉัตต์ไม่เคยเป็นพ่อค้า รุ้งเป็นแม่ค้ารุ้งรู้ว่าลูกค้าเป็นคนที่สำคัญที่สุด อย่างวันนี้คุณฉัตต์จะปิดทันทีไม่ได้เพราะทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว”
“ไม่สำคัญทิ้งไปให้หมด”
“จวน 5 โมงเย็นลูกค้ารอบเย็นกำลังจะมา เขาไม่ควรผิดหวัง”
“ผิดหวังก็ผิดหวังไป ฉันไม่แคร์”
รุ้งใจเย็นมาก “ลูกค้าจะไปพูดกันปากต่อปากว่า สวนราตรีทำอะไรไม่นึกถึงใจลูกค้า”
“เขาก็เข้าใจถูกแล้วนี่”
“วันข้างหน้า ถ้าเราเปิดร้านขายอีกจะ...”
“ยังจะกล้าหาญพูดเรื่องเปิดร้านอีกหรือ” ฉัตต์โวยใส่
รุ้งพูดต่อ “ถ้าเปิดอีกจะไม่มีลูกค้ามาทานอาหารเราอีกเลย”
สองคนจ้องมองกัน นัยน์ตาฉัตต์ร้อนแรงขณะจ้องรุ้ง ส่วนรุ้งนัยน์ตาเข้มแข็ง ซื่อตรงแน่วแน่
ฉัตต์หันกลับไป “ยายเนียง”
“อะไรคะคุณฉัตต์”
“ปิดร้าน”
บรรดาคนในครัว อ้าปากตกใจ
“ไม่ได้ยินเหรอยายเนียง” ฉัตต์หันมาตาขวาง
“ปิดยังไงล่ะคะคุณฉัตต์”
“ทำไมจะปิดไม่ได้”
“ร้านเราไม่มีประตูนี่คะ” สำเนียงว่า
ฉัตต์มองเหล่สำเนียง สำเนียงหน้าตาใสซื่อมองฉัตต์ ท่าทางน่าขำมาก
“ท้าทายฉันเหรอยายเนียง”
“เปล่าท้าค่ะ เนียงปิดไม่ได้ไม่รู้จะปิดตรงไหน คุณฉัตต์ปิดเองสิคะ”
“ให้มันรู้ไป เดี๋ยวใครมาฉันจะไล่ไปทันที คอยดูสิ”
“มาแล้วค่ะ ลูกค้าคนแรก” สำลีร้องเสียงดัง
ฉัตต์หันไป แล้วต้องนิ่งงัน
“เสด็จพระองค์หญิง เสด็จ” เสียงสำเนียงร้องดังขึ้น “ตายแล้ว ทำไมทางวังหลวงไม่แจ้งมาว่าเสด็จจะเสด็จ ใครรับโทรศัพท์รึเปล่า”
ฉัตต์ เดินหน้าบูดบึ้งออกมาตามทางเดินไปบ้าน ผ่านต้นไม้ที่ระลงมาข้างทาง ยกมือปัดไปอย่างแรง ระบายอารมณ์มีก้อนหินขวางหน้า ก็เตะไปอย่างแรง
ฉัตต์เดินเข้าในบ้านเสียงโทรศัพท์ดัง แต่ฉัตต์ไม่สน เดินผ่านโทรศัพท์ไปเฉยๆ โทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้น
“ใครโทรมาอีกล่ะ” ละเมียดเดินตุ้บตั้บมา “ฮัลโหล บ้านปัณณธรค่ะ คุณฉัตต์หรือคะ ขอโทษใครจะพูดด้วยคะ คุณบัว”
ฉัตต์เดินไปออกจากห้องขึ้นบันไดไปเลย
“เอ้อ...คุณฉัตต์...ไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ เวลานี้ไม่อยู่ตรงนี้ค่ะ..ค่ะ..ค่ะ” ละเมียดบอก
พิสินีวางโทรศัพท์ ยืนนิ่งสักครู่ หันมาทาง พ่อ แม่ และพี่ชาย
“ฉัตต์ไม่อยู่บ้านค่ะ”
“มานั่งนี่บัวพ่อจะพูดให้ฟัง”
พิสินีมานั่ง “แต่ไม่ใช่ให้หนูเลิกกับฉัตต์”
“บัว...ฟังคุณพ่อก่อนสิลูกอย่าเพิ่งใจร้อน” แม่ปราม
“เพราะบัวรู้ว่าคุณพ่อจะพูดอะไร”
“บัว โธ่เอ๊ยลูก...บอกให้ฟัง”
พิสินีนิ่ง
“ฉันจะพูดอะไร เอ้า ว่ามา” หลวงวิเศษหันมาทางลูกสาว
“คุณพ่อจะให้หนูไปเรียนต่อ ยังไม่ให้แต่งงาน หนูจะเรียนคุณพ่อว่าหนูไม่เรียน ขอให้บังคับพี่ยุตไปแทน เขาเป็นคนสืบสกุลไม่ใช่หนู หนูกำลังจะเปลี่ยนนามสกุลอยู่แล้ว”
ปยุตโวย “ได้ไง..อย่าโยนกันง่ายๆอย่างนี้ มันไม่สวยนะยายบัวฉันทำงาน งานของฉันเป็นงานที่ใช้ประสบการณ์มากกว่าหลักวิชาการฉันไม่ต้องเรียนต่อหรอก”
“อ๋อ เนี่ยเหรอตำรวจไทยคิดอย่างนี้เหรอ” พิสินีเยาะ
“ก็เออสิ”
“เอาล่ะ เถียงกันพอหอมปากหอมคอแล้วนะ” หลวงวิเศษเอ่ยขึ้น
ทุกคนหันมามอง
“ที่ฉันปล่อยให้แกสองคนเถียงกัน ต่อหน้าพ่อต่อหน้าแม่แบบไม่เกรงใจ เพราะว่าพอฉันพูดจบ จบแล้วจบเลยไม่มีการโต้เถียงอีก”
ทุกคนนิ่ง
“โดยเฉพาะแกยายบัว”
“บัวไม่เถียงแต่บัวไม่จำเป็นต้องทำตามใช่มั้ยคะ”
หลวงวเศษจ้องหน้าลูกสาวนิ่งนาน “แกสมเป็นลูกฉันจริงๆ พิสินี ฉันเลี้ยงแกมาไม่ผิดหวังเลย ลูกฉันก็ต้องเป็นตัวของตัวเองแบบนี้”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
ฝ่ายคุณนายผู้เป็นแม่สีหน้าเมื่อย หันหนีไปทางอื่น รู้ทันลูกผัวหมด ปยุตกระแอมเหมือนมีอะไรติดคอ หลวงวิเศษหันมาดูสองคนหน้านิ่ง
“หนูคอยฟังค่ะคุณพ่อ”
“คู่รักของแก นายฉัตต์ ปัณณธร เขามีคนที่...” หลวงวิเศษนิ่งไป
พิสินีจ้องสีหน้าเข้มแข็งไม่เปลี่ยนเลย สีหน้าลึกซึ้งยิ่งนักเพราะรู้จากจริมาแล้วครั้งหนึ่ง
“...มีคนที่ครอบครัวเขาหาไว้ให้ตบแต่งกันแล้ว”
สิ้นคำพูดหลวงวิเศษ ทุกอย่างเงียบกริบ...ทุกคนนิ่งงัน พิสินีก็นิ่ง ทุกคนไม่มีใครเดาใจหล่อนได้
“แกจะว่ายังไงยายบัว”
“ฉัตต์ขอบัวแต่งงาน บัวจะแต่งงานกับฉัตต์ ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น”
“อีกเรื่องที่ฉันจะพูด ฉันรับปากกับคุณพจน์ว่าจะจัดการให้เรื่องนี้เกิดขึ้น พ่อเขาขอร้องให้ฉันจัดการให้ลูกชายเขาแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสม”
สีหน้าพิสินียังถือดี ไม่เปลี่ยนแปลง
“เพราะฉะนั้น ยายบัว นอกจากแกจะต้องสู้กับครอบครัวของนายฉัตต์นั่น แกจะต้องสู้กับพ่อของแกด้วย”
“บัวพร้อมที่จะสู้ค่ะ”
“กับทั้งสองฝ่าย” หลวงวิเศษพูดเป็นเชิงถาม
“ค่ะ ทั้งกับครอบครัวเขา ทั้งกับคุณพ่อ”
หลวงวิเศษนิ่งไปอึดใจ “ก็ดูกันต่อไป” แล้วลุกเดินเข้าไป
ตรงนี้นิ่งไปทั้งสามคน
“ยายบัว”
“หนูเคยคิดตลอดมาว่าคุณพ่อไม่รักหนูหรอก เพิ่งแน่ใจวันนี้เองว่าหนูคิดไม่ผิด”
“คุณพ่อมีเหตุผลวันหนึ่งลูกจะรู้” แม่ว่า
พิสินีอารมณ์ขึ้นทันที ไม่กล้าขึ้นเสียงกับพ่อ แต่กล้ากับแม่
“ทำไมต้องรอวันหนึ่งวันนี้แหละ หนูรู้แล้ว ทำไมคุณแม่ทำอะไรให้คุณพ่อไม่พอใจ คุณพ่อถึงมาลงที่ลูก คุณพ่อเกลียดอะไรคุณแม่”
“ถ้าคุณพ่อเกลียดแม่ ก็เป็นแม่คนเดียว ไม่พาลเกลียดถึงลูกหรอก”
“ไม่จริง บัวสังเกตมานานแล้ว” พิสินีไม่ยอม
“แต่ฉันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเกลียดไม่เกลียด คุณพ่อเป็นคนซื่อสัตย์รักษาคำพูดมาก ท่านให้สัญญากับคุณลุงพจน์แล้ว ท่านต้องทำตามสัญญา ชั้นว่างี้แหละ สัญญาลูกผู้ชาย” ปยุตบอก
“ฉัตต์เขาก็เป็นผู้ชาย เขาสัญญากับบัวเหมือนกัน เอาสิ สัญญาของใครจะมั่นคงกว่ากัน” พิสินีลุกไปทันที
สองแม่ลูกมองหน้ากัน ถอนใจใหญ่
“คุณแม่ว่าคุณพ่อจะรักษาสัญญามากไปหน่อยมั้ยครับ ในเมื่อคุณลุงพจน์ตายแล้ว ส่วนลูกชายเขาก็ขอยายบัวแต่งงานแล้ว”
“คุณพ่อบอกแม่ว่า”
ปยุตมองหน้าแม่
“คุณพ่อคิดว่า คุณพ่อรู้ว่าผู้ชายเขารักใคร”
ปยุตนิ่งอึ้งไป สีหน้าคิดอย่างรอดเร็ว สังหรณ์ใจ
“คุณพ่อรู้ได้ยังไง”
“ท่านเห็นเด็กสองคนนี้มาตั้งแต่เด็ก ท่านรู้”
ในที่สุดปยุตก็ตัดสินใจถาม “ใครครับคุณแม่”
“เด็กผู้หญิงที่ชื่อรุ้ง”
ปยุตนิ่งเหมือนถูกน็อค
“ยุต...คนนี้ใช่มั้ยที่ยุตบอกแม่ว่าเขาน่ารัก”
“ใช่ครับ...เขาน่ารัก ผมรักเขาแล้วด้วย” ปยุตบอกผู้เป็นมารดา
สองแม่ลูกเดินออกมาหน้าบ้าน
“จะไปทำงานเลยหรือลูก”
ปยุตหันกลับมาพูดเรื่องที่คิดอยู่ในใจ “ถ้าเขารักผู้หญิงที่ชื่อรุ้ง เขามาขอแต่งงานกับน้องสาวผมทำไม”
ผู้เป็นแม่นิ่งตอบไม่ได้
“คุณพ่อน่าจะตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อนนะคุณแม่”
“ก่อนอะไร”
“ก่อนจะทำตามสัญญากับคุณอาพจน์”
แม่ลูกจ้องตากัน แล้วปยุตก็ไป
ส่วนที่ร้านอาหารสวนราตรี ค่ำนี้มีแขกมาทานข้าวในร้านหลายโต๊ะ ลูกค้าแน่นร้าน รุ้งคอยดูแลอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ชบา กับรจนา เด็กเสิร์ฟที่จ้างมาใหม่ สำลี สารภี และอ่อน เสิร์ฟอาหารกันวุ่นวายแทบไม่ได้ว่าง สำลียกถาดผ่านไปยอดเข้ามาหา ทำท่าเรียกสำลี
“อะไรเหรอพี่ยอด”
ยอดทำท่าทางบอกสำลีว่าคุณฉัตต์เรียก
“เรียกใคร”
ยอดชี้ไปที่รุ้ง
“เรียกรุ้งเรื่องอะไรรู้มั้ยพี่” สำลีถาม
ร้านลูกค้าซาลง รุ้งปลีกตัวมาหาฉัตต์ สองคนอยู่ในห้องโถง ฉัตต์บอกเสียงดัง
“พรุ่งนี้ประกาศให้รู้ทั่วกันว่าร้านปิด...ไม่ขาย”
“ขอเวลาสักหน่อยเถิดนะคะคุณฉัตต์ อย่าเพิ่งปิดร้านเลย”
“ไม่ได้”
“รุ้งขอร้องคุณฉัตต์เปิดร้านอีกสัก...เอ้อ” รุ้งคิดคำนวณระยะเวลา
“อีกนานเท่าไหร่”
“จนกว่าคุณริมาเรียนจบอีกแค่เทอมเดียว”
“เกี่ยวอะไรกับริมา”
รุ้งถอนใจจะบอกยังไงดี “ก็เพราะ...” รุ้งนิ่งไปอึดใจ..ถอนใจอีก
ฉัตต์คาดคั้น “เพราะอะไร”
รุ้งตอบไม่ได้ว่าต้องหาเงินส่งจริมาเรียน ได้แต่จ้องหน้าฉัตต์
ฉัตต์ของขึ้นทันที “ฉันถามก็ตอบสิมีอะไรที่เกี่ยวกับริมา”
“คุณริมารู้เรื่องตอนที่เปิดร้านจะปิดร้านก็ควรให้คุณริมาทราบด้วย” รุ้งก้มหน้าตอบ
“ฉันไม่ได้ยิน เงยหน้ามองฉันแล้วพูดดังๆ ให้ฉันได้ยิน”
รุ้งเงยหน้ามอง สบตาฉัตต์เต็มแรง สายตาอ่อนไหว เสียใจ “ค่ะ”
“ก็พูดมาสิ”
“บอกคุณริมาก่อน”
ฉัตต์สวนคำออกมา “ทำไมต้องบอกริมาก่อน”
รุ้งอึดอัดเหลือเกิน “หรือไม่ก็เรียนคุณย่าก่อน”
“ไม่จำเป็นต้องบอกใครฉันสั่งให้ปิด..เลิกขาย”
“ขายอาหารเสื่อมเสียเกียรติยศของปัณณธรมากเหรอคะ”
“มาก...” ฉัตต์ตอบทันที
“ทำไม” รุ้งเริ่มมีอารมณ์นิดๆ แล้ว ฉัตต์พูดจาไม่เข้าหูเลย
“ไม่เห็นต้องถาม คุณพ่อเป็นข้าราชการคุณย่าเป็นคุณหญิงรับตราพระราชทาน ท่านไม่เคยเป็นแม่ค้า”
“แม่ค้าเป็นอาชีพสุจริตพอๆ กับเป็นข้าราชการเหมือนกัน”
“แต่ไม่ใช่คุณพ่อ ไม่ใช่คุณย่า”
“ทำไมคุณย่ายอมล่ะคะ” รุ้งสวนคำ “คุณย่ายังเคยมาคุยกะแขกที่มาทานข้าวเลย”
ฉัตต์มองจ้องนัยน์ตาลุกเป็นไฟ “เธอไม่ต้องอ้างใครทั้งนั้น ฉันเป็นเจ้าของบ้านฉันกำลังบอกให้เธอทำอะไรเธอมีหน้าที่ทำตามนั้นไม่มีคำถาม ไม่มีข้องโต้แย้ง”
รุ้งจ้องหน้าฉัตต์นิ่ง นัยน์ตาผิดหวัง เสียใจ แค้นใจปะปนกัน
“มองทำไมจะพูดอะไรก็พูดมา”
“รุ้งไม่มีอะไรจะพูดแล้วค่ะ คุณฉัตต์สั่งอะไรรุ้งจะทำตามคำสั่งทั้งๆที่...”
“ทั้งๆ ที่อะไร”
“ทั้งๆที่รุ้งเห็นว่าเป็นคำสั่งที่เกิดจากอารมณ์เท่านั้น ไม่มีเหตุผลเลย”
“เธอคิดว่าถ้าเธอบอกเหตุผลฉันจะให้เปิดต่องั้นรึ”
“ค่ะ”
“บอกมา...บอกเหตุผลมาเลย แต่ขอบอกนะว่าฉันไม่มีวันยกเลิกคำสั่งปิดร้าน”
“ถ้าอย่างนั้นรุ้งจะบอกเหตุผลทำไมล่ะคะ”
“งั้นก็ไม่ต้องบอก แค่บอกแขกผู้มีเกียรติของเธอว่าปิดร้านตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป”
“พรุ่งนี้เราเตรียมของสำหรับขายแล้ว เนื้อสัตว์หั่นแล้ว น้ำพริกโขลกแล้ว เก็บผักมาแล้ว ถ้าเลิกก็ต้องทิ้งทั้งหมด”
“ก็ทิ้งไป”
รุ้งนิ่งงัน รู้สึกอยากจะร้องไห้ กัดฟันไม่ให้น้ำตาไหลจนสุดๆ แต่ไม่ได้ น้ำตาไหลหยดเผาะ ฉัตต์ใจหาย มองแล้วสงสารวูบ ขยับตัวเหมือนจะปลอบแต่ชะงัก
“ทิ้งเงินนะคะ”
“ทิ้ง...ทิ้งให้หมด”
“ไม่เสียดายเหรอคะ”
ฉัตต์มองจ้อง สายตาหยันๆ “ทำไมต้องเสียดาย”
รุ้งจ้องหน้านิ่งอยู่อึดใจ แล้วหันหลังวิ่งออกไปเร็วๆ ยินเสียงสะอื้นแผ่วๆ แว่วมา
ฉัตต์นั่งนิ่งไม่ขยับแต่สายตาอ่อนลง
รุ้งเข้ามาในห้องนอนตัวเองอย่างรวดเร็ว เปิดลิ้นชักโต๊ะหนังสือ หยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเปิดดูสีหน้าเป็นกังวลมาก หยิบจดหมายจริมาเปิดอ่านช่วงกลางๆ ฉบับ โดยใช้มือชี้ไปตามอักษรในจดหมาย
“...อีกเทอมเดียวเท่านั้น ริมาเรียนจบจะรีบกลับบ้าน หางานทำที่เงินเดือนเยอะหน่อยจะได้ช่วยรุ้ง รุ้งเหนื่อยมามากแล้ว ทำงานงกๆ หาเงินส่งทั้งริมาทั้งพี่ฉัตต์...”
รุ้งวางกระดาษจดหมายลงบนโต๊ะ ปิดหน้าด้วยมือสองข้างแล้วสะอื้นแรงๆ
รุ้งลงนั่งเขียนจดหมายถึงจริมา
“ริมาที่รัก คุณฉัตต์กลับมาบ้านแล้ว ทุกคนดีใจมาก แต่คุณฉัตต์โกรธรุ้งเหมือนลมสลาตันเลย พัดพาทุกสิ่งอย่างหกคะมำคว่ำคะเมนไปตามๆกัน คุณฉัตต์สั่งปิดร้านอาหาร ที่รุ้งกังวลมากคือค่าเรียนเทอมหน้าของริมาเงินที่เก็บไว้ยังไม่พอ รุ้งขอให้คุณฉัตต์เปิดร้านไปอีกจนกว่าริมาเรียนจบ แต่คุณฉัตต์ไม่ยอม ริมาคงจะถามว่าทำไมรุ้งถึงไม่บอกว่ารุ้งเป็นแม่ค้าหาเงินส่งคุณฉัตต์เรียน บอกไม่ได้นะริมา อย่าบอกเป็นอันขาด เพราะคุณฉัตต์จะเสียความมั่นใจ และจะเสียหน้าอย่างมากมาย จนรุ้งคิดว่าคุณฉัตต์ทนไม่ได้แน่ๆ”
จนสุดท้ายรุ้งก็ยังห่วงความรู้สึกชายที่เธอมั่นใจว่าเกลียดชังเธอมาตั้งแต่เล็กจนบัดนี้
สักครู่ต่อมารุ้งเปิดประตูแล้วค่อยๆ ปิดไม่ให้เสียงดัง หันกลับมา ฉัตต์ยืนรออยู่ รุ้งสะดุ้งสุดตัว ถือจดหมายในมือฉบับหนึ่ง ถือป้ายแผ่นย่อมๆ แผ่นหนึ่ง
“ลืมไปหรือว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
รุ้งใจหวิววับ ก้มหน้าแต่กลั้นน้ำตาไม่ได้แล้ว น้ำตาคลอเต็มตา
“ไม่ลืมค่ะ ไม่ต้องไล่ซ้ำสอง รุ้งจะไปเดี๋ยวนี้ จะไม่กลับมาอีกไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ”
“ฉันรู้แล้วว่าเธอไปอยู่วังใหญ่โตสุขสบายเธอจะกลับมาทำไม”
รุ้งไม่โต้ตอบ เดินจากไปทันที ฉัตต์ตามไปเร็วๆ
รุ้งลงบันไดมาเร็วๆ ฉัตต์ตามมาเร็วๆ เช่นกัน ถึงชั้นล่าง รุ้งจะแยกไปอยู่แล้ว
“ทำไมเธอถึงอยากเปิดร้านอาหารนัก”
รุ้งหันขวับมา นัยน์ตามองฉัตต์พยายามอ่านว่า ฉัตต์หมายความว่ายังไง
“ได้ยินรึเปล่า...ทำ…”
“คุณฉัตต์คิดว่าทำไมล่ะคะ”
“มันขายดีนักเหรอไอ้กับข้าวกับปลาพื้นๆอย่างนั้น มันได้กำไรมากมายเลยเหรอ”
“คุณฉัตต์จะถามอะไรคะ”
“ฉันก็ถามอย่างที่ถาม...ตอบมาสิ”
“ก็มีกำไรค่ะ”
“แล้ว...” ฉัตต์หยุดกึก อยากถามว่าอยู่ไหน
“อยากรู้ใช่มั้ยคะว่าไปไหนหมด ไม่มีใครเอาไปหรอกค่ะ ใช้ในเรื่องจำเป็นทั้งนั้น”
ฉัตต์หรี่ตามอง สีหน้าสงสัยแต่ไม่พูด รุ้งสบตาเต็มแรง เชื่อมั่นความบริสุทธิ์ของตัวเอง แล้วเดินห่างไป
“ฉัตต์คะ” เสียงพิสินีดังขึ้น
“บัว...มาเมื่อไหร่ครับ” ฉัตต์หันไป
รุ้งหยุดหันกลับมาดู
ฉัตต์เดินไปหา พิสินียื่นมือให้ทั้งสองมือ ฉัตต์นิ่งอยู่สักครู่ แล้วสองมือก็รับมือพิสินี ดึงมือไปนั่งและหมุนตัวกลับมามองที่รุ้ง แต่พิสินีก็ไม่เห็นรุ้ง ฉัตต์สบตากับรุ้งอย่างแรง
“สักครู่ค่ะ.. เห็นร้านอาหารยังเปิดอยู่นี่คะ”
“ครับ ยังเปิด”
“ไหนฉัตต์ว่าจะปิด”
ฉัตต์ดึงพิสินีเข้ามาใกล้ตัว ขณะที่ตอบคำถาม และนัยน์ตาก็มองรุ้ง
“พรุ่งนี้...ปิดพรุ่งนี้ปิดตายไม่มีการเปิดอีก”
รุ้งมองฉัตต์ ทั้งน้อยใจและเสียใจ หันหลังกลับ เดินจากไป
ไม่นานต่อมาที่ตรงหน้าประตูทางเข้าร้านอาหารสวนราตรี มีข้อความตัวอักษรขนาดใหญ่พอดู ความว่า
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ร้านอาหารสวนราตรีจะปิดไม่มีกำหนดเปิด ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาอุดหนุน”
แล้วรุ้งก็เดินตัวตรงกลับออก จนร่างลับหายไปในความมืด
อ่านต่อตอนที่ 12