ปีกมาร ตอนที่ 5
ภูฉายแวะมาหานวลนภาที่บ้าน เวลานี้นั่งนิ่งๆ อยู่ในห้องรับแขก ท่าทีทุกข์ใจหนัก นวลนภาเดินเข้ามาหาพลางรับไหว้ลูกเขยพร้อมเอ่ยทัก อย่างแปลกใจ
“อ้อ ภูฉาย วันนี้มาถึงนี่นะ”
“ครับ ผมว่าจะแวะมาเยี่ยมคุณแม่ก็ไม่ได้มา ตั้งแต่ศลัยไม่อยู่นี่ผมไปนอนบ้านแม่กับลูกครับ”
นวลนภาออกอาการมึนตึงใส่ “ก็ดีนี่ ศลัยไม่อยู่ก็อยู่เลี้ยงลูกเอง แล้วตาหนูสบายดีหรือ”
“ครับ”
“ที่มานี่มีธุระ หรือว่าไม่มีที่จะไป”
“ผมจะมาถามข่าวศลัยลาน่ะครับ ศลัยส่งข่าวถึงคุณแม่บ้างหรือเปล่า”
“เปล่า แต่คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาไปราชการไปกันเป็นกลุ่มงาน” นวลนภาอ่อนลงเมื่อเห็นท่าทีอมทุกข์ของภูฉาย “ภูฉาย...เรื่องผัวเมียนี่ถ้าไม่หันหน้าพูดกันเอง ให้คนนั้นพูดทีคนนี้พูดทีมันจะ มากเรื่องนะ ผัวเมียเยอะแยะต้องเลิกกันเพราะคนอื่น แม่ก็...ไม่รู้จะแนะนำยังไง”
“ผมรักศลัยครับ ความรักของผมยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมขอแค่คุณแม่รับรู้ไว้ ผมกลับนะครับ”
ภูฉายไหว้ลาแล้วลุกเดินออกไป
นวลนภามองตามไป ด้วยความรู้สึกเศร้าหมองหดหู่ใจ ภาษิตเดินเข้ามา มองตามภูฉายไป
“พี่ภูเขามาทำไมครับ”
นวลนภาประชด “เขาแบกทุกข์มาให้ช่วยแบ่งรับน่ะซี”
ภาษิตเหน็บ “เขาน่าจะเอาไปแบ่งให้แม่เขานะ ไม่ใช่แม่ผม!”
นวลนภาเอ็ด “นี่ เรื่องผัวเมียเขา ไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวเขาดีกันแกจะกลายเป็นหมาหัวเน่า”
“ปัญหาของพี่ภูกับพี่ศลัย มันปรับความเข้าใจไม่ได้ เพราะคลื่นความถี่ของคุณนายสลักแรงกว่า เตรียมตีตั๋วที่นั่งชั้นหนึ่งเถอะครับ ได้ดูศึกแย่งลูกแน่!” ภาษิตทำนายเหตุการณ์อย่างน่าฟัง
“ถ้าศลัยจะทำยังงั้นลูกฉันก็มีสิทธิ์ ศลัยเป็นแม่..เป็นฉัน...ฉันก็จะทำยังงั้นเหมือนกัน!”
นวลนภาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทัศนียภาพแผ่นดินอีสานในยามเช้าตรู่สวยแปลกตา มีหมอกควันจางๆ ลอยอ้อยอิ่งไปทั่ว ยินเสียงแคนแว่วมา
ศลัยลาอยู่มุมหนึ่ง ไกลจากบ้านพักพอควร ทอดสายตามองออกไปอย่างเหม่อลอย สีหน้าเศร้าหมอง ลายสือก้าวเข้ามายืนเบื้องหลัง
“หวังว่าคุณคงไม่คิดสั้นฆ่าตัวตายนะ”
“ที่คุณตามฉันมานี่เพราะกลัวฉันคิดอย่างนั้นหรือ”
“คนที่มีการศึกษาดี ชาติตระกูลดี หรือหน้าที่การงานดี ก็ไม่แน่ว่าจะไม่โง่”
“งั้นฉันสาบานว่าฉันจะไม่ฆ่าตัวตาย คราวนี้คุณจะไปจากชีวิตฉันได้หรือยัง”
“ทำไมคุณต้องกลัว”
“ฉันกลัวอะไร”
“คุณกลัวว่าจะมีผม...ทั้งที่ชีวิตคุณมี “เขา” หลงเหลืออยู่น้อยเต็มที” เด็กหนุ่มบอกจริงจัง
“ลายสือ!”
ศลัยลาอุทานอย่างตื่นตระหนก และโมโห ถอยก้าว ผละไป
“คุณศลัย”
ลายสือรีบตามไป
ศลัยลาเดินเร็วๆ หนีลายสือมาที่เนินหญ้า ลายสือวิ่งตามมาจนทัน
“ฟังผมก่อน”
“คุณนั่นแหละต้องฟังฉัน ถามหน่อยที่คุณพูดมาน่ะหมายความว่ายังไง” ศลัยจ้องหน้าหนุ่มรุ่นน้อง
ลายสืออธิบาย “คุณตีความหมายตอแยของผมผิดนะ ที่ผมทำตัวเป็นไอ้บ้าอยู่นี่ ไม่ใช่เพราะคุณกำลังจะเป็นม่าย คุณกำลังเปล่าเปลี่ยว คุณมีชีวิตขาดๆ จนต้องคว้าอะไรก็ได้ที่ใกล้ตัว ผมไม่ได้พยายามทำตัวเป็นหลักเพื่อให้พันธุ์ไม้เกี่ยว ผมไม่ได้หมายความยังงั้น!”
จังหวะนี้หนุ่มอ้วนดำ ผลึก คลานเข้ามาแอบฟังทั้งสองคุยกัน
“แล้วคุณหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่า..ผมอยากเห็นคุณ อยากได้ยินเสียงคุณ อยากรู้ว่าคุณมีทุกข์สุขยังไง”
“นี่แน่ะลายสือ ฉันพูดตรงๆ เลยนะ ฉันเบื่อการตอแย ความปรารถนาดีก็เหมือนกัน...ขอบใจ”
“คุณโกรธผม”
“ใช่”
“ทำไม”
“คนที่ยุ่งกับชีวิตของคนอื่น เขาไม่เรียกผู้หวังดีหรอก แต่เขาเรียกว่า...”
“เรียกว่าอะไร”
“สาระแน!”
ศลัยลากระแทกเสียงใส่หน้าลายสือ ก่อนเดินออกไป ผลึกเผลอตัวหัวเราะสมน้ำหน้า
“สั้นๆ สุดๆ แต่ต้องมีการแปลซ้ำ...เสือก!”
สีหน้าลายสือเจื่อนลงๆ ที่ถูกศลัยลาตัดไมตรี
ที่สถานีตำรวจในเวลาเดียวกัน ตำรวจนำตัวสุเทพเข้ามาในห้องสอบสวน สุเทพมีท่าทีฮึดฮัดตลอดเวลา เพียรภมรและแม่นั่งรออยู่ ฉวีดูหวั่นๆ ลังเล และกลัว
“อะไรกันวะ บอกแล้วว่าเป็นเรื่องผัวเมียก็ไม่เชื่อ ทำให้เป็นเรื่อง ไม่มีงานทำหรือยังไงวะ โจรน่ะ...ทำไมไม่ไปจับมัน จับทำไมกับอีแค่ผัวเมียตีกัน!” สุเทพโวยลั่น
“นี่ เจ้าทุกข์เขามาแจ้งข้อหา แล้วก็ชี้ตัวแกด้วย” ตำรวจบอก
“ชี้ตัวหรือ...ไง...ชี้ลงหรือ...ไหน...ชี้ชี้...ชี้...ชี้เลย ผัวจะได้เข้าไปนอนในคุกสมใจลูกสาว มันไม่มีคดีจะทำ ก็เลยยุให้แม่มันเอาผมเข้าคุกน่ะ” สุเทพแดกดันเพียรภมร
เพียรภมรหันมาทางฉวี “แม่ต้องชี้ตัว เราจะได้แจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย”
สุเทพแหลมขึ้นมาอีก “ทำร้ายร่างกาย ขำว่ะ ผัวเมียยิ่งตีกันยิ่งดี ยิ่งตียิ่งลูกดก จะเรียกว่าทำร้ายร่างกายได้ยังไง อ้าว..ทำไมไม่ชี้ละจ๊ะทูนหัว”
ฉวีลังเล ว้าวุ่นใจ ท่าทียัง รัก หลง ผัวใหม่อยู่มาก ทั้งกลัว ทั้งเกลียด และทั้งรัก
เพียรภมรบอกย้ำ “แม่..ทำไมไม่ชี้ตัวผู้ต้องหาล่ะ”
“เอ้อ..ก็..ก็..ก็มันไม่ใช่ผู้ต้องหานี่..มันเป็นผัวฉันเอง มันเป็นผัวฉันค่ะ คุณตำรวจ ฉันไม่เอาเรื่องมันหรอก แค่ตำรวจตักเตือนก็พอแล้ว แล้วเราจะกลับไปครองรักกันชั่วนิรันดร์”
สุเทพเยาะหยันอย่างสะใจ “ไงล่ะ คุณทนาย”
“แม่!”
สีหน้า แววตาของเพียรภมรตื่นตะลึง คาดไม่ถึง
เพียรภมรเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตรงมายังรถยนต์
ฉวีเดินกอดเอวสุเทพตามหลังลงมา ชะงักเมื่อเห็นเพียรภมร สีหน้าเจื่อนๆ
“เอ้อ…”
“ก็บอกแล้ว ผัวเขาจะหามอย่าเอาทนายเข้ามาเกี่ยว เรื่องผัวเมียน่ะมันเรื่องรกโรงรกศาล การตีกันเป็นวัฒนธรรมของสัตว์ตัวผู้ เป็นผัวไม่ตีเมีย จะไปตีแมวที่ไหนวะ ไป...กลับบ้านเหอะ หวี” สุเทพเยาะเย้ยเพียรภมรอีก
“จ้ะ”
ฉวีถูกสุเทพรั้งตัวออกไป เพียรภมรหันไปมองตาม ในท่าทีนิ่งเฉย แววตาของเพียรภมรทั้งเจ็บปวดและขมขื่น
ด้านศลัยลาเริ่มมีความหวาดกลัวกับความใกล้ชิด อารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อลายสือ
ขณะที่ลายสือยืนล้างมืออยู่ ศลัยลาเดินเข้ามาล้างมือใกล้ๆ ลดเสียงลง เมื่อเห็นผลึกตั้งใจสอดแนม
“ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ฉันแต่งงานแล้วนะ มีลูกมีสามี ถึงเราจะมีปัญหาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหย่ากัน เราอาจจะ...ย้อนกลับไปเริ่มต้นกันใหม่แล้วอยู่ร่วมกันไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”
ศลัยลาเหลียวมองไปรอบๆ ลายสือยังล้างมืออยู่เป็นปกติ
“ที่แล้วมา...ฉันไม่ได้ให้ท่าคุณไม่ใช่หรือ”
“เปล่า ก็เพราะว่าคุณไม่เคยทำยังงั้นเลยน่ะซี ผมก็เลย...”
ศลัยลาสวนออกมา “อ้อ...หรือว่าเป็นโรคจิต ชอบแสดงความเป็นชายด้วยการเป็นชู้...ฮึ!”
ลายสือและศลัยลา มองสบสายตากันอย่างท้าทาย ศลัยลาข่มขู่ ดุอยู่ในที
ลายสือหลบมานั่งพิงต้นงิ้วท่าทีเงียบเหงา ผลึกแกล้งพาอังเดรเดินตรงเข้ามาใกล้ๆ ทำเป็นสนใจแต่ต้นไม้ ไม่สนใจลายสือ
“นี่คือต้นงิ้วครับท่านอาจารย์ เป็นไม้พันธุ์แท้จากอเวจี ไม่ว่าฤดูจะร้อนหรือหนาวมันสามารถเติบโตงอกงามได้เป็นอย่างดี ไม้พันธุ์นี้เป็นไม้ตระกูลใดไม่ปรากฏ ที่เติบโตที่สุดมีอยู่ต้นนึงครับ..ต้นนั้นน่ะทั้งสูงใหญ่และมีหนามแหลมคม ขนาดของลำต้นโอบหลายคนไม่มิด เชื่อว่ามีอายุยืนยาวมหาอมตะนิรันดร์กาล อยู่ที่เมืองนรกครับผม”
“เก่ง นายมีความรู้ในด้านพฤกษศาสตร์ดีมาก” อังเดรบอก
“นอกจากนั้น..ยังเจริญเติบโตอย่างดกดื่นบนพื้นโลก แถวๆนี้ก็เริ่มจะหนาแน่นขึ้น”
“มันใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ต้นไอ้นี่” อังเดรสงสัย
“ต้นงิ้วนี่...มีประโยชน์ใช้สอยสำหรับเตือนใจมนุษย์ไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรมกาเม เพราะใครก็ตามที่ประพฤติผิดลูกเขาเมียคนอื่น มีหวังต้องเปลือยร่างขึ้นไปปีนต้นงิ้วในเมืองนรกโน่น ไอ้ต้นที่ผมเรียนท่านอาจารย์ว่า มันเป็นต้นงิ้วที่เก่าแก่ สูงใหญ่และมีหนามแหลมคมที่สุดในจักรวาลน่ะครับ เชิญทางนี้ครับอาจารย์เชิญครับ ส่วนต้นต่อไปก็คือต้น...”
อังเดรเดินตามผลึกออกไป ลายสือมองตามไป ด้วยแววตาเคร่งขรึมลง
ฟากศลัยลานั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่หน้าบ้านพักท่าทีหงอยเหงา ผจงจิตเข้ามาตบไหล่
“ถ้าไม่อยากโทร.ถึงภูฉาย ก็เขียนจดหมายถึงเขาซี บางทีการเขียนก็ทำให้เรามีเวลาเรียบเรียงความคิดนะ ศลัย”
ศลัยลาจับมือผจงจิตเป็นเชิงขอบคุณ พร้อมกัลเงยหน้าขึ้นสบสายตา ยิ้มและพยักหน้ารับคำ
ทางด้านสลักกระวนกระวายรอภูฉายอยู่ ละมัยเดินลงมา สลักถามอย่างไม่สนใจ
“ตาหนูหลับแล้วหรือ”
“ค่ะ”
“เอ๊ะ ทำไมป่านนี้ภูเขายังไม่กลับนะ เขาหายไปเฉยๆ”
“คุณภูคงจะเหงานะค่ะคุณนาย เขาก็เลย...ไปไหนต่อไหนของเขาบ้าง” ละมัยบอก
สลักหันมามองหน้าสาวใช้คู่ใจและคู่กัด สีหน้ามึนตึงขึ้น
“ไหนต่อไหนที่แกพูดถึงน่ะ มันที่ไหน”
คืนนั้น ภูฉายเดินเดียวดายอยู่บนถนนย่านเริงรมย์ของคนกลางคืน อย่างเหงาๆ มองไปรอบๆ ตัว ด้วยความรู้สึกแปลกใจ พวกผู้หญิงเข้ามารุมล้อมภูฉาย
“รูปหล่อจังเลยพี่ เข้ามาข้างในก่อนซีคะ พี่ขา” สาวสวยเชื้อชวน
“เอ้อ…”
“อย่าทำหน้าเหมือนทองจะหลุดยังงั้นซีคะพี่ เที่ยวที่นี่เขาไม่แบกทุกข์มาด้วยหรอก”
“ปล่อยผมก่อน...” ภูฉายปลดมือปลาหมึกออก
“แหม เสียงก็เพราะ ท่าทางพี่เป็นผู้ดีเปี๊ยบเลยนะ”
“เอ้อ...ผม…”
“สงสัยจะไม่เคยเที่ยวแบบนี้ละมั้ง ไม่ต้องกลัวหรอกแถวๆ นี้สะอาด มาทางนี้ซีคะพี่ขา”
กลุ่มผู้หญิงช่วยกันดึงภูฉายเข้าไปข้างใน ภูฉายสะบัดจนหลุด ถอยก้าวออกไปด้วยท่าทีหวั่นกลัว
ฟากศลัยลานั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงผ้าใบ ผจงจิตเพิ่งอาบน้ำเสร็จ มานั่งเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ เตียงศลัยลา
“คิดถึงบ้านหรือ”
“ฉันคิดถึงลูก”
“แล้วเขียนจดหมายถึงภูฉายหรือยัง”
“ยังเลย ฉันไม่รู้จะเขียนถึงเขายังไง”
“คิดถึงตอนที่เธอรักเขาใหม่ๆ ซี คิดถึงตอนนั้นแล้วบางทีคุณอาจจะเขียนคำขึ้นต้นถึงเขาได้”
“ฉันกลัวจังเลย กลัวว่าความรักมันจะเป็นนามธรรมที่มีเกิดมีดับ ฉันกลัวว่าฉันจะหมดรักภูฉายเสียจน…”
สีหน้า แววตาของศลัยลาเศร้าหมอง น่าสงสารเหลือเกิน
“ฉันทนให้เขาอยู่ในหัวใจของฉันไม่ได้..!”
คืนเดียวกันภูฉายเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเหงาๆ สลักเดินตามออกมารับ
ละมัยย่อตัวผ่านภูฉาย
“ไปปิดประตูเถอะมัย”
“ค่ะ”
“แล้วก็ไปนอนเถอะ”
“ค่ะ”
ละมัยเดินออกไป
ภูฉายเดินก้มหน้า เข้ามาในห้อง ชายเสื้อลุ่ย เนคไทถูกปลด ท่าทีเงียบ นิ่ง ครุ่นคิดถึงปัญหาของตนเองและศลัยลา ก่อนที่จะหยุดก้าว เงยหน้ามองขึ้นไป
“ผมหวังว่า...ความรักของผมกับคุณ คงจะไม่เปลี่ยนแปลง..นะศลัย!”
ปีกมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
ตอนสายวันต่อมาฉวีเดินออกมาจากห้อง ผมเผ้ายุ่งเป็นกระเซิง เดินไปหยิบขวดเหล้าด้วยมือสั่นเทา สุเทพเดินออกมา
“ไหน เอามาถอนหน่อย”
“หมดแล้ว”
“ก็ออกไปซื้อซีวะ”
“มีเงินเสียที่ไหนล่ะ นังเพียรมันไม่ได้เอาเงินมาให้ตั้งหลายวันแล้ว มันคงจะโกรธเรื่องที่…”
ฉวีพูดไม่ทันจบคำ สุเทพสวนออกมา
“มันเป็นลูก มันมีสิทธิ์อะไรมาโกรธแม่มัน สงสัยจะอิจฉาความสุขของแม่ ถึงยุให้เลิกกัน เออ..ไม่มีเงินแล้วจะอยู่ได้ยังไง”
“ก็ไปทำงานหาเงินซี” ฉวีบอก
“เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวมีเจ็บ ข้าไปทำงาน แต่เอ็งต้องไปหากิน”
“หากิน...” น้ำเสียงฉวีสุดจะขมขื่น “แก่จนป่านนี้จะไปหาที่ไหน”
“ที่ที่มันหาง่ายๆ ที่สำนักงานทนายความของลูกสาวหัวหมอของเอ็งยังไงล่ะ”
สีหน้าแววตาของฉวีฉุกคิดบางอย่างตามคำพูดผัวเด็ก
ขณะที่เพียรภมรนั่งทำงานอยู่กับเพื่อนร่วมงานภายในสำนักงานทนายความ ฉวีเปิดประตูพรวดเข้ามา กวาดสายตามองหาเพียรภมร เพียรภมรเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยแววตาแปลกใจ ห่างเหิน
“แม่มาทำไม”
“มา...เพราะต้องมา ไม่ใช่เพราะอยากมาหรอก รู้ว่าท่านทนายใหญ่ไม่อยากให้ใครต่อใครเขารู้ว่ามีแม่เป็น...”
ฉวีเสียงดังจน คนอื่นๆ มองมายังเพียรภมรเป็นตาเดียว แววตาเพียรภมรเฉยเมย
“แม่ต้องการอะไร”
“เงิน”
สีหน้าเพียรภมรเฉยเมย ท่าทีเฉยชา
ด้านฉวีถูกสุเทพขู่บังคับให้ไปเอาเงินจากเพียรภมร
“ไม่ให้ไม่ได้ ต้องให้...ไปเอาเงินมาให้ได้”
“นังนี่มันหัวแข็งมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันไม่ยอมใครหรอก ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่เป็นโจร”
“มันจะหัวแข็งหัวสูงยังไง มันต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะมันเป็นหน้าที่โว้ย วันนี้ไปเอาเงินมาให้ได้นะ เงินหมดแล้ว”
“ถ้ามันไม่ยอมให้ล่ะ”
สุเทพด่า “มือน่ะ..มือ มือมีไว้ทำไม”
ฉวีก้มลงมองมือของตัวเอง สีหน้าลังเล
“มือ...”
เพียรภมร ยังอยู่กับเพื่อนร่วมงาน แววตาเฉยเมย ท่าทีเย็นชามองมายังฉวีที่กลับมาอีกครั้ง
“หนูเคยบอกแม่แล้ว เงินน่ะ...หนูให้เพื่อยังชีพแม่ แต่แม่ไม่สิทธิ์เอาเงินจากแรงงานสมองของหนูไปบำเรอผู้ชาย!”
ฉวีเงื้อมือจะตบ เพียรภมรขยับตัวก้าวเข้ามาเผชิญหน้า
“แม่จะตบหนูเพื่อให้หนูอายคนอื่นแม่ก็ทำได้เลย แต่แม่ก็รู้ว่าคนอย่างหนูน่ะ ไม่เคยยอมให้ใครบีบ”
ฉวีค่อยๆ ลดมือลงเมื่อมองไปรอบๆ เห็นเพื่อนร่วมงานของเพียรภมรกำลังจ้องมองฉวีอย่างตำหนิ
“ไม่ให้แน่นะ แกไม่ให้เงินฉัน แล้วไม่กลัวจะเป็นลูกเนรคุณหรือ”
“เลิกกับมัน หนูจะเลี้ยงแม่ให้สุขสบาย หนูจะซื้อบ้านให้แม่อยู่แล้วพาแม่ไปหาหมอ แม่ยังมีอนาคตเหลืออยู่นะ แม่ต้องเลิกเหล้าให้ได้!”
“กูก็ไม่ต้องการให้ใครมาสั่งกู เรื่องอะไรจะเลิก เหล้าน่ะ..กินแล้วก็ลืมความทุกข์ได้ มีเหล้า มีความสุข หึ กูเสียแรงเบ่งมาแทบตาย ไหนจะเสียนมเสียน้ำเลี้ยงมาจนโต นี่หรือ..ลูกทำกับแม่ นี่น่ะหรือ..ลูก ถุย!”
ฉวีถ่มน้ำลายก่อนสะบัดหน้าออกไปด้วยความโกรธ
“แม่” เพียรภมรอุทาน มองตามแม่ด้วยแววตาปวดร้าว
เมื่อกลับบ้านมามือเปล่า สุเทพบันดาลโทสะจึงซ้อมฉวีอย่างรุนแรง เหวี่ยงร่างของฉวีกระเด็นออกมาจากห้อง
“เงินไม่มี..แล้วนั่งๆ นอนๆ อยู่ทำไมวะ ทำไมไม่ออกไปหาเงินทำหยิ่งยังงี้แล้วจะรวยได้ยังไง นังหวี”
“ไม่ไป แก่ป่านนี้จะไปหากินที่ไหน”
“ก็ลูกสาวไง ไปขอเงินมันซี”
“ก็ไปแล้วมันไม่ให้ ไม่ไปอีกแล้ว เอ็งน่ะ...ไปหามันบ้างซี มันก็อยากเหมือนกันนะ เหล้าน่ะ”
“นังนี่…”
สุเทพซ้อมฉวีจนสลบคามือ ฉวีนอนแน่นิ่ง มีเลือดไหลออกมาจากจมูกปาก
ทางด้านสลักเดินวนรอบๆ ตัวภูฉาย ขณะภูฉายนั่งนิ่งๆ ในสภาพที่ค่อนข้างทรุดโทรมเพราะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังมีอาการซึมเซาอยู่
“เมื่อคืนแกไปไหนมาภู มีกลิ่นเหล้าด้วยนี่ ไปกินเหล้าที่ไหนแล้ว...แล้วนี่คงจะกลับเช้าใช่มั้ย”
“ตีสี่ครับ”
สลักตกใจ “ตีสี่!”
ภูฉายค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรงเหมือนนักเรียน ด้วยความเคยชินที่ยังฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของเขาเมื่อทำผิด ในใจมีแต่ความเกรงกลัวมารดา
“แกไปไหนมาถึงได้กลับบ้านตีสามตีสี่ แกนี่ชักจะเหลวไหลใหญ่แล้ว นะภู”
สลักโกรธ และดุด่าเหมือนเมื่อครั้งที่ภูฉายยังเด็ก แล้วร้องไห้ออกมาโดยไม่เสแสร้ง
“แม่อยู่บ้านเลี้ยงลูกงกๆ ไหนจะดูแลบ้านอีกล่ะ เห็นใจแม่บ้างซี แก ต้องสงสารแม่..รักแม่..เข้าใจมั้ย ฉันถามว่าแกเข้าใจมั้ย รักแม่มั้ย”
ท่าทีของภูฉายเลื่อนลอย แววตาสับสน ละมัยลอบมองภูฉายอย่างสลดหดหู่ใจ
เวลาเดียวกัน ศลัยลาและผจงจิตยืนทำงานอยู่ในเต้นท์ด้วยกัน ลายสือถือผ้าทอเข้ามา ศลัยลาก้มหน้าทำงานโดยไม่ใส่ใจเด็กหนุ่มรุ่นน้อง
ลายสือมองสบสายตาผจงจิต
“ผ้าทอมือฝีมือชาวบ้านครับ ผมเห็นสวยดีก็เลยซื้อมาฝากคุณ”
“แหม ใจดีจังเลยนะลายสือ เนื้อละเอียด ลายก็สวย หมู่บ้านอยู่ไกลจากที่นี่มั้ย” ผจงจิตยิ้มแย้ม
“ไม่ไกลหรอกครับ ประมาณห้ากิโล” ลายสือบอกผจงจิต ตามองศลัยลาเขม็ง
“เออ ศลัย…” ผจงจิตอ้าปากจะชวน
“ไม่ไป”
ศลัยลาบอกแล้วเดินออกไปทันที
ผจงจิตงง “เอ๊ะ ศลัยเป็นอะไรอีกล่ะ”
“อารมณ์แปรปรวนยังงี้ สงสัยเลือดจะไปลมจะกลับบ้านเก่าน่ะครับ อาการของคนวัยทอง ไม่ต้องกินไม่ต้องทายา พอเข้าวัยชราก็หายเองครับ”
ลายสือตอบยิ้มๆ ก่อนเดินออกไป ผจงจิตมองตามไป 2 คน ด้วยสีหน้างงงัน
คืนนั้นขณะที่ผลึกกำลังเติมฟืนใส่ลงในกองไฟที่ลุกโชน ลายสือเดินเหงาหงอย สีหน้ามีแต่ความทุกข์ เครียด เข้ามา ผลึกชำเลืองมองหน้าเพื่อน ด้วยสีหน้าเยาะๆ
“ยังไงล่ะ เซ็งซี งานโบราณคดีก็ยังงี้แหละ ไม่มีอะไรโลดโผนต้องอยู่กับโอ่งอ่างกระถางแตก”
ลายสือทรุดตัวลงนั่งจ้องมองเปลวไฟ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“เป็นอะไรวะไอ้ลายพาดกลอน ไม่ตอบ...ถึงไม่ตอบก็รู้ ที่ถอนหายใจทีละเฮือกอยู่นี่ ตัดสินใจแน่แล้วนะ...ว่าเป็นหนุ่มทั้งแท่งจะกินแตงเถาตายน่ะ”
ลายสือคิดคำด่าไม่ทัน “ไอ้...”
ผลึกใส่ต่อ “อย่าคิดว่ากูไม่รู้ ผู้หญิงกำลังจะหย่ามึงก็เลยคิดว่าเขาอดอยากปากแห้งกับเรื่องพรรค์ยังงั้น กูเตือนก็เพราะหวังดี ไม่อยากเห็นเพื่อนเป็นชู้เมียใคร!”
“ถามจริงๆ เถอะ ที่มึงด่าไม่เลิกนี่เป็นเกย์หรือว่าเป็น...”
“เปล๊า แต่คุณศลัยลาน่ะ...แก่กว่ามึงนะไอ้สือ”
ลายสือเถียง “มึงไม่มีวันเข้าใจหรอก ไอ้ผลึก”
หนุ่มอ้วนดำจ้องหน้าเพื่อน ถามจริงจัง “มึงรักคุณศลัยลาหรือ”
ลายสือเมินไป ตอบไม่ถูก เริ่มมีท่าทีหงุดหงิด หันหน้าหนี
“ก็...ไม่รู้”
“ตัดใจซะ เพื่อน”
“ไม่” ลายสือสวนเสียงเข้ม
ผลึกแผดเสียงใส่หน้าลายสือด้วยความโกรธ
“หรือว่ามึงเป็นโรคจิต ขาดแม่...ถึงได้ต้องการความอบอุ่นจากผู้หญิงที่อายุมากกว่า”
ลายสือชะงัก หันมามองหน้าผลึกตาวาววับ
เวลานั้น ทั้งห้องมืดสนิท ภูฉายเปิดประตูเข้ามาก่อนส่งเสียงเรียก
“แม่ แม่ครับ มัย มัย...มัย”
ไฟฟ้าสว่างขึ้น สลักจัดโต๊ะขนมเค้กวันเกิดให้ภูฉาย สลักเข้ามาโอบกอดลูกชายด้วยความรัก ท่าทีอ่อนโยน จูบหอมแก้มภูฉายอย่างรักใคร่
“ภู จำได้มั้ยลูก วันนี้วันอะไร”
ภูฉายนึก แล้วนึกออก “วัน...วัน...โอ...แม่ครับ ผมมัวแต่ยุ่งจนลืมวันเกิดตัวเองหรือครับนี่”
“วันเกิดของลูก ขอให้มีความสุขนะลูกนะ”
“ขอบคุณครับ แม่”
“นังมัยจุดเทียนซี ฉันกับภูจะได้ฉลองวันเกิดกัน เหมือนกับทุกๆ ปีที่มีเราสองคนแม่ลูก”
แววตาของภูฉายสลดลงเมื่อคิดถึงศลัยลา
“วันนี้แม่ทำให้แกแปลกใจนะ แม่อบเป็ดไว้ให้ด้วยนะ” สลักบอกหน้าชื่น
“แม่ครับ ผมรักแม่”
สาวใช้จุดเทียน ภูฉายตัดใจจากความเศร้าหมอง สวมกอดสลักด้วยความรัก
“เป่าเทียนได้แล้วละลูก แม่จะร้องเพลงอวยพรวันเกิดแกด้วย...เอ้า...หนึ่ง...สอง..สาม”
สองแม่ลูก ต่างร้องเพลงวันเกิดอย่างมีความสุข มีละมัยมองยิ้มๆ
ภูฉายเป่าเทียนดับวูบ
ขณะเดียวกันศลัยลาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หน้าบ้านพัก กำลังเป่าเทียนที่ปักอยู่บนก้อนขนมพื้นบ้าน ลายสือเดินออกมาจากมุมมืด
ศลัยลายิ้มทั้งน้ำตาก่อนที่จะเป่าเทียนดับ
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ..ภู”
สีหน้าแววตาของลายสือสลดลงอย่างชัดเจน
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ทุกคนช่วยกันทำงานอยู่ ลายสือเดินเข้ามาทำงานใกล้ๆ ศลัยลาอย่างจงใจ ท่าทีศลัยลารำคาญ ไม่ใส่ใจ แยแส
“ผมรู้ว่าคุณรำคาญ แต่ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นวัตถุ คุณจะรู้สึกดีขึ้น”
“ถ้าคุณเป็นวัตถุจริงๆละก็ คุณรู้มั้ยฉันจะทำยังไง”
“คุณจะทำยังไง”
ศลัยลาเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟใกล้ๆ ยกขึ้นสูงแล้วปล่อยลงแตกกระจายกับพื้นก่อนที่จะเดินออกไป
ลายสือมองแก้วที่แตกกระจาย แล้วจึงมองตามศลัยลาไปด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
สลักเดินลงมาชั้นล่าง ละมัยทำงานเช็ดถูบ้านช่องอยู่
“โอย...เวียนหัวติ้วเลย เมื่อคืนฉลองกันดึกไปหน่อย แม่เลยนอนไม่เต็มอิ่ม”
ครู่หนึ่งเห็นภูฉายเดินถือกระเป๋าเดินทางลงมา
“นั่นแกจะไปไหน”
“ผมจะไปบ้านเชียงครับแม่”
สลักอึ้งไป
ภูฉายเดินออกมานอกบ้าน สลักตามมาโวยลั่น
“ไปทำไมกัน แกไม่ห่วงแม่หรือ แม่ไม่ค่อยสบายเดินลงจากชั้นบนยังไม่ค่อยจะไหวตรากตรำไปถึงอีสาน จะไปขอ หย่าจากศลัยลาหรือจะไปขอคืนดีกันแน่”
“ผม..เอ้อ..ผมจะไปพูดกับศลัยลาให้รู้เรื่อง”
“รอให้เมียแกกลับมาก่อนแล้วค่อยพูดกัน ไม่จำเป็นต้องถ่อสังขารไปให้เขาตราหน้าว่าแกซมซานไปง้อ!”
ภูฉายจะแย้ง “แต่...แม่ครับ...”
“เอาสิเชิญ...จะทิ้งแม่ทิ้งลูกไปกราบเท้าขอโทษเมียก็ตามใจ” สลักตัดพ้ออารมณ์ขึ้นเป็นริ้วๆ “ศลัยลาน่ะร้ายจะตายไป ถ้ามันขอให้แกกราบขอโทษ แกก็ กราบมันเถอะ..กราบเลย...”
“ศลัยคงไม่ทำยังงั้นหรอกครับแม่ เพราะถึงจะไม่เห็นแก่ผม ศลัยต้องเห็นแก่ลูก”
“แล้วไอ้ที่ไปทำงานเสียไกล เห็นแก่ใครล่ะ ถ้าไม่เห็นแก่สนุก ไม่มีลูกกวนตัวมีผัวกวนใจ ศลัยลาคงทำตัวเป็นสาวละซี ดูเถอะออกลูกได้ไม่กี่วันก็แต่งตัวล่อผู้ชายแล้ว สมัยแม่คลอดแก กว่าจะลงจากกระดานไฟตั้งเกือบครึ่งปี เมียแกน่ะ ดูท่าทางยังกับคนไม่เคยเบ่งคลอดยังงั้นแหละ”
สุดท้ายภูฉายตัดบท “เอาเถอะครับ ไม่ไปก็ไม่ไป!”
“มันต้องยังงั้นซี เป็นผัว เป็นผู้ชายน่ะมันต้องมีศักดิ์ศรี ไอ้ที่จะต้องคุกเข่าขอโทษน่ะอย่าทำ เมียเลิกกันแล้วก็เป็นคนอื่น แต่แม่...แกจะเลิกกับเมียสักกี่คน แม่ก็ยังเป็นแม่แกอยู่...แกเข้าใจมั้ย ภูฉาย”
สีหน้าแววตาของภูฉายหม่นลง รับคำอ่อยๆ คำเดิม
“ครับ...แม่”
ภูฉายเดินเข้ามาโอบกอดแม่ไว้ ปลอบโยน ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ สลักยิ้มอย่างผู้ชนะ
ฟากเพียรภมรอยู่ในห้องทำงานหมอเจ้าของไข้ฉวีที่โรงพยาบาล โดยหมอชี้ให้ดูภาพเอ็กซเรย์ของฉวี
“ซี่โครงหัก เส้นประสาทบางส่วนถูกทำลาย เพราะคนไข้มีอาการติดเหล้าถึงขั้นรุนแรง แรงกระทบกระเทือนที่สมอง ที่ได้รับจากแรงทุบตีหรือเหล้าทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนตาย เราต้องใช้วิธีทางกายภาพบำบัดช่วย”
“หมายความว่าแม่..แม่จะพิการไปตลอดชีวิตหรือคะ”
“เราก็หวังว่า..การช่วยทางกายภาพบำบัดยังพอมีความหวังอยู่ครับ”
สีหน้า แววตาของเพียรภมรสะเทือนใจสุดขีด
“แม่”
ฉวีอาการหนักมาก ยังอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ เพียรภมรเปิดประตูเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแม่ด้วยแววตาสะเทือนใจ
“หนูรู้...ว่าหนูโหดร้ายกับแม่ แต่หนูจำเป็นต้องทำเพื่อแม่...เหมือนกับที่พยายามปลุกสำนึกของผู้หญิงให้ลุกขึ้นมาสู้กับอำนาจของผู้ชาย แม่สู้ได้...เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่สู้ได้ ถ้าไม่ปล่อยให้อารมณ์มันทำลายพลังของแม่!”
เพียรภมรน้ำตาเอ่อล้นดวงตา เอื้อมมือไปแตะฉวี แต่ต้องชะงัก เพียรภมรสะเทือนใจมากผลุนผลันออกไป
ภาษิตขับรถยนต์เข้ามาจอดในลานจอดรถโรงพยาบาล หยิบช่อดอกไม้ออกมา ท่าทีภาษิตอารมณ์ดี แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นเพียรภมรวิ่งร้องไห้ลงมาเปิดประตูรถ ยืนร้องไห้อยู่ข้างรถยนต์
ภาษิตโยนกระเช้าดอกไม้ทิ้ง ค่อยๆ เดินเข้ามาชะโงกหน้ามอง
“คุณ ร้องไห้ทำไมน่ะ”
เพียรภมรตวาดแว๊ด
“ไปนะ ไปให้พ้น ฉันเกลียดพ่อ..เกลียดคุณ แล้วก็เกลียดผู้ชายทั้งโลกเลย มันเหมือนกันหมด...มันเลวเหมือนกันหมดทุกคน!”
ภาษิตนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูรถยนต์เข้าไปนั่ง ดึงกระเป๋าเพียรภมรมาค้นหากุญแจรถ
“แต่ตอนนี้..ถึงคุณจะเกลียดผมยังไง คุณต้องยอมให้ผมพาคุณไปส่งที่บ้าน”
เพียรภมรแว้ดใส่อีก “ไม่ต้อง!”
“ที่ผมไม่ปล่อยให้คุณนั่งร้องไห้ร้องห่มอยู่ที่ไม่ใช่เพราะสงสารคุณหรอกนะ แต่เพราะผมเห็นว่าคุณเป็นผู้หญิง ส่วนผมเป็นผู้ชาย ถึงจะเกิดในเพศเฮงซวยผมก็ยังเป็นผู้ชายอยู่”
เพียรภมรยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ภาษิตมองเซ็งๆ ขับรถยนต์ออกไป
ภาษิตขับรถยนต์มาจอดที่หน้าโบสถ์ของวัดแหงหนึ่ง เพียรภมรเหลียวไปมองรอบๆ ด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“ก็ผมถามว่าจะให้ไปส่งที่ไหน คุณก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ฟังเสียงผมเลย ผมก็เลยเอาคุณมาส่งไว้ที่นี่น่ะซี”
เพียรภมรสบถ “แก…”
“อ๊ะๆๆ อย่าเรียกผมจิกหัวยังงั้นนะ ผมพยายามช่วยคุณนะ ผมพาคุณมาที่นี่เพราะมีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้”
เพียรภมรงง “อะไร”
ภาษิตพยักหน้าเข้าไปในโบสถ์ เพียรภมรมองตามไป ด้วยความรู้สึกแปลกใจ
ครู่ต่อมา ประตูโบสถ์เปิดออกอย่างช้าๆ แลเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ความสงบเยือกเย็นแผ่คุ้มไปทั่วบริเวณ
เพียรภมรก้าวเข้ามา ตามด้วยภาษิต เพียรภมรเงยหน้าขึ้นมองพักตร์ของพระพุทธรูป ก่อนที่จะลดตัวคลานเข้าไปกราบ นัยน์ตายังเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตา
“ท่านเป็นสิ่งเดียวที่รับทุกข์ของคุณ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่พูด..ท่านไม่ซ้ำเติมหรือปลอบโยน แต่สื่อของเมตตาที่สื่อถึงคุณคุณจะรับได้ด้วยความรู้สึกอบอุ่น คุณจะรู้ว่า...คุณไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
เพียรภมรเบนสายตากลับมามองหน้าภาษิต ก่อนที่หันกลับไปมองพักตร์พระพุทธรูป นิ่งนาน
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 5 (ต่อ)
ศลัยลานั่งกอดเข่าอยู่บริเวณเนินเขา เหม่อมองออกไปอย่างเศร้าหมอง ลายสือเดินเข้ามาท่าทีไม่ย่อท้อ หยุดยืนอยู่เบื้องหลัง
“ผมไม่อยากเข้ามาตอนนี้เลย คุณกำลังคิดถึงเขาอยู่”
“แล้วคุณตามฉันมาทำไม”
“เพราะผมไม่ต้องการให้เขารบกวนจิตใจของคุณ”
ศลัยลาผุดลุกขึ้นยืน อารมณ์เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด
“ฉันไม่เข้าใจคุณจริงๆ นะลายสือ ฉันทบทวนตังเองแล้วฉันไม่เคยทำให้คุณคิดว่าฉันกำลังจะเป็นม่าย ฉันกำลังเปล่าเปลี่ยวกับเรื่องบนเตียง”
“ถ้าผมจะรักคุณ มันไม่ใช่เพราะเหตุนั้นแน่ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า...ผมจะไม่แตะต้องคุณจนกว่าคุณจะหย่ากับเขา!”
ศลัยลาฉุนมาก “ลายสือ”
“คุณกล้าพอที่จะให้ผมพิสูจน์ตัวเองมั้ยล่ะ คุณไม่กล้า....เพราะใจของคุณเอง..ก็ไม่หนักพอที่จะเก็บความซื่อสัตย์ ไว้สังเวยผู้ชายที่คุณกำลังจะหย่า!”
ศลัยลาเริ่มถอยก้าวด้วยความหวั่นไหว หวาดกลัว
“ลายสือ คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวร้าวสามีฉันนะ”
“เพราะเขาเป็นสามี แล้วผมเป็นได้แค่ชายชู้ยังงั้นหรือ”
“ไม่ใช่ คุณเป็นอะไรไม่ได้สำหรับฉัน นอกจากไอ้บ้า ไอ้บ้า...ได้ยินมั้ย..ไอ้บ้า!”
“ก็หย่ากับเขาซี...ถ้าคุณไม่หย่าผมอาจจะเป็นได้แค่ชายชู้ หย่าซี...ผมรักคุณนะ และนี่คือข้อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้พูดเล่น....”
โดยที่ศลัยลาไม่ทันคาดคิด ลายสือรั้งใบหน้าจูบศลัยลาทันทีอย่างรุนแรง
ศลัยลาดึงตัวเออก ตบหน้าลายสือแล้ววิ่งลงเนินเขาไปทันที ลายสือเริ่มรู้สึกตัว มองตามศลัยลาไป เริ่มรู้สึกตัว
“นี่ นี่มึงทำอะไรลงไปนี่ ไอ้บ้า!”
ภูฉายกำลังยืนหมุนโทรศัพท์อยู่ สีหน้าขรึมๆ สลักแต่งตัวพร้อมจะไปนอกบ้าน
“อย่าลืมให้นมตาหนูตอนบ่ายโมงด้วยนะฉันไปหาหมอแล้วจะเลยไปซื้อของ ภูเขาอยู่เขาจะได้ขับรถให้นั่ง ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่”
สลักสั่งงานละมัยที่รีบรับคำ “ค่ะ”
“นั่นจะโทร. ไปไหนน่ะ ภู”
“บ้านคุณแม่ศลัยลาครับ”
สลักได้ฟังก็หน้า “โทร. ไปทำไม ไม่ต้องไปมีน้ำใจกับเขาหรอก คนพวกนั้นน่ะเหลือกินเหลือใช้กันนัก ไป..ไปเถอะ”
“ครับ...แม่”
ภูฉายเดินตามสลักออกไปแล้ว
ละมัยมองตาม แกล้งล้อเลียนวางท่ากระด้างกระเดื่องใส่
“ไม่ไป...ไม่ว่าง...ไม่มีเวลา..มีอะไรมั้ย แหม อยากรู้จังคุณนายแกจะเป็นยังไง ฮึ”
ขณะเดียวกันศลัยลาตักน้ำจากโอ่งเล็กๆ มาล้างหน้าที่หน้าต่างห้อง ท่าทีอิดโรย นิ่งคิด ลายสือเดินเข้ามา เงยหน้าขึ้นมองเห็นศลัยลาพอดี ศลัยลาชะงัก
“ฉัน....เอ้อ...ฉัน...”
“คุณไม่ต้องเสียใจหรอกที่คุณตบหน้าผมเมื่อวาน”
“เปล่า แต่ฉันกำลังจะบอกว่าไอ้ที่ตบน่ะน้อยไปนะ ถ้าฉันมีปืนฉันจะยิงคุณทิ้ง!”
“ผมเองก็ไม่ได้มาขอโทษที่ผมจูบคุณ ผมขอบอกว่าผมตั้งใจทำ” ลายสือบอกอย่างอวดเก่ง
“ฉันไม่ถือหรอก ของยังงี้...ถือว่าทำทานแก่สัตว์โลกผู้หิวโหยแต่ขอเตือนด้วยความหวังดี ฉันแจ้งอาจารย์อังเดรเมื่อไหร่ คุณจะหมดสภาพนักศึกษา”
ลายสือเยาะ “โอ้ย...กลัวจังเลย”
“นี่ไม่ใช่คำขู่นะ อย่าคิดว่าฉันรักชื่อเสียงจนฉันไม่กล้าประจานตัวเอง แล้วจะบอกอะไรให้ ถ้าฉันเชื่อในความกลัดมันของผู้ชายที่จูบฉันละก็ ฉันคงต้อง...เอ้อ..มีไว้ครอบครองรอบเอว แล้วไอ้ที่คุณทำลงไปน่ะ มันทั้งจืด ทั้งเชยนะ!”
ศลัยลาเดินหายไปจากหน้าต่าง ลายสือยืนทำหน้าเจื่อนๆ ผจงจิตเดินมาที่ระเบียงยกกระป๋องน้ำสาดน้ำทิ้งโดนลายสือเปียกโชกไปทั้งตัว
“ต๊าย...ลายสือ” ผจงจิตตกใจมาก
อีกฟากหนึ่ง อีตัวที่ภูฉายเคยหิ้วไปนอนด้วยเดินคุยมากับเพื่อนอีตัวด้วยกัน สองสาวกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในแผนกเสื้อผ้าสตรีของห้างดัง
“โอ้ย แพงว่ะ ใส่ๆ ถอดๆไม่ต้องซื้อของแพงหรอกเอาเงินเก็บไว้ซื้อข้าวกินดีกว่า เสื้ออะไรวะชุดซะตั้งสามพัน”
สลักเดินดูเสื้อผ้าให้ภูฉาย อีตัวจำภูฉายได้ เขม้นมอง ท่าทีภูฉายนิ่งขรึม กังวลใจอย่างเงียบๆ
“สีนี้ดีมั้ยลูก ใส่ไปทำงานก็ได้ ขาวๆ เรียบๆ ใช้ได้หลายโอกาส”
“กลับเถอะครับแม่ ผมเป็นห่วงตาหนู”
“นานๆ จะพาแม่ออกมาเปิดหูเปิดตา ร้องจะกลับบ้านท่าเดียวแกนี่ หรือไม่เต็มใจจะดูแลแม่”
“เอ้อ...”
อีตัวปราดเข้ามาทัก
“พี่...พี่น่ะเอง จำหนูได้มั้ย..พี่เคยไปนอนกับหนูไงล่ะ ก็ที่พี่...”
สลักกระชากมืออีตัวออกไปจากตัวภูฉายด้วยความโกรธ
“อะไรกันนี่ อะไรกัน มาจับมือถือแขนลูกชายฉันได้ยังไง!”
“ต๊าย นี่แม่พี่หรือ”
“เอ้อ...” ภูฉายอึกอัก
“ย่ะ ฉันเป็นแม่เค้า แล้วแกล่ะเป็นใคร รู้จักมักจี่ลูกฉันได้ยังไง นี่ใครกันนี่ภู”
“พี่คงจำหนูไม่ได้มั้ง ก็เราเคยไปนอนด้วยกันที่โรงแรมไงล่ะแล้วพี่ก็…”
อีตัวพูดไม่ทันจบ สลักร้องลั่น “ต๊าย...ภู แกทำยังงั้นจริงๆหรือ นอนกับผู้หญิงชั้นต่ำพรรค์นี้น่ะนะ..ไป...กลับบ้าน..ไปเดี๋ยวนี้เลย...กลับ...”
สลักกระชากภูฉายออกไปด้วยความโกรธ อีตัวมองตามไปอย่างงงๆ
“อ้าว...เฮ้ย พี่เขายังไม่อดนมอีกหรือวะ!”
ขณะที่ละมัยกำลังรีดผ้าอยู่ สลักลากภูฉายเข้ามาในบ้า่น แล้วกระหน่ำตีๆๆๆๆ ด้วยความโมโห
“นี่แน่ะ...นี่...ไปติดเชื้อสำส่อนมาจากไหน มาจากพ่อแกใช่มั้ยผู้หญิงสกปรกพรรค์นั้นแกไปนอนกับมันได้ยังไง”
“แม่ครับ ฟังผมก่อน...”
“ฉันไม่ฟัง เรื่องบัดสีทั้งนั้น ฟังก็สกปรกหูเปล่าๆ นังมัย”
ละมัยวางเตารีดขานรับ “ขา...”
“ไปผสมน้ำอุ่นใส่น้ำยาฆ่าเชื้อใส่ลงไปเยอะๆ นะ ฉันจะจับภูฉายอาบน้ำ”
“โธ่ แม่ครับ”
“ไป ขึ้นไปข้างบนกับแม่ ไปอาบน้ำสระผม แช่น้ำยาฆ่าเชื้อ แม่ไม่อยากให้แกตายเพราะโรคเอดส์ เข้าใจมั้ย”
“ครับ...แม่”
สลักลากตัวภูฉายขึ้นข้างบนไป ราวกับลูกเป็นเด็กๆ ละมัยตาเหลือกด้วยความตื่นตระหนก
“คุณภู ไปนอนกับ..ผู้หญิง!”
ทางด้านภาษิตนั่งเล่นวีดีโอเกมเล็กๆ ในมือ อยู่ในห้องโถง นภานภาเพิ่งกลับจากนอกบ้าน กระแทกกระเป๋าประชด
“ฉันไปเยี่ยมลุงประสูติ..คุณลุงบอกว่ายังไม่เคยเห็นหน้าหลานรักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่แกเบิกค่ากระเช้าดอกไม้ไปแปดร้อย”
“เอ้อ...คือว่า....ผม...”
“แกหลอกแม่!”
ภาษิตพยายามจะคิดหาคำอธิบาย “เปล่าครับ แต่ว่า...”
“แต่ว่า...ทั้งหน้าของแกทั้งกระเช้าดอกไม้ ไปไม่ถึงโรงพยาบาล”
“ไปถึงครับ แต่ว่า...”
“ไม่ถึงห้องคุณลุงประสูติใช่มั้ยล่ะ มานี่...”
นวลนภาบิดหูลูกชาย ภาษิตร้องลั่น “โอ๊ย”
“แม่สอนแกมาตลอดชีวิตใช่มั้ย...อะไรแม่ทนได้ทั้งนั้น แต่อย่าริอ่านโกหก มานี่ซะดีๆ แล้วอาทิตย์นี้ธนาคารปิด งดจ่าย”
นวลนภาบิดหูภาษิตอีก คราวนี้เขาร้องเสียงหลง
ฉวีนอนนิ่งๆ ไม่ได้สติอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพักฟื้น เพียรภมรเปิดประตู ถือกระเช้าเข้ามาวางที่หัวเตียง ก้าวเข้ามานั่งมองแม่
“หนูไม่รู้ว่า..หนูอยากให้แม่ตายเพื่อให้แม่พ้นจากความทุกข์นี่ หรือหนูอยากให้แม่มีชีวิตอยู่ เพื่อ...เพื่อเป็นตัวอย่างที่สอนบทเรียนให้ผู้หญิงสู้ ให้โลกรู้ว่า...มีผู้ชายเลวๆ มีผู้ชายเฮงซวยอยู่ในสังคมนี้มากขึ้นทุกวัน...ทุกวัน…”
น้ำตาของเพียรภมรคลออยู่เต็มในดวงตาที่เด็ดเดี่ยว และเข้มแข็งคู่นั้น
ศลัยลายืนกอดอก พิงกำแพงโบราณสถานท่าทีเหม่อลอย ผจงจิตเดินเข้ามา
“ไม่กินข้าวหรือศลัย”
“ฉันไม่หิว”
“ไม่หิวหรือกินไม่ลงกันแน่ ศลัย...ผัวเมียที่อยู่ร่วมกันนานๆ บางทีมันก็เหมือนเหล้าที่เรารินทิ้งไว้ มันเจือจาง มันปร่ารส จากกันเสียบ้าง มีเวลาทบทวนตัวเอง กลับไปนี่...ศลัยกับเขาอาจจะเหมือนคนเพิ่งแต่งงานกันก็ได้นะ”
“ขอให้เป็นยังงั้นเถอะ แต่ยิ่งอยู่ห่างภู ฉันยิ่งรู้ว่า...ฉันกับเขา...”
“ศลัย...เธอมีลูกกับเขานะ คิดถึงลูกให้มาก อะไรทำให้เธอปั่นป่วนยังงี้
สีหน้า แววตาของศลัยเริ่มหวาดหวั่น ขณะบอก
“ฉันก็ไม่รู้”
ฝ่ายสลักกระวนกระวายรอภูฉายอยู่ในบ้าน ละมัยชะโงกมองที่หน้าประตูใหญ่
“คุณภูมาแล้วค่ะ หนูออกไปเปิดประตูนะคะ”
“อ้อ มาแล้วหรือ”
ละมัยออกไป สลักถอนหายใจอย่างโล่งอก ปรับสีหน้าให้มึนตึง ภูฉายเพิ่งกลับจากทำงาน
“ไปไหนมาภู ไปเที่ยวซุกซนสกปรกหรือเปล่า”
“ผมเพิ่งกลับจากที่ทำงานน่ะครับ วันนี้มีปัญหา ผมเลยต้องอยู่ถึงค่ำ”
สลักจ้องตา “แน่นะ”
“ครับ”
“ไม่ได้ไปทำตัวเป็นพวกผู้ชายตะกละ กินของสกปรกเหมือนพ่อแกนะ รายนั้นน่ะไปนอกไปคว้านังอะไรก็ไม่รู้ เป็นแค่ลูกจ้างฝรั่งมาทำเมีย ชีวิตถึงได้ตกต่ำ ไปไม่ถึงฝั่ง แกต้องทำตัวให้ดีกว่าพ่อแก ไม่ยังงั้นพวกนังศลัยมันจะว่าได้ว่า...แม่อบรมแกไม่ดี จริงมั้ย”
แววตาของภูฉายสลดลง รับคำมารดาเบาๆ อย่างรู้สึกผิด
“ครับ...แม่”
ส่วนศลัยลา และนักโบราณคดีอยู่ในหลุมขุดแต่ง ต่างคนต่างทำงานอยู่ไป ลายสือปลีกตัวมาจากกลุ่มผลึกและอังเดร เดินเข้ามาหาศลัยลา ท่าทีอาทร
“เมื่อวานทำไมคุณไม่กินข้าว”
“คุณก็เลยคิดว่าฉันตื่นเต้นกับรสจูบของเด็กเมื่อวานซืนเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับซีนะ”
ศลัยลาพูดพร้อมกับทำงานไปตามปกติ ท่าทีขบขัน เย้ยหยัน ลายสือหัวเราะเบาๆ ศลัยลาชะงัก ขมวดคิ้ว ตาขุ่น
“เห็นฉันเป็นตัวตลกหรือยังไง เด็กบ้า”
ลายสือหน้านวลด้านข้าง “เสน่ห์ของคุณอยู่ที่ คุณพยายามทำตัวเชี่ยวชาญไอ้เชิงพรรค์อย่างว่า ทั้งที่จริงๆ แล้วคุณทำไม่ได้ดีเลย รู้มั้ย”
“ขอบใจนะ ที่บอกฉันว่า...ฉันยั่วผู้ชายได้ดีแค่..พอใช้!”
“คุณยั่วได้ดีมากเลย ถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเนื้อนมไข่ก็เถอะ”
“ลายสือ!”
น้ำเสียง แววตาของศลัยลาจริงจัง เคร่งขรึม
“ฉันอายุสามสิบกว่าแล้วนะ วัยของฉันเป็นน้าคุณยังได้เลย ไอ้เรื่องจูบหรือจับนี่ มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กมือคัน ฉันถือว่าฉันทำทานคุณไปแล้ว แล้วฉันจะกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลไปให้!”
ศลัยลาลุกเดินหนีไป สีหน้าที่ยิ้มรื่นเริงของลายสือค่อยๆ จางลงอย่างช้าๆ
อ่านต่อ ตอนที่ 6