ปีกมาร ตอนที่ 1
ความรักเบ่งบานในใจ ศลัยลา หรือ ศลัย สาวนักโบราณคดี หลังพบรักกับ ภูฉาย นายธนาคารนักการเงินหนุ่มอนาคตไกล ไม่นาน
ศลัยลาเป็นปลื้มในความอบอุ่น อ่อนโยน และรักมารดาสุดหัวใจของชายหนุ่ม ขณะภูฉายเองก็ตกหลุมรักในความสดใส และมั่นใจในตัวเองของเธอ
สองคนมักหาโอกาสเติมความหวานให้กันและกันเสมอๆ ทั้งสองควงคู่เดินชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้า ปั่นจักรยานในสวนสาธารณะ อย่างมีความสุข
ไม่นานต่อมา ทั้งคู่เดินเคียงกันอยู่ในเอเชียทีค บรรยากาศสุขล้น จากนั้นสองคนมาบริจาคเลือดที่ภากาชาด มองหน้ากันอย่างมีความสุข
ตกตอนค่ำภายในร้านอาหารหรู ภูฉายยื่นดอกกุหลาบสีขาวให้ศลัยลา สองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ท่ามกลางบรรยากาศงดงาม โรแมนติก ทั้งสองคนชนแก้วยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
รุ่งเช้าวันต่อมา ที่บ้านพักริมทะเลแห่งนั้น แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องเข้าในห้อง ศลัยลา และ ภูฉาย ค่อยๆ ลืมตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทั้งสองคนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน มองหน้ากันลึกซึ้ง ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“ชีวิตผม..มีคุณ..มีแม่ แต่งงานกับผมนะ ศลัย” ภูฉายบอกเสียงนุ่ม
“ค่ะ ชีวิตฉันก็มีคุณ..มีแม่ แถมยังมีน้องชายอีกคน แต่งงานกับฉันนะคะ ภูฉาย”
ศลัยลายิ้มขบขัน นัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า
“ศลัย ผมรักคุณ”
“ฉันก็รักคุณค่ะ ภูฉาย”
ทั้งสองจูบกันด้วยความรักอย่างดื่มด่ำ
วันหนึ่งภูฉายขับรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าประตูใหญ่บ้านเรือนไทยของ คุณสลัก ผู้เป็นมารดา ละมัย สาวใช้วิ่งออกมาเปิดประตูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มองมายังภูฉายด้วยความร้อนใจ ก่อนมองเลยไปยังศลัยลาซึ่งนั่งคู่มากับภูฉาย
ภูฉายขับรถยนต์ผ่านเข้ามาจอดหน้าตึก จับมือของศลัยลาไว้ บีบเบาๆ ต่างมองสบสายตาของกันและกันด้วยความรัก
ละมัยวิ่งตามมาที่รถยนต์ด้วยท่าทีร้อนใจ
“คุณภูคะ”
ละมัยชะงัก เพ่งมองไปยังมือของภูฉายและศลัยลาที่ยังกระชับมือกันอยู่ กิริยาของสาวใช้ยิ่งหวั่นกลัว
ละมัยอึกอัก “เอ้อ…”
ศลัยลาถาม “แน่ใจหรือคะ ว่าคุณพร้อม...”
“ผมพร้อมตั้งแต่ผมรู้ว่าผมรักคุณแล้วละครับศลัย เราจะแต่งงานกัน คุณแม่อยู่ข้างบนใช่มั้ย ละมัย” ชายหนุ่มหันมาทางสาวใช้ที่ยืนสีหน้าหวาดหวั่นอยู่อย่างเก่า
“เอ้อ...”
ละมัยยังคงจ้องมองมือของศลัยลาและภูฉายไม่วางตา ศลัยลามองขึ้นไปยังชั้นที่สองของเรือนไทยด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความสุข
“ไปเถอะครับ ขึ้นไปพบแม่ผม” ภูฉายบอก
คราวนี้ละมัยร้องห้ามขึ้นทันที “ยะ..อย่านะคะ”
ภูฉายฉงน “ทำไมล่ะ ละมัย”
“เอ้อ..เพราะ..เพราะ…”
ศลัยลามองสบสายตาของละมัยด้วยความแปลกใจ สาวใช้หน้าเสีย หลบสายตาวูบ ตอบตะกุกตะกัก
“เพราะว่า…”
ยินเสียงแก้วกระทบพื้นแตกกระจายดังเพล้งมาจกด้านในเรือนไทย สลักนั่นเองกำลังขว้างข้าวของใส่หน้าทะนงด้วยความโกรธแค้น พร้อมกับแผดเสียงใส่หน้าทะนงอดีตสามี บิดาของภูฉายอย่างเกรี้ยวกราด เพราะทะนงเคยทิ้งสลักและภูฉายไปเมื่อภูฉายยังเยาว์วัย
“ออกไป อย่าเข้ามาในบ้านฉันอีก...เอารอยรองเท้ากับเสนียดของคุณออกไปด้วย ไอ้คนสารเลว ออกไป..!”
“คุณสลัก..ฟังผมนะ นี่ผมไม่ได้มาแก้ตัว แต่ผมมาหาภูฉาย ผมอยากพบลูก”
“ลูกหรือ เพิ่งจำได้หรือว่ามีลูก ทะนง คุณเป็นอัลไซเมอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ทะนงยืนกรานคำเดิม “ผมแค่ต้องการพบภูฉาย”
น้ำเสียง แววตาของสลักทั้งโกรธแค้นและขมขื่น
“คุณจะพบเขาเพื่ออะไร คุณทิ้งเขาไปกี่ปีแล้ว ตั้งแต่คุณไปนอก คุณบอกฉันว่าจะไปทำงานเมืองนอก แล้วคุณก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย คุณไป...ตั้งแต่เขายังเด็ก!”
“ผมเสียใจ..ผม...” ทะนงหน้าหมอง
“เอาคำเสียใจของคุณกลับไปด้วย เพราะมันระยำพอๆ กับเรื่องที่คุณทำกับฉัน คุณหักหลังฉัน” สลักแผดเสียง เนื้อตัวสั่นสะท้าน “คุณแทงฉันจนพรุนไปทั้งตัว คุณรู้มั้ยว่าฉันเจ็บแค่ไหน..ออกจากบ้านฉัน..เดี๋ยวนี้!”
ภูฉายเปิดประตูเข้ามา ขณะสลักตะเพิดทะนงด้วยเสียงกราดเกรี้ยวอยู่
“ออกไป”
ภูฉายตกใจ “คุณแม่”
ทะนงตื่นเต้น ขยับจะเข้าหา “ภู...นั่นภูฉายใช่มั้ยลูก...”
สลักโผนเข้าผลักอกของทะนงเซไป รีบเอาตัวกันภูฉายไว้อย่างหวงแหน
“ฉันบอกให้คุณออกไป ไม่ไปใช่มั้ย เอาซี..ฉันจะฆ่าแก ฉันจะเชือดแกเป็นชิ้นๆ แก…”
ไม่พูดเปล่าสลักคว้ามีดปอกผลไม้ แต่ภูฉายรีบคว้าแขนสลักไว้ ทะนงลนลานออกไปจากห้อง
ภูฉายกอดแม่ไว้แน่น สลักร้องไห้โฮๆ ปล่อยมีดหลุดจากมือ ร้องครวญคร่ำ
“ภู...ช่วยแม่ด้วย...อย่าทิ้งแม่นะ อย่าทิ้งแม่เหมือนอย่างที่พ่อแกทิ้ง แม่ไม่มีใครเลย..ไม่มีใครอีกแล้ว อย่าทิ้งแม่!”
ศลัยลาค่อยๆ ก้าวเข้ามา จ้องมองสลักร่ำไห้อย่างตื่นตะลึง สายตามองไปยังมีดที่พื้นด้วยความหวั่นกลัว
“ผมอยู่นี่ครับแม่ ผมอยู่นี่” ภูฉายปลอบประโลม
“แก..แกจะไม่หนีแม่ไปไหนใช่มั้ย สัญญาซีภู..ภูฉาย แกจะอยู่กับแม่ตลอดไป..ใช่มั้ย”
ภูฉายลนลานรับคำด้วยความรัก และความเกรงกลัว ที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเขาตั้งแต่เล็กจนโต
“ครับแม่”
สลักสงบลงแล้ว ทะนงรอภูฉายอยู่ สองพ่อลูกออกมาคุยกันนอกบ้าน
“คุณสลักเป็นอยู่โรคเดียว โรคเรียกร้องความรัก ความรักนี่..มันจำกัดขีดของมันไม่ได้ มันไม่รู้ว่าต้องมีเท่าไหร่ ต้องให้เท่าไหร่ นี่คือเหตุผลที่พ่ออยู่กับแม่แกไม่ได้ พ่อต้องมีชีวิตของพ่อเอง ไม่มีใครให้ใครได้หมดหรอก”
“เหตุผลแค่นี้เองหรือครับ ที่พ่อทิ้งแม่กับผมไป”
“ภูฉาย พ่อรู้..มันยากที่เราจะต่อกันติด พ่อซื้อไร่ไว้แถวๆ สระบุรี เมื่อไหร่ที่แกต้องการใครสักคนที่เข้าใจแกละก็..นี่..นามบัตรของพ่อ”
ทะนงยื่นนามบัตรให้ภูฉายก่อนเดินออกไป
ภูฉายมองนามบัตรในมืออย่างเย็นชาก่อนเก็บไว้อย่างเสียไม่ได้
ด้านศลัยลาเดินดูรูปบรรพบุรุษของภูฉายก่อนเดินมาหยุดที่รูปถ่ายวัยสาวของสลักด้วยความสนใจ สาวใช้นำน้ำเย็นเข้ามาวาง มองศลัยลาด้วยแววตาแปลกๆ
“ขอบใจจ้ะ”
ภูฉายเดินลงมาจากชั้นบน สวนทางกับสาวใช้ สาวใช้เดินเลยไปแล้วจึงหลบมุมแอบดูท่าทีภูฉายอย่างเป็นกังวล
“ผมขอโทษด้วยนะครับ ที่..เอ้อ..ที่…”
“คุณแม่คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมให้แม่กินยานอนหลับ ตอนนี้หลับไปแล้วละครับ แม่...เอ้อ...”
“ผู้ชายคนนั้น คุณพ่อคุณหรือคะ”
ภูฉายอึกอักอีก “เอ้อ...เขา...”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะภู วันนี้ไม่ได้พบคุณแม่คุณ ไว้ฉันมาวันหลังก็ได้ค่ะ ดูแลคุณแม่ให้ดีๆ นะคะ ฉันจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง”
“ผมจะเดินไปส่งคุณขึ้นแท๊กซี่ครับ”
ภูฉายจับมือศลัยลา จูงมือกันเดินออกไป ผ่านหน้าละมัยที่ยืนแอบมองอยู่ตื่นๆ แต่รีบกลบเกลื่อนสีหน้า สาวใช้มองตามที่มือ พึมพำเบาๆ
“พระจันทร์ทรงกลด! นี่ถ้าคุณนายรู้ว่าคุณภูจับมือถือแขนกับผู้หญิงละก็..ระเบิดลงใหญ่กว่าลูกเมื่อกี้แหงๆ”
ละมัยสยองแทนภูฉาย
สลักเริ่มรู้สึกตัว ใช้มือควานข้างกาย ก่อนลืมตาขึ้นด้วยความหวาดระแวง
“ภู..ภูฉาย ภูฉาย!” สลักส่งเสียงเรียก พรวดพราดลุกขึ้นนั่ง
“นังมัย!”
เสียงสาวใช้ตอบก่อนเปิดประตูเข้ามา ท่าทีสลักร้อนใจ
“ขา คุณนาย”
“ภูฉายไปไหน”
“เอ้อ ออก..ออกไปส่งเพื่อนค่ะ”
“เพื่อน ร้อยวันพันปีฉันไม่เคยเห็นภูฉายมีเพื่อน ใคร...ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ละมัยหน้าซีดตัวสั่นด้วยความกลัว
“ผะ..พะ..ผะ..ผู้..ผู้..ผู้...”
สลักตวาด “ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ละมัยสะดุ้ง “ผู้หญิงค่ะ!”
สีหน้า แววตาของสลักตื่นโพรงไปด้วยความแปลกใจ เสียงแผ่วลง
“ผู้หญิงหรือ”
ด้านนวลนภากำลังเตรียมอาหารให้ลูกๆ สมเป็นครอบครัวที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรัก และความเข้าใจกัน ถึงแม้ว่านวลนภาจะเป็นหม้าย
ภาษิตนั่งกินอาหารเช้าไป ดูข่าวกีฬาทางโทรทัศน์ไปด้วย ท่าทีของภาษิตง่ายๆ สบายๆ ไม่มีระเบียบ ภาษิตละสายตาจากโทรทัศน์ หันมามองศลัยลา
นวลนภาถามลูกสาว “ไม่เร็วไปหน่อยหรือศลัย แม่เห็นเราคบกับผู้ชายคนนี้ได้แค่หกเดือน รู้จักมักจี่เขาดีแค่ไหนถึงได้ตัดสินใจจะแต่งงานกับเขา”
“เขาเป็นคนดีค่ะ เขาอบอุ่นมั่นคง ข้อสำคัญเขาเป็นผู้ชายรักแม่ แต่งงานกันแล้วเขาต้องเป็นสามีที่แสนวิเศษ”
“แต่..จะไม่ทำความรู้จักเขามุมอื่นเลยหรือ มนุษย์ผู้ชายน่ะมีหลายมุมหลายด้านนะลูก”
“โธ่..แม่คะ พออยู่ด้วยกัน ก็ทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆ ซีคะ ไม่เสียเวลาดี”
ภาษิตแทรกขึ้น “ถึงตอนนั้น..แล้วรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ล่ะพี่ศลัย..กลับลำเหมือนกลับหัวเรือจะไม่ทันนะเจ๊!”
“เรื่องของผู้ใหญ่..น้องหมาไม่เกี่ยว” ศลัยลาแขวะน้องชายขำๆ
นวลนภาเริ่มกังวลอย่างเงียบๆ กับการตัดสินใจของศลัยลา
คืนนั้นศลัยลากลับเข้ามาในห้อง มองดูรูปตัวเองกับภูฉาย มีข้อความไลน์ของภูฉายเข้ามาในโทรศัพท์ บอกว่า “พรุ่งนี้ผมมารับคุณนะ” ศลัยลายิ้มมีความสุข
วันต่อมาสลักจัดอาหารเช้าอย่างประณีตสำหรับภูฉาย วางแก้วนมลง ภูฉายก้าวเข้ามาใกล้ๆ สลักด้วยท่าทีกลัวๆ กล้าๆ ขาดความมั่นใจ
“เอ้อ แม่ครับ ผมมีเรื่องจะพูดด้วย”
“ต้องหลังจากกินของเช้า แม่เตรียมอาหารครบหมู่ แกจะได้ไม่ขาดสารตัวไหน”
เสียงกริ่งโทรศัพท์สายในบ้านดังขึ้น สลักหันขวับไปยังโทรศัพท์ เริ่มมีอาการหวาดระแวงทะนง ละมัยสาวใช้เดินไปรับโทรศัพท์
“บ้านคุณนายสลักค่ะ..คะ..จะพูดกับใครนะคะ จะพูดกับคุณนายหรือคะ”
“ใคร!” สลักถาม
“เอ้อ..เขาบอกว่าเขาเป็นคุณพ่อของคุณภูฉายค่ะ”
“วางลง ฉันไม่รับสาย” สลักตวาด “กระแทกลงไปเลย ไม่ก็บอกให้มันไปลงนรกซะ..ไอ้คนสารเลว มันจะแย่งลูกฉันไป ใช่ซี..พอลูกฉันได้ดิบได้ดี มันจะมาทวงความเป็นพ่อ ฉันบอกให้แกวางหูลงไงล่ะ ละมัย”
ภูฉายถอนใจ หน้าสลดลงทันที
“วะ..วางเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
สาวใช้รีบวางหูโทรศัพท์ลงด้วยท่าทีตกใจกลัว สลักเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ
“แม่..แม่ครับ..แม่..มัย เรียกรถพยาบาลเร็ว”
“ค่ะ”
สาวใช้รีบกดโทรศัพท์
“ภู..ช่วยแม่ด้วย อย่าทิ้งแม่ไปนะ อย่าทิ้งแม่ไป แม่อยู่ไม่ได้ถ้าแม่ขาดลูก แม่ต้องตาย..แม่ต้องตาย”
สลักร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในอ้อมแขนของลูกชาย
สีหน้าของภูฉายสลดลง ก่อนรับคำเบาๆ เช่นเคย
“ครับ...แม่”
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)
ศลัยลานั่งเฝ้ารอโทรศัพท์จากภูฉายเงียบๆ ขณะภาษิตกับนวลนภากำลังถกเถียงกันแบบเง้างอนประสาแม่ลูก ขัดแย้งเล็กๆ
“ผมไม่ใช่ลูกแหง่นะครับแม่..ผมเลิกกินนมแม่มาตั้งนานแล้ว จะให้ผมพูดเป็นอยู่คำเดียว..ครับแม่ ผมต้องมีความคิดของผมเอง ไม่ยังงั้นผมจะเรียนหนังสือทำไม”
“แกเรียนมาเถียงแม่ฉอดๆ คำไม่ตกฟากน่ะซี ไม่ให้ไป!”
ภาษิตครวญ “โธ่..แม่ครับ แต่ว่า...”
“ไปนอนค้างอ้างแรม ไม่รู้ไปมั่วสุมพนันบอลหรือเปล่า จะดูบอลดูที่บ้านก็ได้”
“โธ่ ฟีลมันไม่เหมือนกันครับ มันไม่ได้อารมณ์!”
“ตั้งแต่แกเรียนถาปัตย์มา ฉันไม่เคยเห็นเกรดแกเลย เห็นแต่เพื่อนเยอะแยะ..ญาติทั้งเมือง อีกหน่อยฉันจะส่งแกไปอยู่กรมประชาสงเคราะห์”
นวลนภาเดินออกไป ภาษิตมองตามด้วยสีหน้าเซ็งๆ พอดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศลัยลาลนลานรับโทรศัพท์
“ภูหรือคะ…”
ภูฉายอยู่โรงพยาบาล โทรศัพท์ถึงศลัยลาด้วยความกังวล เพราะสลักมีอาการนช็อคต้องนำส่งโรงพยาบาล
“แม่ไม่สบายต้องส่งโรงพยาบาล ผมก็เลยไม่ได้โทร.ถึงคุณ เอาไว้ให้แม่หายดีเราค่อยนัดกันเรื่อง ที่ผมจะพาคุณไปไหว้แม่ผม...แม่ยังหลับอยู่ คงไม่แย่กว่าทุกครั้งหรอกครับ หมอบอกว่าไม่มีอะไร”
ภาษิตมองมาเห็นสีหน้าของศลัยลาสลดลง ผิดหวัง
“ไม่เป็นไรค่ะดูแลคุณแม่ให้ดีๆ นะคะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะภู เรานัดกันเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันพร้อมค่ะ แล้วฉันก็อยากให้คุณแม่คุณพร้อมด้วย บายค่ะ...”
ศลัยลาวางโทรศัพท์ลงด้วยความผิดหวัง ภาษิตถามขึ้น
“ผู้ชายคนที่พี่ศลัยจะแต่งงานด้วย เขาผิดนัดอีกแล้ว...ใช่มั้ย”
ศลัยลานิ่งอึ้งไป
ที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง เพียรภมร นั่งฟังศลัยลาปรับทุกข์
“เขาผิดนัดเธออีกแล้วหรือศลัย”
“แม่เขาป่วย ต้องเลื่อนนัดไปอีก”
“นี่ถ้าแต่งงานกันแล้ว แม่เขาไม่สบายทุกวันยังงี้ ภูฉายเขามิต้องไปเฝ้าแม่เขาทุกวันหรือ” เพียรภมรท้วง
“เขาเป็นผู้ชายรักแม่นะ ไม่ดีหรือ..ผู้ชายรักแม่เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จะตายไป”
ศลัยลายิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันภูมิใจที่ภูเป็นคนรักแม่ เพราะผู้ชายรักแม่ทุกคน เป็นคนรักครอบครัว ยังไงฉันก็จะแต่งงานกับภูฉาย”
ไม่นานต่อมาศลัยลาขับรถยนต์มาตามทาง กำลังไปส่งเพียรภมรที่บ้านเช่า
“ฟังที่เธอเล่าเหมือนแม่เขาเป็นโรคประสาท เธอกล้าแต่งงานกับผู้ชายที่มีแม่เป็นโรคประสาทหรือ ภูฉายน่ะ...เขาเป็นคนดีก็จริง แต่ผู้ชายดีๆ ที่ยังเป็นลูกแหง่ติดแม่น่ะ ภาวะทางอารมณ์เขายังไม่โตนะ”
“ไว้ให้ฉันแต่งงานกับเขาก่อน” สุ้มเสียงศลัยลาแผ่วๆ แต่จริงจัง ท้ายประโยคเจือล้อเลียน “แล้วฉันจะทำให้เขาโต!”
ท่าทีศลัยลาติดตลก เชื่อมั่นในตัวเอง
“ศลัย ภูมิหลังของเขามันบอกที่มาที่ไปนะ ฉันก็ไม่ใช่ผู้วิเศษหรอก ภูมิหลังของฉันแย่ ทำให้ฉันคิดเยอะ คนข้างๆ ฉันก็ต้องคิดแยะไปด้วย แต่งงานน่ะ..ไม่ได้แต่งกับภูฉายคนเดียวนะ ต้องแต่งกับแม่เขาด้วย” เพียรภมรเตือน
“ฉัน...เอาอยู่...น่ะ”
เพียรภมรได้แต่รับฟัง เป็นห่วงศลัยลาเหลือเกิน
ศลัยลาขับรถยนต์มาจอดส่งเพียรภมรที่หน้าบ้านเช่า ซึ่งเป็นบ้านไม้ในชุมชนแออัด ฉวีนุ่งกระโจมอกในสภาพกึ่มๆ ตึงๆ อยู่ในวงเบียร์กับก๊กก๊วนที่ล้วนเป็นกุ๊ย ท่าทีกิริยาของฉวีถ่อยและหยาบคาย
“ส่งแค่นี้นะเพียร” ศลัยลาบอกลา
ฉวีส่งเสียงตะโกนประชด
“กลับมาแล้วแม่ทนายใหญ่ มัวแต่กระบิดกระบวยสั่งลากันอยู่นั่นแหละ ไอ้พวกมีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่ค่อยรอดนี่ เขาไม่ได้สอนให้มีสำนึกในหน้าที่เลยเรอะ ข้าวปลายังไม่ได้หุง แล้วยังงี้กูจะ ไปทำงานยังไง!”
แววตาของเพียรภมรกระด้าง ขมขื่น ปนเบื่อหน่าย ศลัยลายิ้มปลอบโยน
“แล้วค่อยเจอกันนะ เพียร”
เพียรภมรพยักหน้ารับ “ฮื่อ...”
ศลัยลาขับรถยนต์ออกไป ฉวีมองตามด้วยท่าทีหมั่นไส้
“รวยซีนะ..มีรถขับนี่!”
เพียรภมรชำเลืองมองฉวีและตัวประกอบเงียบๆ เดินผ่านเข้าไปในบ้าน
“นี่ก็อีกคน..เรียนสำเร็จมีงานทำเมื่อไหร่ คงไม่เห็นหัวแม่ ทั้งที่แม่นี่แหละออกแรงเบ่ง แม่เจ็บปางตาย ลำบากลำบนแค่ไหน ..ไม่รู้..ไม่เคยสำนึก”
เพียรภมรหันมามองฉวีด้วยแววตาเฉยเมย เย็นชา ก่อนจะเข้าบ้าน แล้วปิดประตูดังปัง
“ดู๊..ดูนะ ดูมันทำ มันจะรู้มั้ยนี่ว่านรกมีจริงอย่าลบหลู่ คนดูถูกแม่บังเกิดเกล้าน่ะ ไม่มีวันเจริญหรอกโว้ย!”
ฉวีบ่นบ้าไม่เลิก
ขณะเดียวกัน ภายในพิพิธภัณฑ์ ลายสือ ผลึก และนักศึกษาโบราณคดียืนล้อมอังเดร ที่กำลังอธิบายอย่างทรงภูมิ
“อิฐ...หิน...ดินทุกก้อน บอกเราถึงอายุ ผู้คน เวลา วัฒนธรรมประเพณีของชุมชน ประวัติศาสตร์มีเรื่องราวที่เล่าผ่านวัตถุหักพังพวกนี้ เราทำให้เรารู้ว่า...เรามาจากไหน เราจะเห็นร่องรอยการอพยบจากเศษหม้อดินเผาที่แตกหัก เห็นโรคภัยไข้เจ็บจากกระดูกที่ฝังอยู่ในดิน เห็นวิถีชีวิตจากเศษพืชพันธ์ เศษใบไม้นี่ มันล้วนสอนให้เรารู้ว่า...งานทางโบราณคดี เป็นการค้นหารากเหง้าของตัวเอง”
ทุกคนฟังด้วยความสนใจ จู่ๆ เห็นก้อนหิน ลอยมาโดนหัวผลึก
“โอ๊ย ไอ้สือ ดูแน่ะ..ใครมา”
ลายสือเงยหน้าขึ้นมอง เห็นภาษิตยืนยิ้มกวนๆ อยู่ ด้านนอกห้อง
ภาษิตกับลายสือออกมาคุยกันต่อต่อมุมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ สองหนุ่มพูดถึงเรื่องอนาคต ยินเสียงแว่วๆ ที่ภาษิตบ่นๆ ว่า “อยากมีเมียสวยๆ”
ครั้นพอภาษิตถามลายสือเรื่องแต่งงาน ทำให้เขาคิดถึงแม่ขึ้นมา แล้วพูดประมานว่าถ้ามีก็ต้องเหมือนแม่ จากนั้นลายสือเดินเศร้าออกไป
ลายสือออกมาที่ภายนอกพิพิธภัณฑ์ จะเดินต่อ แต่ต้องหยุดชะงัก
“ทำไมแกไม่ติดต่อพ่อเลย” ท่านผู้ว่าฯ บิดาของลายสือเหมือนยืนรออยู่นานแล้ว
“ทำไมต้องติดต่อ ผมไม่ต้องใช้บารมีของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่คุ้มครอง”
“นี่แกยังไม่หายโกรธพ่ออีกหรือ”
“ผมไม่ได้โกรธ ผมก็แค่ไม่มีเวลา...”
“แม้แต่จะนึกถึงพ่อ” พูดว่าฯ จ้องหน้าเป็นคำถาม
“แล้วแต่คุณพ่อจะคิด ขอโทษนะครับ ผมต้องทำงาน”
“ลายสือ นี่เป็นชีวิตนะ แกหรือพ่อ..ต่างก็มีชีวิตของตัวเอง อะไรที่มันผ่านไป...เราต้องยอมให้มันผ่านไป” ผู้ว่าฯบอก
“ก็นี่ไงครับ ผมกำลัง..ยอม..ให้มันผ่านไป!”
ลายสือ เดินออกไป
ผู้ว่าฯ มองตามไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดกับความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อลูก ด้วยหลังแม่ของลายสือเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง พ่อแต่งงานมีครอบครัวใหม่
ศลัยลาจอดรถที่หน้าออฟฟิศ ของพิพิธภัณฑ์ เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี ศลัยลารีบรับสาย
“ภูหรือคะ..ค่ะ...แล้วคุณแม่คุณล่ะ...กลับจากโรงพยาบาลแล้วหรือคะ เย็นนี้..ได้ค่ะ..แล้วพบกันนะคะ”
ศลัยลาเก็บโทรศัพท์ลงจากรถท่าทีมีความสุข ศลัยลาและลายสือเดินสวนทาง จนเกือบจะชนกัน ทว่าต่างคนต่างเดินผ่านไป
ลายสือเร่งรีบ และกลับไปพูดบอกเล่าเรื่องราวกับเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ในวัด
เย็นนั้น ที่บ้านเรือนไทย นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเลิกงานของภูฉาย สลักเหลือบสายตาขึ้นมองนาฬิกาอีกครั้ง ค่อยๆ เอนตัวลงนอน เริ่มมีอาการปวดเมื่อย
“โอย...”
“เป็นอะไรหรือคะ...คุณนาย”
“ฉันปวด…”
“ตามเวลาเป๊ะเลยนะคะ หนูนวดให้มั้ยคะ”
สลักกระชากเสียงใส่ “ไม่ต้อง..แกโทร.บอกภูฉายว่าฉันไม่สบาย ให้เขารีบกลับบ้านด่วน...เดี๋ยวนี้เลยนะ..ฉันสั่งว่าเดี๋ยวนี้!”
“ค่ะ”
สาวใช้รับคำแล้วรีบเดินไปโทรศัพท์
“เรียนสายผู้จัดการค่ะ...คุณภูคะ...คุณนายสั่งให้กลับบ้านด่วนค่ะ คุณนาย...เอ้อ...ไม่สบาย...อีกแล้วค่ะ”
สาวใช้ค่อยๆ บรรจงวางโทรศัพท์ ก่อนหันมาทำหน้าซื่อๆ ถามสลัก
“ยังงี้ใช่มั้ยคะ คุณนาย”
สลักนิ่ง เหลือบสายตาขึ้นตวัดค้อนสาวใช้ ก่อนที่จะยิ้มเยาะสมใจ
ฟากภาษิตกับนวลนภากำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ นวลนภาคอยดูแลภาษิตด้วยความใส่ใจ
“กินน่ะ..อย่ากวาดกินแต่เนื้อแล้วเหลือแต่ผักไว้ให้คนข้างหลัง คนอื่นเขาก็ต้องการอาหารครบหมู่เหมือนกันนะ”
“โธ่..แม่ครับ วันนี้พี่ศลัยไปกินข้าวกับคุณ..คุณอะไรนะครับ”
นวลนภาตอบลูก ท่าทีกังวล “ภูฉาย...”
“ป่านนี้..กินสลัดสเต๊กอย่างดี ไม่ก็หูฉลามน้ำแดงไปแล้ว เรื่องอะไรพี่ศลัยจะกลับมากินผัดผักรวมกับวิญญาณหมูของแม่”
“นั่นไง..กลับมาแล้ว”
ศลัยลาเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าระโหยละเหี่ย
“มีอะไรกินบ้างคะแม่ หนูหิว”
“อ้าว..ก็ไหนโทร.มาบอกแม่ว่าจะไปกินข้าวกับ…”
ภาษิตแทรกขึ้น “อ้าว พี่ศลัยไม่ได้ไปกินข้าวกับนาย..เอ๊ย..คุณภูฉายหรือ”
สีหน้าแววตาของศลัยลาเริ่มไม่พอใจ ยิ้มเครียดเยาะๆ นวลนภาจับตามองอยู่
“เอ้อ..ไม่ได้ไปค่ะ แม่เขาป่วยกะทันหัน แม่คะ..ไอ้โรคอีบัดอีโรย เดี๋ยวป่วยเดี๋ยวหายนี่ มันเป็นในคนวัยไหนคะ”
ฟากภูฉายประคองสลักมานั่งที่โต๊ะอาหาร ละมัยมองตามเงียบๆ ท่าทีของสลักเหมือนคนป่วยอาการหนัก
“ทานหน่อยนะครับแม่ ผมซื้อกระเพาะปลาน้ำแดงเจ้าอร่อยมาให้ ถ้าพรุ่งนี้ยังปวดเมื่อย ผมจะพาแม่ไปหาหมอ”
น้ำเสียงสลักอ่อนโยน มีความสุขเพราะความรักและการเอาใจของภูฉาย
“ไม่ต้องหรอกลูก แม่ค่อยยังชั่วแล้วละ แกเอาใจใส่แม่ รักแม่ยังงี้ คงยืดเวลาตายของแม่ไปอีกนานนะภูฉาย เออ..ภู...วันนั้น..วันที่เกิดเรื่องชุลมุนกันที่นี่ แกพาใครมาบ้าน”
“อ๋อ..ศลัยลาครับ..ศลัยลา ผมตั้งใจจะพาศลัยมากราบเท้าแม่”
สีหน้าสลักฉายแววฉงน นัยน์ตาเริ่มหวาดระแวง น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยน
“กราบเท้า..กราบทำไม!”
“เอ้อ...คือ...คือว่าผม...ผมกับศลัยจะแต่งงานกันน่ะครับ”
“หา...”
สลักมีสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด ช็อก!
“ตะ..ตะ..แต่ง..แต่งงาน!”
สลักมีอาการช็อค แน่นิ่งไปทันที
ไม่นานนัก รถพยาบาลแล่นเข้ามาจอดที่หน้าแผนกฉุกเฉินด้วยความเร็ว ประตูรถพยาบาลเปิดออก สลักนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ภูฉายนั่งจับมือสลักไว้ บุรุษพยาบาลนำร่างของสลักลงจากรถพยาบาลเพื่อส่งเข้าห้องฉุกเฉิน ภูฉายวิ่งตาม ร้องไห้เหมือนเด็กๆ ตื่นตระหนก พร่ำพูดตลอดเวลา
“แม่..ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แม่โกรธ แม่..แม่ครับ ..ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษ..ผมขอโทษครับแม่ อย่าตายนะ..อย่าตาย ถ้าแม่ตาย ผมจะอยู่กับใคร แม่..แม่ครับ..แม่..!”
บุรุษพยาบาลเข็นผู้ป่วยเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ภูฉายวิ่งร้องไห้ตามจะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แต่พยาบาลกันไว้
“ญาติรอข้างนอกค่ะ”
ประตูห้องฉุกเฉินกระแทกปิดด้วยแรงดึงของสปริง
สักครู่หนึ่ง ศลัยลาพูดโทรศัพท์กับภูฉาย
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะภู ฉันเข้าใจ..คุณดูแลคุณแม่ให้ดีนะคะ ทำใจดีๆ นะคะภูฉาย ฉันเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ”
ศลัยลาปิดโทรศัพท์ ถอนหายใจหนักหน่วง แววตาเป็นกังวลครุ่นคิดหนัก
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)
วันหนึ่ง เพียรภมรแวะมาหาและนั่งรอศลัยลาอยู่ที่ชิงช้าในสนามหน้าบ้าน ภาษิตในชุดโชว์กล้ามกำลังออกกำลังกาย มองมายังเพียรภมรตลอดๆ แต่เพียรภมรไม่สนใจ ท่าทีออกปั้นปึ่งด้วยซ้ำไป
“คุณจะขึ้นไปรอพี่ศลัยข้างบนก็ได้นะครับ...พี่ศลัยคงกลับค่ำ”
“ช่วยบอกศลัยด้วยว่าเพื่อนมาหา”
“ไม่รอ”
“ไม่”
“โทร.”
“ศลัยปิดโทรศัพท์”
ท่าทีเพียรภมรแข็งกระด้าง เหมือนไม่ชอบผู้ชาย
ภาษิตเลิกคิ้ว
“เพื่อนชื่ออะไรครับ”
“บอกศลัยว่าเพื่อนที่เป็นทนายความ!”
เพียรภมรเดินออกไป ภาษิตมองตามด้วยแววตาแปลกใจ
“แม่เจ้า..ยังกับ she เป็นทนายใหญ่ยังไงยังงั้นเลยแฮะ!”
เพียรภมรก้าวลงจากแท็กซี่เดินเข้าบ้าน ฉวีปราดออกมาด้วยลักษณะยังมึนเมา
“ไปไหนมาฮึ..อีตัวดี หายหัวไปสามวัน นึกว่าถูกจับไปขายซ่องซะแล้ว”
“หนูไปว่าความต่างจังหวัดมา”
“แล้วทำไมไม่บอก บอกไม่ได้ก็น่าถอยมือถือมาให้แม่สักอันจะได้ถือไว้โชว์มั่ง ทำตัวเป็นคนงานมากเสียจนลืมแม่ลืมเชื้อ!”
เพียรภมรถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“แม่..หนูจะมาเก็บเสื้อผ้ากับหนังสือ”
“หา..นี่..แกจะไปไหน จะไปอยู่กับผู้ชายใช่มั้ย..เดี๋ยวก่อน..มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
เพียรภมรเดินหนีเข้าบ้านฉวีรีบถลาตามไป
เพียรภมรเก็บเสื้อผ้าและหนังสือใส่กระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว ฉวีตามเข้ามาด้วยท่าทีทั้งโกรธทั้งเมา
“จะไปไหน..นี่แม่นะ แกจะไม่บอกสักคำหรือว่าลาแล้ว..ลาก่อน..หรือลาลับ เลือดพ่อมันแรง เลี้ยงไม่เชื่องเหมือนกันเลย ตอนมันไปมันก็ไม่บอกสักคำ!”
“หนูไปเช่าอพาตเมนท์อยู่ใกล้ๆ สำนักงาน สิ้นเดือนหนูจะให้คนเอาเงินมาให้”
“อ้อ..ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ ไอ้สัญญาลมๆแล้งๆน่ะ มันก็สัญญา กันยังงี้ทุกคน ตอนที่มีคนจะไปจากชีวิตกู..กี่คนมาแล้วล่ะ ผัวน่ะ มันพูดเหมือนกันหมด..แล้วจะส่งเงินมาให้!”
ฉวีร้องไห้อย่างขมขื่น ปวดเจ็บในชีวิต เพียรภมรชะงัก หันมามอง
“แม่ไม่ได้ไปทำงานที่บาร์เบียร์แล้วหรือ”
“ถูกไล่ออกแล้ว มันหาว่าเอาแต่เมา..แกต้องเอาเงินมาให้แม่จริงๆ นะ ไม่ยังงั้นแม่จะมีผัวอีก..มีมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอผัวรวย!”
ฉวีกระแทกเสียงประชดตัวเอง สีหน้าแววตาของเพียรภมรที่มองดูฉวีสลดลง
เช้าวันต่อมา ศลัยลาเตรียมกระเช้าผลไม้สำหรับเยี่ยมผู้ป่วย นวลนภาเดินลงมาจากชั้นบนมองศลัยลาด้วยความสงสัย
“จัดกระเช้าไปเยี่ยมใคร”
ศลัยลาชะงักมือ ถอนหายใจหนักๆ เหมือนตัดใจ
“แม่ของภูฉายค่ะ..ป่วย!”
ภาษิตกลับจากเรียนเดินตรงมาที่กระเช้าผลไม้
“โอ้โฮ..น่ากินจัง…”
ศลัยลาแหวใส่น้อง “อย่าบังอาจ ฉันจะเอาไปเยี่ยมคนป่วย”
“แหม..อยากเป็นคนป่วยจัง อยากดูใจพี่ศลัยว่าจะไปเยี่ยมผมด้วยกระเช้าแพงๆ ยังงี้มั้ย”
“ถ้าเป็นงานศพแกละก็..ฉันจะตัดใจส่งหรีดแพงๆ ไปให้”
ว่าแล้วศลัยลาหิ้วกระเช้าออกไป
นวลนภาชำเลืองมองศลัยลาก่อนหันมาสบสายตากับภาษิต
“โห ทุ่มเท เลยไม่ได้บอกพี่ศลัยเลยว่า เมื่อวาน เพื่อนคนที่เป็น ทะแนะ มาหา”
“ทนายย่ะ” นวลนภาเหน็บลูกชายอย่างหมั่นไส้
พอศลัยลาเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้ามา กลับเห็นแต่ห้องที่ว่างเปล่า
“อ้าวหายไปไหน”
ศลัยลาสงสัยหายไปไหน
สองแม่ลูกถึงบ้านแล้ว ละมัยเปิดประตูรับรถยนต์ภูฉายที่รับสลักกลับบ้าน สลักยังขุ่นเคืองภูฉาย
“คุณนายกลับมาแล้วหรือคะ”
“บ้านฉัน..ฉันต้องกลับซี ไม่กลับบ้านแกจะให้ฉันไปวัดหรือ ยังไง แกแช่งฉันใช่มั้ย!”
“ปละ..เปล่าคะ”
ภูฉายถาม “ทำความสะอาดห้องข้างบนหรือยัง มัย”
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณภู”
“ขึ้นข้างบนเถอะครับ”
“เฮ้อ..นี่ถ้าฉันตาย คงมีคนโล่งอกไปตามๆ กันซีนะ ฉันมันบุญน้อย ไม่มีใครรักฉันหรอก ผู้หญิงแก่ๆ จะมีความหมายอะไร อยู่ไปก็เกะกะเปล่าๆ นี่ยังดีนะ..ที่ฉันยังมีมรดกเก่ากิน ไม่ยังงั้นป่านนี้ฉันคงต้องไปถือกะลาขอทานอยู่ตามข้างถนนแล้ว หวังว่า...แกคงไม่ปล่อยให้แม่ต้องขอทานเขากินนะ ภูฉาย”
น้ำคำสลักประชดประชันเต็มที่ สีหน้าแววตาของภูฉายสลดลง รับคำด้วยความเกรงกลัวมารดา
“ครับแม่…”
กลางดึกคืนนั้นศลัยลานั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เห็นกระเช้าดอกไม้วางอยู่บนโต๊ะ นวลนภากลับมาจากงานเลี้ยงเห็นกระเช้าผลไม้แปลกใจ
“ศลัย ก็ไหนว่ากระเช้านี่จะเอาไปเยี่ยมแม่ของภูฉายเขาไงล่ะ”
“ภูฉายเขาพาแม่เขากลับไปแล้วค่ะ ยังกับคุณนายสลักรู้ว่าหนูจะไปเยี่ยม!”
นวลนภามองลูกสาวนิ่งอึดใจหนึ่ง จึงตัดสินใจลงนั่งพูดกับลูก
“แน่ใจหรือว่าจะแต่งงานกับภูฉาย”
“ไปได้ข่าวอะไรมาจากงานเลี้ยงคะ”
“คุณสลักเป็นโรคประสาท ถึงจะเป็นพวกมีเชื้อสายมีฐานะ แต่การอยู่ร่วมกับแม่ผัวอย่างคุณสลักไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เอาเถอะ..ถ้าแกจะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้จริงๆ แม่จะแบ่งโฉนด ตัดที่ปลูกบ้านให้”
“คุณแม่ จริงหรือคะ”
“แม่ต้องทำ ขืนไม่ทำก็เหมือนปล่อยลูกลงนรก แกอยู่ร่วมบ้านกับแม่ผัวไม่ได้หรอก เกลือจะขึ้น!”
นวลนภาเดินขึ้นชั้นบน ศลัยลามองตามไปด้วยแววตาลิงโลด ดีใจ
วันต่อมาทั้งสองเดินเล่นกันอยู่ในสวนสาธารณะ สีหน้าภูฉายมีท่าทีไม่สบายใจ
“จะดีหรือครับ..ผมเป็นผู้ชายนะ”
“แต่งงาน..เราต้องแยกครอบครัวให้เป็นสัดส่วนค่ะ บ้านใครก็ไม่สำคัญ ขอให้เรามีชีวิตของเราเองก็พอแล้ว”
“ผมต้องปรึกษาแม่ก่อน ผม..เอ้อ..ผมมีหน้าที่ต้องดูแลแม่นะครับศลัย แม่ผมไม่มีใคร นอกจากผมคนเดียว”
ศลัยลามองสบสายตาภูฉายด้วยแววตาแปลกใจ
“ภูคะ..คุณต้องมีชีวิตของคุณเอง คุณต้องสร้างครอบครัวของคุณ เราไปดูแลแม่ได้ ฉันไม่ได้บอกให้คุณทิ้งแม่นี่คะ”
ภูฉายบีบมือศลัยลาเบาๆ ท่าทีกังวล
“ผมจะพูดกับแม่”
สลักกำลังตัดพ้อภูฉายด้วยความโกรธ
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหน้าตาแม่ศลัยลานี่เป็นยังไง ผู้หญิงสมัยนี้เที่ยวแรดๆ ไปหาผู้ชายเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน สมัยฉันน่ะไม่มีหรอก สันดานไม่มักง่ายเหมือนผู้หญิงสมัยนี้ แกยังยืนยันว่าแกจะแต่งงานกับแม่..แม่อะไรนะ”
“ศลัยลาครับ”
“แม่กระเชอก้นรั่ว..อวดร่ำอวดรวย..ไม่รู้ว่ารวยแต่เปลือกหรือเปล่า มีเมียน่ะ..แกจะเอาโคตรฝ่ายเมียทั้งโคตรมาเกาะกินไม่ได้นะ คนสมัยนี้มันเหมือนปลวก เจอไม้อ่อนที่ไหนมันแทะที่นั่น แกก็กระไร…”
สลักพูดเสียงเจือสะอื้น น้ำตาคลอเต็มตา
“สัญญากับแม่แล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งแม่ แต่ทำงานไม่กี่ปี แกก็จะแต่งงานหนีแม่..แกไม่รักแม่เลย แกเห็นคนอื่นดีกว่าแม่ใช่มั้ย..ภูฉาย”
สลักทำท่าจะเป็นลม
ละมัยที่ยืนคอยทีอยู่ข้างๆ รีบยื่นยาดมให้ทันที
“ยาดมค่ะ..คุณนาย”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แกไม่ต้องมาแช่งฉัน!”
“เอ้อ..คือว่าผม..ศลัยน่ะครับจะปลูกบ้าน”
“เงินใคร” สลักถามทันที
“เป็นส่วนแบ่งในกองมรดกของศลัยลาครับ คุณแม่ศลัยจะปลูกบ้านให้แถวๆ สาธร”
“สาธรเชียวหรือ ที่แถวนั้นแพงยังกับทองคำ คุยโม้ หรือว่า..มีที่เก่าแก่ที่นั่น” สลักแขวะ
“เป็นที่มรดกของคุณแม่ศลัยน่ะครับ”
สีหน้าสลักเริ่มแปลกใจ เสียงอ่อนลง
“ที่มรดกหรือ งั้นพาแม่นั่นมาพบฉัน”
ที่กองงานโบราณคดี ภายในพิพิธภัณฑ์ ศลัยลาพูดโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะทำงาน ผจงจิตทำงานอยู่ใกล้ๆ
“ค่ะ..ได้ค่ะ..แล้วพบกันเย็นนี้นะคะ..ภู”
ศลัยลาเก็บโทรศัพท์มือถือสีหน้าสดใส ท่าทีตื่นเต้น เพียรภมรเดินเข้ามาหา แต่งตัวสง่าขรึม เป็นผู้ใหญ่ขึ้น
“เพียร..โอ้โฮ..ตั้งแต่เป็นทนายใหญ่นี่ ดูดีจัง ฉันไปหาเธอที่บ้านแต่ไม่เจอ แม่เธอบอกว่าเธอย้ายไปแล้ว เป็นยังไงบ้าง เพื่อน”
“ฉันเปิดสำนักงานทนายความเอง หุ้นกันสองสามคนน่ะ”
“ฉันดีใจด้วยนะ ที่เธอก้าวหน้า เย็นนี้มีธุระอะไรหรือเปล่า ไปกินข้าวบ้านภูฉายกันมั้ย คุณแม่เขาอยากพบฉัน”
“บ้านภูฉายหรือ” เพียรภมรมีท่าทีแปลกใจ
“ใช่..บ้านภูฉาย”
ศลัยลาตอบรับด้วยสีหน้าท่าทีมีความสุข
สลักนั่งปั้นปึ่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ภูฉาย ศลัยลานั่งตัวเกร็ง ด้วยอาการเกรงกลัวสลัก
เพียรภมรท่าทีเงียบๆ แววตากระด้าง ไว้ตัว
“ที่คุยว่ามีที่ดินที่สาธรน่ะ ที่ใคร”
“ที่...”
ภูฉายบอกแทน “มรดกของศลัยน่ะครับ”
“แม่ไม่ได้ถามแก แต่ถามแม่คนนี้”
ศลัยลาเหลือบมองสลักด้วยท่าทีไม่พอใจ
“ฉันเลี้ยงลูกไม่ใช่สักแต่เลี้ยงให้โต แต่เลี้ยงเขาอย่างมีคุณภาพ ถึงได้เติบโตมาเป็นผู้จัดการธนาคาร ภูเขาเป็นคนรักแม่ เขาเรียนดี เชื่อฟังแล้วก็อยู่ในโอวาทของแม่ แม่พูดคำไหนคำนั้น”
“ก็..ก็ดีค่ะ”
“ผู้หญิงที่จะอยู่กับภูฉายได้ ต้องยอมรับฐานะส่วนเกิน” สลักเน้นคำ
ศลัยลาเหลือบสายตาขึ้นมองสลักด้วยความรู้สึกต่อต้านเงียบ สลักเย้ยหยัน ท้าทายอยู่ในน้ำเสียง และแววตา
“ที่ฉันยอมให้แยกบ้านก็เพราะเห็นว่า..ไหนๆ ก็จะปลูกบ้านใหม่ที่สาธรย่านที่แพง เขียนแปลนหรือยัง”
“กำลังเขียนอยู่ค่ะ”
สลักซัก “เท่าไหร่”
ศลัยลาบอก “เอ้อ...หกล้านค่ะ”
“น้อยไปหน่อย แต่เอาเถอะ..ที่ตรงนั้นแพง หกล้านนี่ค่าตกแต่งต้องต่างหากนะเธอ ต้องเผื่อเรื่องงบบานปลายด้วย”
ศลัยลาเริ่มอึดอัด
สลักบอกต่อ “จะสร้างบ้านน่ะ กู้เงินธนาคารอะไร ดอกเบี้ยเท่าไหร่”
“เอ้อ..เงิน..เงินของคุณแม่ค่ะ”
“มีบัญชีเงินฝากหรือเปล่า”
“เอ้อ..คุณแม่มี...”
“เลขกี่หลัก”
“ไม่ทราบค่ะ”
ภูฉายขัดขึ้น “เอ้อ..แม่ครับ..ศลัยทำงานที่กองโบราณคดีน่ะครับ เป็นงานเกี่ยวกับ...”
สลักสวนออกมา “คนสมัยนี้เห็นบ้านช่องใหญ่โต ขับรถโก้..ไม่ได้หมายความว่าไม่มีหนี้นะ คนมักติดนิสัยชอบผ่อน ผ่อนนั่นผ่อนนี่จนบางทีไม่มีจะกิน”
สลักละสายตามามองที่เพียรภมร ซึ่งนั่งกินข้าวอย่างเฉยเมย
“แม่คนนี้ล่ะ..ทำงานอะไร”
“เพียรภมรเป็นทนายความค่ะ” ศลัยลาบอก
“ผู้หญิงเป็นทนาย..คงเป็นคนมากเรื่องนะ”
“ค่ะ..มากเรื่องหน่อย..ถ้าไม่มากเรื่องจะเอาคนขึ้นศาลได้ยังไงล่ะคะ ข้อสำคัญ..เห็นเรื่องมากๆ ยังงี้ ฟ้องคนผิดจนเหลือแต่ตัวมาหลายคนแล้วค่ะ” เพียรภมรว่า
สลักนิ่งงัน สีหน้าแววตาชักโกรธ
ภูฉายและศลัยลาเต็มไปด้วยความร้อนใจ ขณะเพียรภมรยิ้มเยาะสลัก
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 1 (ต่อ)
ศลัยลาอึดอัดมากๆ เริ่มต่อต้านในแววตายิ่งขึ้น
“ภูคะ ฉันต้องกลับแล้วละค่ะ”
“จะกลับแล้วหรือ งั้นผมจะ...”
สลักดักคอ “คงไม่ต้องให้ภูฉายไปส่งนะ มีรถขับเองนี่!”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้ค่ะ ภู หนูลาละค่ะ คุณแม่”
สลักรับไหว้เหมือนเสียไม่ได้
“ขอบใจนะสำหรับของฝาก ทีหลังไม่ต้องซื้อมาหรอกผลไม้ไทยน่ะ ฉันชอบผลไม้นอก!”
“เอ้อ..ค่ะ”
แววตาศลัยลากระด้างขึ้น ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนเดินออกไป
ศลัยลานั่งเงียบมาตลอดทาง และจอดรถส่งเพียรภมรด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
“ฉันเสียใจนะศลัย”
“ช่างเถอะ..ยังไงฉันก็จะแต่งงานกับภูฉาย เพียร...ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน แต่แต่งงานแล้วภูฉายกับแม่เขาก็แยกกันอยู่ เดี๋ยวนี้มันหมดสมัยแม่ผัวทารุณลูกสะใภ้แล้ว ฉันมีทั้งเงินทั้งเกียรติ ทั้งหน้าที่การงาน บังอาจเรอะ” ศลัยลาออกท่าล้อเลียนตลกๆ แต่ทะนงอยู่ในที “แน่ใจนะ..ว่าไม่อยากให้ฉันไปส่งที่สำนักงาน”
“ไม่ต้อง..ศลัย..”
เพียรภมรมองสบสายตากับศลัยลาด้วยความห่วงใย
“อย่าแต่งงานกับผู้ชายอย่างภูฉายเลย ถ้าเธอไม่อยากตกนรกทั้งเป็น!”
เพียรภมรเดินออกไป ศลัยลายิ้มค้าง มองตามด้วยสีหน้าท่าทีที่เริ่มเป็นกังวล
ในที่สุดวันที่สองคนรอคอยก็มาถึง งานแต่งงาน ศลัยลา ภูฉาย ถูกจัดขึ้นในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมชั้นหนึ่ง
ตอนเช้าเป็นงานรดน้ำสังข์
และต่อนค่ำ มีงานเลี้ยงฉลองแต่งงาน ซึ่งจัดขึ้นในโรงแรมสุดหรูที่เดิม
เพียรภมรยืนมองศลัยลาและภูฉายกำลังต้อนรับแขกอยู่มุมหนึ่ง ภาษิตเดินผ่านมาชะงักเมื่อเห็นเพียรภมรยืนอยู่คนเดียว
“จะดื่มอะไรดีครับ”
สีหน้าเพียรภมรเฉยเมย เย็นชา
“ไม่ต้อง ฉันรอพบศลัยแล้วจะกลับ”
“อ้าว..ทำไมรีบกลับล่ะครับ คุณเป็นเพื่อนสนิทของพี่ศลัยไม่ใช่หรือ”
“ฉันมาตามมารยาทเท่านั้นเอง”
“แปลกนะ..คุณพูดเหมือนคุณไม่เห็นด้วยที่พี่สาวผมแต่งงาน”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาอ่านความคิดของฉัน!”
เพียรภมรฉุน จึงเดินหนีภาษิตออกไป
ภาษิตมองตามไปด้วยท่าทีแปลกใจ
“เจ๊แกเป็นอะไรของแกวะ!”
สลักนั่งอยู่ที่โต๊ะกับนวลนภา สลักหยิบพัดด้ามงาออกมาพัด สายตาชำเลืองมองค้อนศลัยลา ซึ่งกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับแขกเหรื่อเคียงคู่กับภูฉาย
ทุกคนต่างชื่นชมในคู่บ่าวสาว
“สมกันนะคะคุณนวล ไม่เคยเห็นคู่บ่าวสาวคู่ไหนสมน้ำสมเนื้อกันยังงี้เลยค่ะ” แขกคนหนึ่งบอก”
นวลนภายิ้ม ขยับจะตอบแต่สลักขัดขึ้น
“ภูเขาได้ผิวดีไปจากฉัน นัยน์ตาเขาเหมือนคุณตา ส่วนมารยาทน่ะเขาได้ไปจากคุณยาย”
“หนูศลัยลาก็เท่นะคะคุณนวล ซ้ำหน้าที่การงานยัง...” แขกคนเดิมบอก
นวลนภาจะพูด “เอ้อ...”
ถูกสลักขัดอีก “ขาดความอ่อนหวานไปหน่อย ผู้หญิงสมัยนี้เรียนสูง หน้าที่การงานดี ก็เลยเอาดีอยู่เรื่องเดียวเรื่องงาน แต่ภูของฉันน่ะ..ทั้งเรื่องแม่เรื่องบ้าน เรื่องการงานของเขาไม่เป็นรองใคร คนที่แต่งงานกับเขาถือว่าโชคดี ที่ได้แต่งงานกับลูกชายของฉัน!”
แขกร่วมโต๊ะ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
นวลนภานิ่งเงียบ ชำเลืองมองสลักอย่างลำบากใจ
ฝ่ายศลัยลามองเห็นเพียรภมร เข้ามาจับมือไว้
“เพียร..ดีใจที่เธอมา”
“ขอบคุณมากนะครับคุณเพียรภมร”
“ฉันมาอวยพรศลัยน่ะ ขอให้มีความสุขมากๆนะ..ศลัย”
ภาษิตเดินเข้ามามองเพียรภมรไกลๆ
เพียรภมรถาม “ฤกษ์ส่งตัวกี่ทุ่ม”
“สี่ทุ่มครึ่ง เดี๋ยวเพียรต้องไปด้วยนะ เราจะได้อวดเรือนหอของเราไงคะ...ภู”
“ครับ..ไปด้วยกันนะครับ ไม่เป็นพิธีรีตองอะไรหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็คนในครอบครัวครับ”
“เอ้อ..แต่ว่า...” เพียรภมรอึกอัก
“ไปนะเพียร..นะ...”
จู่ๆ สลักเริ่มมีอาการจะเป็นลม
นวลนภาตกใจ “คุณสลัก..เป็นอะไรหรือเปล่าคะ...”
“ฉัน...ฉัน...”
“ว้าย..ช่วยด้วย..คุณสลักเป็นลม” แขกร้องลั่น
“คุณแม่…”
ภูฉายรีบวิ่งเข้ามาประคองสลัก
สลักนอนแน่นิ่งในอ้อมแขนลูกชาย
แขกในงาน มีสีหน้าแตกตื่น ต่างคนต่างตื่นตระหนก เพียรภมรเขม้นมองศลัยลาและภูฉาย ที่รีบเข้าประคองสลักอย่างกังวล
ที่บ้านเรือนไทยไม่นานต่อมา ละมัยวิ่งมาเปิดประตูให้ภูฉายขับรถยนต์เข้ามา ภูฉายประคองสลักลงมาจากรถยนต์เข้าไปในบ้าน
ละมันรีบยื่นยาดมที่เตรียมไว้ให้ทันที ภูฉายรับไว้มองหน้าสาวใช้ด้วยท่าทีฉงน
“ทำไมรู้ว่าแม่จะเป็นลม” ภูฉายงง
“เอ้อ...”
“อย่าสู่รู้ ไป..ออกไปไกลๆ ฉัน ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันแค่เหม็นสาบนังพวกไฮโซกำมะลอน่ะ”
“ให้มัยนอนเป็นเพื่อนคุณแม่ไม่ดีหรือครับ” ภูฉายบอก
“ไม่..ฉันเกลียดน้ำหน้ามัน มันหน้าไหว้หลังหลอกดีนัก ไปเถอะ..แม่ทำให้เสียฤกษ์ส่งตัวแกนี่!”
สลักเริ่มสะอึกสะอื้น ร้องไห้คร่ำครวญ
“ปล่อยแม่ตายอยู่คนเดียวเถอะ แกมีความสุขแม่ก็ดีใจด้วย ภู..ไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่แก่แล้ว..นอนหลับแล้วอาจจะไม่ตื่นก็ได้”
ละมัย สาวใช้เมินหน้าไปทำหน้าหนักใจ
“ศพแม่..ไม่ต้องให้ใครมาวุ่นวายสิ้นเปลืองนะ สวดเงียบๆ เผาเงียบๆ แม่ไม่อยากให้เอาเงินแม่ไปสิ้นเปลืองกับคนเป็นๆ”
ภูฉายคราง “โธ่..แม่ครับ...”
“ภู..แม่อยู่กับแกมาตั้งแต่ตัวแกยังเล็กๆ แกแต่งงานไปแล้ว ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้..แม่..แม่คงจะคิดถึงลูก”
“ผมกับศลัยจะมาเยี่ยมแม่บ่อยๆ ครับ”
“ไปเถอะ..แกไปได้แล้วละ..มัย..แกไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนฉันหรอก ฉันต้องฝึกตัวเองให้ชิน ต่อไปนี้ฉันต้องนอนคนเดียว เดี๋ยวแกเอายาหอมไว้ที่หัวเตียงของฉันด้วยนะ”
“ค่ะ...” ละมัยรับคำ
“โอย..แม่เหนื่อยจนบอกไม่ถูก..อาจจะ...”
“แม่ครับ...ผมจะนอนเป็นเพื่อนแม่”
“จริงหรือ...”
สีหน้าสลักดีใจ ทว่าสีหน้ากังวลของภูฉาย ตอบเสียงแผ่ว
“ครับ..แม่…”
ด้านนวลนภา ภาษิต เปิดประตูเรือนหอที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม นวลนภาจูงมือศลัยลาเดินมาหยุดหน้าเตียงนอนในห้องบ่าวสาว
ศลัยลากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยท่าทีโกรธ แต่พยายามซ่อนกิริยา ภาษิตยืนกอดอกนิ่งๆ อยู่ที่ประตู หดหู่ใจ
“กลับไปนอนกับแม่มั้ย..ศลัย” นวลนภาทัก
“ไม่ค่ะ..เดี๋ยวภูคงจะกลับ เราเสียฤกษ์เพราะเหตุฉุกเฉินนะคะคุณแม่...”
“คิดได้ยังงั้นก็ดี..หรือจะให้แม่กับภาษิตอยู่เป็นเพื่อน จนกว่าภูฉายจะกลับ”
“ว่าแต่พี่ภู..เขาจะกลับมาที่นี่หรือครับ”
“เขาต้องกลับแน่ เพราะคืนนี้เป็นคืนแต่งงานของเรานะ”
“ถ้าพี่ศลัยแน่ใจยังงั้น..ผมจะได้พาแม่กลับบ้าน”
“อยู่ได้แน่นะลูก” นวลนภาถามอ่อนโยน
ศลัยลาฝืนยิ้ม
“ได้ค่ะ”
“แม่ขอให้มีความสุขในชีวิตแต่งงานนะศลัย รักภูฉาย...หนูต้องไม่ลืมให้อภัยเขาด้วย เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคู่”
“คุณแม่..หนูกราบขอบคุณคุณแม่ค่ะ..สำหรับ...“
ศลัยลากราบที่ไหล่ของนวลนภา นวลนภากอดศลัยลาไว้ด้วยความรัก
“หนูจะกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ บ้านยังเป็นบ้านเสมอนะ ศลัย”
นวลนภามองสบสายตาศลัยลาก่อนเดินออกไป ภาษิตเดินตามออกไป
ศลัยลายืนเคว้งคว้างเดียวดายอยู่กลางห้องก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียง
เวลาผ่านไป ศลัยลานอนลืมตาอยู่คนเดียวในห้องหอ น้ำตาค่อยๆ ไหลรินลงมาด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ
อ่านต่อตอนที่ 2