ปีกมาร ตอนที่ 3
ที่สำนักงานทนายความเวลานั้น ราตรีลูกความของเพียรภมร นั่งยิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสวยพริ้ง ส่วนสามีนั่งไขว่ห้างยิ้มเยาะมาให้
“ฉันตัดสินใจไม่ฟ้องแล้วละค่ะ คุณทนาย ฉันกับสามีเข้าใจกันดีแล้ว เดือนหน้านี่เราจะไปยุโรปด้วยกัน ไปฮันนีมูนเป็นครั้งที่...ครั้งที่เท่าไหร่นะคะ..คุณชัย”
ทวัส “ครั้งที่สิบ..เรากำลังจะไปฮันนีมูนเป็นครั้งที่สิบ ไม่มีเวลาไปศาลเรื่องไร้สาระหรอก ผมบอกคุณแล้วไอ้เรื่องผัวเมียน่ะ มันเรื่องรกโรงรกศาล มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผมเข้าใจ...ทนายยุให้ฟ้องหย่าก็เพราะมันเป็นอาชีพ มันเป็นอาชีพของคุณ” ทวัส หรือ ชัย แขวะ
เพียรภมรโต้ “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่มันเป็นการเรียกร้องสิทธิโดยชอบธรรมให้ผู้หญิง”
“เฮ่ย.. ผู้หญิงไม่ต้องการความชอบธรรมอะไรหรอกคุณ ผู้หญิงต้องการความรัก”
ราตรีแทรกขึ้น “คุณยังไม่แต่งงาน คุณไม่มีวันรู้หรอกค่ะ ค่าเสียเวลาของคุณฉันจะจ่ายให้ เงินเล็กน้อยแค่นี้ฉันจ่ายได้ค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบินค่าใช้จ่ายเรื่องฮันนีมูนเป็นล้านฉันยังจ่ายได้เลย ไปเถอะค่ะ ชัย”
ทวัสยิ้มเยาะเพียรภมร ก่อนที่จะเดินโอบเอวราตรีออกไป
สีหน้า แววตาของเพียรภมรทั้งปวดร้าวและโกรธขึ้ง
เวลาต่อมา ฉวีขยับกระโจมอก เส้นผมยุ่งเหยิง โทรมกำลังกวาดบ้านอยู่หน้าบ้าน
เพียรภมรขับรถยนต์เข้ามาจอดหน้าบ้านเช่า ฉวียืนมองเพียรภมรด้วยท่าทีมึนตึง
“เดือนที่แล้วหนูไม่ได้แวะมา ก็เพราะ...”
“รู้..รู้ว่าท่านทนายใหญ่ไม่ค่อยว่าง เด็กที่ถือเงินมาให้น่ะมันบอกแล้วไหนล่ะเงินน่ะ”
เพียรภมรเปิดกระเป๋าหยิบซองเงินส่งให้ มองแม่ น้ำเสียงอ่อนลง
“แม่ดีขึ้นใช่มั้ย”
“ก็..ดี”
สุเทพ ผัวใหม่ส่งเสียงออกมา
“ใครมาวะ”
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ลูกน่ะ..มันเอาเงินมาให้”
สุเทพ ผัวใหม่ท่าทางสกปรก กุ๊ย เหมือนคนติดยาโผล่หน้าออกมา
“อ๋อ งั้นก็แล้วไป”
สุเทพผลุบเข้าบ้านเช่าไป เพียรภมรขมวดคิ้ว อุทาน
“แม่”
“ผัวใหม่ เหงา..ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากมีผัว นี่ ไม่ต้องมาสะเออะสั่งสอนนะ เบื่อฟังว่ะ”
“งั้นหนูไปละ แม่”
เพียรภมรถอนหายใจเงียบๆ ก่อนเดินออกไป ฉวีเปิดซองออกมานับเงินอย่างดีใจ
โต๊ะอาหารที่ตั้งเด่นอยู่ในสวนสวยบ้านนวลนภา หลากหลายไปด้วยอาหาร และบรรยากาศรวมญาติเป็นไปอย่างชื่นมื่น สลักกำลังคุยฟุ้ง เรื่องคลอดลูกและการเลี้ยงดูของตน ขณะที่ศลัยลาเขี่ยอาหารในจานอย่างเงียบๆ
“ภูเขาตัวใหญ่ ฉันหอบน้ำหนักยิ่งกว่าศลัยลาตั้งหลายเท่า สมัยนั้นการแพทย์ไม่เจริญ ไม่ได้คลอดตามสั่งเหมือนคนสมัยนี้ สมัยนี้มีเงินเสียอย่าง...สั่งหมอให้ฉีดยากันเจ็บได้”
ศลัยลาท้วง “เอ้อ..แต่ว่า...หนูคงจะคลอดแบบธรรมชาติน่ะค่ะ”
“ก็ดี ไม่ต้องไปเสียเงินพิเศษให้หมอ เอาเงินนั่นมาซื้อนมให้ลูกกินดีกว่า” สลักว่า
“เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็ดีนะศลัย โตขึ้นจะได้รักแม่ เหมือน...” นวลนภาพูดไม่ทันจบ
ภาษิตขัดขึ้น “เหมือนพี่ภูไงครับ”
นวลนภากระซิบตาดุ “เวลาเคี้ยวอาหารอย่าพูด”
“ไม่พูดเดี๋ยวก็ไม่ทันการซีครับ”
“ยังงี้...คงไม่ได้เลี้ยงด้วยนมแม่ใช่มั้ยคะ ภูของฉันน่ะ...ฉันเลี้ยงด้วยน้ำนมของฉันเอง ฉันพูดคำไหน คำนั้น!” สลักเหน็บ
“ครับ พอมีลูกแล้วผมจะให้แม่ผมเลี้ยง” ภูฉายบอก
“จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าเลี้ยงลูก ผัวเงินเดือนเมียเงินเดือนก็จริง แต่ถ้าต้องจ่ายค่าเลี้ยงลูกด้วย จะเอาที่ไหนมาพอกิน จริงมั้ยคะคุณนวล”
“เอ้อ…”
นวลนภาอึกอัก หันมาทางศลัยลามองหน้ากัน แววตาของภาษิตเป็นกังวล
“แม่ทานเยอะๆ ซีครับ อ้อ...ศลัย..เดี๋ยวพอทานข้าวเสร็จแล้วผมต้องพาแม่ไปส่งก่อนนะ คุณคุยกับคุณแม่ไปก่อน แล้วผมจะมารับทีหลัง”
“ค่ะ”
ศลัยลารับคำเงียบๆ แววตาน้อยใจ ภูฉายหันไปตักอาหารให้กับสลัก
สีหน้าแววตาของศลัยลาน้อยใจอย่างเงียบๆ
คืนนั้นศลัยลาเริ่มมีอาการเจ็บท้อง นวลนภานั่งอ่านหนังสือเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เข็มสาวใช้ที่นวลนภาหามาให้ นั่งดูโทรทัศน์ภาคดึก
“แม่คะ”
“เป็นอะไร เจ็บอีกแล้วหรือลูก”
“มันบอกไม่ถูกหรอกค่ะแม่ เหมือน...เหมือนอยากเข้าห้องน้ำ”
“นั่นแหละ...เจ็บท้องจะคลอดละ ตีสอง ภูฉายยังไม่กลับอีก”
“นี่ดีนะคะ คุณป้ามาอยู่เป็นเพื่อน” เข็มว่า
“เข็มขึ้นไปเอาของที่เตรียมไว้ลงมา”
เข็มรีบขึ้นไปหอบตะกร้าเตรียมคลอด นวลนภาประคองศลัยลาลุกขึ้นนั่ง
“แม่จะโทร.ไปตามภูฉายที่บ้านคุณสลักดีมั้ย”
“อย่าค่ะแม่”
แววตาของศลัยลาคมกริบ
เข็มหิ้วตระกร้าเด็กอ่อนลงมาอย่างรีบร้อน
“อ้าว ทำไมล่ะ”
นวลนภาคาใจอยู่ ศลัยลาตัดบท
“แม่ขับรถได้ไม่ใช่หรือคะ แม่พาหนูไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ”
“ไป เอายังงั้นก็ได้ เข็มช่วยที”
“ค่ะ”
เข็มกับนวลนภาช่วยกันประคองศลัยลาออกไป
ด้านภูฉายเลื่อนผ้าห่มคลุมตัวให้แม่ สลักนอนหลับตานิ่งๆ ละมัยเข้ามา พร้อมกับจิ้งจกตายแล้วในมือ
“หนูไม่เห็นมีอะไรเลยค่ะ นอกจากไอ้นี่ เอ๊ะ..หรือว่าคุณนายตกใจเพราะเห็นจิ้งจก ก็ไม่น่าจะ...” ละมัยตั้งข้อสังเกต
“แม่เป็นโรคความดัน ไม่ได้ตรวจเช็คหัวใจมานานแล้ว อาจจะเป็นไปได้ที่แม่เป็นลมเพราะตกใจ”
“คุณนายคงค่อยยังชั่วแล้วละค่ะ คุณภูไม่กลับบ้านหรือคะ”
“กลับ แต่ฉันจะอยู่เฝ้าแม่สักพัก มัยมีอะไรก็ไปทำเถอะ”
ละมัยออกไป
ภูฉายหันกลับมาลูบหลังมือของสลักเบาๆ ด้วยความห่วงใย ก่อนที่จะเอนตัวลงนอนหน้าเตียงของสลักด้วยความอ่อนเพลีย
สลักหลิ่วตาขึ้นมองภูฉาย
ในห้องคลอด ศลัยลากำลังเจ็บปวดบนเตียงคลอด พยายามกัดฟันไม่ให้เสียงร้องลอดออกมา เหงื่อโทรมไปทั่วใบหน้า นวลนภากำมือลูกสาวคอยให้กำลังใจด้วยความเข้มแข็ง
“ศลัย ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกลูก..หนูกำลังทำหน้าที่อันประเสริฐของแม่ ไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกที่ผู้หญิงเราจะทำไม่ได้ เราต้องอึดกว่า ทนกว่า แล้วก็ยิ่งใหญ่กว่า”
“แม่ แม่คะ..แม่”
“มันผ่อนเบาผ่อนเจ็บเพื่อให้เราหายใจ เพื่อให้เรามีกำลังเบ่ง...พอลูกพ้นท้องแล้ว ก็หายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง ไอ้ที่หนักๆ มาเก้าเดือนมันก็จะหลุด เบา..พยายามนะลูก พยายามอีกครั้ง”
ศลัยลาออกแรงเบ่งครั้งสุดท้าย เสียงเด็กทารกร้องดังจ้า
“ผู้ชายครับ” หมอบอก
ศลัยลาร้องไห้โฮออกมา ใบหน้าสวยแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกอันแสนอัศจรรย์ของการเป็นมารดา
“ผู้ชาย..หนูได้ลูกผู้ชาย ศลัย” นวลนภาบอกอย่างตื่นเต้น
“โอ ลูกแม่..นี่ถ้าภูอยู่...หนูอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ อยากให้เขารู้ว่ามันไม่ได้เจ็บปางตายอย่างที่แม่เขาหลอกเขา ลูก...ลูกแม่...”
ศลัยลามองลูก ยิ้ม หัวเราะทั้งน้ำตา
ด้านภาษิตรออยู่ที่รถ เข็มสาวใช้วิ่งเอาของใช้ กระติกน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อน ปิ่นโต มาให้ที่รถยนต์
“ครบแน่นะเข็มของที่คุณแม่สั่งน่ะ”
“ค่ะ”
ภาษิตกำชับ “ปิดประตูรั้วให้ดีล่ะ แล้วรอรับโทรศัพท์ด้วย ถ้าพี่ภูเขาโทร.มาบอกว่าเมียเขาคลอดแล้วนะ”
“ค่ะ”
ภาษิตขับรถออกไปแล้ว เข็มปิดประตูเตรียมใส่กุญแจ รถยนต์ของภูฉายเข้ามาจอดกดแตรพอดี เข็มดีใจ
“คุณภู ทำไมคุณเพิ่งมาล่ะคะ”
“มีอะไรหรือ หรือว่าศลัย...”
“คุณศลัยเจ็บท้องค่ะ เมื่อคืนคุณยายมาอยู่ด้วยเลยพาส่งโรงพยาบาล เพิ่งคลอดเมื่อเช้านี้เองค่ะ” เข็มบอก
สีหน้าแววตาของภูฉายตื่นเต้น
“ศลัย”
ขณะนวลนภากำลังดูแลห่มผ้าให้ศลัยลา ส่วนภาษิตจัดกระเช้าดอกไม้ที่หัวเตียงพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ ภูฉายพรวดพราดเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ เข้ากอดศลัยลา
“ศลัย...โอ...ผมดีใจจังเลย ลูกล่ะ”
นวลนภาบอกแทน “ยังอยู่ในตู้อบแน่ะ เด็กแข็งแรงดี ผู้ชาย”
ศลัยลาบอกอีก “ลูกผู้ชายค่ะ”
ภูฉายจูบมือของศลัยลา
“ผมขอโทษที่เมื่อคืน..เอ้อ..แม่..แม่ผม...”
“อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ ยังไงมันก็ผ่านเมื่อคืนมาแล้ว”
“กลับกันหรือยังครับแม่ พี่ศลัยจะได้พักผ่อน แล้วค่ำๆ ผมแวะมานะ หรือยังไง ละก็...”
ภาษิตชำเลืองมองภูฉายแวบหนึ่ง พูดต่อเป็นเชิงประชด
“โทร. ไปเรียกผมยี่สี่ชั่วโมงนะครับ ผมไม่ได้ไปไหน”
นวลนภาถาม “เอาอะไรอีกมั้ย ศลัย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ แต่ค่ำๆ แม่มาได้มั้ยคะ”
ภูฉายท้วง “ศลัย เมื่อคืนคุณแม่คุณไม่ได้นอนเลยนะ คืนนี้ผมจะนอนเฝ้าคุณเอง”
“คุณแน่ใจนะ ว่าคุณทำตัวให้ว่างได้”
น้ำเสียงของนวลนภาแข็งกระด้าง สบสายตากับภูฉาย
“เอ้อ…”
“แม่ไปละ”
นวลนภารู้คำตอบ พยักหน้ากับภาษิต พากันออกไป
“ศลัย ผมเสียใจเรื่องเมื่อคืน ผมสงสารคุณจริงๆ นี่ถ้าเจ็บแทนคุณได้ ผมคงไม่รีรอที่จะเจ็บ
ศลัยลาตัดบท “ฉันลืมไปแล้วล่ะค่ะ เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ได้เจ็บปางตายอย่างที่แม่คุณ
บอก แม่คุณโกหก แล้วก็คงไม่ใช่เรื่องเดียวหรอกค่ะภู”
ภูฉายตัดพ้อ “ศลัย...นี่ยังโกรธผมเรื่องแม่อีกหรือ เมื่อคืนแม่ผมป่วย ผมต้องนอนเฝ้าแม่ พอกลับมาถึงบ้านผมถึงได้รู้...”
ศลัยตาต่อคำให้ อย่างน้อนใจ
“...ว่าฉันมาคลอดลูก...โดยไม่มีสามีมาช่วยเจ็บ!”
สีหน้าและแววตาของภูฉายสลดลงอย่างชัดเจน
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
ขณะที่ละมัยกำลังทำงานบ้านอยู่ ก็คอยเงี่ยหูฟังเหตุการณ์ด้วยความสนใจ เมื่อภูฉายและสลักเดินลงมา สีหน้าสลักมึนตึง มีอารมณ์น้อยใจ และริษยาฉายชัด เมื่อเห็นภูฉายออกอาการดี๊ด๊ามีความสุขที่มีลูก
“คลอดเมื่อไหร่”
“เมื่อคืนครับ ผู้ชาย ตัวอ้วนจ้ำม่ำน้ำหนักตั้งสามกิโลกว่าๆ แน่ะครับแม่ เห็นว่าเจ็บท้องทั้งคืนเลยครับ ดีว่าคุณแม่ศลัยมานอนเป็นเพื่อน”
“แล้วเด็กแข็งแรงดีหรือ”
“ครับ”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ฉันเห็นแม่ศลัยน่ะกินอยู่ไม่เป็นเวลาเลยคลอดแล้วก็ดี แกจะได้หมดห่วง ลูกชายน่ะดีแล้ว เด็กผู้หญิงโตขึ้นเลี้ยงลำบาก ไม่รู้จะทำเรื่องฉาวโฉ่ให้พ่อแม่ขายหน้าเมื่อไหร่”
ภูฉายตัดบท “เอ้อ...ผมแวะมาส่งข่าว แล้วจะเลยไปเยี่ยมศลัยน่ะครับ”
“เดี๋ยวซี แม่ไปด้วย อาศัยรถแกไปจะได้ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่ ยังไงก็ต้องไปเยี่ยมอยู่แล้ว เดี๋ยวคุณนวลเขาจะว่าฉันแล้งน้ำใจ รอแม่ด้วยนะ แม่จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ครับ...แม่”
สลักเดินกลับขึ้นไปบนเรือน และหายไปนาน ภูฉายดูนาฬิกาข้อมืออย่างกระวนกระวายใจ
ไม่นานหลังจากนั้น สลักเดินไปมาหน้าเตียงของศลัยลา มองไปรอบๆ ห้อง ท่าทีศลัยลาเฉยเมยออกไปทาง มึนตึง สีหน้านวลนภาไม่ดีนัก
“คลอดตั้งแต่เมื่อคืน แล้วลูกล่ะ”
“อยู่ในห้องอภิบาลเด็กค่ะ ที่นี่พยาบาลเขาดูแลให้หลังคลอด”
“เด็กยังอ่อนๆ ไปจ้างเลี้ยงยังงั้นก็ต้องเสียเงินเพิ่มอีกละซี เป็นแม่น่ะจะเอาแต่สบายตัวเองไม่ได้นะแม่ศลัย มันต้องรู้จักเสียสละแล้วนี่...เบิกค่ายาค่าหมอได้หรือเปล่า นอนเสียหรูหรายังงี้คงแพงนะ”
“เอ้อ..”
“ช่างมันเถอะครับแม่ ขอให้ศลัยกับลูกปลอดภัยก็พอแล้ว”
“แกเป็นพ่อคนแล้วนะภูฉาย มีลูกก็มีรายจ่ายมีภาระเพิ่ม ต้องบวกลบคูณหารอย่าสับเพร่า คนสมัยนี้มือตีนห่างกันนักมันถึงได้จนทั้งชาติ ดูเถอะ...กว่าแม่จะมีแกขึ้นมามันยากเข็ญแค่ไหน ไม่ใช่จู่ๆก็ควักออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ เออ...แม่ต้องกลับแล้วล่ะ ภูไปส่งแม่หน่อยได้มั้ย”
“เอ้อ...”
ภูฉายมองไปยังนวลนภาอย่างเกรงใจ
“ไปเถอะ แม่เฝ้าศลัยก็ได้” นวลนภารู้ทัน
“ผู้ชายเฝ้ามันก็ไม่สะดวกนะ จริงอย่างที่คุณนวลว่าให้คุณนวลเฝ้าน่ะดีแล้ว งั้นคืนนี้แกไปนอนกับแม่จะได้ไม่ต้องลำบากเรื่องอาหารการกิน ไป...ภูฉาย”
สลักรวบรัด ดึงลูกชายออกไป ภูฉายจำต้องออกไปอย่างไม่เต็มใจ ศลัยลานอนหันหลังให้ทั้งสองคน ด้วยแววตาเคร่งขรึม
“เกิดมาผมไม่เห็นใครเค็มเหมือนคุณนายสลักเลย ไม่รับไหว้สะใภ้แล้วยังไม่รับขวัญหลานอีก คนยังงี้...ไม่รู้พี่ศลัยไปร่วมญาติได้ยังไง” ภาษิตโมโห
นวลนภามองไปยังศลัยลาไม่ตอบ
น้ำตาของศลัยลาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเงียบๆ
เช้าวันต่อมา สลักวิ่งตามภูฉายออกมาที่รถยนต์
“รีบไปแต่เช้าทำไมกัน กาแฟยังไม่ได้กิน”
“ผมต้องไปเปลี่ยนคุณแม่ของศลัยครับ”
“คุณนวลน่ะเค้าคนว่างงานนะ แต่แกมีงาน ไม่ต้องไปนอนเฝ้าเมียหรอกน่ะ ที่นั่นฉันเห็นคนยังกับโบ๊เบ๊!”
“เอ้อ..ผมต้องไปจริงๆ ครับแม่”
ภูฉายขึ้นรถแล้วขับออกไป สลักตะโกน ท่าทีเหมือนจะเป็นลม
“เย็นๆ แวะซื้อยาลมมาให้แม่ด้วยนะ ภู”
สลักมองตามรถยนต์ของภูฉายไป ถอนหายใจหนักหน่วง แล้วหันมาตวาดละมัยซึ่งยืนมองอยู่
“เอ้า..มองอะไรยะ สนใจนักเรื่องของคนอื่นน่ะ มิน่าล่ะ...กวาดบ้านแล้วทรายถึงได้เกลื่อนไปหมด งานการน่ะไม่ใช่ทำให้สนุกอย่างเดียวมันต้องตั้งใจด้วย มันถึงจะประสพความสำเร็จในอาชีพ เข้าใจมั้ย”
สลักไม่มีท่าทีเจ็บป่วย เดินขึ้นตึกไป ละมัยมองตามไป ขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยใจ
“ค่ะ คุณนาย”
ที่ห้องพักฟื้นเวลานั้น เพียรภมรกำลังป้อนข้าวศลัยลา นวลนภาจัดนำดื่มให้อยู่
“ฉันช่วยตัวเองได้นะ เพียร”
“ก็เพียรอยากทำให้พี่ศลัยนี่คะ หนูมาเยี่ยมพี่ศลัยช้าไปหน่อยนะ มันมัวแต่ยุ่งๆ น่ะค่ะ”
“แล้วรู้ข่าวได้ยังไงจ๊ะ หนู” นวลนภาถาม
“เอ้อ..ก็...” เพียรภมรอึกอัก
ภูฉายเดินเข้ามา ซื้อของรับประทานมาเต็มสองมือ ท่าทีของภูฉายอ่อนโยน ห่วงใยศลัยลา
“ศลัย อ้าว ทานข้าวแล้วหรือ ผมแวะซื้อโจ๊กมาให้คุณ คุณเพียรภมร มาเมื่อไหร่ครับนี่”
“มาเช้าหน่อยค่ะ เดี๋ยวต้องเลยไปทำงาน” เพียรภมรบอก
“ภูก็ต้องไปทำงานไม่ใช่หรือ” นวลนภาถาม
“ครับ แต่ผมลาได้ ผมอยากอยู่เฝ้าศลัยบ้าง คุณแม่เหนื่อย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยู่กับคุณแม่ได้” ศลัยลาบอก
“งั้นให้ภูฉายอยู่เถอะ เดี๋ยวแม่ติดรถหนูเพียรไปลงข้างนอก เขายิ่งไม่ค่อยมีเวลาให้เมียอยู่ด้วย” นวลนภาว่า
เพียรภมรตวัดสายตามองภูฉายอย่างจับผิด ภูฉายหลบสายตาของเพียรภมร
“ค่ำๆ แม่จะมาเปลี่ยนดีมั้ย”
“ก็ได้ค่ะ”
ศลัยลายิ้มให้ภูฉายอย่างอ่อนหวาน ต่างจับมือกันและกัน ความรักความเข้าใจที่ยังคงอยู่ในใจของทั้งสองเสมอ
ด้านภาษิตกำลังจะไปเรียน เดินลงบันไดมา เจอนวลนภาที่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาล ก็ถามอย่างแปลกใจ
“อ้าว ไม่อยู่เฝ้าพี่ศลัยหรือครับ”
“ภูเขาไปเปลี่ยนแต่เช้า แม่เลยกลับ พอดีหนูเพียรภมรไปเยี่ยมศลัย เลยแวะมาส่งหน้าบ้าน”
“ใครนะครับ”
“หนูเพียรภมร”
“อ๋อ ท่านทนายใหญ่ ยังมีน้ำใจมาส่งคนแก่เหมือนกันแฮะ”
“หนูเพียรยังไม่แต่งงานเลยนะ ยังไม่มีวี่แววด้วยซ้ำไป แม่เลยเสียดายศลัยแต่งงานเร็วไปหน่อย”
“ก็หน้าบอกบุญไม่รับยังงั้น ใครจะวางหาบขนมจีบลงล่ะครับ ว่าแต่พี่ภูเขานึกยังไงฮึ เขาถึงได้เสียสละเวลาไปนั่งเฝ้าเมีย นี่ถ้าแม่เขารู้ล่ะก็...”
“ศลัยเงียบๆ ไปนะ...แม่ก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องครอบครัวเขาหรอก เขามีลูกมีเต้าด้วยกัน ภูฉายเป็นพ่อคนก็น่าจะจัดระบบชีวิตเสียใหม่ แม่ไม่อยากเห็นครอบครัวเขาแตกแยก...บอกตรงๆ”
ภาษิตมองแม่อย่างแปลกใจ เมื่อเห็นท่าทีเคร่งขรึม และสีหน้าแววตาเป็นกังวลของนวลนภา
“แม่กลัวใจศลัยลา!”
ที่คณะโบราณคดี อาจารย์อังเดรกำลังแจกเอกสารให้นักศึกษาพร้อมอธิบายประกอบ
“เราจะไปทำงานขุดค้นที่บ้านเชียง หนองหาน อุดรธานี แหล่งโบราณคดีที่เป็นมรดกโลก เราจะค้นหา เรียนรู้ เรื่องอายุสมัยของวัฒนธรรมบ้านเชียง สังคมของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ย้อนหลังไป ๔,๓๐๐ ปี ที่นั่นเป็นเมืองเก่า ที่ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ วัฒนธรรมบ้านเชียงนี่...ครอมคลุมถึงแหล่งโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นบริเวณที่มนุษย์อยู่กันหนาแน่นมาหลายพันปีแล้ว เอ้า..เอาเอกสารนี่แจกกัน”
ผลึกรับเอกสารมาแจกจ่ายให้นักศึกษาอื่นๆ
อังเดรเอ่ยต่อ “แล้วเตรียมตัวให้พร้อมนะ ชุดแรกที่จะเดินทางอาทิตย์นี้ให้มาพร้อมกันที่
คณะตามเวลานัดนะ นัดแบบฝรั่งนะ นัดแบบไทยไม่เอา”
“บ้านเชียง...ไปฝึกงานที่บ้านเชียงหรือครับ” ผลึกถาม
“ใช่” อังเดรบอก
“สงสัยผมต้องไปทีหลัง ผมไปรถไฟดีกว่าครับ ผมมีธุระ”
อังเดรฉงน “ธุระอะไร นายลายสือ”
“ธุระสำคัญครับ” ลายสือบอก
“เรื่องสำคัญ เรื่องผู้หญิงใช่มั้ย”
“ครับ...เรื่องผู้หญิง...แต่ผู้หญิงคนนี้ผมรักใคร่เทิดทูนของผม ถ้าไม่ได้ลา จ้างให้ก็ไม่ไป”
ลายสือยิ้มอ่อนโยน สีหน้าเศร้าๆ ยิ้มๆ ให้อังเดร เดินออกไป คนอื่นๆ รวมทั้งผลึกมองตามไปอย่างแปลกใจ
ตกตอนกลางคืน ลายสืออยู่ที่ห้องในหอพักกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่เป้ แหมวเคาะประตูหน้าห้อง
“ใคร เข้ามา”
แหมวเปิดประตูเข้ามา สีหน้าหวั่นๆ กลัวๆ
“แหมว มาทำไมที่นี่”
“แหมวไปหาพี่ลายสือที่คณะไม่พบค่ะ ก็เลยมาหาพี่ลายสือที่นี่ พี่ผลึกก็ไม่อยู่แหมวเลยไม่รู้จะถามใคร”
“เขาไปอีสานกันหมดแล้ว มีเรื่องอะไรล่ะ”
“ช่วยเซ็นรับรองไปทัศนศึกษาให้แหมวหน่อยได้มั้ยคะ คุณพ่อสั่งว่าให้พี่ลายสือเป็นผู้ปกครองแหมวด้วย”
“ไหน ดูซิ”
แหมวส่งกระดาษให้ ลายสือรับไปอ่าน แหมวแอบมองลายสือด้วยแววตาศรัทธาและนับถืออย่างเคย
ลายสืออ่านอย่างลวกๆ ไม่เต็มใจ ส่งคืน
“ดึกดื่นยังงี้กลับคนเดียวได้หรือ รอเดี๋ยวนะ จัดของเสร็จแล้วจะไปส่ง”
“พี่ลายสือจะจัดของไปไหนคะ”
“ไปบ้านเชียง”
ลายสือเดินมาส่งแหมวที่หอพัก แหมวมองลายสือตาละห้อย ห่วงใย อาวรณ์ ไม่คลาย ลายสือมีท่าทีเฉยเมย เย็นชา
แหมวไม่รู้ตัวว่า ความรักที่เกิดขึ้นในใจของตน ไม่ใช่ความรักแบบพี่กับน้อง
“ไปตั้งหกเดือน แหมวคิดถึงพี่ลายสือแย่เลยค่ะ พี่อยู่เลิกเรียนแล้วยังแวบไปนั่งดูพี่ทำงานที่คณะได้”
ลายสือตัดบท “เข้าหอได้แล้วล่ะ ดึกมากแล้ว แล้วทีหลังอย่ากลับดึกๆยังงี้อีกนะ
เราต้องนึกถึงคุณพ่อให้มาก คุณพ่อคงหวังกับเราไว้เยอะ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ คุณพ่อหวังในตัวพี่ลายสือมากกว่าคนอื่นเพราะ พี่ลายสือเป็นผู้ชายเป็นลูกคนโต แล้วก็เป็นพี่ๆ ของพวกเรา”
“นี่ แหมว เข้าหอได้แล้ว ฉันไม่มีเวลามายืนส่งเราทั้งคืนนะ”
“โชคดีนะคะพี่ลายสือ”
“ฮื่อ”
แหมวเดินเข้าประตูหอพัก และหันมามองลายสือด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา
ลายสือหันหลังกลับ เดินออกไปไม่เหลียวหลัง
แหมวมองตามจนลับสายตา
ฟากสลักเดินลงมาจากบันได มารยาด้วยการทำท่าจะเป็นลม ภูฉายเพิ่งมาถึง วิ่งเข้ามาประคองสลัก
“แม่ แม่ครับ”
“ไม่..ไม่ต้อง แม่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกลูก เมื่อคืนแม่ไม่ได้หลับเลยมัวแต่รอแกอยู่”
“เอ๊ะ รอผมทำไมครับ”
“คุณนายรอยาลมที่ให้คุณซื้อไงคะ” ละมัยว่า
“อ้าว...”
“โอย..เวียนหัวติ้วไปหมด แม่ว่าแม่จะไปตรวจความดันกับหมออื่นแล้วล่ะ หมอวิโรจน์นี่ไม่ได้เรื่องเลย รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ไม่รู้จะเลี้ยงโรคไปถึงไหน เออ คิดหรือยังจะเลี้ยงลูกยังไง ทำงานกันทั้งสองคนนี่”
“ผมจะจ้างคนจากศูนย์อภิบาลเด็กมาเลี้ยงตาหนูครับ”
“เงินเดือนเท่าไหร่”
“แปดพันครับ”
สลักตาเหลือก หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง
“หา..เท่าไหร่นะ แปดพันเชียวเรอะ แล้วแกจะเอาอะไรกินเข้าไป ถึงจะเงินเดือนผัวเงินเดือนเมีย แต่ไหนจะค่าคลอดค่ายาอีกล่ะค่าโรงพยาบาลคืนละเท่าไหร่”
“เอ้อ...แปด...แปดพันครับ”
สลักอุทานเสียงดังกว่าเก่า
“แปดพัน...นอนโรงพยาบาลสามวันเท่าไหร่ ไหนจะค่าทำคลอดอีกล่ะ นี่ถ้าเมียแกเกิดลูกดก มีลูกหัวปีท้ายปี แกมิต้องชิบหายขายตัวหรือ”
“เอ้อ..ศลัยเบิกได้น่ะครับ แม่”
“จะเบิกได้สักเท่าไหร่กัน มักง่าย..ติดนิสัยรักความสุขสบาย ไม่รู้วงวารว่านเครือเขาอบรมกันมายังไง แม่ยายก็วางท่าเป็นผู้ดิบผู้ดี คงเห็นด้วยนะซีที่แกจ้างคนเลี้ยงลูก จะได้ไม่ต้องตกหนักตัวเอง ถ้าจ้างเดือนละแปดพันละก็..จ้างฉันก็ได้..ทำไม..หรือว่ากลัวแม่จะเลี้ยงลูกแกไม่รอด โธ่ ภู...”
สลักซับน้ำตาอย่างน้อยใจ
“ถ้าแม่มันชั่วมันเลวละก็...ไม่เลี้ยงแกให้มานั่งเถียงฉอดๆอยู่ยังงี้หรอก!”
น้ำเสียงสลักสั่นเครือด้วยความน้อยใจ
ภูฉายมองสลักด้วยแววตาหวั่นไหว เกรงกลัว และเกรงใจ
“แม่เป็นแม่ที่สกปรก..มือของแม่ถึงแตะต้องหลานไม่ได้แกรังเกียจแม่” สลักตัดพ้ออีก
“โธ่ ไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ แม่”
“งั้นแกก็ยอมให้แม่เลี้ยงลูกของแกแล้วใช่มั้ย”
น้ำเสียงสลักบีบบังคับในที สีหน้าตื่นเต้นดีใจ ภูฉายสบสายตาสลักอย่างจำนน
“ใช่มั้ย..ภู..ใช่มั้ยลูก”
“ครับ..แม่”
สลักตื่นเต้นดีใจมาก ดึงตัวภูฉายเข้ามากอดไว้ ละมัยยืนมองเงียบๆ สงสารภูฉายจับใจ
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
ภายในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ภาษิตเก็บข้าวของ ศลัยลากำลังอุ้มลูกอยู่ นวลนภาบอกหลาน
“เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้วนะลูกนะ เดี๋ยวคุณพ่อมารับ...อีกเดี๋ยวเดียว”
“หนูจะให้นมลูกสักเดือนดีมั้ยคะ คุณแม่”
“ดีจ้ะ เพราะน้ำนมแม่ช่วยให้ลูกแข็งแรง แน่ะ..กำหมัดแน่นเชียว สงสัยโตขึ้นจะเป็นนักมวย”
ภาษิตมองไปที่ประตู “พี่ภูมาพอดี”
ภูฉายเดินนำหน้าสลักเข้ามา
“เก็บของเรียบร้อยแล้วละครับ”
“ผมจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเสร็จแล้วละศลัย ไป..กลับบ้านกันได้แล้ว”
“งั้นส่งตาหนูมาซี...ส่งมาค่ะคุณนวล”
สลักเข้าอุ้มเด็กมาจากมือศลัยลาที่งงๆ อึ้งๆ อยู่
ศลัยลามองหน้านวลนภา ต่างคนต่างงงๆ
“โอ๋ หลานรักของย่า...โถ..หน้าตาเหมือนภูฉายตอนยังเด็กๆไม่มีผิด ภูน่ะเขาหนักกว่านี้อีกนะ เขาสมบูรณ์เพราะฉันเลี้ยงเขาอย่างดีตั้งแต่เขายังอยู่ในท้องมามะ..ตาหนู...แล้วย่าจะหาชื่อเหมาะๆเป็นมงคลตั้งให้ ย่าสัญญาว่าจะเลี้ยงตาหนูอย่างดีดีพอๆ กับเลี้ยงภูฉาย”
“เลี้ยง!”
ศลัยลาตะลึง ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“ใช่ ฉันมารับหลานชายไปเลี้ยงเอง เธอจะได้ทำงานนอกบ้าน ไม่ต้องห่วง ฉันน่ะเลี้ยงภูฉายมาจนโต ไม่ได้เลี้ยงให้โตแต่ตัวนะ แต่โตด้วยมีคุณภาพด้วย ไป..ไปอยู่กับย่านะลูกนะ”
สีหน้าทุกคนแปลกใจ จ้องมองภูฉายเป็นตาเดียว ภูฉายยิ้มเก้อๆ
“เอ้อ..ผมลืมบอกคุณไปศลัย แม่อาสาจะเลี้ยงลูกให้เรา เราทำงานนอกบ้านปล่อยลูกไว้กับคนใช้มันจะไม่เหมาะ แม่ผมเลี้ยงเด็กเก่งนะ..คุณจะได้พักผ่อนเต็มที่ไง..ศลัย”
ภูฉายก้าวเข้าจูบหน้าผากศลัยลาอย่างปลอบโยน สลักอุ้มเด็กออกไป คนอื่นๆ ทยอยกันออกไปเงียบๆ
“ศลัย...คุณเป็นอะไรน่ะ”
ศลัยลาปลดมือภูฉายออก น้ำตาคลอดวงตาก่อนเดินออกไป
ภูฉายมองตามไปอย่างงงงัน
ด้านเพียรภมรกำลังยืนเลือกแฟ้มเอกสารอยู่ ลูกความ ราตรี คนเดิมเดินเข้ามา นัยน์ตาเขียวซ้ำ เพราะถูกสามีทำร้าย ร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้ามา
“คุณ...คุณทนายคะ”
เพียรภมรจำได้ “คุณน่ะเอง เอ๊ะ นั่นคุณเป็นอะไร”
ราตรีเปล่งเสียงร้องไห้โฮๆๆ
“มัน...มันตบฉัน..มันบังคับให้ฉันบอกรหัสตู้เซฟ มันเอาเครื่องเพชรของฉันไปหมดแล้ว มันแกล้งทำดีไปฮันนี่มูนเพราะมันหลอกฉันให้ฉันโอนเงินเข้าบัญชีให้มัน ช่วยฉันด้วย...คุณต้องช่วยฉันนะ...ฉัน...ฉันจะฟ้องหย่า”
เพียรภมรดึงตัวราตรีเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
ที่ห้องทำงานในสำนักงานทนายความของเพียรภมรเวลาต่อมา เพียรภมรเลื่อนเอกสารมาตรงหน้าลูกความ ราตรี เจ้าเก่า
“ฉันอยากให้คุณคิดให้ดี นี่เป็นคดีฟ้องร้องสามีของคุณเอง คุณกำลังจะฟ้องหย่า
“ฉันคิดดีแล้วล่ะค่ะ มันหลอกฉัน มันเป็นผู้ชายที่ไม่เคยมีความจริงใจกับใครเลยมันผลาญฉันจนฉันแทบจะหมดเนื้อหมดตัว”
“ถ้าคุณแน่ใจ คุณเซ็นใบแต่งทนายตรงนี้ค่ะ”
ราตรีเซ็นใบแต่งทนายแล้วจึงลุกขึ้นยืน
“คุณต้องลากคอมันเข้าคุกให้ได้นะคะ มันไม่ได้ทำร้ายฉันแค่ร่างกาย แต่มันทำร้ายจิตใจของฉันด้วย”
ศลัยลาก้าวเข้ามายืนฟัง ด้วยสีหน้า แววตาเจ็บปวด
“คุณต้องเอามันเข้าคุกให้ได้นะ ฉันไปละ”
ราตรีหันตัวเดินออกไป ศลัยลาเดินสวนทางเข้ามาพอดี เพียรภมรมองศลัยลาอย่างแปลกใจ
“พี่ศลัย..นี่ออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่แข็งแรงดีแล้วหรือ”
“ฮื่อ”
ศลัยลาทรุดตัวลงนั่งด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน
“เพียร...พี่จะหย่ากับภูฉาย!”
สองคนอยู่ที่ร้านกาแฟสดแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา ศลัยลาร้องไห้เงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ เพียรภมรยกกาแฟมาวางแล้วนั่งลงใกล้ๆ เพื่อนรุ่นพี่
“พี่ออกมานี่คุณภูฉายเขารู้หรือเปล่า”
“เขาอยู่บ้านแม่เขา เอานมไปให้ลูก”
“สังคมไทยเรานี่..การที่ญาติผู้ใหญ่จะเลี้ยงลูกหลานไม่ใช่ของแปลกเลยนะพี่ศลัย พี่อาจจะแค่น้อยใจคุณภูฉาย ที่เขาตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง เหมือนกับ..เขาไม่ให้ความสำคัญพี่ในฐานะเมีย...แล้วก็แม่
น้ำตาของศลัยลายังไหลอยู่ ขณะส่ายหน้า
“เธอคิดว่าฉันอิจฉาเขาหรือ ที่เขามีแม่ที่รักเขาเอาเป็นเอาตาย”
“ไม่ใช่หรอกพี่ศลัย เพียงแต่..พี่ค้นพบคุณภูฉายในแบบที่พี่ไม่ได้หวังไว้ เชื่อเพียรหรือยังล่ะ เพียรเคยเตือนพี่แล้ว..อย่าแต่งงานกับผู้ชายอย่างคุณภูฉาย!”
ด้านภูฉายแวะมาหาลูกที่บ้านแม่ และกำลังถือของเล่นเขย่าๆ อยู่ที่เตียงของลูก
“แต่ช้าแต่เขาแห่ยายมา...พอถึงศาลาเขาก็วางยายลง...”
สลักมองอย่างเอ็นดู
“เห่อ ลูกยังไม่รู้อะไรเลย ขนซื้อของเล่นมาเยอะแยะไปหมด แม่บอกแล้วไงซื้อแค่นมพอแล้ว”
ภูฉายเปลี่ยนเรื่อง “แล้วเมื่อไหร่ตาหนูจะทานข้าวได้ครับแม่”
“อีกสามเดือน ต้องเริ่มที่อาหารอ่อนๆ ก่อน สมัยแกน่ะ...แม่ให้กินข้าวบดกับกล้วยน้ำว้า ตัวอ้วนปึกเชียว เออ...นี่แม่ศลัยเขาไม่ได้มากับแกหรือ”
“ผมออกจากแบงค์ก็รีบมาเลยครับ”
สลักมีแววตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแว้บหนึ่ง “ดีแล้วละ..เวียนไปรับเมียมานี่ แกเสียเวลาเสียน้ำมัน เอาเวลามาอยู่กันตามประสาแม่ๆ ลูกๆ ดีกว่านะ”
“ครับ..แม่”
“นังมัย..เดี๋ยวแกไปเตรียมมื้อค่ำให้คุณภูด้วยนะ คืนนี้...ภูเขาจะนอนที่นี่”
สลักหันมายิ้มอย่างอ่อนหวาน เมื่อเห็นสีหน้าของภูฉายชะงักค้าง ก็พูดดักคอทันที
“จะนอนกับตาหนูใช่มั้ย ...ภูฉาย”
ภูฉายจำต้องฝืนยิ้มตอบ
“ครับ..แม่”
บ้านหลังงามตกสภาพเงียบเหงา ว่างเปล่า เวิ้งว้าง ศลัยลาเปิดประตูเข้ามา ยืนคว้าง มองไปรอบๆ ด้วยด้วยความคิดถึงลูก
ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งที่เตียงนอน ปิดหน้าด้วยสองมือร่ำไห้ด้วยใบหน้าเหยเก ทุกข์เวทนาเหลือเกินกับชีวิตยามนี้
คืนนั้นลายสือเดินช้าๆ มายังเจดีย์ที่มีภาพถ่ายของแม่ ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าภาพถ่าย ยกมือขึ้นแตะต้องอย่างอ่อนแอ
“แม่ครับ ผมจะไปทำงานที่บ้านเชียง ผมมาลาแม่…”
ลายสือมองภาพถ่ายของแม่ ยิ้มอย่างเศร้าหมอง
ที่กองงานโบราณคดีเช้าวันต่อมา ศลัยลานั่งครุ่นคิด กังวลกับปัญหาชีวิตแต่งงานของตนเองและภูฉาย
ผจงจิตถือแฟ้มงานเข้ามา
“ศลัยเห็นคำสั่งหรือยัง”
“เห็นแล้วจ้ะ”
“เธอไม่ไปก็ได้นะ ขึ้นไปชี้แจงความจำเป็นกับหัวหน้าฝ่ายเรื่องครอบครัวลูกยังเล็ก ท่านต้องเข้าใจ”
“แต่ฉันจะไปค่ะ
สีหน้าแววตาของศลัยลาเด็ดเดี่ยวมาก
นวลนภาแปลกใจมากเมื่อรู้จากปากลูกสาวที่แวะมาหาที่บ้าน
“ทำไมล่ะศลัย หนูไม่ไปก็ได้ ก็ชี้แจงความจำเป็นผู้ใหญ่ท่าน อ้างว่าลูกยังเล็กครอบครัวยังไม่พร้อม แหม..ไกลเหมือนกันนะ ตั้งอีสานแน่ะ”
“หนูจะไปค่ะ หนูกับภูจะแยกกันอยู่สักพักหนึ่ง เขาอยู่กับลูก หนูไปอยู่บ้านเชียง บางทีอะไรๆก็อาจจะดีขึ้น เราจะได้รู้ว่าเราต้องการกันและกันแค่ไหน”
“ศลัย...นี่หมายความว่า…”
ศลัยลาโผเข้ากอดนวลนภา ร้องไห้
“แม่คะ หนูไม่ได้ว่าภูเป็นคนเลวนะคะ เขาเป็นคนดี เขาเป็นผู้ชายที่ดีค่ะ...แต่...แต่หนูทนเขาไม่ได้อีกแล้ว หนูทนเขาไม่ได้!”
ศลัยลาร้องไห้โฮ
นวลนภากอดลูกสาวไว้อย่างปลอบโยน
ภาษิตซึ่งเดินเข้ามาทันได้ยิน มองศลัยลาอย่างกังวลใจ
ศลัยลาเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีอ่อนล้า สิ้นหวัง ชะงักเมื่อเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดอย่างสวยงาม ภูฉายก้าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“เพื่อคุณ..เพื่อความรักของเราไงล่ะ ศลัย”
ศลัยลามองหน้าภูฉาย แววตาปวดร้าวและขมขื่นฉายโชนในดวงตาคู่งาม
“ทำไมล่ะ..คุณทำท่าแปลกๆนะหรือเป็นเพราะว่า...เราไม่ค่อยได้พบกัน ผมงานยุ่งคุณเองก็ยุ่ง นี่ดีนะที่แม่เลี้ยงตาหนูให้เรา ไม่ยังงั้น...”
ภูฉายเดินเข้ามากอดเอวของศลัยลา ด้วยท่าทีรักใคร่ ศลัยลาเบี่ยงตัวออกไป บอกเสียงเรียบ
“ฉันจะไปทำงานที่บ้านเชียงค่ะ ภูฉาย”
สีหน้าภูฉายแปลกใจ
“เมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าค่ะ ฉันจะไปอยู่ที่นั่นหกเดือน พอฉันกลับมา...เราจะหย่ากัน!”
ศลัยลาเดินเข้าห้อง ปิดประตู
สีหน้าแววตาของภูฉาย ตื่นตระหนก อุทานเบาๆ
“หย่า..!”
คืนนั้นสลักเบี่ยงตัวหันหลังให้ลูกชายแววตาลิงโลดดีใจ เมื่อรู้ว่าศลัยลาขอหย่าจากภูฉาย
แต่ภูฉายมองไม่เห็น
“จริงหรือ”
ภูฉายมีท่าทีสิ้นหวัง หน้าตาทรุดโทรมมาก “ครับ ศลัยขอหย่าจากผม นี่ผมทำอะไรผิดครับแม่ ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ผมซื่อสัตย์กับศลัย ผมรักลูก ลูกเป็นชีวิตจิตใจของผม แม่ก็รู้”
“ใช่ แม่รู้ ลูกแม่ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมศลัยลาถึงได้พูดเรื่องหย่า...เอ้อ..พูดจริงๆ หรือว่าพูดเล่น”
“ศลัยไม่ใช่คนชอบพูดอะไรชุ่ยๆ นะครับแม่ ศลัยจะไปทำงานที่อีสานหกเดือน”
“เมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าครับ”
“งั้นหรือ...งั้นแกก็ย้ายกลับมาอยู่กับแม่กับตาหนูซี แม่จะได้อุ่นใจ เวลากลางค่ำกลางคืนถ้าตาหนูเจ็บป่วย แล้วนี่...แม่ศลัยลาเขาจะไม่ร่ำลาลูกเลยหรือ ผู้หญิงอะไร๊…”
สลักกระแทกเสียงประชดอย่างเกลียดชัง
“ใจคอเหมือนยักษ์เหมือนมาร!”
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 3 (ต่อ)
เข็มนั่งพับผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง โดยมีศลัยลาเก็บข้าวของ ของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋า ภูฉายเปิดประตูเข้ามา เข็มมองหน้าทั้งสอง แล้วรีบออกไป
“คุณจะไปจริงๆ หรือ”
“ค่ะ”
“ผมจะบอกตัวเองเสมอๆ ว่าคุณไปทำงาน คุณต้องกลับมา...กลับมาบ้านของเรา คุณมีผม...มีลูกรออยู่ที่บ้าน แล้วก็มีครอบครัวของเรา มี...เอ้อ...มี...”
“มีแม่…”
แววตาของศลัยลาเย็นชา เหมือนหมดรักในตัวภูฉาย ทั้งที่เจ็บปวด
“ศลัย นี่มันอะไรกัน คุณพูดเรื่องหย่ากับผม คุณพูดเหมือนเราไม่ได้เคยรักกันเลย”
“เราเคยรักกันค่ะภู ก็เพราะเราเคยรักกัน...เราถึงต้องพูดเรื่องหย่า”
“ผมพยายามแล้วนะศลัย พยายามทำให้ชีวิตแต่งงานของเราดีขึ้น ลืมเรื่องหย่าที่คุณพูดถึง ผมพยายามตลอดเวลาตั้งแต่ได้ยินคุณพูดคำหย่า!” ภูฉายขึ้นเสียงใส่
“ไม่ต้องตะโกนใส่หน้าฉันหรอกค่ะภู คุณพูดให้ฉันฟังนะ ไม่ใช่สีซอให้ควายฟัง ฉันจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะเลยไปดูลูก ยังมี เวลาที่เราจะทะเลาะกันก่อนหย่าอีกเยอะ!”
ศลัยลาสะบัดออกไปด้วยความโกรธ ภูฉายหน้าซีดสลด อุทานอย่างตื่นตระหนก
“หย่า”
ไม่นานต่อมาภูฉายขับรถยนต์เข้ามาจอดในบ้านสลัก ต่างนั่งกันนิ่งๆ น้ำเสียงของภูฉายมึนตึง
“คุณไม่พอใจแม่ผมใช่มั้ย ไม่พอใจที่ผมเอาลูกมาให้แม่เลี้ยง ผมหวังดีต่อคุณนะเห็นคุณเป็นคนรักงาน”
“ระหว่างงานกับครอบครัว ฉันเลือกเอาอย่างหลัง ฉันพร้อมจะลาออกจากงานมาเลี้ยงลูก คุณล่ะ..คุณพร้อมที่จะขอลูกคืนจากแม่คุณมั้ยคะ ภู”
“เอ้อ..แต่ว่า..นั่นน่ะ ทำลายน้ำใจของแม่ผมนะ”
สลักยืนฟังอยู่บนตึกอย่างสนใจ จ้องจับผิด
ศลัยลาสะเทือนใจ “แล้วน้ำใจฉันล่ะคะ น้ำใจของฉัน ฉันไม่ใช่แม่ของลูกหรือคะ”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“พูดกับคุณแม่คุณว่าเราต้องการเลี้ยงลูกเอง ถ้าคุณไม่กล้าฉันจะเป็นคนพูดเอง”
“อย่านะศลัย ให้เวลาแม่อีกหน่อย”
“คุณให้เวลาแม่คุณมาก ระวังคุณจะไม่เหลือเวลาสำหรับตัวเองนะ”
“คุณไม่ยอมเข้าใจอะไรเลยนี่ ศลัย!” ภูฉายชักมีอารมณ์
ศลัยลาเปิดประตูรถยนต์ก้าวลงมายืน กระแทกปิดปัง อย่างโกรธจัด
“คุณต่างหากล่ะที่ต้องเข้าใจเมีย ถ้าคุณต้องการที่จะเข้าใจแม่ของคุณ ฉันต้องเอาลูกของฉันกลับมาเลี้ยงเองให้ได้ ก่อนที่ลูกของฉันจะเป็นผู้ชายแบบคุณ...”
ภูฉายอึ้ง “ศลัย”
ศลัยลาเดินผ่านสลักขึ้นตึกไป สลักมองตามไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ฟากนวลนภาพูดโทรศัพท์กับเข็มด้วยสีหน้ากังวล ภาษิตเดินลงมา เตรียมตัวไปเรียน
“แกก็ปิดประตูหน้าต่างให้ดี ห้องไหนไม่ใช้ก็ปิดตายไปเลย...ไม่ต้องกลัวที่นั่นไม่มีอันตรายอะไรหรอก แต่ก็ต้องระวังอย่าทิ้งบ้านไปไหนไกลๆ เผื่อเขาจะกลับ แค่นี้นะเข็ม”
นวลนภาวางสายลง
“มีอะไรครับ”
“ศลัยไปอีสาน”
“พักนี้..เขาคงมีเรื่องระหองระแหงกันน่ะครับ ปล่อยพี่ศลัยไปทำใจสักพักก็ดีนะครับ ต่างคนต่างแยกกันอยู่จะได้รู้ว่าอยู่คนเดียว ได้ดีแค่ไหน”
“แกพูดเหมือนแกอนุโมทนาถ้าเขาหย่ากันได้”
“ตอนกำลังจะหย่ามันแย่ๆ ยังงี้ ไม่แน่นะ..หย่าไปแล้วมันอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“แต่แม่ก็ยังเป็นห่วงศลัย..แล้ว..แล้วตาหนูอีกล่ะ”
นวลนภาทอดถอนหายใจ
“แม่เป็นห่วงตาหนู”
ศลัยลาโน้มตัวลงอุ้มลูกขึ้นมากอดไว้ในวงแขน ละมัยพับผ้าอ้อมอยู่มุมหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง สลักเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงเยาะๆ 2 คนเปิดฉากเชือดเฉือนกัน
“คิดดีแล้วหรือ ที่เธอจะเอาลูกไปเลี้ยงเองน่ะ พร้อมสักแค่ไหนเลี้ยงเด็กน่ะไม่ใช่ของง่ายนะ”
“ไม่เห็นจะต้องพร้อมอะไรนี่คะ หนูเป็นแม่”
“ถ้าจะเอาความเป็นแม่มาขู่กันละก็ ฉันก็เป็นแม่ของภูฉาย”
“ใช่ค่ะ เป็นแม่ของภูฉาย แต่ตอนนี้ภูฉายไม่ใช่เด็กนอนแบเบาะแล้วนะคะ การที่เขานอนหนุนตักหรือพัดให้ ก็เพราะเขาต้องการทำให้แม่ของเขามีความสุข มันเป็นสิ่งที่เขาให้ได้ แต่ตาหนู…”
ละมัยรับเด็กไปจากมือของศลัยลา
“ตาหนูไม่ได้เป็นลูกของภูฉายคนเดียว แต่เป็นลูกของหนูด้วย” ศลัยลาเน้นคำ
ภูฉายก้าวเข้ามา สีหน้าตื่นตระหนก
“หนูมีสิทธิ์ตามกฎหมายในฐานะที่หนูเป็นแม่”
“ศลัย”
สลักโกรธจัด “แก..นังศลัย...”
“หนูต้องการเลี้ยงลูกเองค่ะ”
ศลัยลาจูบลาลูกด้วยสภาพน้ำตานองหน้า ก่อนตัดใจผละออกไป
“มันต้องเป็นความคิดของวงวารว่านเครือมันแน่ มันคงกลัวฉันจะอมเล็กอมน้อยเรื่องค่าใช้จ่ายตาหนูละซีมันหาว่าแม่อาศัยกินอยู่นะ มันดูถูกแม่...โอย..แม่...แม่จะเป็นลม”
ภูฉายวิ่งออกไปแล้ว สลักชะงักอาการเป็นลม มองตามไปด้วยความขุ่นเคือง
ศลัยลาวิ่งลงมาจากตึก โดยมีภูฉายวิ่งตามมา อารมณ์ยังร้อนด้วยกันทั้งคู่ ศลัยลาปาดน้ำตาทิ้ง
“ศลัย คุณก้าวร้าวแม่ผมนะ!”
ศลัยลาหยุด หันมาตาคมกริบ เสียงแข็ง “ฉันต้องการลูกค่ะภู ฉันพูดในสิ่งที่คุณไม่กล้าพูด ฉันพูดแทนคุณ แล้วก็แทนตัวฉันเอง เพราะฉันเป็นแม่!”
“ผมเข้าใจ แต่ไม่จำเป็นต้องก้าวร้าวแม่ผมนี่ คุณทำให้แม่ผมเสียใจ”
“แล้วไอ้ที่แม่คุณทำให้ฉันเสียใจล่ะ มันนานแค่ไหนแล้ว คุณคิดว่าฉันเป็นอะไรคะภูฉาย เป็นผู้หญิงที่ปั้นขึ้นมาด้วยดินเหนียวยังงั้นน่ะหรือ ถ้าเมียปั้นด้วยดินได้ละก็ คุณให้แม่คุณปั้นเมียที่ดีเลิศให้คุณซี!”
“ศลัย”
สีหน้าภูฉายสลดลง สะเทือนใจ เสียงสั่นเครือ จะร้องไห้ ขณะถามออกมา
“คุณไม่รักผมแล้วหรือ ผมรักคุณมากนะ”
“ฉันรักคุณค่ะ มันอาจจะไม่มากมายเหมือนเมื่อก่อน แต่ฉันยังรักคุณอยู่ เรื่องหย่าของเรามันคงจะไม่ง่าย แล้วฉันจะกลับมา”
ศลัยลาเดินไปเปิดประตูรถยนต์ขึ้นไปนั่ง ภูฉายเดินอ้อมไปเปิดประตูรถยนต์ขับออกไป
สลักออกมายืนมองตามไป ด้วยแววตามึนตึง และชิงชังดังเดิม
ขบวนรถไฟสายอีสานจอดรอเวลาอยู่ในชานชาลา สถานีรถไฟหัวลำโพง ลายสือนั่งที่เก้าอี้ผู้โดยสาร กางหนังสือพิมพ์เปิดอ่านอยู่ ศลัยลาหิ้วกระเป๋าเข้ามาหาหมายเลขที่นั่ง วางกระเป๋าตรงข้ามลายสือ
ภูฉายก้าวตามมายืนอยู่ที่ชานชาลาตรงริมหน้าต่าง สองคนมองกันตาละห้อย
“ศลัย…”
ศลัยลายื่นมือออกไป น้ำตาเริ่มเอ่อล้นดวงตา ประกายตาของทั้งสองเศร้าหมองไปด้วยความรัก ความอาวรณ์
“ผมรักคุณนะ...อย่าลืม”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ..ฉันรักคุณ”
เสียงหวูดรถไฟให้สัญญานรถไฟออกเดินทาง
ธงสีเขียวสะบัดเป็นสัญญาณ รถไฟเริ่มเคลื่อนที่ ภูฉายขยับก้าวตาม ต่างคนจับมือกันและกัน มือของภูฉายและศลัยลาพลัดหลุดจากกันเมื่อรถไฟวิ่งเร็วขึ้น
“ศลัย”
“ภูฉาย”
ศลัยลาใจหาย ชะโงกตัวมองภาพภูฉายทีไกลห่างออกไป ด้วยน้ำตากลบดวงตา
ลายสือขยับหนังสือพิมพ์ลงอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นศลัยลานั่งลงและเริ่มต้นร้องไห้อย่างเงียบๆ
ส่วนละมัยกำลังเลี้ยงเด็กอยู่ด้วยท่าทีเหนื่อยๆ สลักมัวแต่กระแทกเสียงบ่น ไม่ได้สนใจเด็กเลย
“ฮึ แค่นจะเลี้ยงลูกเอง ทั้งที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เพราะลูกสะใภ้หยั่งแม่ศลัยลานี่แหละที่มันทำให้ตำนานแม่ผัวฉาวโฉ่มาทุกยุคทุกสมัย”
“มื้อกลางวันนี่ เอาอะไรป้อนคุณหนูดีคะคุณนาย”
“แกออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยมาป้อนก็แล้วกัน ฉันขี้เกียจตุ๋นข้าวให้ ฉันเหนื่อย แม่ศลัยลาไม่ได้มาเห็นตอนฉันลำบากเลี้ยงนี่ ก็เลยคิดว่าเลี้ยงเด็กน่ะสนุก!”
“แต่ว่าก๋วยเตี๋ยว…” ละมัยจะท้วง
“ฉันสั่งยังไงก็ทำยังงั้น นมนั่นเหลือใช่มั้ย เอาเข้าตู้เย็นไว้ตาหนูหิวค่อยเอามากินใหม่ ทิ้งทำไม ฉันจะไปเอนหลังหน่อยนะนังมัย คุณภูฉายมาแกต้องปลุกฉันก่อนแล้วค่อยลงไปเปิดประตูให้เขาทีหลัง เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ”
สลักเดินออกไป ละมัยถอนหายใจเซ็งๆ
“เฮ้อ ป้อนก๋วยเตี๋ยวอีกแล้ว..ทุกวั้น..ทุกวัน!”
ละมัยทำหน้าเบื่อๆ
ด้านศลัยลานั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่บนรถไฟ ที่แล่นไปตามทาง มุ่งหน้าสู่อุดรธานี ใช้แขนเสื้อซับน้ำตาไป ลายสือค่อยๆ ลดหนังสือพิมพ์ลง เห็นศลัยลายังร้องไห้อยู่
“ปิดหน้าต่างมั้ยครับ ลมแรง”
“ไม่ต้อง!”
ศลัยลาตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ไม่ได้มองหน้าลายสือ ยังคงร้องไห้ต่อ สักครู่ลายสือส่งผ้าเช็ดหน้าให้
“ผ้าเช็ดหน้า”
ศลัยลาเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าลายสือ แววตาแข็งกร้าวไม่เป็นมิตรทันที เมื่อเห็นท่าทีลายสือหยันๆ สีหน้าศลัยลางงๆ
“ทำไม”
“ก็คุณต้องใช้ รับรองน่า..ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีการติดเชื้อคุณจะเช็ด น้ำตาหรือสั่งขี้มูกก็ตามใจ”
ศลัยลารับมาซับน้ำตา แล้วจึงสั่งขี้มูก ส่งคืนให้ลายสือ
“ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณเก็บไว้เถอะ ผมน่ะไม่จำเป็นต้องใช้หรอก เพราะร้อยวันพันปีผมรักตัวเองไม่เคยรักคนอื่น ผมก็เลย...ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่เป็น!”
ลายสือลุกไปนั่งที่อื่นด้วยความรำคาญ
ศลัยลามองตาม สีหน้า แววตาเจื่อนๆ ด้วยความอับอาย
เข็มเดินออกมาส่งเพียรภมรที่รถ
“ฉันก็เพิ่งรู้ว่าพี่ศลัยไปอีสาน แล้วตาหนูล่ะ..ใครเลี้ยง”
“คุณแม่คุณภูฉายเอาไปเลี้ยงค่ะ คุณภูเขาก็เลยนอนบ้านคุณแม่เขาไม่ค่อยกลับมาที่นี่” เข็มบอกตามจริง
“แล้วรู้มั้ย เมื่อไหร่พี่ศลัยจะกลับ”
“คุณศลัยไม่ได้สั่งไว้ค่ะ
ภาษิตเดินเข้ามา หิ้วปิ่นโตมาด้วย
“เข็ม...”
“อ้อ คุณภาษิตมา”
“คุณแม่ให้เอาของกินมาให้ ใส่ตู้เย็นไว้นะ เผื่อไม่มีกับข้าวจะได้กินกันตายจนกว่าพี่ศลัยจะกลับ”
“ขอบคุณมากค่ะ เอ้อ...คุณ...”
“มาหาพี่ศลัยหรือครับ” ภาษิตแทรกขึ้น
“ใช่ พี่ศลัยไม่อยู่ ฉันก็จะกลับ”
สีหน้าภาษิตกวนโทสะสุดๆ เมื่อเห็นเพียรภมรมึนตึง ท่าทีไว้ตัว
“เฮ้อ..ผมก็จะกลับเหมือนกัน แต่..รถเสีย..เงินค่ารถเมล์ไม่มี จะมีคนทำทานให้อาศัยนั่งไปด้วยคนได้มั้ยน้อ”
“ถ้าสภาพชีวิตของคุณน่าสังเวชขนาดนั้นก็เชิญ ถึงฉันจะไม่ค่อยศรัทธาทำบุญตามวัดรวยๆ เท่าไหร่ แต่ฉันก็จะทำทานสัตว์ผู้ยาก”
เพียรภมรขึ้นรถยนต์ ภาษิตร้อง
“โอ้โฮ...ยังงี้ด่ากันตรงๆนี่ ว่าผมเป็นสัตว์..อย่าคิดว่าผมจะโกรธไม่ยอมรับทานนะ รับ...”
ภาษิตขึ้นรถยนต์ นั่งว่างท่าตามสบายเฉิบ
เพียรภมรหันมามองด้วยแววตาแข็งกระด้าง ขับรถยนต์ออกไปด้วยความเร็วเสียงภาษิตร้องเอะอะ
“เฮ้ยๆๆระวังหน่อยซีคุณ ผมยังไม่มีเมียนะ...ระวัง!”
เข็มมองตามคู่กัดไป หัวเราะอย่างขบขัน
ไม่นานต่อมา เพียรภมรเบรกรถยนต์โดยแรงที่ประตูหน้าบ้านนวลนภา จนนวลนภากำลังดูต้นไม้ มองมาอย่างแปลกใจ
“โอย ถึงแล้วหรือครับ สงสัยผมต้องเรียกหมอมาผ่าตัดลำดับตับไตไส้พุงเสียใหม่ เพราะมันเปลี่ยนที่อยู่ไปหมดแล้ว หัวใจผมลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ส่วนปอดขึ้นไปอยู่โน่น..สมอง” ภาษิตประชด
“คุณลงไปได้แล้ว ฉันมีธุระ”
“ผมลงแน่ ผมต้องการจะมีชีวิตอยู่ เรียนจบ...รับปริญญาแล้วแต่งงาน มีลูกสักครึ่งโหล มีบ้านมีรถ..มีครอบครัว ไม่ใช่ทำงานงกๆตายไปอย่างคน..เสียชาติเกิด…”
เพียรภมรโกรธ ขับรถทะยานออกไป ภาษิตกระโดดหนีแทบไม่ทัน ร้องตะโกน
“โธ่ โว้ย ซื้อใบขับขี่มาหรือยังไงวะ คุ๊ณ กลับไปสอบใบขับขี่เกวียนใหม่ไป๊!”
นวลนภาเห็นท้ายรถไวๆ ร้องถาม “อะไรกัน นั่นคล้ายๆ กับรถของ…”
“จะใครเสียอีกละครับ ท่านทนายใหญ่ เพื่อนพี่ศลัยน่ะซี”
“หนูเพียรภมร แล้วทำไมไม่ชวนเข้าบ้านก่อนล่ะ”
ภาษิตหงุดหงิดมาก “เข้าไม่ได้หรอกครับ เชิญไปก็ไม่มีประโยชน์...ที่เข้าประตูไม่ได้เพราะท่านยิ่งใหญ่มาก..คับประตู!”
ภาษิตเดินเข้าบ้านไป ท่าทางโกรธจัด โดยมีสีหน้างงๆ ของนวลนภามองตามไป
อ่านต่อตอนที่ 4