อดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 แนะ “สุเทพ” พิพากษารัฐบาลรอให้เห็นปฏิกิริยาคดีพระวิหารก่อน ชี้แนวทางหากศาลโลกพิพากษาให้ถอนทหารแล้วเจรจาไทยจะเสียเปรียบ เผยเสียดายที่ฝ่ายไทยไม่ได้ตั้งข้อสงวนเรื่องศาลโลกไม่มีอำนาจ แต่ไม่ตระหนัก แนะ ปชป.ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกเพื่อปกป้องอธิปไตย
วันนี้ (11 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 กล่าวในรายการพิเศษ เกาะติดคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ทางเอเอสทีวี กล่าวว่า กรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ จะพิพากษารัฐบาลโดยศาลประชาชน เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะตัดสินคดีการตีความปราสาทพระวิหาร ซึ่งตนเห็นว่าน่าจะเลื่อนการตัดสินรัฐบาลไปเป็น 3 ทุ่ม เพื่อให้เห็นปฏิกิริยาทั้งหมด ถ้าประชาชนร่วมฟังคำพิพากษาอย่างละเอียดจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร ถ้านายสุเทพประกาศขับไล่รัฐบาลแล้วพลาดท่าที่ศาลโลกตัดสินเป็นผลเชิงลบต่อประเทศไทย กระแสคนอาจจะมากกว่านี้ หรือหากรัฐบาลได้เปรียบ สิ่งที่จะคิดว่าจุดติดก็อาจจะไม่ติดก็ได้ การเฝ้ารอสถานการณ์จึงมีความสำคัญ
ทั้งนี้ คดีปราสาทพระวิหาร ประเทศไทยพ่ายแพ้ในปี 2505 อย่างอยุติธรรมที่สุด เพราะแม้ว่าในตอนนั้นคนไทยมั่นใจว่าจะชนะคดี เพราะตัวปราสาทอยู่บนขอบหน้าผาชัดเจน มีสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปีคริสต์ศักราช 1904 และ 1907 ชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณแถวนี้ไม่เคยมีการทำหลักเขตแดน เพราะเห็นหลักธรรมชาติ ที่เป็นเส้นเขตแดนขึ้น คือขอบหน้าผาเป็นไปตามภูมิศาสตร์ที่เห็นได้ชัดเจน มองด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะเป็นปี 1904 ปี 1907 ทำซ้ำกันใหม่ปี 1917 ทำหลักเขตแดนกันใหม่ พื้นที่แถวนี้ไม่เคยทำหลักเขตแดนเลย นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกจากฝ่ายฝรั่งเศส ว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีสันปันน้ำเป็นขอบหน้าผาอย่างชัดเจน และเป็นทิวเขาดงรัก เห็นได้ชัดเจนจากตีนทิวเขาดงรักว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำ
ด้วยเหตุผลนี้จะมีปัญหาก็คือปลายทั้งสองข้างเท่านั้น ปรากฏว่าในทางปฏิบัติ หลักธรรมชาติ หลักสันปันน้ำ หลักสนธิสัญญา ปราสาทพระวิหารก็เป็นของไทย ไม่มีเหตุผลที่จะเป็นฝั่งกัมพูชาได้ ปรากฏว่ากลับอาศัยข้อกล่าวหาที่ว่าประเทศไทยไม่สู้เรื่องแผนที่ ซึ่งแผนที่ก็ทำผิดอีก ไม่สอดคล้องกับหลักภูมิศาสตร์ ไทยกลับไม่ปฏิเสธถือว่ายอมรับ เรียกว่ากฎหมายปิดปาก ใช้กันเป็นประเพณีของอังกฤษที่นานมาแล้ว และใช้กับประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก เราถูกกระทำอย่างอยุติธรรมที่สุด บรรพบุรุษของไทยในยุคนั้นจึงกลืนเลือด และตั้งข้อสงวนคัดค้านไปถึงองค์การสหประชาชาติอย่างไม่มีกำหนดการ ในอนาคตเราขอจะทวงคืน ประเทศไทยจึงไม่รับอำนาจศาลโลกมา 51 ปี
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า การตีความคดีปราสาทพระวิหารเที่ยวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้จะมีคนชูธงว่ามีเอ็มโอยู 2543 แต่อีกด้านหนึ่ง สิ่งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และนายถนัด คอมันตร์ ตั้งข้อสงวนเอาไว้ เท่ากับยืนยันว่าเส้นเขตแดนอยู่ที่ขอบหน้าผาเหมือนเดิม โดยพื้นที่ล้อมรั้วเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ แต่แผ่นดินตามขอบหน้าผาจะขอทวงคืนในอนาคตและไม่ยอมรับคำพิพากษา ด้วยเหตุผลนี้เราจึงไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ไม่ว่าจะตีความอย่างไรก็ตาม เพราะบรรพบุรุษวางรากฐานไว้เช่นนี้ สิ่งที่ตนเสียดายที่สุด คือการต่อสู้คดีความ เราต่อสู้ว่าอยู่ระหว่างเจรจากลไกทางทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่ไม่เคยยืนยันเส้นเขตแดนอยู่ที่ขอบหน้าผา ขณะที่กัมพูชายืนยันเส้นเขตแดนโดยแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางเมตร ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศส ซึ่งเป็นข้อที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ประการต่อมา ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก หรือออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ห้ามทหารเข้าไป มักจะมีคนถามว่าเราฝืนกติกาโลกหรือเปล่า ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเลย เพราะทุกชาติมีอธิปไตยเป็นของตัวเอง และเป็นไปไม่ได้ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะเข้ามาแทรกแซง เพราะไม่ใช่สงครามที่ล้างเผ่าพันธุ์ เป็นข้อพิพาทเรื่องชายแดน ไม่เคยมีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ปัญหาพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่น หรืออิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก็ไม่มีใครเข้าไปยุ่ง เพราะฉะนั้นประเทศมีอธิปไตยเป็นของตัวเอง และตามข้อกำหนดสมาชิกของสหประชาชาติไม่มีสิทธิ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศไทย เราพึงจะไม่ต้องรับอำนาจศาลโลก เพราะไทยจะเสียดินแดนเท่าเดิม มากกว่าเดิม หรืออาจยิ่งกว่าเดิม เราจะเล่นกติกานี้ไปเพื่ออะไร
ส่วนที่มีการกล่าวว่าไทยมี 4 ทางเลือก คือ ศาลโลกไม่มีอำนาจที่จะตัดสิน, ตัดสินให้เป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางเมตร ไทยเสียดินแดนทันที เป็นโศกนาฏกรรมที่คนไทยไม่ยอม แต่หากศาลโลกตัดสินเช่นนี้ก็ต้องตัดสินปี 2505 แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งศาลโลกมีอคติกับประเทศไทย ตามที่นายสุวิทย์ คุณกิตติได้กล่าวไว้ มีการเมืองระหว่างประเทศและมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง แนวทางที่สามเป็นไปตามที่ไทยร้องขอ คือ พื้นที่ล้อมรั้วเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ ที่จริงต้องยื่นข้อสงวนด้วยแต่ไม่พูดถึงในเที่ยวนี้ และแนวทางที่สี่ ศาลไม่พิพากษาว่าเป็นของใคร หรือขีดเส้นเขตแดนเอง ไทยจะเสียดินแดนมากเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ แต่ไทยเสียมากกว่าเดิม แต่หากศาลตัดสินว่าให้สองประเทศไปเจรจาพูดคุย และออกมาตรการเหมือนคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้ทหารอาศัยอยู่ หากมีชุมชนชาวกัมพูชาปักหลักอยู่ หมายความว่าในอนาคตก็มีแต่ชุมชนชาวกัมพูชาอาศัยอยู่ โดยที่ไทยยังสงวนเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ คนกัมพูชาอยู่ได้แต่คนไทยห้ามเข้า
“สิ่งที่เราควรทำที่สุด คือสิ่งที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เสนอความเห็นมา และผมก็เสียดายที่นายวีรชัย พลาศรัย ไม่ได้พูดไว้ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ได้กล่าวกับนายวีรชัย ว่า ช่วยตั้งข้อสงวนเอาไว้ได้ไหมระหว่างการไต่สวน ว่า ไทยเห็นว่าเราปฏิบัติตามครบถ้วนแล้ว ศาลโลกไม่มีอำนาจ เพราะฉะนั้นหากศาลโลกตัดสินในการละเมิดอธิปไตยในประเทศไทย ประเทศไทยขอสงวนสิทธิ์ไม่รับอำนาจศาลโลก ที่จริงสามารถทำได้ แต่ประโยคนี้ไม่สร้างความตระหนักให้ศาลโลกได้รับรู้ ที่ข้อสำคัญที่น่าเสียใจที่สุด คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยงบประมาณ 7.1 ล้านบาท ประโคมข่าวออกโทรทัศน์หลายชุด เพื่อให้คนไทยยอมจำนนยอมยกแผ่นดินให้กัมพูชา โดยอ้างว่าเรื่องสันติวิธี ไม่สนใจอธิปไตยของชาติ บิดเบือนข้อมูลว่าพื้นที่ตรงนี้ยังไม่เคยสำรวจตรวจสอบมาก่อน เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น เราสำรวจเสร็จสิ้นมาร้อยกว่าปีแล้ว เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น ทำให้คนไทยไม่ตระหนักในเวลาก่อนหน้านี้” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ถ้ารัฐบาลมีเจตนาปกป้องอธิปไตย ก็ควรหลิ่วตาข้างหนึ่งปลุกประชาชนไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกก่อนหน้านี้ ใช้สื่อของรัฐประโคมทำข่าวเต็มที่ แสดงออกเพื่อส่งสัญญาณไปยังศาลโลกว่า ถ้าตัดสินเช่นนั้นคนไทยไม่ยอมที่จะเกิดสงคราม ซึ่งหากเกิดสงครามนักลงทุนก็เข้ามาไม่ได้ พลังงานก็ไม่ได้ เขาจะได้คิดหนักว่ายืนอยู่ข้างผลประโยชน์กัมพูชาแล้ว แต่เวลานี้ไม่มีใครตระหนัก ถ้าหลังจากนี้ถ้าคนไทยรับไม่ได้ และเกิดกระแสเกิดขึ้น ถึงตอนนั้นมีโอกาสเกิดสงครามเพราะศาลตัดสินแล้ว และเป็นคุณกับฝ่ายกัมพูชาแล้ว เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะฝ่ายไทยประกาศตลอดมาว่าไทยรับอำนาจศาลโลกโดยรัฐบาล กองทัพก็ประกาศว่ารับอำนาจศาลโลก เพราะฉะนั้นไม่มีใครไม่รับอำนาจศาลโลก เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หากเป็นผลร้ายต่อประเทศไทย คนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบ ถ้าเป็นผลดีไทยก็ไม่ควรยินดีเพราะตอนก่อนหน้าน ถ้ามาปฏิเสธที่หลังก็เท่ากับเราขี้แพ้ชวนตี ถ้าปฏิเสธก็ควรปฏิเสธตั้งแต่ต้น
ด้านนายวีระพันธ์ มาไลยพันธ์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ความเสียหายร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สวรรคต เพราะตรอมพระทัยเรื่องเสียดินแดน ซึ่งนักโบราณคดีทราบกันดี มองมาถึงรัชกาลปัจจุบัน หากเสียดินแดน รัฐบาลสมยอมไม่ต่อสู้ ก็หวั่นว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย และคนรุ่นหลังจะเข้าใจผิดในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อีกประการหนึ่งคือ ถ้าหากจะมีการตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายออกมาเจรจา ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการรอมชอมยกยินแดนให้ ถือเป็นตรายางที่รัฐบาลไม่มีความผิด ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง โดยเฉพาะคณะกรรมการเจบีซีก็ตอบไม่ได้ว่าข้าราชการที่รับผิดชอบเป็นคณะกรรมการชุดแรกเป็นใคร เป็นบทด้อยของผู้แทนของไทย และการต่อสู้คดีศาลโลก ดร.สมปอง ก็กล่าวว่า ไม่ใช่ไปแก้ต่าง แต่ให้ไปกล่าวว่าศาลโลกไม่มีอำนาจ แต่กลับไปเป็นจำเลย การไปแพ้คดีมีอยู่สองอย่าง คือถ้าไม่ขายชาติก็ฝีมือด้อย
นายปานเทพ กล่าวว่า ถ้าทหารที่อยู่บริเวณชายแดนมีความสัมพันธ์ต่อกัน ความสัมพันธ์ในเชิงเพื่อนฝูงก็อาจทำให้หย่อนยานต่อการทำหน้าที่ อีกประการหนึ่งคือรัฐบาลมีธงอย่างไร ทหารก็ออกมาทำหน้าที่ ไม่มีสิทธิ์จะเบี่ยงเบนเป็นอย่างอื่น ถ้าศาลโลกมีคำสั่งให้ทหารถอนออกจากพื้นที่แล้วไปเจรจา ความน่ากลัวคือการประชุมบันทึกเจบีซีที่มีการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร และการทำทีโออาร์การทำหลักเขตแดน ทั้งๆ ที่พื้นที่ตรงนั้นไม่จำเป็นต้องทำหลักเขตแดนแล้ว เมื่อเริ่มต้นการทำหลักเขตแดนก็แพ้แล้ว จึงน่าสงสัยว่าในระหว่างที่มีการคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทำไมไม่มีใครพูดถึงแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่รัฐบาลเจรจาสัญญาระหว่างประเทศ ตัดโอกาสกระบวนการตรวจสอบจากภาคประชาชนทิ้งไปหมด และไม่ต้องเปิดเผยตี่อรัฐสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ประชาชนไม่รู้เรื่องนี้ และน่าสังเกตว่าทำไมประชาชนไม่มีใครจัดชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งมีผลกระทบอย่างมาก นอกจากนี้ ตนขอเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกเช่นเดียวกัน เพื่อยืนหยัดในการปกป้องอธิปไตย