ปีกมาร ตอนที่ 2
คืนเดียวกันนั้น ในขณะที่เพียรภมรเดินหิ้วถุงอาหารกล่องเข้ามาในซอยบ้านเช่า เห็นเจ้าของบ้านท่าทางเค็มจัด เดินเข้ามาส่งเสียงทวงค่าเช่าฉวีที่หน้าบ้าน
“หวี..ยายหวี แม่ฉวีโฉมจ๋า..ฉันเองย่ะ ไม่ต้องหลบหน้าฉันหรอก ฉันมาดี..มาทวงค่าเช่าบ้าน ยังไงก็ต้องจ่ายค่าเช่าอยู่แล้ว เห็นใจฉันบ้างเถอะ ค้างมากี่เดือนแล้วแม่คุณ”
“มีอะไรหรือ” เพียรภมรถาม
“มีเรื่องมาขอความกรุณา ให้จ่ายเงินค่าเช่าซะที ค้างมาสามเดือนแล้ว ต้องเข้าใจกันบ้าง ถึงฉันจะร่ำรวย..ฉันก็มีภาระต้องส่งลูกเรียนนอก ต้องกินต้องใช้”
“กี่เดือนแล้ว”
“สามเดือน”
เพียรภมรหยิบเงินออกมา “นี่ ค่าเช่า”
เจ้าของบ้านเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อเห็นเงิน
“มีงานทำแล้วหรือ ไม่น่าเชื่อนะ...เห็นทำงานหาเงินเรียนหนังสืองกๆ ตอนนี้มีเงินจ่ายค่าเช่าให้แม่แล้ว นังฉวีมันโชคดีนะ แหลกเหลวหยำเปมาชั่วชีวิต แต่กลับมีลูกดีคอยหาเลี้ยง”
เพียรภมรตัดบทเสียงกระด้าง “เท่านี้ใช่มั้ย!”
“อภิชาติบุตรจริงจริ๊ง...แม่คุ๊ณ!”
เจ้าของบ้านประชดก่อนสะบัดหน้าออกไป เพียรภมรขยับประตู หยิบกุญแจจากกระเป๋าถือไขประตูเปิดเข้าไป
ฉวีนอนหลับสนิท มีขวดเหล้าที่หมดแล้ววางกลิ้งอยู่ที่พื้น แก้วเหล้าที่มีลิปสติกเขรอะขอบ
กล่องอาหาร น้ำ เสื้อผ้ากองสุมๆ กัน
เพียรภมรก้าวเข้ามา วางถุงของกินลง กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยความขมขื่น เจ็บปวดก่อนเก็บข้าวของเข้าที่ก่อนที่จะปลุกฉวี
“แม่ แม่ หนูซื้อข้าวมาให้”
ฉวียังคงหลับสนิท
“แม่…”
เพียรภมรมองฉวีเงียบๆ ก่อนหยิบเงินห้าพันบาทออกมาวางไว้ที่หมอน หันหลังเดินออกไป
ฉวีค่อยๆ ละเมอตื่น
“ใครๆ ก็ทิ้งกูไปหมดไม่ว่าลูกหรือผัว ไปกันหมด..แล้วปล่อยให้แม่เป็นยังงี้”
เพียรภมรหันกลับมา
“ไม่มี..ข้าไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมาปล้นมาจี้ มีแต่ตัวจะเอามั้ย”
“แม่..แม่เมาอีกแล้วหรือ”
ฉวีลุกขึ้นเดินเซมาจ้องหน้าเพียรภมร ท่าทีมึนตึง เย็นชา
“อ้อ..นึกว่าใคร..แต่งเนื้อแต่งตัวดีนี่..มีความสุขแล้วซีนะ..จะมานึก ถึงคนอย่างแม่ผู้ต้อยต่ำเหมือนขยะทำไม”
“แม่ติดเหล้าใช่มั้ย”
“ใช่..ติดแล้วเป็นไง ชีวิตนี้มีอะไรวะ ไม่มี..แล้วจะให้พึ่งอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เหล้า”
ฉวีร้องไห้
เพียรภมรมีสีหน้าแววตาขมขื่น และปวดร้าวขณะมองไปที่แม่
“แม่ ทำไมไม่พึ่งตัวเอง แม่พึ่งตัวเองมาตั้งแต่ต้น แม่รู้นี่ว่าแม่ทำได้ เลิกคิดจะพึ่งผู้ชายเสียทีเถอะ ผู้ชายมันก็ไม่ได้มีดีมากกว่าผู้หญิงหรอก มีมือมีตีนเท่าๆ กัน ผู้หญิงเสียอีกที่ทนได้มากกว่าผู้ชาย!”
“ไม่ต้องมาสั่งสอนกู เอาตัวเองให้รอด”
ฉวีนิ้วจิ้มหน้าผากของเพียรภมร ผลักแรงๆ
“แล้วไปให้พ้น!”
เพียรภมรสะเทือนใจ ผลุนผลันออกไป ปล่อนฉวีร่ำไห้คร่ำครวญอยู่คนเดียว
“ไปให้พ้น ไม่ต้องกลับมาตอกย้ำกูอีก เออ..กูมันจน กูมันไร้การศึกษา กูเป็นขยะ กูเป็นแม่ใครไม่ได้หรอก กูมัน...ไม่มีเกียรติพอที่จะเป็นคุณแม่ของท่านทนายใหญ่!”
เพียรภมรสะท้อนใจ
วันต่อมา ที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ลายสือกำลังทำงานอยู่ในห้องกิจกรรม ผลึกเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามา
“มีข่าวอะไรน่าสนใจวะ”
“ข่าวคนดังๆ เดี๋ยวแต่งเดี๋ยวเลิก แต่งๆเลิกๆ กันง่ายจัง สมัยก่อนน่ะ..กูเห็นผัวเมียอยู่กันไปด่ากันไปจนตายกันไปข้างนึง เออ..พี่สาวไอ้ษิตมันแต่งงานแล้ว ไม่รู้เป็นยังไงมั่ง” ผลึกว่า
“นี่..ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของคนอื่นหรอก สนใจแต่ปากท้องของตัวเองก็พอแล้ว”
ผลึกหมั่นไส้ “ไอ้สือ นี่ใจคอมึงจะไม่สนเรื่องราวของมนุษย์เลยหรือวะ จะอยู่คนเดียวในโลกหรือยังไง”
“ถ้ากูจะอยู่คนเดียวในโลก แล้วมันแปลกตรงไหน”
“มนุษย์เกิดมาเป็นคู่กันโว้ย ผู้หญิงกับผู้ชายถึงจะอยู่ๆ เลิกๆ แต่ก็เกิดมาเพื่อหาคู่ เคยเห็นน้องหมามั้ย”
“เปรียบให้มันฟังดูดีกว่านี้หน่อยได้มั้ย” ลายสือเซ็ง
“แม้น้องหมายังต้องหอนเดือนสิบสองเพื่อหาคู่ แต่..แก..แกไม่มองผู้หญิง ไม่พูดด้วย ไม่แยแสใยดี ชวนไปจีบใครก็ไม่ไป..ไม่ว่าง..ไม่เอา ไอ้สือ...หรือว่าแกต้องคำสาป!”
ลายสืองง “คำสาปอะไรวะ”
“แก...”
ผลึกเว้นวรรคชี้หน้าลายสือ ทำหน้าเคร่งเครียด
“...จะมีเมียแก่!”
ลายสือกะผลึกเดินออกมาจากห้อง สองหนุ่มชะงักเมื่อเห็นแหมวยืนรออยู่ ผลึกจ้องมองด้วยความตะลึงงันในความน่ารักของแหมว สาววัยใสยกมือไหว้ ลายสือรับไหว้อย่างงงๆ
“จำแหมวไม่ได้หรือคะ พี่ลายสือ”
ลายสือหันมาสบสายตากับผลึก ถามห้วนๆ
“ใคร?”
“แหมวเป็นลูกของคุณพ่อค่ะ” แหมวบอก
ที่แท้เด็กสาวเป็นน้องต่างมารดาของลายสือนั่นเอง
สีหน้าลายสือแปลกใจ กวาดสายตามองแหมวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แหมวยิ้มให้อย่างซื่อๆ บริสุทธิ์
ลายสือล้างมือหยิบผ้าขาวม้ามาเช็ดมือให้แห้ง ท่าทีไม่แยแสใยดีแหมวซึ่งมองไปรอบๆ ด้วยความทึ่งในตัวลายสือ และงานโบราณคดีของเขา ผลึกแอบมองแหวอยู่ไกลๆ
“นี่น่ะหรือคะ ที่ที่พี่ลายสือเรียนโบราณคดี ที่ที่แหมวฝันจะได้เข้า มาเรียนเลยค่ะ”
ลายสือมองแหมว ด้วยสีหน้าแววตามึนตึง เฉยชา ทักทายเสียงขุ่นอย่างเสียไม่ได้
“มาทำไม”
“คุณพ่อให้เอาเงินมาให้พี่ลายสือค่ะ”
แหมวยื่นซองใส่เงินให้ลายสือ บอกต่อ
“แหมวมาเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วค่ะ คุณพ่อฝากให้อยู่หอพักของวิทยาลัย ปีหน้าถึงค่อยมาซื้อบ้านที่นี่ค่ะ เพราะน้องๆ ของแหมวต้องมาเรียนอีกหลายคน”
สีหน้าและแววตาของลายสือขมขื่น กระชากซองเงินจากมือของแหมวมา
ผลึกมองมายังลายสือด้วยแววตาตำหนิ
“ทีหลังไม่ต้องลำบากเอามาให้ที่นี่นะ ไปซี..กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวค่ำ”
“ค่ะ”
แหมวยกมือไหว้ลาลายสือกับผลึก ลายสือนิ่งเฉย
ผลึกปราดเข้ามา รีบรับไหว้อย่างเก้อเขิน แหมวเดินออกไป
“ทำไมแกทำยังงี้วะ นั่นน้องแกนะ ถึงจะเป็นน้องคนละแม่กับแกแกก็น่าจะถามทุกข์สุขสักคำ”
“ถามทำไม...ฉันไม่ได้สนใจนี่ว่าใครจะทุกข์หรือจะสุข!”
ลายสือเดินออกไป ผลึกมองตามอย่างเข่นเขี้ยว
“ไอ้สือ..ไอ้ผีตายซาก คนใจหิน ไอ้..ไอ้..ไอ้โครงกระดูกเดินได้ แหม..ไม่รู้จะด่ามันยังไง”
ด้านภูฉายเดินลงมาจากชั้นบนทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดสูทเจ้าบ่าว ละมัยกำลังทำความสะอาดอยู่ภายในบ้าน
“กี่โมงแล้ว..มัย”
“เก้าโมงกว่าแล้วล่ะค่ะ..กาแฟมั้ยคะ คุณภู”
“ไม่ต้อง..ป่านนี้ศลัยรอแล้วละ”
ภูฉายรีบเดินออกไป สาวใช้มองตามไป ถอนหายใจหนักๆ
“คุณศลัยคงรอละ”
ด้านศลัยลาทำงานด้วยท่าทีเคร่งเครียด เพราะภูฉายไม่ได้กลับที่เรือนหอ ในคืนส่งตัว ผจงจิตเดินเข้ามาเจอ ชะงัก เขม้นมองศลัยลาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ศลัย ก็ลาพักร้อนตั้งเจ็ดวันไม่ใช่หรือ ไหนว่าจะไปฮันนีมูนกับภูฉายไงล่ะ”
“ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
“ทำไม”
“ภูเขาคงไม่ว่าง แม่เขาป่วย”
“อีกแล้วหรือ..เอ๊ะ..แม่ผัวศลัยนี่มีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า”
ศลัยลาตัดบท “ช่างเถอะ”
ภูฉายเดินเข้ามา
“ศลัย”
ศลัยลาหันมอง ภูฉายรู้สึกผิดเดินเข้ามาง้อ
“ผมขอโทษเรื่องเมื่อคืน...ผมจะโทร.ถึงคุณก็ดึกไป แม่ไม่สบาย ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน”
“ภู...”
ศลัยลาเงยหน้าขึ้นสบสายตาภูฉาย แววตาศลัยลาห่างเหิน น้ำเสียงกระด้างขึ้น
“แล้วตอนนี้..แม่คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
ส่วนสลักกำลังเกรี้ยวกราดเอากับละมัยที่ทำให้กระถางตกแตก เพราะสลักรู้สึกเหมือนถูกสะใภ้แย่งความรักของลูกไป เลยพาล
“ซุ่มซ่าม..ทำไมแกถึงได้โง่ไม่เลิกนะ กี่ใบแล้วตั้งแต่แกมาอยู่ที่นี่ เก็บ..เก็บให้หมดเดี๋ยวนี้ แล้วไปซื้อกาวร้อนมาซ่อมให้เรียบร้อย ถ้ามีรอยต่อรอยแตกฉันจะตัดเงินเดือนแกเป็นค่ากระถาง”
พูดจบสลักเซไป ยกมือขึ้นทาบทรวงอก ส่งเสียงเรอ...เอิ๊กก
“คุณนาย..คุณนายจะเป็นโรคอะไรคะ วันนี้”
“ฉัน...”
ดวงตาของสลักวาวโรจน์ขึ้นด้วยความโกรธ เจ็บปวดและน้อยใจภูฉาย
“ฉัน...”
ปีกมาร ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน ที่เรือนหอศลัยลาและภูฉาย โต๊ะอาหารในห้องทานข้าว ถูกประดับจัดแต่งด้วยดอกไม้งดงาม
ศลัยลากลับจากที่ทำงาน ก้าวเข้ามาในบ้าน ต้องชะงักเมื่อเห็นโต๊ะอาหารจัดวางไว้สุดหรู จานอาหารถูกจัดแต่งไว้อย่างน่าทาน บนโต๊ะยังมีเทียนไข และแจกันดอกไม้ประดับ ศลัยมองหน้าภูฉายยิ้มดีใจ
“ผมรักคุณนะ”
“ภู..นี่ฝีมือคุณหรือคะ”
“เปล่า..ผมโทรไปสั่งอาหารที่โรงแรม ให้เขาส่งคนมาจัดให้ด้วย...เพื่อคุณ”
“ภู..โธ่..คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกค่ะ คุณก็รู้ว่าฉันรักคุณแค่ไหน”
ภูฉายกับศลัยลาต่างโอบกอด อย่างมีความสุข
มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ทั้งสองผละออกจากกัน ต่างมองสบสายตากัน ภูฉายจะเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ ศลัยลามองตามด้วยแววตาหวั่นๆ
“มัยหรือ..อะไรนะ..แม่เป็นอะไร”
ภูฉายฟังด้วยสีหน้าแววตาตื่นตระหนก
ไม่นานต่อมา สลักกำลังกินยาลมที่สาวใช้ผสมมาให้ ภูฉายก้าวเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนกรีบเข้าไปนั่งประคองด้วยความห่วงใย
“แม่เป็นอะไรครับ”
“ใจหวิวๆ ตั้งแต่เมื่อวาน ทำท่าเหมือนใจจะขาด”
“แม่ทานข้าวหรือเปล่า มัย”
ละมัยลอบทำหน้าแปลกๆ รู้ทันสลัก
“ทานค่ะ”
“แม่ปวดเมื่อยไปทั้งตัว”
“แม่จะไปหาหมอมั้ยครับ ผมจะพาไป”
“ไม่ต้อง พาแม่ขึ้นไปข้างบน นวดให้แม่หน่อยก็แล้วกัน ให้นังมัยนวดแม่กลัวจะตายคามือมัน แกไม่ได้รีบกลับไปหาเมียแกไม่ใช่หรือ..ภู” สลักดักคอ
สีหน้า แววตาของภูฉายที่มองสลักด้วยความเกรงใจ
“ครับ..แม่”
คืนนั้นนวลนภากำลังจัดเตรียมอาหารเย็น ภาษิตเดินลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าเบื่อๆเซ็งๆ นั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“พี่ศลัยเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้”
“จะเป็นยังไง..ก็มีความสุขกันตามประสาคนเพิ่งแต่งงานน่ะซี”
“นี่คุณแม่ยังเชื่อหรือว่าพี่ศลัยจะมีความสุข แต่งงานทั้งที ยายคุณนายสลักไม่ให้ค่าน้ำนมยังไม่พอ ถึงตอนรับไหว้ หนอย..ดันลมตีขึ้น เลยไม่ต้องเสียของรับไหว้!”
“แกก็คิดมากไปได้ เขาอาจจะเรียกลูกสะใภ้ไปไหว้กันทีหลังก็ได้”
“ให้มันจริงเถอะครับ ค่าน้ำนมไม่ได้ สินสอดทองหมั้นก็ไม่มี เงินค่าเลี้ยงแต่งงานก็แกะออกมาจากซองเงินช่วย ส่วนค่าเรือนหอกับรถน่ะ..คุณแม่ออก!”
นวลนภาถอนหายใจ “ถึงคราวแก ฉันก็ต้องทำยังงี้แหละ ขืนไม่รีบปลูกเรือนหอให้ศลัยซี..ฮึ”
พูดจบนวลนภาตวัดค้อนท่าทีน่าขัน
“ลูกฉันจะได้โดนแม่ผัวขย้ำตาย..!”
ศลัยลาขับรถยนต์เข้ามา ภาษิตมองศลัยลาด้วยความแปลกใจ
“พี่ศลัย..ทำไมมาดึกนักล่ะ”
ศลัยลาเดินเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีเนือยๆ ภาษิตและนวลนภามองตามไปด้วยสีหน้าแปลกใจ
เวลาผ่านไปศลัยลาสวมชุดนอน นั่งกินอาหารเช้าด้วยท่าทีเครียดๆ ภาษิตนั่งมองอยู่ห่างๆ
“มาค้างกับแม่ บอกภูฉายเขาหรือเปล่า หรือว่า...”
ภาษิตต่อให้ “หรือว่าพี่ภูฉายไม่กลับบ้าน”
นวลนภาแปลกใจ “ไม่กลับบ้านหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่ ภู..เขาไปดูแลแม่เขาน่ะค่ะ”
นวลนภาคาใจ “คุณสลักเป็นอะไร”
“ไม่สบายค่ะ ละมัยโทรมาตามภู แล้วหนู..ก็..เหงาน่ะค่ะ ขี้เกียจนั่งกินข้าวคนเดียว”
ศลัยลาพยายามฝืนยิ้มแต่แววตาเศร้าหมอง
“ศลัย...จำคำที่แม่เคยเตือนหนูได้มั้ยลูก ให้อภัยเขา...สำหรับภูฉายน่ะ หนูต้องให้อภัยเขามากกว่าที่ควรจะให้นะ”
“เพราะอะไรคะ”
“เพราะ…”
นวลนภาค้างคำ มองสบสายตาศลัยลาแน่วนิ่ง ขณะบอกอย่างมั่นใจในความคิด
“เพราะเขาเป็นลูกแหง่..ติดแม่”
รุ่งเช้า ภูฉายยังนอนหลับสนิทหนุนตักของสลักอยู่ สลักลูบไล้เส้นผมของภูฉายอย่างมีความสุข
ละมัยเคาะประตูเบาๆ ก่อนเปิดเข้ามา น้ำเสียงสลักกระด้างทันที
“เข้ามาทำไม”
“เอ้อ..คุณภูฉายสั่งให้หนูปลุกตอนเจ็ดโมงเช้าค่ะ วันนี้ต้องไปทำงานค่ะ”
“แกไปตั้งกาแฟไว้”
“ค่ะ”
สาวใช้ออกไป สลักเขย่าตัวปลุกลูกชาย
“ภู..ตื่นได้แล้วล่ะลูก เดี๋ยวจะได้อาบน้ำอาบท่าไปทำงาน”
“กี่โมงแล้วครับแม่” ภูฉายงัวเงีย
“เจ็ดโมง เสื้อผ้าอยู่ในตู้แน่ะ แม่ให้เขารีดไว้ให้แล้ว ดีนะ ที่แม่แบ่งเสื้อผ้าแกไว้ที่นี่ครึ่งนึง ไม่ยังงั้นแกไม่มีใส่!”
“ศลัย...” ภูฉายตกใจ “เมื่อคืนผมไม่ได้โทร.ถึงศลัย”
“ไม่เป็นไรหรอก เมียแกก็รู้ว่าแม่ไม่ค่อยสบาย แกมีหน้าที่ต้องมาดูแลแม่” นัยน์ตาสลักมีแววเยาะหยัน “ศลัยลาไม่ใช่ผู้หญิงประเภทอ้อนผัวไม่ใช่หรือ ทำไมแกจะมาดูแลแม่ไม่ได้”
“เอ้อ...”
“ความจริงฉันต่างหากล่ะ ที่เมียแกน่าจะขอบใจ ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกมา เหนื่อยยากสายตัวแทบขาด แต่ศลัยลามาชุบมือเปิบเอาไปใช้งาน เมียแกน่าจะขอบใจแม่จริงมั้ย..ภูฉาย”
ภูฉายพยายามฝืนยิ้มด้วยความเกรงกลัว ก่อนที่จะรับคำเบาๆ เช่นเคย
“ครับ..แม่”
เวลาผ่านไป ขณะที่ละมัยกำลังรดน้ำต้นไม้ที่หน้าบ้าน รีบออกมาที่ประตูเมื่อเห็นรถยนต์ของภูฉายแล่นเข้ามาจอด
“อย่าเสียงดังไปค่ะคุณภู คุณนายหลับอยู่ค่ะ คุณภูซื้ออะไรมาคะ”
“เป็ดอบน้ำผึ้งเจ้าที่แม่ฉันชอบ จัดขึ้นโต๊ะให้แม่เย็นนี้ด้วยนะ”
“ค่ะ..คุณภูรีบไปเถอะค่ะ ถ้าแวะแล้ว..เดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้านคุณนะคะ” ละมัยบอกอย่างเห็นใจ และเข้าใจ
“งั้นฉันไปละ”
“ค่ะ”
ภูฉายขับรถยนต์ออกไป สาวใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ศลัยลาเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีอ่อนเพลีย เปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม เริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะเนื่องจากการแพ้ท้อง ภูฉายถือถุงเป็นย่างเข้ามา รีบเข้าประคองศลัยลา
“ศลัย คุณเป็นอะไรน่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉัน..ฉันเวียนหัวน่ะ”
“คุณคงไม่สบาย อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คุณขึ้นไปนอนพักนะ”
“ฉันจะต้มบะหมี่ให้คุณค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมแวะร้านเป็ดย่างมาน่ะ แม่ชอบ ผมก็เลยซื้อให้แม่ แล้วก็ซื้อเผื่อคุณด้วย”
ศลัยลามองภูฉายด้วยแววตาผิดหวัง ภูฉายยิ้มแสนซื่อ
“ร้านอร่อยนะ สะอาดด้วย..แม่ผมบอกว่า…”
ศลัยลาวิ่งไปอาเจียน ภูฉายมองตามไปด้วยสีหน้าฉงน
อีกฟากหนึ่ง จานเป็ดย่างแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะอาหาร สลักเกรี้ยวกราดใส่ละมัย เมื่อรู้ว่าภูฉายกลับไปแล้ว
“ทำไมแกไม่ปลุกฉัน ทีหลังถ้าคุณภูมา แกต้องปลุกฉัน โถ..ลูก กลับมาจากที่ทำงานเหนื่อยๆ เมียจะหาอะไรให้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้ แม่ศลัยน่ะ..ท่าทางเหยียบขี้ไก่ฝ่อซะที่ไหน ยายแม่ก็..เลี้ยงลูกยังไง อบรมลูกแต่ละคนสมัยใหม่จ๋า แต่ไม่ได้ท่าเรื่องงานบ้านงานเรือน!”
“เอ้อ..ก็หนูเห็นว่า...”
“แกไม่ต้องออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ทำตามที่ฉันสั่ง แทนที่ฉันจะได้พบลูก เลยคลาดกัน โทร.ไปก็ต่อไม่ติด สงสัยแม่ศลัยลาคงจะรู้แกว เมียภูฉายนี่ ร้ายจริงๆ!”
สลักกระแทกเสียงอย่างขุ่นเคือง และชิงชัง ในตัวลูกสะใภ้
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 2 (ต่อ)
คืนนั้น ศลัยลานอนหนุนไหล่ของภูฉายหลับตานิ่งๆ ด้วยความอ่อนเพลีย ภูฉายเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยยังเด็ก สีหน้าท่าทางมีความสุขมาก
“ตอนผมอายุหกขวบ แม่พาผมไปเยี่ยมญาติที่อยุธยา เรานั่งเรือหางยาว ตอนที่เรือจอดรับคนที่ท่าน้ำ ผมเห็นปลาตัวเล็กๆ เลยเอื้อมมือไปจะจับ คุณรู้มั้ยเกิดอะไรขึ้น”
“อะไรคะ”
“ผมตกน้ำ ผมพยายามดิ้น พยายามร้อง..อึดอัด..หายใจไม่ออก ผมนึกถึงอะไร..คุณรู้มั้ย”
“อะไรคะ”
ศลัยลาลืมตาขึ้น นัยน์ตาเปล่งประกายของความสุข
“อะไรคะ”
“แม่..ผมนึกถึงแม่!” ภูฉายบอก
ความสุขของศลัยลาที่ฉายเต็มหน้า ค่อยๆจางลง
“แม่…” ภูฉายรำพึง
วันต่อมาฉวีตวัดมุ้งเก่าๆ สีกระดำกระด่างก่อนมุดออกมา เดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างพยายามรินเหล้าราคาถูกๆ ใส่แก้วด้วยมือที่สั่นเทา เพียรภมรเปิดประตูเข้ามา
“แม่ยังไม่ยอมรับอีกหรือว่าแม่ติดเหล้า”
“ถ้ามาสั่งสอนให้แม่บังเกิดเกล้ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีละก็..ทีหลังไม่ต้องมานะ!”
“แม่..หนูหวังดีกับแม่นะ กี่ปีมาแล้วที่ชีวิตแม่เป็นยังงี้”
“ฮึ..เดี๋ยวนี้ลูกมันคลานขึ้นมานั่งบนหัวแม่แล้ว ชีวิตใคร..ก็ของมัน..มันจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ไอ้ที่วิ่งหนีไม่พ้นน่ะ..ฉันเป็นแม่ของแก!”
เพียรภมรมีสีหน้าปวดร้าว ฉวีกระแทกแก้วเหล่าลง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“เอาเงินมาแล้วไปซะ..เดี๋ยวที่ซุกหัวนอนซอมซ่อมันจะทำให้ท่านทนายใหญ่เสื่อมเกียรติ แม่น่ะมันคนเลว คนไร้เกียรติ อยากจะมีพ่อแม่เอาไว้กราบไหว้ ก็ไปหาคนที่เขาดีๆที่ยกมือไหว้แล้วไม่อายหมาซี..ไป๊!”
เพียรภมรคราง “แม่...”
สีหน้าแววตาเพียรภมรสะเทือนใจมาก ก่อนที่จะหยิบเงินออกมาวางไว้ที่บนโต๊ะแล้วผลุนผลันเดินออกไป
ฉวีมองตามไปด้วยแววตาแข็งกระด้าง ฉวยเงินทั้งที่น้ำตาทะลักไหลออกมา ด้วยความเจ็บแค้นตนเองและชีวิต
ส่วนที่กองโบราณคดี ศลัยลาเดินลงมาจากที่ทำงาน เพียรภมรยืนพิงรถยนต์รอศลัยลาอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยังคงเจ็บปวดกับเรื่องของแม่
“เพียร”
“ศลัย”
เพียรภมรเมินหน้าไปหลับตานิ่งๆ ศลัยลาชะงักรอยยิ้มมองหน้าเพียรภมร
“เพียร..เธอเป็นอะไร”
“ฉันแวะไปเยี่ยมแม่มา แม่ติดเหล้า”
ศลัยลาชะงัก “ติดเหล้า”
“ใช่..ทำไม..ทำไมฮึ ศลัย”
น้ำตาเพียรภมรคลอเต็มดวงตา
“ทำไมแม่ไม่พยายามเข้มแข็ง ทำไมแม่ไม่ลุกขึ้นมาแล้วสู้กับตัวเอง คนเป็นแม่น่ะ..ถ้าอ่อนแอแพ้โลก แล้วจะเป็นแม่คนได้ยังไง ฉัน...ฉัน...”
“เพียร...ชีวิตน่ะ...ไม่มีใครเป็นอย่างที่หวังจะเป็น บางสิ่งบางอย่าง..เราก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ เพราะมันเป็นความเคยชิน...ที่เขาเป็นกันมา”
“แล้วฉันจะทำยังไง”
“ยอมรับมันให้ได้..เธอปฎิเสธมันมาตลอดชีวิตแล้วนะ ยอมรับมันเหมือนอย่างที่ตอนนี้..ฉันยอมรับแล้วว่า…”
สีหน้า แววตาของศลัยลาเจ็บปวด สะเทือนใจ เพียรภมรรับรู้ความรู้สึกนั้น
“ภูฉายเป็นยังไง”
ขณะเดียวกัน ลายสือกับผลึกเดินออกมาจากประตูใหญ่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย แต่แล้วลายสือต้องชะงัก เมื่อเห็นแหมวยืนรออยู่พร้อมกับถุงใบใหญ่
แหมวยิ้มให้ลายสืออย่างหวั่นๆ กับท่าทีเฉยเมยเย็นชาของพี่ชายต่างมารดา
“พี่ลายสือ ..คุณแม่มาจากเชียงรายค่ะ ก็เลย...เอ้อ...ฝากให้แหมวเอาของมาให้พี่”
“ฉันไม่...”
ลายสือจะปฏิเสธ ผลึกรีบรับของไว้
“ขอบคุณครับ ช่วยเรียนคุณแม่น้องแหมวด้วยนะครับ ว่าลายสือฝากขอบคุณ นี่ต้องเป็นของกินแน่ๆ เลย” ผลึกว่า
“ค่ะ แคปหมูกับน้ำพริกหนุ่ม” แหมวบอก
“เอ้า ให้เสร็จแล้วก็กลับไปซี” ลายสือไล่
“ค่ะ...”
แหมวสีหน้าเจื่อนๆ เดินออกไป หันกลับมามองลายสือด้วยความรักและศรัทธา
“เฮ้ย..ทำไมไล่น้องนุ่งยังงั้นวะ”
“มึงไม่ต้องสนหรอกว่าใครจะเป็นอะไร ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่มีญาติ”
ลายสือเดินออกไป ผลึกมองตามไปด้วยความแปลกใจ
“อ้าว..”
ฟากศลัยลาทำงานแต่ใจลอยคิดถึงแต่เรื่องภูฉาย สีหน้าหมองจัดดูไม่มีความสุข ในที่สุดตัดสินเดินลงมาจากที่ทำงาน เดินทอดอารมณ์ไปเรื่อยๆ และไปหยุดให้อาหารนกพิราบอยู่ที่สนามหลวง
อีกด้านหนึ่ง ลายสือมาเดินเล่นให้สบายใจเหมือนกัน ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก แต่ไม่เห็นกัน
เลิกงานเย็นนั้นศลัยลาแวะมาหาแม่ที่บ้าน และเอาแต่อาเจียน ภาษิตคอนส่งแก้วน้ำให้ นวลนภาคอยลูบหลัง
“ไปหาหมอหรือยัง ท่าทางหนูเหมือนคนแพ้ท้องเลยนะ”
ศลัยลาชะงักหันมามองหน้านวลนภา
“เอ้อ..ท้อง…”
ภาษิตเหน็บ “อะไรจะเร็วขนาดนั้นครับคุณแม่ พี่ศลัยแต่งงานไม่ถึงสามเดือน”
นวลนภาเอ็ดลูกชาย “แกอย่ารู้ดีไปหน่อยเลยน่ะ ภาษิต คนจะท้องน่ะ..มันห้ามได้หรือ”
“ผมรู้ครับว่าห้ามไม่ได้..แต่มันคงพิลึกนะ พี่ภูเขาจะมีลูกทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่อดนมเลย”
ภาษิตยิ้มๆอย่างขบขัน
สีหน้าแววตาศลัยลารู้สึกสะเทือนใจ เพราะคำพูดของน้องชาย
เย็นนั้นศลัยลายกแกงจืดมาที่โต๊ะอาหาร สีหน้าแววตาบอกสิ่งที่ซ่อนในใจ ภูฉายเดินเข้ามา ไม่ได้สังเกตุ
“ทำกับข้าวเองหรือ..ศลัย”
“ค่ะ..ฉันแวะซื้อที่เขาจัดไว้เป็นแพคที่ซุปเปอร์ฯ”
ภูฉายเข้ามากอดเอวของศลัยลาไว้ด้วยท่าทีนุ่มนวล อบอุ่น
“เก่ง..ถึงจะไม่เท่าแม่ผม..แต่คุณก็ทำหน้าที่แม่บ้านได้ไม่ขาดตกบกพร่อง”
ศลัยลามีสีหน้าสลดลง
“แม่คุณนี่ เก่งทุกอย่างเลยนะคะ”
ภูฉายผิดหูนิดๆ “ศลัย คุณ...”
ศลัยลาถอนหายใจ พยายามกลบเกลื่อน ด้วยการตัดบท
“ทานข้าวเถอะค่ะ..ภู”
“มีกับข้าวอย่างเดียวหรือ”
ศลัยลาชะงักมือที่กำลังตักข้าวใส่จานภูฉาย
“มีน้ำพริกสำเร็จรูป ไม่รู้คุณทานได้หรือเปล่า”
ศลัยลาเดินไปหยิบแพ็คน้ำพริกออกมาจากตู้เย็น
“ฉันซื้อไว้เผื่ออยากทานอะไรเผ็ดๆ น่ะค่ะ”
ภูฉายลองกิน แล้วรีบดื่มน้ำตาม
“นี่มันน้ำพริกอะไรนี่..ไม่เห็นเหมือนที่แม่ผมทำเลย”
สีหน้าศลัยลาเริ่มมึนตึง นิ่งขรึมโดยที่ภูฉายไม่รู้ตัว
“เสียดายนะคะ..ที่เราไม่ได้ชวนคุณแม่คุณมาอยู่ด้วย”
“ถ้าเป็นยังงั้นได้ก็ดีน่ะซี..ศลัย ผมจะได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ผมรักสองคน น้ำพริกนี่…”
ศลัยลาสวนขึ้น “ถ้ามันแย่ ฉันจะเอาไปเททิ้ง!”
ภูฉายเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาเอาเรื่องของศลัยลา อย่างงงๆ
ฟากสลักส่งแก้วกาแฟให้ภูฉายที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยท่าที น้ำเสียงอ่อนโยน ละมัยกำลังเก็บโต๊ะอาหาร ชำเลืองมอง
“อยู่บ้านน่ะ..ไม่รู้เมียชงกาแฟรสชาติเป็นยังไง แม่ก็ไม่ได้สั่งศลัยลาด้วยว่า ใส่น้ำตาลสามก้อน แล้วก็ครีมอีกสองช้อน ท่าทางเมียแกน่ะมือห่างตีนห่างเหลือเกินนี่”
“เดี๋ยวผมต้องกลับแล้วนะครับ”
“ดูข่าวให้จบก่อนซี เดี๋ยวก็มีละครหลังข่าว แม่น่ะดูละครหลังข่าวทุกคืน..ไม่รู้จะทำอะไร อยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อนนะ..ภู”
สลักยิ้มอย่างอ่อนโยน เอื้อมมือไปลูบผมภูฉายด้วยท่าทีเอ็นดูรักใคร่ ภูฉายจับมือสลักมาแนบแก้ม จูบที่มือเบาๆ สีหน้าแววตายิ้มสดใส ซื่อๆ
ละมันชำเลืองมองเพลิน เผลอตัวรับคำแทน
“ครับ...แม่”
สลักหันไปมองสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาขุ่นเขียว ละมัยสะดุ้งรีบยกของบนโต๊ะออกไปจากห้อง
กลางดึกคืนนั้นศลัยลานอนลืมตานิ่งๆอยู่บนเตียงที่มีเพียงแสงสว่างส่องสีสลัว มีเสียงเปิดประตู ภูฉายเดินเข้ามาชะโงกมองศลัยลาคิดว่าศลัยลานอนหลับ ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอนเคียงข้าง เอื้อมมือมาเหมือนจะแตะตัวศลัยลา แต่ชะงักก่อนที่จะหันหลังกลับไป
ศลัยลาพลิกตัวมามองเห็นภูฉายหลับสนิทเหมือนเด็กๆ ศลัยลาลุกขึ้นนั่งกอดเข่า น้อยใจอยู่ในความมืด
วันหนึ่ง เพียรภมรอยู่ที่สำนักงานทนายความ นั่งมองลูกความชื่อ ราตรี กำลังร้องห่มร้องไห้จะฟ้องหย่าสามี เนื้อตัวหน้าตาเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“มันตีฉัน..ขู่ฉัน..ทารุณเหมือนฉันเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ มันไม่ให้เกียรติฉันเลยทั้งที่ฉันเป็นเมีย ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ ลายยังไม่ออกฉันก็ทุ่มเทให้มันทุกอย่าง เดี๋ยวนี้มีหน้ามีตาในสังคม มีเงิน มีผู้หญิงคอยเกาะเหมือนเหลือบ..ฉัน..ฉันทนไม่ได้อีกแล้ว”
ราตรีร้องไห้โฮๆ
เพียรภมรมองเงียบๆ สภาพจิตใจปวดร้าว เมื่อนึกถึงชีวิตของแม่ตนเองที่ถูกทอดทิ้ง ถูกผู้ชายหลอกจนบอบช้ำ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณต้องฟ้องหย่า..!”
“ฉันฟ้องหย่าไม่ได้..มันต้องฆ่าฉันแน่ๆ”
“ทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า อีกข้อหานึง...คุณต้องเข้มแข็งค่ะ ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นสู้ผู้ชายเลวๆอย่างสามีคุณ ผู้ชายประเภทนี้...”
สีหน้าแววตาของเพียรภมรเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ขณะบอกต่อ เสียงเข้ม
“มันจะครองโลก..!”
อีกวันหนึ่ง เพียรภมรขับรถยนต์เข้ามาจอดหน้าออฟฟิศ หอบแฟ้มงานลงมา มีชายคนหนึ่ง ชื่อ ทวัส ขับรถยนต์ปาดหน้าเพียรภมรแล้วเปิดประตูลงมา ชี้หน้าอย่างกราดเกรี้ยว
“คุณใช่มั้ย ที่ยุให้เมียผมฟ้องหย่าผม”
“คุณเป็นใคร” เพียภมรถามเสียงเรียบ
“คนที่คุณกำลังฟ้องอยู่ไงล่ะ เลิกซะ..เรื่องของผัวเมียคนอื่นไม่เกี่ยว”
“อ้อ คุณนี่เอง ฉันไม่ได้คิดผิดเลยนะ ที่ทำคดีหย่าให้เมียคุณ...คุณถ่อยกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย”
“ถ้าคุณไม่ถอนฟ้องละก็ คุณเจอดีแน่ ผมกับเมียรักกันไอ้เรื่องตบตีน่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา”
“ยังงั้นหรือ คุณคงเป็นฝ่ายลงมือซีนะ คุณถึงได้คิดว่าการทำร้ายร่างกายผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดา ไว้พบกันในศาล”
“มึง...ถ้ามึงไม่ถอนฟ้อง มึง โดนลูกปืนแน่”
“แล้วฉันจะรอ”
เพียรภมรยิ้มเยาะไม่แยแส เดินเข้าสำนักงานไป ทวัสมองตามไปอย่างอาฆาตแค้น
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 09.00 น.
ปีกมาร ตอนที่ 2 (ต่อ)
บ่ายวันนั้น เพียรภมรขับรถมาระหว่างทาง แต่จู่ๆ รถเกิดเครื่องดับ จึงจอดรถแล้วลงมาดู ทนายสาวก้มๆ เงยๆ อยู่กับเครื่องรถยนต์ที่จอดเสียอยู่ข้างทาง ภาษิตผ่านมาเห็นชะงัก เดินเข้ามาใกล้เห็นใบหน้าเพียรภมรเลอะไปด้วยคราบน้ำมัน
“คุณ...รถเป็นอะไรน่ะ”
เพียรภมรตวัดหางตามอง น้ำเสียงห้วนๆ ไม่เป็นมิตรเช่นเคย
“เสีย”
“ให้ผมช่วยอะไรมั้ย”
“ไม่ต้อง!”
“นี่ คุณ ขอความช่วยเหลือจากผู้ชายน่ะ ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอก ศักดิ์ศรีของผู้หญิงไม่ได้อยู่ที่คุณซ่อมรถเอง หรือทำอะไรที่ผู้ชายเขาทำได้ ครับ..ขอโทษ”
ภาษิตฉุน เลยกวนอารมณ์ เลยโดนดีถูกเพียรภมรสวนกลับ
“ที่หวังดีโดยไม่ได้รับเชิญ...หรือที่เขาเรียกว่าอะไรน้อ…”
เพียรภมรมองด้วยหางตาก่อนบอกเน้นๆ คำ “สา-ระ-แน”
“กึ๋ย”
ภาษิตอุทานสีหน้าเจื่อนๆ รีบผละไป เพียรภมรมองตามไปด้วยท่าทีโกรธจัด
ขณะเดียวกัน ที่บ้านเรือนไทยของสลัก ศลัยลานั่งพับเพียบกำลังปอกผลไม้จัดใส่จาน ชำเลืองมองสลักและภูฉายด้วยแววตาแข็งกระด้าง ภูฉายนอนหนุนตักแม่ สลักกอดลูกชายไว้อย่างรักใคร่ทะนุถนอม
“แม่ดีใจ...ที่แกจะได้เป็นผู้จัดการภาค เขาต้องเห็นความสามารถของแก เห็นความสามารถของแม่ แม่น่ะเหนื่อย...เลี้ยงแกกว่าจะปั้นให้แกได้ดังใจแม่ นี่ถ้าแกเชื่อแม่ทุกอย่าง...” สลักชำเลืองมองศลัยลาด้วยสายตาตำหนิ “แกคงไปไกลกว่านี้ ฮึ อาจจะได้เป็นผู้จัดการภาคไปแล้วก็ได้!”
ศลัยลาช้อนสายตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าถูกกระทบ วางละมุดใส่จานทั้งลูก
“เอาเม็ดออกด้วย ไม่เอาเม็ดออกเดี๋ยวก็ติดคอภูฉายน่ะซี..เธอ!” สลักบอก
“ค่ะ”
ศลัยลาเอามีดผ่าละมุดตรงๆ เป็นสองซีก
สลักเสียงขุ่น “ไม่ได้..ทำยังงั้นไม่ได้นะ ขยับตัวหน่อยลูก แม่จะสลักละมุดให้เมียแกดูเป็นตัวอย่าง”
“ครับแม่…”
สลักจัดการสลักละมุดเป็นรูปดอกไม้สวยงาม
“นี่..ต้องยังงี้ แล้วค่อยๆ เขี่ยเม็ดออกทิ้ง เวลาจัดวางในจานน่ะ ต้องวางให้กลีบเสมอกัน สมบัติผู้ดีของแม่ศรีเรือนน่ะไม่ได้พกติดตัวมาเลยนะ”
ศลัยลาแย้ง “ละมุดนี่พอเข้าปากแล้ว ก็เคี้ยวจนละเอียด ไม่เป็นกลีบหรอกค่ะ”
สลักฉุน “คิดอย่างคนมักง่าย คนสมัยใหม่นี่ย๊าบหยาบนะ ภูเขาไม่เคยใช้ชีวิตหยาบๆหรอก เขาไม่คุ้น!”
ภูฉายไม่รู้สึกรู้สาที่เมียกับแม่เถียงกัน “แม่จบการเรือนมาน่ะศลัย สมัยโน้นมีโรงเรียนการเรือน แม่ผมถึงได้เก่งเรื่องการครัว”
“อาหารการกินน่ะฉันไม่เคยทำชุ่ยๆ เพราะคิดว่ากินแล้วเดี๋ยวมันก็เป็นของเสีย ผักบางอย่างเอามาแกงจืด ต้องต้มสุกก่อนเอาไปปรุง น้ำแกงก็ต้องต้มจากกระดูกอ่อน ไม่ใช้ผงชูรส เพราะถ้ารสมือดี ผงชูรสก็ไม่จำเป็น กระเทียมเจียวน่ะ..เอาโรยหน้าพร้อมกับผักชีตอนขึ้นโต๊ะ เพราะกระเทียมเจียวน่ะมัน”
ระหว่างนี้ศลัยลาเริ่มมีอาการผะอืดผะอมรีบวิ่งออกไปอาเจียนสลักมองตามสีหน้าสงสัย
“เอ๊ะ..เมียแกเป็นอะไรน่ะ...หรือว่า...”
“ศลัย”
ภูฉายรีบตามออกไปด้วยความห่วงใยศลัยลา
สลักมองตามด้วยแววตาตื่นตระหนก เพราะเริ่มรู้ว่าศลัยลากำลังตั้งท้อง
สองคนกลับมาบ้านไม่นานหลังจากนั้น ศลัยลานอนหลับตานิ่งๆ บนเตียง ภูฉายนั่งกุมมือศลัยลาอยู่ข้างๆ ศลัยลาพลิกตัวลืมตาเหลือบขึ้นมองภูฉาย
“ทำไมคุณไม่บอกผมว่าเรากำลังจะมีลูก”
“ฉันหาโอกาสบอกคุณไม่ได้ เห็นคุณกำลังยุ่งๆเรื่อง...เอ้อ...แม่ของคุณ”
“ผมดีใจ..แม่ก็คงดีใจที่แม่จะมีหลาน เรามีลูกด้วยกันหลายๆ คนนะครับ ศลัย แม่จะได้เลี้ยงลูกของเราด้วย”
ศลัยลามีสีหน้าท่าทีมึนตึง นิ่งอึ้ง ดึงมือออกจากมือภูฉาย
ระหว่างนี้มีเสียงภาษิต และนวลนภาดังเข้ามาก่อนทันทีที่มาถึงห้องนอน
“ศลัย...เป็นยังไงมั่งลูก ภูฉายโทร.ไปบอก...แม่ก็รีบมา”
ภาษิตถามต่อ “แพ้ท้องใช่มั้ย”
“ฮื่อ...หนูค่อยยังชั่วแล้วล่ะคะ ภูทำให้คุณแม่ตกใจเปล่าๆ” ศลัยลาว่า
“โถ..เขาดีใจน่ะซี ที่เขาจะได้เป็นพ่อคนแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะศลัย คนท้องน่ะต้องระวังเรื่องอาหาร เรื่องการพักผ่อน แล้วก็...”
“เรื่องจิตใจด้วย” ภาษิตเหน็บพี่เขย
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณแม่ ผมจะดูแลศลัยให้ดีที่สุด ผมขอตัวเดี๋ยวนะครับ ผมจะโทร.ถึงแม่”
นวลนภาและภาษิต หันมาสบสายตากัน ภูฉายเดินออกไป ศลัยลาสบสายตากับแม่ และ น้อง ด้วยท่าทีอึดอัดลำบากใจ
สลักค่อยๆ วางโทรศัพฑ์ลง แล้วร้องไห้อย่างเงียบๆ เก็บเสียงสะอื้นไห้ไว้ในอก ด้วยอารมณ์ริษยาลูกในท้องศลัยลาอย่างรุนแรง เพราะเด็กจะเกิดมาเพื่อแย่งความรักของภูฉายไป ละมัยเดินเข้ามาจะเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันเห็นกิริยาก็ชะงัก
“คุณนายเป็นอะไรไปคะ ให้หนูโทรเรียกคุณภูมั้ยคะ”
“ไม่ต้อง..อย่าไปรบกวนเขาเลย ภูแต่งงานแล้ว เขาต้องมีเวลาให้ครอบครัวเขา ฉันน่ะมันคนมีกรรม เพราะมีลูกคนเดียว ถึงได้ทุ่มเทให้เขาทุกอย่าง นี่ถ้ารู้ว่า...โตขึ้นเขาจะทิ้งฉันไป
อยู่กับคนอื่นละก็...ฉัน...ฉัน...”
ละมัยเริ่มมีท่าทีคล้อยตาม สงสารคุณนายเจ้าอารมณ์นิดๆ
“โธ่..คุณนายขา..ก็คุณภูน่ะเขา...”
“ฉันรู้..แกจะบอกฉันว่าเขาโตแล้วใช่มั้ยล่ะ เป็นแม่น่ะ..แกไม่เคยเป็นแกไม่เข้าใจหรอก ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหน ดีหรือเลว..แม่ก็ยังเป็นแม่ เมียเป็นแค่คนอื่น..เลิกกันแล้วก็เหมือนคนแปลกหน้า แต่ แม่..ลูกชั่วดียังไงก็ยังเป็นแม่..แกว่าจริงมั้ย”
“เอ้อ...”
“แล้วนี่ถ้าเขามีลูก ฉันก็หมดความสำคัญ ไหนจะเมียเขาลูกเขา แล้วเขาจะมีเวลาให้ฉันหรือ..ฉันคงจะตายโดยไม่มีใครเห็นใจนะ...มัย”
“เอ้อ..หนูว่าคุณนายนอนพักดีกว่าค่ะ”
“ฉันก็ไม่เห็นใครนอกจากแกนี่แหละ ดูๆ ฉันด้วยนะ ฉันกลัว ฉันจะหลับแล้วไม่ตื่นอีก”
“ค่ะ..คุณนายเอนหลังซีคะ..นี่ค่ะหมอน”
สลักเอนหลังลงนอน
“โทร.บอกภูด้วยนะว่าฉันไม่สบาย แต่ไม่เป็นอะไรหรอก อาการมันหนักหนายังไงแกก็ช่วยเรียกรถร่วมกตัญญูด้วยก็แล้วกัน”
สลักสั่งแล้วก็หลับตาลง ละมัยมองคุณนายด้วยสีหน้าท่าทีเบื่อๆ กับมารยาของสลัก
วันหนึ่งลายสือ ผลึก และภาษิตนั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านข้าวแกง ราคาถูก ข้างมหา’ลัย ผลึกเหลียวซ้ายแลขวา มองสาวๆ ด้วยวิสัยเจ้าชู้
“แกจะไปฝึกงานเมื่อไหร่”
“อีกหกเดือนละมั้ง”
“จบแล้วจะไปทำอะไรวะ ทำงานหรือว่าเรียนต่อ”
“ยังไม่รู้เลยว่ะ”
“พี่สาวกูก็อยู่กองโบราณคดี ตอนนี้กำลังลาคลอดอยู่ว่ะ เป็นข้าราชการก็ดีนะ มั่นคงปลอดภัยไม่ต้องดิ้นรนมาก ไหนๆ ก็เรียนสาขาวิชาที่ทำยังไงก็ไม่รวยอยู่แล้วนี่”
ผลึกยกกระป๋องเข้ามาหาสองเกลอ
“ไอ้สือแฟนมึงมาว่ะ”
3 หนุ่ม เห็นแหมวเดินเข้ามา แววตามองจ้องมายังลายสือ เต็มไปด้วยความชื่นชมและศรัทธาด้วยวิสัยเด็กๆ ลายสือเฉยเมย เย็นชา เช่นเคย
“นี่ ไม่มีอะไรทำหรือ เราน่ะ ถึงได้มานั่งเฝ้าได้ทั้งวัน”
“ตอนนี้หยุดดูหนังสือ เตรียมสอบค่ะ แหมวไม่รู้จะไปไหน อยู่หอเบื่อค่ะ แล้วแหมวก็ไม่มีเพื่อน”
“ก็ไหน...เห็นว่าคุณพ่อจะมาซื้อบ้านให้อยู่ในกรุงเทพฯ ไงล่ะ”
“ตอนนี้บ้านยังไม่เสร็จค่ะ บ้านเสร็จแล้วพี่ลายสือไปอยู่กับพวกเรามั้ยคะ”
“ไม่ อยู่กันเหมือนกองทัพ น่ารำคาญ ฉันอยู่ยังงี้ก็สบาย อดมื้อกินมื้อไปวันๆ ชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร”
“งั้นให้แหมวมาหาพี่ลายสือบ่อยๆ ได้มั้ยคะ”
แววตาของแหมว ดูซื่อๆ ไร้เดียงสา จ้องมองพี่ชายต่างมารดาด้วยความหวัง ลายสืออึกอัก หันไปสบสายตาผลึกอย่างลำบากใจ
ลายสือเก็บงานอยู่ที่คณะ โดยมีแหมวนั่งดูหนังสืออยู่ใกล้ๆกิริยาของแหมวยามนี้ติดลายสือแจ จนลายสือชักรำคาญ
“ฉันจะกลับแล้วละ เราน่ะ...กลับหอได้แล้ว กลับไปดูหนังสือต่อ”
“แหมวเลยไปที่หอพี่ลายสือได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ นั่นหอพักผู้ชาย จะเข้าไปได้ยังไง กลับได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่..นะ”
“ค่ะ”
แหมวเดินออกไปอย่างเหงาหงอย หันกลับมายิ้มให้ลายสือ ผลึกมองตามไปอย่างเข้าใจ
“เด็กมันคงเหงาน่ะ ถูกส่งมาอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่หอพักแกน่าจะดูแลน้องแกแทนพ่อแกนะ”
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉันนี่”
ลายสือกระแทกเสียงเยาะๆ เดินออกไป แต่ลึกๆ รู้สึกผิด คิดตามคำพูดผลึก เลยเดินตามแหมวไป
ลายสือตามมาจนทัน พูดอธิบายให้แหมวเข้าใจถึงความรู้สึกของตน
ด้านภูฉายประคองให้สลักกินยาลม สาวใช้มองอยู่ห่างๆ
“เป็นยังไงบ้างครับแม่”
“ใจสั่นๆ ยังไงบอกไม่ถูก เวียนหัวมาตั้งแต่เช้า จะโทร. บอกแกแม่ก็เกรงใจ ตอนนี้แกกำลังยุ่ง ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องครอบครัวของแก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ศลัยเข้าใจดีครับว่าแม่ไม่ค่อยสบาย”
“จริงหรือ..ตั้งแต่แกแต่งงาน แม่รู้สึกเหมือนแม่เป็นส่วนเกินของศลัยลา”
“ไม่จริงครับ”
“งั้นเมียแกก็เป็นส่วนเกินของแม่ใช่มั้ย!”
“เอ้อ...”
“ดีแล้ว...งั้นคืนนี้แกนอนเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะ โอย...แม่เวียนหัว...ใจยังหวิวๆอยู่เลย พักนี้...ไม่ได้ไปหาหมอ เพราะแม่ไม่กล้าไปคนเดียว ไม่มีแกเสียคน แม่ก็เหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ไม่รู้จะตายโดยไม่รู้ตัวเมื่อไหร่ คืนนี้แกนอนเป็นเพื่อนแม่นะ”
ภูฉายมีสีหน้าแววตาที่เจื่อนๆ ไป สลักช้อนสายตาขึ้นมองสีหน้าของลูกแล้วทำท่าเหมือน
เจ็บป่วยมากยิ่งขึ้น ทอดเสียงนุ่ม
“ได้มั้ยลูก”
ภูฉายยิ้มฝืนๆ ด้วยความเกรงใจแม่
“เอ้อ..ครับ..แม่..”
เวลาผ่านไป นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงคืน ศลัยลาเดินไปมาอยู่ใกล้นาฬิกา สวมเสื้อนอนคนท้อง ท่าทีหม่นหมองทุกข์ เศร้า หงุดหงิด
ศลัยลาก้าวเข้ามาหยุดยืนหน้ากรอบรูปแต่งงาน ตรงตู้โชว์ หยิบรูปแต่งงานขึ้นมาจ้องมอง ก่อนจะขว้างลงกับพื้นเต็มแรง กรอบรูปแตกกระจาย
เช้าวันต่อมา ภูฉายกลับมาบ้าน เจอรูปแต่งงานแตกกระจายเกลื่อนอยู่ตามพื้นห้องนอน ภูฉายก้าวเข้ามาในห้องชะงักก้มลงหยิบเศษกระจกขึ้นมาด้วยท่าทีงวยงง ไม่เข้าใจ
“ศลัย” ภูฉายใจเสีย
เวลาเดียวกันผจงจิตนั่งทำงานอยู่ที่กองงานโบราณคดีแล้ว ศลัยลาสวมชุดคลุมท้องเดินมึนตึงเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน
“ศลัย..สวมเสื้อคลุมแล้วหรือ แหม..รวดเร็วทันใจเหมือนตอนที่ตัดสินใจแต่งงานเลยนะ”
“ระวังเธอจะตามฉันไม่ทัน”
“ปีนี้..สงสัยโชคหลายชั้น คุณภูฉายได้ขึ้นเป็นผู้จัดการ แล้วก็ยังจะได้ลูกอีก ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทั้งนั้น”
“คุณภูฉายนี่น่ารักนะ เป็นคุณพ่อที่ดี..แล้วยังเป็นคุณลูกที่ดีของแม่อีก หาได้หรือ..ผู้ชายแบบนี้”
สีหน้าของศลัยลาเครียดเคร่งเมื่อพูดถึงสลัก ภูฉายก้าวเข้ามาที่โต๊ะทำงานของศลัยลาพอดี
“ศลัย...”
ศลัยลาเมินหน้าไปด้วยกิริยามึนตึง โกรธ ผจงจิตมองท่าทีของทั้งสองด้วยความแปลกใจ
“คุณภูฉาย..เอ้อ..นั่งก่อนซีคะ ศลัย..ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เชิญ ตามสบายนะคะ”
ผจงจิตเดินออกไปจากห้องแล้ว ศลัยลายังคงนั่งนิ่งเฉย
“ผมขอโทษเรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้โทร.บอกคุณก็เพราะว่า..เอ้อ..ผมไม่รู้จะบอกคุณยังไง แม่ไม่สบาย..แม่อยากให้ผมนอนเป็นเพื่อนแม่ ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ผมเป็นห่วงคุณ ผมรู้ว่าคนท้องต้องการเพื่อน ต้องการความอบอุ่น แต่แม่...”
ศลัยลาตอบให้ “แม่คุณก็ต้องการใช่มั้ยคะ”
“แม่ผมแก่แล้วนะ แล้วแม่ก็เหนื่อยเพราะผมมามาก แม่เพิ่งสบายเมื่อตอนที่ผมเรียนจบ ผม..เอ้อ..ผม..ผมก็รักคุณเหมือนอย่างที่ผม…”
ศลัยลายิ่งสะเทือนใจ
“เหมือนอย่างที่คุณรักแม่ของคุณ เอาเถอะค่ะ...ภู...ฉันขอโทษก็แล้วกันที่ฉันเหตุผลของฉันน้อยไป”
“คุณไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ...”
สีหน้าตื่นเต้นดีใจของภูฉายที่ศลัยลาหายโกรธ
ศลัยลากระแทกเสียงต่อท้าย
“ไม่โกรธ!”
เวลาผ่านไป ศลัยลาท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที เดินเข้ามาชงเครื่องดื่ม ในสภาพของคนท้องแก่ ที่เหนื่อยง่าย อุ้ยอ้ายเวลาเคลื่อนไหว ช้อนหลุดจากมือศลัยลาตกลงที่พื้น ศลัยลาประคองท้อง ค่อยๆ ย่อตัวลง พยายามเอื้อมมือเก็บแต่ไม่สำเร็จ
ศลัยลาทรุดฮวบลง มือปัดแก้วเครื่องดื่มตกลงมาแตก ถ้วยเครื่องกระเบื้องที่แตกกระจายอยู่บนพื้น
คืนนั้นศลัยลานอนตะแคง ตาลืมโพลงอยู่ในแสงสลัว ภูฉายเปิดประตูเข้ามา ท่าทีเหนื่อยง่วง เข้ามาจูบศลัยลาเบาๆ ศลัยลาหลับตาลง ภูฉายเลื่อนตัวลงนอนใกล้ๆ ทั้งที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดทำงาน
เวลาผ่านไป ศลัยลาลืมตาลุกขึ้นนั่งมองภูฉายมือแตะที่ท้อง มองภูฉายซึ่งหลับสนิทไปแล้ว
สีหน้า แววตาของศัลยาดูเหงา และอ้างว้างเหลือแสน
วันหนึ่ง นวลนภาแวะมาหาลูกสาวที่บ้าน และกำลังประคองมานั่งลง ท่าทีศลัยลาดูเหนื่อยล้า อ่อนแรงเพราะท้องแก่ ใกล้คอด
“ถ้าไม่ไหวก็ลางานเถอะ แม่ว่าใกล้คลอดเต็มที่แล้วนะศลัย”
“อึดอัดจังเลยค่ะ คุณแม่ ถ้ารู้ว่าท้องแล้วทรมานยังงี้ หนูคุมไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว โอย..ปวดขา เดินก็ไม่ถนัด”
“อดทนหน่อยซีลูก มันก็แค่ระยะเดียวตอนที่ท้องแก่ อย่าเอาแต่กินกับนอนเดี๋ยวจะคลอดลำบาก ต้องออกกำลังกาย อย่างน้อยก็เดินไปนั่นมานี่ ภูฉายจะกลับกี่โมง”
สีหน้าศลัยลาเครียดขึ้น ขณะตอบ
“ก็คงจะ..สามทุ่มค่ะ”
“งานมากซีนะ เลื่อนเป็นผู้จัดการภาคาก็ต้องรับผิดชอบมากนี่”
ศลัยลาคับแค้นใจ “ยังงั้นละมังคะ!”
“งั้นแม่จะหาเด็กมาอยู่เป็นเพื่อนหนู กลางค่ำกลางคืนเผื่อเจ็บท้อง จะได้วิ่งออกไปตามรถแท็กซี่ที่ปากซอย”
“ค่ะ”
“ถ้ารู้ว่าแต่งแล้ว หนูต้องมาอยู่คนเดียวยังงี้ แม่ยังไม่ให้แยกบ้านหรอก...ห่วง”
ศลัยลามีสีหน้า แววตาสลดลงอย่างชัดเจน
ฟากสลักเดินจูงมือกับภูฉายมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าอิ่มเอิบไปด้วยความสุข
ละมัยกำลังจัดอาหารอยู่มุมหนึ่ง
“วันเกิดแม่วันมะรืนนี่ แกต้องมาแต่เช้านะ เพราะแม่ตักบาตรแล้วจะไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จะได้ช่วยแม่เปลี่ยนเครื่องสักการะศาลพระภูมิ จะใช้นังมัยมันก็ซุ่มซ่าม ดีไม่ดีทำเสียหาย แกน่ะ...ค่อยเข้าอกเข้าใจหน่อย”
“ครับ”
“แล้วเย็นๆ ทำอะไรกินกันเอง แม่ไม่ได้บอกพวกญาติๆหรอกเบื่อ..เดี๋ยวก็ขนเอาลูกหลานมากันเต็มไปหมด ปีที่แล้วต้นไม้ฉันพังไปตั้งสองสามกระถางไม่รู้มันเล่นกันยังไง..แม่สบายใจ
จริงๆ นะ แม่น่ะ..แก่ขึ้นมาอีกปี ใกล้ตายเข้าไปเต็มทีแล้ว”
“ผมชวนศลัยลามาด้วยนะครับ แม่”
สีหน้าสลักเปลี่ยนไปทันที มึนตึง กระด้าง
“ก็ตามใจ!”
ไม่นานต่อมา ภูฉายเลือกดอกไม้หลากหลายเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด ให้สลัก โดยไม่เห็นสีหน้าที่หงุดหงิด อึดอัดเพราะอาการเหน็ดเหนื่อย ท้องแก่ของศลัยลา
“กุหลาบแม่ก็ชอบ ลิลลี่นี่ก็สีสวย..ผมเลือกไม่ถูกแล้วละ ศลัยเอากระเช้าไหนดี”
“แล้วแต่คุณ!”
“เอาไม้นอกแล้วกันนะครับ จะได้อยู่ทนๆ”
“ค่ะ!”
“คุณเป็นอะไรน่ะ ศลัย หรือว่าไม่เต็มใจไปอวยพรแม่ผม”
“ฉันจะเต็มใจไม่เต็มใจ มันมีประโยชน์อะไร คุณเลือกเร็วๆ ได้มั้ยภู ฉันหายใจไม่สดวกน่ะ ฉันแพ้เกสรดอกไม้”
“งั้นหรือ..แหม..ค่อยโล่งอก ผมนึกว่าคุณไม่ชอบแม่ผมเสียอีก งั้นเอากระเช้านี้แหละ”
ภูฉายถือกระเช้าไปจ่ายเงิน
ศลัยลาเซไปพิงประตู ด้วยท่าทีเหนื่อยๆ ครู่หนึ่งภูฉายจึงเดินกลับมาหา
“ไปครับ ศลัย”
ภูฉายควงแขนศลัยลาออกไปพร้อมกระเช้าดอกไม้
เวลานั้นสลักยกกระเช้าดอกไม้มาวางไว้ น้ำเสียงบ่น แต่ใบหน้ายิ้มไปด้วยความสุข ท่าทีศลัยลามึนตึง อึดอัดเพราะท้องแก่ใกล้คลอด
“ซื้อมาให้สิ้นเปลืองทำไม บ้านเราก็มีดอกไม้ปลูกเองตั้งหลายอย่าง โถ..นี่ยังนึกถึงแม่อยู่นะ ภูฉาย”
“ขอให้แม่มีสุขภาพดีนะครับ แล้วก็มีความสุขมากๆ แม่จะได้อยู่เลี้ยงหลาน”
ศลัยลาชะงัก เหลือบสายตาขึ้นมองภูฉายอย่างเงียบๆ
สลักเปลี่ยนสีหน้าทันที กิริยาน้อยใจ อิจฉา และประชด
“โอ้ย ไม่รู้จะอยู่ถึงเลี้ยงหลานหรือเปล่าน่ะซี ว่าแต่เมื่อไหร่จะคลอดล่ะ”
ศลัยลาบอกเสียงเย็นชา “อาทิตย์หน้าค่ะ”
“พูดถึงคลอดลูกแล้วละก็..เหมือนผู้หญิงไปจับดาบออกรบนะ มันปวดปางตาย ไอ้ที่อยู่ใกล้หมอก็ไม่เป็นไรหรอกแต่สมัยก่อน คนโบราณปวดกันห้าวันหกวัน จนแทบจะสิ้นใจ”
ศลัยลาเริ่มมีอาการหวาดกลัว มองสลักด้วยแววตากระด้างวิสัยของคนท้องแก่มักวิตกจริต เพราะเป็นภาวะทางอารมณ์
“ยิ่งเด็กไม่กลับหัวด้วยละก็..ถึงกับตายทั้งกลมเชียวนะ ตอนที่ฉันเจ็บท้องภูฉายน่ะ..เจ็บอยู่สามวันสามคืน ฝ่ามือยังงี้เขียวไปหมด ทั้งกำทั้งกัดฟันจนฟันคลอนไปทั้งปาก เจ็บแค่ไหนก็ต้องกัดฟันสู้ เบ่งจนแทบจะขาดใจตาย กว่าเขาจะพ้นท้องแม่ ฉันนึกว่าฉันคงตายไปแล้วละ ตายทั้งกลมน่ะมันทรมานนะ..แม่ศลัย”
สีหน้า แววตาเริ่มหวาดกลัวของศลัยลา
“เพราะยังงี้ผมถึงได้รักแม่มากไงครับ”
สลักกอดภูฉายไว้อย่างรักใคร่ แม่ลูกกอดกันและกัน
“ดีแล้วละลูก รักแม่มากๆน่ะถูกแล้ว..เพราะแม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับลูกแม้แต่ลมหายใจเฮือกแรก แม่ถึงได้บอกเมียแกว่าออกลูกกับออกรบน่ะ..ยากแค้นลำเค็ญพอๆ กัน!”
สีหน้าแววตาของศลัยลา ทั้งหวั่นไหวและตื่นกลัว
กลางดึกศลัยลาฝันร้าย เจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการคลอดลูก เปล่งเสียงกรีดร้องจนสิ้นใจ
ด้วยสภาพนัยน์ตาเบิกโพลง
ศลัยลาสะดุ้งตื่น เหงื่อโทรมเต็มใบหน้า ชุ่มโชกไปทั่วเรือนผม
“นี่ฉันฝันไปหรือ ฉัน...ฝัน….”
ศลัยลาพึมพำ ค่อยๆ ก้มลงมองภูฉายที่นอนหลับสนิทอยู่ใกล้ๆ นัยน์ตาของศลัยลาตื่นตระหนก หวาดกลัวเหลือเกิน
อ่านต่อตอนที่ 3