xs
xsm
sm
md
lg

อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อีสา ระวีช่วงโชติ ตอนที่ 4

รุ่งเช้า สมศักดิ์ยืนอยู่หน้ากระจก บรรจงหวีผมแต่งตัวเสร็จแล้วมองเงาในกระจก ยิ้มพอใจ แล้วหันไปที่โต๊ะข้างๆ เห็นตะปูร่มกล่องใหญ่ สมศักดิ์หยิบกล่องตะปูขึ้นมา หยิบหมวกใบสวย แล้วเดินออกจากห้องไป

รถแล่นออกมาหน้าวัง ชิดขับพาคุณหญิงทั้งสามไปโรงเรียนเหมือนทุกวัน หญิงโสภานั่งริมหน้าต่าง ใบหน้านวลผ่องสดใส
หญิงโสภาบอกชิดอย่างอ่อนหวาน
“นายชิดจ๋า อย่าขับเร็วนักนะจ๊ะ”
“ทำไมล่ะคะ พี่หญิง” หญิงจ้อยงง
“ก็...เกรงใจชาวบ้านเขาสิคะ”
หญิงจิ๋มก็งง “ชาวบ้านไหนคะหญิงไม่เห็นมีใครสักหน่อย”
หญิงโสภาเก้อ หญิงจ้อยชิงตอบ
“ก็คนที่มายืนอยู่ริมถนนทุกวันนั่นไง” หญิงจ้อยชี้ไปนอกรถ “โน่นแน่ะ พูดถึงก็มาเลย”
หญิงโสภาหันไป เห็นสมศักดิ์ยืนมองมาที่ตน ยิ้มให้ หญิงโสภาหลบตาเมิน แต่แอบยิ้มในสีหน้า
รถแล่นผ่านไปช้าๆ สมศักดิ์มองตาม อมยิ้ม ตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์
หญิงจ้อยกระซิบกระซาบ “แน่ะ เขายิ้มให้พี่หญิงโสภาด้วย”
“เปล่า” หญิงโสภากระซิบเถียง แต่หน้าแดง
หญิงจิ๋มขวางหูขวางตา “คนอะไร หมื่นจริง”
โสภาหันไปดุหญิงจิ๋ม “อย่าไปว่าเค้า”
ทันใดนั้น เสียงยางรถระเบิดปังทุกคนตกใจร้อง “ว้าย” ลั่น รถเอียงกะเร่เท่
“นายชิด รถเป็นอะไรจ๊ะ”
“ยางเป็นอะไรไม่ทราบครับคุณหญิง”
นายชิดเบนรถแล่นเข้าจอดข้างทาง
ริมถนน ห่างไปไม่มาก สมศักดิ์ยืนมอง ยิ้มสมใจ ทั้งหมดเป็นฝีมือของสมศักดิ์ที่แอบไปวางตะปูเอาไว้ก่อนที่จะมายืนรอ

ชิดลงไปดูที่ยางรถ เห็นมีตะปูร่มตัวโตติดอยู่ที่ยาง 2-3 ตัว และอีกหลายตัวเรียงรายเต็มพื้นถนน
ชิดบ่นอย่างเจ็บใจ “เด็กมือบอนที่ไหนวะจับได้พ่อจะเตะให้กระเด็น”
หญิงโสภาตามมายืนดู
“ยางแตก แล้วทำยังไงดีล่ะ นายชิด”
“คงต้องเปลี่ยนยางล่ะครับ คุณหญิง”
หญิงโสภาบ่นพึมพำ “ไปสายล่ะแย่เลย เช้านี้หญิงมีสอบย่อยด้วย”
สมศักดิ์เดินมาดสุภาพบุรุษเข้ามา “ให้ผมช่วยไหมครับ”
หญิงโสภาเห็นสมศักดิ์มายืนใกล้ๆ ตื่นเต้น เขิน พูดไม่ออก ชิดรีบบอก
“ขอบใจล่ะ พ่อคุณ ช่วยกันจะได้เร็วขึ้นหน่อย”
ชิดรีบเดินไปหลังรถ เปิดท้ายเอาเครื่องมือ
สมศักดิ์มองหญิงโสภาที่ยืนอยู่ ถอดหมวด ถอดเสื้อนอก หญิงโสภาเขิน เมินหน้าหันไปอีกทาง
สมศักดิ์เรียก
“เดี๋ยวครับ คุณหญิง”
หญิงโสภาหันไป สมศักดิ์ส่งเสื้อนอกกับหมวกให้
“ผมขอฝากไว้สักครู่ครับ” จอมเจ้าชู้พูดทอดเสียงหวาน “ถ้าคุณหญิงจะกรุณา”
หญิงโสภารับเสื้อกับหมวกมาถือให้มือโดนกับปลายมือของสมศักดิ์แผ่วๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจ หญิงโสภาหน้าแดง อายม้วนต้วน
สมศักดิ์ถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วไปช่วยเปลี่ยนยางด้วยมาดราวกับพระเอกหนัง ทำไปพลาง ส่งสายตามองกันไปพลาง หญิงโสภาเผลอเอาเสื้อที่ถือขึ้นมากอด เขินไปเขินมา

หม่อมพริ้มเช็ดทำความสะอาด จัดดอกไม้ที่หน้ารูปและโกฐิใบเล็กๆ ที่ใส่พระอัฐิของท่านชาย เจิมช่วยส่งของให้ หม่อมพริ้มทำไป ถามเจิมไปด้วย
“แล้วอีสามันเป็นยังไงบ้าง”
“มันก็ไม่ยังไงเจ้าค่ะ ให้มันทำอะไรมันก็ทำ เวลาว่างมันก็นิ่งๆ ซึมๆ ใจลอยๆ”
หม่อมพริ้มถอนใจ “นึกแล้วก็เวทนามัน มันก็ยังสาวยังแส้ แต่จะทำยังไงได้...ข้ามาคิดๆ ว่าจะให้แม่นวลเขากลับบ้านไป ให้อีสามันเป็นคนเลี้ยงชายรวีแทน”
“เจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มหันมองรูปท่านชาย ทอดถอนใจ
“มันเห็นหน้าชายรวีทุกวัน เผื่อว่ามัน จะเห็นแก่...” หม่อมไม่พูดว่าลูก “...คุณชายบ้าง”

ฟากสายืนรีรอกระวนกระวายอยู่หน้าบ้านเช่าสมศักดิ์ ส่วนด้านหลังสาเห็นประตูปิด กุญแจคล้องสายยูเหมือนเคย สารอไม่ไหว ถอนใจ ทำท่าจะกลับ พอหันมา เจอสมศักดิ์เพิ่งกลับจากงาน ยืนมองอยู่ หน้านิ่งๆ
สายิ้มดีใจ “คุณสมศักดิ์…สามารอตั้งนาน นึกว่าจะไม่เจอเสียแล้ว”
สมศักดิ์แกล้งถอดหมวก โค้งให้สาอย่างสุภาพอ่อนน้อมเกินจริงแต่หน้านิ่ง เสียงเรียบ
“ต้องขออภัยครับ ที่ทำให้ “หม่อม” ต้องรอ บังเอิญผมไม่ทราบ ว่า “หม่อม” ต้องการพบ”
สาอึ้งในสรรพนามที่เขาเรียก “คุณสมศักดิ์?”
สมศักดิ์ถามต่อ “หม่อมมาพบผม ไม่ทราบมีอะไรให้รับใช้หรือครับ”
“หม่อมอะไรกันคะ ใครบอกคุณสมศักดิ์ว่าฉันเป็นหม่อม” สาปฏิเสธ
สมศักดิ์เลิกสุภาพ เปลี่ยนท่าทีเป็นประชดประชัน ถากถางเกรี้ยวกราด
“ใครก็ไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมไม่เข้าใจ ว่าทำไมคุณสาไม่บอกผม ว่าตัวเอง...” ในใจเขาคิดจะพูดว่า มีผัวแล้ว “...เป็นใคร ปล่อยให้ผมหลงโง่เง่าอยู่ได้”
สาอึ้งนิ่งงัน ไปไม่เป็น “คือฉัน...”
สมศักดิ์สะบัดหน้า แล้วเดินหนีเข้าบ้าน สาตกใจ
“คุณสมศักดิ์คะ” สาวิ่งตามเพื่ออธิบาย “ฟังฉันก่อนค่ะ ฟังฉันก่อน”
สมศักดิ์เดินปึงปังเข้าบ้าน โยนข้าวของลงบนโต๊ะเหมือนระบายอารมณ์ สาตามเข้าบ้านมา
“คุณสมศักดิ์คะ ฉันขอร้อง อย่าเพิ่งโกรธฉัน ฟังฉันก่อน”
สมศักดิ์แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก แล้วเดินหนีเข้าห้อง
สาวิ่งตามไปอย่างลืมตัวแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าห้องที่สมศักดิ์เดินเข้ามานั้น เป็นห้องนอน
สายืนตัวแข็ง จะหันกลับ สมศักดิ์ก็เดินมาจากหลังบานประตู ปิดประตู ปัง!
สาตกใจ “คุณสมศักดิ์คะ ฉัน...”
สมศักดิ์เสียงเข้ม แต่แอบยิ้ม “คุณจะว่าอะไรก็ว่ามา ผมจะฟัง”
สมศักดิ์ยืนกอดอกบังประตูไว้ สามองสมศักดิ์
“ว่าไงครับ คุณอุษา”
สมศักดิ์สืบเท้าเข้ามาหา สาถอยหลังหนึ่งก้าว เห็นว่าด้านหลังของสาคือเตียงนอน สามือเย็นเฉียบ ใจเต้นเป็นระรัว

ขณะเดียวกันตรงทางเดินภายในวังรวีวาร หม่อมพริ้มอาบน้ำแต่งตัวสบายๆ ชุดอยู่บ้าน เดินไปห้องกินข้าว เจิมเดินตามหลังรายงาน
“วันนี้มีแกงส้มมะรุมกับดอกแคด้วยเจ้าค่ะ”
“ดี...ต้นแคของเราออกแล้วรึ ข้าไม่ยักเห็น”
หม่อมพริ้มจะเข้าห้องทานอาหาร เห็นเห็นนวลมายืนรอ
“อ้าว แม่นวล มีอะไร”
“คุณชายรวีเธอเหมือนจะมีไข้เจ้าค่ะ หม่อม ตัวรุมๆ”
หม่อมพริ้มชะงัก หน้าตาเป็นกังวล

ในเวลาต่อมาหม่อมพริ้มเอามือแตะที่หน้าผากคุณชายรวีช่วงโชติ สีหน้าอ่อนโยน เปี่ยมด้วยความรัก พึมพำกับตัวเอง
“แค่รุมๆ ไม่ได้ร้อนมาก” แล้วถามเสียงอ่อนหวาน “ปวดหัวไหมคะ ชาย”
“ไม่ค่ะ หม่อมแม่”
“เจ็บคอไหมคะ”
“ไม่ค่ะ หม่อมแม่”
หม่อมพริ้มหันไปบอกเจิมกับนวล
“ไม่มีอะไรมากหรอก คงเพราะอากาศเย็นน่ะ” หม่อมบอกกับนวล “วันนี้ไม่ต้องอาบน้ำให้คุณชายนะ เอาน้ำอุ่นใส่หัวหอมแดงเช็ดตัวก็พอ”
“เจ้าค่ะ หม่อม”
หม่อมพริ้มดึงชายรวีมากอดอย่างแสนมาก
“วันนี้ไม่ฟังนิทานนะคะ นอนแต่วัน ห่มผ้าหนาๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”
ชายรวีอ้อน “งั้นฟังเพลงได้ไหมคะ... ชายอยากฟังสาร้องเพลง”
หม่อมพริ้มยิ้มใจดี
“ได้สิลูก” หม่อมหันไปหาเจิม “เจิม สามันอยู่ไหน ทำอะไรอยู่”

เย็นย่ำ สานั่งคุยกับสมศักดิ์ในห้องนอน
“ตอนนั้นฉันยังเด็ก แค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเอง ไม่รู้เรื่องอะไร เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ”
สมศักดิ์ไม่เชื่อว่าสาไร้เดียงสาขนาดนั้น แต่ทำเป็นเออออไปด้วย
สมศักดิ์ล้อๆ “คุณเลยต้องมีสามีโดยไม่ได้ตั้งใจ โถ ช่างน่าสงสาร”
สาไม่รู้ว่าสมศักดิ์ประชด เล่าต่อไป
“พอท่านสิ้น หม่อมอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปหมด แต่ฉันเป็นลูกกำพร้า ไม่รู้จะไปไหน พอสิ้นท่านชาย ฉันก็เหมือนกับตัวคนเดียวในโลก ไม่มีใครอีกแล้ว...”
สาเล่าไปแล้ว น้ำตาคลอ สมศักดิ์มองๆ แล้วแอบยิ้มร้าย
“ใครว่า” สมศักดิ์เอื้อมมือไปเช็ดให้ “คุณมีผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่เห็นหรือไง”
สามองปลาบปลื้ม ไม่มีผู้ชายคนไหนอ่อนหวานกับสาแบบนี้มาก่อน
สมศักดิ์ดึงสามากอดปลอบใจ สาทิ้งตัวลงในอ้อมกอดสมศักดิ์อย่างสุขสม

ที่โรงครัวตอนค่ำ จวนตอบคำถามหวนเสียงดังฟังชัด
“ไม่มี๊ อีสามันไม่ได้มาที่นี่ ข้าอยู่ในครัวตลอด ไม่ได้ไปไหนถ้ามาข้าก็ต้องเห็น”
หวนหน้าเสีย
“ครัวก็ไม่อยู่ บนตำหนักก็ไม่อยู่ ที่เรือนนอนก็ไม่ได้อยู่ แล้วสามันหายไปไหนล่ะ”
จวนหัวเราะหึๆ นึกรู้ทันหวนใจหายวับ

ข้างนอกบ้านเช่ามืดแล้ว ในห้องก็มืดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟ สานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของสมศักดิ์
ที่รำพึงเบาๆ
“มืดแล้ว
สาสะดุ้ง ได้สติ รีบผละออก “ตายจริง ฉัน...เอ่อ...” สาลุกขึ้นยืนทันที “ฉันต้องกลับแล้วค่ะฉันมานานแล้ว เดี๋ยวจะมีคนสงสัย”
สาจะไปสมศักดิ์ดึงมือรั้งไว้
“เดี๋ยวครับ คุณอุษา... ก่อนไป ผมอยากจะขออะไรคุณสักอย่าง”
สาใจเต้นโครมคราม “ฉัน...เอ่อ...ฉัน...”
“นะครับ มันสำคัญกับผมมาก ผมคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าหากวันนี้ คุณอุษาไม่เมตตา”
สาใจเต้นโครมๆ คิดไปถึงไหนต่อไหน “คุณสมศักดิ์คะ ฉัน...”
สมศักดิ์เดินไปเปิดไฟ ห้องสว่าง สมศักดิ์หยิบของอย่างหนึ่งบนโต๊ะ มาส่งให้สา
สางง “อะไรคะ” มองดูสิ่งที่สมศักดิ์เอามาใส่มือหล่อนคือซองจดหมายสีชมพูอ่อนหวาน สวยงาม ดูล้ำค่า
สมศักดิ์กุมมือสา พูดอ่อนหวาน “จดหมายครับ” สาดู มองสมศักดิ์งงๆ “ผมอยากฝากคุณสา เอาจดหมายนี้ไปให้คุณหญิงโสภา”
สาอึ้ง สังหรณ์ใจวูบ แต่ยังถาม “จดหมายอะไรคะ”
“จดหมาย แทนความรัก ความภักดีจากใจของผม เมื่อคุณหญิงโสภาเปิดอ่านเธอจะทราบเอง”
สามองสมศักดิ์ ผิดหัวงสุดๆ ตัวชามือสั่นระริก..
“นะครับ คุณสา”
อย่างรวดเร็ว สาฉีกซองเปิดออก สมศักดิ์ตกใจมาก “คุณสา”
สาหนีไปมุมห้อง คลี่จดหมายออกอ่าน
“ถึงคุณหญิง ผู้เปรียบเสมือนดวงจันทร์...”
สาเงยหน้าขึ้นมองสมศักดิ์แล้วอ่านต่ออย่างรวดเร็ว
สมศักดิ์ขยับเข้าไปใกล้ “คุณอุษาครับ”
สาอ่านจบ เงยหน้าขึ้นมองสมศักดิ์ น้ำตาเต็มตา
สมศักดิ์ปลอบประโลม “คุณสา”
สาขยำจดหมายทิ้งลงกับพิ้น แล้ววิ่งหนีออกมาสมศักดิ์ตกใจ
“คุณสา”
สมศักดิ์วิ่งตามแต่ไม่ทัน สาวิ่งหนีลับตัวไป

ตำหนักใหญ่ตระหง่านในแสงยามค่ำ หวนลากแขนเจิมออกมาแอบข้างตัวตึก
“อะไร” เจิมสะบัดมือ โมโห “อะไรของเอ็ง นังหวน บอกให้พูดไม่พูด ทำลับๆ ล่อๆ น่ารำคาญ”
“ฉันไม่กล้าพูดบนตำหนัก กลัวหม่อมท่านได้ยิน”
“ทำไม มีอะไร”
“สาน่ะป้า...สามันหายไป”
“หา! หายไป”
“มันไม่อยู่ที่เรือนนอน ที่ครัวก็ไม่มี ฉันกลัวว่า...”
เจิมนึกออก โกรธขึ้นมาเป็นริ้วๆ “มันคงแล่นไปหาไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะสิเห็นทีกูจะปล่อยมึงเอาไว้ไม่ได้แล้ว อีสา”
เจิมโกรธจัด หักกิ่งต้นแก้วข้างๆ ตัวมาถือเป็นไม้เรียว แล้วเดินจ้ำพรวดๆ ออกไป หวนวิ่งตาม

สาเดินปาดน้ำตามาตามทางเดินในสวน เจิมกับหวนเดินจ้ำอ้าวมา เจิมถือไม้เรียว หน้าตาเอาเรื่องมาเจอสา เจิมตวาดลั่น
“อีสา!”
สาชะงัก หน้าเสีย เมื่อเห็นเจิมเกรี้ยวกราดกว่าทุกวัน
“มึงไปไหนมา อีตัวดี .. มึงไปทำอะไรมา”
“ฉันเปล่า”
“หายหัวไปแต่เย็น กลับมาเอาค่ำมืด” เจิมจ้องหน้าสา “มึงไปบ้านนั้นมาใช่ไหม มึงไปทำอะไรมา” พลางขยับไม้เรียวในมือ “บอกมานะ มึงไปหามันมาใช่ไหม”
สาเสียใจ แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธ “ฉันบอกว่าเปล่า”
“อีโกหก” เจิมคว้าแขนสาแรงๆ “บอกมา ไม่งั้นกูจะตีมึงให้ตายตรงนี้แหละบอกมา”
เจิมเอาไม้เรียวฟาดสาสุดแรง ฟาดไม่นับ สาดิ้น ร้องโวยวาย
“โอ้ย ปล่อยฉันนะป้าเจิม พูดไม่รู้เรื่องรึไง” สาอาละวาดกรี๊ดใส่ ด้วยความโกรธ “ปล่อย ปล่อยฉัน”
“กูไม่ปล่อย จนกว่ามึงจะรับ”
หวนขอร้อง “ป้าเจิมใจเย็นจ้ะ”
“อย่ามายุ่ง อีหวน” เจิมฟาดสาอีก “พูดมานะ มึงไปหามันมาใช่ไหมมึงไปทำระยำตำบอนอะไรกันมาบ้าง”
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน” สากรี๊ด “ปล่อยฉันนะ ป้า ปล่อยฉัน”
สาสะบัดสุดแรง หลุดจากเจิมไป เจิมเซไปชนหวน
สาวิ่งหนีแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นหม่อมพริ้มเดินออกมาจากพุ่มไม้ หน้านิ่ง เย็นเยียบ สากลัวจนขาแข็ง
“จะไปไหน อีสา
สาหน้าซีด ขาสั่น เป็นลมล้มตึงลงไป
หวนกับเจิมตกใจ
หวนอุทานลั่น “สา”

สาอยู่บนที่นอนในเรือนบ่าว ค่อยๆ ลืมตาฟื้นขึ้นมาเห็นหม่อมพริ้มนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้อง เจิม จวน และหวน นั่งรายล้อมอยู่ห่างๆ รอบตัว สาค่อยๆ ยันตัวลุก ยกมือไหว้หม่อมอย่างหวาดๆ
“หม่อม”
“ฟื้นแล้วรึ อีสา”
“สาเป็นลม ไม่รู้ตัวเลยค่ะ”
หม่อมพริ้มเขม้นมองสา “เอ็งเป็นโรคอะไร ยังสาวยังแส้ ทำไมเป็นลมไปได้”
สางงเหมือนกัน “สา... ไม่รู้เหมือนกันค่ะ สาเป็นมาหลายวันแล้ว ไม่ค่อยสบาย มันเวียนหัว กินข้าวไม่ค่อยลง บางทีตื่นมาก็ผะอืดผะอมเหมือนจะ...”
สาเล่าไปแล้วชะงัก เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าอาการมันคุ้นๆ
หม่อมพริ้มอึ้ง ซักน้ำเสียงเข้ม “เลือดเอ็งมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
สาอึ้งหนักยิ่งกว่าเดิม เพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มัวแต่คิดเรื่องสมศักดิ์จนไม่ทันสนใจตัวเองสาพูดไม่ออก แทบไม่มีเสียง
“สองเดือนกว่าแล้วค่ะ หม่อม”
เจิม จวน และหวนมองหน้ากันไปมา
เจิมบอกเสียงเบาๆ “เอ็งท้อง”
จวนพึมพำเบาๆ “กับ...”
หม่อมพริ้มชะงัก มองหน้าจวนให้หยุดพูด แล้วหันมองหน้าสาจังๆ สาพนมมือ พูดจริงจัง
“สาไม่เคยมีใครนอกจากท่านชายหม่อมเอาสาไปสาบานที่ไหนก็ได้ สาไม่เคยทำอะไรอย่างที่ป้าเจิมคิด.. ลูกในท้องสาเป็นลูกของท่านชาย ถ้าสาโกหก ขอให้ตกนรกหมกไหม้ ขอให้อย่าตายดี”
“พอเถอะ พอแล้ว ข้าเชื่อเอ็ง อีสา”
เจิมกังวล “หม่อมเจ้าขา สามันท้องไส้ขึ้นมาแบบนี้ แล้วจะทำยังไงกันต่อไปเจ้าคะ”
“จะต้องทำยังไง เอ็งก็ดูแลมันให้ดี อย่างไรเสีย เด็กในท้องมันก็เป็นสายเลือดของรวีวาร”
หม่อมพริ้มหันไปพูดกับสา
“เอ็งก็เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี” หม่อมเน้นคำ “เลิกคิดเรื่องความสุขสนุกสนานของตัวเองได้แล้ว จากนี้ไป เอ็งเป็นแม่คนแล้ว”
“แม่” น้ำเสียงของสาแห้งแล้ง ไม่มีความหวังใดๆ “คราวนี้สาจะได้เป็นแม่หรือคะ”
หม่อมพริ้มเวทนา “เออ ลูกในท้องคนนี้ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ถือว่าเป็นลูกของเอ็งข้าจะไม่ยุ่ง เด็กคนนี้จะเป็นของเอ็งคนเดียว” หม่อมปลอบใจ “จากนี้ไป เอ็งก็ไม่ใช่คนตัวคนเดียวแล้วนะ สา”
“ค่ะ หม่อม”
สารับปากหงอยๆ แววตาว่างเปล่าเศร้าสร้อย ลูกไม่ใช่สิ่งที่สาต้องการตอนนี้

ในเวลาต่อมา หม่อมพริ้มเดินเงียบๆ สีหน้าขรึม กังวล เช่นเดียวกับเจิมที่เดินตามมาส่งเงียบๆ ทั้งสองผ่านมาถึงโต๊ะที่วางรูปของท่านชาย หม่อมพริ้มหยุดมอง แววตาเคารพเลื่อมใส
“โชคยังดี ถือว่าดวงวิญญาณของท่านชายยังทรงปกป้องราชสกุลรวีวาร”
“ยังไงเจ้าคะหม่อม”
“ถ้าอีสามันไม่ท้องมันคงออกไปทำเรื่องบัดสีให้รวีวารต้องขายหน้า..โชคดีที่มันมาท้องเสียก่อน”
เจิมเข้าใจ “มีลูกแล้ว มันคงไม่มีออกไปทำตัวเหลวไหลอีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“เรื่องอีสากับ...” หม่อมพยักพเยิด “นั่นน่ะ เอ็งก็ปรามคนอื่นๆ ว่าอย่าอื้ออึงไป ลูกๆ ข้าโต ชักจะรู้ความแล้ว ข้าไม่อยากให้ต้องมารับรู้เรื่องพรรค์นี้”
“เจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มมีสีหน้าโล่งอก

ฟากสานั่งซึมอยู่ที่ระเบียงเรือนบ่าว มองดูดวงจันทร์บนฟ้า น้ำตาไหล สาคิดถึงข้อความในจดหมาย
“ถึงคุณหญิง ผู้เปรียบเสมือนดวงจันทร์...”
สาเอามือแตะที่ท้อง แล้วเอามือทุบแรงๆ ระบายอารมณ์คร่ำครวญ
“ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม”

สาสะอื้นไห้ ด้วยความเจ็บแค้นในอก

ตอนเย็นวันต่อมา หญิงโสภาเดินลัดเลาะมาในสวน สอดส่ายสายตามองหาสา หน้าตาตื่นเต้นยินดีเห็น สานั่งเหม่ออยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ มองออกไปที่รั้วที่กั้นระหว่างวังกับบ้านสมศักดิ์ สีหน้าเศร้า
หญิงโสภาเห็นสา เข้ามาลงนั่งข้างๆ
“สา” สาสะดุ้ง “มาอยู่ที่นี่เอง”
“คุณหญิง”
สาเห็นหน้าหญิงโสภาแล้วพาลนึกถึงจดหมายของสมศักดิ์ขึ้นมา สีหน้าน้ำเสียงเลยหมางเมิน
“มาทำอะไรแถวนี้คะ”
หญิงโสภาตอบเสียงสดใส ไม่รู้เรื่อง “ก็มาหาสาน่ะสิจ๊ะ หญิงเพิ่งรู้จากหม่อมแม่ว่าสาตั้งท้อง” พลางจับมือสา “หญิงดีใจด้วยนะจ๊ะ”
สาชักมือออก แค่นยิ้มให้พูดพาลๆ
“ดีใจกับไอ้เด็กไม่มีพ่อในท้องสานี่น่ะหรือคะ คุณหญิงมันมีอะไรให้ดีใจนักหนาเชียว”
สาลุกเดินหนีไป หญิงโสภาตกใจระคนแปลกใจ
“สา” หญิงโสภางงๆ แล้วลุกเดินตาม “สา เดี๋ยวก่อน”

สาเดินจ้ำพรวดๆ มาถึงหน้าเรือนบ่าว หญิงโสภาวิ่งตามมาทัน
“สา เดี๋ยวก่อน” คุณหญิงรั้งสาไว้ “ทำไมสาพูดแบบนี้ล่ะจ๊ะ ลูกในท้องสาเป็นลูกของท่านพ่อนะ”
“ไม่มีท่านชาย เด็กในท้องนี่มันก็เป็นได้แค่ลูกอีสา ลูกบ่าวคนนึงเท่านั้น”
“ไม่จริงจ้ะ ลูกของสา ก็สายเลือดของรวีวาร เหมือนกันกับหญิง”
หญิงโสภาพยายามปลอบ แต่สากลับแค่นหัวเราะ
“เหมือนคุณหญิงเหรอคะ น่าขัน...ดูคุณหญิงสิคะ ทั้งสูงส่งทั้งเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง” คิดถึงสมศักดิ์ ก็ยิ่งน้อยใจ “มีแต่คนรัก มีแต่คนชื่นชม แต่ลูกของสามันก็ต้องต่ำต้อยด้อยค่าเหมือนแม่ของมัน จะไปเหมือนคุณหญิงได้ยังไง”
หญิงโสภาหน้าเสีย “แต่ว่าสาจ๊ะ”
“กลับไปเถอะค่ะ ที่ของคุณหญิงอยู่บนตำหนักใหญ่ อย่ามายุ่งกับไพร่อย่างอีสา” สาลืมตัวตวาดแว้ดใส่หน้า “กลับไป”
สาเมินหน้าหนี น้ำตาเอ่อคลอ หญิงโสภาอึ้งๆ แล้วค่อยๆ หันหลังเดินออกไป
สาทิ้งตัวลงนั่ง ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น
เจิมเดินออกมาจากด้านในห้อง ได้ยินทุกอย่างเจิมมองสาอย่างตำหนิ สาเงยหน้าขึ้นมา เห็นสายตาของเจิมเลยประชด

“เอาซี เอาเลยจะด่าอะไรอีสาอีกก็ด่ามา”
“เอ็งก็รู้ว่าเอ็งผิด ข้าจะต้องพูดทำไมให้เปลืองน้ำลาย”
เจิมเดินหนีไป สาอึ้งรู้สึกผิด

ฟากสมศักดิ์มาชะเง้อชะแง้ที่ริมรั้ว มองหาสา แล้วได้ยินเสียงกระแอม สมศักดิ์หันขวับไปหาอย่างดีใจ เจอจวนยิ้มแยกเขี้ยวอยู่ สมศักดิ์เก้อ
จวนชี้อกตัวเอง “ฉันชื่อจวนจ้ะ”
“ครับ” สมศักดิ์จะไป จวนส่งเสียงเรียก
“พ่อสมศักดิ์ใช่ไหม” สมศักดิ์หันมา “มารออี เอ๊ย หม่อมสารึพ่อ”
“เอ่อ ครับ พอดีผมมีธุระจะพูดกับเขา”
“ฝากฉันไปก็ได้ หม่อมสาเขาคงไม่ออกมาเก็บผักอีกนานเลยล่ะ”
สมศักดิ์ฉงน “ทำไมล่ะครับ”
จวนยิ้มกว้าง “เขาแพ้ท้องน่ะ รู้จักไหมพ่อ แพ้ท้อง มีลูกน่ะ”
สมศักดิ์อึ้งอีกครั้งจวนสะใจ

ตกเย็นวินิจรู้เรื่องหัวเราะลั่นบ้าน ตบเข่าฉาด
“บ๊ะ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะไวไฟอย่างนี้”
“เฮ้ย ไม่ใช่ พี่ .. พูดอะไรบ้าๆ ผมไม่ได้มีอะไรกับเขา คุณอุษาเขาท้องกับท่านชายโชติช่วงระวีต่างหาก”
“อ้าว เหรอ ...เอ๊ะ แต่ท่านชายท่านสิ้นไปแล้วนี่หว่า แหม...ยังจะทิ้งไข่เอาไว้”
“น่าสงสารคุณอุษา เป็นหม้ายแล้วยังมีลูกติด...ยังสาวยังสวยแท้ๆ”
“มัวแต่ไปสงสารเขา ว่าแต่แกเถอะ จะทำยังไงดี... แม่สายทองท้องไปเสียแล้วอย่างนี้ ใครจะช่วยแกเข้าหาแม่พิมพิลาไลย”

สมศักดิ์คิดถึงหญิงโสภาแล้วหงุดหงิด เซ็งที่เสียแผนไปหมด
 
ต่อจากตอนที่แล้ว 

คืนเดียวกัน หญิงโสภานั่งอยู่กับหม่อมพริ้มในห้องนอนหม่อม ตรงหน้ามีกำปั่นเหล็กใบเล็กๆ ข้างในมีเครื่องเพชร พวกสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู แหวน เข็มกลัด กำไล หลายแบบ แต่ละชิ้นขนาดไม่ใหญ่แต่สวยงาม เหมาะกับเด็กสาว

หม่อมพริ้มหยิบสร้อยข้อมือเพชรเส้นหนึ่งมาทาบที่แขนหญิงโสภา
“ตอนนี้หญิงก็โตเป็นสาวแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ต้องมีของแต่งตัวบ้าง เป็นลูกผู้หญิงคอเปล่าแขนเปล่าไม่ดี”
หม่อมพริ้มเยื้อนยิ้ม วางสร้อยกลับไปในกำปั่น แล้วเลื่อนกำปั่นไปให้หญิงโสภา
“ของในกำปั่นนี้ แม่ให้หญิง เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี”
หญิงโสภายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ” แล้วค่อยๆ ถามอย่างเกรงใจ “แล้วของที่หม่อมแม่เคยให้หญิงใส่ก่อนหน้านี้หม่อมแม่จะเอาคืนไหมคะ”
“อุ๊ย ไม่สิจ๊ะ ให้แล้วก็ให้เลยสิ ทำไมหญิงถามอย่างนั้นล่ะ”
“ก็... เผื่อหญิงอยากเอาให้... น้อง”
“โถ หญิง” หม่อมยิ้มปลาบปลื้มในตัวลูกสาว “ของหญิงจิ๋มหญิงจ้อยน่ะแม่แบ่งเอาไว้ให้แล้วจ้ะได้เท่ากันทุกคน หญิงไม่ต้องห่วงน้องหรอกลูก”
หม่อมพริ้มดึงหญิงโสภามากอดอย่างแสนรัก แววตาหญิงโสภาเป็นประกายบ่งบอกว่าคิดอะไรบางอย่าง

รุ่งเช้าสาเคาะประตู แล้วเดินเข้ามาในห้องหญิงโสภาเพื่อทำหน้าที่ตามปกติ แต่หน้าตายังรู้สึกผิดนิดๆ
“คุณหญิงขา...”
สาชะงัก หญิงโสภาที่อยู่หน้ากระจก แต่งตัวทำผมเรียบร้อย หันมาพูดยิ้มๆ
“หญิงแต่งตัวเสร็จแล้วจ้ะ ต่อจากนี้ไป หญิงจะแต่งตัวเอง สาไม่ต้องมาช่วยหญิงแล้วนะ”
สาไม่แน่ใจ “คุณหญิงโกรธสาหรือคะ”
“ไม่เลยจ้ะ หญิงแค่อยากให้สารู้ว่า หญิงไม่เคยเห็นสาเป็นบ่าวต่ำต้อยอะไรทั้งนั้น”
สาอึ้ง หญิงโสภาจับตัวมาที่เตียง
“นั่งสิจ๊ะ” สาลังเล ขืนตัวไว้ หญิงโสภาดันให้นั่งลง “หญิงมีอะไรจะให้สา”
สานั่งลง หญิงโสภาหันไปหยิบสร้อยทองที่มีล็อกเกตลงยาฝังเพชรเม็ดเล็กๆ ยื่นให้สาดู
“นี่เป็นล็อกเกตประจำตระกูล” คุณหญิงเปิดออกให้ดู “ข้างในเป็นรูปของท่านพ่อ ท่านประทานให้ลูกทุกคน คนละอัน” พลางจับมือสามา เอาใส่ให้ “หญิงให้สาจ้ะเป็นการรับขวัญน้อง”
สาอึ้ง ตื้นตันในความดีของหญิงโสภา
“สาเก็บไว้ให้ลูกนะ เขาจะได้ภูมิใจว่าเขาเป็นรวีวารเหมือนกับหญิงเหมือนกัน”
สาน้ำตาเอ่อ ทรุดตัวลงกับพื้น จับมือหญิงโสภามาแนบแก้ม มองอย่างรักและบูชา
“โถ คุณหญิงทูนหัวของสา”
หญิงโสภาเลื่อนตัวลงมา ประคองสาไว้ “สา ร้องไห้ทำไม”
“อย่าถือคำพูดบ้าๆ บอๆ ของสาเลยค่ะคนดีเท่านี้คุณหญิงก็เมตตาสามากแล้ว” สาเอาล็อกเกตคืนให้ “ล็อกเกตนี่คุณหญิงเก็บเอาไว้เถอะนะคะ ยังไงคุณหญิงก็คือคุณหญิง อีสาก็คืออีสา สาไม่อาจเอื้อมตีตนเสมอคุณหญิงหรอกค่ะ”

เช้าวันนี้ สมศักดิ์เดินมาเตร็ดเตร่รอที่ริมถนนหน้าวังรวีวารเหมือนทุกวัน สักพักเขาเห็นรถแล่นมาช้าๆ สมศักดิ์รีบหลบหลังเสา แอบดู เห็นหญิงโสภาอยู่ในรถเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนมองหาใคร หน้าจ๋อยๆ สมศักดิ์แอบยิ้ม พอใจ

ตอนสายสมศักดิ์นั่งอยู่ที่ร้านอาหารกับวินิจ ที่ร้านแถวสำนักงานทรัพย์สิน มีพนักงาน สำนักงานทรัพย์สินใส่ชุดฟอร์มนั่งกินอาหาร ดื่มกาแฟกันอยู่ 2-3 คน
“พับผ่าเถอะ แกนี่มันเจ้าแผนการไม่ใช่เล่น” วินิจเย้า
สมศักดิ์ยิ้ม ตอบอย่างเล่นลิ้น “ไม่ได้เล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา”
“แต่ไอ้วิชาล่องหนหายตัว ไม่ยอมให้ผู้หญิงเขาเห็นหน้า นี่มันจะทำให้ผู้หญิงเขาหันมาสนใจแกได้ยังไง ฉันไม่เข้าใจขยายให้ฟังหน่อยเถอะวะ”
“คุณหญิงเขาสนใจผมอยู่แล้ว พี่ ผมดูออก...แต่ตอนนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่คุณอุษาเขาเกิดแง่งอน ไม่ยอมเป็นแม่สื่อให้ผมซะอย่างนั้น”
วินิจยังไม่เข้าใจ “แล้วไง”
“คุณหญิงโสภาเขาสนใจผม... ถูกไหม” วินิจผงกหัว “ถ้าหากผมหายหน้าไป เขาก็ต้องอยากรู้ ว่าผมหายไปไหน ถูกไหม” วินิจผงกหัวอีก “แล้วพี่คิดว่าคุณหญิงเขาจะทำยังไงต่อไป”
คราวนี้วินิจส่ายหัว สมศักดิ์หัวเราะ นันย์ตาแพรวพราว เจ้าเล่ห์

หลายวันแล้วที่สมศักดิ์ไม่มายืนให้เห็นที่หน้าวัง ตกตอนเย็นวันนี้ สาถามคาดคั้นหญิงโสภาที่นั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่ศาลาในสวน หลังคุณหญิงถามเสร็จ
“คุณหญิงถามหาเขาทำไมคะ รู้จักกับเขาด้วยหรือคะยังไง เมื่อไหร่”
“สา อย่าเอ็ดไปซี”
“ก็ตอบสามาสิคะ คุณหญิงไปรู้จักกับนายสมศักดิ์ได้ยังไง”
“เค้า เอ่อ เค้าเคยมีน้ำใจมาช่วยนายชิดเปลี่ยนยางรถเมื่อหลายวันก่อน”
สานึกรู้ทัน บ่นเบาๆ “เจ้าเล่ห์” แล้วถามเอากับหญิงโสภา “คุณหญิงสนใจเขาหรือคะ”
หญิงโสภาหน้าแดงก่ำ รีบปฏิเสธ “เปล่า ไม่ ไม่ใช่นะจ๊ะ แค่หญิงเห็นว่า เขาหายหน้าหายตาไปหลายวันแล้วหญิงก็เลยสงสัยว่า”
สาใจหาย นึกเป็นห่วงขึ้นมา “อะไรนะคะ คุณสมศักดิ์น่ะหรือคะหายไป ไปไหน”

ไม่นานนักสาย่องเข้าไปในเขตบ้านเช่าสมศักดิ์ เห็นประตูเปิดอ้าไว้ สาจดๆ จ้องๆ ส่งเสียงเรียกเบาๆ
“คุณสมศักดิ์คะ คุณสมศักดิ์อยู่ไหมคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ สาชักห่วงๆ เดินเข้าไปในบ้าน เห็นข้าวของยังอยู่ดี
“ของก็ยังอยู่นี่แล้วตัวไปไหน”
ที่มุมห้องนั้นสมศักดิ์กึ่งนั่งกึ่งนอนที่เก้าอี้หลับตา เหมือนเหนื่อยอ่อนเต็มที พูดขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ลืมตา
“ผมจะไปไหนได้ยังไง ในเมื่อหัวใจของผมอยู่ที่นี่”
สายืนนิ่ง ใจวูบไหวขึ้นมาเมื่อได้ยินคำหวาน สมศักดิ์ลืมตา ลุกขึ้นยืน มองสาอย่างลึกซึ้ง
“คุณรู้ไหม คุณสาตั้งแต่วันที่คุณหนีผมไป ผมกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะคิดถึงคุณ”
สาทั้งปลื้ม ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ปะปนกัน
“เลว! เลวมากไหนคุณบอกว่าคุณรักคุณหญิง ตกลงคุณรักใครกันแน่”
“คุณก็รู้ ว่าผมหลงรักคุณตั้งแต่แรกเห็น” สมศักดิ์ปั้นเสียงเศร้า “ขนาดคุณมีลูกของท่านชายอยู่ในท้องทั้งคนอย่างนี้ ผมยังห้ามใจไม่ให้รักคุณไม่ได้”
สาอึ้งไป สำนึกได้ว่า ไม่ควรมาหึงหวงสมศักดิ์ เลยอ่อนลง
“แต่คุณก็รักคุณหญิง”
“ผมเกิดมาโชคร้าย มีหัวใจดวงเดียว แต่กลับรักผู้หญิงถึงสองคน.. รักหญิงหนึ่งด้วยใจภักดิ์ รักหญิงหนึ่งด้วยใจปอง...” สมศักดิ์จับมือสา “แต่หญิงที่ผมมีใจภักดิ์ เขาก็มีเจ้าของเสียแล้ว”
สาชักมือออก ค้อนขวับ “แต่อีกคนที่คุณมีใจปองน่ะ เขาอยู่สูงยิ่งกว่าดวงจันทร์บนฟ้า หม่อมพริ้มรักคุณหญิงอย่างกับแก้วตา ทั้งรักทั้งหวง คุณไม่มีทางเข้าใกล้เธอได้แน่”
สมศักดิ์ดึงมือสามากอบกุมไว้อีก “ผมถึงต้องพึ่งความเมตตาของคุณไงครับคุณอุษา”

ตกกลางคืนหญิงโสภาอยู่ในชุดนอน สายื่นจดหมายซองสีชมพูส่งให้
“จดหมายของใครกันจ๊ะ สา”
สาหมั่นไส้นิดๆ “ก็คนที่เขาเฝ้ามองคุณหญิงอยู่ทุกวันนั่นแหละค่ะ เขาฝากมาให้”
ญิงโสภาเขิน วางจดหมายลง
“เขียนอะไรมาก็ไม่รู้ หญิงไม่อ่านหรอก”
สามองๆ แล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ แกล้งประชด
“งั้นสาเอาไปให้หม่อมอ่านแทนก็แล้วกัน”
หญิงโสภารีบเอาจดหมายมาเปิดอ่าน เห็นเป็นลายมือเล่นหางสวยงามเขียนด้วยหมึกสีม่วงเข้มบนกระดาษสีชมพูอ่อน
เสียงสมศักดิ์ดังก้องในหู

“คุณหญิง ผู้เปรียบเสมือนดวงจันทร์... คุณหญิงคงไม่คิดว่าผมบังอาจ ในการที่ได้เขียนจดหมายนี้มาถึงคุณหญิง ผมรู้ดีว่าคุณหญิงเปรียบเสมือนดวงจันทร์วันเพ็ญที่บริสุทธิ์กระจ่างอยู่กลางฟ้า และผม...ก็เปรียบเพียงกระต่ายบนดินเท่านั้นเอง…”

และเสียงหวานๆของสมศักดิ์วนเวียนอยู่หูของสาวน้อยไปอีกหลายวัน

ที่ห้องอาหาร หม่อมและลูกสาวทั้งสามนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน หวนกับพุดคอยรับใช้ หญิงโสภาใจลอยคิดถึงคำหวานในจดหมาย หม่อมพริ้มเห็น นิ่วหน้านิดหนึ่ง

“...ผมเฝ้ารอดูคุณหญิงไม่ผิดอะไรกับกระต่ายที่เฝ้าชมแสงจันทร์ ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าความหวังที่ดวงจันทร์จะลอยมาให้เชยชมนั้น เป็นความหวังที่ลางเลือนเต็มทน แต่ผมก็ยังหวัง”

ต่อมา ในห้องนั่งเล่น หญิงโสภาร้อยมาลัยอยู่กับหม่อมพริ้ม ใจลอยเสียบดอกมะลิไปเรื่อยๆ จนเต็มเข็มมาลัย หม่อมพริ้มวางเข็มมาลัยของตนลง มองเงียบๆ อย่างจับสังเกต

“ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นคุณหญิง ผมลืมคุณหญิงไม่ได้เลยสักเวลาเดียว ผมบอกไม่ถูกว่าผมบูชาคุณหญิงอย่างไร แม้แต่ชีวิตของผม หากคุณหญิงปรารถนา ก็จะอยู่ในมือคุณหญิงคนเดียวเท่านั้น”

ในศาลากลางสวนเวลายามเย็น หญิงโสภานั่งเหม่อมองออกไปทางเรือนหม่อมนิ่มตำราเรียนวางอยู่ข้างตัว แต่ในมือมีจดหมายของสมศักดิ์

“ผมจะเฝ้ารอคำตอบที่เหมือนน้ำทิพย์ชุบชีวิตของผมทุกเวลา

จากผู้ที่รักและบูชาคุณหญิง
...สมศักดิ์”

เสียงหม่อมพริ้มกระแอมดังขึ้นข้างหลัง
“หญิง”
หญิงโสภาสะดุ้งสุดตัว รีบยัดจดหมายเข้าไปในหนังสือ แล้วลุกขึ้นยืน
“หม่อมแม่”
“ทำไมมานั่งคนเดียวตรงนี้” ครั้นเห็นหญิงโสภาหน้าเจื่อน กอดตำราเอาไว้กับอกแน่นก็แปลกใจ “แล้วนั่นอ่านอะไรอยู่”
หญิงโสภาตอบไม่ถูก ได้แต่ยืนหน้าซีด หม่อมพริ้มดึงหนังสือจากมือไปดูเห็นว่าปกเป็นตำราวิชาการเรือนภาษาอังกฤษก็ส่งคืนให้ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้
“หลายวันมานี่แม่เห็นหญิงเหม่อๆ มีอะไรหรือเปล่าลูก”
“มะ..ไม่มีอะไรค่ะ” เห็นหม่อมพริ้มทำหน้าไม่เชื่อ เลยชูหนังสือขึ้นมา “หญิงคงจะกังวลเรื่องสอบไล่”
หม่อมพริ้มมองๆ ยังไม่เชื่อสนิท แต่ก็ไม่คาดคั้น
“หญิงตั้งใจเรียนมาตลอดปี แล้วจะกังวลทำไม...นี่ก็เย็นย่ำแล้ว ขึ้นตำหนักเถอะลูก เดี๋ยวยุงกัดเอา”
หม่อมพริ้มเดินนำไป หญิงโสภากอดหนังสือแน่น เดินตาม หน้าตาละอายใจสุดๆ ที่โกหก

วันหนึ่งเจิมช่วยพัดวีรับใช้ ขณะที่หม่อมพริ้มแต่งกิ่งไม้ดัด หม่อมพริ้มยังหงุดหงิด คาใจเรื่องท่าทีหญิงโสภา
“อุ๊ย ไม่หรอกค่ะ คุณหญิงโสภาเธอเป็นเด็กดี เธอจะโกหกหม่อมเทียวหรือเจ้าคะ”
“ก็คงไม่หรอก แต่ไม่รู้สิเจิม ข้าสังหรณ์ใจยังไงพิกล...หรือข้าจะแก่แล้ว เลยคิดมากไป”
“รักมากก็ห่วงมากน่ะเจ้าค่ะ หม่อม ไม่มีอะไรหรอก คุณหญิงเธอว่าง่ายยังกับไม้ดัด จัดให้ไปทางไหนก็ไป” เจิมค้อนลมแล้ง “ไอ้ที่คอยจะแส่ส่ายไปนอกลู่นอกทางน่ะมันคนอื่นมากกว่า”
หม่อมพริ้มหันขวับ “ทำไม อีสามันทำอะไรอีก”
“ยังเจ้าค่ะแต่เห็นนังจวนมันว่า มันเห็นอีสาไปด้อมๆ มองๆ แถวเรือนนั้นอีกแล้ว”
หม่อมพริ้มกระแทกกรรไกรในมือลงกับโต๊ะดังกึก โกรธจัด

ด้านหญิงโสภาอยู่ในชุดลำลองเพราะเป็นวันหยุดคุยอยู่กับสาในห้องหญิงโสภาเดินวนเวียนไปมาด้วยความว้าวุ่นใจ
สาคาดคั้น เร่งเร้า “ว่ายังไงล่ะคะ คุณหญิง”
“หญิงไม่เขียนจดหมายตอบเค้าหรอกจ้ะ สา น่าเกลียดตาย”
“แต่เขารออยู่นะคะ ถ้าคุณหญิงไม่ตอบ เขาก็คงคิดว่าคุณหญิงรังเกียจเขา”
“สาก็บอกเค้าไปซี ว่าหญิงเปล่า”
“โอ๊ย ใครเขาจะไปเชื่อสาคะ” พอเห็นหญิงโสภาหวั่นไหว สาเลยยิ่งกดดัน “สงสารคุณสมศักดิ์ คงช้ำใจตายแน่”
“หญิงเขียนไม่ได้หรอกจ้ะสา มันน่าอาย หญิงทำไม่ได้จริงๆ”
หญิงโสภาทรุดตัวลงนั่งที่เตียง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ สามองไปที่ตะกร้างานฝีมือ เห็นผ้าเช็ดหน้าในตะกร้า สาเกิดความคิด
“ถ้าเขียนไม่ได้ ก็ทำอย่างอื่นสิคะ คุณหญิง”
สาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ยังทำไม่เสร็จดีขึ้นมาส่งให้คุณหญิง ยิ้มให้กำลังใจ

กลางคืนวันต่อมา สมศักดิ์หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของหญิงโสภาขึ้นมาชื่นชม เป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาว มีลูกไม้สวยงามที่ริมผ้าเช็ดหน้า ตรงมุมปักรูปหัวใจดวงเล็กๆ ด้วยไหมสีชมพูอ่อนหวาน
สมศักดิ์อวดวินิจ “ผมบอกแล้ว คุณหญิงโสภาเธอมีใจให้ผม”
วินิจแหย่ “ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าส่งมาแทนใจแล้วเมื่อไหร่ จะได้เชยชมเจ้าของผ้าล่ะไอ้น้องชาย”
“ใจเย็นไว้ พี่วินิจ อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นาน”
สมศักดิ์ยกผ้าเช็ดหน้าผืนสวยขึ้นมาจูบเบาๆ มั่นใจมาก

อีกวันหนึ่งสาทำทีเป็นพาคุณชายรวี วัย 3 ขวบ มาเดินเล่นในสวน ใกล้ๆ กับรั้วบ้านเช่า ชายรวีร่าเริงมีความสุข
สาชี้ให้ดู “เห็นผีเสื้อไหมคะ คุณชาย ตรงโน้นๆ มีผีเสื้อสวยๆ ด้วยนะคะ”
ชายรวี เห็นผีเสื้อสองสามตัวบินว่อน
“ผีเสื้อสวย”
สาพาคุณชายไปใกล้รั้ว ชายรวีไม่รู้เรื่อง ชะเง้อชะแง้มองตามผีเสื้อสองสามตัวนั้น
“สา ไปจับผีเสื้อ”
สาชะเง้อไปทางรั้ว มองหาสมศักดิ์ ปากก็พูดส่งๆ ไป “ค่ะๆ ไปจับผีเสื้อกันค่ะ”
ชายรวีมองไปอีกทาง ชี้บอก “สา ผีเสื้อไปโน่น”
สาชะเง้อชะแง้ ไม่สนใจ พอดีได้ยินเสียงผิวปากเป็นสัญญาณ สารีบบอกชายรวี
“คุณชายรอสาตรงนี้นะคะ อย่าไปไหนนะคะ เดี๋ยวสาไปจับผีเสื้อให้”
สาให้ชายรวีนั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ แล้ววิ่งผลุบข้ามรั้วไปอย่างว่องไว

พอสาเข้ามาเจอสมศักดิ์รออยู่แล้ว
“ผมรอคุณตั้งนาน นึกว่าคุณสาจะไม่มาเสียแล้ว”
“ฉันก็ต้องรอให้ปลอดคนก่อนถึงมาได้ ถ้าหม่อมท่านรู้ว่าฉันทำอะไร มีหวัง” สานึกกลัวจริงๆ “ท่านเอาฉันตายแน่”
สมศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่ถูกชะตา “หม่อมพริ้มเป็นคนร้ายกาจขนาดนั้นเชียวเหรอ”
สาแก้แทน “เวลาดี หม่อมก็ดีใจหาย” แล้วตัดบท “รีบเอาจดหมายของคุณมาเถอะฉันอยู่นานไม่ได้”
สมศักดิ์เอาจดหมายใส่มือสา แล้วจับมือไว้
“ขอบคุณมากนะครับ คุณอุษา ถ้าความฝันของผมเป็นจริง ผมจะไม่ลืมพระคุณเลย”
สมศักดิ์ยกมือสาขึ้นจูบ สาค้อนประหลับปะเหลือก กระชากมือเอาจดหมายมา แล้วรีบกลับออกไป

สาเอาจดหมายยัดใส่อกเสื้อ วิ่งกลับมาที่ม้านั่ง
“คุณชายคะ”
สาชะงัก เมื่อเห็นจวนอยู่กับชายรวีอยู่
“เอ็งไปไหนมาอีสา ทำไมทิ้งคุณชายไว้ตรงนี้”
สาไม่ตอบ ชายรวีพูดขึ้น
“สาไปจับผีเสื้อให้ชาย... ไหน สา ผีเสื้อ”
สาอุ้มชายรวีขึ้นมา “สาไล่ไม่ทันค่ะ คุณชาย มันบินหนีไปแล้ว... กลับขึ้นตำหนักนะคะ เดี๋ยวสาจะบดกล้วยให้ทาน”
สาอุ้มชายรวีเดินออกไป ทำเหมือนไม่เห็นจวน จวนมองตามอย่างหมั่นไส้
“หน็อย ไปจับผีเสื้อ...อย่าให้กูจับได้คาหนังคาเขาก็แล้วกัน อีสา”

ค่ำคืนนั้นมือของหญิงโสภาเปิดจดหมายออกอ่าน ราวกับเสียงของสมศักดิ์มาอ่านข้างๆ หู

“ถึง คุณหญิงโสภา
ผมรู้สึกซาบซึ้งที่คุณหญิงกรุณามอบไมตรีมาให้ ผ้าเช็ดหน้าปักรูปหัวใจดวงน้อยผืนนั้นเป็นแรงใจให้ผมกล้าที่จะฝัน .. ฝันที่จะได้พบกับคุณหญิงสักครั้ง
คืนพรุ่งนี้เป็นคืนเพ็ญ ดวงจันทร์บนฟ้าจะส่องแสงนวลใย ผมฝันว่าดวงจันทร์ประจำใจของผม จะเคลื่อนคล้อยลงมาให้กระต่ายได้ชื่นชม ไม่รู้ว่าความฝันของผม จะเป็นจริงได้หรือไม่
ผมจะคอยคำตอบจากคุณหญิงทุกลมหายใจ

จาก กระต่ายผู้ภักดี
สมศักดิ์”

หญิงโสภานั่งอ่านจดหมายจบ หน้าเสีย
“เขาว่ายังไงคะ คุณหญิง ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
“คุณสมศักดิ์เขาว่า เค้าอยากเจอหญิง”
“แล้วคุณหญิงจะออกไปเจอเขาไหมคะ”
“สาก็รู้ ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
หญิงโสภาหน้าเศร้า ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงหม่อมพริ้มดัง
“หญิง แม่เข้าไปได้ไหม”
หญิงโสภาลนลานซ่อนจดหมายไว้ใต้หนังสือเรียน พอดีกับที่หม่อมพริ้มเข้ามา
หม่อมเห็นหญิงโสภาหน้าตาตื่นๆ ก็แปลกใจ “ทำอะไรกันอยู่หรือ”
สารีบบอกแทน “ไม่ได้ทำอะไรค่ะ”
“ข้าไม่ได้ถามเอ็ง” หม่อมพริ้มหันไปหาหญิงโสภา “แม่มาบอกหญิงให้เตรียมตัวไว้ คืนพรุ่งนี้ แม่จะพาไปดูโขน”
สาฟังตอนแรก นึกอยากไปพึมพำขึ้นมา
“ไปดูโขน” แล้วนึกอะไรได้ ส่งเสียงดังอย่างลืมตัว “คืนพรุ่งนี้เหรอคะ”
“เออ คืนพรุ่งนี้ เอ๊ะ นี่เอ็งจะเอะอะมะเทิ่งทำไม”
“ไม่มีอะไรค่ะ หม่อม แค่ดีใจ ที่...หม่อมจะไปดูโขน”
สามองหน้าหญิงโสภา ทำขยิบตาส่งสัญญาณ หญิงโสภารีบบอก
“แต่คืนพรุ่งนี้ หญิงไปไม่ได้ค่ะ หม่อมแม่ พอดี... หญิง เอ่อ... หญิง...” คุณหญิงนึกอะไรไม่ออก หันไปเห็นหนังสือบนโต๊ะ “หญิงต้องอ่านหนังสือสอบ”
หม่อมพริ้มเลยพาลมองไปที่หนังสือบนโต๊ะ ซึ่งบังเอิญมีขอบซองจดหมายสีชมพูแลบออกมา
สากับหญิงโสภาก็เห็น สองคนตาค้าง ลุ้น หายใจไม่ทั่วท้อง
“สอบรึ... เมื่อไหร่”
หญิงโสภาหลบตา “สัปดาห์หน้าค่ะ”
“น่าเสียดายจริง...แต่ยังไงเรื่องเรียนก็ต้องมาก่อน ท่านผู้ใหญ่หลายคนก็ถามถึงหญิง แม่จะบอกท่านว่าหญิงไม่ว่างก็แล้วกัน”

หม่อมพริ้มทำหน้าเสียดาย สาแอบมองหญิงโสภาถอนใจโล่ง ยิ้มพลางหลิ่วตาให้กัน

เย็นวันต่อมา เจิมในชุดสวยเป็นพิเศษ ใส่รองเท้าคัทชูหุ้มส้น เดินยักแย่ยักยันแบบคนไม่เคยใส่รองเท้าออกมาจากเรือนมีหวนช่วยประคอง จวนที่รอดูอยู่โห่ฮา
“แม่เจ้าโว้ย พี่เจิม เปิ้ดสะก้าดน่าดู” พลางเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ล้อ “จุ๊ๆๆ เดาะใส่เกือกหนังกับเขาซะด้วยนึกว่าสาวๆ เลยนะนี่”
“ไปออกงานกับหม่อมทั้งที ก็ต้องแต่งให้มันดีหน่อยสิวะ”เจิมกลุ้มใจ “เฮ้อ แต่ไอ้เกือกหนังนี่ข้าไม่ใส่ได้ไหมวะ นังหวน ถ้าหกขะล้มขึ้นมาล่ะขายหน้าหม่อมท่านแย่”
“ทนหน่อยน่ะ ป้า จะได้สวยๆ” หวนว่า

“นั่นสิ พี่เจิม สวยขนาดนี้ อาจจะโชคดี ได้ผัวติดมือกลับมาก็ได้นะพี่” จวนปากดีใส่
“แม่มึงน่ะซี อีจวน อีปากปลาร้าพูดจาไม่พ้นเรื่องสัปดี้สัปดน มานี่ มาให้กูตบปากให้หายเหม็นซักทีเถอะ”
เจิมไล่ตี จวนหนี เจิมสะดุดรองเท้าตัวเอง เซจะล้ม หวนประคองไว้ เจิมได้แต่ตะโกนด่าตามหลังไป

ที่ด้านหน้าตึกตำหนักใหญ่ หม่อมพริ้มแต่งตัวสวยสง่า ใส่เครื่องประดับเต็มยศเดินขึ้นรถเจิมนั่งด้านหน้าข้างชิด
ส่วนด้านในตึกสามายืนแอบดู เห็นรถแล่นออกไป สาผลุบออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้น

สาเดินจูงมือหญิงโสภาที่แต่งตัวสวยเป็นพิเศษลัดเลาะ หลบสายตาคนมาถึงริมรั้ว ที่มีรอยแยกของสังกะสี หญิงโสภาชะงัก ขืนตัวไว้
“หญิงไม่ไปดีกว่าจ้ะ สา”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“ถ้าเขาอยากเจอหญิง ก็ให้เขาเข้ามา...หญิงไม่เข้าไปหรอก กลางค่ำกลางคืน น่าเกลียดตาย”
หญิงโสภาเดินไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ สาตามไป เท้าสะเอวมองอย่างอ่อนใจ
“ให้คุณสมศักดิ์เข้ามาในนี้ แล้วถ้ามีใครเห็นเข้า ก็กลายเป็นว่าคุณหญิงนัดผู้ชายมาหานะคะ”
“แต่หญิงไปหาเค้า มันไม่น่าเกลียดกว่าหรือจ๊ะ”
“ก็ไม่มีใครเห็นนี่คะ สาก็อยู่ด้วย จะไปน่าเกลียดอะไร” สาฉุดแขน “ไปค่ะ คุณหญิง ชักช้าเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า สาเดือดร้อนแน่”
สาออกแรงดันหญิงโสภาไปที่รั้ว

ฟากเจิมนั่งตัวเกร็ง ดมยาดมฟืดๆ หม่อมพริ้มที่นั่งอยู่ด้านหลังถามขึ้น
“เมารถรึ นังเจิม”
เจิมเกรงใจ “มันไม่ชินน่ะเจ้าค่ะ แต่ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
หม่อมพริ้มพูดด้วยเสียงมีเมตตา “ชิดขับช้าหน่อย” แล้วบอกกับเจิม “ข้าก็ลืมไปว่าเอ็งนั่งรถไม่ได้ ความจริง น่าจะให้อีสามันมาดูเป็นเพื่อนข้าแทน มันคงดีใจเนื้อเต้นไป”
เจิมร้อง “โอ๊ย ที่ไหนได้เจ้าคะ บ่าวน่ะบอกมันแล้วเจ้าค่ะ ตอนแรกนึกว่ามันจะอยากมาดูโขนดูละครแต่มันกลับไม่อยากมา มันอ้างว่า มันจะอยู่ดูแลคุณชาย”
หม่อมพริ้มเสียงเข้ม “งั้นรึ”
เจิมได้ยินเสียงหม่อมพริ้ม เอะใจ หันไปมองหน้าหม่อม หม่อมพริ้มสั่งชิด
“ชิด”
“ขอรับ หม่อม”
“กลับวัง”
“หม่อมเจ้าคะ นี่หม่อมคิดว่า...”
“เอ็งเลี้ยงมันมาแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักสันดานอีสา คนอย่างมัน ถึงกับไม่มาดูโขน ข้าว่า คืนนี้มันต้องคิดทำอะไรแน่”

ชิดกลับรถพาหม่อมพริ้มและเจิมกลับไปทางวังทันที หม่อมพริ้มใบหน้าเครียดเคร่ง

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น