ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “พิภพ ธงไชย” ร่วมวิเคราะห์การปฏิรูปการเมือง ทางออกของสังคมไทย ชี้จะปฏิรูปได้ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน เริ่มจากปฏิรูปการเมือง แล้วจะนำไปสู่การปฏิรูประเทศในทุกๆ ด้าน แนะ ปชป.ต้องออกมาขอโทษประชาชน เปลี่ยนแปลงได้ต้องก้าวข้ามการเมืองน้ำเน่า
เวลา 18.00 น. วันนี้ (19 พ.ย.) ที่ห้องประชุมใหญ่ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กลุ่ม ม.อ.รักชาติ จัดเวทีเสวนา เรื่องการปฏิรูปการเมือง ทางออกของสังคมไทย โดย นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้สภาพอากาศอาจจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากในพื้นที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่ก็ยังมีผู้สนใจร่วมรับฟังพอสมควร
โดยผู้ดำเนินรายการเปิดเวทีด้วยการต้อนรับการเข้าสู่ประเทศไทยที่มีผู้นำมีอำนาจมาก แต่มีสติปัญญาน้อย และโยนคำถามให้แก่ นายพิภพ ธงไชย เลยว่าประเทศไทยพร้อมที่จะปฏิรูปการเมืองหรือยัง
นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ในฐานะที่ผมทำงานเอ็นจีโอ ซึ่งงานหลักขององค์เอ็นจีโอ คือ การปฏิรูป คือ การให้ประชาชนตัดสินใจเอง ปรากฏว่าการเมืองที่มีรัฐเป็นใหญ่ ประชาชนเพียงแค่ทำตามนโยบายของรัฐ การทำแผนของรัฐบาลไม่เคยมีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมฝ่ายการเมืองก็ไม่มีนโยบายของตัวเอง ไม่ว่าจะมีการปฏิวัติสักกี่ครั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจก็ยังคงดำเนินไป ซึ่งเดินตามแผนใหญ่ของอเมริกา เอ็นจีโอ จึงเห็นว่ารัฐมีอำนาจมากเกินไป จึงร่วมกันทำงานในการบอกว่า คุณต้องฟังเสียงชาวบ้าน นี่คือการปฏิรูป
ส่วนเรื่องการปฏิรูปการเมืองจำเป็นมาก ซึ่งการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวนี่ก็คือการปฏิรูปอำนาจ เพราะฉะนั้น ทุกคนสามารถทำได้ อย่างเช่นเรื่องการศึกษาที่มีการตั้งโรงเรียนทางเลือกขึ้นมา เพื่อแยกออกมาจากการศึกษาของรัฐ จึงเกิดโฮมสกูลขึ้นมา นี่คือการปฏิรูป ตอนนี้โฮมสกูลเข้าไปอยู่ในกฎหมายแล้ว
เพราะฉะนั้น การปฏิรูปประเทศต้องปฏิรูปหมดทุกเรื่อง อย่างเช่นเรื่อง การเกษตรที่มีการทำเรื่องปุ๋ย หรือที่ เอเอสทีวี ทำเรื่องสุขภาพ นี่ก็คือการปฏิรูป เมื่อ 30 ปีที่แล้วเรื่องสมุนไพรยังไม่เข้าไปอยู่ในโครงการของรัฐ แต่ตอนนี้สามารถทำได้แล้ว ในระดับประเทศมีปัญหาทางการเมือง ที่คอร์รัปชัน การเมืองใช้กฎหมายที่มาจากระบบรัฐสภา ถ้าจะปฏิรูปการเมืองก่อน จะปฏิรูปอย่างอื่นก็จะง่าย จึงมีการพุ่งเป้าไปที่การปฏิรูปการเมืองก่อน ถ้าปฏิรูปใหญ่ได้ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าต้องการปฏิรูปประเทศเราต้องเริ่มจากการที่เราต้องปฏิรูปตัวเราเองก่อน
รธน.40 นี่คือได้มาจากการปฏิรูป ถ้าทักษิณไม่มาในตอนนั้น การปฏิรูปก็คงจะทำได้ แต่นายชวน หลีกภัย ฉวยโอกาสในขณะที่ รธน.40 ยังเขียนไม่เสร็จ คุณชวนบริหารประเทศมา 3 ปี ก่อนที่จะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เลยยังไม่ได้เขียน รธน.40 ให้เสร็จสิ้น ทักษิณเข้ามาพอดีจึงฉีก รธน.เป็นชิ้นๆ เพราะคดีซุกหุ้น และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิด เลยต่อสู้มาในศาลรัฐธรรมนูญ จนศาลรัฐธรรมนูญถูกซื้อ และชนะด้วยคะแนนเฉียดฉิว ทักษิณโกรธ เลยได้มีการแทรกแซงองค์การต่างๆ หมด ในยุคทักษิณมีนโยบายที่ทำลายประเทศชาติ นั่นคือนโยบายประชานิยม ที่ได้สร้างกลไกอิสระขึ้นมาเพื่อควบคุมนักการเมือง
“จากการวิเคราะห์ตามสถานการณ์ตอนนี้ ทักษิณรู้บทเรียน ผู้ชุมนุมก็รู้บทเรียนใครใช้ความรุนแรงจะแพ้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะให้เกิดความรุนแรง ทักษิณบอกว่า กทม.ไม่ใช่สนามรบ แต่ถ้ารบเมื่อไหร่แพ้ แต่เขามีอำนาจใหม่ตามกฎหมาย คือเขาจะย้ายรัฐบาลไปที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย เขารู้ว่าเขาต้องไม่เผชิญหน้า เพราะยังคุมทหารไม่ได้ ถ้าใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ อาจจะเกิดรัฐประหารได้ ประเทศไทยพัฒนามาถึงไม่เอารัฐประหาร ไม่เอา ม.7 แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อการปฏิรูปประเทศต้องมีอำนาจ จึงต้องพึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้พวกคิดที่ปฏิรูปแล้วไม่ยึดอำนาจรัฐ ก็ต้องหวังพึ่งศาล และพรรคการเมือง และสิ่งที่ ปชป.ต้องเปลี่ยนแปลงเพราะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่เบื่อ พรรค ปชป. แล้ว เพราะฉะนั้น ปชป.ต้องออกมาขอโทษแล้วประชาชนจะให้อภัย แล้วต้องบอกว่าจะทำอะไรต่อ”
นายพิภพ กล่าวต่อว่า การเมืองเลวขนาดนี้ นี่คือเหตุผลเพียงพอแล้วที่เราต้องปฏิรูปการเมือง เมื่อพูดถึงนักศึกษาที่ออกมาต่อเคลื่อนไหวในครั้งนี้นั้น ทำให้นึกถึงการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในยุค 14 ต.ค.แต่เราต้องมาดูว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เพราะมีทัศนคติอะไรบ้าง ถึงจะออกมาด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เขากล้าออกมา นี่คือความกล้า แต่เขามาด้วยจิตสำนึกอะไร นี่ถือเป็นหน้าที่ของครูอาจารย์ ยิ่งปัจจุบันมีการเซ็นเซอร์ตำราเรียนของนักเรียน ด้วยการไม่อยากให้เด็กรู้เรื่องอะไรก็เอาออก อยากให้รู้เรื่องอะไรก็ใส่ลงไปในตำราเรียน เมื่อรัฐควบคุมการศึกษา คืออยู่ที่คำสั่งว่ารัฐจะให้เด็กเรียนอะไร หรือไม่เรียนอะไร เราจึงต้องปฏิรูปการศึกษา
“ส่วนเรื่องการปฏิรูปข้าราชการประจำง่ายนิดเดียวแค่ทำให้เล็กลง เพื่อกระจายอำนาจ มันใหญ่เกินไป ระเบียบราชการเยอะเกินไป ต้องเอาออกจากระบบราชการ แต่ข้อเสียคือ พอออกจากนอกระบบก็จะกลายเป็นระบบทุนทันที เอกชนเข้ามาครอบงำทันที เมื่อมีเงิน และอำนาจก็จะทำให้คนเปลี่ยน เพราะฉะนั้นหัวใจของการปฏิรูปคือ ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน รธน.40 หรือ 50 ต้องเปลี่ยนเป็นรัฐบาลให้ประชาชนมีส่วนร่วม”
เส้นทางการปฏิรูปการเมือง มีปัจจัยอะไรบ้างนั้นสิ่งที่สำคัญตอนนี้คือ มันออกมาจากปากนักวิชาการ แต่ยังไม่ออกมาจากปากของประชาชน เราต้องให้ประชาชนมีสำนึกเรื่องนี้ให้มากขึ้น อย่างที่เวทีราชดำเนิน ประเด็นหลักคือ ต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งเขาจะมาถึงการปฏิรูปหรือเปล่า ก็ยังไม่ใช่ ทำไมถึงยังไม่พูด พรรค ปชป.ยังไม่พูด นี่คือปัญหา หรือถ้าหาก ปชป.จะพูดว่าจะปฏิรูปก็ต้องแสดงแผนมาเลยว่าจะทำอย่างไร ผมเลยคิดว่า ทำไม ปชป.ไม่ฉวยโอกาสในการปฏิรูปเพื่อการหาเสียง อย่างนี้จะได้ใจประชาชนมากกว่า เผลอๆ หากพรรคเพื่อไทยออกมาชิงนโยบายปฏิรูปไปก่อน ปชป.ก็ต้องมาตามก้นพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิมอยู่ดี
จึงมีคำถามทิ้งท้ายจากผู้ร่วมฟังเสวนาว่า ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เรียกมวลชน ถ้าประชาชนออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม 1 ล้านคนได้ จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
นายพิภพ ตอบว่า ถ้าประชาชนออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม 1 ล้านคน มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่ต้องอยู่หลายวัน ไม่ใช่มาวันเดียวกลับ แต่การเปลี่ยนแปลงนี่คือ เพราะอำนาจประชาชนมีพลัง จะทำให้ ทักษิณกับยิ่งลักษณ์ ขาดความชอบธรรม แต่ต้องระวังว่าจะเกิดความรุนแรง พลังประชาชนมันเป็นพลังแบบไหน ไม่ใช่ว่าพลังประชาชนจะล้มอำนาจรัฐได้ ส่วนรัฐบาลมีไม้ตายคือ ยุบสภา ถามต่อว่า เราเคลื่อนพลังไปจนถึงจุดเลือกตั้งได้ไหม เราต้องเปลี่ยนถึงการเลือกตั้งด้วย พรรคที่ใหญ่อยู่คือ พรรคเพื่อไทย และ ปชป. แล้ว ปชป.พร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย พลัง 1 ล้านต้องต่อไปจนถึงการเลือกตั้ง ด้วยการให้ทุกคนกลับไปลงพื้นที่จังหวัดใครจังหวัดมัน ไปทำงานกับประชาชน เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว เราก็ต้องร่วมกันต้องปฏิรูปประเทศไทย