อีสา รวีช่วงโชติ ตอนที่ 3
ตอนเย็น สาเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในครัวอย่างเบื่อๆ เห็นพวกบรรดาบ่าวผู้หญิงในครัวมือก็ทำงาน ปากก็คุยกันเสียงลั่น นำโดยพุด
“จริงจริ๊ง เค้าลือกันว่าพระเอกน่ะเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิครูเต็ก เสือสง่าเชียวนะ”
จวนพูดกวนๆ “ก้นกุฏิหรือใต้กุฏิ”
หวนงง “เป็นยังไงจ๊ะ น้า ลูกศิษย์ใต้กุฏิ”
“ก็ลูกศิษย์ที่ไม่เอาไหน เลยถูกถีบตกลงมาใต้กุฏิน่ะสิวะ”
สาลงนั่งร่วมวงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก แต่ไม่มีใครสนใจยังคุยกันต่อ
“น้าจวนไม่รู้อะไร พวกแม่ค้าที่ตลาดเขาว่า พระเอกน่ะสวยอย่างกับเทวดา” พุดว่า
“วุ้ย นังพวกนี้ เห็นว่ารูปงามก็เห่อตามกันไป มันดูแต่หน้า ดูท่ารำเสียที่ไหน” จวนแดกดัน
สาได้ยินเรื่องรำ ก็หูผึ่งสนใจทันที
“นี่พูดถึงใครกันใครรำอะไร”
หวนบอก “ลิเกน่ะ สา ลิเกคณะบุญช่วย โฉมศรีจะมาปิดวิกข้างๆ วัง”
“จริงเหรอพี่หวน” สาคึกคัก ตาลุกวาว “เมื่อไหร่”
จวนที่อยู่หน้าเตา ตะโกนมา “แหม พอได้ยินว่าลิเกจะมา ตาสว่างเชียวนะนังสา”
“เอ๊า...น้าจวน ฉันจะอยากดูลิเกมั่งไม่ได้หรือไง”
“ได้” จวนพูดขำๆ “แค่ไปดูลิเกน่ะไม่เป็นไร แต่อย่าไป “เล่น” ลิเกเข้าก็แล้วกัน เดี๋ยวจะลำบากเหมือนนังสนแม่เอ็ง”
สาลุกพรวด โมโห “นี่ น้า”
เจิมรีบห้าม “พอๆๆๆ พูดกันไปเรื่อยเปื่อย งานการเลยไม่เสร็จซักที นังสา เอ็งไปเก็บตำลึงที่ริมรั้วข้างหลังให้ข้าที จะเอามาทำแกงเลียงให้หม่อมท่านไปซี”
สายังฮึดฮัดใส่จวน เจิมเอาตะกร้ายัดมือ ไล่ให้ไป
สาเดินถือตะกร้ากระฟัดกระเฟียดมาถึงรั้วด้านหลังวังรวีวาร ติดกับเรือนหม่อมนิ่มเก่า สาเด็ดตำลึงไป โมโหไป จนมาถึงรั้วที่มีช่องว่างระหว่างสังกะสี บริเวณกว้างพอให้คนตัวเล็กๆ ผ่านได้ สามองทะลุไป เห็นระเบียงที่ตัวเองเคยซ้อมรำ สามองนิ่งไป คิดถึงความหลัง
ที่ระเบียงในอดีตครานั้น สาซ้อมรำแบบใส่เครื่องเต็มยศแม่ครูกับหม่อมน้อยมองอย่างชื่นชม
หม่อมนิ่มริษยานิดๆ “สานี่มันสวยจริงๆ นะ”
“ยิ่งใส่เครื่องรำยิ่งสวยค่ะคุณพี่... จริงไหมแม่ครู” หม่อมน้อยว่า
“เจ้าค่ะ หม่อม” แม่ครูปลื้ม “รูปร่างหน้าตาทรวดทรงองค์เอวมันเหมาะเจาะไปหมด เหมือนมันเกิดมาเป็นนางรำแท้ๆ ทีเดียว”
หม่อมน้อยบอกกับสา “ตั้งใจเข้านะ อีสา...เชื่อข้าซักวันเอ็งต้องได้ดีเพราะฝีมือรำของเอ็ง”
สาที่กำลังรำอยู่ฟังแล้วยิ้มอย่างภูมิใจ
สาตื่นจากภวังค์ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินมาบนระเบียงแล้วทอดถอนใจ
“นี่ดีแล้วเหรอ เป็นแม่หม้ายผัวตายตั้งแต่ยังสาว ชีวิตอีสามันได้ดีแค่นี้เองหรือ”
ทันใดนั้น สาได้ยินเสียงเหมือนคนเดินในบ้าน ตกใจ
“มีคนอยู่!”
สาขยับตัวจะวิ่งกลับไปทางเดิม แล้วได้ยินเสียงผิวปากอย่างร่าเริง สาชะงัก เสียงผิวปากห่างออกไปทางด้านหลังบ้าน สามองไปทางต้นเสียง ความอยากรู้อยากเห็นพลุ่งพล่าน
สาค่อยๆ ย่องไปทางหลังบ้าน ตรงนั้นเป็นลานเล็กๆ ที่ตั้งโอ่งน้ำใช้อาบ มีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เป็นที่อาบน้ำกลางแจ้ง
สาเห็นด้านข้างของชายหนุ่มรูปร่างสง่า ใส่เสื้อยืดสีขาวมอมแมม กางเกงขายาวม้วนขาขึ้นมาที่หน้าแข้ง กำลังตักน้ำจากโอ่ง
เป็นสมศักดิ์กำลังจะล้างมือล้างแขน ที่เลอะเทอะจากการขนของ แล้วก้มลงเห็นเสื้อขาวของตัวเองมีรอยเปื้อนฝุ่นดำเป็นทาง สมศักดิ์ขัดใจ
สาแอบดู ด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสมศักดิ์ถอดเสื้อออก สาตะลึงมอง
สมศักดิ์เปลือยท่อนบน วักน้ำจากขันล้างเนื้อล้างตัวอย่างสบายใจ หยดน้ำใสๆ เกาะเนื้อตัวที่มีมัดกล้ามสวยงาม กระทบกับแสงแดดยามบ่าย สมศักดิ์ดูหล่อราวกับเทพบุตร
สามองเพลิน แทบลืมหายใจ
สมศักดิ์ล้างตัวเสร็จ แล้วเงยหน้าขึ้นมา เขาพูดยิ้มๆ
“แน่ะ มาแอบดูอะไร”
สาตกใจ นิ่งขึง ไม่กล้าขยับ สมศักดิ์เดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองดูนกที่คาคบใกล้ๆ น้ำเสียงอารมณ์ดี
“ไม่กลัวคนเลยหรือไง เจ้านกน้อย”
สาโล่งอก แล้วหันหลังกลับ ปรากฏว่าไม้กระดานเก่าลั่น เกิดเสียงดัง แอ๊ด สมศักดิ์ชะงัก
“ใครน่ะ”
สาตกใจ วิ่งหนีไม่คิดชีวิต สมศักดิ์วิ่งตาม สาหนีมาถึงรั้ว รีบมุดกลับไปตะกร้าเจ้ากรรมดันไปติดหัวตะปู
สมศักดิ์ตะโกนตามมา “ใครน่ะ หยุดนะ”
สาเห็นสมศักดิ์ใกล้เข้ามา ตัดสินใจทิ้งตะกร้า วิ่งหนีเข้าเขตวังไป สองคนเห็นหน้ากันแวบๆ พอจำได้
สมศักดิ์ตามมาถึงรั้ว เห็นตะกร้าใส่ตำลึงตกอยู่ หยิบขึ้นมาดูแล้วมองไปที่ช่องว่างสังกะสีระหว่างรั้ว
แปลกใจ
“คนจากวังรวีวาร”
สาวิ่งเข้ามาในห้อง ใจเต้นตึ้กตั้กไปหมดเหมือนเด็กแอบขโมยกินขนมแล้วโดนจับได้
“ใครกัน... เขาต้องเห็นเราแน่ๆ เลย... สาเอ๊ย”
เจิมเดินเข้าประตูมา เสียงดัง
“นังสา! เอ็งหนีมามุดหัวอยู่ในนี้ทำไม”
“ป้า” สาตกใจ คิดว่าสมศักดิ์ตามมาเอาเรื่อง “ม..มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“ยังมีหน้ามาถาม เอ็งมานั่งทำอะไรในห้อง.. กะอีแค่ไปเก็บผักเก็บหญ้า ไม่ใช่งานหนักอะไร ทำไมไม่ช่วยเขา... จวนมันรอแล้วรออีก จนรอไม่ไหว”
สาโล่งอก เลยโกหกตามน้ำไป
“ฉันขอโทษจ้ะ ป้า... ก็... ก็มันโมโหน่ะ น้าจวนแกอยากมาว่าถึงแม่ฉันทำไม”
“มันก็พูดถูก ถ้าแม่เอ็งไม่หนีตามลิเกไป ก็คงไม่อายุสั้น” สาฉุนจะลุกหนี “เดี๋ยว นังสา อย่าเพิ่งไป ข้ายังไม่จบเรื่อง” สาชะงัก “หม่อมท่านให้เอ็งขึ้นไปหาที่ตำหนักใหญ่แน่ะ”
สาชักกลัว “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าจ๊ะป้า”
หม่อมพริ้มนั่งสบายๆ อยู่ในห้องสำราญ มีพุดพัดให้ ดูนวลเลี้ยงชายรวี วัย 2 ขวบกว่าแล้ว ส่วนอีกมุม คุณหญิงโสภานั่งถักลูกไม้ริมผ้าเช็ดหน้า หญิงจิ๋มหญิงจ้อยทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะเล็กๆ หม่อมพริ้มมองโสภาอย่างเอ็นดู
“ทำงานส่งครูหรือจ๊ะ หญิงโสภา”
หญิงโสภายิ้มสดใส “ทำเล่นไปอย่างนั้นเองค่ะ หญิงชอบ มันเพลินดี…หญิงว่าจะทำผ้าเช็ดหน้าหลายๆ ผืน ให้หม่อมแม่ แล้วก็ให้หญิงจิ๋มกับหญิงจ้อยด้วย”
หญิงจ้อยบอก “หญิงเอาสีชมพูนะคะ”
“ตัวเกิดวันศุกร์ ทำไมไม่เอาสีฟ้า” หญิงจิ๋มแย้ง จากนั้นสองคนก็เถียงกันไปมา
“ก็หญิงชอบสีชมพู”
“แต่พี่เกิดวันอังคาร พี่จะเอาสีชมพู”
“งั้นก็เอาสีชมพูทั้งสองคน”
“พี่ไม่อยากเหมือนตัว”
“งั้นก็เอาสีฟ้าไป”
หญิงจิ๋มฉุน “เอ๊ะ หญิงจ้อยนี่”
หม่อมพริ้มห้าม “พอ เลิกเถียงกัน ไม่งั้นจะอดทั้งคู่” พอหันไปเห็นสาเมียงมองอยู่ข้างประตู “เอ้า สา มาแล้วก็เข้ามาสิ” หม่อมหันไปบอกหญิงโสภา “หญิงพาน้องๆ ขึ้นข้างบนได้แล้วลูก”
“ค่ะ หม่อมแม่”
สามานั่งพับเพียบตรงหน้าหม่อมพริ้มในห้องเหลือแค่นวล ชายรวี และพุด
“ที่ข้าเรียกเอ็งมา เพราะจะบอกว่าคืนพรุ่งนี้ให้เอ็งกับนังหวนขึ้นมาช่วยเลี้ยงคุณชาย เพราะแม่นวลเขามีธุระ”
“ค่ะ หม่อม”
“เท่านั้นละ”
หม่อมพริ้มพูดจบ สาทำท่าจดๆ จ้องๆ เหมือนอยากจะถามอะไร จนหม่อมพริ้มสงสัย
“เอ็งมีอะไร”
“เอ่อ... คือ... ตอนสาไปเก็บตำลึง เห็นที่เรือนหม่อมนิ่มมีคนมาอยู่แล้ว”
หม่อมพริ้มนึกถึงสมศักดิ์ นึกระแวงขึ้นมาทันที
“เอ็งไปรู้จักมักจี่กับเขาด้วยรึ”
สาหลบตา อึกอัก “ปละเปล่าค่ะ หม่อม” ที่สุดอดไม่ได้ “ว่าแต่เขาเป็นใครหรือคะ”
หม่อมพริ้มดุ “เป็นใครก็ช่างเขาปะไร เกี่ยวอะไรกับเรา” สาจ๋อย “บ้านนั้นไม่ใช่บ้านเราแล้ว คนที่มาอยู่ก็ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ทางที่ดี เอ็งอย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า”
สาจ๋อยมากขึ้น “ค่ะหม่อม”
สาคลานออกไป หม่อมพริ้มมองตามสานวลที่นั่งมองสาอยู่เปรยขึ้น
“สานี่สวยจริงๆ นะคะ หม่อม หน้าก็อ่อน ไม่เหมือนคนมีลูกมีผัวแล้ว”
หม่อมพริ้มรำพึงเบาๆ “นั่นแหละ ที่ฉันเป็นห่วงล่ะ”
หม่อมพริ้มนึกถึงตาวับๆ ของสมศักดิ์ แล้วสังหรณ์ใจบอกไม่ถูก
รุ่งเช้ารถจอดรออยู่หน้าวัง ชิดใช้ผ้าเช็ดรถจนเป็นมันวาว หญิงโสภาแต่งชุดนักเรียนการเรือน หญิงจิ๋มหญิงจ้อยใส่ชุดนักเรียน ทั้งสามเดินลงมาขึ้นรถไปโรงเรียน หญิงจิ๋มหญิงจ้อยขึ้นไปนั่งด้านหลัง
ชิดถาม “ไปกันเลยนะครับ คุณหญิง”
“ประเดี๋ยวจ้ะ นายชิด รอก่อน” หญิงโสภาเรียกไว้
“รอใครคะ พี่หญิง” หญิงจิ๋มงง
“รอสาจ้ะ”
สาแต่งตัวสวยพอประมาณ ชุดจะออกจากบ้าน ถือตะกร้าหวายเดินมา
“สาจะไปโรงเรียนเหรอจ๊ะ” หญิงจ้อยสงสัย
หญิงจิ๋มด่า “โง่จริง หญิงจ้อย สาจะไปโรงเรียนได้ยังไง”
“สาจะไปตลาดแขกค่ะ คุณหญิงจ้อยจะไปซื้อเครื่องเทศ” สามองหญิงโสภาอย่างชื่นชม “คุณหญิงโสภาใจดีให้สาติดรถออกไปด้วยค่ะ”
หญิงโสภาบอกชิดอย่างอ่อนหวาน เกรงใจ “หญิงเห็นว่ามันไกล นายชิดส่งหญิงที่โรงเรียนแล้วช่วยเลยไปส่งสาที่ตลาดด้วยได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ครับ คุณหญิง”
หญิงโสภาเข้าไปนั่งกับน้อง สานั่งด้านหน้า หญิงจิ๋มแอบทำหน้ารังเกียจสา หญิงจ้อยเห็นเลยแลบลิ้นล้อ รถแล่นออกไป
รถแล่นผ่านประตูวังออกไปที่ซอยข้างวัง เป็นทางเล็กๆ ที่ตัดใหม่ ให้ผู้เช่าเดินออกมาจากเรือนเก่าของหม่อมทั้งหลาย สมศักดิ์แต่งตัวชุดไปทำงานเดินออกมาที่ถนนใหญ่
รถแล่นมาช้าๆ สามองออกไปข้างทาง เห็นสมศักดิ์เข้า สมศักดิ์ที่ยืนอยู่ เห็นสา ชะงัก จำได้
สาแกล้งทำเมินเหมือนไม่เห็น ยกมือแตะทรงผม ชูคอเชิดหน้าวางท่าสวยขึ้นมา
สมศักดิ์มองเลยไป เห็นหญิงโสภานั่งหน้าแฉล้มอยู่ด้านหลัง สมศักดิ์ชะงัก แล้วพรายยิ้มกับตัวเองสามองที่กระจกมองข้าง เห็นสมศักดิ์ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองตามรถมาจนสุดสายตาสาแอบยิ้ม ปลื้มปริ่มอยู่ในใจ
ค่ำนั้น เสียงปี่พาทย์จากโรงลิเกเริ่มบรรเลงเรียกคน โรงลิเกสร้างง่ายๆ เปิดวิกตรงลานโล่งกว้างดูร่มรื่น แลเห็นชาวบ้านที่เป็นหญิงชายทุกเพศทุกวัยพากันทะยอยเดินมา คนที่มาก่อนก็ปูเสื่อจับจองที่นั่งหน้าโรง ด้านหน้าสุดเป็นหญิงสูงอายุจับกลุ่มกันตำหมากเคี้ยวหมากรออย่างสบายใจเพลงปี่พาทย์บรรเลงไปอย่างครึกครื้น
บนเวทีมีฉากวาด มีตั่งไม้ แทนบัลลังก์ตรงกลางเวที แล้วก็วงปี่พาทย์เท่านั้น ผู้แสดงใส่ชุด ใส่ชฏาแบบละครนอก เรียบๆ ไม่มีขนนกเสียบหัว ตัวแสดงเป็นชายล้วน ไม่มีผู้หญิง ใช้ผู้ชายรูปร่างเล็กหน้าสวยแสดงเป็นนางเอก
ส่วนที่ห้องเด็กในตำหนักใหญ่ สากับหวนมาเล่นกับชายรวี ก่อนเข้านอน
“จับปูดำ ขยำปูนา เอ้า จับปูดำ ขยำปูนา”
ชายรวีทำตามอย่างน่ารัก หวนหัวเราะ
“เก่งมากค่ะคุณชายจับปูได้แล้วต้องยอมนอนดีๆ นะคะ”
ชายรวีหันไปหาสา ขยำมือ “สา... สาทำ”
สามองชายรวี ทั้งรัก ทั้งขัดใจ
“ดูเอาเถอะ พี่หวน เรียกอยู่ได้ สา... สา”
“เอ้า ก็หม่อมท่านสอนคุณชายมาอย่างนี้เอ็งจะไปโกรธท่านได้ยังไง”
ชายรวีขยำมือ ยิ้ม ชวนเชิญ “สาทำ”
“ค่ะ ทำค่ะ” สาทำ ท่าทีเบื่อๆ “เอ้า จับปูดำ ขยำปูนา”
สาทำไปแกนๆ แล้วได้ยินเสียงออกแขกจากโรงลิเกดังมา สาชะงักตาวาว
“วันนี้ลิเกมาปิดวิกนี่” สาเงี่ยหูฟังเสียงออกแขก “เล่นเรื่องอะไรนะ พี่หวน”
“เห็นว่าเรื่องอุณรุทหรือไงนี่”
สานิ่งฟังเสียงออกแขกที่ดังมา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ อยากดูสุดๆ
ชายรวีจับมือสา เซ้าซี้ “สาทำ สาทำ”
สาเผลอตัว ดึงมือหนี ชายรวีล้มแผละ หน้าเบ้ จะร้องไห้
หวนตกใจ “นังสา”
สาได้สติ อุ้มชายรวีขึ้นมา “โอ๋ คุณชาย สาขอโทษค่ะ...สาเป่าให้ เพี้ยง ไม่เจ็บนะคะ” แล้วส่งลูกให้หวน “พี่หวน ฝากดูคุณชายก่อนนะ ฉันปวดท้อง จะไปเบา”
สารีบออกไป
ตัวละครสา สมศักดิ์ / คณะลิเก ชาวบ้านคนดู/ หวน
บนเวที ลิเกกำลังดำเนินไปถึงตอนที่อุณรุทจะออกไปตามกวางทองให้นางศรีมาลา มีตัวตลกที่เป็นเสนาเดินตาม
ส่วนที่ด้านล่างเวที ท่ามกลางหมู่คนที่อออยู่ด้านนอก เห็นสาค่อยๆ เมียงมองเข้ามาตื่นตา
บนเวทีอุณรุทตามกวางทอง ร่ายรำอย่างสวยงาม
สามองดูอย่างชื่นชม ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เพื่อหาทางดูให้ถนัดๆ ตาจับจ้องอยู่บนเวที
ส่วนอีกมุมแลเห็นสมศักดิ์ยืนอยู่ในหมู่คน หันมาเห็นสา จำได้ สมศักดิ์มอง
สมศักดิ์ เห็นใบหน้าของสาภายใต้แสงไฟ ดูผุดผ่อง ตาแวววาว ปากมีรอยยิ้มน้อยๆ สวยจับใจ
สมศักดิ์มองตะลึง แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
สาเคลื่อนตัวไปทางหน้าเวที สมศักดิ์เคลื่อนตามจนมายืนอยู่ตรงข้ามกับสา
สาเห็นสมศักดิ์ จำได้ ตกใจ สมศักดิ์ยิ้มให้ สาขวยเขินเสทำเป็นมองขึ้นไปบนเวที แต่แอบยิ้มในหน้า
สมศักดิ์มองสา ติดใจในความสวย
ด้านชายรวีร้องไห้โยเย หวนปลอบ
“โอ๋ๆ คนดีของหวน นอนนะคะคุณชาย นอนนะคะ”
หวนเขย่าให้ชายรวีเงียบ แต่ไม่สำเร็จ
“โอ้ย เป็นอะไรไปเนี่ย ร้องใหญ่เลย” หวนกลุ้ม เขย่าพาเดิน “เงียบนะคะคุณชายเงียบนะคะ ไม่งั้นหวนแย่แน่ๆ”
หม่อมพริ้มเดินเข้ามาหน้าตาตื่น
“ชาย เป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม” หม่อมเข้าไปรับชายรวีมาจากหวน “คุณชายเป็นอะไร นังหวน”
“อยู่ดีๆ ก็ตกใจตื่นขึ้นมา แล้วก็ร้องไห้ค่ะ”
“ฝันร้ายหรือลูก” หม่อมพริ้มปลอบกอดแสนรัก “ขวัญเอ๊ย ขวัญมา ขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัวนะลูกนะ” แล้วนึกได้ ถามหวน “แล้วนี่นังสาไปไหน”
หวนหน้าจ๋อย “สามันขอออกไปเบาค่ะ หม่อม ไปตั้งพักใหญ่แล้ว ยังไม่กลับมาเลย”
หม่อมพริ้มสงสัย แล้วได้ยินเสียงปี่พาทย์ลิเกแว่วมา หม่อมพริ้มนึกสังหรณ์ใจ
บนเวทีลิเกยามนั้น ถึงบทอุณรุทหลับที่ใต้ต้นไทร เทวดาเลยออกมา จะอุ้มไปหานางอุษา
สาดูลิเกไปพลาง ชม้อยชม้ายตาไปพลาง สมศักดิ์เดินจนใกล้สา
“คุณครับ”
สามองเมิน ทำไม่รู้ไม่ชี้ แอบอมยิ้ม
“คุณครับ”
สมศักดิ์กำลังจะเอ่ยปากพูดต่อ ทันใดนั้น ก็มีชายคนหนึ่งท่าทางเมาๆ วิ่งขึ้นไปบนเวที กระชากคอพระเอก
“ไอ้พระเอก มึงเอาเมียกูไปไว้ไหน”
สา สมศักดิ์ และคนดูแตกตื่นตกใจ
พระเอกลิเกตกใจ “อะไรกัน เมียพี่เป็นใคร ฉันไม่รู้เรื่อง”
“ปากแข็งเหรอ นี่แน่ะ”
ชายขี้เมาต่อยพระเอกกระเด็น พระเอกลุกขึ้นสู้ ทั้งของกระเด็นลงมาที่หน้าเวที
“เฮ้ย บอกไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้เรื่องสิวะ”
“มึงบอกกับไอ้นี่แล้วกัน”
ชายขี้เมาชักมีดด้ามยาวออกมาจากเอว ไล่ฟัน
คนดูสาวแก่แม่ม่ายร้องกรี๊ด เกิดการวิ่งหนีกัน แตกตื่น วุ่นวาย
หญิง 1ตะโกน “คนจะฆ่ากันเจ้าข้าเอ๊ย”
คนพากันวิ่งชนกันอลหม่าน
“คุณครับ ระวัง”
สมศักดิ์บอกไม่ทันขาดคำ สาโดนกระแทกกระเด็นล้มสมศักดิ์โดนชนเซไปอีกทาง คนวิ่งกรูเกรียวผ่านไป สายันตัวลุกขึ้น เห็นสมศักดิ์อยู่ในหมู่คน สามองตาม เกือบจะร้องเรียก
แต่หวนเรียกขึ้นก่อน “สา”
หวนเข้ามาจากข้างหลัง กระชากแขนสา
สาตกใจ “พี่หวน มายังไง”
“กลับเดี๋ยวนี้ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
หม่อมพริ้มด่าว่าสาอย่างรุนแรง
“เอ็งนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ อีสา ได้ยินเสียงปี่เสียงกลองถึงกับทนไม่ไหว ต้องวิ่งแร่ออกไป ขนาดข้าให้เอ็งมาเลี้ยง...” หม่อมจะพูดว่าลูก แล้วยั้งไว้ “คุณชาย เอ็งยังกล้าทิ้งไปได้”
“สาไม่ได้ทิ้งนะคะ หม่อม แค่จะแวะไปดูหน่อยเดียว” สาเถียง
หม่อมเยาะ “น้ำหน้าอย่างเอ็ง ถ้านังหวนไม่ไปตาม คงจะกลับตอนสว่างละไม่ว่า”
สาจะเถียง “แต่สา...”
เจิมเสียงดัง “นังสา เงียบ! อย่ามาเถียงคำไม่ตกฟาก”
หม่อมพริ้มมองสาอย่างผิดหวัง “จากนี้ไป เอ็งไม่ต้องมาเลี้ยงคุณชายอีก ข้าไม่ไว้ใจคนอย่างเอ็ง ให้มาเลี้ยงลูกข้า”
หม่อมพริ้มพูดเสียงเฉียบขาด สาหน้าเสีย เจ็บแปลบในใจ
หม่อมพริ้มเดินเข้ามาในห้องนอน นั่งสงบอารมณ์ที่เตียง เจิมตามเข้ามา หม่อมพริ้มบ่นให้ฟัง
“ดูทีรึ นังเจิม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น นังสามันผิดแม่มันที่ไหน”
“บ่าวก็อบรมมันมาตลอด” เจิมถอนใจ “จะว่าไป เมื่อก่อนมันก็ไม่เคยกล้าขนาดนี้”
“อีสามันไม่ใช่เด็กสาวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นังเจิม... ของมันเคยกินจนรู้รสมัน จะอดใจไหวหรือ...” หม่อมพูดจริงจัง “เอ็งจับตาดูมันเอาไว้เถอะ นังเจิม วันสองวันมานี่ ข้าเห็นหูตามันแวววาวพิลึก”
เจิมใจหาย “หม่อมคิดว่ามันจะมี” เจิมไม่อยากพูด ไม่อยากคิด “ไม่หรอกเจ้าค่ะนังสามันไม่น่ากล้าทำขนาดนั้น ยังไงเสีย มันก็เป็นแม่ของคุณชาย”
หม่อมพริ้มส่ายหน้าไม่เห็นด้วย กังวล “จริงๆ นะ นังเจิม ข้าอดคิดไม่ได้ ว่าอีสามันเป็นกาลกิณีกับรวีวาร... มันเกิดมา ลูกชายข้าก็ตาย... ท่านชายก็สิ้นเพราะน้ำมือมัน ข้าถึงไม่อยากให้มันเป็นแม่ของชายรวี เพราะข้ากลัว... กลัวว่าซักวันนิสัยชั่วๆ ของมันจะทำลายอนาคตของชายรวี”
หม่อมพริ้มพูดหนักแน่นจริงจัง เจิมฟังแล้วขนลุก ราวกับคำพยากรณ์นั้นกำลังจะเป็นจริง
รุ่งเช้า หญิงโสภาแต่งชุดนักเรียนการเรือนนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง มีสาเป็นผู้ช่วยทำผมให้ สาแต่งตัวสวย หน้าตาก็สดใสเปล่งปลั่งอย่างประหลาด หญิงโสภามองเงาสาในกระจกอมยิ้ม
“วันนี้สาทำผมให้หญิงสวยกว่าทุกวัน”
สาอารมณ์ดี “คุณหญิงสวยอยู่แล้วค่ะ ทำยังไงก็สวย”
“แต่วันนี้สวยกว่าทุกวันจริงๆ ค่ะ” คุณหญิงหันมา อมยิ้ม มองสา “สาเองก็เหมือนกันวันนี้แต่งตัวสวย หน้าตาก็สดใสเปล่งปลั่ง สาต้องมีเรื่องอะไรดีๆ แน่เล”
สาหัวเราะคิกเบาๆ “ที่ไหนได้คะ เมื่อวานสาหนีไปดูลิเก โดนหม่อมเทศนาไปเสียตั้งหลายกัณฑ์”
“จริงเหรอจ๊ะ แล้วเป็นยังไงมั่ง ลิเกเรื่องอะไร สนุกไหม”
สาเล่าใบหน้ายิ้มแย้ม “เรื่องอุณรุทค่ะ เล่นไปได้หน่อยนึง เทวดายังไม่ทันได้อุ้มสมเลย ก็มีเรื่องให้วงแตกไปเสียก่อน” สาเล่าขำๆ “นางอุษาเลยอดมีคู่”
หญิงโสภามองสาจริงจัง “แต่หญิงว่าลิเกเมื่อคืนต้องสนุกมาก เพราะแค่เล่า สายังยิ้มไม่หุบเลย.. อย่างกับเป็นนางอุษาเสียเองก็ไม่ปาน” คุณหญิงล้อ “แน่ะ ดูสิ เห็นไหม ยิ้มใหญ่เลย”
สาหัวเราะคิก “คุณหญิงนี่ มาล้อสา” สาจับไหล่หญิงโสภา “นั่งนิ่งๆ ค่ะ สาจะติดโบให้ เดี๋ยวคุณหญิงไปโรงเรียนสาย หม่อมจะมาโทษสาอีก”
สองสาวหยอกล้อกันอย่างน่ารัก สาดูมีความสุขจริงๆ
ฟากหญิงจิ๋มวิ่งลงมาหน้าตึก ถือผ้าเช็ดหน้าในมือ มีหญิงจ้อยวิ่งตามมา ทะเลาะกันตามเคย
“คนขี้โกง เอาของหญิงคืนมานะ”
“ของตัวที่ไหน สีชมพูนี่ของเรา”
“แต่หญิงจองก่อน”
หญิงจิ๋มกระโดดขึ้นรถ ล็อกประตู แลบลิ้นล้อเลียน หญิงจ้อยทุบกระจก
“พี่หญิงจิ๋มขี้โกงหญิงจะฟ้องหม่อมแม่” หญิงจ้อยสั่งชิด “นายชิด เปิดประตูรถให้หน่อย”
หญิงโสภาเดินลงมาพอดี
“เอะอะโวยวายอะไรกันจ๊ะ หญิงจ้อย”
ชิดบอกขำๆ “แย่งผ้าเช็ดหน้ากับคุณหญิงจิ๋มครับ”
หญิงโสภาตัดปัญหา “โถ เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวพี่ทำให้ใหม่ ปักชื่อให้ด้วยเอ้ารับรองว่าสวยกว่าผืนนั้นอีก”
“จริงนะคะ” หญิงจ้อยถาม
“จริงสิคะ... ไป ไปโรงเรียนกันได้แล้ว”
ชิดเปิดประตูให้หญิงจ้อยหญิงโสภาขึ้นไปนั่งรถแล่นออกไป
ที่ปากทางสมศักดิ์แต่งตัวหล่อ ใส่หมวกโก้กว่าทุกวัน เดินออกมายืนคอยที่จุดเดิม มองไปทางที่รถจะมา
รถวิ่งมาช้าๆ บนถนน ผ่านจุดที่สมศักดิ์ยืน สมศักดิ์มองไปในรถ หญิงโสภามองออกมาพอดี สมศักดิ์เลยยิ้มให้ หญิงโสภาตกใจ แต่เก็บอาการทำเมินไป
หญิงจิ๋มแกล้งเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาทำเป็นผ้าคาดผมยั่วหญิงจ้อยเล่น หญิงจ้อยเอื้อมไปหมุนกระจกรถฝั่งที่หญิงจิ๋มนั่งลง ลมตีเข้ามาอย่างแรง ผ้าเช็ดหน้าที่แปะอยู่บนหัวหญิงจิ๋มปลิวออกไปนอกรถ
“ว้าย”
“หญิงจ้อย ทำอะไรน่ะ”
หญิงจ้อยหัวเราะชอบใจ
“เด็กบ้า มันแกล้งหญิง” หญิงจิ๋มกรี๊ด “ชิด หยุดรถเดี๋ยวนี้หยุด หญิงจะเก็บผ้าเช็ดหน้า”
รถหยุดลง หญิงโสภาดุน้อง
“แกล้งกันแบบนี้ไม่เข้าท่าเลย เดี๋ยวเถอะ พี่จะฟ้องหม่อมแม่”
หญิงโสภาเปิดประตูลงจากรถ ชิดตามลงมา พอหญิงโสภาหันไป ก็เห็นสมศักดิ์ยืนถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ที่ถนน สวมหมวกหมิ่นๆ หรุบลง มาดเท่สุดๆ หญิงโสภาชะงักหันไปบอกนายชิด
“นายชิดไปเอาผ้าเช็ดหน้ามาหน่อยจ้ะ”
ชิดเดินไป หญิงโสภามองตามไป เห็นชิดไปหาสมศักดิ์ สมศักดิ์ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ชิด แต่ตายังมองมาที่หล่อน ยิ้มๆ
หญิงโสภารู้สึกหวั่นไหว
ชิดเดินกลับมา สมศักดิ์ยังยืนอยู่ที่เดิมตามองเปิดหมวกโค้งให้
หญิงโสภาเขินอายสุดๆ หันหน้าเดินหนีขึ้นรถ
ขณะรถแล่นไปตามทาง หญิงโสภานั่งนิ่ง แต่แก้มเป็นสีชมพูซ่านไปหมด หญิงจิ๋มกะหญิงจ้อยสงสัย หญิงจิ๋มเป็นคนถาม
“คนนั้นใครคะพี่หญิงโสภา”
หญิงโสภาทำไม่รู้ไม่ชี้ “ใครที่ไหนคะ”
หญิงจิ๋มหันไปมองบ้าง “ผู้ชายคนนั้นไงคะ...ที่เก็บผ้าเช็ดหน้าให้เรา”
“พี่ไม่เคยเห็นเขา จะไปทราบได้ยังไงคะ”
ชิดหันมาตอบ
“เขาอยู่ข้างวังเรานี่เองครับ คุณหญิง มาเช่าอยู่ที่เรือนเก่าของหม่อมนิ่ม”
หญิงโสภาดีใจที่ได้รู้ แต่เก็บอาการไว้ หญิงจ้อยพูดขึ้นซื่อๆ ไม่คิดอะไร
“อยู่บ้านติดกับเรานี่เอง มิน่า เมื่อวานหญิงก็เห็นเขายืนตรงนี้ ยืนมองดูรถเราอยู่ตั้งนาน”
หญิงโสภาหันหน้าออกนอกรถ ทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่แอบเหลือบออกไปที่ถนนด้านหลัง เห็นสมศักดิ์ยังยืนยิ้ม มองตามรถมา
เย็นนั้นตรงทางเดินไปโรงครัว สาเดินฮัมเพลงหนุงหนิงในลำคอ อารมณ์ดี ส่วนที่ครัวจวนล้งเล้งบ่นบ้าเพราะเหนื่อย
“ก็ช่วยกันหน่อยได้ไหมเล่า ข้าไม่ได้มีสิบกรน่ะเว้ย ทั้งคาวทั้งหวานยังไม่ได้ทำอีกตั้งหลายอย่าง”
หวนอ่อนใจ “ฉันก็ช่วยอยู่นี่ น้าจะเอาอะไรก็ว่ามาซี บ่นอยู่นั่น”
“เอ็งไปเก็บยอดผักที่ริมรั้วมาหน่อย อะไรอ่อนๆ น่ากินก็เอามาข้าจะเอามาแนมกับน้ำพริกให้หม่อมท่าน”
สาเดินนวยนาดเข้ามาพอดี หวนหาไปบ่นไป
“ ตะกร้ามันอยู่ไหนล่ะ” หันไปเห็นสาพอดี “นังสา เอ็งเป็นคนเอาตะกร้าไปเก็บตำลึงเมื่อวันก่อน แล้วเอาไปไว้ที่ไหน”
สาเพิ่งนึกได้ว่าทำตกไว้ที่บ้านสมศักดิ์
“ตายจริง”
“ใครตาย”
จวนส่งเสียงแว้ดมา
“เอ้า จะยุรยาตรวาดกรไปเมื่อไหร่หะ นังหวน... ไม่มีตะกร้าก็เอามือกำ หรือเอาปากคาบมาก็ได้ เรื่องมากนัก”
“จ้ะ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” หวนหันไปคว้ากระจาด พูดไปด้วย “ฉันเอากระจาดไปใส่ก็ได้”
สาสบโอกาสรีบบอกหวน
“ไม่ต้องหรอกพี่หวน ตะกร้าอยู่ที่ฉัน ฉันไปเก็บให้”
สาวิ่งจู๊ดออกไปเลย หวนงง ถือกระจาดเก้อ
มือสาเก็บตำลึงริมรั้วมั่วๆ แทบไม่ได้ดูว่ายอดอ่อนหรือแก่ เพราะมัวแต่ชะเง้อชะแง้ข้ามรั้วไปที่บ้านสมศักดิ์ สักครู่สาเห็นสมศักดิ์เดินเข้าบ้าน กลับมาจากทำงาน สายิ้มดีใจ แล้วส่งเสียงขึ้นมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ต๊าย ยอดอ่อนดีจัง”
สมศักดิ์หันไปมอง สาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นสมศักดิ์ แต่กรีดนิ้วเด็ดตำลึงด้วยท่วงท่าสวยสุดชีวิต
สมศักดิ์มองๆ อมยิ้มแบบรู้ทัน แล้วเดินหายไป
สาวาดท่าเก็บตำลึงไป แอบมองด้วยหางตา เห็นสมศักดิ์หายไปแล้ว สาแปลกใจ
“อ้าว”
สาเก้อ เซ็ง พอจะหันหลังกลับ ก็มีเสียงเรียก
“คุณ”
สาหันไปดู เห็นสมศักดิ์โผล่หน้าขึ้นมาจากรั้วสาดีใจแต่ก็ตกใจ ทำหน้าไม่ถูก
“คุณทำตะกร้าตกเอาไว้เมื่อวันก่อน ผมเก็บเอาไว้ให้”
“เอ่อ... ค่ะ”
“คุณเข้ามาเอาได้ไหมครับ ช่องที่รั้วมันเล็ก ผมเอาออกไปให้คุณไม่ได้” เห็นสาลังเล “นะครับ”
สมศักดิ์ผลุบลงไป สาลังเล กลัวๆ อยากๆ เอาไงดี
สานั่งลงที่ม้านั่งท่าทางเรียบร้อยเอียงอาย สมศักดิ์ส่งตะกร้าคืนให้
“ชอบทานตำลึงเหรอครับ”
“ค่ะ” สาเอาตำลึงที่กำในมือใส่ตะกร้า
“คุณอยู่ที่วังรวีวารเป็นอะไรกับหม่อมท่านครับ”
“เป็น...เอ่อ” สามองหน้าสมศักดิ์ ชั่งใจ แล้วตัดสินใจว่าจะตอบให้ดีเกินจริง “แม่ฉันเป็นข้าหลวงของท่านน่ะค่ะ แม่ตายตอนคลอดดิฉันหม่อมท่านก็เลยเป็นคนเลี้ยงฉันมาแต่เกิด”
“อ้อ เหมือนลูกบุญธรรมน่ะเหรอครับ”
“ก็... ค่ะคล้ายๆ อย่างนั้น”
“เด็กสามคนที่ผมเห็นในรถวันนั้น เป็นลูกสาวของหม่อมเหรอครับ”
“ค่ะ” สาชักสนิทสนม อยากคุย “หม่อมท่านมีลูกห้าคนค่ะลูกสาวทั้งนั้นออกเรือนไปแล้วสองคนอีกสามคนยังเรียนหนังสืออยู่”
สมศักดิ์ยิ้มหวาน หว่านเสน่ห์ใส่สาไปหวังตีสนิท
“คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผม... สมศักดิ์ครับ”
“ค่ะ”
“แล้วคุณล่ะครับ ชื่ออะไร”
“ชื่อสาค่ะ”
“สา” สมศักดิ์พูดเสียงหวาน “เหมือนอุษาของพระอุณรุทน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ ชื่ออุษา” สาโม้ “หม่อมตั้งให้น่ะค่ะ”
“รูปก็งามนามก็เพราะ... ผมดีใจนะครับที่ได้รู้จักกับคุณอุษา”
สมศักดิ์หยอด สาเขินม้วนต้วน ทันใดนั้นเสียงหวนก็ดังแว่วมา
“สา นังสา”
สาสะดุ้ง “ฉันต้องกลับแล้วค่ะ”
พลางคว้าตะกร้าจะวิ่ง สมศักดิ์คว้าหูตะกร้าไว้ แต่มือทับกันพอดี
“เดี๋ยวครับ... หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีกนะครับคุณอุษา .. ผมจะคอย”
สมศักดิ์บีบมือสาเหมือนไม่ตั้งใจ สาดึงมือออก แต่ยิ้มตาพราวเป็นประกาย
สามุดรั้วบ้านสมศักดิ์ออกมาหวนเห็นเข้า ตกใจ
“นังสา” หวนมอง แต่ไม่เห็นสมศักดิ์ “เอ็งไปทำอะไรในนั้น”
“ก็เก็บตำลึงไง” หวนมอง สงสัย “ยอดอ่อนๆ มันหายไปไหนหมดไม่รู้ ฉันเลยแอบเข้าไปดูฝั่งโน้น”
หวนเชื่อ “ไหนดูสิ”
หวนดึงตะกร้ามาดู ในนั้นมีตำลึงไม่กี่ยอด บางยอดแก่ บางยอดก็เหี่ยว แทบจะหาดีไม่ได้ หวนมองหน้าสางงสุดๆ สาทำไม่รู้ไม่ชี้
ที่ห้องสำราญตำหนักใหญ่ หม่อมพริ้มนั่งเล่านิทานให้หญิงจ้อยฟัง หญิงจิ๋มนั่งทำการบ้าน ส่วนหญิงโสภานั่งอยู่ริมหน้าต่าง เหมือนปักผ้าเช็ดหน้า แต่ก็เหมือนใจลอย
“สุวรรณสามออกไปตักน้ำ หาผลไม้มาเลี้ยงดูพ่อแม่ที่ตาบอด ระหว่างที่เดินไปในป่า บรรดาฝูงสัตว์ก็มาแวดล้อมเป็นเพื่อน ทั้งนี้ เพราะสุวรรณสามเป็นผู้มีเมตตาจิตไม่เคยคิดทำร้ายใคร”
หม่อมพริ้มเล่าด้วยเสียงไพเราะเป็นจังหวะจะโคนน่าฟัง หญิงจ้อยท้าวคางฟังตาแป๋ว หญิงจิ๋มอดไม่ได้ วางดินสอมาฟังด้วย หญิงโสภาทอดสายตามองออกไปที่ท้องฟ้า พระจันทร์ดวงโตสวยเด่น
“วันหนึ่ง พระราชาแห่งเมืองพาราณสีเสด็จออกมาล่าสัตว์ เห็นชายหนุ่มเดินท่ามกลางฝูงสัตว์ ก็แปลกใจว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดา จึงตัดสินใจเอาลูกธนูยิง ออกไป”
หญิงโสภายิ้มบางๆ ภาพสมศักดิ์ที่ยืนเท่อยู่บนถนนแวบเข้ามาในความคิดของสาวน้อย เพลงรักหวานซึ้งผุดขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงเล่านิทานของหม่อมพริ้มค่อยๆ จางไป
ดวงจันทร์ดวงเดียวกันกระจ่างอยู่บนฟ้า ที่นอกชานสาอยู่ในชุดเตรียมเข้านอน นั่งมองมือข้างที่สมศักดิ์จับ เอาขึ้นมาแนบแก้ม ภาพสมศักดิ์พูดเสียงอ่อนหวานผุดขึ้นวาแว้บๆ
“สา .. เหมือนอุษาของพระอุณรุทน่ะหรือครับ”
สายิ้มกับตัวเอง เพิ่งจะรู้จักกับความรักฉันหนุ่มสาวเป็นครั้งแรกในชีวิต
คืนนั้นสมศักดิ์ วินิจ อยู่ที่โรงบิลเลียด หัวไม้คิวแทงลูกบิลเลียดอย่างแรง ลูกพุ่งลงหลุมไปอย่างสวยงามสมศักดิ์เงยหน้าขึ้นมายิ้มอวดๆ วินิจหัวเราะ
“แม่นเป็นจับวางตามเคย” วินิจพูดเล่น “เก่งแบบแกนี่นะ ถ้าไปเล่นพนันเอาตังค์ มีหวังรวย”
“หวังอะไรกับการพนัน ผมไม่เห็นมีใครรวย มีแต่หมดตัวทุกรายไป” สมศักดิ์ว่า
“คนทำงานต๊อกต๋อยอย่างเรา เหมือนเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ถ้าอยากรวยเร็วๆ มันต้องอาศัยทางลัดบ้าง... ว่าแต่ทางแกเถอะ เป็นยังไงบ้าง อุตส่าห์ไปเช่าบ้านอยู่ข้างวังซะขนาดนั้น เมื่อไหร่จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในวังซะที”
“อีกไม่นานหรอกพี่วินิจ... ผมมีทางลัด ที่จะเข้าไปหาลูกสาวของหม่อมแล้ว”
“แม่อุษาหน้าหวานที่แกเล่าให้ฉันฟังน่ะเหรอ” วินิจมองล้อๆ “ฉันนึกว่าแกติดใจเจ้าหล่อนเสียอีก... ตกลงจะใช้แค่เป็นสะพาน”
สมศักดิ์ยิ้มพราย “ทำยังไงได้ เป้าหมายของผมอยู่สูงกว่านั้น... แต่ไม่แน่นะพี่ ถ้าผมได้เข้าไปเป็นเขยของรวีวารจริงๆ ผมอาจจะหาทาง เก็บหล่อนเอาไว้ด้วยก็ได้”
เช้าวันใหม่ หญิงโสภาอยู่ในชุดนักเรียนการเรือน นั่งให้สาทำผมอยู่หน้ากระจก หน้าตาสดใส สาเองก็หน้าตาสดใสไม่แพ้กัน
“เสร็จแล้วค่ะ คุณหญิง”
“ขอบใจจ้ะ สา”
หญิงโสภาหยิบอับใส่แป้งฝุ่นสวยหรูดูมีราคาขึ้นมา บรรจงเอาพัพมาแตะที่แก้มเบาๆ หน้านวลผ่อง
สายืนมอง อมยิ้ม
“แน่ะ วันนี้ทาแป้งด้วย นึกยังไงคะ”
หญิงโสภายิ้มเขิน “แป้งนี่หม่อมแม่ให้หญิงมาตั้งนานแล้ว วันนี้นึกอยากลองใช้ดู” คุณหญิงชวนแก้เขิน “สาลองไหมจ๊ะ”
สาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ลองเอาแป้งมาทาหน้าดู ชอบอกชอบใจ
“ต๊าย แป้งฝรั่งนี่มันเนื้อนิ่มดีจังนะคะ หอมด้วย...ไหนดูสิ เป็นยังไง”
สามองเงาตัวเองในกระจกอย่างพอใจหญิงโสภามองใบหน้าของสาอย่างชื่นชม
“สานี่สวยจริงๆ เลยนะจ๊ะ...ทั้งหวาน ทั้งคม”
สายิ้มชอบใจ “แหม สวยยังไงก็สู้สาวๆ อย่างคุณหญิงไม่ได้หรอกค่ะ”
“สาก็ยังสาวนี่จ๊ะ สาโตกว่าหญิงแค่สามสี่ปีเท่านั้นเองยังไม่แก่ซักหน่อย” หญิงโสภามองหน้าตัวเองเทียบกับสาในกระจก “เทียบกับสา หญิงเหมือนเด็กกะโปโลดีๆ นี่เอง ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย”
สามองตัวเองอย่างพึงพอใจ ในขณะที่โสภาเพิ่งรู้สึกกังวลเรื่องความสวยงาม แบบเด็กสาวรุ่นแรกรัก
ชิดยืนรออยู่ข้างรถ หญิงจิ๋มกับหญิงจ้อยนั่งรออยู่ข้างใน หญิงโสภาเดินออกมา มีสาถือกระเป๋าให้ตามหลัง หญิงจิ๋มเห็นเข้าก็วิ่งลงมาจากรถ ต่อว่าเสียงดัง
“ทำไมช้านักคะ พี่หญิง”
“ขอโทษทีจ้ะ”
“มัวทำอะไรอยู่คะ” หญิงจิ๋มมองหน้าหญิงโสภา เห็นหน้านวลผ่อง “วันนี้หน้าตาแปลกๆ”
สาหัวเราะคิก หญิงโสภาเขินอาย
“เปล่าซะหน่อย ไปจ้ะ ขึ้นรถ”
หญิงโสภาดันหญิงจิ๋มขึ้นรถ ก่อนที่จะตามขึ้นไป หญิงโสภานึกได้ หันมาสั่งสา
“เอ่อ สาจ๊ะ เย็นนี้ หญิงว่าจะร้อยมาลัยหญิงอยากได้...” คุณหญิงเขินๆ “เอ่อดอกมะลิ”
สาไม่ทันคิดอะไร “ค่ะ เดี๋ยวสาจะไปเก็บเอาไว้ให้”
หญิงโสภาไม่แน่ใจว่าสาจะไปเก็บจากไหน แต่ไม่กล้าพูดมาก กลัวคนสงสัย พอดีคุณหญิงจ้อยพูดขึ้นมา
“พี่หญิงโสภาขยันร้อยมาลัยทุกวัน น่าสงสารมะลิบ้านนี้จริงจริ๊ง ออกดอกเท่าไหร่ก็ไม่ทันคนเก็บ”
สานึกอะไรได้ ตาวาว ส่งเสียงใส
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหญิง ถ้าที่วังไม่มี ที่เรือนหม่อมนิ่มต้องมีแน่ค่ะสาจะไปเก็บมาให้ค่ะ”
รถแล่นออกไป สายืนยิ้ม ตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปหาสมศักดิ์
ส่วนในรถหญิงโสภายิ้ม ตาเป็นประกาย
ตกตอนเย็น สาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม หน้านวลผ่อง ถือขันเงินเดินมาริมรั้ว สาแตะทรงผม สำรวจความสวยงามอีกที ก่อนจะมุดรั้วเข้ามา ยืนข้างๆ บ้าน ร้องเรียกเบาๆ
“คุณสมศักดิ์คะ คุณสมศักดิ์”
สมศักดิ์เพิ่งกลับจากทำงาน กำลังเปลี่ยนเสื้อ ก็ชะงัก สาเดินวนไปทางสวน ร้องเรียก
“คุณสมศักดิ์อยู่ไหมคะ”
สมศักดิ์ใส่แค่เสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขายาวเดินมาแอบดูสาเงียบๆ อมยิ้มไม่ขานรับ
สาเข้าใจว่าสมศักดิ์ยังไม่กลับ เซ็งเล็กน้อย เดินเลยไปที่สวนด้านหลัง
สาเดินตรงไปที่กอมะลิกอใหญ่ในสวนดอกไม้ มะลิออกดอกดกพราวขาวไปทั้งต้น สานั่งลง บรรจงเก็บดอกมะลิใส่ขันเงินทื่ถือมา
สมศักดิ์แอบมองสา เห็นว่าสาเผลอตัว สมศักดิ์ย่องเข้ามาข้างหลัง มือข้างหนึ่งปิดตาสา อีกข้างจับข้อมือสาล้อกไว้ข้างหลัง เท่ากับโอบกอดสาไว้กลายๆ
สาตกใจ “ว้าย”
“สา” สมศักดิ์กระซิบข้างหู “จับได้แล้ว!”
สาจำเสียงได้ สะบัดสะบิ้ง
“คุณสมศักดิ์ ปล่อยนะ”
สมศักดิ์กอดไว้อึดใจหนึ่งแล้วค่อยปล่อย สาสะบัดตัวออก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ หน้าแดง ค้อนควัก
“เล่นอะไรบ้าๆ มาจับตัวฉันทำไม”
สมศักดิ์อมยิ้ม แกล้งพูด “ผมจับคนมาขโมยดอกไม้ ไม่นึกว่าจะเป็นคุณอุษา”
สารู้ทันว่าสมศักดิ์แกล้ง กระเง้ากระงอดใส่ “มะลิกอนี้หม่อมท่านปลูกไว้ ฉันเก็บของฉันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของบ้านนะครับ”
สาแกล้งงอน กระแทกขันเงินในมือใส่มือสมศักดิ์ “งั้นก็เอาของคุณคืนไป”
สมศักดิ์จับทั้งขันทั้งมือสาเอาไว้ ยิ้มละลายใจ
“ผมเย้าเล่นน่า คุณอุษา อย่าว่าแต่ดอกมะลิเลย ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ขอแค่คุณอุษาต้องการ ผมก็พร้อมจะทูนหัวให้” สมศักดิ์บีบมือสา มองซึ้งๆ มีความหมาย “ทุกอย่าง...จริงๆ นะครับ”
สาชักมือออก หน้าร้อนผ่าว ใจเต้นโครมครามแทบจะหลุดออกมาจากอก
เจิมหน้านิ่วเดินอาดๆ นำหวนที่อุ้มคุณชายเข้ามาในครัว ชายรวีร้องไห้ฮือๆ หวนอุ้มปลอบไปพลาง
“โอ๋ๆ อย่าร้องนะคะ คุณชาย เดี๋ยวหายนะคะ เดี๋ยวหาย”
จวนเตรียมทำอาหารอยู่ ร้องถาม
“อ้าว คุณชายเป็นอะไร”
เจิมเสียงขุ่น หงุดหงิด “เธอปวดท้อง... เอ็งมีขิงแก่ๆ ไหม จวน เอามาขูดใส่มะนาวกับน้ำผึ้งให้คุณชายหน่อย”
จวนรีบละมือไปหาขิงมาทำยาให้ หวนพาคุณชายรวีไปนั่งมุมแคร่ ปลอบโยน
เจิมมองหา “เห็นนังสาบ้างไหม”
จวนทำไปพูดไป “อ้าว มันไม่ได้อยู่รับใช้หม่อมบนตำหนักใหญ่รึ”
เจิมบอก “ที่ไหนได้ล่ะ หม่อมท่านออกไปทำธุระข้างนอก ยังไม่กลับ” เจิมบ่น “คุณชายเธอปวดท้อง แม่นวลเขาก็บังเอิญเป็นไข้ทับระดูจะดูแลคุณชายก็ไม่ถนัด จะเรียกหาอีสาให้มันมาดูแล ก็ไม่รู้มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
จวนเอาถ้วยตะไลเล็กๆ ใส่ขิงขูดฝอยผสมน้ำผึ้ง น้ำมะนาวมาส่งให้หวน
“เอ้า ให้คุณชายกินซะ เดี๋ยวก็หาย” จวนลงนั่งมอง “เฮ้อ น่าสงสาร คุณชาย... มีแม่ก็เหมือนไม่มี”
เจิมด่า “นังจวน...หุบปาก”
จวนทำปากขมุบขมิบว่าไม่พูดก็ได้ หันไปช่วยหวนป้อนยาคุณชายเจิมถอนใจ แล้วเห็นชิดเดินกลับมาพอดี
“คอแห้งเหลือเกิน ขอน้ำกินซักคำเถอะ”
เจิมถาม “ไอ้ชิดนี่หม่อมกลับมาแล้วรึ”
“จ้ะ ป้า... ป้ารีบขึ้นไปหาเถอะ ท่านถามหาคุณชายอยู่ ว่าใครพาไปไหน”
เจิมลุก “ไป นังหวน พาคุณชายกลับขึ้นตำหนัก” แล้วสั่งจวน “นังจวน ถ้าเห็นอีสา บอกให้มันไปหาข้าด้วย”
“เออ ถ้าเจอนะ ตั้งแต่บ่ายมานี่ ฉันยังไม่เห็นหน้ามันเลย ไม่รู้หายไปไหน”
ชิดที่กินน้ำอยู่ รีบบอก
“สงสัยไปเก็บดอกมะลิละมั้ง.. เมื่อเช้าฉันได้ยิน คุณหญิงเธอสั่งเอาไว้”
เจิมชะงัก เอะใจ
สามุดรั้วกลับเข้ามาพร้อมกับมะลิเต็มขัน หน้ายิ้ม ตาพราวฉ่ำ เดินเหมือนแทบจะลอยได้
เจิมยืนแอบมองดูอยู่ที่หลังพุ่มไม้ เห็นอาการของสาชัดเจน ก็ไม่สบายใจ
สายิ้มหน้าบานเข้ามาในศาลา ส่งขันเงินใส่ดอกมะลิดอกตูมให้หญิงโสภา คุณหญิงมองมะลิในขันราวกับของมีค่า ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถามเหมือนชวนคุย
“แหม ดอกงามดีจัง สาเก็บมามากขนาดนี้” หญิงโสภาแอบเขินนิดหนึ่ง “เจ้าของบ้านเขาไม่ว่าเอาหรือจ๊ะ”
สาอารมณ์ดี “อุ๊ย ไม่ว่าหรอกค่ะ เขาบอกว่าให้ไปเก็บได้บ่อยๆ เลย”
“แล้ว ... เอ่อ เจ้าของบ้านคนใหม่เขาเป็นใครหรือจ๊ะ สา”
สาไม่ได้สนใจอาการขวยเขินของหญิงโสภา มัวแต่คิดถึงสมศักดิ์ เล่าถึงชายที่ตนรักอย่างมีความสุข
เสียงหวานใส
“เขาชื่อสมศักดิ์ค่ะ คุณหญิง”
ฟากหม่อมพริ้มพูดกับเจิม น้ำเสียงไม่ชอบสมศักดิ์อย่างแรง
“ชื่อสมศักดิ์ ทำงานเป็นเสมียน อยู่ที่สำนักงานทรัพย์สินฯ อายุอานามก็รุ่นๆ เดียวกับอีสามันนี่แหละ หน้าตาดี ผิวพรรณดีแต่ท่าทางหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ”
“มาจากที่ไหน ลูกเต้าเหล่าใครเจ้าคะ หม่อม
ส่วนในศาลากลางสวน สาคุยอย่างมีความสุข ฟุ้งฝันไปบ้างตามประสา
“สาก็ไม่ทราบค่ะ ไม่กล้าถาม แต่ดูจากกิริยาท่าทาง การพูดการจา ต้องเป็นลูกผู้ดีมีสกุลแน่ค่ะ”
หญิงโสภาแกล้งถามหยั่งเชิง “แล้วคนอื่นล่ะจ๊ะ ครอบครัวเขาอยู่กันหลายคนไหม”
“อุ๊ย ไม่มีค่ะ คุณหญิง ไม่มีใครคุณสมศักดิ์ที่ว่านี่เขาอยู่ตัวคนเดียวค่ะยังโสดอยู่เลย”
สาเล่าอย่างปลื้มปริ่ม หญิงโสภายิ้มน้อยๆ ในหน้าแบบคนเก็บอาการ แววตาสุกใส
ด้านเจิมมีท่าทางร้อนใจมากเมื่อฟังที่หม่อมพริ้มเล่า
“ยังโสด แถมยังหนุ่มยังแน่น จะปล่อยให้ไปมาหาสู่กันแบบนี้ มันจะไม่งามนะเจ้าคะ หม่อม”
“ผู้หญิงผู้ชายเหมือนน้ำมันกับไฟ ปล่อยให้ใกล้กันไม่ได้หรอก เจิม ยังไงอีสามันก็เคยเป็น” หม่อมพริ้มไม่อยากใช้คำว่าหม่อม “ของท่าน ถ้าเกิดเรื่องอื้อฉาวออกไป มันก็เสื่อมเสียมาถึงรวีวาร” หม่อมหันมาหาเจิม “นังเจิม เอ็งกับข้า เราต้องช่วยกันตัดไฟเสียแต่ต้นลม”
หม่อมพริ้มสั่งเด็ดขาด เจิมพยักหน้ารับ
เช้าวันใหม่ สมศักดิ์นอนหลับอยู่บนเตียงใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงแพร ได้ยินเสียงนกร้อง สมศักดิ์ลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นแดดส่องมาถึงที่นอน ก็ตกใจ รีบออกจากมุ้ง ท่าทีลนลาน
สมศักดิ์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จอย่างลวกๆ วิ่งออกจากบ้านอย่างรีบร้อนมือติดกระดุมเสื้อไปพลาง
เจิมยืนเท้าสะเอวรออยู่ ร้องทัก
“จะรีบร้อนไปไหนรึพ่อ”
สมศักดิ์ชะงัก หันมองเจิมงงๆ ว่าเป็นใคร มายืนในบ้านเขาได้ยังไง ยังไม่ทันถาม เจิมก็พูดขึ้น น้ำเสียงกวนๆ ไม่เป็นมิตร
“วันนี้วันเสาร์ ฉันไม่นึกว่าพ่อจะต้องไปทำงาน”
สมศักดิ์ได้ยินเจิมพูด นึกขึ้นได้ เลิกรีบ ขำตัวเอง
“จริงสิ วันนี้วันเสาร์ โรงเรียนปิดนี่นา... แล้วนี่ป้าเข้ามาได้ยังไงนี่ มาหาใคร”
“พ่อชื่อสมศักดิ์ใช่ไหมล่ะ”
สมศักดิ์ยิ่งแปลกใจ “ป้ามาหาผม”
เจิมมองสมศักดิ์หัวจรดเท้า “รูปร่างหน้าตาผิวพรรณดี มิน่าเล่า...”
สมศักดิ์เดาได้ “ป้ามาจากวังรวีวารใช่ไหม...แล้วป้ารู้จักชื่อผมได้ยังไง คุณอุษาบอกเหรอครับ”
“ไม่ใช่คุณอุษา... หม่อมสาจ้ะพ่อ” เจิมจงใจบอก
สมศักดิ์งง “อะไรนะครับ”
เจิมย้ำชัดถ้อยชัดคำ “พ่อต้องเรียกเขาว่าหม่อมสา สาเขาเป็นหม่อมของท่านชายที่สิ้นไป”
“คุณอุษาเป็นหม่อม... ผม... ผมนึกไม่ถึง”
“เขาเป็นหม่อมคนสุดท้ายรับใช้ท่านอยู่ได้แค่สองปี ท่านก็สิ้นพระชนม์ไป แต่ถึงยังไง เขาก็เรียกได้ว่า” เจิมมองสมศักดิ์ เน้นคำ “มีผัวแล้ว”
สมศักดิ์อึ้ง เจิมยิ้มเยาะ สะใจ
“เขาคงไม่ได้บอกพ่อใช่ไหมล่ะ... ฉันมาเตือนเพราะหวังดีนะ สาน่ะมันไม่ใช่สาวตัวเปล่าเล่าเปลือย ลูกผัวก็มีมาแล้วพ่อเองก็เป็นหนุ่มทั้งแท่งอย่าหลงมากินแตงเถาตายเลย”
สมศักดิ์ยืนนิ่ง นึกไม่ถึงเจิมสาแก่ใจ
สาเดินมาเยี่ยมๆ มองๆ ที่ริมรั้ว เห็นบ้านเช่าปิดเงียบ สาตัดสินใจเดินมุดรั้วเข้าไปด้านใน เดินตรงมาที่หน้าประตูเห็นกุญแจสายยูล็อกอยู่ แปลว่าสมศักดิ์ไม่อยู่บ้าน สาผิดหวัง หน้าเศร้าลงไปถนัด
สากลับมานั่งกับพื้นล้อมวงกินข้าวกับคนอื่นๆเจิมแอบมองเห็นสากินข้าวเบื่อๆ ใจลอยๆ
เจิมหมั่นไส้ พูดขวางๆ “เป็นอะไร นังสา ข้าวปลากินไม่ลง”
“ไม่รู้สิป้า มันเบื่อๆ”
“ไม่สบายรึเปล่า” เจิมเอามือแตะตัวสา ห่วงใย “เอ็งปวดหัวตัวร้อนอะไรมั่งไหม”
สาส่ายหน้า จวนหัวเราะคิกคัก ทำท่าทางส่อไปทางทะลึ่ง
“อาการมันเป็นยังไงวะ นังสา...มันครั่นเนื้อครั่นตัว ตกกลางคืน นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ร้อนนอกร้อนในแบบนี้รึเปล่า”
สาเดาเจตนาของจวนได้ โมโห ไม่ตอบ ชักสีหน้า หวนไม่รู้เรื่อง ถามขึ้นมาซื่อๆ
“โรคอะไรของน้า ร้อนนอกร้อนใน”
“เค้าเรียกโรคอะไรไม่รู้ว่ะนังหวน” จวนหันมาทางสา “ถ้าเป็นมากๆ มันจะคันยิบๆๆๆๆ นั่งไม่ติดนอนไม่ติดอยากจะแล่นออกไปหาคนมาช่วยเกา ใช่ไหมวะ นังสา”
จวนหัวเราะจนตัวงอไปงอมา สาโมโหปรี๊ดขึ้นมา
“ยังไงฉันก็ยังดีกว่าน้า ขึ้นคานหาผัวไม่ได้ คันตรงไหนก็ต้องลุกขึ้นมาเกาเอง”
เจิมกะจวนดุ “นังสา” / “อีสา”
“พูดแบบนี้ มึงมาตบกับกูเลยดีกว่า” จวนว่า
สาไม่กลัว “ก็เอาซี๊”
สากระแทกจานข้าวลงกับพื้นกลางวง ข้าวในจานกระเด็นไปโดนหน้าจวน จวนยิ่งโกรธ
“อีสา มึง”
จวนโถมเข้าใส่สา สาสู้ สองคนตบกันเบาะๆ เจิมกับหวนพยายามเข้าแยก
“เฮ้ย หยุดนะ หยุดทั้งสองคน” เจิมดึงไป ตะโกนไป “กินข้าวหม้อเดียวกัน จะกัดกันไปไหนอีสา อีจวน กูบอกให้หยุด”
จวนฟ้อง “มันสาดข้าวใส่หน้าฉัน”
สาเถียง “ก็น้าจวนด่าฉันก่อน”
“กูบอกให้หยุด” เจิมเหวี่ยงจวนแยกไปอีกทางได้สำเร็จ หอบแฮ่ก ชี้หน้าทั้งสองคน “หยุดเลยนะ ไม่งั้นข้าจะฟ้องหม่อมเอ็งสองคนโดนดีแน่”
สากับจวนหยุดแต่โดยดี ความโกรธหายไปแล้วเหลือแต่ความเหนื่อย ลิ้นห้อย หัวกระเซิงดูไม่ได้ทั้งคู่
ในเวลาต่อมา สานั่งพับเพียบกับพื้นห้องห้องโถง วังรวีวาร หน้าคว่ำ หม่อมพริ้มดุเสียงเข้ม
“เอ็งนี่นะ อีสา เป็นเด็กๆ ข้าจะสั่งเฆี่ยนเสียให้”
สาเถียง “ก็น้าจวนมันมาว่าสาก่อน”
หม่อมพริ้มสวน “หรือที่มันพูดน่ะไม่จริง” สาสะอึก หม่อมพริ้มชี้หน้า “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าลับหลังข้าเอ็งทำตัวยังไง”
สาหน้าบึ้ง น้ำตาเอ่อ พยายามกลั้นความไม่พอใจที่ปะทุขึ้นมา หม่อมพริ้มเสียงอ่อนลง
“เอ็งยังสาว มีเลือดมีเนื้อ มีความต้องการ ข้าเข้าใจ แต่เอ็งก็ต้องข่มใจไว้เอ็งมันคนมีลูกมีผัวแล้ว...”
สาเถียงสวนขึ้นมา “ท่านชายก็สิ้นไปแล้ว คุณชายรวีก็เป็นลูกของหม่อม...” สาน้ำตาเอ่อ “ไหนล่ะคะ ลูกสา ผัวสา อยู่ที่ไหนคะหม่อม”
หม่อมพริ้มอึ้งไป เจิมดุสา
“นังสา”
“ช่างมันเถอะเจิม มันพูดก็ถูกของมัน” หม่อมบอกกับสา “อยู่คนเดียวมากไป เอ็งก็ฟุ้งซ่านเอาอย่างนี้ นับจากวันนี้ไป ข้าอนุญาตให้เอ็งขึ้นมาเลี้ยงชายรวี”
สางง
“พักนี้แม่นวลเขาก็ชักออดๆ แอดๆ ตอนกลางคืนเอ็งมาเลี้ยงชายรวีแทนเขาทีเขาจะได้พักบ้าง”
สายังงงๆ อยู่ “ทุกคืนหรือคะ”
“ก็จนกว่าข้าจะสั่งเป็นอย่างอื่น ... ดีไหมล่ะ เอ็งจะได้ไม่เหงา”
สาอึ้งๆ ไม่ได้ทำหน้าดีใจ แค่งงชีวิต เจิมมองแล้วหมั่นไส้ ด่าซ้ำ
“เอ้า กราบท่านเสียสิอีสา เมื่อก่อนท่านไม่ให้เลี้ยง ก็อยากเลี้ยงนัก ตอนนี้ท่านให้เลี้ยงแล้ว ทำไมไม่กราบขอบคุณท่านเสียล่ะ”
สาได้สติกราบลง หม่อมพริ้มกับเจิมมองหน้าสา ทั้งคู่เห็นชัดว่าใจสาไม่ได้อยู่ที่ชายรวี
บรรยากาศวังรวีวารตอนกลางคืนเงียบสงัด สาไกวเปล ร้องเพลงกล่อมคุณชายรวี เสียงสาไพเราะกังวานสดใส
ชายรวีนอนฟังเพลงอย่างมีความสุข สาร้องเพลงจนจบ เห็นชายรวีหลับสนิทในเปล สาถอนใจ ลุกไปที่หน้าต่าง ยืนมองดวงจันทร์กระจ่างสาส่งสายตาข้ามไปไกลลิบ เห็นหลังคาบ้านเช่าของสมศักดิ์ ท่ามกลางความมือ ยังมีแสงสว่างออกมาจากหน้าต่างวับแวม
“คุณสมศักดิ์กลับมาแล้ว ทำอะไรอยู่นะ จะคิดถึงสาบ้างไหม...สาคิดถึงคุณเหลือเกิน”
สมศักดิ์อยู่ที่โรงบิลเลียดกับวินิจ กำลังแทงลูกบิลเลียดอย่างแรงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวลูกบิลเลียดปลิวหวือกระเด็นตกลงจากโต๊ะ สมศักดิ์โยนไม้คิวลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด
วินิจขำ “เฮ้ย ใจเย็น ไอ้เสือ”
สมศักดิ์เดินไปทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ ยกเครื่องดื่มมาดื่ม แก้เซ็งวินิจตามมาคุยรู้เรื่องสาแล้ว
“คุณอุษาเขาเคยมีผัวมาแล้ว แล้วมันจะเป็นไร แกไม่ได้คิดจะรักใคร่ตบแต่งกับเขาไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่ .. แต่มัน” สมศักดิ์หงุดหงิด “ไม่รู้สิ ของแบบนี้ เขาน่าจะบอกผม”
วินิจมองหน้า “เฮ้ย .. นี่แกชอบคุณอุษาเขาใช่ไหมนี่ สมศักดิ์” สมศักดิ์ไม่ปฏิเสธวินิจขำ “แล้วยังแม่ดอกฟ้าโสภาพรรณนั่นอีกคน นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นจะเด็ดในผู้ชนะสิบทิศหรือไง”
สมศักดิ์หายหงุดหงิด อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เฮ่ย ไม่ถึงสิบ ก็แค่สองเท่านั้น ก็ชอบทั้งสองคน...อยากจะได้ทั้งสองคนไม่ได้หรือยังไง”
สมศักดิ์ยิ้ม ดูเขามั่นใจในตัวเองมาก
อ่านต่อตอนที่ 4