สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 13
ที่ห้องทำงานเผ่าลาภตอนค่ำวันเดียวกัน อัลบั้มรูปเล่มใหญ่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นรูปถ่ายหนุ่มหล่อสองคนในอดีต กัมปนาทเป็นผู้เปิดอัลบั้มนี้ ส่วนด้านหลังแพรวากำลังเปิดตู้หนังสือของบิดาอยู่ กัมปนาทยิ้มพร้อมกับส่งอัลบั้มให้แพรวา
“นี่ไง คุณป๋าน้องแพรตอนหนุ่มๆ...”
แพรวารับอัลบั้มมาดู
“อีกคนนึงใคร รู้มั้ย”
“คุณลุงเผด็จศึก” แพรวาบอก
“ใช่ ดูไม่ออกเลยนะว่าใครหล่อกว่ากัน”
“อาเจ็กหล่อกว่าอยู่แล้ว...คุณป๋าเคยบอก”
แพรวาเปิดอัลบั้มหน้าต่อไปเรื่อยๆ
“นี่มันรูปแต่งงานคุณป๋ากับแม่นี่คะ”
“ไหน...”
กัมปนาทยื่นหน้าเบียดเข้ามาดูด้วย
“นี่ไง เต็มไปหมดเลย”
รูปงานแต่งงานเผ่าลาภ รำไพ หลายๆ รูปถูกเปิดผ่านตาไป ทุกรูปจะมี เผด็จศึกวัยหนุ่ม โอบกอด ยิ้มแสดงความยินดีกับเผ่าลาภและรำไพอย่างสนิทสนม ใกล้ๆ กัน มีสาวต่างชาติ หน้าตาคมกริบ ยืนอยู่ไม่ห่าง
“น้องแพรไม่เคยเห็นอัลบั้มนี้เลยค่ะอาโก ทำไมคุณป๋าเอามาเก็บไว้นี่ก็ไม่รู้”
“คง ไม่อยากให้ใครเห็นมั้ง”
“โธ่ มีรูปอาเจ็กตั้งเยอะแยะ น่าจะเอามาโชว์กันบ้าง...ยิ่งหาดูยากอยู่...แน่ะ มีแหม่มมาเกาะแขนซะด้วย”
“ก็อาเจ็กของเราน่ะหล่อแบบอินเตอร์นี่จ๊ะ”
“ท่าทางคงจะชอบเข้าป่ากันนะอาโก ดูแต่งตัวสิ”
แพรวาชี้ไปที่รูปอีกรูปหนึ่ง ในอัลบั้มเดียวกัน เห็นเป็นรูปหมู่ ชายล้วนๆ ห้า-หกคน ในชุดซาฟารี กลางป่า อาวุธครบมือ ในรูปนั้นมีเผ่าลาภและเผด็จศึกในวัยหนุ่มอยู่ด้วย ถ้าหากสังเกตดีๆ จะมีชายคุ้นตาอยู่ในรูปนี้อีกหนึ่งคน คือ แสงเทพ นั่นเอง
“เฮียย้งนี่ หน้าตาเหมือนนายหรั่งเหมือนกันนะ แต่ตัวใหญ่กว่ามาก”
แพรวายิ้มเล็กๆ
“เสียดาย ช่วงนั้นอาอยู่ฝรั่งเศส ไม่งั้นคงเข้าป่าไปกับเขาด้วยแน่ๆ สนุกจะตาย”
แพรวาเย้า “ผู้ชายเยอะดีใช่มั้ยคะ”
“ยายแพรนี่ รู้ทันซะเรื่อยเชียว”
อาหลานหัวเราะกันพอครึ้มๆ แพรวาปิดอัลบั้มรูป
“เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าธุรกิจที่ทำกันมานานหลายชั่วอายุคนต้องมาล้มพังลงในมือของน้องแพร”
“มันไม่ได้เป็นเพราะน้องแพรหรอก ฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อ...เราลองสู้กันอีกซักตั้งนึง น้องแพรอาจเป็นคนกอบกู้มันขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้”
หรั่งเดินถือแฟ้มเข้ามาในห้องนี้
“ผมได้รายชื่อลูกค้าเก่าที่เมืองจันทน์มาแล้วนะครับ เป็นพ่อค้าพลอยยุคแรกๆ ตั้งแต่สมัยที่
คุณลุงของคุณเริ่มทำเหมืองใหม่ๆ...เราน่าจะลองติดต่อเขาดู”
“เห็นมั้ย มีคนเก่งอยู่ใกล้ตัว กลัวอะไร”
“เอามาจากไหนน่ะ”
“ตู้เอกสาร ในห้องบัญชี...เราน่าจะใช้ความคุ้นเคยในอดีต ขอร้องให้เขาช่วยซื้อพลอยจากเรา...อาจจะขายได้เป็นบางส่วนก็ยังถือว่าดี”
“นายนี่ น่าจะเป็นคนในตระกูลของเราจริงๆ ดูนายจะทำอะไรๆ ให้พวกเรามากกว่าที่พวกเราทำกันเองซะอีก” กัมปนาทว่า
“ผมเป็นลูกจ้างนี่ครับ ผมต้องทำตามที่ให้สัญญาไว้กับนายจ้าง”
“งั้นเชิญนายจ้างกับลูกจ้างอยู่กันตามสบาย อาไปก่อนละน้องแพร ไม่อยากขับรถดึกๆ”
“อ้าว เลขาส่วนตัวของอาโกไปไหนล่ะคะ”
“เขาขอไปเยี่ยมแม่ที่สังขละ 5 วัน เราต้องให้อิสระเขาบ้าง รักษาระยะห่างให้พอดี คือเคล็ดวิธีของการอยู่ร่วมกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ พรุ่งนี้จะแวะไปเยี่ยมป๋าเรานะ…คืนนี้มีนัดดริ้งค์กับเพื่อนเก่า”
แพรวาแซว “นั่นแน่...”
“เพื่อนผู้หญิงจ้ะ ขาแด๊นซ์เลยหละ ไม่ได้เจอกันนาน...ญาติๆ หล่อนมีร้านจิเวลรี่แถวมเหศักดิ์เผื่อจะช่วยอะไรเราได้บ้าง”
กัมปนาทเดินตูดบิดออกไป
“บอกมาซิ นายสัญญากับป๋าฉันไว้ว่าไง”
“สัญญาว่า จะผลักดันคุณให้ขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดให้ได้”
แพรวายิ้มแบบเวทนาตัวเอง
“คุณจะตัดสินใจยังไงครับ เรื่องพ่อค้าที่เมืองจันท์”
แพรวาส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ความจริงก็คือ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ฉันควรจะทำอะไร”
“ถ้างั้นก็ บอกชื่อร้านอาหารที่คุณชื่นชอบ เลือกอาหารจานโปรดของคุณ กินเข้าไปให้เต็มอิ่ม แล้วจะคิดอะไรๆได้ง่ายขึ้น เชื่อผมสิ”
ไม่นานต่อมา ในบรรยากาศสวยงามของร้านอาหารทะเลแห่งนั้น มีผู้คนมากมายที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารของตน แทบทุกคนใช้มือฉีก ปากกัด แทะ อย่างไม่เหนียมอายใดๆ ทั้งสิ้น เสียงดังอึกทึกครึกโครม
ตรงโต๊ะตัวที่สวยเก๋ที่สุด แพรวาและหรั่งนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น ทั้งคู่กำลังใช้สองมือแทนช้อน-ส้อมเช่นกัน
เสียงการสนทนาดังเข้ามา โดยไม่ต้องรอให้กล้องเคลื่อนเข้าไปถึง
“ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคุณป๋าของฉันเนี่ย เป็นยอดนักเก็บตัวยงคนหนึ่ง”
“ยังไงครับ”
“ก็ที่ฉันเข้าไปค้นดูในห้องคุณป๋าวันนี้ไง...ฉันได้เจออะไรที่คาดไม่ถึงเต็มไปหมด”
หรั่งยิ้ม
“อย่าเพิ่งคิดอะไรทะลึ่งๆ ซะก่อนล่ะ...”
“ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย”
“ฉันเดาสายตานายได้ แต่ขอบอกว่า มันโรแมนติกมากต่างหาก”
“เหรอครับ”
“ฮื่อ ฉันได้เจอ รูปถ่ายเก่าๆ ไดอารี่เก่าๆ สมุดโน้ต บันทึกมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของป๋ากับคุณรำไพทั้งนั้นเลย...เอาเฉพาะรูปถ่ายของคุณรำไพนะ โอ้โฮ มีแทบจะทุกรุ่นทุกวัย มากมายหลายอิริยาบถ...นายเชื่อมั้ยล่ะ”
แพรวาพร่ำพูดถึงพ่อของเธออย่างสดชื่นแจ่มใส เธอลืมปัญหาต่างๆไปได้ชั่วขณะดวงตาหรั่งมีประกายยิ้มตอบรับ ปรากฏขึ้น
“เชื่อครับ”
“มิน่า แม่ถึงได้รักคุณป๋ามากขนาดนี้”
“ผู้หญิงจะรักผู้ชายคนที่เก็บรูปและเรื่องราวของเธอไว้มากมาย งั้นเหรอครับ”
“แน่นอน...ผู้หญิงเก้าในสิบคนเป็นอย่างนั้น”
“คุณอยู่ในเก้าคน หรือ ในหนึ่งคนที่เหลือ”
“ไม่รู้... เพราะพี่ตะวันไม่เคยทำอย่างนี้ให้ฉัน”
หรั่งจ้องหน้าแพรวาเต็มๆตา เขาตัดสินใจเอ่ยปากพูดประโยคต่อไปนี้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“ถ้ามีใครซักคนแอบเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณไว้ โดยที่คุณไม่เคยรู้ และมันก็มากไม่แพ้ที่พ่อของคุณทำ คุณจะรู้สึกยังไงกับเขาครับ”
“ไม่บอก”
“ให้ผมเดามั้ย”
“อย่าบอกนะว่าคนนั้นคือนาย”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่มีทาง...เพราะ ถ้านายเริ่มเก็บเรื่องราวของฉันตั้งแต่วันนี้...ก็ต้องรออีกซักยี่สิบปี กว่ามันจะมากพอที่จะทำให้ฉันประทับใจ”
“คุณรอได้มั้ยล่ะครับ”
“บ้า...เพ้อเจ้อ เป็นไปไม่ได้”
แพรวาเปล่งเสียงออกมาเบาๆ คล้ายมีอาการเขินอาย นับเป็นครั้งแรกที่เธอแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าหรั่ง
“อย่างน้อยผมก็ทำสำเร็จอย่างนึงแล้ว”
“อะไร”
“ผมทำให้คุณยิ้มได้...ตั้งแต่พ่อคุณป่วย ผมเพิ่งเห็นรอยยิ้มของคุณเดี๋ยวนี้เอง”
“ฉันก็ยิ้มไปงั้นๆ...ในใจฉันไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย นายไม่รู้เหรอ”
กลางดึกคืนหนึ่ง กว่า 20 ปีมาแล้ว ที่หน้าบ้านพักบนเขาหลังนั้น มีชายลึกลับในชุดดำ คลุมหัวด้วยหมวกไหมพรมดำ สอดตัวเข้ามาใต้ท้องรถจี๊ปคันที่จอดอยู่ มันผูกระเบิดก้อนใหญ่ติดไว้ใต้ท้องรถ ที่ระเบิด มีนาฬิกาแบบเข็ม ติดอยู่ตรงนั้นด้วย
ชายในชุดดำไถลตัวออกไปอย่างว่องไว
ขณะเดียวกันแสงเทพวัยหนุ่ม อยู่ในเต็นท์กลางป่า หันหน้ามายกวิทยุสนาม พูด
“เรียบร้อยใช่มั้ย...เที่ยงคืนพอดีนะ...ดีมาก”
เฮียย้งเดินมาขึ้นรถจี๊ปคันนี้ สาวแหม่มผมทองเดินมาส่ง ต่างกอดจูบล่ำลากันตามปกติ เฮียย้งก้าวขึ้นรถ ขับออกไป ขณะที่แสงเทพ รินเหล้าใส่แก้ว พลางก้มดูนาฬิกาข้อมือ
นาฬิกาเรือนที่อยู่ใต้ท้องรถ เข็มบอกเวลา 23.57 น. รถจี๊ปวิ่งไปบนถนนทางลงจากเขา ในเวลาที่แสงเทพยกเหล้ากรอกปาก
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี รถจี๊ปคันนั้นระเบิดตูม รถที่ไฟลุกท่วมกลิ้งตกลงมาจากหน้าผาสูง
แสงเทพวางหูโทรศัพท์ลง พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างของชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเข้ามาในบ้าน เลือดท่วมร่างชายผู้นั้น เปล่งเสียงครวญครางดังออกมา
“กูยังไม่ตาย...กูยังไม่ตาย”
“เฮ้ย...มึงเป็นใคร...ออกไป...ออกไป”
“กูยังไม่ตาย...กูจะมาเอาชีวิตมึง ไอ้แสงเทพ”
“ไอ้ย้ง...มึงออกไป ออกไป มึงตายแล้ว มึงตายไปนานแล้ว”
“กูไม่ตาย...มึงนั่นแหละกำลังจะตาย...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
แสงเทพตกใจ ขนหัวลุก มันคว้าปืนยิงกราดไปทั่ว กระสุนปืนไม่อาจระคายเคืองเฮียย้งแต่อย่างใด
ร่างของเฮียย้งตรงเข้ามาบีบคอของแสงเทพ
แสงเทพร้องสุดเสียง
“อ๊าก....”
แสงเทพสะดุ้งตื่นจากการเคลิ้มหลับไป เหงื่อท่วมตัว แสงเทพหายใจแรง แววตามีความหวาดกลัวและวิตกกังวลไม่น้อย ที่แท้เขาฝันไป!
อีกมุมหนึ่ง ในบริเวณหลังบ้านแสงเทพ บารมียกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ใบหน้าบารมี มีร่องรอยฟกช้ำบ้าง แววตาของเขาแสดงถึงความปวดร้าวลึกๆ ลูกน้องแสงเทพเดินมาจากด้านหลัง
“นายให้มาตาม…อยากถามเรื่องไอ้หัวโจกที่เมืองกาญจน์”
บารมีนิ่งอึ้ง พยายามนึกหาคำตอบ
แสงเทพก้าวเข้ามาหาบารมี
“เด็กของฉันบอกว่า นายขอลงมือเอง แน่ใจนะว่า จัดการมันได้เรียบร้อย”
บารมีนั่งตรงหน้าแสงเทพอยู่ท่าทีนอบน้อม
“ครับผม”
“ถึงตายมั้ย
“แค่ ไล่มันไปให้พ้นจากพื้นที่ ครับ…มันเป็นคนมาจากถิ่นอื่น”
“งั้นเหรอ”
“ถ้ามันขืนกลับมาอีก ผมจะเก็บมันเอง”
“เอ้า เอาเงินนี่ไปใช้”
แสงเทพควักเงินออกมาส่งให้บารมี
“อยู่กับอั๊วน่ะ อยู่ง่าย...แค่ซื่อตรงกับอั๊ว ทุ่มเททำงานให้อั๊ว ไม่มีลับลมคมใน ก็จะสบายไปทั้งชาติ...แต่ถ้ามีตุกติก แอบเล่นไม่ซื่อกับอั๊ว ผลก็จะเป็นตรงกันข้ามเสมอ จำไว้”
บารมีพยักหน้ารับคำนิ่งๆ ลูกน้องอีกคนเดินเข้ามาหาแสงเทพ
“จดหมายถึงนายครับ…มันเสียบอยู่หน้าประตูบ้าน”
แสงเทพรับมางงๆ เขาเปิดมันออกดูทันที เห็นเป็นรูปหมู่ชาย 5-6 คนในชุดเข้าป่า อาวุธครบมือ มันเป็นรูปเดียวกับที่ แพรวาเห็นในห้องทำงานเผ่าลาภ วงกลมสีแดง ถูกวงรอบชายคนหนึ่งที่เราคุ้นหน้า
รูปชายคนนั้น เราจึงรู้ว่าคือแสงเทพวัยหนุ่ม ข้างๆ วงกลมมีตัวหนังสือ ลายเส้นดุดันเขียนว่า… "คิวต่อไปคือ มึง!"
บารมีลอบมองสังเกตอาการ พบว่าสีหน้าแสงเทพตอนนี้ เครียดจัด
ตรงมุมหนึ่งในโถงกลางบ้านเผ่าลาภ คืนเดียวกัน เผ่าลาภนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้โยกสายตาทอดมองออกไปไกล ด้านหลังเห็นรำไพเดินถือชามแก้วใส ใส่น้ำประพรมน้ำหอม พร้อมด้วยผ้าขนหนูตรงมายังสามี
สายตาเผ่าลาภ ค่อยๆ กลอก เคลื่อนไปด้านข้างๆ ลำตัว มือเผ่าลาภ ค่อยๆ ขยับยกขึ้นช้าๆ เขา พยายามยื่นมันไปยังโต๊ะข้างกาย เป้าหมายคือหนังสือเกี่ยวกับเรื่องดวงดาวบนท้องฟ้าวางอยู่บนโต๊ะนั้น
รำไพมาถึงตัวเผ่าลาภพอดี
“ผ้าเย็นๆ ค่ะ…เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยนะคะ คุณจะได้สดชื่น”
รำไพเริ่มใช้ผ้าขนหนูลูบไล้ตามใบหน้าเผ่าลาภ เธอเห็นสายตาเขม็งเกลียวของเขา
“คุณคะ…คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
เผ่าลาภค่อยๆ ยกหนังสือเล่มนั้นเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้าตัวเอง รำไพพยายามทำความเข้าใจ
ส่วนที่หน้าร้านอาหารทะเลร้านเดิม หรั่งและแพรวาเดินออกจากร้าน ทั้งคู่เดินตรงมาด้านหน้า พนักงานรับรถกำลังนำรถมาจอดให้ เสียงโทรศัพท์มือถือดัง แพรวากดรับสาย เธอเดินพูดไปด้วย
“ฮัลโหล น้องแพรค่ะ…แม่มีอะไรเหรอคะ…ว่าไงนะคะ…”
หรั่งเดินอ้อมมาประจำที่คนขับ เขาเงยหน้าฟังด้วยความอยากรู้
แพรวาหันมาทางหรั่ง “คุณป๋าอยากจะดูดาว”
หรั่งยิ้มน้อยๆ
แพรวาพูดสายต่อ “เดี๋ยวให้หรั่งพาไปก็ได้ค่ะ จะไปรับเดี๋ยวนี้ละค่ะแม่”
แพรวากดยกเลิกสาย เธอเปิดประตูรถด้านหน้าก้าวเข้าไปนั่ง หรั่งเปิดประตูด้านคนขับ แล้วนั่งตามไป
“ไม่นั่งด้านหลังล่ะครับ”
“เบาะหน้ามันเอนนอนได้มากกว่า”
แพรวาปรับเบาะถอยหลัง และเอนให้สบาย เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งรถเคียงคู่กับเขา หรั่งแอบฝันไปไกล
ที่บ้านแสงเทพ เขานั่งมองจดหมายลึกลับฉบับนั้น โทรศัพท์แนบอยู่ที่หู เสียงจากปลายสายเป็นเสียงสัญญาณให้ฝากข้อความไว้ แสงเทพค่อยๆ ฝากข้อความของตนไปกับสายโทรศัพท์
“มีใครบางคน กำลังเล่นตลกกับผมอยู่...แต่ผมไม่ตลกกับมันด้วย...ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันจะต้องรับมือกับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากผม...ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้คนที่เกี่ยวพันอยู่กับผม ไม่ปลอดภัย...ช่วงนี้ถ้าผมหายหน้าไป อย่าโกรธผมเลยนะ คุณดวงใจ”
ส่วนที่ผับหรูดูมีระดับแห่งหนึ่ง วงดนตรีบนเวทีกำลังเล่นเพลงเซ็กซี่ กินใจ เข้ากับบรรยากาศ นักท่องราตรีฐานะดี กระจายกันเต็มพื้นที่บาร์ กัมปนาท นั่งดื่มอยู่แถวๆ เค้าน์เตอร์บาร์ สายตาของกัมปนาทสอดส่ายไปรอบๆประสาเด็กซน มือสาวสวยคู่หนึ่งอ้อมมาจากด้านหลัง ปิดตาของกัมปนาทไว้ เสียงสาวคนนั้นดังเข้ามา
“เหงาเหรอจ๊ะพ่อหนุ่มน้อย ถึงได้มานั่งเดียวดายเพียงลำพังอย่างนี้”
“ถ้าแม่เสือสาวจะเมตตา หาหนุ่มใหญ่มาให้ซักคนสองคน ก็จะหายเหงาเป็นปลิดทิ้งทันที”
สาวคนนั้นพลิกตัวหันหน้ามาหา กัมปนาท เธอคือ ซูซาน ครูสอนเต้นรำ กิ๊กใหม่ของธนูนั่นเอง
“Hello ฮิวอี้...”
“Hello ซูซาน...”
ทั้งคู่กอดกันกลมดิก แลกแก้มกันหอมทีละข้าง
“Darling เป็นไงบ้าง...Happy มั้ยช่วงนี้...มีความสุขดีรึเปล่า”
“ก็...ไม่ค่อยเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ โดนผู้ชายหลอกเหรอ”
“ไม่มีทาง”
“งั้นก็ ขาดแคลนผู้ชาย...ไม่ค่อยมีให้กิน”
“ตรงกันข้ามจ้ะ อิ่มหนำสำราญดีทุกมื้อ...”
“งั้นมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอจ๊ะ ฮิวอี้”
“ธุรกิจน่ะสิ...มันยุ่งเหยิงวุ่นวายน่ะ”
“เข้าใจละ...การค้ามันก็อย่างนี้แหละ มีขาขึ้น ขาลง”
“แต่ของยู ขาไม่เคยลงเลยนะ ขาขึ้นเอา ขึ้นเอา...ขึ้น ตลอด”
ซูซานยิ้มเซ็กซี่ “โดยเฉพาะช่วงนี้” หล่อนกระซิบที่หูกัมปนาท
“ว้าว จริงเหรอซูซาน...”
“ใครลองเจอแบบฉันนะ รับรองขาขึ้นค้างอยู่อย่างนั้น ไม่อยากลงเลยละ”
“แหม อุบเงียบไม่บอกไม่กล่าวเพื่อนเก่ากันเลยนะจ๊ะ”
“ก็บอกอยู่นี่ไง...”
“กลัวเพื่อนขอแบ่งเหรอจ๊ะ...”
“คนนี้ ขอยังไงก็ไม่แบ่งจ้า....เอาละ เข้าเรื่องของเธอดีกว่า ฮิวอี้...จะเอาจิเวลรี่มาขายพี่สาวฉันใช่มั้ยล่ะ”
“รู้ด้วย”
“เขาลือกันทั้งวงการ จนมาถึงหูคนนอกอย่างฉันแน่ะ...เห็นพี่สาวฉันบอกว่า...งานนี้ M.S. ของยูเจอเข้าไปหนักหน่อย เพราะเกลือเป็นหนอน”
“เหรอ”
“คนในของเธอน่ะแหละ เรียกบรรดาพ่อค้าเข้าไปเป่าหู บอกให้ทุกคนนิ่งและรอ ราคาจะ
ถูกลงมากว่านี้”
“ไม่มีทาง ฉันลดราคาลงมามากกว่านี้ไม่ได้แล้วละ ซูซาน”
“บังเอิญคนๆ นั้นมีเครดิตน่าเชื่อถือ แล้วยังรับปากว่าจะเอาพลอยมาส่งให้กับมือเองซะ
ด้วย มันก็เลยพูดยาก เห็นพี่สาวฉันว่างั้นนะ...อุ๊ยตาย My Sweetheart ฉันมาด้วยละ...What a big surprise”?
ซูซานวางแก้วเครื่องดื่ม แล้วยกมือโบกไปมา พร้อมกับขยับตัวห่างจากเค้าน์เตอร์
กัมปนาทดื่มเครื่องดื่มของตนแล้วจึงค่อยหันไปดู เห็นธนูเดินหน้าระรื่นตรงเข้ามาหาซูซานทั้งคู่กอดกันเนื้อแนบเนื้อ แลกจุมพิตกันดูดดื่ม
กัมปนาทหันหน้าหนีจากภาพนั้นทันที...โลหิตสูบฉีดไปที่ใบหน้ากัมปนาทอย่างแรง ความคั่งแค้น ถาโถมเข้าใส่ร่างและวิญญาณของเขา
ซูซานพาธนูตรงมายังเค้าน์เตอร์นี้ โดยยืนอยู่ด้านหลังกัมปนาท
“นั่งตรงนี้นะจ๊ะที่รัก ดื่มอะไรดี”
“ฟังข่าวดีผมก่อนแล้วค่อยดื่ม...ผมลางานมาได้ห้าวัน เราจะไปไหนกันก็ได้”
“Great”
“เรื่องใหญ่กว่านั้นก็คือ พลอยเนื้อดีมากมายที่ผมสัญญากับพี่สาวคุณไว้ รับรอง ไม่เกิน
อาทิตย์หน้า มันจะมาถึงมือพี่แน่นอน”
สีหน้ากัมปนาทซีดขาว เขาแทบจะช็อกตายในสิ่งที่ได้ยิน
“ราคามันถูกเหมือนได้เปล่า...เพราะบริษัทเขาจะปิดกิจการ เนื้อดีไม่แพ้ของ M.S.JEWELRY เลย เรียกว่าดูยังไงก็แยกไม่ออกก็แล้วกัน”
“แล้วพี่จะขอตัดเปอร์เซ็นต์แบ่งให้เธอเยอะหน่อยแล้วกันนะ”
“อันนั้นเรื่องเล็ก ผมแล้วแต่พี่ครับ...แต่ตอนนี้ เต้นรำกันก่อนดีกว่า เพลงกำลังมัน”
ธนูจับซูซาน โยก คลึง อย่างสุดเหวี่ยง ตรงนั้นเลย หัวอกอีกัมปนาทแทบระเบิด
“เดี๋ยวก่อนจ้ะโทนี่ มารู้จักเพื่อนพี่ก่อน เพื่อนรัก เพื่อนเลิฟเลยหละ ...ฮิวอี้จ๊ะ หันหน้ามา
ทางนี้หน่อย มารู้จักกับ โทนี่ ยาหยีของฉัน”
กัมปนาทค่อยๆ หันไปช้าๆ ธนูเงยหน้ามองกัมปนาท หัวใจแทบวาย หน้าซีดที่สุดในโลก
“ฮิวอี้นี่เป็นเพื่อนนักเรียนเก่าที่ฝรั่งเศส...พลอยของโทนี่เนื้อจะดีเท่าของ M.S. JEWELRY
หรือไม่ต้องให้ฮิวอี้เขาพิสูจน์”
กัมปนาทเอ่ยปากพูดเสียงสั่น
“ของโทนี่เนื้อคงจะดีจริง มองตาก็รู้แล้วว่า น่าจะเชี่ยวชาญเรื่องพลอยมากเป็นพิเศษ...แต่
ต้องระวัง จะเป็นพลอยโจรนะ”
ซูซานยิ้ม ไม่รู้เรื่องด้วย
ที่ดาดฟ้าอาคาร M.S. แพรวาถือโทรศัพท์มือถือคุยสายกับกัมปนาท ที่ด้านหลังหล่อนเห็นเป็นหรั่งยืนอยู่ใกล้ๆ เผ่าลาภที่นั่งแหงนหน้ามองดาวบนท้องฟ้า
“ใจเย็นๆก่อนค่ะอาเจ็ก...โธ่ ผู้ชายแค่คนเดียว ช่างเถอะค่ะ มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้...โกวฮุ้งร่วมด้วยเหรอคะ”
ตรงที่จอดรถหน้าผับ กัมปนาทยืนพิงผนังพูดโทรศัพท์ น้ำตานองหน้า
“เจ๊ฮุ้งนั่นแหละตัวดีเลย...เขาเป็นคนการจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด เขาตั้งใจจะทำลาย M.S.เขาเอาพลอยไปขายทอดตลาดกินกำไรคนเดียว...น้องแพรจ๋า เราไว้ใจใครไม่ได้เลยนะน้องแพร...ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะคนของเราเองที่ไม่ดี น้องแพรต้องระวังคนใกล้ตัวให้มากนะรู้มั้ย...อย่าเชื่อใครง่าย อย่าใจอ่อน…แล้ววันนึงหลานอาจะพา M.S. ไปได้ไกลกว่านี้ อารู้…ไม่ว่าวันนั้นอาจะมีโอกาสได้อยู่ดูหรือไม่ก็ตาม”
กัมปนาทเอาโทรศัพท์ออกจากหู เลิกพูดไปเฉยๆ
แพรวาตกใจ “อาเจ็ก...อาเจ็ก”
หรั่งหันมามองทางแพรวาอย่างเป็นห่วงเป็นใย
ส่วนกัมปนาทขยับตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยากบนพื้นถนนหน้าผับนั้น เขาค่อยๆ ปลดปล่อยเครื่องประดับตามเนื้อตัวออก ราวกับเป็นการปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความทุกข์นั้น
กัมปนาทแฝงตัวอยู่ในหลืบมุมตึก ที่อยู่ตรงข้ามกับความอึกทึกของผับและบาร์ที่ไม่ไกลกัน
แพรวาก้าวเข้ายืนข้างๆ หรั่ง เอ่ยออกมา
“โกฮุ้งวางแผนไว้ทั้งหมด”
“อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดเลย”
“เขาคงแค้นคุณป๋า....อาเจ็กฮุยเตือนฉันว่า อย่าไว้ใจคนใกล้ตัวเป็นอันขาด”
“หมายถึงผมด้วยรึเปล่า”
เผ่าลาภนิ่งฟัง ยังคงทอดสายตาไปไกลถึงผืนฟ้าเบื้องบน
ด้านกัมปนาท ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมท่าเดิม ด้านหลังเห็นธนูวิ่งเข้ามาไกลๆ ตรงมาที่กัมปนาท
“พี่ฮุยครับ”
กัมปนาทหันไปมองธนู อารมณ์เกรี้ยวกราดบังเกิดขึ้นอย่างยั้งไม่อยู่
“ตามมาทำไม”
“พี่ฟังผมก่อน”
“ไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องฟังเธออีกแล้ว...”
“พี่ฮุย...”
“อย่าเรียกชื่อฉันอย่างนี้”
“ฮิวอี้” ธนูไม่ละความพยายาม
กัมปนาทตะโกนลั่น “อย่าเอ่ยชื่อฉันออกจากปากคนอย่างเธออีก”
“พี่ครับ...ผมขอโทษ”
“เลว...เธอมันเลวมาก...เธอทำอย่างนี้ได้ยังไง ฉันหยิบเธอมาจากที่ไม่มีอะไร...ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอปรารถนา แต่เธอตอบแทนฉันด้วยการทรยศ”
“ก็คุณอรทัยเขา...”
กัมปนาทเงื้อมือตบธนูเต็มแรง
“อย่าอ้างคนอื่น เขาบอกให้เธอทำอะไรเธอก็ทำงั้นเหรอ...งั้นเธอก็ไปอยู่กับเขาสิ มาเกาะฉันอยู่ทำไม...”
“ผม...” ธนูก้มหน้าสลดลง
“อยู่กินกับซูซานมานานเท่าไหร่แล้ว”
“เพิ่งแป๊ปเดียวครับ...”
“แป๊ปเดียว?...เขาสอนเธอเต้นรำจนคล่องได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“แต่ผมไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรนะครับ แค่แลกผลประโยชน์กันและกัน...”
กัมปนาทตบหน้าธนูซ้ำสุดแรง
“ไอ้สารเลว...แกมันสันดานโกงชัดๆ หลอกฉันยังไม่พอ ยังคิดจะทำกับเพื่อนฉันอีกเหรอไปนะ ออกไปซะ ไปจากชีวิตฉันได้แล้ว อย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีก และก็ไปแต่ตัวเท่านั้นข้าวของที่คอนโดแกจะหยิบเอาอะไรไปไม่ได้ เพราะของทุกชิ้น ฉันเป็นผู้จ่ายสตางค์ซื้อ”
ธนูกระเถิบเข้าใกล้กัมปนาท เพื่อขอความเห็นใจ
“พี่...”
“อย่าแตะต้องตัวฉันเป็นอันขาด...เนื้อตัวฉันสะอาดเกินกว่าจะสัมผัสความโสโครกของแก”
ในห้องซ้อมดนตรีคืนนั้น บทเพลงหวานเศร้า รันทดใจดังกังวานขึ้น ก้อยเล่นกีตาร์เพลงนั้นอย่างทะมัดทะแมง สง่างาม ท่ามกลางนักดนตรีที่คุ้นหน้า
โบ้ยืนมองอยู่ไม่ไกล นัยน์ตาของเขาเจิดจ้าด้วยความประทับใจยิ่งนัก
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 13 (ต่อ)
รุ่งเช้าที่ลานหน้าบ้านน้าเบิ้ม มีรถแท๊กซี่คันใหม่เอี่ยมแล่นตรงเข้ามาแต่ไกล มีเสียงอึกทึกของผู้คนดังมาจากในบ้าน
เริ่มจากเสียงเจ๊โอ๋ “มาแล้วโว้ย…รถมาแล้ว…เร็ว พวกเรา…”
เสียงน้าเบิ้มดังตามมา “ทำไมต้องเร็วด้วย มาแล้วก็ให้รอหน่อยสิ ขอหล่อสักหน่อยได้ไหม”
“แกจะหล่อไปทำไม แกไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาซักหน่อย”
“ก็ฉันจะไปเชียร์ก้อยมัน…ขอไปแบบหล่อๆ มันผิดตรงไหน”
สักครู่เจ๊โอ๋เดินถือรองเท้าออกมา พร้อมกับที่รถแท๊กซี่คันนั้นเคลื่อนมาจอดตรงหน้าบ้าน
“ผิดตรงที่ทำยังไงๆ มันก็ไม่หล่อน่ะสิ ไอ้แก่”
ประตูรถแท๊กซี่เปิดออก โบ้ เท่ห์ และเช็งก้าวออกมาจากรถ
“เสร็จกันรึยังแม่”
“เหลือแต่พ่อมึงคนเดียว” เจ๊โอ๋บ่น
ก้อยเดินตัวตรงออกมาจากในบ้าน เธอสวยผิดตา ในเสื้อผ้าที่เราไม่เคยเห็น โบ้มองตะลึง…เท่ห์และเช็ง ร่วมตะลึงอยู่ด้านหลัง
“สวยจังเลยก้อย” เท่ห์บอก
เช็งว่า “ชุดนะ”
“ทั้งคนทั้งชุดเว้ย”
“ชุดที่หรั่งซื้อให้ตอนไฟไหม้บ้านใช่มั้ยน้าโอ๋”
“ใช่…ใส่ยากเป็นบ้า ทั้งผูกเชือกทั้งติดกระดุม…ไม่รู้ไอ้โบ้มันเลือกมาได้ยังไง” เจ๊โอ๋บ่น
“พี่โบ้” ก้อยแปลกใจ
เจ๊โอ๋เดินเข้าบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกเด็กๆ
โบ้อาย “ขึ้นรถเถอะก้อย…ช้าเดี๋ยวรถติด”
“ใช่ รถแท๊กซี่ มันลัดเลาะไม่ได้เหมือนมอเตอร์ไซค์นะ” เท่ห์บอก
“ทำไมต้องเช่าแท็กซี่ด้วยล่ะ” ก้อยแปลกใจ
เช็งบอก “ไอ้โบ้มันบอกว่า ก้อยแต่งตัวแบบนี้ ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ก็หมดสวยกันพอดี”
“พี่โบ้เนี่ยะ ชอบแอบทำอะไรให้ก้อย โดยไม่ยอมบอกเรื่อยเลย”
เจ๊โอ๋ เดินนำเด็กๆออกมาจากในบ้าน
“เอ้าขึ้นรถเลย เร็ว…เดี๋ยวยายก้อยมันก็ไปไม่ทันหรอก”
ทุกคนก้าวขึ้นนั่งในรถ น้าเบิ้มเดินออกมาจากในบ้านด้วยชุดที่หล่อที่สุด
“พ่อเสร็จแล้ว…ไป ให้พ่อนั่งตรงไหน”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ ทุกที่นั่งในรถ เบียดแน่นขนัด เจ๊โอ๋โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างรถ
“รถเต็ม ตามไปทีหลังแล้วกัน อยากช้าเอง”
“อ้าว…ไปยังไงล่ะวะ” น้าเบิ้มบ่นอุบ
“มอเตอร์ไซค์ฉันก็ได้น้าเบิ้ม…กุญแจอยู่บนโต๊ะแน่ะ…ไปก่อนนะ” เท่ห์บอก
รถแท๊กซี่เคลื่อนตัวออกไป
“โธ่…ยังงี้มันหาเรื่องให้กูเมานี่หว่า...เดี๋ยวกูก็น้อยใจหันไปติดยาซะหรอก”
น้าเบิ้มบ่นพลางทรุดตัวลงนั่งแปะอยู่ตรงนั้น ไกลออกไป เห็นเป็นหรั่งยืนหลบมุมอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ สักครู่หรั่งจึงเดินมานั่งข้างๆ น้าเบิ้ม
“เสียใจอะไรเหรอ น้าเบิ้ม”
“งอนอีโอ๋มัน…”
น้าเบิ้มตอบแล้วจึงหันไปเห็นหรั่ง
“เฮ้ย ไอ้หรั่ง มาตั้งแต่เมื่อไหร่…โอ้โฮ ข้าไม่เห็นหน้าเอ็งมากี่วันแล้ววะนี่”
“ไม่รู้สิ”
“เหมือนจะนานแสนนานเลยว่ะ…นี่ วันนี้ก้อยมันไปโชว์ดนตรี เอ็งรู้ป่าว”
หรั่งพยักหน้า “ฉันไม่เคยเห็นก้อยสดใสเท่าวันนี้มาก่อนเลย”
“เพราะมันได้ทำในสิ่งที่มันฝันด้วยตัวของมันเอง ก็เหมือนเอ็ง แต่ทำไมเอ็งมันดูอมทุกข์จังวะ”
“ก่อนจะไปถึงฝันมันก็ต้องมีขวากหนามก่อน เป็นธรรมดา…ฉันฝากให้ก้อยด้วย”
หรั่งยื่นกล่องของขวัญขนาดย่อมๆ ส่งให้น้าเบิ้ม น้าเบิ้มรับมาดู
“อะไรอยู่ในนี้วะ”
“มันเป็นของที่เหมาะกับก้อยมาก ฉันตั้งใจไว้นานแล้ว ว่าจะให้เขาเป็นของขวัญในวันที่
เขามองเห็น...แต่ว่า...ให้วันนี้ดีแล้วละ”
“เอ็งก็เอาไปให้มันเองสิวะ จะได้ไปเห็นด้วยว่า เวลาก้อยมันอยู่บนเวทีน่ะ…มันสวยขนาดไหน”
หรั่งยิ้ม “ให้ไอ้โบ้มันได้เห็นคนเดียวก็พอแล้ว…ฉันไปละ”
“แล้วเอ็งจะมาอีกเมื่อไหร่วะ”
“ไม่รู้…แต่เจอกันอีกที ฉันดูดีกว่านี้แน่น้าเบิ้ม”
หรั่งเดินจากไป...ก่อนจะลับตัวไปเขาหันมาพูดว่า
“หรือไม่ก็ จะไม่ได้เจอกันอีกเลย”
“มึงจะไปไหนวะไอ้หรั่ง”
“ไปรบ” หรั่งบอก
เสียงฉุนเฉียวไม่พอใจของแพรวาดังขึ้น “ไม่แรงไปหน่อยเหรอ”
หรั่งยืนประจันหน้ากับแพรวา กลางห้อง
“เบากว่านี้ไม่ได้แล้ว…ไม่งั้นเราจะถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว”
“แต่โกฮุ้งเป็นอาฉันนะ”
“เขายังทำกับหลานได้เลย”
“ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่ใช่คุณป๋า…ฉันไม่กล้าพอ”
“คุณต้องกล้า คุณต้องทำ…เชื่อผมสิ”
หรั่งกดอินเตอร์คอม
“คุณบุษราภรณ์ เข้ามาในนี้หน่อย”
บุษราภรณ์เดินหน้าสวยเข้ามาในห้อง หรั่งส่งกระดาษโน้ตให้เธอ
“ช่วยพิมพ์คำสั่งนี้ด่วน เอามาให้คุณแพรวาลงชื่อ แล้วแจกจ่ายไปให้ทั่ว”
บุษราภรณ์รับกระดาษมาดู ตกใจใหญ่เชียว ร้อง “ห๊า”
ที่บ้านอรทัยมีเสียงอ่านข้อความในกระดาษคำสั่งดังขึ้นก่อน จะเห็นว่ากฤษฎาเป็นผู้ถืออ่านกระดาษแผ่นนั้น หน้าตาทุกคนเครียดจัด
“และห้ามนางอรทัย เข้ามาข้องเกี่ยวกับทุกๆ กิจกรรมของบริษัทอย่างสิ้นเชิง…โดยให้ถือว่านางอรทัยและครอบครัวเป็นผู้บ่อนทำลายความมั่นคงของบริษัท เช่นเดียวกับนายธนู และนายปีเตอร์ ดังนั้นหากผู้ใดพบเห็นบุคคลดังกล่าว รวมทั้งบ่าวไพร่และบริวารให้แจ้งโดยตรงที่รปภ. เพื่อทำการไล่ออกจากพื้นที่ของบริษัทในทันที ประกาศฉบับนี้ถือเป็นคำสั่งให้รับทราบทั่วกัน และมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ออกประกาศฉบับนี้”
“มันกล้าทำกับฉันอย่างนี้เชียวเหรอ”
“ลงชื่อยายแพรนะแม่” กฤษฎาบอก
“ก็พ่อมันยังขยับมือไม่ได้นี่”
“เราตามไปอยู่ แอลเอกับยายตองดีกว่าคุณ” ทนงศักดิ์ว่า
“คุณไปกับนายต้นสองคนเถอะ ฉันจะอยู่สู้กับมัน…ให้มันรู้ไปสิว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างมันจะเอาชนะคนอย่างฉันได้”
ตะวันฉายนั่งพูดโทรศัพท์อยู่ที่เค้าท์เตอร์
“อ้าว ยังไงกัน…ตกลงไม่ขายแล้วเหรอครับ โธ่ ผมอุตส่าห์หาคนมาลงทุนได้แล้วนะครับคุณอา…ห๊า ไอ้หรั่งมันมีอำนาจขนาดนี้เชียว”
อรทัยอยู่ที่บ้านขณะพูดโทรศัพท์กับตะวันฉาย
“ก็เฮียตงนั่นแหละ หนุนหลังมัน”
“คุณเผ่าลาภป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็เพราะป่วยน่ะสิ ถึงได้โดนไอ้หรั่งมันครอบซะ...มีอย่างที่ไหน พาคนเส้นเลือดแตกไปดูดาวได้ทุกคืนๆ”
ตะวันฉายฟังอย่างสนใจ
“อาว่ามันต้องวางแผนคิดจะฮุบ M.S. อยู่แหงๆเลย”
“งั้นเหรอครับ”
“งั้นสิ...ยายแพรเองก็เห็นดีไปกับมันหมดทุกอย่าง เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวต้องได้เสร็จไอ้ลูกครึ่งหัวแดงคนนี้แน่…หลานตะวันนั่นแหละ ไม่น่าทิ้งยายแพรไปก่อนนี่นา”
แองจี้เดินเมาๆ เข้าไปเคลียคลออยู่ใกล้ๆ ตะวันฉายที่พูดโทรศัพท์อยู่
“ผมไม่ได้ทิ้ง…แค่ลองใจดูเล่นๆ ไม่คิดว่าน้องแพรเขาจะเลิกกับผมจริงๆ นี่ครับ”
“เอาอย่างนี้นะ อาจะยื่นฟ้องศาล ให้ศาลชี้ขาดว่า ใครควรจะดูแลรับผิดชอบบริษัท M.S.ระหว่างอา กับยายแพร…รับรองว่าอาชนะแน่…ถึงตอนนั้นแล้ว เราค่อยมาตกลงซื้อขายกิจการกัน ตอนนี้ก็ใจเย็นๆ อดทนรอไปก่อน นะหลานตะวัน”
“ผมน่ะใจเย็นอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่านายทุนผมเขาจะรอได้หรือไม่ น่ะสิครับ”
ที่ลานดนตรีกลางแจ้ง ดนตรีร็อคจังหวะสนุกสนาน ร่าเริง ดังกระหึ่ม วงดนตรีวงนั้นกำลังเล่นอยู่ เมื่อถึงท่อนโซโล่ นักดนตรีคนหนึ่งก็ประกาศระหว่างดนตรีว่า
“ช่วงนี้ขอเชิญพบกับ สาวสวยมหัศจรรย์ แขกรับเชิญพิเศษของผมครับ...น้องก้อย”
ก้อยก้าวขึ้นเวทีอย่างมั่นใจ พร้อมด้วยกีตาร์ในมือ เธอโซโล่ กีตาร์ดวลกับนักดนตรีอาชีพได้อย่างมันสะใจ คนดูมากมายกรี๊ดสนั่น
โบ้กับครอบครัว รวมทั้ง เท่ห์ และเช็ง ต่างกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
เย็นวันใหม่ รูปหมู่ วัยหนุ่มของชาย 5-6 คน ในป่า รูปใบนี้อยู่ในมือของแสงเทพนานแล้ว แสงเทพนั่งจ้องมันนิ่ง ปื๊ดเดินนำตะวันฉายเข้ามา
“รูปถ่ายเพียงใบเดียวเนี่ยเหรอครับ ที่ทำให้คุณอาเครียดได้ถึงขนาดนี้”
“อาจำได้ว่าเคยมีรูปนี้ แต่มันหายไปนานแล้ว”
“งั้นก็ดีแล้วสิครับ ที่มีคนส่งมาให้”
“มันมีตัวหนังสือติดมาด้วย”
แสงเทพส่งรูปให้ตะวันฉายดู
ตะวันฉายบอก “นี่มันบัตรสนเท่ห์ชัดๆ คุณอาไปกลัวอะไร”
แสงเทพค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้องช้าๆ
“อารู้จักทุกคนในรูปนั้นหมดเลย”
“เพื่อนอา?”
“ศัตรู” แสงเทพบอก
“ไม่น่าถ่ายรูปคู่กันได้”
“วันนั้นเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่…ตอนนี้ตายหมดแล้ว”
“ทุกคน”
“ยกเว้นไอ้รูปหล่อที่นั่งอยู่คนเดียวนั่น”
ชายคนเดียวในรูปที่นั่งถือปืนลูกซองอยู่ หน้าตาคล้ายจะเป็นเผ่าลาภ ในวัยหนุ่ม
“เขาคือใคร”
“เผ่าลาภ คนที่ยืนข้างฝรั่งนั่นพี่ชายมัน…รถตกเขาตาย”
“อุบัติเหตุ”
แสงเทพบอก “ฝีมืออา”
ตะวันฉายครุ่นคิดอยู่ซักครู่
“ใครบางคนกำลังคิดจะล้างแค้นอา…ซึ่งก็ต้องเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ใช่”
“และก็คงเป็นคนเดียวกันกับที่ขุดเอาเรื่องของอามาแฉกับหนังสือพิมพ์”
แสงเทพกัดฟันกรอด
“อาไม่ไว้ใจไอ้บารมี”
“เขาจะรู้เรื่องพวกนี้เหรอครับ”
“หรือไม่ก็ไอ้เผ่าลาภ...ไม่น่าเชื่อว่ามันจะฟื้นตัวได้เร็ว”
“มิน่า ทางโน้นถึงได้เปลี่ยนใจไม่ยอมขายกิจการ”
“งั้นก็คงต้องให้มันป่วยด้วยโรคเดิม”
ตะวันฉายงง “โรคอะไร?”
“โรคที่ไม่มีโอกาสฟื้น”
ตะวันฉายยิ้มด้วยความเข้าใจ
เวลาเดียวกันที่บ้านเผ่าลาภ กล่องดนตรีใบเล็กๆ มีลวดลายการ์ตูนสีสดใสน่ารัก มันอยู่ในมือขาวนวลของกันทิมา เธอไขลานกล่องนั้น แล้วจึงวางลงบนโต๊ะ เสียงเพลง lullaby ดังกังวาน ใส
กันทิมา มีอารมณ์ร่วมไปกับเสียงเพลง เบื้องหน้าเธอเป็นสมุดแสดงต้นแบบ การถักไหมพรมให้เป็นถุงมือเด็กและอื่นๆ กันทิมาค่อยๆ ทำตามแบบในเล่มนั้น
เผ่าลาภนั่งเอนตัวสบายๆ โดยมีลินจงบีบนวด ดูแลอยู่ใกล้ๆ รำไพถือน้ำและยาเข้ามาหาเผ่าลาภ
“คุณจำเจ้านิพนธ์ได้มั้ยคะ ลูกชายผู้ใหญ่เต้ ที่คุณจัดงานบวชให้เขาน่ะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กันทิมาขยับตัว แต่ลินจงไวกว่า
“ฉันไปรับเอง” ลินจงเดินออกไปยังโทรศัพท์
รำไพพูดต่อ “เขาจะแต่งงานแล้วนะกับแฟนเขาที่ชื่อน้องเหมียว ที่คุณชอบเรียกเขาว่าหมวยน่ะ เขาส่งการ์ดมาเชิญคุณด้วย…คุณอยากไปมั้ยล่ะคะ”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของลินจงดังเข้ามา
“โฮ โฮ….อาฮุย”
ทุกคนหันไปทางต้นเสียง อย่างตกใจ
“มีอะไรเหรอคะ”
ลินจงเดินเข้ามา สภาพน้ำตานองหน้า
“อาฮุยกินยาตาย เมื่อเช้านี้”
ทุกคนช็อก เผ่าลาภ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
ที่ดาดฟ้าตึก M.S. ยามค่ำ ท่ามกลางความเวิ้งว้างของดาดฟ้า แพรวายืนซึมอยู่เพียงผู้เดียวน้ำตานองหน้าเธออีกครั้ง หรั่งก้าวออกมาจากลิฟท์ เขามองหาแพรวาจนเจอ หรั่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้แพรวา
“คุณกัมปนาทปลอดภัยแล้วครับ…นอนพักที่โรงพยาบาลซัก 3-4 วัน ก็คงจะเป็นปกติ”
แพรวาฝืนยิ้มออกมาอย่างยากเย็น
“มะรืนนี้มีงานแต่งงานลูกชายผู้ใหญ่บ้านที่เมืองกาญจน์ ผู้ใหญ่คนนี้เป็นคนเก่าคนแก่ในพื้นที่ รักใคร่กันดีกับคุณพ่อของคุณ เขาช่วยเราได้มากในเรื่องของกิจการเหมือง…”
“แล้วไง”
“ผมคิดว่าคุณควรจะไปแทนคุณพ่อ เพื่อที่…”
แพรวาสวนออกมา “พอเถอะ…อย่าให้ฉันทำอะไรมากกว่านี้อีกได้มั้ย ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะรับอะไรไหวอีกแล้วนะ”
“อะไรที่ทำให้คุณเหนื่อย”
“ทุกอย่าง”
“มันกำลังจะดีขึ้นครับ”
“ดีขึ้นเหรอ…ป๋าฉันป่วย เหมืองไม่มีคนงาน ข้าวสารของโกจูเจ๊ง พลอยขายไม่ได้อาฮุยกินยาตาย…เนี่ยเหรอ กำลังจะดีขึ้น”
“คุณต้องอดทน”
“อดทนเพื่ออะไร เพื่อรอดูว่าหายนะครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นกับใครอีกใช่มั้ย…ไม่หรอก…ถ้าจะต้องเข่นฆ่าเอาเป็นเอาตายกันขนาดนี้ ฉันจะไม่อดทนแล้ว ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันไม่เอาด้วยแล้ว”
แพรวาระบายอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่เท่าที่เธอรู้สึก ไม่มีเก็บไม่มียั้ง
“คุณคิดว่า นี่คือสิ่งที่คุณเผ่าลาภคาดหวังในตัวคุณเหรอครับ”
“ฉันไม่สน”
หรั่งผิดหวังในท่าทีของแพรวา เขาโต้ตอบด้วยอารมณ์บ้าง
“คุณเป็นลูกแบบไหนกัน ถึงไม่คิดที่จะทำให้พ่อให้แม่สบายใจ…อุตส่าห์เกิดมาโชคดีกว่าคนอีกตั้งหลายล้านคน ที่เขาไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่เคยได้รับความรัก ความคาดหวังใดๆ จากใครซักคน…คุณรู้มั้ย ผมได้แต่ฝันมาทั้งชีวิต ว่าซักวันถ้าผมได้เจอหน้าคนที่เป็นพ่อผมจะทำอะไรเพื่อพ่อบ้าง แต่คุณกลับเลือกที่จะตอบแทนพ่อของคุณด้วยวิธีที่เหลวไหลที่สุด”
“ฉันเป็นผู้หญิงนะ”
“ผู้หญิง! แล้วไง?”
“ฉันไม่ได้กล้าหาญ เข้มแข็งอย่างนายนี่”
น้ำตาแพรวาเริ่มเอ่อออกมาอีก
“นายมันก็เหมือนคุณป๋าน่ะแหละ ทำอะไรๆ ได้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงเลยซักนิด…ฉันบอบบาง ฉันต้องการการทะนุถนอม ผู้หญิงที่ถูกผู้ชายทิ้งอย่างฉัน ยังจะให้เข้มแข็งอยู่ได้ยังไง”
น้ำตาระลอกใหม่ทะลักออกมาจนหยุดไม่อยู่ หรั่งอึ้ง สงสารสุดหัวใจ
แพรวาหันมาจ้องหน้าหรั่ง ชนิดไม่อายน้ำตา
“นายเคยคิดบ้างมั้ยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างฉันต้องการอะไร…จะบอกให้นะ ถ้าฉันเป็นผู้ชาย…ฉันจะเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิงที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้า จะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังรินไหล…จะเอียงไหล่มาให้เธอเอาหน้าซบ จะใช้สองแขนค่อยๆโอบเธอไว้แน่นๆเพื่อให้เธอรู้สึกปลอดภัย”
อาการสะอื้นทำให้แพรวาพูดช้าลง แต่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าหรั่ง หรั่งค่อยๆ เดินเข้าใกล้แพรวาช้าๆ จนหน้าเขาชิดหน้าของเธอ
“จะมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน…จะกุมมือทั้งสองของเธอไว้”
มือหรั่งค่อยๆ ยื่นออกไปดึงมือแพรวามากุมไว้แน่น หรั่งค่อยๆ ยกมืออีกข้างขึ้นปาดน้ำตาแพรวาอย่างนุ่มนวล
“จะยิ้มอย่างให้กำลังใจ และจะกระซิบกับเธอใกล้ๆ ว่าจะไม่มีวัน ปล่อยให้เธอต้องรู้สึกโดดเดี่ยว”
หรั่งกระซิบที่ข้างหูแพรวา
“หลับตาซะ แล้วผมจะเป็นทุกอย่างที่คุณอยากให้เป็น”
แพรวาค่อยๆ หลับตา แต่ปากยังคงเปล่งเสียงแผ่วเบา
“จะไม่ปล่อยให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง”
“จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป…จะเป็นกำลังใจให้คุณตราบจนสิ้นลมหายใจ”
หรั่งดึงแพรวาเข้ามาสวมกอดจนแน่น แพรวาหลับตาพริ้ม น้ำตาแห่งความอบอุ่นเล็ดลอดออกมาจากเปลือกตาเธอ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในวินาทีนี้...เพลงรักหวานซึ้งโครต ต้องทำหน้าที่ของมันอย่างสาสม
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 13 (ต่อ)
หรั่งปาดน้ำตาให้แพรวา และทั้งสองกอดกันอยู่บนดาดฟ้า ขณะที่ก้อยร้องเพลงอยู่บนเวที โดยมีโบ้ยืนจ้องมองก้อยไม่วางตา อย่างปลาบปลื้มและยินดี
“จากคนหนึ่งคนที่เป็นแค่เพียงเพื่อนกัน ผ่านวันที่มีเรื่องราวที่ดีและร้ายได้มาพบเจอกัน ดั่งพรหมลิขิตขีดไว้ ให้เธอมาเติมสิ่งที่หายไป”
ฟากชาติชายกับแก้มนั่งอยู่ด้วยกันบนรถ
“ไม่เคยนึก ไม่เคยฝัน ว่ามันจะเป็นไปได้ว่าความรัก ได้ทำให้เราเปลี่ยนไปจากเป็นคน ที่ไม่ยอม ไม่ฟังไม่เคยเข้าใจแต่เป็นเธอ วันนี้ฉันยอมหมดใจ”
กันทิมานั่งอยู่ในรถตู้ ส่วนบารมีจอดรถในปั๊ม รถตู้กันทิมาแล่นผ่านไป หรั่งและแพรวากอดกันอยู่บนดาดฟ้าเช่นเดิม
“ฉันไม่รู้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร รู้แค่เพียงวันนี้ รักเธอ และรักสุดหัวใจ บอกให้ลม และดินกับฟ้า ได้จำเอาไว้เป็นพยานแห่งรักสองเรา ว่าชีวิตที่มีจากนี้จะมีแต่เธอจะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ฉันก็รักเธอ”
เวลาค่ำ หรั่งและแพรวายังคงยืนกอดกันนิ่งอยู่กลางดาดฟ้า แพรวาเอ่ยปากพูดโดยไม่ลืมตาขึ้นมาแม้แต่น้อย
“ถ้าวันนี้ฉันไม่มีเธอ ชีวิตฉันจะเป็นยังไง”
“คุณจะมีผม วันนี้และตลอดไปครับ” หรั่งให้คำมั่น
“ฉันไม่อยากมั่นใจอะไรอีกแล้ว...ฉันอยากหลับตาอยู่อย่างนี้ไม่อยากตื่นมาพบกับความเป็นจริงที่เลวร้ายอีกเลยแม้แต่นิดเดียว”
แพรวาขยับตัวเบียดเข้าไปในวงแขนของหรั่ง แนบแน่นมากยิ่งขึ้นราวกับว่า เธอจะซุกกายและใจ ฝังลงไปบนแผ่นอกของเขา หรั่งตอบรับท่าทีนั้นอย่างทะนุถนอม เขาสูดลมหายใจลึกๆ คล้ายจะเก็บเอาอากาศที่ห่อหุ้มร่างของแพรวาทั้งหมดเข้าไปไว้ให้เต็มปอด
ที่บริเวณลานแสดงดนตรี ค่ำวันเดียวกัน ก้อยนั่งนิ่งๆ ไม่ไกลจากลานดนตรีนั้น รอยยิ้ม อิ่มเอม เต็มไปด้วยความสุข ปรากฏบนใบหน้าของเธอ ด้านหลังของก้อย แลเห็นเท่ห์ เช็ง เจ๊โอ๋ และเด็กๆ กำลังเพลิดเพลินกับการกิน
มันเป็นบรรยากาศของการเลี้ยงอาหาร หลังจบคอนเสิร์ต ดอกไม้หนึ่งช่อถูกยื่นเข้ามาตรงงหน้าก้อย ผู้ที่ยื่นมันเข้ามาคือโบ้นั่นเอง
โบ้กำลังคิดว่าควรจะใช้คำพูดยังไงดี
“ก้อย..เอ้อ...”
“พี่โบ้เหรอ...มีอะไรรึเปล่า” ก้อยถาม
“เอ้อ...วันนี้ก้อยสุดยอดไปเลย”
ก้อยยิ้มรับคำพูดนั้น
“ทำไมก้อยได้กลิ่นดอกไม้...แถวนี้มีร้านขายดอกไม้ด้วยเหรอพี่โบ้”
“เอ้อ...”
โบ้พยายามคิดประดิษฐ์คำพูด และท่วงท่า ที่สุดเขาตัดสินใจคุกเข่าลงไป ทำท่าเหมือนพระเอกยื่นดอกไม้ให้นางเอก ไม่ทันที่โบ้จะพูดอะไรออกมา นักดนตรีก็เดินเข้ามาหาก้อย
“น้องก้อยครับ”
โบ้รีบลุกขึ้นยืนเป็นปกติ เก็บช่อดอกไม้ซ่อนไว้ด้านหลัง
นักดนตรีถาม “สนุกมั้ยวันนี้”
“ก้อยไม่เคยสนุกอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ”
“ดีเลยครับ...เพราะพี่กำลังคิดจะเชิญน้องก้อยทัวร์คอนเสิร์ตกับพี่ซักปีนึง...”
โบ้ตกใจ “ว่าไงนะครับ”
“น้องก้อยทำให้ คอนเสิร์ตของพี่ ดูน่ารัก อบอุ่น และมีคุณค่าน่าประทับใจมากเลย” นักดนตรีว่า
“จริงเหรอคะ”
“จริงซี่...ไม่ทราบว่าพี่ต้องขออนุญาติจากใครครับ...คนที่ชื่อ หรั่ง อะไรนั่นรึเปล่า”
ก้อยสุดหายใจลึกๆ ทั้งตื่นเต้น ทั้งตัดสินใจไม่ถูก ก้อยยื่นมือควานหาโบ้ เธอเอ่ยปากเรียกโบ้เบาๆ
“พี่โบ้...”
โบ้เอ่ยขึ้น “ก้อยอนุญาตได้ด้วยตัวเธอเองครับ”
นักดนตรียิ้ม “เยี่ยมเลย...งั้นพี่วางคิวทัวร์คอนเสิร์ทเรียบร้อยแล้วจะนัดซ้อมกันอีกทีนะ”
เท่ห์และเช็งวิ่งเข้ามาหาก้อย พร้อมด้วยซองใส่เงินค่าตัว
“ก้อย...ก้อยได้ตังค์ด้วยนะเนี่ยะ รู้ป่าว ค่าตัวไม่น้อยเลยนะ” เท่ห์ตื่นเต้น
“น่าจะแบ่งให้พี่ครึ่งหนึ่ง ในฐานะ หน้าม้า” เช็งเย้า
“เอามานี่”
เจ๊โอ๋ดึงซองเงินมาจากมือเท่ห์ หันมาบอกก้อย
“สตางค์อยู่ที่ฉัน ก้อยจะเอาไปเก็บเองหรืออยากจะฝากฉันไว้ก็ตัดสินใจเอานะ”
ก้อยพยักหน้ารับคำ โดยยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ
นักดนตรีคนเดิมเอ่ยขึ้น “น้องสามคนนี้ สนใจจะเป็นเด็กยกเครื่องกับพี่มั้ย”
“ได้ตังค์ ก็เอาครับ” เช็งบอก
เท่ห์เล่นแง่ “แต่เราทำได้มากกว่ายกเครื่องนะครับ”
นักดนตรีอยากรู้ “ทำอะไร”
“อย่างนี้ไงครับ”
เท่ห์เต้นท่าหางเครื่องโชว์ให้ดู นักดนตรียิ้ม แล้วเดินหนีไป เขาหันไปเห็นดอกไม้ในมือโบ้ก่อน
“แล้วจะถือดอกไม้ไว้อย่างนั้นทำไม อยากให้ก้อยก็ให้เลยซี่... เดี๋ยวก็เหี่ยวซะก่อนหรอก...ดู กำไว้แน่นซะจนเหงื่อออกมือขนาดนั้น”
เวลาเดียวกันหรั่งและแพรวายังคงยืนกอดกันนิ่งอยู่ ณ ดาดฟ้าตรงจุดเดิม
“กลับบ้านได้แล้วมั้งครับ เดี๋ยวคุณแม่คุณจะเป็นห่วง”
“พอเราลงไปข้างล่างแล้ว ฉันจะมองหน้านายยังไง” แพรวายังเขินอยู่
“แล้วแต่ใจของคุณครับ” หรั่งบอก
“แล้วนายล่ะ...นายจะมองหน้าฉันแบบไหน”
“ผมมองคุณแบบเดียวกันนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้วครับ”
แพรวาผละออกจากอ้อมกอดของหรั่ง ทั้งสองต่างจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน
“ฉันมัวแต่มองอะไรอยู่นะ ตั้งเกือบยี่สิบปี”
มือถือของตะวันฉายซึ่งอยู่ที่บ้านแสงเทพ ปรากฏข้อความผ่านทาง What's App. Line ว่า
“ปล่อยปลาลงบ่อ เรียบร้อยแล้ว"
ตะวันฉายมองโทรศัพท์แล้วยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแสงเทพที่ยืนรออยู่ตรงนั้น ทั้งสองเดินคุยกันเข้าไปในบ้าน
“ผมได้เตรียมการบางอย่างไว้ที่นั่น และมันก็สอดคล้องกับจังหวะเวลาที่คุณอาต้องการพอดี”
“โชคเข้าข้างเราแท้ๆ”
“ผมเป็นตัวนำโชคของคุณอาไงครับ”
“แปลว่าอาจะขาดหลานชายไม่ได้เป็นอันขาด”
“ถูกต้องคร้าบ”
ทั้งสองเดินหัวเราะออกไป
บารมีนั่งซุกตัวอยู่มุมหนึ่งของบ้าน เขามองตามแสงเทพและตะวันฉาย ด้วยความยากรู้อยากเห็นและสงสัยเป็นยิ่งนัก
ขณะที่รถแพรวาเลี้ยวออกมาจากตัวตึก ยามคนหนึ่งซึ่งหน้าไม่คุ้นวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้ ก้มลงไปถามข้างกระจกรถ
“คืนนี้จะพาท่านประธานมาดูดาวรึเปล่าครับ”
“เหมือนเดิม” หรั่งบอก
“ครับผม”
“เพิ่งมาอยู่ใหม่เหรอ”
“ผมมาแทนพี่เขาสองวันครับ”
หรั่งขับรถเคลื่อนออกไป
เสียงตะวันฉายดังขึ้นมา
“ผมส่งคนที่ไว้ใจได้เข้าไปอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว...รุ่นพี่ผมมีเส้นสายดีในบริษัทรักษาความปลอดภัย”
ตะวันฉายกำลังอธิบาย ลำดับแผนการร่วมกับแสงเทพในมุมที่เป็นส่วนตัวของบ้าน
“ไอ้หมอนี่จะคอยสังเกตการณ์ว่า วันไหนบ้างที่ไอ้หรั่งพาคุณเผ่าลาภขึ้นไปบนดาดฟ้า...หน้าที่หลังจากนี้ก็อยู่ที่คนของคุณอาแล้วละครับ”
“ไม่ต้องห่วง...เรื่องพวกนี้ ไอ้ปื๊ดเก่งอยู่แล้ว...”
ส่วนที่หน้าประตูรั้ว ตึก M.S. ไอ้ปื๊ดในชุดพรางโผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัวใกล้ตึก มันเดินตรงไปที่ประตูรั้ว ยามคนนั้นดันประตูรั้วให้เปิดออก ไอ้ปื๊ดเดินผ่านช่องประตูนั้นเข้าไปในตัวอาคาร ยามปิดประตูรั้วอย่างเดิม มันวางท่าทีนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสียงแสงเทพบรรยายเหตุการณ์ดังขึ้น “มันจะเล็ดลอดเข้าไปถึงภายในอาคาร จากนั้นไอ้ปื๊ดจะตรงไปที่ลิฟท์โดยสารส่วนตัวของไอ้เผ่าลาภ เพื่อติดตั้งอุปกรณ์สำคัญ”
แสงเทพอธิบายแผนการต่อด้วยอารมณ์สะใจ
“ทันทีที่ลิฟท์เคลื่อนตัวไปถึงชั้นดาดฟ้า...ก็จะเป็นเวลาที่ระเบิดทำงานพอดี”
ตะวันฉายสงสัย “ใครเป็นคนกดระเบิด”
“ไม่มี...ไม่ต้อง...ทุกอย่างทำงานอัตโนมัติ...เริ่มนับถอยหลังเมื่อมีคนกดเรียกลิฟท์...และจุดระเบิดเมื่อลิฟท์ถึงชั้นดาดฟ้าพอดี”
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ลิฟท์โดยสารของเผ่าลาภเปิดค้างอยู่ มีไอ้ปื๊ดซุกตัวอยู่ในนั้น มันกำลังติดตั้งอุปกรณ์สำคัญ และทดลองกดปุ่มเรียกลิฟท์ตัวเลขบอกเวลาระบบดิจิตอล เริ่มเดินถอยหลังทันที ปื๊ดยิ้มกริ่ม
“ระเบิดลูกแรกจะทำให้สลิงขาด ลิฟท์ตกลงมากระแทกพื้น...ระเบิดลูกที่สองจึงทำงานเพื่อล้างผลาญทุกอย่างให้เป็นจุล ชนิดที่ไม่เหลือซากสำหรับกองพิสูจน์หลักฐานแม้แต่น้อย”
แสงเทพหัวเราะร่า ด้วยกำลังมีความสุขกับแผนการชั่วของตัวเอง
“อาจะลงมือเมื่อไหร่” ตะวันฉายถาม
“พรุ่งนี้...สี่ทุ่ม”
“นั่นคือเวลาที่ไอ้หรั่งพาคุณเผ่าลาภมาที่ตึก”
ที่ด้านหลังของคนทั้งสอง เห็นเป็นบารมีมองมาที่สองคน
“ทีนี้หละ ไอ้ตง...มึง ตายแน่” แสงเทพคำราม
“ตายบนดาดฟ้า ขณะขึ้นไปดูดาว...กลายเป็นดาวประดับฟ้า...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
แสงเทพกับตะวันฉายหัวเราะร่าเริง ส่วนบารมีหน้าตาเครียดจนเขม็งเกลียว
ยามเช้าตรู่ หรั่ง ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก หน้าตาครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย มีกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่บนเตียงนอน หรั่ง นึกถึงเหตุการณ์บนดาดฟ้าที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืน
เวลานั้นหรั่งและแพรวา ยืนกอดกันแน่น นิ่งอยู่บนดาดฟ้านั้น...แพรวายังคงหลับตาพริ้ม
“หลับตาให้สบายเถอะครับ หลับไปให้นานเท่าที่คุณปรารถนา…เมื่อใดที่ลืมตาขึ้นมาคุณจะมีผมอยู่เบื้องหน้าเสมอ”
“ฉันถือเป็นคำสัญญานะ”
“มันคือคำสาบานครับ”
หรั่งดึงตัวเองกลับมา เขาค่อยๆ พับเสื้อผ้าใส่ลงในกระเป๋าใบที่วางอยู่บนเตียงนั้นสักพัก หรั่งหยุดนิ่ง ฉุกคิดอะไรบางอย่าง
ภาพยามหน้าใหม่โผล่หน้ามาพูดกับหรั่งผุดขึ้นมาทันที
“ผมมาแทนพี่เขาสองวันครับ”
หรั่งคาใจมาก ครุ่นคิดหนัก เขาพยายามจะรู้เท่าทันฝ่ายตรงข้ามให้ได้
เวลาเดียวกันแพรวาอยู่ในห้องนอน หล่อนหยิบเสื้อผ้าวางลงบนเตียงนอน มีรำไพดูแลลูกสาวอยู่ใกล้ๆ
“อาเจ็กเหลียง เขารับปากจะ ช่วยดูแล เช็ดถูบ้านรับรองของเราที่เหมืองให้…ลูกนอนซะที่นั่นนะ”
“อาเจ็กต้องพลอยลำบากไปด้วย คนงานก็ไม่ค่อยจะมี”
“เขาเต็มใจจ้ะ”
“น้องแพรไม่อยากไปเลย”
“คิดซะว่าไปแทนคุณป๋าไงลูก…อะไรๆ ทางโน้นจะได้ดีขึ้น…เห็นอาเจ็กเขาว่า ชาวบ้านทางโน้นเริ่มจะหันมาอยู่ข้างเราแล้วนะลูก”
“ต้องไปเพราะว่า เป็นเหตุผลทางธุรกิจนี่เอง”
“มันก็ไม่ใช่เพราะธุรกิจทั้งหมดหรอกลูก เป็นเรื่องน้ำใจด้วย คู่บ่าวสาวที่เขาแต่งงานกันเขาก็อยากให้คนมาร่วมงานเขาเยอะๆ เป็นหน้าเป็นตา เป็นเกียรติสำหรับเขา นะลูก…เอาของขวัญไปให้เขาแทนคุณป๋าหน่อยนะ”
“หนูเป็นห่วงคุณป๋า”
“คืนเดียวเอง…แม่ให้ยายส้มไปกับลูกด้วยอีกคน…ส่วนนายหรั่งก็ให้เขานอนเรือนเล็ก…เดี๋ยวก็คงมารับหนูแล้วมั้ง…จัดกระเป๋าเข้า เร็ว”
รำไพเดินออกจากห้องนอนลูกสาว
มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแพรวาเดินไปหยิบมันขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล”
เป็นหรั่งที่โทร.มา และยืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในบ้าน
“ผมคงจะไปเมืองกาญจน์กับคุณด้วยไม่ได้แล้วครับ คุณแพรวา...ต้องขอโทษจริงๆ…บังเอิญผมมีธุระสำคัญจะต้องทำ”
“ยังไม่ทันไรเลย…นายก็จะผิดคำสาบานแล้วเหรอ”
“มันจำเป็นจริงๆ ครับ”
“จำเป็นยังไง”
“จำเป็นที่สุดครับ…น้าหยามจะขับรถให้คุณแทนผม และขอให้คุณจำไว้ด้วยว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมไม่มีวันผิดคำสาบาน”
“ให้ฉันลืมเรื่องทั้งหมดที่นายพูดเมื่อคืนนี้ ดูจะง่ายกว่า ให้จำคำแก้ตัววันนี้ของนาย”
หรั่งเอ่ยปากพูดอย่างมุ่งมั่น ชัดถ้อยชัดคำ
“แล้วคุณจะรู้เอง คุณแพรวา...ว่าทำไมผมต้องตัดสินใจอย่างนี้”
หรั่งกดยกเลิกสายโทรศัพท์ทันที เขาแหงนดูภาพของแพรวาที่อยู่บนเพดานห้องนั้นเหมือนเป็นแรงใจ
ขณะที่แพรวาอึ้งนิ่งงันไป เธอถือหูโทรศัพท์ ค้างอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง
เสียงโทรศัพท์กลางโถงบ้านเผ่าลาภดังขึ้น ขณะที่รำไพกำลังป้อนอาหารให้เผ่าลาภ ส้มเดินไปรับโทรศัพท์
“คืนนี้ฉันให้น้องแพรนอนค้างที่เหมืองนะคะ เพราะทางโน้นเขาจัดงานกันที่หนึ่ง กว่าจะเลิกก็ปาเข้าไปตีสอง ตีสามละมั้ง คุณไม่ต้องห่วงนะ”
“คุณคะ โทรศัพท์ค่ะ” ส้มเดินเข้ามา
“ของฉันเหรอ” รำไพฉงน
“เขาขอพูดกับคุณ หรือ คุณแพรวาก็ได้ค่ะ” ส้มว่า
“เขาบอกรึเปล่าว่าเป็นใคร”
“เขาไม่ยอมบอกค่ะ แต่รู้สึกว่าจะเป็นคุณบารมี”
“รู้ได้ไง”
“จำเสียงได้ค่ะ”
รำไพเดินไปที่โทรศัพท์ ยกหูขึ้นพูด
“ฮัลโหล คุณบารมีเหรอคะ…ฮัลโหล ฮัลโหล…ไม่เห็นมีเสียงใครเลยยายส้ม”
บารมีแอบอยู่ตรงมุมหนึ่งในบ้านแสงเทพ นั่งถือโทรศัพท์แนบหูค้างอยู่อย่างนั้น หน้าตาเขามีแววกังวลอย่างหนักกับการตัดสินใจว่าจะเอ่ยปากพูดอย่างไร
เสียงรำไพดังลอดออกมา “คุณบารมีรึเปล่าคะ ไม่ได้ยินเสียงเลยค่ะ ยังไงก็ลองโทร.มาใหม่นะคะ”
แสงเทพก้าวเข้ามาด้านหลังบารมีเอ่ยเรียก
“คุณบารมี”
บารมีรีบวางหูโทรศัพท์หันไปหาแสงเทพทันที
“ครับผม”
“โทร.ไปไหนน่ะ…ไม่เห็นพูดอะไรซักคำเลย”
“สายไม่ว่างน่ะครับ”
“วันนี้ช่วยขับรถให้หน่อยนะ…เราจะไปล่าสัตว์กัน”
“ครับ...”
บารมีรับคำอย่างกระอักกระอ่วนใจ
เวลาต่อมาที่บ้านผู้ใหญ่เงาะ ในชุมชนจานเดี่ยว ผู้ใหญ่ก้าวเข้ามายิ้มทักใครคนหนึ่ง
“โอ้โฮ…วันนี้ทำไมมาถึงนี่ได้วะ ไอ้หรั่ง…ตั้งแต่มึงไปได้ดิบได้ดี กูเพิ่งเห็นหน้ามึงวันนี้นี่เองเว้ย”
หรั่งนั่งรออยู่ที่ลานหน้าบ้านผู้ใหญ่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ฉันมีเรื่องมาขอความรู้ผู้ใหญ่หน่อย”
“พูดเป็นเล่น”
“ผู้ใหญ่เลิกเป็นยามนานรึยัง”
“ยังเป็นอยู่เว้ย…เสื้อก็ใส่อยู่นี่มึงเห็นรึเปล่า”
“ก็ฉันเห็นผู้ใหญ่กินเหล้าเมาแทบจะทุกวัน เอาเวลาที่ไหนไปเป็นยาม”
“เดี๋ยวนี้ไม่กินแล้วโว้ย เหล้ายาปลาปิ้ง เลิกขาดหมด…ชุมชนเราไม่มีใครเมาอีกต่อไปแล้วไอ้ที่เมื่อก่อนต้องกินเหล้า มันก็มีเหตุผล ไม่ใช่กินแบบโง่ๆ กินเรื่อยเปื่อย”
“เหตุผลอะไร?”
“มันจะได้เมาหลับไง…พวกยามกะกลางคืนน่ะอาภัพ…ตอนดึก คนอื่นเขาหลับกัน เราก็ต้องซัดทั้งเอ็ม ทั้งกระทิง ทั้งลิโพ เอาเข้าไปให้มันตาสว่าง...พอถึงเช้า ตามันยังค้าง ก็ต้องซัดเหล้าทำทางให้มันหลับ จะได้ตื่นมามีแรงอีกทีตอนดึก...เข้าใจรึยัง”
“เข้าใจนิดหน่อย”
“โธ่...ถ้าฉันไม่รักอาชีพนี้จริงนะ ฉันไม่เป็นมานับสิบๆ ปีอย่างนี้หรอก จะบอกให้”
“เหรอ”
“ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้หรอก บริษัทยาม บริษัทรักษาความปลอดภัย มันผุดขึ้นมายังกะดอกเห็ด ยิ่งมีเยอะยิ่งรับคนแยะ...ใครตกงานมาจากไหน สมัครเป็นยามได้ทันที ไม่ต้องมีเอกสารหลักฐาน ไม่ต้องเช็คประวัติ นิสัยดีเลวยังไงไม่สน พูดไทยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จับใส่ชุดอย่างนี้ปุ๊บ เป็นยามปั๊บ ทันทีเลย...โอ๊ย พวกนี้ไปร่วมมือกับโจรปล้นเจ้าของบ้านเขาก็เยอะ”
หรั่งครุ่นคิด โดยที่จังหวะนี้ด้านหลังเขา โบ้ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาร้องทัก
“ไอ้หรั่ง”
หรั่งหันไปมอง นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรกับโบ้ดี โบ้ชิงพูดก่อน
“มึงมาก็ดีแล้ว กูมีอะไรจะให้มึงดู”
สองหนุ่มอยู่ที่ริมถนนอีกมุมหนึ่ง ห่างออกมาจากย่านชุมชนหน่อย เวลานี้รูปถ่ายหลายใบถูกยื่นเข้ามาให้หรั่งดู มันเป็นรูปตอนก้อยกำลังเล่นดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ต เมื่อวันที่ผ่านมา
“กูตั้งใจจะแวะเอาไปให้มึงที่บ้านอยู่พอดี...ว่าจะส่งทางอีเมล์ กูก็ส่งไม่เป็น”
หรั่งยิ้มกว้าง เขามองดูรูปเหล่านี้อย่างชื่นชม
“ก้อยน่ารักจริงๆ ว่ะ...ดูมีความสุขมากเลย”
“ก้อยถามถึงมึงด้วย”
“เขาได้ของฝากจากกูรึยัง”
“ได้แล้ว...แต่ยังไม่ยอมแกะ ก้อยเขาอยากจะแกะต่อหน้ามึง...เขาอยากให้มึงเป็นคนบอกเขาว่าในกล่องนั้นมีอะไร”
หรั่งส่งรูปทั้งหมดคืนให้โบ้
“กูอัดมาให้มึง”
“โบ้...มึงก็รู้ กูไม่เคยเก็บรูปใครได้อีก...”
หรั่งยัดรูปใส่มือโบ้
“และกูก็รู้ว่ามึงจะดูแลก้อยได้ดีกว่ากู...หรือมึงจะเถียง”
โบ้มองหน้าเพื่อนรักนิ่ง
“ขอบใจ ไอ้หรั่ง”
หรั่งยื่นมือให้ โบ้จับมือมันไว้กระชับแน่น ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสายสัมพันธ์ของมิตรภาพอันลึกซึ้ง
มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูบ้านแสงเทพ บารมีเปิดประตูเล็กเดินออกมา เขากวาดตามองรอบตัวอย่างรวดเร็ว อาการระแวดระวัง แล้วตรงดิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์คันนั้น
“รู้จักบริษัท M.S. JEWELRY มั้ย” บารมีถาม
มอเตอร์ไซค์ทำหน้าคิด...บารมีส่งซองจดหมายให้
“อยู่ลาดพร้าวซอย 1...แผนที่อยู่ในนั้นแล้ว ลื้อไปที่นั่น เอาจดหมายนี่ไปให้เขา ชื่อเขาอยู่ที่หน้าซอง...ส่งให้ถึงมือเขานะ เอ้า เอาตังค์ไปหมดนี่ละ แล้วไม่ต้องกลับมาหาอั๊วอีก”
มอเตอร์ไซค์อ่านชื่อหน้าซอง “คุณแพรวา”
“เออ...ไปเร็วๆ เข้า”
มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวออกไป ขณะรถสปอร์ตคันสวยของตะวันฉายแล่นสวนเข้ามาจอดรอ บารมีเดินไปเปิดประตูใหญ่ให้ตะวันฉายนำรถเข้าจอดในบ้าน
“วันนี้คุณอาเข้าป่ากับผมด้วยใช่มั้ยครับ”
“ใช่”
แสงเทพเดินมาดดีออกมาจากตัวบ้าน ปื๊ดเดินตามมาติดๆ พร้อมอาวุธครบมือ ปืนสั้น ปืนยาว ปืนลูกซอง คล้องเต็มตัวมัน
ตะวันฉายลงรถมาแล้วร้องทัก “โอ้โฮ...คุณอา ขนไปขนาดนี้เชียวเหรอ”
“นานๆ ไปที ต้องเอาไปให้ครบ...กลับออกมาอย่างน้อยต้องได้เก้งได้กวางติดมาซักตัวสองตัว”
บารมีแปลกใจหันมาถามเอากับปื๊ด “ป่าแถวไหนวะ มีเก้งมีกวางให้ยิง”
“ป่าสงวน...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” ลูกน้องยอดชั่วหัวเราะชอบใจ
“หลานชายไม่ต้องกลัว วันนี้เราจะยิงกันเป็นครั้งสุดท้าย แบบสั่งลา รับรองว่าไม่ให้รู้ถึงหูคุณพ่อแน่ๆ”
ตะวันฉายยิ้มพึงพอใจ
ขณะนั้น ที่บ้านพักรับรองของเหมือง M.S. เมืองกาญจน์ ชาติชายและผ่องช่วยกันถูพื้นบ้านทั้งสองดูอารมณ์ดี กว่าที่ผ่านมา
“เฮียรู้อะไรมั้ย...”
“อะไร”
“บ้านผมเอง ผมยังไม่เคยถูขนาดนี้เลยนะ”
“แกมันขี้เกียจนี่หว่า”
“แหม ห้องเฮียสะอาดนักนี่...ก็ขี้เกียจเหมือนกันแหละ”
“ไม่เหมือนกันเว้ย อั๊วมัน...”
ผ่องพูดสวน ดักคอ “คนอกหัก...คนอกหัก ห้องต้องรกเลอะเทอะด้วยเหรอเฮีย...งั้นลองให้น้องแก้มช่วยดีมั้ย เผื่อว่าห้องพักเฮียจะสว่างไสว สไตล์วัยรุ่นเกาหลี...ไม่เลวนะเฮีย”
“หุบปาก แล้วถูบ้านให้เสร็จๆ ซะที”
แก้มถือกระป๋องน้ำเดินเข้ามาสมทบ
“น้องแก้ม มาพอดี มาช่วยพี่ถูบ้านหน่อยเร้ว” ผ่องร้องเรียก
“อาคับ...แม่โทร.มา แม่อยากคุยกับอา”
ดวงใจอยู่ที่บ้านพักหลังงาม กำลังพูดโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่กับชาติชาย สีหน้าของลอบบี้ยิสต์ตัวแม่ซีเรียสเอาการ
“เขากำลังวางแผนการใหญ่ อะไรซักอย่างที่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ...แต่เขาไม่ยอมบอกรายละเอียดอะไร...ถ้าดิฉันซักไซ้มากไป ก็จะดูผิดสังเกต”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมจะลองหาข่าวจากทางอื่นดูด้วย”
“ช่วงนี้...ฉันอาจจะต้องเดินทางออกนอกประเทศนานหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกชุดคุ้ย...อาจจะไม่มีโอกาสช่วยเหลืออะไรคุณชาติชายได้มากนัก”
“เข้าใจครับ...ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยคุณดวงใจได้ ก็บอกเลยนะครับ”
ดวงใจใช้เวลาตัดสินใจสักนิด ก่อนเอ่ยปากพูด
“ดิฉันอยากมีโอกาสได้อยู่กับลูกสาวบ้างน่ะค่ะ...ซักช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งก่อนไปเมืองนอกก็ยังดี”
ชาติชายนิ่งคิดก่อนบอก “ผมจะลองพูดกับแก้มเองครับ”
ขณะเดียวกันมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่บารมีจ้างคันนั้น แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าป้อมยามบริษัท M.S. ยามปราดเข้าไปไต่ถามตามหน้าที่
“มาพบใครไม่ทราบ”
“มีคนฝากจดหมายมาให้คุณแพรวา”
“วันนี้คุณแพรวายังไม่เข้าบริษัทเลย”
“อ้าว แล้วผมจะทำยังไงล่ะ...เขาบอกให้ส่งให้ถึงมือด้วย”
ไม่นานนักเห็นหรั่งพูดสั่งผ่านอินเตอร์คอมจากภายในห้องทำงานเขา
“เอามาวางที่โต๊ะผมแล้วกันนะยาม ค่ำๆ ผมจะเอาไปฝากที่บ้านคุณแพรวาเอง”
“ครับผม” เสียงยามดังลอดออกมาจากเครื่อง
หรั่งลุกขึ้นเดินวนรอบๆโต๊ะ ใบหน้าหล่อเครียดเคร่ง คล้ายว่าเขากำลังวิตกอะไรบางอย่าง
ส่วนที่โถงบ้านเผ่าลาภ รำไพโผเข้าสวมกอดลูกสาวด้วยความรัก เผ่าลาภนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กัน
สยามและส้มยืนรอๆ อยู่ ห่างออกไป แพรวาอยู่ในชุดสวยเตรียมไปงานสำคัญ
“ทำให้ดีที่สุดนะลูก ให้สมกับที่เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณป๋า…ไม่ต้องห่วงทางนี้นะ” รำไพกำชับ
“ค่ะ”
แพรวาคลายตัวออกมาจากอ้อมกอดแม่ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ บิดา
“น้องแพรไปนะคะ พรุ่งนี้จะรีบกลับแต่เช้าเลย แล้วจะซื้อขนมมาฝากด้วย คุณป๋าอย่าเพิ่งกินอะไรอิ่มซะก่อนล่ะ…รอน้องแพรด้วยนะ…”
เผ่าลาภกลอกตาช้าๆ มาทางลูกสาว แพรวายิ้มหวานให้
“สัญญาแล้ว ต้องรอจริงๆ นะป๋า”
แพรวาโน้มหน้าหอมแก้วคุณป๋าของเธอหนึ่งที แล้วลุกขึ้นขยับตัวออกเดิน ส้มและสยามเดินนำหน้าไป เผ่าลาภ ค่อยๆ ยกมือข้างขวาสูงขึ้นโบก รำไพทรุดตัวลงนั่งข้างๆ สามี แล้วเรียกลูกสาว
“น้องแพร”
พอแพรวาหันกลับมาจึงเห็นว่าเผ่าลาภโบกมือไปมาให้ โดยมีรำไพนั่งเคียงข้าง แพรวามองภาพนี้แล้วอิ่มเอมใจ
เธอฮึดสู้ยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นบิดา ขนลุกไม่รู้ตัวโดยประหลาด
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 13 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้นรถกระบะชาติชายวิ่งไปบนถนนหลวง มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ชาติชายขับรถสีหน้านิ่ง มองตรงไปเบื้องหน้า แก้มมองจ้องชาติชายสักพัก จึงเอ่ยปากพูด
“ถามจริงๆ อารำคาญแก้มมั้ย”
“ทำไมคิดอย่างนั้น”
“ก็อาถึงกับลงทุนขับรถมาส่งแก้มด้วยตัวเองอย่างนี้...แสดงว่าอยากไล่แก้มไปให้พ้นๆ”
“อยากให้เรานึกถึงแม่บ้างต่างหาก...รู้มั้ยว่าแม่เขาเป็นห่วงเรามากแค่ไหน”
“อารู้เหรอ?”
“เราก็รู้...แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ไม่ยอมรับความจริง”
“ก็เหมือนกับอานั่นแหละ...รู้ว่าคุณกันทิมาเขาเป็นห่วง แต่ชอบเก๊ก ซึม ไม่ยอมรับความจริง”
“ทะลึ่งอีกแล้วนะ”
ว่าพลางชาติชายยกมือเขกหัวแก้ม...เด็กสาวมาดทอมเอี้ยวตัวหลบได้ทัน
“การเขกหัวผู้โดยสารระหว่างขับรถ อาจทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดน้อยลงนะคับ”
ชาติชายเขกอีกที คราวนี้โดนเต็มๆ
“แต่ทำให้ผู้โดยสารหุบปากได้ง่ายขึ้น”
แก้มหุบปากไปได้แป๊บหนึ่ง แล้วก็อ้าปากพูดอีกครั้ง
“เย็นนี้กินข้าวกับแม่แก้มได้มั้ย...แม่จะได้รู้จักอามากขึ้น”
“รู้จักมากขึ้น แล้วไง”
“แม่จะได้สบายใจ และก็ไว้ใจ เมื่อรู้ว่าแก้มอยู่กับอา” แก้มบอก นัยน์ตาเป็นประกาย โดยที่หนุ่มใหญ่ไม่ทันเห็น
เย็นวันเดียวกัน หรั่งเปลี่ยนอิริยาบถ หลายท่วงท่าอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง เขาค้นหารายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ หรั่งยกหูโทร.ออกหลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง ไม่คล้อยตามการชักจูงของเขา ในที่สุดหรั่งตัดสินใจหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะ เขาลุกเก็บเอกสารและข้าวของบนโต๊ะ
จนเมื่อเสร็จก็รีบเดินผ่านโต๊ะทำงานออกไปอย่างรีบร้อน พบว่าที่โต๊ะ ซองจดหมายจากบารมีฉบับนั้น ถูกวางทับซ้อนอยู่บนโต๊ะนั้นเอง จ่าหน้าซองว่า “ฝากให้คุณแพรวา…ด่วนที่สุด”
ไม่นานนัก เห็นมอเตอร์ไซค์ของหรั่งแล่นออกมาจากในอาคาร เมื่อถึงประตูรั้วเขาหยุดใกล้ๆ ยาม
“คืนนี้ คุณเผ่าลาภจะขึ้นดาดฟ้าเหมือนเดิมนะ คอยเปิดประตูด้วย”
“เดี๋ยวผมจะบอกยามกะกลางคืนให้ครับ”
หรั่งพยักหน้าให้ แล้วขับรถออกจากบริษัทไป
ค่ำคืนนั้นรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อบุกเข้ามาท่ามกลางความมืดของป่ารกชัฏ มีเสียงของแสงเทพแหวกเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น
“การล่าสัตว์ มันเป็นเกมของลูกผู้ชาย...ผู้ล่าและผู้ถูกล่า ถือว่ามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันไม่มีใครเหนือกว่าใครทั้งนั้น...”
บารมีขับรถมา ด้วยสีหน้า ตึงเครียด ท่ามกลางเสียงพูดของแสงเทพ ปื๊ดถือปืนมาดเท่ห์นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนด้านหลังรถ ตะวันฉายกระชับปืนในมือ...ดูเท่ห์กว่า
แสงเทพกำลังพูด พร้อมกับประทับปืนบนร่องบ่าอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
“ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสพลาดได้ เท่าๆกันเสมอ...”
สิงโตตัวผู้คำรามอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกันที่งานแต่งงานบ้านผู้ใหญ่ที่เมืองกาญจน์ แพรวาเดินถือของขวัญตรงเข้าไปในงานแต่งงานนี้ ผู้ใหญ่เต้ พ่อฝ่ายเจ้าบ่าว เดินยิ้มแย้มตรงเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ ดิฉันแพรวา...”
“จำได้จ้ะ...คนสวยๆอย่างนี้ลุงเต้จำแม่น....ยิ่งโต ยิ่งงามสง่าจริงๆ” ผู้ใหญ่เต้หวานใส่
“ดิฉันมาแทนคุณป๋าค่ะ”
“ถือเป็นเกียรติแก่เจ้านิพนธ์อย่างมากเลย...ลุงเต้ เป็นพ่อก็เลยพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วยที่มีสาวสวยๆ มาร่วมงาน”
“คุณป๋าฝากของขวัญมาให้ค่ะ”
แพรวาส่งของขวัญกล่องใหญ่ให้ ผู้ใหญ่เต้รับไว้ใบหน้าร่าเริง
เวลานั้นรถเก๋งคันโตของเผ่าลาภจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน เผ่าลาภถูกประคองลงนั่งที่เบาะหลัง หรั่งปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับ รำไพยืนส่งอยู่ตรงนั้น
“ขอบใจมากๆ เลยนะนายหรั่ง...ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
หรั่งยิ้ม ไม่ตอบอะไร เขาขับรถคันนี้เคลื่อนออกไป
เสียงตะวันฉายดังขึ้นกลางป่าดงดิบ
“เพียงเสี้ยววินาที ที่ผู้ล่าเกิดชะล่าใจ...”
ตะวันฉาย ประทับปืนเข้าร่องบ่า ยื่นปากกระบอกปืนออกไปนอกหน้าต่างรถ สายตาของเขาชำเลืองมองไปยังแสงเทพที่อยู่ข้างๆ
“เขาก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของผู้ถูกล่าได้ทันที ใช่มั้ยครับอา”
แสงเทพยิ้ม “ถูกต้อง หลานชาย...”
ฟากผู้ใหญ่เต้เดินเข้ามาหน้าไมโครโฟน บนเวที ตะโกนใส่ไมโครโฟนตัวนั้น
“ท่านทั้งหลายโปรดฟัง…ในค่ำคืนอันเป็นมิ่งมงคลคืนนี้ บุตรสาวคนเดียวของคุณเผ่าลาภมหาโชคตั้งศิริ ได้กรุณาสละเวลามายังบ้านหินขาวของเรา…ดังนั้น เพื่อเป็นเกียรติแก่ไอ้นิพนธ์บุตรชายของผู้ใหญ่เต้ ขอเชิญคุณแพรวากล่าวคำอวยพรคู่บ่าวสาวแทนคุณเผ่าลาภหน่อย…”
แพรวาสะดุ้งด้วยไม่รู้มาก่อน สยามและส้มที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
เป็นเวลาเดียวกับที่ รถเผ่าลาภแล่นเข้ามาจอดหน้าทางเข้าอาคาร M.S. GROUP เผ่าลาภนั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกนิ่งๆ หรั่งเอี้ยวตัวมาหาเผ่าลาภ
“อยู่ถึงเช้าเลย ดีมั้ยครับ”
ฟากแพรวาเดินผ่านโต๊ะผู้คนแขกเหรื่อในงานแต่งตรงไปยังเวที แขกเหรื่อรอบๆ ตบมือดังสนั่น ด้านหลังเราจะเห็นเด็กซนสองสามคนวิ่งเล่นอยู่บริเวณใกล้ๆ กับพวงลูกโป่งข้างๆ โต๊ะแขกในงาน กลุ่มเด็กนั้น...มันคนหนึ่งควักเอาไม้ขีดไฟออกมา
ส่วนในป่าดงดิบ แสงเทพแหย่ตาลงไปที่กล้องเล็ง ตะวันฉาย เขาทำเช่นเดียวกับแสงเทพ ขณะที่ด้านหลัง บารมียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอย่างร้อนรน
เสียงแพรวาพูดผ่านไมโครโฟนดังก้องกังวานขึ้น
“ดิฉันเชื่อว่า ถ้าคุณป๋าของดิฉันมีโอกาสมายืนอยู่ท่ามกลางพ่อแม่พี่น้องอย่างที่ดิฉันยืนอยู่ตอนนี้…”
ด้านหรั่งเข็นรถเข็นเผ่าลาภเข้ามาที่หน้าลิฟท์ส่วนตัวแล้ว สีหน้าเผ่าลาภ มิได้บอกอารมณ์ใดๆ
เสียงแพรวาในงานแต่งยังคงดังต่อเนื่อง
“สิ่งแรกที่ท่านจะทำก็คือ… ขอกราบขอบพระคุณผู้ใหญ่เต้ และพ่อแม่พี่น้องบ้านหินขาวทุกคน ที่กรุณาให้การสนับสนุนกิจการเหมือง M.S. มาโดยตลอด…”
ไม้ขีดไฟกำใหญ่ถูกจุดขึ้น โดยฝีมือของเด็กผีจอมซน มันแหย่เปลวไฟไปที่ปลายเชือกผูกลูกโป่งอย่างตื่นเต้น
“คุณป๋าของดิฉันมั่นใจเสมอมาว่า ด้วยพลังที่พร้อมเพรียงของพวกเราทั้งหลายนั้น”
จังหวะเดียวกับที่หรั่งเอื้อมมือกดเรียกลิฟท์ ตัวเลขดิจิตอลบริเวณระเบิดเริ่มเดินถอยหลัง
ที่งานแต่งงานเมืองกาญจน์ ลูกโป่งพวงใหญ่เคลื่อนตัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลวไฟลามจากปลายเชือกมุ่งสู่ลูกโป่งพวงนั้น
เสียงแพรวาดังขึ้น “จะเป็นแรงผลักดันให้ M.S. ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง…”
หรั่งเข็นรถเข็นเผ่าลาภเข้าไปในลิฟท์ ประตูลิฟท์ปิดผ่านใบหน้าหล่อเหลาของเขาลง
“และจะเป็นแหล่งงานถาวรของพี่น้องบ้านหินขาวสืบไป ตราบนานแสนนาน…” เสียงแพรวาดังก้อง
ส่วนในป่าดงดิบ ตะวันฉายแหย่ตาลงไปในกล้องเล็ง เห็นกวางสองตัว ผัว-เมีย เหลียวมามองกล้อง
ในลิฟท์บริษัท M.S. ตัวเลขดิจิตอล เดินถอยหลัง ใกล้จะถึงเลขศูนย์แล้ว
ขณะในงานแต่งงานเมืองกาญจน์ เปลวไฟที่ลามไปตามเชือก ใกล้จะถึงลูกโป่งแล้วเช่นกัน
แพรวายังคงยืนพูดอยู่บนเวที
“ไม่ว่าวันนั้นเราจะยังมีท่านอยู่หรือไม่ก็ตาม…”
แสงเทพเหนี่ยวไกปืน เวลาเดียวกับที่ตัวเลขดิจิตอลเดินถอยหลังจากเลข 1 เป็นเลข 0 และลูกโป่งทั้งพวงระเบิดตูมเหนือท้องฟ้างานแต่ง กวางตัวผู้ล้มลง ตัวเมียกระโจนหนีหายไป
แหละลิฟท์ตัวนั้น เกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว ชิ้นส่วนของลิฟท์ปลิวว่อน กระจายไปทั่วดาดฟ้าอาคาร M.S.
พวงลูกโป่งอื่นๆ ระเบิดไล่ตามกันต่อเนื่องทั้งงาน แพรวาและแขกเหรื่ออื่นๆ แหงนหน้าขึ้นมอง เธอสะดุ้ง และ หวาดผวา สังหรณ์ใจประหลาด
พระอาทิตย์ยามเช้าโผล่ขึ้นเหนือท้องฟ้าจังหวัดกาญจนบุรี ท่ามกลางแสงเย็นตายามเช้าตรู่นั้น มีสรรพเสียงนาๆ ของสารพัดสัตว์แข่งกันร้องสร้างสรรค์บรรยากาศให้สดใส
มองจากบริเวณริมหน้าต่างห้องนอนแพรวาออกไป จะเห็นว่ายามนี้มีรถจี๊บวิ่งตรงมาทางบ้านหลังนี้อยู่ไกลๆ เสียงผู้คนพูดคุยกันดังแว่วมา น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจับความไม่ถูก
เสียงชาย 1 ว่า “เมื่อคืนนี้เอง ตอนซัก ห้าทุ่มมั้ง…”
ตามด้วยเสียงอุทานชาย 2 “ฉิบหายแล้วซี”
เสียงชาย 1 “ตอนนี้วุ่นกันใหญ่…จับมือใครดมก็ยังไม่ได้”
คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิง 1 “คุณหนูรู้หรือยัง”
เสียงชาย 1 “ไม่รู้สิ ฉันเองก็เพิ่งรู้นี่แหละ”
เสียงหญิง 1 “เขาคงปิดข่าวกันมั้ง”
เสียงชาย 2 “ใช่ หนังสือพิมพ์ไม่เห็นลงเลย”
เสียงชาย 1 “ลงอยู่ฉบับหนึ่ง มีแต่พาดหัวข่าวนะ ไม่มีรูป…ฉันเพิ่งอ่านที่นี่เมื่อกี้นี้เอง”
ส่วนภายในห้องนอนผ้าม่านสีสวยปลิวตามแรงลม แพรวานอนหลับสบายอยู่ในแวดล้อมธรรมชาติบนที่นอนนุ่ม เธอค่อยๆ ลืมตา และลุกขึ้นนั่ง เสียงผู้คนภายนอกยังสนทนากันอยู่
คราวนี้ได้ยินเป็นเสียงส้มชัดเจน “น้าหยาม…ทำไงดีล่ะ”
ตามด้วยเสียงสยาม “ฉันก็ไม่รู้ว่ะ งงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
เสียงชาย 2 ทักท้วงว่า “คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
เสียงส้มดูหนักใจมาก “คุณแพรวารู้เข้าจะว่ายังไง”
เสียงสยามบอก “อย่าเพิ่งให้รู้ซี่...”
เสียงหญิง 2 “โธ่ จะปิดได้นานซักแค่ไหน”
เสียงชาย 2 บอก “เอาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาเก็บก่อนเร็ว”
เสียงส้มถาม “ไหนล่ะ…อยู่ไหน”
แพรวาค่อยๆ ลุกเดินออกจากห้องไป เธอไม่ได้สนใจจะจับความในน้ำเสียงตระหนกเหล่านั้น
สักครู่แพรวาเดินออกจากห้องนอน หล่อนสูดอากาศยามเช้าแสนพิสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด แล้วจึงตรงไปยังระเบียงข้างบ้าน แพรวาเห็น สยาม ส้ม และเจ้าหน้าที่อบต. ยืนจับกลุ่มกันอยู่ข้างรถจี๊ปคันนั้น ซึ่งอยู่ไกลออกไป ท่าทีพวกเขาเหมือนพยายามเดินหาอะไรซักอย่าง ใครบางคนในกลุ่มนั้นชี้มือมาทางแพรวา
แพรวาเดินมาหยุดยืนข้างโต๊ะสนามตัวสวย เธอรินน้ำบนโต๊ะนั้นใส่แก้วดื่ม แล้วขยับตัว
เจ้ากรรมเหลือเกิน หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะนั้น กรอบข่าวไม่ใหญ่โตนักกลางหน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏข้อความพาดหัวชวนระทึกว่า
“ลอบสังหารหัวเรือใหญ่ M.S. ระเบิดคาลิฟท์…ไม่เหลือซาก”
ขณะแพรวายกแก้วน้ำนั้นขึ้นดื่ม หล่อนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แว้บเข้ามาในกรอบสายตา แพรวาหันกลับไปที่โต๊ะนั้น ค่อยๆ หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาดู
สีหน้าของแพรวาค่อยๆ ซีดลงๆ ใบหน้าสวยอิ่มซีดขาวราวกับไร้ซึ่งโลหิตสูบฉีด ทุกอย่างเงียบไปชั่วขณะแทบไม่รู้สึกถึงลมหายใจของเธอแม้แต่น้อย
“คุณป๋า”
เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเป็นลมล้มลงแน่นิ่งไปกองคาพื้นหญ้า ตามมาด้วยความโกลาหลของผู้คนที่วิ่งเข้ามาปฐมพยาบาลเธอ
ไม่บอกก็คงรู้ว่าบรรยากาศบริเวณหน้าตึก M.S. ยามเช้านั้น แสนสับสน วุ่นวายปานใด พนักงานรูดประตูเหล็กปิดกั้นบริเวณทางเข้าอาคารแล้วล็อคกุญแจประตูอีกชั้นด้วย
สักครู่มีรถนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แล่นเข้ามาจอดหน้าอาคาร เจ้าหน้าที่ติดประกาศ หยุดกิจการชั่วคราว พร้อมกับดึงแถบสีเหลืองมาคาด แสดงเขตอันตราย ห้ามเข้า
ขณะเดียวกันรถแท๊กซี่มิเตอร์คันใหม่เอี่ยมวิ่งเข้ามาในซอยของบริษัท M.S. เสียงโชเฟอร์ดังขึ้น
“โอ้โฮ เสียงมันดังตูมตามสนั่นลั่นไปถึงอู่ผมเลยละครับ...”
โชเฟอร์คุยฟุ้ง “เถ้าแก่ผมเปิดอู่อยู่ซอยถัดไปนี่เอง...เมื่อคืนผมมาส่งรถตอนห้าทุ่ม กำลังเงียบสนิทเลยลูกพี่...อยู่ๆดังตูมขึ้นมา แหม ผมเหยียบเบรคแทบไม่ทัน...ก็มันไม่รู้ว่าอะไรนี่ลูกพี่...ใจหนึ่งก็นึกว่า พวกเจ้าพ่อเขานัดมายิงกันรึเปล่า...มารู้อีกทีตอนเช้าว่าลิฟท์ระเบิด ค่อยสบายใจหน่อย...แต่พูดก็พูดเถอะนะลูกพี่...อยู่เฉยๆลิฟท์มันจะระเบิดขึ้นมาได้ไง...”
ที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง เป็นบารมีนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้น
“ผมว่าต้องมีคนวางระเบิดแหงๆ...ลูกพี่ว่ามั้ย...เขาว่ามีคนตายด้วยนะ แต่ปิดข่าวเอาไว้...โอ๊ยปิดยังไงก็ไม่มิดหรอก เรื่องแบบนี้”
“เหรอ...”
รถแท็กซี่คันนี้แล่นผ่านหน้าประตูบริษัท เห็นร่องรอยความวุ่นวายของผู้คนในบริเวณนั้นอยู่เนืองๆ
“ช่วยจอดตรงนี้หน่อยซิ” บารมีบอก
รถแท๊กซี่คันนั้นจอดห่างออกมาจากตัวอาคาร M.S. พอควร แลเห็นรถเก๋งคันใหญ่ของแพรวาแล่นเข้ามาจอดหน้าทางเข้า
มองผ่านกระจกมองข้างคนขับรถแท็กซี่ เห็นเป็นยามก้มลงพูดอะไรบางอย่างกับสยามซึ่งเป็นผู้ขับรถ ส่วนแพรวาใส่แว่นดำ นั่งเอนตัวสะอื้นไห้อยู่ที่บริเวณเบาะหลัง บารมี ชะโงกดูที่กระจกนั้น
“อยากจะลงไปดูในตึกเหรอ” คนขับถามบารมี
บารมีส่ายหน้า “ไปเหอะ”
“ตกลงจะไปที่ไหนครับ ตั้งแต่นั่งมานี่ พี่ยังไม่ได้บอกผมเลย...มิเตอร์เดินไปเยอะแล้วนะครับลูกพี่”
บารมีตกอยู่ในความเครียด เขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงโชเฟอร์แม้แต่น้อย
“ลูกพี่...ทำไมทำหน้าเหมือนร้องไห้เลยล่ะ”
เวลาเดียวกันนั้น ได้ยินแต่เสียงร้องไห้โฮดังระงมไปทั่วทั้งห้องประชุมบริษัท M.S. ผู้คนซึ่งเป็นเจ้าของเสียงเหล่านั้น ได้แก่ พนักงานและเลขาที่เราคุ้นตา ส้มและสยามยืนรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แพรวา น้ำตานองหน้า สายตาของเธอมองทอดออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย เสียงของเธอล่องลอยคล้ายคนไร้สติ
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง...ใครบอกน้องแพรทีได้มั้ยว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ด้านหลังของแพรวา บรรดาพนักงานอีกกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ พวกเขาสุมหัวง่วนอยู่กับกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการตายของผู้เป็นเจ้านาย
มีใครบางคนถือรูปเผ่าลาภในกรอบสวยใบใหญ่เดินเข้าไปด้านใน
กันทิมาเดินสวนเข้ามา พร้อมกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยศพันตำรวจเอก
“น้องแพรจ๋า นี่พันเอกยุทธ ท่านคุ้นเคยกับคุณป๋าน้องแพรมานาน...ท่านจะเข้ามาดูแลรับผิดชอบคดีนี้ด้วยตัวเอง”
“เราจะเอาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ หลานไม่ต้องกังวลนะ” ผู้การยุทธบอก
“ขอบคุณค่ะ...แต่น้องแพรแค่อยากรู้ว่า ทำไมเขาต้องทำกับคุณป๋าอย่างนี้ด้วย...เท่านั้นเองที่น้องแพรอยากรู้”
“นั่นคือคำถามที่ตอบยากที่สุดของทุกคดีอาญา” ท่านผู้การว่า
“ท่านขอให้เราปิดข่าวเรื่องนี้เงียบไว้ก่อนจ้ะน้องแพร” กันทิมาบอก
“ดูจากสภาพการณ์แล้วคนร้ายตั้งใจทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุ...เพราะฉะนั้นถ้าเราทำเฉยๆ เหมือนเราเชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริง...อาจจะช่วยให้ง่ายขึ้นในการสืบหาผู้คิดร้ายรายนี้หลานต้องใจเย็นๆ ก่อนนะ...ขอให้เชื่ออาเถอะ”
“ใครอยากทำอะไรก็เชิญค่ะ คุณอาไม่ต้องมาบอก ไม่ต้องมาขอน้องแพรหรอก...ถ้ามีใครทำให้คุณป๋าฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ค่อยมาบอกน้องแพรดีกว่า”
“อาเข้าใจ ว่ามันเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงขนาดไหน...อาเพียงแต่อยากให้หลานมั่นใจว่า หลานจะไม่เสียคุณป๋าไปฟรีๆ แน่”
ผู้การยุทธปลุกปลอบใจบุตรีเพื่อนสนิท จากนั้นก็แยกเดินไปอีกทางไม่ไกลนัก
กันทิมาโอบกอดแพรวาไว้ น้ำตาแพรวาไหลพรากออกมาอีกระลอกใหญ่
“คุณอากันขา...น้องแพรทำผิดอะไร...ตระกูลของเราทำอะไรผิด ถึงได้ถูกสาปแช่งอย่างนี้”
“ไม่มีใครรู้ที่มาของกรรมเก่าหรอกค่ะ”
“ถ้าเป็นกรรมเก่าจริง ทำไมมันไม่มาทีเดียวให้หมดไปเลยล่ะ มีกรรมอะไรจะต้องชดใช้ ก็ทีเดียวไปเลยได้มั้ย จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา...ทำไมมันต้องทยอยกันมาไม่จบไม่สิ้น อยากรู้นักว่าใครนะ ที่จงใจเขียนชะตาชีวิตพวกเราให้เป็นแบบนี้...เทวดา ฟ้าดินคงสนุก คงสะใจนักละซีที่เห็นพวกเราทนทุกข์ทรมานกันอย่างนี้”
“เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทนทุกข์ทรมานให้ใครเห็น...อดทนสู้กันต่อไป ไม่หวั่นไหวกับโชคชะตา...แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้นเอง”
“มันคงจะดีขึ้นค่ะ ถ้าน้องแพรจะเลิกทุกอย่าง ทิ้งทุกอย่าง แล้วพาแม่ไปให้ไกลจากที่นี่...ไปอยู่กันตามลำพังสองคน”
กันทิมาอึ้ง “น้องแพร...”
“จะได้ไม่ต้องสูญเสียคนที่น้องแพรรักให้กับชะตากรรมอีกต่อไป...ฝากคุณกันช่วยส่งข่าวนายหรั่งให้พวกเพื่อนๆ เขาที...ให้น้าหยามจัดการให้ก็ได้ บอกเขาว่า น้องแพรจะจัดงานศพให้เขาพร้อมๆ กันกับคุณป๋านี่แหละ” คุณหนูคนสวยระบดระบาย
กันทิมาแปลกใจ “แต่...นายหรั่งไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ”
วินาทีนี้ความฉงน ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยนองน้ำตาของแพรวา กันทิมาหันไปหาพันเอกยุทธ
“ท่านคะ...ตกลงเราพบใครอยู่ในลิฟท์นั้นบ้างคะ”
“ก็มีเพียงคุณป๋าของน้องแพรคนเดียว” ผู้การยุทธบอก
“อ้าว...แล้วนายหรั่งล่ะ...เขาเป็นคนพาคุณป๋ามาที่นี่”
“เห็นยามบอกว่า นายหรั่งรีบร้อนออกไปก่อนที่ลิฟท์จะระเบิด”
สิ้นเสียงกันทิมา แพรวาอึ้ง ฉงนหนักหน่วง
ที่บ้านแสงเทพเวลาเดียวกัน หนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกโยนลงบนโต๊ะกองใหญ่
“ไม่น่าเชื่อ ระดับนายเผ่าลาภตายทั้งที ไม่ยักเป็นข่าวใหญ่โต” แสงเทพแปลกใจ
“พวกเขาจงใจปิดข่าว” ตะวันฉายว่า
“ก็ดี...เราจะได้ไม่ต้องถูกเพ่งเล็ง”
ปื๊ดวางหูโทรศัพท์ แล้วเดินเข้ามาหานาย
“ไอ้ลูกครึ่งมันรอดครับนาย...มันออกมาจากลิฟท์ซะก่อน”
“ดวงแข็งจริงไอ้นี่” ตะวันฉายฉุน
“งั้นก็จัดการให้มันเป็นแพะซะเลย ท่าจะไม่เลว”
แสงเทพยิ้ม หัวเราะพอใจอยู่ในลำคอ ตะวันฉายยิ้มตามไปด้วย
“เอ...อาว่าหลานน่าจะหาเวลาไปเที่ยวงานศพบ้างแล้วมั้ง”
รถชาติชายแล่นเข้ามาจอดหลบมุมไม่ไกลจากบ้านแสงเทพนัก ชาติชายนั่งหน้าเครียดในรถ สายตาจับจ้องไปยังหน้าบ้าน พบว่าบริเวณนั้น เงียบเชียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ชาติชายนึกถึงคำพูดของดวงใจ ตอนเย็นวันที่ผ่านมา
“เขากำลังพยายามทำอะไรบางอย่างกับครอบครัวของคุณ เพื่อเป็นการล้างแค้น”
“คุณแน่ใจเหรอครับ”
“ดิฉันไม่มีหลักฐานหรอกค่ะ...และก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเกี่ยวกับความแค้นเคืองของเขาด้วย..แต่มีความรู้สึกว่า เขาคงจะทำอย่างนั้น”
“ความรู้สึกคุณน่าจะใกล้เคียงความจริง”
ชาติชายยังคงนั่งในรถจ้องเขม็งไปยังหน้าบ้าน สักครู่ประตูเปิดออก รถแสงเทพเคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังนั้น ชาติชายมองตาม เขาค่อยๆ บังคับรถให้เคลื่อนตามรถแสงเทพไปไม่ห่างนัก
บ่ายแก่ๆ รูปเผ่าลาภขนาดใหญ่ ใบหน้าอมยิ้ม ตั้งอยู่หน้าโลงศพที่กำลังได้รับการจัดแต่งอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมจีน รำไพ นั่งตัวตรงนิ่ง จ้องไปที่โลงศพ ไม่พูดไม่จากับใคร ลินจงและครอบครัว นั่งถัดออกไป ความทุกข์ใจไม่ได้น้อยกว่ากันนัก
ส่วนแพรวา ใบหน้าของเธอมีริ้วรอยผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
ทุกคนอยู่ในเครื่องแต่งตัวไว้ทุกข์ ตามประเพณี ด้านหลัง เห็นเป็นกันทิมายืนควบคุมการจัดเตรียมสถานที่ โดยมีส้ม และพนักงาน M.S.เป็นลูกมือ
รถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด สยามลงมาจากรถคันนั้น เขารีบเปิดประตูรถด้านข้าง เห็นเป็นกัมปนาทก้าวลงจากรถ พร้อมด้วยสายน้ำเกลือ หน้าตาอิดโรย พยาบาลหนึ่งคนคอยเดินประคองใกล้ๆกัมปนาทไว้ กันทิมาตรงเข้าไปหา พากัมปนาทไปยังที่นั่ง
ดวงตากัมปนาท มีน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเล็กๆ
“นั่งตรงนี้ค่ะ…อยากได้อะไรบอกได้เลยนะคะคุณฮุย”
“อยากได้ตัวคนทำร้ายเฮียตง….มันเป็นใคร…ใครทำกับเฮียอย่างนี้…โฮ โฮ โฮ” กัมปนาทปล่อยโฮไม่อายใคร ลินจงขยับเข้ามาปลอบกัมปนาทอีกคน
จังหวะนี้มีรถเก๋งคันใหม่เคลื่อนเข้ามาจอด ผู้ที่เปิดประตูลงจากรถนั้นคือ อรทัย ซึ่งเดินกร่างเข้ามากลางศาลาวัด เธอหยุดมองไปรอบๆแล้วเดินตรงมานั่งข้างๆ รำไพ
“โธ่ ซ้อนะซ้อ เลือกวัดซะไกลผู้ไกลคนเชียว จัดงานศพเฮียทั้งที ทำเงียบฉี่แบบนี้ได้ยังไง”
รำไพไม่ตอบ
“ถามจริงๆเถอะ ใส่อะไรลงไปโลงน่ะ…เห็นตำรวจเขาว่ามันระเบิดซะเละจนหาซากแทบไม่เจอนี่นา”
รำไพหันหน้าหนี ลินจงตอบแทน
“ใส่เสื้อผ้า เครื่องใช้ แล้วก็รูปภาพ”
“เฮ้อ…อั๊วว่า ลำบากนักก็ไม่ต้องจัดมันซะเลย หมดเรื่องหมดราว”
ลินจงชักฉุน…เสียงแข็งขึ้นมาบ้าง
“ทำยังงั้นได้ยังไงเจ๊…เฮียตงไม่ใช่คนไม่มีสกุลรุนชาตินี่ ชื่อ แซ่ เฮียก็มี…เป็นหน้าที่ของลูก
หลาน ของน้องๆอย่างพวกเรา ต้องแสดงความอาลัยรัก ความเคารพตามธรรมเนียมที่ทำๆ กันมา
“ตามใจ” อรทัยตวัดเสียงใส่ ก่อนจะหันไปทางแพรวา
“แล้วทีนี้จะเอายังไงดี ยายแพร…ว่าไงหลาน”
“ว่าไงเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องกิจการของเราน่ะสิ ขายๆไปซะเถอะนะ อาว่า…หนูทำไม่ไหวหรอก…อาโกบอกแล้วไม่เชื่อ ยิ่งผู้ช่วยรูปหล่อของหนูหนีไปอีกคน หนูจะไปเหลืออะไร อาโกเคยเตือนแล้วใช่มั้ยว่าให้ระวังไอ้พวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าให้ดี พวกนี้มันคบไม่ได้…อาไม่รู้หรอกนะว่าหนูถลำลึกลงไปกับมันแล้วแค่ไหน เสียอะไรให้มันไปแล้วบ้าง แต่ที่แน่ๆไอ้คนพรรค์นี้นะ หนูเอามันไม่อยู่หรอก แล้วหายหัวไปเฉยๆแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันขโมยอะไรไปบ้างรึเปล่าพรรคพวกในสลัมมันยิ่งเยอะอยู่ด้วย หนูแพรลองเช็คดูให้ดีเถอะ”
แพรวาขัดขึ้น “อาโกคะ…”
“หึ๊”
“อาโกจะไม่ไหว้คุณป๋าซักหน่อยเหรอคะ มาตั้งนานแล้ว…”
อรทัยหันไปไหว้โลงศพเผ่าลาภอย่างเสียไม่ได้ กันทิมาเดินตรงมาที่แพรวา
“มีเรื่องให้ร้อนใจอีกแล้วละน้องแพร”
แพรวาและลินจงหันไปมองหน้ากันทิมา เพื่อรอฟัง
“พลอยและจิเวลรี่ในสต็อกของบริษัททั้งหมดหายไปค่ะ”
ลินจงงง “หายได้ยังไง”
“พนักงานของเราบอกว่า คนที่เข้าไปเช็คสต็อกคนสุดท้ายคือ นายหรั่ง”
อรทัยเงยหน้าจากการไหว้ศพพอดี
“นั่นไง…ฉันว่าแล้ว ไม่มีผิดเลย...”
แพรวามีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ไอ้นี่มันผู้ร้ายชัดๆ...เราต้องตามจับตัวมันให้ได้นะน้องแพร”
เสียงอรทัยแผดดังลั่นศาลา
รถแสงเทพวิ่งไปตามถนนนอกเมือง มีรถชาติชายแล่นตามมาไม่ห่าง ชาติชายจดสายตาจับจ้องไปยังรถแสงเทพไม่วางตา ปื๊ดผู้ทำหน้าที่ขับรถแสงเทพ มันเหลือบมองที่กระจกส่องหลัง พุ่งสายตาไปยังรถชาติชาย ส่วนแสงเทพนั่งอ่านหนังสือพิมพ์นิ่งในรถ
ชาติชาย แลเห็นท้ายรถแสงเทพเลี้ยวเข้าไปในซอยเบื้องหน้า เขาบังคับรถให้เลี้ยวตาม ซอยนั้นเป็นซอยตัน รถชาติชายแล่นไปจอดก้นซอย ชาติชายก้าวลงจากรถ สีหน้าฉงน
ชาติชายกวาดสายตามองหา ที่ด้านหลังรถแสงเทพแล่นออกมาจากซอยข้างๆ มันพุ่งเข้าหาชาติชายอย่างเร็วและแรง ชาติชายหันกลับไปมองสะดุ้งสุดตัว แต่ไม่ทันที่เขาจะขยับตัว รถแสงเทพก็จอดชิดติดร่างของเขาพอดี กระจกข้างรถแสงเทพเลื่อนลง ปื๊ดยื่นปืนออกมา ยกเล็งไปที่ชาติชาย แสงเทพโผล่หน้าออกมาจากกระจกหลัง
“ถ้าไม่อยากตายก่อนถึงวัยอันควร อย่าขับรถใกล้อั๊วนัก”
ชาติชายได้แต่กัดฟันกรอด แสงเทพให้สัญญาณปื๊ด ถอยรถออกไปจากซอย ชาติชายเตะหิน ดิน ทราย แถวนั้นกระจายระบายอารมณ์
รถที่สยามขับแล่นตรงเข้ามาจอดหน้าป้ายชุมชนจานเดี่ยว กันทิมาก้าวลงจากรถ มองตรงเข้าไปยังชุมชน สยามดับเครื่องยนต์ เปิดประตูรถตามลงมา สองคนเดินเข้าไปในนั้น
ไม่นานนัก เจ๊โอ๋ก้าวออกมาหากันทิมาตรงหน้าบ้าน
“โอ๊ย ฉันไม่รู้หรอก...ตั้งแต่มันย้ายไปอยู่บ้านเจ้านาย มันก็ไม่ได้กลับมานี่อีกเลย หน้าตาก็แทบจะไม่ได้เห็นกันอีกแล้ว”
“แล้วพวกเพื่อนๆเขาล่ะคะ พอจะรู้มั้ยว่านายหรั่งอยู่ที่ไหน”
“ก็ต้องไปถามมันเอาเอง มาถามฉันได้ไง...มันอาจจะรู้ก็ได้...ไอ้พวกนี้มันชอบแอบทำลับๆล่อๆ รับงานอะไรแปลกๆมาทำด้วยกัน อยู่บ่อยๆ”
“แล้วเขาอยู่ไหนกันล่ะคะ”
“ตอนนี้ไม่อยู่...มันไป ซ้อมดนตรี เตรียมออกทัวร์คอนเสิร์ต”
กันทิมาฉงน “คอนเสิร์ต”
“ใช่...เดี๋ยวนี้ ก้อยมันไม่ธรรมดาแล้วนา...มันดังแล้วนะจะบอกให้...ฉันยังอยากจะสมัครเป็นหางเครื่องให้มันเลย...แต่กลัวมันไม่เอา”
ค่ำนั้นก้อยเล่นกีตาร์ท่ามกลางหมู่นักดนตรีในห้องซ้อมดนตรีเดิม ท่วงท่า ลีลาของก้อยดูเป็นนักดนตรีอาชีพมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนในวงสนุกสนาน เมามัน ไปกับอารมณ์เพลง เท่ห์ โบ้ เช็ง กระโดดโลดเต้น สนุกสนานไปกับเขาด้วย
ส่วนแพรวานั่งซุกตัวอยู่ในซอกหลืบใกล้โลงศพของผู้เป็นบิดา ในบรรยากาศหม่นเศร้าที่กลืนกินไปทั่วบนศาลาสวดศพในวัดแห่งนั้นย่านชานเมือง
บรรดาแขกเหรื่อ ผู้คน กำลังอยู่ในพิธีสวดศพ ที่ดำเนินไปอย่างถูกวิธี
ด้านนอกศาลา แลเห็นชาติชายเดินประคองรำไพตรงไปยังรถตู้ มีส้มคอยเดินตามดูแลอยู่ใกล้ๆ ขณะแพรวาใช้หัวใจพูดกับวิญญาณของผู้เป็นบิดา
เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่งชาติชายเดินมาเปิดหลืบผ้าเข้ามานั่งลงข้างๆ
“คนเก่งของอาต้องไม่หลบหน้าผู้คนอย่างนี้สิ”
แพรวาค่อยๆ ชำเลืองหางตาไปยังที่มาของเสียง
“อาเจ๊กเหลียง” แพรวาโผเข้าซบชาติชาย หมายให้เป็นที่พึ่ง
“แม่เราล้มไปคนหนึ่งแล้วนะ”
“แม่”
“อาให้รถไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว...ไปนอนให้น้ำเกลือ ให้หมอตรวจความดัน ตรวจหัวใจซะหน่อย เดี๋ยวเกิดปุบปับ เป็นอะไรขึ้นมาอีกคน”
“แม่รักคุณป๋ามาก...ตั้งแต่เกิดเรื่อง แม่ก็ซึมไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรกับใครเลย”
“พวกเราทุกคนรักเฮียตงเหมือนกันหมด แต่มีเพียงน้องแพรคนเดียวเท่านั้นนะที่มีเลือดของเฮียตงอยู่ในตัว...เอาเลือดนั้นออกมาใช้ซะ...อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตา...”
“ทำไมโชคชะตาต้องทำร้ายเราด้วยล่ะคะอาเจ๊ก”
“แต่โชคชะตาก็ไม่เคยปิดโอกาสที่เราจะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง น้องแพรต้องทำให้ได้อย่างที่ป๋าทำ”
“น้องแพรไม่มีทางทำได้อย่างคุณป๋า...อย่างน้อย คุณป๋าก็คงไม่เคย ไว้ใจคนผิดอย่างน้องแพร...” ในสถานการณ์ร้ายที่หล่อนไม่มีทางเข้าใจ ทำให้แพรวาเข้าใจ หรั่ง นาคำ ไปอีกทาง!
“นายหรั่งน่ะเหรอ?” ชาติชายถาม สีหน้าฉงน
ด้านกันทิมาและสยาม เดินก้าวยาวๆ เข้าไปในบริเวณหน้าห้องซ้อมดนตรี ไม่นานต่อมา ตรงมุมหนึ่งในห้องซ้อมดนตรี เห็น ก้อย เท่ห์ โบ้ เช็ง ซึ่งรู้เรื่องราวแล้วนั่งรวมกันหารืออยู่กับกันทิมา และสยาม ทุกคนมีสีหน้าเครียด ก้อยเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก เธอมั่นใจในตัวหรั่งเกินร้อย
“หรั่งไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ...ก้อยไม่เชื่อว่าหรั่งจะทำอย่างที่ใครๆ สงสัย”
“พี่ก็ไม่อยากเชื่อ เราจึงต้องตามหาตัวเขาให้เจอไงล่ะ”
“ก้อยไม่รู้จริงๆ ค่ะว่าหรั่งอยู่ที่ไหน”
กันทิมามองหน้าเพื่อนๆหรั่ง ทุกคนส่ายหน้าเช่นกัน
“ถ้าหรั่งมาหาก้อย ก้อยจะรีบส่งข่าวบอกพี่ทันทีเลยค่ะ”
“ขอบใจมากจ้ะ” กันทิมาขยับลุกขึ้น
“พี่คะ...ก้อยฝากพี่กราบศพคุณเผ่าลาภด้วย ท่านมีบุญคุณกับก้อย อย่างน้อยไวโอลินที่ท่านยกให้ก้อยวันนั้น ก็ทำให้ก้อยมีงานทำในวันนี้”
กันทิมาพยักหน้ารับคำ
ที่ร้านในตลาดพลอยเมืองจันทน์ ห่อผ้าใหญ่ถูกแผ่วางบนโต๊ะ เห็นพลอยดิบเม็ดเล็กๆ จำนวนมากวางเรียงอยู่ ในห่อนั้น
พ่อค้าพลอยมองหน้าผู้เป็นเจ้าของห่อผ้า ชายผู้เป็นเจ้าของห่อผ้าคือ หรั่ง นั่นเอง พ่อค้าปิดห่อผ้า เมินหน้าหนีไปทางอื่น
“อั๊วไม่อยากเสี่ยง กลัวเจ้าของจริงเขาตามมาทวงคืน”
หรั่งค่อยๆ เก็บก่อผ้า แล้วเงยหน้าถาม
“รู้จักเถ้าแก่เส็งมั้ย”
พ่อค้าส่ายหน้า
เวลาต่อมาหรั่งเดินเข้าออกร้านพ่อค้าพลอย เมืองจันทน์ หลายต่อหลายร้าน พ่อค้าหลายคน หลายร้าน พูดกับหรั่งต่างๆ กัน
พ่อค้า 2 ย้อนถาม “เถ้าแก่เส็งเหรอ”
พ่อค้า 3 บอก “ออกจากวงการพลอยไปนานแล้ว”
พ่อค้า 4 ว่า “ไม่รู้อยู่ไหนว่ะ”
พ่อค้า 5 ส่ายหน้า
พ่อค้า 6 จ้องหน้าหรั่ง “ขโมยมารึเปล่า”
ต่อมาห่อพลอยวางลงบนโต๊ะ ต่อหน้าพ่อค้า 7 ซึ่งหยิบพลอยขึ้นมาส่องดูพลางยิ้ม เห็นฟันครอบทอง...แล้วจึงส่ายหน้า
“ถ้าเปลี่ยนใจ ก็บอกน่ะ ผมจะอยู่แถวนี้อีกซักสองวัน”
คล้อยหลังหรั่ง พ่อค้า 7 ยกหูโทรศัพท์
ไม่นานนัก ปื๊ดเดินเข้ามายังเบื้องหน้าแสงเทพ
“พรรคพวกเราส่งข่าวมาว่า ไอ้หรั่งขนพลอยในสต๊อค M.S.ทั้งหมดไปวิ่งขายทั่วตลาดเมืองจันทน์...”
“โจรกระจอกจริงๆ” แสงเทพว่า
“ผมเกรงว่า ถ้าตำรวจซิวตัวมันได้ มันอาจจะให้การ พาดพิงจนมาถึงตัวเรานะครับ”
“ส่งมือดีที่สุด ไปเก็บมัน ให้ไว ก่อนตำรวจมา” แสงเทพสั่งการ
ค่ำนั้นดวงใจขยับตัวลงนั่งพร้อมกับพูด
“ผู้ใหญ่แถวเมืองจันทน์เริ่มขยับกันแล้ว เขากำลังเช็คกันอยู่ว่ามาจากซุ้มไหน และใครเป็นผู้ว่าจ้าง”
“แสงเทพแน่ๆ” ชาติชายมั่นใจ
ทั้งคู่นั่งคุยกันบริเวณส่วนรับแขก ดวงใจอยู่ในชุดเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน พาสปอร์ตและกระเป๋าเดินทาง วางอยู่ให้เห็น
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีเบื้องหลังซับซ้อนเกินกว่าฉันจะเข้าใจ”
“ผมมั่นใจว่า มันจะไม่กระทบมาถึง ตัวคุณกับลูก”
“ถึงอย่างนั้น ดิฉันก็ไม่อยู่รอดูหรอกค่ะ”
แก้มเดินเข้ามาในชุดเดินทาง พร้อมกระเป๋าสัมภาระชาติชายหันไปเห็น ถึงกับแปลกใจ
“อ้าว”
“แก้มตกลงจะไปกับดิฉันค่ะ”
“แปลกใจอะดี้” แก้มเย้า
“เป็นโอกาสดี ที่ดิฉันจะได้ทำหน้าที่ ที่ดิฉันละเลยมานานแสนนาน”
“แก้มอยากเป็นนักเรียนนอกอย่างตอง”
สองแม่ลูกยืนกอดกันโชว์ให้ชาติชายดู
“อาดีใจด้วยมากๆ...เรียนไม่ถึงด็อกเตอร์ยังไม่ต้องกลับมาล่ะ...” หันมาทางดวงใจ “ผมกลับก่อนนะครับ”
ชาติชายขยับจะเดินออก แก้มเรียกไว้
“อา...แก้มขออะไรอย่างดี้”
ชาติชายฉงน “อะไร”
“ขอกอดทีนึง”
ชาติชายชะงัก เขาหันไปมองดวงใจ ดวงใจยิ้มพยักหน้าให้ แล้วเดินหายเข้าไปในบ้าน ชาติชายมองหน้าแก้ม แล้วจึงเปิดแขนทั้งสองข้างออกเป็นวงกว้าง แก้มวิ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชาติชายอย่างแรง
“อาเป็นผู้ชายที่อบอุ่นที่สุดในโลกเลย”
“เหรอ...เรารู้จักผู้ชายกี่คนกัน”
“ไม่เกินห้า...แต่แก้มรู้จักผู้หญิงดี และรู้ด้วยว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นห่วงอามากๆ”
“เอาอีกแล้ว”
“จริง...และนี่คือคำแนะนำจากเด็กคับ...อาควรจะบอกเธอว่าอายังรักเธออยู่...เชื่อแก้มสิ ผู้หญิงอยากได้ยินคำนี้”
“รู้ได้ไง”
“ก็แก้มเป็นผู้หญิงนี่คะ”
รายการ "เก็บตกข่าวร้อน ก่อนจะถึงเย็น” ผู้อ่านข่าวนั่งวางมาดเก๊ก วิพากษ์วิจารณ์ข่าวอย่างสนุกปาก
“เราจะมาต่อกันที่เรื่องรีสอร์ท กลางป่าสงวนกันบ้าง ท่านผู้ชมคงจำได้นะครับ ก่อนหน้านี้ไม่นานมีใบปลิวโจมตี คุณแสงเทพ เทวฤทธิ์ อย่างหนัก หาว่าเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพล มีธุรกิจผิดกฎหมาย ซ่อนเร้นอยู่มากมาย...และที่เย้ยหยันกฎหมายบ้านเมืองอย่างตำตาก็คือการบุกเข้าไปสร้างรีสอร์ท ส่วนตัวอันหรูหรากลางป่าสงวน ซึ่งบรรดานักอนุรักษ์ทั้งหลายยอมไม่ได้...”
บารมีนั่งจ้องจอทีวีเครื่องนี้อยู่ที่มุมหนึ่งในบ้านแสงเทพ สีหน้าบารมีเครียดปนแค้นเคืองอยู่ลึกๆ
เสียงนักข่าวถาม “จากข่าวนี้เองมีผลถึงกับทำให้นายแสงเทพถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยไท หนำซ้ำชาวบ้านหินขาวและบ่อพลอย ยังรวมตัวกันขับไล่นายแสงเทพไม่ให้
มาลงทุนทำเหมืองแถวที่ดินทำกินของพวกเขา...เรียกว่านายแสงเทพแทบเสียมวยไปเหมือนกัน...แต่ล่าสุดดูเหมือนว่านายแสงเทพจะไม่แยแสกับกระแสชาวบ้านเหล่านี้ซะแล้ว....”
ในจอโทรทัศน์ ผู้อ่านข่าวคนเดิมยังอ่านข่าวมันปากอยู่
“ไม่สนแม้แต่จะวิ่งเต้นขอสัมปทานจากภาครัฐด้วยซ้ำ...ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ การตายของนายเผ่าลาภ หัวเรือใหญ่ของบริษัท M.S. ส่งผลให้บริษัทอาจจะต้องปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว และผู้ที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการ M.S. ก็คงจะไม่ใช่ใคร...นายแสงเทพ เทวฤทธิ์นั่นเอง อย่างนี้ต้องเรียกว่าตายได้จังหวะเหมาะจริงๆ...เราลองมาฟังความเห็นของ คุณสุริยะ พัวพงศ์ไพศาล ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยไท ท่านเป็นผู้ที่ชักจูงคุณแสงเทพเข้าสู่แวดวงการเมือง และก็เป็นผู้สั่งปลดคุณแสงเทพออกจากตำแหน่งด้วยตัวเอง...หลายๆคนยังซุบซิบกันอยู่ว่า นายแสงเทพและตะวันฉายลูกชายคุณสุริยะนั้นสนิทกันยังกะอะไรดี ไม่รู้ว่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรกันมั้ย”
ปื๊ดเข้ามาอยู่ด้านหลังบารมี
“หมู่นี้คุณบารมีดูซึมๆนะครับ...มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากเหรอ”
บารมีส่ายหน้า
“นายเรียกแน่ะ รู้สึกจะให้ช่วยขับรถให้หน่อย”
บารมีค่อยๆ เดินตามปื๊ดไป
ภาพในจอทีวี เป็นภาพนักข่าวสัมภาษณ์ สุริยะ
“เอาสั้นๆ ก็แล้วกัน...คุณแสงเทพเป็นคนเก่ง แต่ถ้าจะมาทำงานให้บ้านเมือง ก็ต้องเคลียร์ตัวเองจากคดีที่ฟ้องร้องกันอยู่ ให้ใสสะอาดซะก่อน...ส่วนตอนนี้ แกจะทำธุรกิจอะไรบ้าง ผมไม่ทราบ ซึ่งถ้าเป็นธุรกิจที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมายก็ไม่มีใครห้ามอยู่แล้วทำได้ตามปกติ...แต่ที่สำคัญก็คือ ตะวันฉายลูกชายผม ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจใดๆ ของคุณแสงเทพเลยแม้แต่น้อย...สื่อมวลชนกรุณาอย่าเอาไปโยงกัน... เข้าใจนะ”
ด้านหรั่งเดินเข้าไปในร้านพลอยเมืองจันท์ ในร้านมีชายฉกรรจ์ 4-5 คนยืนเรียงเป็นแถว พวกมันคอยอารักขาชาย 1 ที่มีท่าทีว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน ทุกคนในร้านจ้องหน้าหรั่งนิ่งๆ
“ผมมาหาเถ้าแก่เส็ง”
ชาย 1 บอก “เขารู้กันทั้งตลาดแล้ว ว่าลื้อมาหาเถ้าแก่เส็ง”
“มีใครรู้บ้างว่า ผมจะหาเขาได้ที่ไหน”
ชาย 1 ว่า “ทั้งตลาดเขาก็บอกลื้อแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่รู้”
หรั่งบอก “ก็ยังเหลือที่นี่อีกที่หนึ่ง”
ชาย 1 หันไปสั่งชายที่ยืนเป็นแผงอยู่ด้านหลัง
“มึงไปดูในครัวดี๊ มีใครรู้จักเถ้าแก่เส็งบ้างวะ”
พลาง ชาย 1 ยกหูโทรศัพท์ กดหมายเลขโทร.ออก หรั่งมองสักพัก แล้วขยับเดินออก
ชาย 1 ตะโกนเรียกไว้ “เฮ้ย...ไม่อยู่รอที่นี่เหรอ”
หรั่งออกจากร้านไปแล้ว ชาย 1 กรอกเสียงออกคำสั่งเป็นรหัสใส่โทรศัพท์ทันที
“มะม่วงสุกแล้ว...สอยได้เลย”
อ่านต่อตอนที่ 14