เปิดใจ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” จากหลังเวทีราชดำเนิน 40 วันของการต่อสู้ถึงจุดสุดท้าย ถ้าเอาชนะได้ถือว่าชนะสงคราม แต่ถ้าแพ้ คนอย่าง “สุเทพ” อาจไม่มีอีก แถมขณะนี้แกนนำ 2 คน ถูกตั้งค่าหัวเรียบร้อย ขณะที่ดีใจพลังศีลธรรม-พลังสังคมตื่น ประชาชนไม่กลัวอำนาจมืดทักษิณอีกต่อไป ขณะที่ไม่หวั่นใจอำนาจพิเศษไม่หนุน ยึด “มวลมหาประชาชน” เป็นพลังต่อสู้ พลังมากมีสิทธิชนะ พลังน้อยมีโอกาสแพ้ ดังนั้นเป่านกหวีดปี๊ด ขอให้มวลชนออกมาสู้!
การต่อสู้ของการปฏิวัติประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทยเพื่อล้มล้างระบอบทักษิณได้ผ่านมาแล้วกว่า 40 วัน กว่า 40 วันของการต่อสู้ครั้งนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เป็นการต่อสู้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทยเลย โดยเฉพาะเป็นการต่อสู้ของประชาชนแบบอหิงสา ไม่มีการใช้อาวุธ ต้องยอมรับว่าการไม่ใช้อาวุธนี้เองที่เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน และวันนี้ “กปปส.” ได้เรียนรู้แล้วว่า อะไรที่จะนำไปสู่เป้าหมายแห่งชัยชนะครั้งนี้
ทีม Special Scoop ได้ขอเข้าสัมภาษณ์พิเศษ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ผู้ซึ่งวางอดีต ส.ส.ของตัวเองไว้เบื้องหลังและหันหน้าเข้าสู้กับระบอบทักษิณในฐานะใหม่ “ผู้ใหญ่บ้านราชดำเนิน”! หนึ่งในแกนนำ กปปส. หรือ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบบที่เขาเองก็บอกว่า “ผมก็ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้เหมือนกัน และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาทำอะไรอย่างนี้ด้วย”
ไม่เชื่อว่าจะมีวันนี้
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย เปิดเผยว่า เบื้องหลังม็อบก็มีความคิดเห็นมากมาย แค่จะลาออกจากส.ส.หรือไม่ มันก็เป็นเรื่องที่ต้องคิด เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง แต่พวกเรา 8 คนก็มาคุยกันว่า ไม่ไหวแล้ว ทนระบอบทักษิณไม่ไหว ชีวิตที่ผ่านมาก็เป็น ส.ส. แต่วันนี้ลองดู ขอเลือกชีวิตที่มันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพราะไม่ไหวจริงๆ ปล่อยไประบอบทักษิณจะกัดกินประเทศไทยจนหมด
“ยอมรับตามตรงนะ ตอนแรกก็ไม่คิดเลยว่าจะมาถึงจุดนี้ แค่คิดว่าจะเปิดโปงระบอบทักษิณไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการซื้อสื่อ การบังคับสื่อ มาจนถึงเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ไม่คิดว่าพัฒนาการจะมาถึงวันนี้ และพูดตามตรงเลย คุณคิดว่าการมาต่อสู้กับระบอบทักษิณนี่มันไม่เสี่ยงเหรอ มันเสี่ยงทั้งชีวิตเลยนะ”
แต่มันต้องสู้ เพื่อไม่ให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้!
step เป่านกหวีด-เรียกเมื่อไรคนพรึ่บเมื่อนั้น
“เราดีใจที่มีมวลมหาประชาชนมาเข้าร่วมมากมายขนาดนี้มาก คือตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่เราชนะศึกมาตลอด เหลือสิ่งเดียวที่ยังไม่ชนะ คือชนะสงครามครั้งนี้ ซึ่งจุดนี้ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”
อย่างที่กล่าวไว้ ตอนเริ่มต้น จุดประสงค์แรกคือการเปิดโปงระบอบทักษิณให้ความรู้ประชาชน แต่ปรากฏว่าพอถึงเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ประชาชนเห็นด้วยจำนวนมาก แต่ทางเราก็ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้
อยู่สามเสนคนมาสามแสน!
“พูดกันเล่นๆ มันดันจริง คือเฮ้ยมันจริงเหรอ”
ทีนี้เลยต้องย้ายจากเวทีสามเสนมาตั้งที่ราชดำเนิน โดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า สู้กันไปจนวันที่ 24 พ.ย. นายสุเทพก็ประกาศว่าขอให้มวลชนออกมาจำนวนมากที่สุดเพื่อที่จะดูว่ามวลชนมีมากแค่ไหนที่เห็นด้วยที่จะสู้กับเรา ก็ปรากฏว่าคนมาจำนวนเรือนล้านคน พอมาถึงวันที่ 9 ธ.ค.คนกลับออกมามากกว่าเดิมคือมีคนมาร่วมมากถึง 5 ล้านคน
ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดคิดมาก่อน!
ไม่มีพลังพิเศษ มีแต่พลังประชาชน
นายสาทิตย์กล่าวว่า คนที่มาจำนวนมากนั้น ทำให้เห็นปรากฏการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้น คือวันนี้ไม่มีอำนาจพิเศษ ทั้งกองทัพ ตำรวจ ข้าราชการ ไม่เคลื่อน ส่วนหนึ่งมองว่ากว่า 10 ปีที่ผ่านมาระบอบทักษิณฝังรากลึกในสังคมไทยมาก ทำให้กลไกต่างๆ ก็ยังไม่กล้าเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ เดิมพันเรื่องข้าราชการให้ออกมาทำอารยะขัดขืนก็เลยตกไป ถัดจากนั้นก็เป็นกระบวนการต่อสู้ที่ขยับมาเรื่อยๆ
จนตอนนี้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า พลัง อยู่ 2 ประการขึ้นมา
เริ่มแรกเป็นพลังที่เรียกว่า “พลังศีลธรรม” หรือ “พลังความดี” กล่าวได้ว่าการเมืองไทยหลาย 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ระบอบทักษิณค่อยๆ ก่อตัวและฝังรากลึก ทำให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คนไทยกำลังมีความคิดความเชื่อที่ว่า “โกงไม่เป็นไร ขอให้ฉันได้บ้าง” ซึ่งแต่เดิมนั้นไม่มีใครคิดว่าประชาชนจะลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่เอาคนโกง แต่ครั้งนี้กลับทำให้พลังส่วนดีของคนตื่นขึ้นมา และมีจำนวนมาก ซึ่งพลังได้ขยายไปไกลที่สุดคือไปถึงกลุ่มนิสิต นักศึกษา ไปยังคนทุกเพศทุกวัยที่ออกมาต่อสู้ ซึ่งไม่ใช่แค่คนชั้นกลางในเมือง แต่สิ่งที่นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่รู้ คือคนชั้นล่างก็เข้าร่วมกับ กปปส.ในขณะนี้จำนวนมากทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย
กลุ่มที่เห็นได้ชัดว่ามาเข้าร่วมกับ กปปส.คือกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน นำโดย ครูสน รูปสูง และคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยเลยที่ได้เดินเข้ามาหา และขอคุยหลังเวที
“คนเสื้อแดงที่มามีหลายคน เป็นระดับหัวหน้าการ์ดของ นปช.เก่า ตอนแรกเขาไม่กล้ามา แต่พอเราเปิดเวทีให้คนเสื้อแดงผู้หญิงที่อึดอัดคับข้องใจได้ขึ้นพูดบนเวที เขาก็มา มาขอคุยด้วยที่หลังเวที เขามีข้อสงสัยกับ นปช. ขณะเดียวกันเขาอยากรู้ว่า กปปส.จะเดินหน้าไปอย่างไร ทางเราก็เล่าให้ฟัง เรากำลังทำอะไร”
ประชาชนจำนวนมากกำลังลุกขึ้นสู้ ไม่เอานักการเมืองโกงกิน ไม่เอานักการเมืองรวบอำนาจ
ขณะที่พลังอีกส่วนหนึ่งคือพลังทางสังคมที่ตื่นขึ้นมามากเช่นกัน กล่าวคือเป็นส่วนของพลังจิตอาสา ทุกวันนี้คนที่มาม็อบ ก็ต่างมาช่วยกัน คนละไม้ละมือ ประกาศขอความช่วยเหลือตอนไหน คนก็รีบมาอาสา ทุกวันนี้ที่เห็นได้ชัดอีกประการคือ เด็กนักเรียน เด็กเล็กๆ ที่มา ก็มาช่วยแจกน้ำ มาช่วยแจกอาหาร ยังเป็นเด็กประถมอยู่เลยก็มาช่วยกัน
อย่างในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีการแชร์กันอย่างมากในเรื่องนี้ว่า อยากขอบคุณทักษิณและยิ่งลักษณ์จากใจจริง ขอบคุณที่ทำให้พวกเพื่อนๆ ที่นัดเจอกันยากมาเจอกันโดยง่ายดาย ขอบคุณที่ทำให้พวกเราแข็งแรงด้วยการออกมาวอล์กแรลลีหลายๆ รอบในไม่กี่เดือน ขอบคุณที่ทำให้พวกเราใส่ใจในสุขภาพมากขึ้นเมื่อเห็นคนสูงอายุสามารถออกมาเดินกันเต็มท้องถนน และบางคนอายุเจ็ดสิบกว่าสามารถเดินถือไม้เท้าไปได้ถึง 20 กม.กลางแดดจ้า ขอบคุณที่ทำให้เกิดการแบ่งปันครั้งใหญ่ ด้วยสารพัดครัวอาหารอร่อย และแจกถึงทุกคนด้วยรอยยิ้มและความจริงใจ ขอบคุณที่ทำให้พวกเราไม่ได้เห็นภาพเด็กอาชีวะตีกัน แต่ได้เห็นพวกเขาเป็นฮีโร่ เป็นกองหน้า และคอยปกป้องผู้หญิง คนแก่และเด็ก ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้เห็นภาพซูเปอร์แมนตัวจริง (ผู้ชายที่ใส่กางเกงใน) ปราบปรามเหล่าอธรรมที่กำลังทำร้ายคนแก่ ขอบคุณที่ทำให้ทุกสายวิชาชีพออกมาแสดงตัวว่ารักประเทศไทย และอยากร้องเพลงชาติร่วมกันที่ราชดำเนิน ขอบคุณที่ทำให้ประเทศไทยทำลายสถิติโลกในการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลยาวที่สุดในโลกถึง 5 ล้านคน ขอบคุณที่ทำให้พวกเราเป็นทหารของพระราชาได้ด้วย “รองเท้าผ้าใบ กับใจถึงๆ” ขอบคุณที่ทำให้พวกเราเรียนรู้ว่า “สื่อ”มีอิทธิพลกับชีวิตและจิตวิญญาณของคน ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่า “ผู้นำประเทศ” สำคัญกับชีวิตเราสุดๆ ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่า 1 สิทธิของเราชี้เป็นชี้ตายประเทศได้ ขอบคุณที่ทำให้ไม่มีชนชั้นระหว่างคนไทยเพราะทุกคนออกมาเดินด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ยิ้มให้กัน และนั่งบนผืนแผ่นดินเดียวกัน ขอบคุณที่ทำให้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีชีวิต สวยงามและมีความหมายขึ้นมาอีกครั้ง ขอบคุณที่ทำให้พวกเรารู้ว่าพวกเรารักพ่อขนาดที่ใครทำให้พ่อเหนื่อย เราเจ็บ ใครทำให้พ่อเจ็บ เรายิ่งเจ็บ ขอบคุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ยุทธศาสตร์นอกตำราเรียน ที่สำคัญได้รู้ว่าการต่อสู้กับความเลวต้องสู้ด้วยพลังแห่งความดี ขอบคุณที่ทำให้พวกเรารู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไร ความดีย่อมเป็นฝ่ายชนะเสมอ ขอบคุณที่คุณแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้คนไทยได้เห็น ทำให้พวกเราได้รู้แล้วล่ะว่าเราจะเป็นไทยเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเราจะต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อหา “จุดเปลี่ยน”
เวลานี้ พลังทางศีลธรรม กับ พลังทางสังคม จึงประสานกันอยู่ เริ่มตั้งแต่การต่อสู้ที่ยอดคือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มาจนถึงรากของมันคือ ระบอบทักษิณ ทุกคนยึดหลักการนี้เป็นหลักการสำคัญ
“เดิมแต่ก่อน เรื่องแบบนี้จะมีแต่คนที่สนใจการเมือง มีความรู้ทางการเมือง แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว คนหลายคนก็รู้สึกไม่เอาการทุจริต อยากออกมา มาเรียนรู้การเมืองก็มี”
ระดับสุดท้ายของการต่อสู้-ยากที่สุด
วันนี้จะนำไปสู่ชัยชนะอย่างไร
นายสาทิตย์กล่าวว่า เวลานี้มวลมหาประชาชนชนะมาตลอด ทุกครั้งที่มวลมหาประชาชนออกมา รัฐบาลจะถอย แต่ครั้งนี้ต้องเรียกว่าเป็นศึกที่ยากที่สุด เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการต่อสู้แล้ว คือการให้นายกฯ ลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ และให้มีการตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้นก่อนการเลือกตั้ง
จุดนี้จึงต้องเอาชนะด้วยพลังทางการเมือง!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมนายสุเทพถึงต้องเดินเข้าไปหากลุ่มพลังต่างๆ ทางสังคม ได้แก่องค์กรเอกชน, สมาคมวิชาการ,ความมั่นคง และข้าราชการ
“คุณยิ่งลักษณ์เขาก็รู้ เขาก็เลยเปิดเวทีปฏิรูปขึ้นมา”
หวังเสื้อแดงเข้าร่วม-ไม่มอง กปปส.ศัตรู
ทีนี้คนที่มีอำนาจที่สุดก็คือทหาร วันนี้ทหารประกาศไม่ทำร้ายประชาชน ดูจากการปฏิวัติประชาชนของต่างประเทศ ก็มักจะมีการปราบปราม แต่ประเทศไทยวันนี้ชัดว่าทหารไม่ทำร้ายประชาชนแน่แล้ว ยังใส่ชุดพยาบาลออกมาสู้กับประชาชนเสียอีก เราก็มองว่าทหารกลืนมากับพลังประชาชน แม้จะไม่ได้จับอาวุธขึ้นสู้
ปฏิวัติประชาชนจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะจบอย่างไรก็ตาม แต่ตอนนี้จุดยืนของ กปปส.ชัดคือต้องเป็นการต่อสู้อย่างสันติที่สุด
ส่วนอนาคตสิ่งที่อยากเห็นคือ ทำให้การเมืองเปลี่ยนแปลงไปในเชิงคุณภาพ ยกระดับจิตสำนึกประชาชน ไปสู่การตื่นตัวทางการเมืองในระยะยาว โดยส่วนตัวมองว่าการต่อสู้ 40 กว่าวันที่ผ่านมานี้มีข้อดีอย่างมากที่พลังส่วนดีของคนได้ตื่นขึ้นมา เอาชนะพลังส่วนเลว คนเริ่มกล้าปฏิเสธความเลว กล้าข้ามเส้นออกมาเรียกร้องสิทธิ ไม่กลัวอันตราย ไม่กลัวอำนาจ
แต่สำหรับคนเสื้อแดง เวทีของเขาไม่ใช่จุดนี้ ต่อไปจะจุดติดอีกก็ยาก เพราะคนที่พามวลชนมาคือส.ส. ไม่ใช่แกนนำนปช. (กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่มีอุดมการณ์ในกลุ่มนี้ไม่มี มี แต่คนกลุ่มนี้ไม่อยากต่อสู้เพื่อทักษิณ เพราะการชุมนุมแต่ละครั้งไม่ได้พูดเรื่องอุดมการณ์ มีแต่เป็นเงื่อนไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย และทำให้แกนนำ แต่มันไม่เกี่ยวกับเขา เขาต้องการสู้เพื่ออุดมการณ์ และที่สำคัญคือเวลานี้พลังส่วนดีของคนในกลุ่มเสื้อแดงก็ตื่นด้วย เขาไม่เอานักการเมืองโกงกิน พลังส่วนดีก็ลุกขึ้นมา อย่างเชียงใหม่ อุดรธานี พื้นที่ของคนเสื้อแดงแท้ๆ แต่คนก็ตื่นขึ้นมา มีทั้งคนเสื้อแดงบางส่วน และคนที่ไม่กลัวอำนาจไม่เป็นธรรมอีกแล้วก็ออกมาต่อสู้กันมากขึ้นๆ แถมมีเรื่องของคนชุดดำที่ยังมีการลอบยิงเด็กรามคำแหงที่รุนแรงมากเกิดขึ้น
เสื้อแดงวันนี้จึงเป็นเวทีที่จุดไม่ขึ้น!
“แต่เสื้อแดงหลายคนก็คิดว่าเราเป็นศัตรู คุณสุเทพเลยส่งบัตรเชิญให้มาร่วมปฏิรูปร่วมกัน เราชัดเจนว่าศัตรูของเราไม่ใช่คนเสื้อแดง อย่าคิดว่าเราเป็นศัตรูเลย มาคุยกัน มาช่วยกันหาทางออกให้ประเทศ เพราะเราอยากให้ประเทศชาติก้าวหน้าเหมือนกัน”
แต่อะไรที่จะทำให้เราไม่ชนะ อะไรเป็นอุปสรรคใหญ่?
“ถ้าถูกสกัดโดยการเลือกตั้งก็เป็นไปไม่ได้ ปฏิรูปไม่สำเร็จ ก็ต้องใช้เวลาอีกนานมาก กว่าจะกลับมาจุดนี้อีก แต่วันนี้ก็ยังมั่นใจอยู่ว่ากระแสปฏิรูปสูงมาก มีโอกาสที่จะสำเร็จสูง แต่ก็ต้องสู้กับความหน้าด้านของเขา”
จุดนี้ก็มีแต่มวลชนเท่านั้นที่จะนำไปสู่ชัยชนะ แบบที่ไม่ต้องพึ่งใคร
“ประชาภิวัฒน์มันทำยากนะ คนนำก็ไม่เคย ประชาชนก็ไม่เคย ทหารก็ปฏิวัติมาทั้งชีวิตก็ไม่คุ้นกับการต่อสู้ของประชาชนรูปแบบนี้ คุณยิ่งลักษณ์ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย เพราะถ้ารู้เรื่อง เห็นคนออกมาเรือนล้านอย่างนี้ก็ต้องคิดแล้ว”
แต่ถ้าไม่สำเร็จ หยุดการเลือกตั้งไม่ได้จะเป็นอย่างไร?
แพ้?-คนอย่างสุเทพจะหาไม่ได้อีกแล้ว
นายสาทิตย์กล่าวว่า การเลือกตั้งจะทำให้กระบวนการปฏิรูปชะงัก เพราะยังไม่ได้ก่อรูปการปรับตัวของระบบที่ชัดเจนออกมา ว่าจะทำเรื่องอะไร โดยใครบ้าง เพราะถ้าการเมืองนำ ชาวบ้านก็ไม่เชื่อ ก็ต้องมีกระบวนการก่อรูปสภาประชาชนขึ้นมาที่ไม่เกี่ยวกับนักการเมือง เพราะระบบของนักการเมืองจะคิดอีกแบบหนึ่ง มีกรอบที่คิดอะไรไม่ได้มาก แต่เวทีประชาชนคิดได้หมด
แต่ถ้าแพ้ ระบอบทักษิณก็เดินหน้าต่อไป คนที่จะออกมาในส่วนของมวลชนที่มากขนาดนี้ก็คงยาก ส่วนที่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำแทนคุณสุเทพก็หาได้ยากแล้ว
เพราะอย่างที่บอกว่าคนที่จะต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกล้าหาญ และทุ่มเทอย่างมาก ซึ่งขณะนี้นายสาทิตย์เปิดเผยว่า มีการตั้งค่าหัว 2 แกนนำเรียบร้อยแล้ว โดยนายสุเทพเป็นเบอร์ 1 และตัวเขาเองเป็นเบอร์ 2 ที่มีค่าหัวถูกสั่งปลิดชีวิตเรียบร้อย
“เรารู้ว่ามีค่าหัวออกมาแล้ว ให้มาฆ่าเรา แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ หรอก เพราะพอคนที่บ้านรู้ คนที่เป็นหัวคะแนนก็ส่งลูกมาช่วยเป็นการ์ด เป็นตำรวจบ้าง ทหารบ้าง ลูกหัวคะแนนบางคนก็ไม่ได้เป็นทหาร ตำรวจ ก็มาช่วย ผมอยู่เวทีราชดำเนิน เด็กๆ เหล่านี้เขาก็มาช่วย ชาวบ้านเองก็น่ารักมาก ตอนนั้นขึ้นรถไฟกลับไปแล้ว พอรู้ว่าผมมีอันตราย ก็ลงรถไฟกลับมานั่งรถไฟอีกฝั่ง กลับมาราชดำเนินอีก แล้วก็มานอนเฝ้าผมกันด้านหน้าเวที เป็นร้อยคน ผมก็ต้องขอบคุณทุกคนมาก มันซึ้งมาก”
“ชนะครั้งนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่จะปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคน พลังประชาชนจะต้องออกมาอย่างต่อเนื่อง จำนวนมีความสำคัญมาก ต้องการตลอดเวลา หากวันไหนคนน้อยก็จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายรัฐแน่ มีการเอาไปพูดแน่ว่าคนไม่มีแล้ว ดังนั้นจำนวนคนสำคัญมากที่จะน้อยไม่ได้เลย”
เป่านกหวีดเมื่อไร คนต้องพร้อมออกมา!