สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 4
หรั่งประคองสังขารกลับมายังชุมชนแต่ยังไม่เข้าบ้าน หน้าตาของหรั่งยับเยิน เลือดไหลซิบๆ ตามมุมปากและโหนกแก้ม ผู้ใหญ่เงาะและน้าเบิ้ม ช่วยกันทำแผล แต้มยาให้หรั่ง
“มึงไปทำอะไรมาวะ พวกมันถึงได้แห่กันมายำมึงขาดนี้”
“ไม่รู้เหมือนกัน...โอย...หรืออาจจะรู้ก็ได้”
“จบถึงปริญญาตรี ยังมีเรื่องอย่างนี้ได้ ไอ้หรั่งเอ๊ย...ถ้าเป็นไอ้เท่ห์ ไอ้โบ้ ไอ้เช็งละก้อ กูจะไม่สงสัยเลยซักนิด” ผู้ใหญ่บ่น
เบิ้มถาม “เรื่องผู้หญิงรึเปล่าวะ”
หรั่งนิ่งคิด “อย่าบอกเรื่องนี้ให้ก้อยรู้นะน้าเบิ้ม”
“เออ...ห่วงแต่ยายก้อยนะมึง อะไรๆก็ก้อย...ยังกะว่ามันเป็นน้องแท้ๆ งั้นแหละ หรือว่ามีแผนจะเปลี่ยนจากน้องเป็นอย่างอื่น” เบิ้มแซว
“น้าเบิ้ม ฉันขอร้องเลย ถ้ารักกันจริงอย่าพูดอย่างนี้”
มอเตอร์ไซค์เท่ห์ โบ้ เช็ง แล่นเป๋ๆ เข้ามาที่หน้าบ้านผู้ใหญ่ ตามด้วยเสียงโอดโอย สามหนุ่มก้าวลงมาจากรถ สภาพจมกองเลือด สะบักสะบอมไม่แพ้หรั่ง
“อ้าว นี่พวกมึงไปทำอะไรมาอีกล่ะ...แดงฉานขนาดนั้น เลือดมึงหรือเลือดใครวะ”
“ปนๆ กัน ผู้ใหญ่” โบ้ว่า
“พวกเราไปรับจ้างเขา แต่ผิดแผนนิดหน่อย” เท่ห์บอก
“ก็ไอ้โบ้น่ะสิ บอกแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีก...พอพวกแม่งวิ่งเข้าหากัน ให้แว่บหนี...นี่อะไร เสือก
วิ่งเข้าใส่เลย ไอ้เวร...” เช็งด่า
“ก็กูติดลมนี่หว่า”
เท่ห์ด่า “ศิษย์เก่าช่างกลรึไงวะมึง...เจอเข้าไปเต็มๆเลยเป็นไง สม”
เช็งบ่น “คุ้มค่ายามั้ยวะเนี่ยะ...พันสองเอง”
โบ้หันไปเห็นหรั่ง นอนหน้าปูดอยู่ใกล้ๆ ผู้ใหญ่ ก็แปลกใจ
“ไอ้หรั่ง มึงไปโดนตีมาด้วยเหรอ...”
“อย่าบอกนะว่าแอบไปรับจ้างอยู่คนละฝั่งกับพวกกู”
เท่ห์ยิงมุกใส่ แต่ไม่มีใครขำกะมัน
ขณะเดียวกันที่เค้าท์เตอร์บาร์ในบ่อน ตะวันฉายและกฤษฎายกแก้วเหล้าขึ้นชนกันอย่างร่าเริง คล้ายฉลองการทำงานเสร็จ
“ดื่มให้กับความสำเร็จกันหน่อย”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหน้าตาโจรชัดๆ ยืนเรียงแถวเป็นแผงอยู่ด้านหลัง...ตะวันฉายหันไปถามไถ่พวกมันดู
“แน่ใจนะว่า ไม่ถึงตาย”
“โอ๊ย ไม่หรอกครับ...แค่เบาะๆ...ผมไม่ทำให้เจ้านายเดือดร้อนหรอกครับ แต่ถ้าเจ้านายต้องการให้ถึงขั้นนั้นก็บอกได้นะครับ...จัดให้ได้เหมือนกัน” ลูกน้อง 1 บอก
“โอ.เค....เอ้า เอาเงินนี่ไปใช้เล่นๆ”
ตะวันฉายส่งเงินปึกใหญ่ให้พวกมัน...ต่างแยกย้ายกันไปดีใจ กฤษฎาขยับเข้าใกล้ตะวันฉาย ที่ด้านหลังเห็นบรรยากาศของบ่อนสุดคึกคัก กว้างขวางใหญ่โต แต่บรรยากาศมัวซัวยิ่งนัก
“กูไม่เคยรู้เลยว่ามึงมีบ่อนเป็นของตัวเองขนาดนี้ ไอ้ตะวัน” กฤษฎาว่า
“ไม่รู้น่ะดีแล้ว...ไม่ใช่ของกูคนเดียว กูแค่มีหุ้นกับพี่ๆ เขานิดหน่อย”
“วันหลังกูพาเพื่อนกลุ่มอื่นมาเล่นบ้างได้มั้ยวะ”
“มึงต้องบอกกูก่อน...ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาเล่นได้ง่ายๆทุกคน...มันต้องขาประจำ ต้องมีรหัส”
ที่ประตูทางเข้า มีเสียงเคาะประตู และโต้ตอบกันด้วย รหัสประจำวัน สักพักประตูเปิดออก
บารมีก้าวเข้ามาในบ่อนนี้...หน้าตาขาวผ่องเชียว เขากวาดสายตาไปรอบๆ
กฤษฎามองไปยังบารมี ถึงกับสะดุ้ง เช่นเดียวกันบารมีมองเห็นหลานชาย บารมีเดินเข้าหากฤษฎาทันที
“อากู๋หั่ง”
“นายต้น”
ตะวันฉายฉงน “รู้จักกันด้วยเหรอ”
กฤษฎาบอก “อากูเอง…อาหั่ง อย่าบอกพ่อต้นนะว่า เจอต้นที่นี่”
“เราก็ห้ามบอกใครๆ เหมือนกันว่าอามาที่นี่”
“โอเค”
“เชิญตามสบายนะครับ คุณอาและคุณหลาน”
กฤษฎาพาบารมีไปนั่งที่โต๊ะกลางบ่อน ตะวันฉายมองตาม แล้วหันไปรำพึงกับลูกน้องใกล้ตัว
“เศรษฐีใหม่…รวยง่าย ก็หมดง่าย…มึงคอยดู ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ตกตอนกลางคืน แลเห็นหรั่งเดินเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ พร้อมกับร่องรอยบาดแผลที่ถูกรุม
เสียงก้อยทักขึ้น “หรั่ง”
“หือ”
หรั่งเดินไปยังห้องก้อย...เห็นก้อยนอนกอดไวโอลินอยู่บนที่นอนของเธอ
“กลับซะดึกเชียว...กินข้าวมารึยัง...หิวมั้ย”
“เรียบร้อยแล้ว วันนี้ผู้จัดการเลี้ยงซะอิ่มเลย...ซี้ด...อาา” หรั่งเผลอร้องคราง ด้วยรู้สึกเจ็บตรงบริเวณแผล
“เผ็ดเหรอ หรั่ง”
“อือม...วันนี้งดนิทานนะก้อย”
หรั่งเดินออกไปจากห้องก้อย
หรั่งนอนลงกลางห้องของตน ค่อยๆ ล้วงกระเป๋าหยิบบางอย่างออกมา...เขาชูมันขึ้นสูง ของชิ้นนั้น
มันคือ พวงกุญแจไอ้มดแดง มีรอยบุบบี้เกิดขึ้นที่ตัวไอ้มดแดง เล็กน้อย หรั่งมองกุญแจนั้นอย่างเสียดาย
อาคารที่ทำการ บริษัท M.S.GROUP ตั้งตระหง่าน ยามเช้าตรู่
เผ่าลาภโยนแฟ้มลงบนโต๊ะทำงานอย่างไม่สบอารมณ์ แพรวา และ กฤษฎา นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตรงหน้าโต๊ะนั้น
“อะไรกัน ให้ไปดูงาน ให้ไปฝึกงานมาสองอาทิตย์ ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราวอะไรกันเลยเหรอ…ทั้งอาโก ทั้งอาเจ็ก เขารายงานความไม่ได้เรื่องของเราทั้งคู่เต็มแฟ้มนี่เลย แพรวา หนูจะมาถือว่าเป็นลูกคุณป๋า แล้วจะมาอืดอาด เอ้อระเหย ไม่กระตือรือร้นกับงาน วันๆเอาแต่นั่ง Skype กับเพื่อนๆ ไม่ได้นะ”
แพรวาหน้าง้ำ “ก็น้องแพรไม่ถนัดงานพวกนี้นี่”
“ก็ถึงให้ไปฝึกไง…ไม่ถนัดก็ต้องฝึก ต้องทำให้มันถนัดเข้าสิ…นายต้น”
กฤษฎาสะดุ้งจากการก้มหน้านิ่ง
“อาชาติชายเขารายงานมาว่า วันๆ เราเอาแต่เที่ยวเล่น กินเหล้าเมา แล้วก็มาหลับที่โรงงาน…เผลอเป็นแว่บกลับกรุงเทพฯ ประจำ ใช่มั้ย…จริงรึเปล่า”
กฤษฎาอ้าปากจะพูด กลิ่นเหล้าหึ่ง พูดไม่ออก
“เถียงไม่ออกสิ…กลิ่นเหล้าจากเมื่อคืนยังหึ่งอยู่เลย…”
กฤษฎาก้มหน้าลงไปใหม่
“เราทั้งคู่ โตแล้วนะ หัดรับผิดชอบซะบ้าง…จะรอให้แก่หง่อม หมดเรี่ยวหมดแรง แล้วค่อยคิดจะทำงานน่ะ มันไม่ไหว…เอาละ สำหรับนายต้น ต่อไปนี้เธออยู่ซะที่เหมืองเลย เสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ต้องกลับ กิน-นอน-เรียนงานกับอาเหลียงอยู่ที่นั่นแหละ…พ่อเราก็อยู่ที่เหมืองอยู่แล้ว ถ้าแม่เขาคิดถึงก็ให้ไปเยี่ยมที่นั่นเอา…นี่เป็นคำสั่งนะ ต้องการอะไรเพิ่มรึเปล่า”
กฤษฎาส่ายหน้า ไม่อยากพูด กลัวเหม็นเหล้า
“ไปได้แล้ว ทั้งสองคน”
แพรวาและกฤษฎาค่อยๆ เดินจ๋อยกันออกไป
ครั้นเมื่อถึงประตู แพรวาตัดสินใจหยุด และหันมาหาเผ่าลาภอย่างมุ่งมั่น
“น้องแพรขอผู้ช่วยค่ะ”
“อะไรนะ…ตำแหน่งเรายังไม่มีเลย จะขอผู้ช่วยแล้ว…จะให้คุณป๋าแต่งตั้งผู้ช่วยให้กับเด็กฝึกงานงั้นเหรอ”
“ก็เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของน้องแพร ไม่เกี่ยวกับบริษัทก็ได้…เวลาน้องแพรมีปัญหา จะได้มีใครให้คำปรึกษาได้ตลอดเวลา...ถ้าคุณป๋าอยากให้น้องแพรเป็นงาน...น้องแพรก็ต้องการผู้ช่วยค่ะ”
เผ่าลาภทอดถอนใจในความคิดของลูกสาว
“เฮ้อ…ใครเขาจะยอมมาเป็นผู้ช่วยหนูอย่างนั้น”
เวลาเดียวกันที่บ้านพัวพงศ์ไพศาล โฉมฉายเดินมารับโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้ตัว มีสาวใช้ดูแลอยู่ใกล้ๆ
“ฮัลโหล…อ๋อ พี่ตะวันฉายเขาไม่อยู่หรอกลูก…มีอะไรเหรอจ๊ะหนูแพรวา”
แพรวาอยู่ที่บริษัทขณะพูดโทรศัพท์
“น้องแพรจะขอให้พี่ตะวันมาช่วยงานน้องแพรหน่อยค่ะ...งานที่บริษัท M.S.ของคุณป๋าค่ะ”
“อ๋อ เหรอจ๊ะ…งานหนูคงเยอะสินะ...แล้วแม่จะบอกเขาให้นะจ๊ะลูก”
“ค่ะ…ขอบคุณคุณแม่ค่ะ สวัสดีนะคะ”
แพรวาวางสายโทรศัพท์อย่างลิงโลด ยิ้มอารมณ์ดี
โฉมฉายวางสายโทรศัพท์ ยิ้มเย้ยหยัน
“เห็นลูกฉันเป็นอะไร…อยู่ๆ จะให้ไปช่วยเจ๊กทำงาน”
สาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆ หันมาถามงงๆ
“คุณนายพูดกับหนูรึเปล่าคะ”
ด้านหรั่ง นั่งซักผ้าท่าทีซึมๆ อยู่ ผู้ใหญ่เงาะเดินเอียงไปเอียงมา ถือไม้เขี่ยไปตามทางเดิน ผู้ใหญ่ขยับตัวลงนั่งข้างๆ หรั่ง ส่งเสียงอ้อแอ้ออกมา ดูออกว่าเมาปลิ้น
“ไอ้หรั่ง ซักผ้าเหรอ…ขยันนี่หว่า…นี่ อีกหน่อยเราจะมีน้ำประปาแล้วนะเว้ย…ข้ายื่นเงื่อนไข ขอเจ้าของที่เขาไป…แจ๋วจริงๆ”
“เมาเหรอผู้ใหญ่” หรั่งถาม
“อือม…แค่กินถึงเช้า ไม่น่าเมาเลยกู…เนี่ยว่าจะเดินสำรวจที่ทางไว้วางท่อซักหน่อย”
ผู้ใหญ่ลุกขึ้นยืน แล้วลงนั่งอีกที
“มึงเป็นอะไรไปวะ…ไม่เคยเห็นมึงหน้าเศร้าหมองอย่างนี้เลย”
“คนเป็นหนี้เป็นสินเขา หน้าตามันก็อย่างนี้แหละ” หรั่งว่า
“โอ๊ย งั้นคนบ้านเรามันก็หน้าตาเหมือนมึงกันหมดทุกคนสิวะ”
“ไม่หรอก เพราะคงมีผมคนเดียวที่มีหนี้สินเป็นแสน แสน บาท”
“เฮ้ย…งั้น มึงหนีเขาเถอะว่ะไอ้หรั่ง” ผู้ใหญ่บอก
“ไม่ได้หรอกผู้ใหญ่ เขามีบุญคุณ อุตส่าห์ให้เรายืมเงิน…จะไปหนีเขาได้ยังไง”
“ก็มึงมันไม่น่าไปรับปากยายก้อยนี่หว่า…หาเรื่องแท้ๆ ผ่าแล้วหายรึเปล่าก็ไม่รู้…ชอบทำตัวเป็นพระเอกนักเชียวนะมึงนี่…เป็นหนี้ซะให้เข็ด”
“ตอนเด็กๆ ผมฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย…ถ้าผมทำให้ก้อยเขามองเห็นขึ้นมาได้ ผมคงจะภูมิใจ และรู้สึกว่าได้เป็นเจ้าชายจริงๆ”
“มึงคงอยากให้เขาเห็นว่ามึงหล่อยังไงใช่มั้ยล่ะไอ้หรั่ง…งั้นมึงก็เป็นหนี้เขาไปเถอะ ไม่ต้องคิดมาก พ่อเพ่อมึงไม่ตามหงตามหาแล้วใช่มั้ย…ไอ้หรั่งเอ๊ย”
หรั่งหน้าหมองลงอีก
“พ่อ ลูก เขารักกันยังไง ผมยังนึกไม่ออกเลย”
ผู้ใหญ่เงียบเสียงไป…สักพัก มีเสียงดังตุบ หรั่งหันไปดู เห็นผู้ใหญ่เงาะ เมาล้มกลิ้งอยู่ตรงนั้น
“เฮ้อ...ผู้ใหญ่เงาะเอ๊ย”
หรั่งถอนใจ วางมือจากการซักผ้า อุ้มผู้ใหญ่ออกไปวาง
ส่วนแพรวานอนอยู่บนเตียงอันแสนนุ่ม เธอพลิกหน้ามาทางกล้อง ทั้งที่ยังหลับตา เสียงรำไพและเสียงคนรับใช้ดังมาจากข้างนอก น้ำเสียงร้อนรน
“นายสยามอยู่ไหน เรียกนายสยามเร็ว”
“ไปที่เหมืองค่ะ ยังกลับมาไม่ถึง”
“โธ่”
แพรวาลืมตาขึ้น รู้สึกถึงความผิดปกตินอกห้อง สักครู่มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาทันที
“แพรวา…น้องแพร…เปิดประตูเร็ว”
แพรวาลุกพรวดไปเปิดประตูห้องทันที เห็นรำไพยืนหน้าซีดอยู่หน้าห้อง
“คุณป๋าไม่สบาย เป็นลม ล้มในห้องน้ำ…น้องแพรขับรถพาคุณป๋าไปโรงพยาบาลที”
หลังจากนั้นบรรยากาศก็เป็นที่โกลาหล ด้วยทุกชีวิตในบ้าน มหาโชคตั้งศิริ ต่างขวัญเสีย
ไม่นานนัก รถแพรวา วิ่งตรงเข้าโรงพยาบาล ด้วยความเร็วมากกว่าปกติ
จากนั้นเห็น รำไพ และแพรวา ทั้งคู่นั่งรออยู่บริเวณโถง ไม่ไกลจากห้องตรวจ
ลินจงเข้ามาอย่างรีบร้อน โดยมีสยามเดินนำมายังรำไพ
“เฮียเป็นไงบ้าง”
“หมอกำลังตรวจอยู่....แต่ตอนมาถึงที่นี่ ก็รู้สึกตัวขึ้นแล้วหละ” รำไพบอก
“ไอ้เรื่องลื่นหกล้มในห้องน้ำ นี่ ไม่ได้เลยนะเจ๊...พี่น้องเราไม่รู้กี่คนแล้วล้มแบบนี้...เวรกรรม
จริงๆ”
หมอเดินมาจากห้องตรวจ หน้าตาไม่ถึงกับน่าวิตก
“คุณป๋าเป็นไงคะ” แพรวาถามทันที
“ไม่เป็นอะไรมากแล้วครับ...ไม่ต้องตกใจ ตอนที่คุณเผ่าลาภล้มน่ะ แกคงหน้ามืดไปนิดหน่อย...แต่ต่อไปก็ต้องระวังกันซักนิด” หมอบอก
“เป็นเพราะอะไรคะหมอ” แพรวาซัก
“ถ้าจะให้ตอบให้ตรงจริงๆ ก็ต้องบอกว่า น่าจะเกี่ยวกับสมอง และความเครียด ซึ่งเราจะต้องตรวจกันอย่างละเอียดอีกที...โดยเฉพาะเรื่องเส้นโลหิต ในนี้มันมีเยอะ” หมอชี้ไปในสมองตัวเอง “ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นเส้น.ถ้าตีบเข้าซักเส้นนึงก็แย่เหมือนกัน...แต่ตอนนี้รับรองว่าปกติดีครับไม่มีอะไรน่าห่วง หลังจากนี้ก็คอยมาตามนัดเท่านั้นเอง สบายใจได้ครับ”
รำไพยิ้มบางๆ “ขอบคุณค่ะ”
“ผมให้เขาเปิดห้องพิเศษไว้ให้นะครับ...ญาติๆจะได้พักกันได้สบาย...เพราะตอนบ่ายผมต้องขอเอ็กซเรย์คนไข้อีกนิดหน่อย แล้วค่อยกลับบ้านได้” หมอว่า
“เชิญเถอะค่ะหมอ จะตรวจอะไร ทำอะไรก็เอาให้เต็มที่เลย ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว”
หมอเดินออกไป...ลินจงขยับเข้าใกล้รำไพ
“สบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วนะเจ๊...” พลางกระซิบถามเบาๆ “น้องคนอื่นๆล่ะ ไม่มากันเลยเหรอ”
รำไพส่ายหน้าและตอบเบาๆ เท่ากัน “เขาคงอยากให้คุณเผ่าลาภตายละมั้ง”
ลินจงมองรำไพอย่างเข้าใจนัยลึกๆ เธอจับมือรำไพเอาไว้แน่น
“เจ๊จำไว้นะ...ถ้าเฮียเป็นอะไรไป อย่างน้อยจะมีฉันคนหนึ่งที่อยู่ข้างเจ๊ อยู่ข้างเฮีย”
รำไพมองหน้าลินจงอย่างซึ้งใจ
“คนที่หวังดีกับเจ๊จริงๆ คือคนที่มาหาเจ๊วันนี้เท่านั้น...เชื่อฉันเถอะ” ลินจงว่า
จังหวะนี้ กันทิมากำลังเดินทะเร่อทะร่าเข้ามา มองหาห้องตรวจอยู่
ไม่นานต่อมาเผ่าลาภยันตัวขึ้นนั่งบนเตียงผู้ป่วย…หน้าตามีรอยยิ้ม
“มากันทำไมเยอะแยะ เฮียไม่ได้เป็นอะไรมากซักหน่อย ดู กันทิมาก็มากับเขาด้วยแน่ะ”
“รู้จากพี่รำไพ หนูก็รีบมาเลยค่ะ” กันทิมาว่า
“รำไพ คุณเที่ยวบอกใครต่อใครอย่างนี้ ผมก็อายแย่น่ะสิ” เผ่าลาภเอ็ดภรรยา ทีเล่นทีจริง
“พูดเป็นเล่นไป คุณนี่” รำไพค้อน
“คุณป๋าขี้อายตั้งแต่เมื่อไหร่ น้องแพรไม่เห็นรู้เลย” แพรวาสัพยอก
“เฮียตง…จากนี้ไป หมอเขาจะนัดเฮียมาตรวจเรื่อยๆ นะ รู้ป่าว” ลินจงบอก
“เขาเข้าใจหาลูกค้าให้โรงพยาบาลเนอะ…เฮอะเฮอะ…น้องแพร มาใกล้ๆ คุณป๋าซิ”
แพรวากระเถิบเข้าหาเผ่าลาภ
“โรคของป๋าเนี่ย น้อยคนนักที่จะเป็น หมอเขาบอกว่า มันเป็นโรคของคนที่มีลูกสาวขี้เกียจ…ถ้าลูกสาวป๋าขยัน เอางานเอาการเมื่อไหร่ละก้อ…คุณป๋าจะหายเป็นปลิดทิ้งทันที”
แพรวาทุบลงไปที่ท้องเผ่าลาภ ดังปึ้ก!
เย็นๆ ที่โต๊ะสนุ๊กในบ่อน ตะวันฉายก้มลงสาวคิวเพื่อเช็ดลูกดำลงหลุมกลาง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น…ตะวันฉายแทงวืดไปทันที หยิบโทรศัพท์มาดูหมายเลขที่เรียกเข้า หงุดหงิดหนักขึ้น เขาเดินเลี่ยงออกมานิดหนึ่ง หายใจลึกๆ รับสายแล้วทำเสียงหล่อปกติ
“ฮัลโหล คร้าบ”
แพรวาโทร.มาจากห้องนอนที่บ้าน กำลังนอนพูดโทรศัพท์กลางเตียงใหญ่
“พี่ตะวัน…หายไปเลยนะ อยู่ๆก็ไม่โทรมาหาน้องแพร น้องแพรโทรไปก็ไม่รับ ฝากข้อความให้โทรกลับก็ไม่โทร.”
“ช่วงนี้พี่ต้องตามพ่อไปดูงานตลอดเลย…ตอนนี้ก็อยู่กับพ่อที่ชัยนาทชายที่เล่นสนุ้กด้วยกันพยักหน้าเร่งให้ตะวันฉายแทงต่อได้แล้ว”
เสียงแพรวายังพูดโต้ตอบอยู่
“พี่ตะวันโกหก…วันนี้พ่อพี่ตะวันยังมาเยี่ยมคุณป๋าของน้องแพรเลย”
“อ้าว คุณป๋าน้องแพรเป็นอะไร”
“ไม่ต้องมาทำเสียงเป็นห่วงหรอก…ตอนนี้คุณป๋าป่วย แล้วน้องแพรก็ต้องการผู้ช่วยมาช่วยงาน…พี่ตะวันมาหาน้องแพรหน่อยสิคะ ไม่รู้หละ พี่ตะวันต้องมาเป็นผู้ช่วย คอยให้คำปรึกษาน้องแพรด้วย”
“น้องแพร…พี่ไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ”
ชายคนนั้นเร่งตะวันฉายให้เล่นสนุ๊กต่อเร็วๆ
“ก็…เดี๋ยวนะ…พี่กำลังยุ่ง…แค่นี้ก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่โทรกลับ”
ตะวันฉายรีบกดยกเลิกสาย แพรวา โกรธ งอน เหวี่ยงผ้าห่มที่ทำให้ตะวันฉาย กระจายกลางห้อง
ด้านรำไพกำลังเช็ดตัวให้เผ่าลาภ เยี่ยงศรีภรรยาที่ดี อยู่ๆ เผ่าลาภก็ถอนใจออกมา เสียงดังเชียว
“เมื่อกลางวันละทำเก่ง…ตอนนี้ถอนใจเป็นคนหมดเรี่ยวหมดแรงเลยนะ”
“มันคงใกล้เข้ามาแล้วหละ…นี่คงจะเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่างกับผม”
“บอกอะไรคะ”
รำไพถามออกไป ทั้งๆ ที่รู้คำตอบของเผ่าลาภอยู่แล้ว
“ผมคงเหลือเวลาอยู่กับคุณน้อยลงไปทุกที”
“เวลาของทุกคน มันก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆเหมือนกันหมดล่ะค่ะ”
“เฮ้อ…ถ้าผมเป็นอะไรไปตอนนี้ มหาโชคตั้งศิริ ก็คงจะไม่เหลืออะไร ญาติพี่น้องแต่ละคนมันจ้องแต่จะผลาญกันยังกับอีแร้งทึ้งเหยื่อ”
“คุณก็ต้องทำใจ ยอมรับอะไรๆ ที่มันอาจเปลี่ยนแปลงไปให้ได้”
“ผมรู้…แต่ผมไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผม หรือเกิดขึ้นเพราะผม…ดวงวิญญาณอากง อาเล่ากง จะพากันสาปแช่งผมไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด…”
“ที่แท้ก็ยังอยากจะเกิดใหม่อีกนั่นเอง” รำไพเย้าหยอก
“ก็เกิดมาเจอคุณอีกไง ไม่ดีเหรอ”
เผ่าลาภกอดรำไพด้วยความรักยิ่ง
“ผมเหลือแต่แพรวาเท่านั้น ที่จะเป็นตัวแทนของเราได้ แต่ก็ต้องรีบทำให้เขาแกร่งขึ้นมาให้
เร็วที่สุด”
“มันไม่ง่ายเลยนะคะ...เหมือนใจเขาจะไม่มาทางนี้เลย”
“ผมรู้”
“แล้วคุณจะทำยังไง”
“เขาขอผู้ช่วย…สงสัยว่าผมคงต้องยอมเขา”
อีกฟากหนึ่ง กระดาษโปสเตอร์ ห่อใหญ่หลายสิบห่อถูกโยนวางลงบนพื้นใต้ถุนบ้าน หรั่งนั่งจ้องโปสเตอร์นั้นงงๆ
“อะไรของมึงวะไอ้เท่ห์”
เท่ห์ โบ้ และเช็ง เรียงตัวกันอยู่ไม่ไกลนัก ก้อยนั่งร้อยมาลัยอยู่ที่มุมหนึ่ง
“งานสิวะ…งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข…หน้าที่ของเราคือติดโปสเตอร์พวกนี้ให้ทั่วกรุงเทพฯ งานเบาและสบายมาก พวกมึงเห็นมั้ย”
“เดี๋ยวนี้เขายังติดโปสเตอร์แบบนี้กันอีกเหรอวะ” โบ้งง
“เราติดมันซักสี่ห้าแผ่น แล้วรับเงินเขาเลยแล้วกัน ที่เหลือเผาทิ้งเลยก็ได้นี่หว่า ไม่เหนื่อยดีว่ะ” เช็งว่า
“มันต้องมีจรรยาบรรณโว้ย ทำอย่างนั้น อีกหน่อยเขาก็ไม่จ้างเราสิวะ…พรุ่งนี้เช้า เขาต้องเห็นโปสเตอร์นี้อยู่เต็มย่านชุมชนซะก่อน ถึงจะจ่ายเงิน”
“มันมีทั้งหมดกี่ย่านวะ...” เช็งถาม
“จะกี่ย่านมึงก็ติดไปเหอะน่า” เท่ห์บอก
“ถ้าเราติดไป แล้วมีคนมาปิดทับจะทำยังไง” โบ้ว่า
“มึงก็นั่งเฝ้าไว้สิ” เช็งประชด
“พวกเราถึงต้องติดกันกลางดึกไง ยิ่งใกล้เช้ายิ่งดี…ไปกับพวกกูมั้ยไอ้หรั่ง” เท่ห์ถาม
“อะไรที่ได้เงินกูเอาหมด” หรั่งว่า
ก้อยเหลียวมาทางเสียง “เพราะก้อยใช่มั้ย หรั่งถึงต้อง…”
“ก้อย อย่าคิดมาก…เรามีกันแค่สองคน อย่ามาเกรงใจกันเอง” หรั่งบอก
“อยู่บ้านคนเดียวได้มั้ยก้อย”
เช็งถีบโบ้หนึ่งทีเป็นการหยอกเอิน
“เสือกจริงเชียวมึง…เขาเพิ่งบอกว่าเขามีกันแค่สองคน ไอ้นี่”
ค่ำนั้น ภายในร้านอาหารหรู โรแมนติกที่สุด ผู้คนในร้านมากมานล้วนแต่งตัวดูดี ที่โต๊ะเด่นสุดในร้าน ไวน์ในแก้วหรู อยู่ในมือของตะวันฉาย ส่วนแพรวานั่งหน้าบึ้งตึง ไม่ยอมแตะต้องอาหาร ตะวันฉายดื่มไวน์แล้ววางแก้วลง จ้องหน้าแพรวา
“น้องแพร...ทำไมนั่งเหม่ออย่างนี้...อาหารไม่อร่อยเหรอจ๊ะ”
“มันจะอร่อยทันที ถ้าพี่ตะวันจะยอมเป็นผู้ช่วยน้องแพร”
“แหม...งานพี่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง น้องแพรต้องเข้าใจ”
“งานอะไร...พี่ตะวันทำงานที่ไหนแล้วเหรอ”
“ก็งานติดตามคุณพ่อพี่ไง”
“อย่ามาอ้างเลย...โกหกน้องแพรเมื่อตอนกลางวัน ยังไม่ได้ชำระกันเลยนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ไม่ใช่ยังงั้น แล้วมันยังไง”
“คือ พี่กำลังจะทำธุรกิจจริงๆ...แต่แค่คิด แค่เตรียม ก็เลยยังไม่ได้บอกน้องแพร...เพราะว่าไม่แน่ พี่อาจจะเปลี่ยนใจ ทำหรือไม่ทำ มันยังไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น”
“ถ้างั้นพี่ตะวันก็เลิกไปเลย ไอ้ธุรกิจที่พี่จะทำหรือจะไม่ทำอะไรของพี่น่ะ...จะได้มาทำงานกับน้องแพรซะดีๆ” แพรวาพูดเป็นเชิงบังคับ
ตะวันฉายอึดอัด...ชักจะพูดกันไม่รู้เรื่อง
ที่ถนนย่านชุมชน ใจกลางเมืองเวลานั้น หรั่งและเพื่อนพรวดพราดเข้าหาผนังข้างถนน มือล้วงกาวในถัง ถูลงบนผนัง-เสาไฟ พวกเขาติดโปสเตอร์กันอย่างสนุก โปสเตอร์แผ่นนั้นถูกรูดลงบนผนัง โปสเตอร์เหมือนๆ กันถูกติดเรียงเป็นแถวยาว
ขณะเดียวกันรถตะวันฉายวิ่งฝ่าแสงไฟเมือง ไปบนท้องถนนยามค่ำคืน
แพรวานั่งหน้าบึ้งข้างๆ ตะวันฉายที่ขับรถอยู่ ตะวันฉายเองดูจะมีอาการหงุดหงิดพอสมควร...เขากลบเกลื่อนด้วยการร้องเพลงตามวิทยุ แพรวารักษาอาการนิ่งอยู่ได้เป็นพักใหญ่ จนตะวันฉายเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
“ถามจริงๆ เถอะน้องแพร...ยิ้มไม่เป็นเลยเหรอวันนี้”
“ลืมยิ้มไปแล้ว”
“เดี๋ยวนี้น้องแพรชักจะเจ้าอารมณ์ใหญ่แล้วนะ”
“พี่ตะวันน่ะสิ หมดอารมณ์ไปแล้ว...น้องแพรชวนดูพระจันทร์ริมน้ำก็ไม่ยอมดูกับน้องแพร”
“แหม เราดูกันไม่รู้กี่ครั้งแล้วนะ...แล้วทุกครั้งก็ลงเอยที่น้องแพรชวนพี่ไปเหยียบดวงจันทร์ตอนเที่ยงคืนทุกที” ตะวันฉายหัวเราะในลำคอ เหยียดลึกๆ
“แต่พี่ตะวันก็ไม่เคยเหยียบดวงจันทร์กับน้องแพรซักครั้ง”
“ก็มันเหลวใหลนี่น้องแพร...พี่อายคนเขา”
“แพรวาพาลหนัก แปลว่าน้องแพรหน้าไม่อาย...น้องแพรหน้าด้านอย่างนั้นเหรอคะ”
ตะวันฉายหักพวงมาลัยรถเข้าจอดชิดข้างทางทันที รถตะวันฉายเบรคจอดนิ่งอยู่ข้างทาง...ตะวันฉายหันหน้าเข้าหาแพรวา
“ถ้าน้องแพรยังนั่งหน้าบึ้ง พาลหาเรื่องพี่อย่างนี้ พี่ไม่ไปส่งบ้านแล้วนะ”
“ไม่ส่งก็อย่าส่ง”
ตะวันฉายแทบจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เขาเร่งเสียงเพลงในรถให้มันดังมากยิ่งขึ้น จนเบาะนั่งในรถสั่นสะเทือน ด้วยเสียงเพลงแร็พที่ตนชื่นชอบ แต่แพรวาโคตรเกลียด!!
บรรยากาศยามนี้จึงโคตรจะอึดอัด
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ในที่สุดแพรวาก็ทนไม่ไหว เธอเอื้อมมือปิดวิทยุทันที พร้อมกับหันหน้ามาจ้องตะวันฉาย
“พี่ตะวัน...ทำไมเรื่องแค่นี้พี่ตะวันจะช่วยน้องแพรไม่ได้...ห๊ะ”
“เอ๊ะ พี่ไม่ได้เก่งไปทุกเรื่องนะ...แล้วพี่ก็ไม่ได้ชอบงานเพชรพลอย มันงานของผู้หญิงชัดๆ ขืนเอาพี่ไปทำ พี่อาจจะทำให้งานน้องแพรเละเทะไปใหญ่ก็ได้ พี่ถนัดซะที่ไหนล่ะ”
“พี่ก็ค่อยๆ ฝึกไปสิ เดี๋ยวก็ถนัดเอง ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“แล้วทำไมพี่ต้องฝึกด้วย”
“ก็จะได้มาเป็นผู้ช่วยน้องแพรไง”
บรรยากาศมาคุมากขึ้น พร้อมๆ กับ การโต้เถียงเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“พี่เป็นผู้ช่วยน้องแพร ก็แปลว่าพี่ต้องทำตามคำสั่งน้องแพรน่ะสิ...พี่เป็นผู้ชายนะ ถ้าผู้ชายยอมเป็นขี้ข้าผู้หญิงก็บ้าแล้ว”
ตะวันฉาย เข้าเกียร์ กระทืบคันเร่ง ออกรถเสียงดังเอี๊ยด รถตะวันฉาย วิ่งทะยานไปอย่างแรง และ เร็วตามอารมณ์ของทั้งคู่
“พี่ตะวันไม่ใช่ขี้ข้าซักหน่อย...แค่เป็นผู้ช่วย แล้วอีกหน่อยพอเราอยู่ด้วยกัน พี่ก็ต้องมาช่วยงานคุณป๋าอยู่ดี...ถึงตอนนั้นพี่ตะวันก็ต้องตำแหน่งใหญ่กว่าน้องแพร ใหญ่กว่าใครๆอยู่แล้ว”
“นี่ น้องแพรคิดเลยเถิดไปโน่นเลยเหรอ”
“โน่น อะไร”
“ก็คิดไปถึงว่า เราจะอยู่ด้วยกันเลยเหรอ”
“แปลว่า...พี่ตะวันจะไม่อยู่กับน้องแพรใช่มั้ย”
แพรวาน้อยใจ เสียใจ จนน้ำตาเอ่อขึ้นมารอบสองเบ้าตา
“อยู่หรือไม่อยู่ ไม่รู้ละ...แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาเป็นฝ่ายพูดเรื่องอย่างนี้ก่อนหรอก”
“พี่ตะวันพูดอย่างนี้ น้องแพรเสียใจนะ” น้ำตาจะไหลรินอยู่แล้ว
“ก็จริงมั้ยล่ะ...เรื่องแค่นี้ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วจะไปคิดถึงเรื่องอยู่ด้วยกันทำไม”
แพรวาช็อกที่ได้ยินคำพูดนี้ ถือเป็นช็อคครั้งแรกในชีวิตของเธอ แพรวาเอื้อมมือไปกระชากล็อคประตู
“ทำอะไรน่ะ” ตะวันฉายดุ
“น้องแพรจะลงตรงนี้ น้องแพรไม่นั่งรถพี่ตะวันแล้ว” พลางกระชากประตูอีก
“อย่าทำบ้าๆ อย่างนี้ได้มั้ย จะลงก็บอกสิ จะได้จอดให้”
ตะวันฉายกระทืบเบรครถ จนตัวโก่ง รถตะวันฉายจอดนิ่งริมถนน
แพรวาเปิดประตูรถ กระโจนออกมาข้างนอก พร้อมกับเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรง รถตะวันฉายกระชากตัว ล้อหมุนติ้วๆ ออกไปบนถนนโล่งกว้างอันแสนเวิ้งว้าง
ค่ำแล้วแพรวาขยับลงนั่ง ในเงามืด เคว้งคว้าง ที่ข้างทางนั้นเอง น้ำตา ทยอยไหลย้อยออกมาจากสองเบ้าตารินรดแก้มนวล
ไกลออกไป เห็นเป็นรถปิ๊คอัพของหรั่งและเพื่อนๆ แล่นเข้ามาจอด พวกมันกระโดดลงจากรถ แล้วตะลุยปิดโปสเตอร์ไล่ไปตามกำแพง
แพรวา...เธอเอามือปาดน้ำตาที่นองหน้า ฝุ่นถนนที่ติดมือมา ถูกลากเป็นปื้นเหนือแก้มเนียน
เห็นเพียงช่วงขาของพวกปิดโปสเตอร์มากมายวิ่งไปมา อยู่ด้านหลัง
มีขาคู่หนึ่ง ตรงมาหยุดยังแพรวา และเมื่อเจ้าของขาหย่อนก้นลงนั่ง จึงเห็นว่า เขาคือ หรั่ง นาคำ นั่นเอง
“คุณแพรวา”
แพรวาหันหน้าไปหาหรั่งช้าๆ น้ำตาแพรวาก็ไหลมาอีกพรากใหญ่
“ทำไมทุกครั้งที่ฉันเดือดร้อน นายต้องโผล่หน้ามาทุกที”
หรั่งยิ้มกว้างจนตาหยี ชูพวงกุญแจไอ้มดแดงให้เธอดู
“นายเป็นฮีโร่ของฉันเหรอ”
“ทำไมมานั่งร้องไห้ตรงนี้”
“คนเราเลือกที่ร้องไห้ได้ด้วยเหรอ”
“เราเลือกที่จะไม่ร้องไห้ได้”
“ไม่จริงหรอก...ฉันเป็นคนช่างเลือกจะตาย...ตอนนี้ยังดูเหมือนกับว่าฉันจะเลือกผิดเลย”
“ทะเลาะกับแฟนมาใช่มั้ยครับ...ผมเดา”
ดูเหมือนภารกิจปิดโปสเตอร์จะเสร็จแล้ว เพื่อนๆ ที่อยู่ด้านหลังตะโกนเรียกหรั่ง
“หรั่ง ไปโว้ย...”
หรั่งหันไปมองนิดเดียวแล้วหันกลับมาที่แพรวา...เขาชี้ไปที่แก้มแพรวาตรงที่เลอะ แพรวาเข้าใจ ใช้มือถูออก...แต่มันเลอะมากขึ้น เพื่อนๆตะโกนเรียกหรั่งอีก
“ไอ้หรั่ง เร้ว...เดี๋ยวไม่เสร็จ ยังเหลืออีกอื้อเลย”
“นายไปเถอะ เพื่อนๆเรียกแล้ว”
แพรวาเศร้าลงไปอีก...หรั่งละล้าละลังไม่น้อย
“แล้วคุณจะทำอะไรต่อ...นั่งรอเขาอยู่ตรงนี้”
“ถ้านายเป็นแฟนฉัน...นายจะกลับมารับฉันมั้ย”
หรั่งส่ายหน้า
“ไม่...ถ้าผมเป็นแฟนคุณ...ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไว้อย่างนี้เป็นอันขาด”
เสียงเพื่อนๆ เรียกหรั่งอีก ดังยิ่งขึ้น
“เฮ้ย ไอ้หรั่ง จะไปรึไม่ไป...หรือจะนั่งอยู่นี่ เอามั้ย เดี๋ยวมารับ”
“นายไปติดโปสเตอร์ที่ไหนกันน่ะ”
“ทั่วกรุงเทพฯ”
“เสร็จกี่โมง...กว่าจะทั่วน่ะ”
“ใกล้เช้า”
“ฉันไปด้วยคนสิ...ถ้าเขาย้อนมารับฉัน เขาจะได้ไม่เจอฉัน เขาจะได้รู้รสชาติของการผิดหวังบ้าง”
หรั่งยิ้ม “งั้นก็ เชิญตามผมมาเลยครับ”
แพรวาวิ่งตามหรั่งไปยังรถสองแถว ทั้งคู่ปีนขึ้นนั่งยังกระบะท้าย
รถวิ่งออกไป เพื่อนๆ เป่าปากเฟี้ยวฟ้าว โห่ฮาชอบใจกันเป็นแถว
ตามฟุตบาท ถนน ย่านชุมชนต่างๆ แพรวา หรั่ง เท่ห์ โบ้ เช็ง เพื่อนๆ ติดโปสเตอร์ตามผนังริมถนนต่างๆ แต่ละคนสนุกสุดๆ หรั่ง แพรวา และเพื่อนๆวิ่งเข้าใส่ผนังอย่างเมามัน หลายๆ มือจ้วงตักลงบนถังกาว
หรั่งทากาว แพรวาติดกระดาษบนผนังนั้น
หรั่ง และเพื่อนๆ แกล้งแพรวา…ทากาวใส่ตัว…โปสเตอร์แปะที่หลัง
ทุกคนวิ่งออกจากผนัง จนเห็นว่าทั้งผนังเต็มไปด้วยโปสเตอร์ ของพวกเขา มีหนึ่งแผ่นเอียงอยู่ ดูเก๋ไก๋
งานเสร็จสิ้นพวกเขาอยู่ที่กระบะหลังรถปิ๊กอัพคันเดิมที่แล่นมาตามถนน
แพรวาและหรั่ง มีความสุข ร่าเริงอยู่ที่กระบะท้าย ส่วนคนอื่นๆ เฮฮา ตามอัธยาศัย
รถปิ๊คอัพคันเดิมแล่นเข้ามาจอดใกล้เคียงกับที่เก่าบริเวณที่หรั่งเจอแพรวา โปสเตอร์ในกระบะท้ายหมดเกลี้ยงแล้ว ทุกคนมีท่าทีอิดโรยแต่สีหน้ามีความสุข หรั่งกระโดดลงมาแล้วเปิดกระบะท้ายให้แพรวา
“ไม่มีการติดโปสเตอร์ครั้งไหนสนุกเท่ากับครั้งนี้” เท่ห์ว่า
เช็งบอกกวนๆ “เพราะเราพึ่งติดโปสเตอร์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก”
“เพราะเรามีสิ่งสวยงามอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาต่างหาก” โบ้แซว
“มึงว่ากูน่าเกลียดเหรอ” เช็งแกล้งโกรธ
เท่ห์ถีบเช็งกระเด็นไปไกล....แพรวากระโดดลงจากรถ
“ขอบใจทุกคนนะ สำหรับประสบการณ์ที่มีค่า...” แพรวาบอกกับหรั่ง “ไปก่อนละ”
แพรวาค่อยๆ เดินเลี่ยงออกมา หรั่งมองตาม ตัดสินใจ หันไปบอกเพื่อน
“พวกมึงกลับไปก่อน...เดี๋ยวกูกลับเองได้”
“กูก็ว่างั้นแหละ” เท่ห์รู้ทัน
หรั่งเดินตามแพรวาไป เขานั่งลงข้างๆ แพรวา...เธอรู้สึก แต่ไม่เอ่ยปากพูดอะไร
“เป็นผู้หญิงสาว นั่งคนเดียวริมถนน มันอันตรายนะครับ”
แพรวาระบาย “ทำไมเขาไม่คิดอย่างที่นายคิดบ้างล่ะ”
“ผู้ชายแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ...มันจะต่างกันไปคนละแบบ”
“นายเป็นแบบไหน”
“ไม่รู้สิครับ...ไม่มีใครมองตัวเองออกหรอกครับ ต้องให้คนอื่นมอง...เหมือนที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีหน้าเหมือนไอ้มดแดง”
แพรวาหัวเราะออกมาได้
“ไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย”
ทั้งคู่นั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง...แพรวาเอ่ยปากออกมาก่อน
“เวลาที่เธอไม่มีรถขับ ไม่มีตังค์กลับบ้าน เธอทำยังไง”
“เดิน”
“เหรอ?”
“บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ”
“เกษตร - นวมินทร์”
“สบายมาก” หรั่งบอก
“งั้นไป”
ทั้งคู่ลุกขึ้นเดินออกไป ตามทางเดินริมถนน สวยเหลือเกิน หรั่งและแพรวา เดินคู่กันมากลางถนนเปลี่ยวที่สวยงาม ไร้ผู้คน
เห็นชายไทยไม่ทราบชื่อเมาหลับอยู่ตามริมทางบ้างประปราย ทำให้ภาพนี้งดงามแบบมีชีวิต
“ตอนเรานั่งชิงช้าด้วยกันที่เมืองกาญจน์ นายบอกว่านายทำทุกอย่างที่ได้เงิน...ฉันอยากรู้ว่า มีอะไรบ้างที่นายทำไม่ได้”
“เยอะแยะครับ...ใครจะทำอะไรเป็นทุกอย่างได้ยังไง...เพียงแต่ว่า ผมเป็นคนไม่ยอมแพ้...อะไรที่ผมไม่เป็น ผมยิ่งต้องพยายาม ถามเขา ขอฝึกขอหัดกับเขา เอาจนกว่าเราจะทำได้นั่นแหละ...แต่นั่นต้องเฉพาะสิ่งที่เรารักจะทำนะครับ...เพราะความรักมันบังคับกันไม่ได้”
แพรวาทึ่ง “ฟังดูดีจังเลย...แล้วถ้างานที่นายรัก ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้หญิงล่ะ”
“ไม่เห็นแปลกเลย...ผู้หญิงเก่งเยอะแยะไปครับ”
“แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เก่งล่ะ ไม่เก่ง ไม่ได้เรื่อง แสนงอน เจ้าอารมณ์”
“เป็นไปไม่ได้ครับ...คนจะเป็นใหญ่เป็นโต ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย...ถ้าไม่เก่ง ไม่มีสิทธิได้เป็นเจ้านายคน”
“แต่ถึงยังไง ผู้ชายก็ใหญ่กว่าผู้หญิงวันยังค่ำ”
“ผู้ชายชอบเป็นผู้นำ”
“ใช่”
“แต่การเป็นผู้นำ ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ข้างหน้าเสมอ” หรั่งว่า
“อะไร...ผู้นำไม่อยู่ข้างหน้าแล้วจะนำได้ไง...นายมั่วแล้ว แหม กำลังฟังเพลินๆ มั่วเลยนะ”
“ผู้ชายบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ข้างหน้าครับ...เขาอาจจะเกิดมาเพื่อผลักดันให้ใครซักคนขึ้นไปอยู่ สูงสุดขอบฟ้า”
“แล้วไง”
“แล้วก็...รอเขาอยู่ตรงนั้น...เป็นดาวประดับฟ้า ที่เขาจะปีนขึ้นไปหาเธอเอง ซักวันนึง”
“เหมือนเคยได้ยินในเพลงนะ...ค่ายอะไรซักค่ายนึงนี่หละ”
ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าบ้านแพรวาจนได้ในที่สุด
“นั่นบ้านฉัน”
“บ้านใหญ่จัง” หรั่งมองอย่างทึ่ง
“ขอบใจนายนะ ที่ทำให้ฉันผ่านค่ำคืนนี้มาได้”
“ครับ...โชคดีครับ”
แพรวายิ้ม แล้วเดินข้ามถนนไป เมื่อใกล้ถึงประตูบ้าน เธอก็หันมาตะโกนว่า
“ไว้เจอกันนะ”
หรั่งรีบตะโกนตอบ
“ที่ไหนครับ”
ทว่ามันไม่ทัน แพรวาเข้าบ้านไป ก่อนที่เธอจะได้ยิน
หรั่งยืนยิ้มพราย เขามองภาพบ้านหลังนี้นิ่ง ราวกับจะมอบวิญญาณของตนให้ไว้กับที่นี่
แพรวาเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อถึงโถงกลาง เธอต้องชะงักกับภาพเบื้องหน้า เมื่อพบว่าทั้งเผ่าลาภ รำไพ ตะวันฉาย นั่งกิริยาเครียดๆ กระจายกันอยู่ตามมุมห้อง
แพรวาเดินมาจ้องหน้าตะวันฉาย...ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์โกรธอยู่ เผ่าลาภ ฉวยโอกาสพูดก่อนใคร
“ไปไหนมา”
“พี่ตะวันไม่ได้เล่าให้คุณป๋าฟังเหรอคะ” แพรวาย้อน อย่างมีอารมณ์
“พี่เขาเล่าแล้วว่าเราขี้โมโหยังไงบ้าง...ใครสั่งใครสอนให้พรวดพราดลงจากรถอย่างนั้น”
“มันอันตรายนะลูก” รำไพตำหนิ
“แล้วใครสั่งใครสอนพี่ตะวันฉายว่า ถ้าแฟนลงจากรถได้ ก็ให้ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นเลย”
“พี่กลับไปรับน้องแพรแล้ว แต่ไม่เห็นแม้เงา...จะให้พี่ทำไง...พี่ก็ต้องกลับมารอที่นี่”
“ยังไม่ได้ตอบคุณป๋าเลยลูกว่าไปไหนมา”
“ไปติดโปสเตอร์...Dogs Show...วันจันทร์นี้ มีใครอยากดูมั้ย”
แพรวาเดินหนีขึ้นบ้านไปเลย ก่อนหลุดไปเธอยังหันมาใส่หน้าตะวันฉายอีกที
“คนอย่างพี่ตะวัน ไม่รู้หรอกว่าติดโปสเตอร์น่ะ มัน มันยังไง”
พระอาทิตย์ดวงเดิมโผล่พ้นขอบตึกสูงระฟ้า กลางกรุงเทพมหานคร
ที่ธนาคารรัตนทรัพย์ หรั่งนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงานของตน ผู้จัดการเดินเข้ามาสะกิด จนหรั่งรู้สึก
เขาเงยหน้ามองแล้วสะดุ้ง
“นอนหลับในเวลาทำงานได้เหรอ?...ไม่คุ้นกับการนั่งโต๊ะรึไง”
“เอ้อ...ครับ”
“คงไม่ถึงกับต้องเอามอเตอร์ไซค์มาจอดแทนโต๊ะในนี้หรอกนะ”
“ครับ...พอดีเมื่อคืน”
“รับงานพิเศษมาละซี...เราเป็นพนักงานประจำแล้วนะนายหรั่ง ต้องเพลาๆ ลงบ้างแล้วหละไอ้จ๊อบนอกน่ะ”
“งั้นก็ไม่มีเงินใช้หนี้ผู้จัดการสิครับ” หรั่งบอก
“ค่อยเป็นค่อยไป มีเมื่อไหร่ค่อยให้ ไม่ต้องรีบร้อน...มาหลับกลางวันอย่างนี้ ใครเห็นเข้ามันไม่ดี”
“ครับ”
“เผื่อต่อไปจะปรับเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จะได้ไม่มีใครมาขุดคุ้ยความประพฤติ”
หรั่งขมวดคิ้ว ทำหน้างง
“งงเลยใช่มั้ยล่ะ...คืองี้ ไหนๆ เธอก็จบปริญญาตรีแล้ว ฉันว่าไอ้วุฒิการศึกษาของเธอน่ะแค่แมสเซ็นเจอร์ดูจะน้อยไป ไอ้ตำแหน่งพนักงานหน้าเค้าท์เตอร์น่ะ ดูเหมือนจะมีว่างอยู่...ฉันว่าจะรบกวนให้เธอช่วยทำให้หน่อย...”
หรั่งตื่นเต้น “จริงเหรอครับ”
“ฮื่อ...เงินเดือนก็จะสูงขึ้นด้วยนะ”
“เอ้อ...เดี๋ยวตอนกลางวัน ผมขออนุญาตลาซักครึ่งชั่วโมงได้มั้ยครับ”
“อะไรวะ เลื่อนตำแหน่งให้ปุ๊ป มันขอลาปั๊ปเลย” ผู้จัดการแซว
“จะไปบอกก้อยน้องสาวผมน่ะครับ...ก้อยคงดีใจ”
ในห้องประชุมบริษัท M.S. ญาติพี่น้อง ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทลงนั่งประจำที่ของตน แพรวา และกฤษฎานั่งห่างออกมา ใกล้ๆ แพรวาคือลินจง เผ่าลาภเดินมานั่งเป็นคนสุดท้าย
“รู้ใช่มั้ยว่าฉันเรียกประชุมด่วนเพราะอะไร”
“แจ้งอาการป่วยให้ทราบทั่วกันมั้ง” บารมีแขวะตามนิสัย
เผ่าลาภบอก “ใช่ ฉันไปหาหมอมา”
“หมอว่าไงบ้างครับ” ทนงศักดิ์ แสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่มีอะไรน่าห่วง...แต่ต้องไปตรวจเดือนละครั้งสองครั้งตามนัด”
“แปลว่าต้องมีอะไรน่าห่วงแล้วหละเฮีย” อรทัย วิเคราะห์
“ปัญหาก็คือ วันข้างหน้าหากเฮียเกิดเป็นอะไรขึ้นมากระทันหัน พวกเรารู้กันมั้ยว่าใครจะทำหน้าที่แทนเฮียต่อไป”
“หลานแพรวา อั๊วต่อ 10-1” บารมี ตีรวนอีกเช่นเคย
เผ่าลาภ นิ่ง สุขุม
“ไม่ใช่”
“แล้วใคร” บารมีถาม
“ไม่มีใครในที่นี้เหมาะสมแม้แต่คนเดียว”
พี่น้องส่งเสียงอื้ออึงทันที
“เฮียกำลังจะบอกว่า เฮียจะยกตำแหน่งบริหารสูงสุดให้คนนอกงั้นเหรอ” ลินจงถาม
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น...ฉันกำลังจะบอกว่าทุกคนในที่นี้ควรจะตั้งใจทำงานให้มากขึ้น ทุกคนต้องพิสูจน์ฝีมือของตัวเอง...สร้างผลงานของตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อจะได้มีคุณสมบัติในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของ M.S.GROUP ต่อไป”
“แล้วถ้าเฮียล้มลงไปตอนนี้ล่ะ เดี๋ยวนี้เลยน่ะ” อรทัยว่า
“ถ้าเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้าขึ้นมา เฮียก็จะขอให้แพรวารักษาการณ์แทนไปก่อน”
แพรวาสะดุ้งมองไปรอบๆ ทุกสายตามองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“นั่นไง...เฮียตงขี้โกงแล้วไง โธ่ ทำมาพูดโน่นพูดนี่...ที่แท้ก็วางแผนให้ลูกสาวขึ้นเป็นใหญ่อยู่ดีนั่นแหละ...ไม่ยุติธรรมนี่หว่า ทำไมไม่ให้เจ๊ฮุ้งขึ้นรักษาการณ์แทนล่ะ หรือถ้าจะเอาคนรุ่นใหม่เพื่อปูพื้นฐาน ก็เจ้าต้นไง...ทำไมไม่เอาเจ้าต้น อย่างน้อยมันก็เป็นผู้ชาย เข้มแข็งกว่าแพรวาตั้งเยอะ” บารมีแขวะ
ลินจงยื่นมือมาบีบให้กำลังใจแพรวา
“งานบริหารเป็นงานใช้สมอง ไม่ได้ใช้กำลัง” เผ่าลาภบอก
บารมีแหลมขึ้นอีก “โหวตดีกว่า โหวตเลยว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นเป็นไง...มา พี่น้องเราทุกคน มายกมือออกเสียงกันหน่อย...ใคร....”
เผ่าลาภตบโต๊ะปัง ระงับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ไม่ต้องโหวต...นี่คือคำสั่งของประธานบริษัท ใครไม่เชื่อก็ถอนชื่อออกไปจากตระกูลนี้เลย”
ทุกคนเงียบลงได้ในที่สุด
ครู่ต่อมา ตรงทางเดิน มุมหนึ่งหน้าห้องประชุม พวกผู้ถือหุ้นทั้งหลายพากันเดินออกมาบริเวณนั้น ส่วนใหญ่ล้วนหน้าตาค่อนข้างเครียด เผ่าลาภเดินปะปนผู้คนออกมา ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้เผ่าลาภนัก…นอกจากกัมปนาท ที่เดินเฉียดเข้าไปคุยใกล้ๆ
“เฮียตงกดดันลูกสาวมากเกินไปรึเปล่า…ถามใจยายแพรบ้างรึยัง แต่งตั้งมันขนาดนั้นน่ะ”
“อั๊วรู้จักลูกสาวอั๊วดี…ลื้ออย่าห่วงเลย”
กัมปนาทยักคิ้วรับรู้แล้วแยกตัวออกไป เผ่าลาภเดินมายังแพรวาที่ยืนรออยู่
“ตกลงผู้ช่วยที่ลูกต้องการคือใคร...หาได้รึยัง”
“ค่ะ”
“เขาเป็นใคร...ทำงานที่ไหนมาก่อน”
“ข้อนั้นน้องแพรคงตอบคุณป๋าไม่ได้...รู้แต่ว่า เขาเป็นคนดี และเขามักจะโผล่มาช่วยเหลือน้องแพรทุกครั้ง เวลาที่น้องแพรเดือดร้อน”
เผ่าลาภไม่เข้าใจ
ขณะที่หรั่งเดินตรงเข้ามายังโต๊ะที่ทำงานของตน สยามมาเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่นานแล้ว
สยามเห็นหรั่ง ก็ตรงเข้าไปทักทันที
“ผมรอคุณอยู่ตั้งนานแน่ะ คุณหรั่ง”
“จะสั่งน้ำผักเพิ่มเหรอครับ นอกจากย่านางแล้วจะลองอย่างอื่นบ้างมั้ยครับ...”
“เรื่องน้ำ เอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนี้ มีคนอยากคุยกับคุณ”
“ใครครับ”
“เจ้านายผม...โน่น นั่งรออยู่โน่น”
หรั่งหันไปมองตามสายตาสยาม เขาเห็นเป็นแพรวานั่งอยู่กับผู้จัดการในห้องรับรอง หรั่งเดาเรื่องออกทันที แต่ยังไม่ถูก
หรั่งก้าวเข้ามายืนข้างเก้าอี้ในห้องรับรองธนาคารรัตนทรัพย์ ผู้จัดการและแพรวาหันไปมอง
“มาแล้วเหรอนายหรั่ง...ไปหาน้องทำไมนานจัง คุณแพรวารอจนเบื่อแล้วนะเนี่ย”
“ขอโทษครับ”
“งั้นผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ เชิญใช้ห้องนี้ได้ตามสบาย ขาดเหลืออะไรก็บอกนายหรั่งได้เลย เขาเป็นพนักงานดีเด่นของเรา เป็นคนดี ไว้ใจได้ครับ”
ผู้จัดการเดินออกจากห้องไป
“นายนั่งก่อนสิ”
หรั่งลงนั่งข้างๆ เธอ
“ถ้าผมรู้ว่าคุณจะมา ผมไม่ปล่อยให้คุณต้องรอนานแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก...เก้าอี้ที่นี่นั่งสบายกว่าริมถนนเมื่อคืนตั้งเยอะ”
“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“ฉันมีเงินเดือนให้เดือนละสองหมื่นห้า กับตำแหน่งผู้ช่วยของฉัน”
หรั่งคิดไม่ถึงจริงๆ...เขาหยุดหายใจไปสี่ซ้าห้าวินาที
“อะไรนะครับ”
“ฉันขอให้นายลาออกจากที่นี่ แล้วไปทำงานกับฉัน”
หรั่งอึ้ง ทึ่ง งง “แค่คุณไปติดโปสเตอร์กับผมคืนเดียว คุณไว้ใจผมขนาดนี้เชียวเหรอ”
แพรวาดันพยักหน้าช้าๆ
“ฉันเลือกของฉันอย่างนี้หละ...แต่นายอาจจะไม่ไว้ใจฉัน...ฉันจะให้เวลานายอาทิตย์นึง...ตัดสินใจได้แล้วโทรมาบอกฉัน นี่นามบัตร...จำไว้นะ ถ้าฉันไม่เดือดร้อนจริงๆ ฉันไม่เรียกหาไอ้มดแดงหรอก”
แพรวาลุกเดินจากไป ทิ้งภาระหนักอึ้งไว้ให้หรั่งครุ่นคิดแต่เพียงลำพัง
ขณะเดียวกันฟากก้อยนั่งสีไวโอลินตัวตรงอยู่ที่บ้านโบ้ รอบๆ ตัวก้อย มีนักดนตรีแปลกหน้า 4-5 คน พวกเขาเล่นดนตรีคลอไปกับไวโอลินของก้อย
เพลงที่เล่นอยู่ เป็นเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกๆ ชวนขยับ หนุ่มนาข้าว สาวนาเกลือ ในนั้นมีหนุ่มใหญ่ ปากพล่อย แต่อารมณ์ดี ใส่เสื้อสีสดใส นั่งฟังไป ยิ้มไป...เขาชื่อว่า คำรณ
คำรณ เป็นโปรโมเตอร์รับจัดแสดงดนตรี เป็นผู้นำนักดนตรีเหล่านี้มาเช่าเครื่องของน้าเบิ้ม ท่าทางเขาจะถูกใจก้อยเหลือเกิน เพลงจบลงในที่สุด
“เก่งมากเลยน้องสาว...น่ารักเชียว...เล่นเองได้ขนาดนี้ถือว่าเยี่ยม...ถ้าตาไม่บอดละก้อ ฮึ่ม” คำรณว่า
เจ๊โอ๋ฟังไม่เข้าหู “อะไรของแก ตาบุ๊ง ฮ่งฮึ่มอะไร”
“ฮึ่ม ก็คือดังน่ะซี ดังระเบิด ผู้หญิงสวยๆสีไวโอลินนี่ หาไม่ง่าย...ตาบอดได้ไงเนี่ยะเรา พ่อแม่เลี้ยงไม่ดีละสิ”
น้าเบิ้มไล่ “พอเถอะ ตาบุ๊ง ขนเครื่องไปซะที”
คำรณกระเถิบเข้าใกล้ก้อย
“น้องสาว ถ้าคิดจะเอาดีทางนี้ บอกพี่ได้เลยนะ พี่ชื่อคำรณ พี่ปั้นคนเป็นนักดนตรีมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว...อยากจะลองปั้นวงดนตรีตาบอดซักวงนึงน่ะ...เอ้านี่นามบัตรพี่...อ้อ อ่านไม่ออกก็ให้น้าเบิ้มอ่านให้แล้วกัน...เอ้อ แล้วถ้ามีใครมาชักชวนไปออกรายการทีวีละก้ออย่าไปรับปากเขาเชียวนะ เดี๋ยวจะเสียท่าเอาง่ายๆ...ต้องปรึกษาพี่คำรณก่อนเท่านั้นนะจ๊ะ”
คำรณชักชวนพรรคพวกขนเครื่องดนตรีออกไป
“ไปก่อนละ ตาเบิ้ม...วันหลังเช็ดเครื่องให้มันขึ้นเงาหน่อยเด้...ดูเก่าๆ แบบนี้ ไปเช่าเจ้าอื่นดีกว่า”
คำรณและเพื่อนออกไปจนหมด เจ๊โอ๋ มองเหล่ตามอย่าแค้นเคือง
“หนอย มันพูดยังกับว่ามันมาเช่าเครื่องของเราทุกวันงั้นแหละ...โธ่ร้อยวันพันปีจะมาซะทีมาถึงก็จะให้ทำไอ้นู่น จะขอเอาไอ้นี่ ทีค่าเช่าละถูกแสนถูก มันยังขอต่อแล้วต่ออีก แถมมีแปะโป้งกับเราอีกต่างหาก...ปากหมาก็เท่านั้น...ฉันละเกลียดนักเชียว ไอ้เชี่ยนี่”
“ช่างมันเถอะ ตาบุ๊งมันคนเก่าคนแก่ คบหากันมานาน...ไอ้เครื่องดนตรีพวกนี้ เราก็เล่นไม่เป็นกันซักคน เก็บไว้ก็ไม่มีราคาอะไรอยู่แล้ว นอกจากจะขายทิ้งเป็นเศษเหล็ก” เบิ้มว่า
“ขายทิ้งพี่โบ้ก็อดเล่นน่ะสิ....เสียใจแย่” ก้อยว่า
“เสียจงเสียใจอะไร้ ไอ้โบ้มันก็เล่นของมันไปงั้นๆ แหละ...มันพิลึกคน ผ่าเหล่าผ่ากอ เสือก
เล่นเป็นอยู่คนเดียว เป็นมันซะทุกอย่าง ไม่รู้ไปเอาเชื้อมาจากไหน” โอ๋บอก
“คงเหมือนฉันมั้งจ๊ะ...น้าเบิ้มจ๋า นี่นามบัตรคุณเมื่อกี้ ก้อยฝากน้าไว้แล้วกัน...ถ้าเขามีงานอะไรที่ก้อยทำได้ น้าเบิ้มบอกด้วย ก้อยอยากช่วยหรั่งหาตังค์”
“จะไปยุ่งกับมันทำไม มันเพิ่งว่าเราตาบอดอยู่หยกๆ”
“ก็ก้อยมองไม่เห็นจริงๆ นี่จ๊ะ”
เบิ้มเตือน “มองไม่เห็นน่ะดีแล้ว โลกนี้มันมีอะไรที่ไม่น่าดูเยอะแยะไปหมด...อย่าไปทนเห็นมันเล้ย”
“แกหมายถึงใคร ไอ้แก่” โอ๋ขัดหู ตาขวางใส่สามี
พนักงานแบงค์พากันเคลื่อนตัวออกจากธนาคาร หลังเวลาเลิกงานของวันนี้ แต่หรั่งนั่งใช้ความคิดอย่างเคร่งขรึม ผู้จัดการเดินเข้ามาหา ทักทายหรั่งอย่างเป็นกันเองก่อนกลับบ้าน
“ยังไม่กลับอีกเหรอหรั่ง...วันนี้เป็นอะไร ดูนิ่งๆ ซึมๆ ไปทั้งวัน”
“ผมไม่เคยต้องใช้ความคิดมากเท่าวันนี้มาก่อนเลยครับ”
“ทำไม...เรื่องที่จะผ่าตัดตาน้องสาวรึเปล่า...หมอนัดวันรึยังล่ะ ผ่าเมื่อไหร่”
หรั่งส่ายหน้า คำพูดของผู้จัดการแทบไม่ได้เข้าหูเขาเลย
“ผู้จัดการว่า การเป็นพนักงานธนาคารนี่มั่นคงมั้ยครับ”
“มั่นคงซี่...มั่นคงจะตาย...ก็ดูฉันสิ ฉันอยู่ที่นี่มา จะสามสิบปีอยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนจบ ฉันไม่เคยไปไหนเลยเห็นมั้ย”
“แปลว่า ผมก็จะได้เป็นพนักงานที่ธนาคารนี้จนแก่เฒ่าเลยใช่มั้ยครับ”
“แน่นอน ดีมั้ยล่ะ...ไม่ต้องไปต่อสู้ ดิ้นรนที่ไหน เงินเดือนอาจจะน้อย เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น แต่อยู่ได้นาน...อย่างนี้เรียกว่ามั่นคงมั้ยล่ะ”
“ถ้าเทียบกับบริษัทจิเวลรี่ล่ะครับ”
“โอ้โฮ จิเวลรี่นี่ ฟู่ฟ่านะ...เงินดีแน่นอน ทั้งเงินเดือน ทั้งเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ขึ้นกับว่าทำตำแหน่งอะไร...จะบอกอะไรให้นะ เพชรพลอยนี่เป็นความฝันของฉันตั้งแต่สมัยเด็กๆ เลย ฉันอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยงาม ความหรูหรา มันดูรวยดี...โรคจิตเป็นบ้า จนจะตายห่า เสือกอยากเป็นพ่อค้าพลอย....แต่ของอย่างนี้มันต้องมีโชค ตาดีได้ ตาร้ายเจ๊ง”
“เหรอครับ”
“ฮื่อ...จิเวลรี่ล้มได้...ธนาคารไม่มีล้ม...ง่ายๆ”
“เหรอ...ครับ” หรั่งพยายามคิดตาม แต่ไม่เชื่อ
“ไปแล้ว...ถ้าฉันยังมัวคุยกับเธอ ฉันอาจกลับไปล้มที่บ้าน โทษฐานกลับผิดเวลา”
หรั่งตัดสินใจ
“ขอถามอีกข้อครับ...ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่ ผู้จัดการจะทำยังไงกับตำแหน่งนี้ครับ”
เย็นจวนค่ำหรั่งเครียดหนัก พาตัวเองมาอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่เงาะเพื่อหารือ ผู้ใหญ่กระดกเหล้าเข้าปาก วางท่าทรงภูมิ แต่ที่แท้แกเมานั่นเอง
“เขาก็หาคนอื่นมาทำแทนมึงเท่านั้นเอง...ไม่เห็นมันจะยากตรงไหน”
หรั่งนั่งประจันหน้าผู้ใหญ่...ยิงคำถามต่อ
“แล้วเรื่องจิตใจล่ะ...เขาจะเสียใจมั้ย”
“เขาเป็นอะไรกับมึงล่ะ”
“ก็ เขามีน้ำใจกับฉัน...เอางี้ สมมุตินะ...ถ้าผู้ใหญ่ให้ใครซักคนยืมเงิน โดยหวังว่าเขาจะทำงานอยู่กับผู้ใหญ่ไปนานๆ...แต่แล้ว ไอ้หมอนั่นมันดันทิ้งผู้ใหญ่ไปซะเฉยๆ...ผู้ใหญ่จะคิดยังไง”
“กูไม่คิดอะไร...กูด่าแม่มก่อนเลย....ไอ้อกตัญญู”
หรั่งใจหาย “ผู้ใหญ่จะแค้นเขาไปตลอดชีวิตมั้ย”
“โอ๊ย ไม่หรอก เสียเวลา...ด่าแล้วก็จบ...ถ้ามันไปดี ก็โมทนาสาธุไปกับมันด้วย...เหมือนอีอ้อยไง มันเชิดเงินกูไปอยู่กับเซลส์แมน กูด่ามันไม่เลี้ยงเลย วันเดียวเท่านั้นพอ...แต่สุดท้ายอีอ้อยก็โดนผัวซ้อมทุกวัน สมน้ำหน้ามัน เสือกไปจากกู ฮ่าฮ่าฮ่า...ตกลงมึงถามกูซะเยอะแยะนี่มันเรื่องอะไรวะ...มึงจบถึงปริญญาตรี กูแค่ ป.4 เองนะเว้ย”
“ฉันว่าจะลาออกจากธนาคาร” หรั่งโพล่งขึ้น
ผู้ใหญ่เงาะหงายหลังล้มตึงลงไป เพราะความเมา
คืนนั้น หรั่ง เท่ห์ โบ้ เช็ง ก้อย น้าเบิ้ม และผู้ใหญ่เงาะรวมตัวอยู่ที่บ้านหรั่ง สักพักเท่ห์ลุกขึ้นกล่าวสุนทรโวหาร
“มึงตัดสินใจถูกแล้ว...ปีนี้เป็นปีทองของมึงจริงๆ โชคดีไปซะทุกด้าน...ได้งานใหม่ ได้เงินเดือนใหม่ สูงกว่าเงินเดือนเก่าถึงสามเท่า”
เพื่อนๆ ทุกคนตั้งวงเหล้ารุมล้อมรอบหรั่ง
ทุกคนร้อง “เฮ....”
“ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนมัน ไอ้หรั่งจะแบ่งปันให้พวกเราทุกๆเดือน...เฮ..” เช็งว่า
เท่ห์ถีบเช็งกระเด็นออกไปทางหนึ่ง
“เกินไป ไอ้เช็ง...พูดจาอะไรเกรงใจน้องก้อยบ้าง...น้ำพักน้ำแรงของไอ้หรั่งทุกบาททุกสตางค์ มันจะเอาไปผ่าตาก้อยโว้ย”
“กูรู้...กูพูดเล่น...มึงเสือกถีบกูจริงๆ”
“เงินเดือนขนาดนี้ เอ็งทำไปซักปี ก็มีเงินดาวน์บ้านได้แล้วว่ะ ไอ้หรั่ง” น้าเบิ้มถาม
“ไม่หรอก ถ้าพวกเราทุกคนยังอยู่ที่นี่ ฉันก็จะอยู่ที่นี่กับพวกเรา”
ทุกคน เฮ
“แล้วงานที่หรั่งต้องทำคืออะไรบ้าง” ก้อยถาม
“ก็ เป็นพนักงานบริษัทจิเวลรี่...เป็นผู้ช่วยเขา”
“ช่วยอะไรวะ” โบ้ซัก
“ก็ ถ้าเขามีอะไรให้ช่วย เขาก็จะบอกให้ช่วย ถ้าเขายังไม่บอกให้ช่วย ก็แปลว่ายังไม่มีอะไรให้ช่วย แล้วไอ้หรั่งมันจะไปช่วยทำซวยอะไรไม่ทราบ มึงเข้าใจมั้ยไอ้โบ้”
“งานง่ายดีจังหรั่ง” ก้อยว่า
“โดนหลอกรึเปล่าวะไอ้หรั่ง” เบิ้มบอก
“เจ้านายสวยขนาดนี้ หลอกก็ยอม งานหนักซักร้อยเท่าก็เอา...นางในฝันของมันซะด้วยซี” เช็งหลุดปาก
ผู้ใหญ่เงาะตาเหลือก “ฮ้า...จริงเหรอวะไอ้หรั่ง”
ก้อยมีท่าทีที่แปลกไปหลังจากได้ยินคำพูดของเช็ง ส่วนเช็งยังสนุกปากต่อ เพราะแอลกอฮอลล์พาไป
“นี่ถ้าไอ้หรั่งมันไม่ทำ ฉันว่าจะขออาสาทำแทน แหม สวยออ...”
บัดดล เท่ห์ถีบเช็งลอยไปทางโบ้ โดยมีโบ้รีบเอามืออุดปากเช็งทันที ทุกคนหันไปมองที่ก้อย บรรยากาศเงียบไปฉับพลัน ผู้ใหญ่เงาะแถเข้าไปกลางวง
“มึงจะเงียบกันทำไมวะ ไอ้หรั่งไปเป็นลูกน้องสาวสวย แล้วทำไมต้องหุบปาก...มีใครหึงใครเหรอวะ”
ก้อยๆ ค่อยๆ ลุกเดินคลำผนังเข้าห้องตัวเองไปเงียบๆ
“ก็กูลืมนี่หว่า...” เช็งบ่นอุบหน้าจ๋องจ๋อย
หรั่งลุกขึ้น เดินตามไปยังห้องก้อย
ผู้ใหญ่เงาะงงงวย
“ยังไงกันวะเนี่ยะ...ใครอธิบายกูที ได้มั้ย...”
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ก้อยนั่งแปรงผมอันยาวดำ มันขลับ อยู่ในห้องนอน หรั่งเปิดประตูตามเข้ามาช้าๆ เขาพยายามเดินเงียบๆ เพื่อลอบมองท่าทีของก้อย แต่ก้อยหูไวที่สุดในละแวกนี้
“ถ้าหรั่งคิดว่างานใหม่น่าทำกว่าเก่าก็เอาเถอะนะ...ไม่ต้องถามความเห็นก้อยหรอก หรั่งตัดสินใจเองเลย”
“มีหลายครั้งที่หรั่งตัดสินใจผิด...แล้วก็มีเรื่องดีๆ ตั้งหลายเรื่องที่เป็นคำแนะนำของก้อย”
“แต่นี่มันเรื่องงานของหรั่ง...ก้อยคิดไม่เป็นหรอก หรั่งต้องคิดเอง”
“ก้อยช่วยคิดได้...เช่น เขาให้ค่าจ้างเราเยอะขนาดนี้ เขาต้องใช้งานเราหนักแน่เลย...ทีนี้เขาอาจจะใช้เราหนักๆ แค่สองสามเดือนแล้วเลิกจ้างเลย มันจะเป็นไปได้มั้ย...หรือเราจะขอทำสัญญากับเขา ว่างานหนักแค่ไหนเราก็เอา แต่เขาต้องจ้างเราตลอดชีวิต”
หรั่งเปลี่ยนวิธีการพูดเป็นลีลาเหมือนการเล่านิทานที่ทำกันเป็นประจำ
“เหตการณ์ครั้งนี้ มีเพียงองค์หญิงก้อยเท่านั้นที่จะชี้แนะได้...องค์หญิงว่าเขาจะยอมเรามั้ยหรือว่าทั้งชีวิตมันนานไป องค์หญิงจะให้เปลี่ยนเป็นสิบปี ข้าน้อยก็ยอม...ทีนี้แหละ ข้าน้อยก็จะมีทรัพย์สมบัติมากพอ ที่จะพาองค์หญิงบุกป่าฝ่าดง จนกว่าจะได้เจอกับหมอที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีเลยทีเดียว...หรือจะไปยังต่างประเทศ ข้าน้อยก็พาไปได้”
ก้อยยิ้มออกมาได้บ้าง แล้วพยายามพูดน้ำเสียงปกติ
“พอแล้วหละหรั่ง...ถ้าทั้งหมดนี้หรั่งทำเพื่อก้อยละก้อ ไม่จำเป็นหรอก...หรั่งไม่จำเป็นต้องลำบากมากขนาดนี้...ถ้าหรั่งจะทำ ก็ทำเพื่อตัวเองเถิด”
“หรั่งกลัวว่าจะมีเวลาดูแลก้อยน้อยลง”
“น้อยลงจากอะไร ?...ที่จริงก้อยไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเวลาจากหรั่ง แม้เพียงเสี้ยวนาที...แต่ที่ผ่านมา หรั่งให้ก้อยมาก...มากจนเผลอคิดว่าตัวเองอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น ลืมไปสนิทเลยว่า ตัวเองเป็นแค่เด็กกำพร้าตาบอดที่ซัดเซพเนจรมาเจอหรั่งโดยบังเอิญ”
“ก้อย...หรั่งไม่ได้ต่างอะไรจากก้อยเลยนะ...ถ้าไม่มีก้อย หรั่งก็ไม่มีใคร...เรากำพร้าพอๆ กันนั่นแหละ”
“แต่วันหนึ่ง หรั่งก็จะมีครอบครัวของตัวเอง...ก้อยควรจะเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมสำหรับวันที่จะไม่มีหรั่ง”
“วันนั้นไม่มีวันมาถึงหรอก นอกจากหรั่งจะตายเท่านั้น”
“หรั่ง...อย่าพูดอย่างนี้อีกนะ”
หรั่งค่อยๆ ขยับตัวจะออกจากห้อง ก้อยเรียกไว้
“เขาสวยมั้ย...เจ้านายของหรั่งน่ะ สวยมั้ย”
หรั่งพยายาม ในการเลือกคำตอบ
“หรั่งเคยเห็นเขา ตอนไปส่งน้ำผัก...ก็...สวยดี”
“ขาวหรือดำ...ขาวใช่มั้ย เขาต้องสวย น่ารัก ขาวมากแน่ๆ”
“ก็คนมีสตางค์นี่...ลูกผู้ดีมีเงินก็อย่างนี้แหละ”
หรั่งเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ก้อยพูดตามหลังหรั่งไป
“ก้อยอยากเห็นหน้าเขาจัง”
ที่บ้านเผ่าลาภ ตอนกลางคืน แพรวาเดินลงบันไดบ้านลงมาหาเผ่าลาภ ที่นั่งรออยู่กลางโถงบ้าน สยามยืนอยู่ห่างๆ
“น้องแพรให้เวลาเขาตัดสินใจอาทิตย์นึงค่ะ...แต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร”
“ทำไมลูกถึงมั่นใจว่า เขาจะช่วยงานหนูได้” เผ่าลาภถาม
“ลางสังหรณ์มั้งคะ”
เผ่าลาภฉงน “ลางสังหรณ์? ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยเหรอ”
แพรวายักไหล่แทนคำตอบ
“ถ้างั้น ป๋าคงต้องหาหมอดูมาผูกดวง หรือเอาร่างทรงมานั่งทางใน เอาซินแสมาดูโหงวเฮ้งเพิ่มเติมด้วยดีมั้ย”
เผ่าลาภประชด แต่แพรวาไม่สน
“ตามใจคุณป๋าค่ะ”
“เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เรียนจบมาจากไหน เชี่ยวชาญเรื่องอะไรเป็นพิเศษ”
“เชี่ยวชาญด้านงานไฟฟ้า ประปา และสวนสนุก...เพิ่งจบปริญญาตรีมาหมาดๆ”
“รุ่นราวคราวเดียวกับน้องแพร?”
แพรวาหันไปทางสยาม ซึ่งสยามเป็นผู้ให้คำตอบนี้
“เขาอายุ 26 ปีแล้วครับ”
เผ่าลาภหันมาทางคนรถคู่ใจ “เรียนอะไร ทำไมเพิ่งจบ”
“มหาวิทยาลัยสุโขทัยค่ะ” แพรวาบอก
สยามเสริม “ที่จบช้าเพราะเรียนไปทำงานไปครับ...ซื่อสัตย์และขยันมาก...เรียนไปพร้อมๆ กับเป็น Messenger ให้ธนาคาร...เช้าๆ ส่งน้ำผักน้ำเต้าหู้ บ่ายๆรับซ่อมจักรยาน เสาร์อาทิตย์รับงานก่อสร้างทั่วไป...ส่วนจะเป็นลูกเต้าเหล่าใครนั้น ไม่ปรากฏชัดเจน...จะเรียกเป็นเด็กกำพร้าก็ว่าได้”
เผ่าลาภนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง
“น้องแพร...หนูรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเขาไปรึยัง”
“ค่ะ...หนูให้เงินเดือนเขาสองหมื่นห้า”
เผ่าลาภร้อง “โอ้...”
“เขาต้องยอมลาออกจากงานเก่าของเขานะคุณป๋า”
“เป็นป๋า ป๋าก็ออก...แล้วถ้าไอ้หมอนี่มันช่วยงานอะไรลูกไม่ได้เลย...ทำอะไรก็ผิดพลาดล้มเหลว...ลูกจะว่ายังไง”
“ถ้าน้องแพรมองคนนี้ผิด หนูก็คงมองอะไรไม่ได้อีกแล้ว...และที่สำคัญก็คือ น้องแพรคงไม่เหมาะกับงานนี้อีกต่อไป”
เผ่าลาภถอนหายใจยาว
“เขาให้คำตอบเมื่อไหร่ พามาหาคุณป๋าด้วยนะ”
“ค่ะ”
แพรวาเดินออกไป เผ่าลาภยังดูกังวลอยู่ไม่หาย ขณะหันไปหาสยาม
“ไอ้หมอนั่นมันชื่ออะไรนะ บอกฉันอีกทีซิ”
“หรั่ง นาคำ...ชื่อจริงแล้วครับ”
ผ้าห่มลายใบหน้าตะวันฉายถูกโยนทิ้งลง เท้าแพรวาเดินเหยียบย่ำจนหนำใจ แพรวามานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบไดอารี่มาเริ่มต้นเขียน
แพรวาพลิกปฏิทินหน้าถัดไป ที่หมายถึงอาทิตย์หน้า เธอเขียนข้อความลงไปว่า
“Dead Line คำตอบจากนายหรั่ง… อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ...อีตาไอ้มดแดง "
หน้าตาแพรวาดูมีความสุข
กลางดึก หรั่งนั่งเขียนบันทึกบนโต๊ะในห้องนอน ที่สมุดบันทึกที่กางอยู่นั้นหรั่งเขียนข้อความลงไปว่า
"นี่คือการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของไอ้มดแดง"
หรั่งปิดสมุดบันทึกเก็บลงในกล่องใบเดิม แลเห็นล็อคเก็ตไวโอลินที่ทำด้วยทองคำขาวอยู่ในนั้น ครั้งนี้หรั่งหยิบมันขึ้นมาดู
เสียงไวโอลินบาดหัวใจดังแผ่วๆ มาจากห้องนอนก้อย
ก้อยนั่งบนเตียงนอน เอนตัวพิงผนังห้อง ไวโอลินกระชับอยู่ในมือของเธอ ใช้นิ้วดีดสายแทนคันชัก
เสียงที่ได้ยินเป็นท่วงทำนองเพลง "นกขมิ้น" หวานซึ้งแต่เศร้าสร้อยเหลือแสน
รุ่งเช้า หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ตรงไปจอดที่หน้าตึก M.S. เขาก้าวลงจากรถ พร้อมถุงขวดน้ำย่านาง…เดินตรงเข้าไปในตึก เมื่อผ่านยามคนเดิม...หรั่งชูขวดน้ำผักให้ดู...ยามเปิดประตูให้เข้าไป
ภายในบริเวณโชว์รูมของ M.S. JEWELRY เวลานั้น มีพนักงานเดินอยู่ประปราย เลขานางนั้นรับน้ำย่านางจากมือหรั่ง
“ทุกทีเธอฝากไอ้น้ำเขียวๆ นี้ไว้กับยามไม่ใช่เหรอ...คราวหน้าถ้าอยากจะเข้ามาส่งถึงในนี้...รบกวน กรุณาเข้าทางประตูหลังดีกว่านะคะ”
หรั่งไม่ตอบ เขามองสังเกตไปรอบๆบริเวณ ตรงจุดที่เขายืนอยู่นั้น เป็นเค้าท์เตอร์โชว์อัญมณีต่างๆ มันล้อแสงไฟเป็นประกายน่าดู
“โทษนะครับ…ปกติพนักงานทั่วไปทำงานกันชั้นไหนครับ”
“พนักงานขายอยู่ชั้นนี้…แผนกอื่นๆอยู่ชั้นสองค่ะ”
“แล้วเจอกันครับ”
หรั่งกำลังจะเดินออก สยามเดินสวนมาพอดี
“หวัดดี...รู้มั้ยไอ้น้ำย่านางนี่ ยิ่งกินยิ่งอร่อยนะ…ลูกๆ ผมติดใจกันทุกคน”
หรั่งทำหน้างงๆ…สยามรู้ตัว รีบแก้ข่าว
“อ๋อ เมื่อสองวันก่อน ผมขอซื้อต่อคุณแพรวาน่ะ…วันนี้ก็ว่าจะซื้อต่ออีกซักวัน ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…หวังว่าคงได้ทำงานร่วมกันนะ”
หรั่งยิ้มแล้วเดินจากไป เลขาขยับเข้าหาสยาม
“ท่านประธานจะรับคนขับรถเพิ่มเหรอ…หรือ Messenger เรายังมีไม่พอ”
ส่วนที่บ่อนตะวันฉาย และ เพื่อน มีนักเลงคุมบ่อน สามสี่คนคุมเชิงอยู่ในนั้น บารมีเดินผ่านประตู เข้าบ่อนมา…หน้าตาดูดี นักเลงแถวนั้นรีบเข้าไปทักทายต้อนรับ
“หวัดดี ลูกพี่…”
“คุณตะวันฉายอยู่มั้ย”
“บ่ายๆ คงเข้ามา…แหม มาคราวนี้หน้าตาลูกพี่ดูใสปิ๊งเชียวนะ” นักเลงประจบ
“คนมีเงินนี่หว่า หน้าตามันใสตามจำนวนเงินในกระเป๋าเว้ย”
“แอบไปเล่นได้มาจากบ่อนไหนมาเหรอพี่”
“ไถพี่ชายมาว่ะ”
“แน่ะ…มีพี่เป็นสปอนเซอร์ซะด้วย…ทำไมไม่ชวนพี่ชายมาเล่นด้วยกันเลยล่ะ”
“เขาไม่ว่างหรอก…เขาเป็นนักการเมือง ต้องไปเล่นการเมืองโน่น…กินกันแต่ละทีเยอะกว่าที่นี่หลายเท่าน้องเอ๊ย”
นักเลงหัวเราะ พาบารมีเดินหายเข้าไปในความมึนเมาของแหล่งอบายมุข
ที่หน้าห้องประชุมใหญ่ ของที่ทำการพรรคไทยไท บรรยากาศค่อนข้างคึกคัก มีโต๊ะลงทะเบียนตั้งยาวอยู่หน้าห้อง เจ้าหน้าที่สาวๆ รอรับบรรดานักการเมืองอย่างขมีขมัน
เผ่าลาภเดินเข้ามา ตรงไปที่โต๊ะลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารการประชุมให้เผ่าลาภ
“คุณเผ่าลาภเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยค่ะ เดี๋ยวรอหัวหน้าพรรคซักครู่นะคะ”
เผ่าลาภก้มลงไปเซ็นชื่อ
สุริยะเข้ามาจากอีกทาง เขาตรงไปต้อนรับเผ่าลาภ ใบหน้ามแย้มแจ่มใส
“สวัสดีครับเฮีย…ยินดีด้วยนะกับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคคนใหม่”
“ก็ได้คุณสุริยะสนับสนุนนั่นแหละ ไม่งั้นคงมาไม่ถึงตรงนี้หรอกครับ”
“เฮียควรจะมาตรงนี้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ…โอ๊ย เหมาะสมจะตาย คนเก่งอย่างเฮีย มาช่วยกันทำงานให้พรรค ให้บ้านเมืองนี่แหละดี”
“ครับ…ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
“วันนี้ยังไม่มีอะไร…หัวหน้าพรรคอยากคุยกับกรรมการใหม่ทุกคน…หลังจากวันนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“เอ้อ…แล้ว…เรื่อง…”
“สัมปทานใช่มั้ย…สบายอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา…เดี๋ยวเฮียเข้ามาเซ็นอนุมัติเองเลยดีมั้ยฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…มานั่งรอห้องนี้ก่อนดีกว่า”
สุริยะพาเผ่าลาภเดินไปทางหนึ่ง
จังหวะนี้ นักธุรกิจคนใหม่ ก้าวเข้ามา หน้าตาขี้โกงชัดๆ เขายืนมองไปรอบๆ ซักพักจึงเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียน ก้มหน้าลงเอ่ยปากกับเจ้าหน้าที่
“ผมแสงเทพ…ต้องเซ็นชื่อตรงไหน”
เจ้าหน้าที่งงๆ พยายามพลิกดูรายชื่อ…ไม่มี
สุริยะเข้ากลับมา ถลาไปที่แสงเทพ
“อ้า…สวัสดีครับคุณแสงเทพ ผมว่าจะมารอรับคุณซะหน่อย ไม่ทันซะแล้ว…” สุริยะหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ “น้อง นี่คุณแสงเทพ กรรมการพรรคที่หัวหน้าแต่งตั้งเพิ่มเป็นคนสุดท้าย…ในทะเบียนใส่ชื่อไม่ทันใช่มั้ย…ไม่เป็นไร จัดเอกสารให้คุณแสงเทพชุดนึงแล้วกันนะ”
“ค่ะ ค่ะ”
แสงเทพกระซิบกับสุริยะ สีหน้าไม่พอใจนัก
“ผมเห็นมีชื่อเผ่าลาภด้วยนี่…ตกลง ยังไง”
“อ๋อ…เขาเป็นคนเก่าคนแก่ของเรา ยังไงๆก็ต้องตอบแทนเขาหน่อย”
“คุณจะให้คู่แข่งทางธุรกิจ มาเป็นมิตรทางการเมืองเหรอ”
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณ” สุริยะลดเสียงเป็นกระซิบ “ความลับนะ…เรารู้กันวงในว่า เขาคงจะอยู่ไม่นานหรอก…อย่ากังวลไปเลย”
แสงเทพยิ้มออกมาอย่างพอใจ
เวลาเดียวกัน ที่บ่อนของตะวันฉาย และ เพื่อน บารมีหัวเราะร่วน...เขาโกยเงินจากโต๊ะมาไว้หน้าตักตัวเองอย่างร่าเริง โดยไม่รู้ว่าที่กลุ่มนักเลงคุมบ่อน…พวกมันยืนมองบารมีอยู่
ชายหน้าเข้มเดินเข้าไปกระซิบที่กลุ่มนักเลง
“ไอ้หมอนั่นเล่นได้หรือเสีย”
“ตอนนี้กำลังได้…อีกซักพักก็จะเสียแล้วละ”
“ดีมาก”
กรุงเทพมหานครยามเช้า เสียงดีเจจากรายการวิทยุดังทักทายผู้ฟังเข้ามา
“สวัสดีเช้าวันใหม่ ประเทศไทย...วันที่หลายคนใจจดใจจ่อ”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจไปบนท้องถนนหลวง เสียงดีเจเจื้อยแจ้วแว่วมา
“หลายคนตั้งตารอ เพื่อจะร้องเฮ”
แพรวาลงจากรถเดินเข้า บริษัท M.S.
เสียงดีเจดังต่อเนื่อง
“ตกบ่ายอาจหน้าตาเหยเก ร้องไห้โฮ”
ก้อยนั่งร้อยมาลัยสงบนิ่ง ขณะชาวบ้านกำลังเขียนหวยกันอยู่อย่างอื้ออึง คลอเสียงดีเจ
“ส่วนผม ขอร้องไชโย ให้กับทุกคนไทย ในวันหวยออกขอให้ผู้ชื่นชอบการเสี่ยงโชคทั้งหลาย โชคดีทั่วถึงกันทุกคน”
ทุกคนดุ่มเดินไปบนทางชีวิตของใครมัน หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์บนท้องถนน ส่วนแพรวาขับรถยนต์บนท้องถนน ในเวลาเดียวกัน ขณะที่บารมีกำลังกอบโกยเงินในบ่อน
ฟากก้อยนั่งร้อยมาลัยอย่างสงบนิ่ง โดยมีไอ้โบ้แอบชะเง้อมองอย่างเป็นห่วง
หรั่งบอกตัวเองในใจ
“ทุกคนบนโลกนี้ ล้วนมีเส้นทางชีวิตของตัวเองแตกต่างกันไป ในระหว่างทางเดินนั้นอาจมีทางเลือกมากมายรอพวกเขาอยู่”
ต่อมาหรั่งกำลังเติมเงินในโทรศัพท์มือถือของเขา ขณะที่แพรวากำลังเดินก้าวยาวๆ เข้าบริษัทไป มีเผ่าลาภถอนใจ ขณะอ่านแฟ้มสรุปผลการฝึกงานของลูกสาวอยู่
“เขาต้องเลือก เขาต้องตัดสินใจ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของตน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ล่วงหน้าว่า การตัดสินใจของเขานั้น ถูกต้องที่สุดแล้ว”
บารมีเก็งไพ่ในมือ ลุ้นจนเหงื่อตก
ก้อยนั่งกล่าวคำอธิษฐานบนโต๊ะอาหารเพียงลำพัง
หรั่งกดโทรศัพท์ บอกตัวเองอย่างแน่วแน่และมุ่งมั่น
“แต่สำหรับผม...ผมยอมรับผลการตัดสินใจนั้น ด้วยความมั่นใจในทุกกรณี”
ขณะที่แพรวาเดินเข้ามาในบริษัท พนักงานเลขาสาวเดินเข้าไปหา
“คุณหนูแพรวาขา…มีโทรศัพท์สายนอกค่ะ”
แพรวาฉงน “จากไหน”
“เขาบอกว่า เขาเป็นไอ้มดแดงค่ะ”
เวลาเดียวกันที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ริมถนนสายนั้น หรั่งยืนพูดโทรศัพท์อยู่
“ผมโทร.มาให้คำตอบคุณ”
แพรวาอยู่ที่ห้องทำงาน ในบริษัท M.S. แล้ว
“ยังไม่ครบอาทิตย์นึงเลย”
สองคนคุยตอบโต้กันไปมา
“ตอบวันนี้ หรืออีกสี่วันตอบ…คำตอบก็เหมือนกันครับ”
“นายจะตอบฉันว่าไง”
หรั่งสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยปาก ออกมา
“ผมขอตอบคุณด้วยคำถามสามข้อ”
“อะไรบ้าง”
“ข้อหนึ่ง…ใครเป็นเจ้านายผม ?
“คุณป๋าของฉัน…และก็ฉัน”
“ข้อสอง…ผมมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ผมขอเบิกเงินล่วงหน้าซักสี่เดือนก่อน จะได้มั้ย”
แพรวาไม่ตอบ “ข้อสามล่ะ”
“ข้อสาม…ถ้าคุณตอบคำถามข้อสองว่า ไม่ได้…ขอให้คุณเปลี่ยนคำตอบนั้นใหม่…แต่ถ้าคำตอบของคุณคือ ได้…กรุณาพูดคำว่า ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกัน แล้วผมจะเป็นพนักงานของคุณทันที”
แพรวายิ้มกว้าง และพูดชัดๆ “ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกัน”
หรั่งยิ้มออกมาเช่นกัน “ขอบคุณครับ”
เสียงแพรวาดังลอดออกมา “ทีนี้ฟังเงื่อนไขฉันบ้าง”
“เชิญครับ”
“เย็นนี้นายต้องมาพบคุณป๋าของฉันที่บ้าน…ฉันจะให้สยามไปรับที่ธนาคาร”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปถูก”
“ผมเคยเดินไปส่งคุณที่บ้าน…ลืมแล้วเหรอครับ”
หรั่งอยู่ที่ห้องทำงานผู้จัดการ ในธนาคารรัตนทรัพย์แล้ว และกำลังวางน้ำสมุนไพรเป็นจำนวนมากลงบนโต๊ะทำงาน ผู้จัดการเดินตามหลังเข้ามาพอดี
“ว้าว…ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะหรั่งเอ๊ย น้ำอะไรต่ออะไรกันบ้างล่ะนี่…ถือเป็นดอกเบี้ยรึไง”
“นี่คงเป็นน้ำเต้าหู้ และสมุนไพรรุ่นสุดท้ายที่ผมจะส่งให้ได้”
“รวยแล้วเลิกกิจการเหรอ” ผู้จัดการพูดเป็นนัย
“ไม่ได้เลิกครับ…แต่ว่า…ผมคงไม่สะดวกที่จะส่งให้ที่นี่”
“เข้าใจ…เธอกำลังไต่เต้า หน้าที่การงานกำลังก้าวหน้า จะถือน้ำผัก น้ำเต้าหู้มาส่งทุกเช้ามันก็ยังไงอยู่เนอะ…หาเด็กส่งแทนสิวะ”
“ครับ”
“แต่ที่จริง ถือติดมือมาวันละถุงก็ไม่น่าเกลียดหรอก จ้างเด็กให้เปลืองทำไม ไหนๆก็ต้องมาทำงานที่นี่อยู่แล้ว”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมคงจะไม่มาที่นี่แล้วครับ”
“อะไรนะ”
“ผมได้งานใหม่ครับ”
“ถามจริง?”
“ครับ…บริษัท M.S.JEWELY…ผมต้องขอบคุณผู้จัดการมากสำหรับทุกๆอย่าง ผมจะไม่มีวันลืมผู้จัดการเลย”
“นี่เขาซื้อตัวเธอตั้งแต่ยังเป็นพนักงานธุรการเลยเหรอ” ผู้จัดการแซว
“ไม่มีใครซื้อผมได้ครับ…ผมเลือกของผมเองมากกว่า…นี่ครับ” หรั่งส่งเช็คให้ “หนึ่งแสนบาทของผู้จัดการ ผมคงไม่รบกวนแล้วครับ”
“ในฐานะหัวหน้างาน ฉันเสียใจที่ต้องเสียลูกน้องดีๆ ไปหนึ่งคน แต่ในฐานะคนรู้จักกัน ฉันดีใจที่ได้เห็นเด็กหนุ่มที่ฉันชื่นชม ออกไปเติบโตตามทางของเขาเอง ฉันเชื่อว่าคนอย่างเธอจะต้องได้ดียิ่งขึ้นกว่านี้อีกแน่ๆ ขอให้โชคดี”
ผู้จัดการยื่นมือให้หรั่งจับ…หรั่งจับมันไว้แน่น
“ถ้าผมมีโชคจริง…ผมจะมาเปิดบัญชีที่นี่ครับ”
ผู้จัดการ หัวเราะ พูดกระเซ้า “เร็วๆนะเว้ย…ช้า ไม่รอนะ”
เวลาเย็น...ตามเวลานัด หรั่งขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจเข้ามาหยุดหน้าคฤหาสน์ มหาโชคตั้งศิริ หรั่งสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินเข้าบ้านหลังนั้นไป
สักครู่หรั่งเดินตามสาวใช้เข้ามาในบ้าน หรั่งหยุดยืนนิ่งเมื่อถึงกลางห้องโถงกว้างใหญ่โอ่โถงของบ้าน ซึ่งทำให้หรั่งเหลือตัวเล็กนิดเดียว
เผ่าลาภ รำไพ แพรวา นั่งประจำที่ รออยู่แล้ว แพรวาลุกขึ้นมาต้อนรับหรั่ง
“นายมาเร็วดีนี่…นี่คุณป๋าของฉัน แล้วนี่คุณรำไพ แม่ฉัน”
“สวัสดีครับ…” หรั่งไหว้นอบน้อม น้ำเสียงของเขามั่นใจ ไม่ตื่นเต้น
“นั่งสิ…” น้ำเสียงเผ่าลาภดุจดั่งคำสั่ง กังวานก้อง
หรั่งนั่งลงตามคำสั่งนั้น ขณะเผ่าลาภจ้องมองหรั่งเต็มๆ ตา พินิจพิเคราะห์ ส่วนรำไพมองอย่างอารี
หรั่งนั่งหน้านิ่ง เขาพยายามสะกดอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเอง แพรวา มองทุกๆ คน อึดอัดนิดๆ ความเงียบเข้าครอบคลุมชั่วขณะ รำไพเอ่ยปากทำลายความเงียบออกมาก่อน
“ขอบใจมากนะที่จะมาช่วยงานลูกแพรของฉัน…เขาบอกว่าเธอเป็นฮีโร่ของเขาเชียวนะ”
แพรวาเบะปากใส่แม่…ทำนองว่า พูดออกมาทำไม
“คุณแพรวาคงจะพูดเกินความจริงไปหน่อยครับ”
“แปลว่าจริงๆแล้ว เธอไม่ใช่ฮีโร่” เผ่าลาภถามต่อ
หรั่งโต้ตอบเผ่าลาภโดยไม่มีอาการเกร็ง
“คงเป็นเพราะจังหวะและโอกาสมากกว่า ที่ทำให้ผมได้ช่วยเหลือคุณแพรวา…เช่นเดียวกับโอกาสที่คุณเผ่าลาภกรุณาหยิบยื่นให้ในครั้งนี้…ซึ่งผมก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของคุณแพรวาครับ”
เผ่าลาภค่อนข้างพอใจในคำตอบแรกของหนุ่มกำพร้าลูกครึ่ง
“เธอมีพี่น้องมั้ย”
“ผมมีน้องสาวตาบอดหนึ่งคน แต่ไม่ใช่น้องแท้ๆ”
“นายสยามเขาเล่าให้ฉันฟังแล้ว…รู้รึยังว่าหน้าที่ของเธอคืออะไร?”
“เป็นผู้ช่วยครับ”
“ช่วยเรื่องอะไรบ้าง”
“ทุกเรื่อง ที่คุณแพรวาต้องการความช่วยเหลือ”
“ทำไมเธอถึงตัดสินใจมาทำงานกับฉัน…เพราะเงินรึเปล่า”
เผ่าลาภยิงตรงจนแพรวาตกกะใจ “คุณป๋า”
“เงินเป็นปัจจัยสำคัญ และผมก็กำลังมีความจำเป็นต้องใช้เงิน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่ผมจะสามารถช่วยให้ใครซักคนหลุดพ้นจากปัญหาของเขาได้…การได้ช่วยเหลือใครซักคนในยามที่เขาต้องการ มันมีค่าสำหรับผมมากกว่าเงินทองหลายเท่านัก”
รำไพ และแพรวา ดูเหมือนว่าจะเพลิดเพลินกับคำพูดของหรั่ง
เผ่าลาภมองด้วยสายตาลึกล้ำ มังกรสูงวัยมองเห็นความทะเยอทะยานลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวหรั่ง… และเขาพอใจ
“เธอเป็นคนดีรึเปล่า”
“ผมเป็นคนดีครับ”
เผ่าลาภหันมาทางสองแม่ลูก “รำไพ แพรวา…ป๋าขอคุยกับนายหรั่ง ตามลำพังหน่อย”
สองแม่ลูกค่อยๆลุกเดินออกไป แพรวาแวะกระซิบข้างหูเผ่าลาภ ก่อนไป
“อย่าเก๊กมากนักนะคุณป๋า…เดี๋ยวเขาจะหนีไปซะฉิบ”
เผ่าลาภลุกขึ้นเดินสบายๆ รอบๆ ตัวหรั่ง เป็นการประเมินผู้ช่วยลูกสาว เขาค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดออกมาให้เฉียบคม
“ถ้าฉันยอมรับเธอเข้าทำงานที่บริษัท ฉันก็บ้าแล้วหละ…ในเมื่อเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ช่วยงานลูกสาวฉันได้แค่ไหนก็ไม่รู้ ประสบการณ์ในงานบริหารก็ไม่มี…ถามจริงๆ…ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะรับคนอย่างเธอมั้ย”
“ไม่รับเด็ดขาด”
เผ่าลาภยิ่งทึ่ง “เพราะอะไร?”
“มีเหตุผลมากมายที่จะไม่รับ แต่ที่สำคัญคือ ผมคงไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า ที่อยู่ดีๆ จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยของลูกสาว ทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกันไม่ถึงห้านาที”
“อือม…ถ้างั้นฉันควรจะรับเธอไว้เหรอ”
“ควรครับ…เพราะผมรู้ดีว่าผมมีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงานช่วยเหลือคุณแพรวาไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะลาออกจากธนาคารเพื่อมาถูกปฏิเสธงานที่นี่…มันอาจจะเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายได้…แต่บางครั้งคนเราก็ต้องอาศัยแรงบันดาลใจในการแสวงหาความสำเร็จครับ”
“เอาละ…ฉันว่าเธอก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ที่เธอยังไม่รู้เช่นเดียวกับที่ มีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเธอที่ฉันควรรู้…เพราะฉนั้น เจ็ดวันนับจากนี้ไปเธอต้องมาพบฉัน ฉันจะสอนทุกสิ่งที่ฉันคิดว่าเธอควรรู้ หลังจากนั้นค่อยมาดูว่าเราจะทำงานร่วมกันได้หรือไม่…โอ.เค.มั้ย”
หรั่งขนลุกขณะรับคำ “ครับผม”
เย็นย่ำวันเดียวกัน ภายในโถงใหญ่มหึมากลางคฤหาสน์หรูหรา สุริยะ นั่งดูข่าว CNN ทางเคเบิ้ลทีวี ก่อนจะตะวันฉาย หรือ ลูกโอ๊ต ของบิดามารดา เดินเข้าบ้านมา
“ไปหาแพรวามาเหรอ กลับซะดึกป่านนี้ ตาโอ๊ต”
“เปล่าครับ…ที่จริงช่วงนี้ โอ๊ตไม่ค่อยได้เจอเขาซักเท่าไหร่”
“แล้วเราคิดจะจริงจังกับเขาแค่ไหน”
“ก็…” ตะวันฉายยักไหล่ ซะจนน่าถีบ “อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน”
“ดีแล้ว…เพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับเผ่าลาภ อาจจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก”
ตะวันฉายฉงนท่าทีที่เปลี่ยนไปของบิดา “ทำไมล่ะพ่อ…โอ๊ตเห็นพ่อก็สนับสนุนเขาดีนี่นา แล้วเขาก็ยังเป็นถุงเงินใบใหญ่ของพรรคอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“มันมีถุงเงินถุงใหม่เสนอตัวมาที่พรรค ถุงนี้ใหญ่กว่าถุงเก่าของเผ่าลาภมาก…ที่สำคัญคือเป็นคู่แข่งกับ M.S.JEWLEY ของเผ่าลาภซะด้วย”
ตะวันฉายร้อง “ว้าว!!!”
“บางที ถึงจุดหนึ่งพ่ออาจจะต้องเลือกไว้เพียงแค่ถุงเดียว ซึ่งถึงตอนนั้นถุงใหม่อาจจะดูน่าสนใจกว่า”
“งั้น พ่อต้องการให้โอ๊ตชิ่งจากแพรวาเมื่อไหร่ ก็บอกมาได้เลยครับ”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก เราก็อย่าเพิ่งไปตัดรอน แตกหักกับเขาซะล่ะ เพราะอะไรๆ มันยังไม่แน่นอนทั้งนั้น และที่สำคัญน่ะ ถุงเงินถุงใหม่รายใหม่นี้ไม่มีลูกสาวซะด้วยน่ะสิ”
สองพ่อลูกหัวเราะร่วน เหมือนตัวโกงในละครหลังข่าวของช่อง 7 สี เข้าไปทุกที
ด้านแพรวาคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียงใหญ่ในห้องนอน คู่สายน่าจะเป็นเจนจิราเพื่อนซึ้ เธอพูดไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงนั้น หากสังเกตจะพบว่าไม่เห็นผ้าห่มลายตะวันฉายอยู่ในห้องอีกแล้ว
“ไม่มีทาง เรื่องอะไรจะให้ฉันโทรไปหาก่อน…ตัวเองอยากจะหายไปเองก็ช่าง…พี่ตะวันเขาอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ…ฉันก็ทำงานน่ะสิ…ฉันมีผู้ช่วยแล้วนะ จริง เป็นผู้ชาย…ดีหึงไม่กลัว กลัวเขาจะไม่หึงน่ะสิ”
รำไพเปิดประตูห้องเข้ามา
“เท่านี้ก่อนนะ แม่มา…อือม แม่ชอบแอบดูว่าฉันคุยกับใคร…บ๊ายบาย”
แพรวาวางหูโทรศัพท์ แล้วพุ่งเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงรำไพ จนล้มลงไปบนเตียง
“นี่แน่ะ…แอบเข้ามาในห้องเขา ปล้ำซะเลย…”
“เล่นอะไรไม่รู้จักโตยายแพรนี่”
“ใครบอก เล่นปล้ำนี่แหละ คนโตๆชอบเล่นกันนัก”
รำไพดันตัวเองหนีออกมาจนได้
“หมู่นี้แม่ไม่เห็นหนูปักผ้าห่มอีกเลย”
“อ๋อ…ช่วงนี้ ผ้าห่มต้องพักเอาไว้ก่อน…มันขาดแรงบันดาลใจ”
รำไพส่ายหน้า หมั่นไส้ลูกสาวตัวเองเต็มกำลัง
“เล่าให้แม่ฟังหน่อยซิ ว่าเราไปถูกชะตานายหรั่งเขาได้ยังไง”
“น้องแพรยังไม่ได้บอกเลยว่าถูกชะตา”
“งั้นเราไปตามเขามาทำงานทำไมล่ะ…อย่างนี้แหละเขาเรียกว่าถูกชะตาแล้ว”
“ก็น้องแพรไม่มีใครนี่…พี่ตะวันก็ไม่ยอมมาช่วย”
“ตั้งใจประชดพี่เขารึเปล่า”
“อันนี้ต้องถือเป็นผลพลอยได้ค่ะ”
“รู้มั้ย นายหรั่งนี่เป็นผู้ชายคนที่สองที่หนูพาเข้ามาบ้าน ต่อจากพี่ตะวันฉายนะ”
“โอ้โฮ แม่จดเร็คคอร์ด ไว้ด้วยเหรอ”
“หนูโตแล้วนะลูกแพร…แม่ไม่อยากให้หนูตัดสินใจอะไรด้วยอารมณ์ ด้วยความผลีผลาม…ทำอะไรขอให้คิดเยอะๆ ถ้าหนูเจอคนดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนที่คิดจะหลอกลวงเอาผลประโยชน์ คนที่จะเสียใจก็คือลูกเองนะ”
“แล้วแม่ไม่ถูกชะตานายหรั่งเหรอคะ”
“ไม่รู้ มาถามอะไรแม่…ต้องไปถามคุณป๋านู่น…เห็นคุยกันซะนานเชียว”
ตอนค่ำ หรั่งและก้อยนั่งอธิษฐานก่อนกินข้าวมื้อเย็น ตามปกติ
“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดให้อภัย และมอบพลังกาย พลังใจในการดำรงชีวิตต่อไป หลังอาหารมื้อนี้ด้วยเถิด…”
ทั้งสองยกมือท่วมหัว แล้วเริ่มต้นกินข้าว
“ไปหาคุณเผ่าลาภมา เป็นไงบ้าง?”
“เขี้ยวน่าดู…ถามโน่นถามนี่เยอะแยะเลย”
“เขาเป็นนายจ้างนี่ เขาก็ต้องละเอียดลออซี่ จะจ้างใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง”
“เขาให้หรั่งไปเรียนงานกับเขาก่อน 7 วัน…ถ้าผ่านถึงจะได้ทำงานที่นั่น”
“แล้วถ้าไม่ผ่านล่ะ”
“ผ่านซี่…ยังไงก็ผ่านอยู่แล้วครับท่าน”
หรั่งทำเป็นคุยเขื่องใส่ก้อย
เช้าวันต่อมา ที่ห้องตรวจตาห้องใหญ่ในโรงพยาบาล อาจารย์หมอยื่นหน้าเข้ามาตรวจตาคนไข้ เห็นเป็นลูกตาทั้งสองของก้อย
ภายในห้องตรวจนี้ ดูหรูหราทันสมัยกว่าห้องเก่าที่หมอเคยพาก้อยไปรับการตรวจ
หมอหนุ่มคนเดิม และ หรั่ง ยืนอยู่ข้างๆ ก้อย สักครู่อาจารย์หมอถอนหน้าออกมาจากเครื่องมือตรวจ…สีหน้าดูไม่ดีนัก
“โอ.เค….ดีมาก…อีกเจ็ดวันผ่าได้เลย”
อาจารย์หมอหันไปสั่งหมอหนุ่มเบาๆ
“เตรียมทุกอย่างให้พร้อม เกินอาทิตย์หน้าไม่ได้เด็ดขาด…”
“ครับอาจารย์”
อาจารย์หมอลุกขึ้น ส่งเสียงดังทำเหมือนปกติ
“เอาละหมอขอตัวก่อนนะ…คนไข้รออยู่อีกห้องนึง”
“ขอบคุณอาจารย์หมอมากค่ะ”
“ขอบคุณพี่ชายหนูดีกว่า…ยืนยิ้มอยู่ตรงนี้เอง”
อาจารย์หมอชี้ไปที่หรั่ง เป็นสัญญาณว่าให้ตามมาข้างนอก หรั่งพยักหน้ารับคำ…อาจารย์หมอเดินนำออกไปก่อน หรั่งหันไปมองหมอหนุ่ม เป็นเชิงว่าฝากก้อยไว้หน่อย หมอหนุ่มเข้าใจ เขากระเถิบเข้าไปคุยกับก้อย
“เริ่มนับถอยหลังได้แล้วนะน้องก้อย เจ็ดวันมัน แป๊ปเดียวเองหละ”
“ถ้าผ่าแล้วก้อยยังมองไม่เห็นล่ะคะ”
หมอหนุ่มถอนใจ เหลียวมามองหรั่งที่ประตู หรั่งหันกลับมาหาก้อย กุมมือเธอไว้
“ไม่เอาน่า อย่าคิดอย่างนั้นสิ ยังไงๆก็ต้องเห็นอยู่แล้ว…ใช่มั้ยครับหมอ”
หมอมองหรั่งหนักใจ ส่ายหน้าน้อยๆ พูดสิ่งตรงข้ามกับที่เห็นเพื่อปลุกปลอบก้อย
“เห็นมั้ย…หมอเขายังพยักหน้าให้ก้อยเลย ก้อยสบายใจได้…เดี๋ยวหรั่งมานะ”
หรั่งเดินออกไป…ก้อยได้แต่ยิ้ม
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 4 (ต่อ)
หรั่งพาตัวเองมาอยู่ในห้องทำงานอาจารย์หมอที่นั่งรอหน้าเครียด ขณะบอกออกมาอย่างลำบากใจ
“เป็นไปไม่ได้เลยที่ก้อยจะมองเห็น”
หรั่งอึ้ง “แน่ใจเหรอครับ”
“ผมไม่มีเวลามาพูดเล่นกับคุณหรอก…มาถึงตรงนี้แล้วผมต้องพูดตรงๆ ชัดๆ อย่างนี้แหละ…เพราะ คุณปล่อยให้เวลามันผ่านไปเนิ่นนาน เกินกว่าจะทำอะไรได้…ถามจริงๆเถอะ คุณรู้หรือเปล่าว่าอาการของก้อยเกิดจากอะไร”
หรั่งบอกเท่าที่รู้ “ผมรู้แต่ว่า เธอทะเลาะกับพ่อเลี้ยง แล้วโดนอะไรบางอย่างสาดเข้าตา”
“อาการของก้อยคือกระจกตาเสีย เนื่องจากโดนสารเคมีตั้งแต่เด็กๆ ทำให้การมองเห็นนั้นพร่ามัว แต่ถ้าเราทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาซะตั้งแต่ตอนแรกๆ เราก็จะควบคุมไม่ให้สารเคมีทำลายประสาทตาได้...การที่ลูกศิษย์ผมให้ยาหยอดตาไปเพื่อควบคุมความดันตามันก็เป็นเพียงการประคับประคอง รอเวลาผ่าตัด...โชคร้ายที่กระจกตาจากผู้บริจาค ไม่สามารถเข้ากับตาของก้อยได้...จนถึงวันนี้ สารพิษกินไปถึงจอประสาทตาแล้ว แม้คุณจะโชคดีที่หาเงินค่ากระจกตาเทียมได้ แต่มันก็ดีไม่พอ เพราะมันช้าไป การผ่าตัดวันนี้ ทำได้แค่ไม่ให้ประสาทตาเสียมากขึ้นเท่านั้น เข้าใจมั้ย
“เข้าใจครับ”
“ก็เหลือแต่สภาพจิตใจเท่านั้นหละ ที่คุณจะต้องเยียวยาให้น้องสาวคุณมีกำลังใจพอที่จะสู้ชีวิตต่อไป ผมหวังว่าคุณจะเป็นโชคดีครั้งเดียวที่เธอมี” อาจารย์หมอบอก
หรั่งยอมรับสภาพ ด้วยความเข้าใจ
ด้านรำไพเดินเลี้ยวมาตามทางเดินของคอนโดมีเนียม เมื่อถึงหน้าห้องบารมี เธอเอื้อมมือกดออด
สักพักประตูเปิดออก เห็นเป็นกันทิมาอยู่ในห้อง
“พี่รำไพ…สวัสดีค่ะ” กันทิมายิ้มทักทาย
“สวัสดี…พี่เข้าไปได้มั้ย กวนอะไรรึเปล่า”
“เปล่าเลยค่ะ…เชิญค่ะพี่”
กันทิมาเดินนำรำไพเข้ามาในห้อง
“พี่เอาคุกกี้มาฝาก ลองทำดู แต่ที่บ้านเขาไม่กินกัน ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ เขากลัวอ้วนกันน่ะไอ้เราคนทำก็เลยต้องมาตระเวนแจกกันอย่างนี้แหละ”
กันทิมาส่งน้ำดื่มให้รำไพ
“ขอบคุณพี่รำไพมากเลยนะคะ”
รำไพเหลือบไปเห็น เฟรมสีน้ำมันอยู่บนขาตั้ง พร้อมทั้งอุปกรณ์พู่กันและสี
“น้องกัน วาดรูปด้วยเหรอ”
“ค่ะ ไปเรียนที่ศิลปากรมา…เขามีคอร์สสำหรับผู้ใหญ่”
รำไพสัพยอก “ขยันจังนะ”
“ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ค่ะ…ทำใจให้สงบ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน…ว่างๆ พี่รำไพไปเรียนด้วยกันมั้ยคะ”
สีหน้ารำไพเป็นคำถาม “ฉันน่ะ”
“ไม่ฟุ้งซ่านก็เรียนได้ค่ะ” กันทิมาประชดชีวิตกลายๆ
“เออ แล้วไป”
ทั้งคู่หัวเราะออกมา เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลง รำไพก็เอ่ยความในใจ
“นายบารมีเขาไม่อยู่เหรอ”
“ไม่กลับบ้านมาสามวันแล้วค่ะ”
“แล้วน้องกันอยู่คนเดียวเหรอ?”
กันทิมาพยักหน้า
“อยู่ได้ยังไงน่ะ?”
“ก็ต้องอยู่ให้ได้ค่ะ เพราะหนูเป็นคนเลือกทางเดินอย่างนี้เอง หนูก็ต้องทน”
“พี่เห็นใจน้องจริงๆ กันทิมา”
“มีผู้ชายอีกคนที่น่าเห็นใจยิ่งกว่า…เขาต้องรับผลจากการตัดสินใจของหนู ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักนิด”
กันทิมาหมายถึงเขาคนนั้น ชายกลางคนที่อยู่ในเขตงานหนักในเหมือง M.S. กาญจนบุรี บนรถสิบล้อที่แล่นตะกุยดินโคลน ฝ่าดวงตะวันที่แผดแสงจ้า เป็นเขาคนนี้ ชาติชาย ขับรถคันนั้นไป พูดวิทยุสื่อสารสั่งงานไปด้วย
“เอาต้นไม้ที่ล้มอยู่ข้างบนทุกต้นลงมาให้หมด รากมันเน่า…เออ…ปรับดินใหม่แล้วค่อยเอาข้างล่างขึ้นไปเปลี่ยน…วิบูลย์ สั่งรถแบ๊คโฮ มาที่ผมซักสามคันนะ…แล้วก็หินหนึ่งที่ เตรียมไว้รีบเอามาลงที่ทางลาดได้แล้ว ให้เสร็จก่อนมืด…ข้าวยังไม่ต้องกิน…บอกมันว่ากินพร้อมกันตอนค่ำ..โอ.เค.นะ”
ชาติชายขับรถสิบล้อคันนี้มาถึงเชิงผาหิน เขาจอดรถ กระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่ว…เหงื่อโทรมกาย คนงานสองสามคนอยู่แถวๆนั้น…ชาติชายเดินเข้าไปหาคนที่หน้าตาดี ชื่อสมพงษ์
“สมพงษ์ อาทิตย์หน้าต้องทำรายงานความคืบหน้าส่งประธานบริษัทแล้วนะ เร่งมือหน่อย”
ต้น หรือกฤษฎา เดินกางร่มมาจากมุมหนึ่ง อาสาออกมา
“ขอผมเอาเข้าไปให้อากู๋เองได้มั้ยครับ…คือ คิดถึงบ้านจังเลย”
ตอนเย็นๆ หรั่งนั่งยองๆ อยู่ริมถนนหน้ารั้วบ้านมหาโชคตั้งศิริ สักครู่หนึ่งรถแพรวาแล่นมาจอดรอคนรับใช้เปิดประตู กระจกรถแพรวาเลื่อนลงอย่างนุ่มนวล แพรวาโผล่ชะโงกหน้าออกมา มองไปที่หรั่ง
“ทำอะไรน่ะ”
“รอพบคุณพ่อคุณตามนัดครับ”
“ทำไมไม่ไปรอในบ้าน”
“ไม่เป็นไรครับ…ผมมาก่อนเวลาเอง”
“นั่งอย่างนี้น่าเกลียด มา เข้าไปในบ้านด้วยกัน…ขึ้นรถฉันมาเลย”
หรั่งรีรอ…แพรวาเปิดประตูให้ เร่งยิกๆ
“เร็วซี่…”
หรั่งก้าวขึ้นไปนั่งข้างๆแพรวา เขาสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนจะเก็บกลิ่นหอมนี้ไว้ให้นานเท่านาน
รถแพรวาเคลื่อนตัวเข้าบ้านไป
โดยมอเตอร์ไซค์ของหรั่งจอดหลบมุมอยู่ตรงหน้าประตูบ้านนั่นเอง
แพรวาขยับลงนั่งกลางโถงรับแขก
“นั่งสิ”
หรั่งเลือกที่นั่งห่างออกมาหน่อย
“เมื่อวานคุณป๋าฉันคุยอะไรกับนายบ้าง”
“เยอะแยะ”
“แล้วสรุปว่าไง”
“ท่านให้มาเรียนงานกับท่านเจ็ดวัน แล้วค่อยว่ากันว่าจะรับเป็นพนักงานหรือไม่”
“เรื่องมากจัง คุณป๋านี่”
“ท่านรอบคอบครับ…คุณพ่อคุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า…แค่ได้มีโอกาสเรียนงานจากท่านก็ต้องถือว่าโชคดีมหาศาลแล้วครับ”
“ถ้างั้นนายต้องทำให้คุณป๋ายอมรับนายให้ได้…จะด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ เลยเข้าใจมั้ย”
“ผมก็คงแย่ไม่แพ้คุณแพรวาหรอกครับ”
“มานี่ ฉันจะติวเข้มนายเอง”
หรั่งเลิกคิ้วเชิงสงสัย
“มานี่ซี่ มานั่งใกล้ๆ ฉัน เร็ว ก่อนที่คุณป๋าจะมา”
หรั่งกระเถิบไปนั่งใกล้ๆ แพรวาพร้อมรอยยิ้ม แพรวาหันหน้ามาใกล้หรั่ง ท่าทางเอาจริงเอาจังมาก
“สิ่งที่นายต้องรู้เกี่ยวกับคุณป๋าของฉันมีดังนี้…ป๋าชอบคนจริง คนทำงานไม่เหลาะแหละและก็ไม่ชอบให้ใครมาเออ ออ ไปกับป๋าซะทุกเรื่อง…เพราะฉะนั้น อย่าไปยอมเขาง่ายๆ เถียงเขาบ้างก็ได้”
หรั่งเย้า “คุณก็เลยเถียงท่านตลอด”
“ใช่…แต่ป๋าก็เถียงฉัน ไม่ยอมฉันเหมือนกัน…จนต้องให้แม่ตัดสิน”
“แล้วคุณแม่อยู่ข้างไหนครับ” หรั่งยิ้มนิดๆ
“ก็ข้างป๋าน่ะสิ จะข้างไหนล่ะ…เขาอยากได้ลูกชายมากเลย รู้มั้ย…ถ้านายทำให้ป๋าฉันรักนายได้ละก้อ…นายจะเป็นลูกชายคนนึงของเขาแน่นอน ฉันรับรอง” แพรวาว่า
“ถ้าผมเป็นลูกชาย…แล้วคุณแพรวาจะเป็นอะไรล่ะครับ?”
“ก็เป็นพี่สาวนายน่ะสิ ถามได้…มีสมุดจดรึยัง?”
หรั่งฉงน “สมุด?”
แพรวาอธิบาย “ใครทำงานกับป๋าต้องมีสมุดโน้ตทุกคน…เดี๋ยวนายเอาของฉันไปก่อนก็ได้…คำถามที่นายจะต้องถูกถามก็คือ…” แพรวาทำเลียนท่าเผ่าลาภประกอบ “…เอาละ ตอบฉันมาซิ นายคิดยังไงกับ M.S.GROUP” แพรวาเปลี่ยนท่าทีเป็นปกติ “…นายตอบไปเลยว่า เป็นบริษัทที่มั่นคง อบอุ่น เหมือนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน บริษัทนี้สร้างคนมามากมาย และให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเติบโตในแวดวงธุรกิจไม่น้อย…การเข้ามาทำงานที่นี่ จึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี”
หรั่งนั่งฟัง ยิ้มลึกซึ้งในสีหน้า
เผ่าลาภเปลี่ยนอิริยาบถขณะพูดประโยคต่อมา
“ต้นตระกูลของฉันมาจากเมืองจีน เริ่มต้นทำมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ แค่พอมีพอกิน…จนโชคดีได้ที่มาผืนหนึ่งที่จังหวัดนครสวรรค์ เตี่ยของฉันชื่อกิมเล้ง เริ่มต้นทำโรงสีข้าวบนที่ผืนนั้น…เตี่ยมีลูกทั้งหมดสิบสองคน ฉันเป็นคนที่สาม...”
เผ่าลาภมองไปที่ภาพหมู่ต้นตระกูลมหาโชคตั้งศิริ เป็นภาพขาวดำ ที่ติดอยู่เหนือผนังบ้าน หรั่งมองตาม ไล่สายตาไปยังภาพ Family Tree ของต้นตระกูล
เสียงเผ่าลาภดังขึ้น
“เมื่อพี่ทั้งสองของฉัน อายุสั้นภาระทั้งหมดจึงตกเป็นของฉันอย่างไม่อาจปฏิเสธได้”
ตกตอนบ่าย หรั่งวิ่งเล่นเตะฟุตบอลอยู่กับเพื่อนๆ เสียงเผ่าลาภบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตเมื่อวาน ดังก้องในหู
“มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่ต้องแบกรับความคาดหวังทั้งหมดของบรรพบุรุษไว้กับตัวเอง”
เย็นวันเดียวกัน ภายห้องทำงานเผ่าลาภที่บ้าน มหาโชคตั้งศิริ หรั่ง นั่งฟังคำอธิบายของเผ่าลาภอย่างตั้งใจ
“ยิ่งไปกว่านั้น...ธุรกิจการค้า ยังเป็นเรื่องที่อยู่นิ่งๆไม่ได้ ต้องขยันให้บริการ ต้องหมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในวงสังคมต้องเข้าถึงข้อมูลใหม่ๆ และต้องฉลาดรู้เท่าทันผู้คน”
เผ่าลาภส่งแฟ้มมากมายให้หรั่งนำกลับไปศึกษาที่บ้านต่อ
ค่ำคืนนั้นหรั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียน อ่าน หนังสือในห้องนอน เขานั่งอ่านหนังสือ และเอกสารที่เผ่าลาภให้มา
เสียงเผ่าลาภดังขึ้นอีก
“มันน่าใจหายที่ถัดจากฉันไปแล้ว ไม่มีใครมีวี่แววว่าจะเป็นหัวเรือใหญ่ได้ซักคน”
เสียงหรั่งซักขึ้น
“น้องชายคุณล่ะครับ”
แทนคำตอบ เห็นเป็นภาพในบ่อนตะวันฉายและเพื่อน ที่บารมีเริงร่าอยู่ในบ่อนการพนันนั้น
รอบๆ ตัวเต็มไปด้วย เงิน นักเลง เหล้า บุหรี่ และ โสเภณี
เสียงเผ่าลาภดังขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าเธอได้เห็นน้องชายฉัน เธอจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดได้โดยไม่ยาก”
เย็นวันใหม่ ภายในห้องทำงานเผ่าลาภที่บ้าน มหาโชคตั้งศิริ
“ฉันต้องการให้แพรวาขึ้นมาแทนที่ฉัน แต่เขายังขาดความตั้งใจ ขาดความรับผิดชอบขาดความอดทนต่อแรงกดดัน และยังไม่มีหัวใจของนักสู้ที่จะต้องดุดันเมื่อถึงคราวจำเป็น”
หรั่งท้วง “คุณกำลังดูถูกลูกสาวตัวเองหรือเปล่าครับ”
“แพรวาเป็นเด็กรักดี ถ้าได้ผ่านการเจียรไน น่าจะเติบโตเป็นเพชรเนื้อดีได้ ถ้าเธอได้เป็นผู้ช่วยแพรวา...เธอคิดว่าเธอจะเป็นผู้ช่วยแบบไหนที่จะทำให้แพรวาเป็นเพชรเม็ดงามอย่างที่ฉันต้องการ คิดให้ดี ก่อนที่จะให้คำตอบฉัน”
เสียงเผ่าลาภเล่าจนเห็นภาพ ในขณะนั้นแพรวากำลังนอนพูดโทรศัพท์เกลือกกลิ้งไปทั่วๆ ห้อง อย่างร่าเริง
ตอนเย็นอีกวันหรั่งนั่งรออยู่ในห้องทำงานแล้ว สักครู่เผ่าลาภค่อยๆ เดินมานั่งตรงหน้าเขา
“ผมพร้อมที่จะให้คำตอบแล้วครับ”
“ว่ามา ว่าเธอจะเป็นผู้ช่วยแบบไหน”
หรั่งพูดด้วยแววตามุ่งมั่น ในท่าทีจริงจังของเขา
“คนเป็นผู้ช่วย จะได้เปรียบผู้เป็นเจ้านายตรงความรับผิดชอบ…เขาสามารถเลือกทำเฉพาะที่ถูกสั่งให้ทำ หรือแอบตัดสินใจทำโดยพละการก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้เป็นเจ้านายเท่านั้น ที่ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจนั้นๆ…แต่สำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจของผู้ช่วย หรือเจ้านาย ผมขอรับผิดชอบในทุกกรณี และถ้าลูกสาวของคุณไม่สามารถเป็นเพชรเนื้อดีได้…ผมก็ไม่สมควรที่จะทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปครับผม”
ได้ฟังดังนั้นแล้ว เผ่าลาภเยื้อนยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา
“พรุ่งนี้เช้าเธอไปกรอกประวัติที่ฝ่ายบุคคลนะ นายหรั่ง นาคำ”
หัวใจหรั่งพองโตยิ่ง เขายิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข
เช้าวันต่อมา ที่สตูดิโอบันทึกรายการทีวี "จับยามสามตา" กราฟฟิกโลโก้รายการปรากฏในจอ พร้อมด้วยเสียงดนตรีตื่นเต้น คึกคัก และเต็มไปด้วยมนต์ขลัง พิธีกรปรากฏตัวกลางฉาก ในเครื่องแบบยามที่มีตาสามดวง และอุปกรณ์ประกอบร่างเต็มรอบตัว เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงมีพลัง
“วันนี้เป็นวันจันทร์...ลักคณาย้ายจากดาวมฤตยู พฤษภเป็นเจ้าวัน...ถือเป็นวันแห่งประกายดารา...ธุรกิจเพชรนิลจินดาจะพุ่งพรวด...คนเกิดวันจันทร์หากต้องเลือกงาน ขอให้มุ่งไปด้านจิเวลรี่...ยิ่งสมัครงานวันนี้ยิ่งดี...แต่ต้องหลีกหนีสีน้ำเงิน”
ที่จอโทรทัศน์บ้านป้าข้างบ้านหรั่ง เสนอรายการดังกล่าว พิธีกรยังจ้อต่อ
“จะใส่ชุดอะไรก็ตาม อย่าให้มีสีน้ำเงินในตัวคุณเป็นอันขาด”
หรั่งยืนแต่งตัวริมหน้าต่างบ้านของตน ตำแหน่งเดิม เสื้อที่เขาใส่เป็นสีน้ำเงิน
“สีของคุณคือสีม่วง ม่วงอ่อน และ ม่วงแก่ สามสีนี้เท่านั้น ที่จะพาให้ชีวิตคุณรุ่งโรจน์”
หรั่งหยิบเน็คไทสีน้ำเงินผูกซ้ำเข้าไปอีก
ป้าแป๋วอุ้มลูกเข้ามา ยืนตรงหน้าต่างบ้านของตน
“เปลี่ยนช่องละนะ”
“จ้า”
“รวยแล้ว ซื้อทีวีของตัวเองได้แล้วมั้ง” ป้าแป๋วแซว
“ดูของตัวเองก็งั้นๆ…ดูของป้าแป๋ว มันกว่า” หรั่งยิ้มกว้าง
ป้าแป๋วอุ้มลูกออกไป…แอบคิดมากพอสมควร ก้อยเข้ามายื่นผ้าเช็ดหน้าให้หรั่ง
หรั่งหันไปหาก้อย
“อะไรน่ะ”
“ของขวัญสำหรับวันแรกในที่ทำงานใหม่”
หรั่งประคองมือก้อยขึ้นมาดู เห็นผ้าเช็ดหน้าขนาดกำลังดี ปักตัว R ไว้ที่มุมผ้า หรั่งกุมมือก้อยไว้ พร้อมกับใช้มือที่เหลือลูบผมก้อยอย่างแผ่วเบา
“ขอบใจมากจ้ะก้อย”
“มีชื่อย่อ หรั่ง ปักอยู่ด้วยใช่มั้ย”
“อือฮื้อ…อย่าบอกนะว่าปักเอง”
“ก้อยไม่เก่งขนาดนั้นหรอก…ฝากเขาซื้อแล้วก็จ้างเขาปัก”
“ทีหลังก้อยไม่ต้องลำบากอย่างนี้อีกนะ”
“ไม่แล้วละ เพราะอีกหน่อยก้อยก็มองเห็นแล้ว ก้อยก็ปักเองได้ ไม่ต้องเสียเงินจ้างอีก”
หรั่งฟังแล้วสะท้อนใจลึกๆ
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวมาจอดหน้าบ้านเท่ห์
“ไอ้เท่ห์โว้ย…ไอ้เท่ห์ ตื่นรึยัง”
หรั่งบีบแตรลั่น อย่างเมามันในอารมณ์ แอ๊ดถือถุงน้ำเต้าหู้ออกมาให้
“พอเหอะไอ้หรั่งเอ๊ย บีบแตรให้ตายมันก็ไม่ตื่น…เป็นงี้มาสี่ปีแล้วไอ้ลูกเวรนี่”
หรั่งส่งถุงน้ำผักของตนให้แอ๊ด พร้อมกับสตางค์จำนวนหนึ่ง น้าแอ๊ดยัง งงอยู่”
“น้าแอ๊ดช่วยจ้างเด็กแถวนี้ เอาไปส่งที่ธนาคารที นี่สตางค์...นับจากวันนี้ ฉันคงไปส่งไม่ทันแล้วหละ...แล้วนี่คือวิธีทำน้ำผัก น้ำสมุนไพร ช่วงนี้คนหันมาสั่งกันเยอะ น้าแอ๊ดน่าจะลองทำดูนะ เพราะฉันคงไม่มีเวลาทำแล้ว ได้แค่รับไปส่งที่ทำงานเท่านั้นแหละ”
หรั่งส่งของทุกอย่างให้น้าแอ๊ด แล้วขี่รถออกไป ปากก็ตะโกนใส่ไอ้เท่ห์ไปด้วย
“ไอ้เท่ห์…ไม่ตื่นมาช่วยแม่มึงทำมาหากินบ้างเลยนะเว้ย”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามซอกซอย เมื่อถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่…ผู้ใหญ่เงาะก็กระโดดมาขวางไว้ ตัวโงนเงนตามเคย มีน้าเบิ้มประคองอยู่ใกล้ๆ
ผู้ใหญ่เงาะเรียก “เดี๋ยวก่อนเว้ย ไอ้หรั่ง…ช้าก่อน”
“ผู้ใหญ่ตื่นเช้าจัง…น้าเบิ้มด้วย”
“กูยังไม่ได้นอน…ตื่นเต้นไปกับมึงด้วย…มานี่มา มาให้กูเป่ากระหม่อมก่อน…เอาหัวมันมา ไอ้เบิ้ม”
เบิ้มจับหัวหรั่งกดลงให้นิ่ง ผู้ใหญ่เงาะยกเหล้ากรอกใส่ปาก แล้วกลั้วคอ หรั่งเอียงหน้าขึ้นมาดู ตกใจ
“ผู้ใหญ่”
“นิ่งๆ” เบิ้มกดไว้แน่น
ผู้ใหญ่เงาะกลั้วคอได้ที่แล้วจึงกลืนลงไป เสียงดังเอื๊อกใหญ่
“ล้างคอซะหน่อย”
หรั่งถอนใจโล่ง…ผู้ใหญ่เดินเข้ามาใกล้หรั่ง เขารวบรวมลมปาก แล้วก้มหน้าเป่าพรวดลงไปที่กลางหัวหรั่ง น้ำลายกระจายเป็นสายเลอะเทอะ ผู้ใหญ่เงาะยิ้มกริ่ม
“เป็นไง…กูแถมน้ำมนต์ไปด้วยเลย…ขนลุกมั้ยวะ”
ขาดคำผู้ใหญ่เงาะก็หงายหลังล้มลงไปอีก เหมือนเคย
หรั่งพยายามเช็ดน้ำลายที่หัวออก
“ฉันไปละ น้าเบิ้ม”
เบิ้มเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน ไอ้หรั่ง…กูรักมึงเหมือนลูกว่ะ…” แล้วพยายามแกะอะไรบางอย่างออกจากเอว “เพราะฉนั้น กูขอให้มึงเจริญรุ่งเรืองกับบริษัทแห่งใหม่…เจ้านายรักใคร่ ไม่มีศัตรูหมู่มาร…เอ้า เอานี่ไปคุ้มครองป้องกันตัวนะ”
เบิ้มแกะจนสำเร็จ ส่งให้หรั่ง…มันคือตะกรุดเก่าๆ ดูขลังชอบกล
“น้า…ฉันไม่ได้ไปรบนะ”
“เฮ่ย ตะกรุดนี่เข้าพิธีนะเว้ย…พุทธคุณสูง โดยเฉพาะด้านเมตตา…ใครเห็นใครรัก ใครเห็นใครหลงก็แล้วกัน มึงเชื่อกูสิ…โดยเฉพาะสายสินจน์สีม่วงเส้นนี้…แรงอย่าบอกใคร”
หรั่งจำใจรับไว้
“ขอบใจนะน้าเบิ้ม ฉันไปละ”
“เออ…”
หรั่งขี่รถออกไป เบิ้มยิ้มย่องโบกมือส่ง แล้วตะโกนตามหลัง
“กูภูมิใจในตัวมึงจริงๆ”
หรั่งหันมาโบกมือให้น้าเบิ้ม ตะกรุดแกว่งไกวอยู่ในมือเขา
รถมอเตอร์ไซค์ของหรั่ง…วิ่งฝ่าเข้าไปในเปลวระยับของไอแดดยามเช้า พวงกุญแจไอ้มดแดงที่ห้อยแกว่งไปมาอยู่ใต้แฮนด์มอเตอร์ไซค์นั่นเอง
อ่านต่อตอนที่ 5