พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 3
ค่ำเดียวกันนั้นที่เรือนรับแขกในคุ้มอมรา เห็นกาบกำลังถวายน้ำพระที่นั่งบนเก้าอี้ มีมัคนายกสะพายย่ามนั่งกับพื้น แม่เลี้ยงอมรานั่งพนมมือไหว้พระ หน้าตาเลื่อมใส
“เป็นบุญจริงๆ พระคุณเจ้าอุตส่าห์มาโปรดถึงคุ้ม”
พระหันไปมองมัคนายก “หนังสือเอกสารอยู่ไหน ท่านมัคนายก”
มัคนายกค้นเอกสารในย่ามขยุกขยิก แม่เลี้ยงเอ่ยขึ้น “อู๊ย...หนังสือเอกสารอะไรไม่สำคัญหรอกเจ้าค่ะ พระคุณเจ้ามีธุระอะไรก็ว่ามาเลยเจ้าค่ะ”
“อาตมาจะมาบอกบุญแม่เลี้ยง ตอนนี้ผ้าป่าสร้างเมรุเผาศพของวัดเราก็ได้มาพอประมาณแล้ว แต่ยังขาดอยู่อีกซัก สองแสนบาท ถ้าแม่เลี้ยงทำบุญทางวัดจะสลักชื่อแม่เลี้ยงเอาไว้บนขื่อของเมรุให้เป็นที่ระลึก”
แม่เลี้ยงอนุโมทนาสาธุ “สองแสนถ้วนใช่มั้ยเจ้าค่ะ”
มัคนายกตอบแทน “จ้ะ สองแสน เมรุจะเสร็จสมบูรณ์แบบเลยจ้าเหลือบันไดกับพื้นนิดหน่อย”
แม่เลี้ยงเอ่ยขึ้น “ไอ้กาบ”
กาบหยิบเครื่องคิดเลขส่งให้อมราอย่างรู้งาน แม่เลี้ยงกดแป้นคิดเลข
“พรุ่งนี้ไปเจอกันที่ธนาคารเลยนะเจ้าคะ พระคุณเจ้าเบิกเงินของวัดให้ดิฉันแสนห้า ดิฉันจะรับเหมาสร้างเมรุให้เสร็จเองถือว่าวัดยังได้กำไรตั้งห้าหมื่น ดีมั้ยเจ้าคะ”
พระอึ้งสบตามัคนายก “แม่เลี้ยงคงเข้าใจผิดนะจ๊ะ”
“ไม่ผิดค่ะ ก็หลวงพ่อมากู้เงินดิฉันสร้างเมรุ ดิฉันก็แนะให้เอาโบสถ์กับที่วัดไปจำนองแบงก์ เอ๊ะ ที่วัดกี่ไร่นะเจ้าคะ จำนองกับดิฉันก็ได้ คิดดอกเท่าธนาคาร แต่ได้เงินเลยรอแป๊บเดียว ดิฉันไปเอาสัญญาให้”
แม่เลี้ยงอมราก้มลงค้นลิ้นชักโต๊ะทำงาน เงยหน้าขึ้นมา พระกะมัคทายกหายไปแล้วทั้งคู่ แม่เลี้ยงงงมองกาบ“ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอไอ้กาบ”
โทรศัพท์ดัง แม่เลี้ยงกดรับโทรศัพท์ นิ่งฟัง สีหน้าตกใจ
“ยัยภิตถูกจับ”
บนโรงพักในตอนนี้ จ่าทอง และดาบม้วน นั่งกุมหัวมึนตึ๊บกันอยู่ จีรณะนั่งอยู่มุมหนึ่ง ส่วนโสภิตนั่งเครียดอยู่อีกมุม จีรณะเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“คราวนี้ผมเอาจริงแน่ ทำมาเป็นหวังดีมาเยี่ยมที่แท้ก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย ให้ลูกน้องเล่นงานผม ทั้งบุกรุกยามวิกาล ลักทรัพย์ทำร้ายร่างกาย ไปเลยจ่าทอง ดาบม้วนพาผมไปหาสารวัตรผมจะแจ้งความ”
“แจ้งเลยเหรอ คุยกันก่อนดีมั้ย เนอะดาบ” จ่าทองว่า
ดาบม้วนเออออเห็นด้วย “นั่นซิ อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันรึเปล่า”
“ใช่ค่ะ เป็นการเข้าใจผิดกัน ฉันขอชดใช้ค่าเสียหายให้ทุกอย่าง ส่วนที่คุณกับลูกน้องถูกทำร้ายร่างกาย ฉันจะจ่ายค่ารักษากับค่าทำขวัญให้...”
ถึงตรงนี้โสภิตกดโทรศัพท์ เอียงหน้าพูดกับชีพเบาๆ แต่เสียงเข้ม “เอามาคืนเดี๋ยวนี้”
“คุณคงเข้าใจผิด ผมไม่ได้ต้องการเงิน”
ชีพเดินหน้าเข้มเข้ามา จีรณะมองชีพอย่างเอาเรื่อง ชีพทำหน้าเฉย
“แม่เลี้ยงให้คุณภิตกลับคุ้มเดี๋ยวนี้เลยครับ มีอะไรให้ทนายมาพรุ่งนี้”
จีรณะหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะกดโทรเบอร์ตัวเอง เสียงโทรศัพท์ดัง
ชีพสะดุ้งโหยง มือไม้วุ่นวายจะกดโทรศัพท์ปิด จีรณะกระโดดเข้าล็อคชีพ ปลุกปล้ำกัน จ่าทอง ดาบม้วนเข้ามาจับแยก
“ไอ้ผู้ร้ายปากแข็ง”
โสภิตทั้งอาย ทั้งโมโหแบมือหน้าชีพ “นายชีพ ฉันสั่งให้คืนของให้คุณจีรณะเดี๋ยวนี้”
ชีพจ๋อยล้วงหยิบโทรศัพท์ของจีรณะส่งให้โสภิต
โสภิตจับมือจีรณะยัดโทรศัพท์ใส่มือเขา “ของๆ คุณ ฉันคืนให้ ฉันขอโทษ”
จีรณะชูโทรศัพท์ส่งให้จ่าทอง “นี่...นี่ไงของกลาง จับเลยครับ ผมจะดำเนินคดีกับผู้หญิงคนนี้ให้สาสม”
จ่าทองดาบม้วนลุกเดินเกรงๆ ไปหาโสภิต แม่เลี้ยงอมราเดินเข้ามาพอดี กาบ และเส่ง ตามมาหยุดดูห่างๆ
“กล้าก็ลองดูสิ โรงพักนี้ตำรวจคนไหน ใครแตะต้องลูกของฉัน เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นยามเฝ้าตลาดได้เลย” แม่เลี้ยงเสียงดังลั่นโรงพัก
ดาบกับจ่าสยอง มองหน้ากัน “ก็ให้มันรู้ไปว่าถ้ามีหลักฐานชัดเจนแบบนี้ ตำรวจจะไม่กล้าดำเนินคดี”
จีรณะชูโทรศัพท์ตัวเองเปิดคลิป มีเสียงยศสารภาพประกอบขณะพูด “ผม ผมจัดฉากถ่ายคลิปเอง ผมอยู่ด้วยจิตไม่ได้เสียหายอะไร” จีรณะมองแม่เลี้ยงอมรา ยิ้มอย่างเป็นต่อ ชาวบ้านฮือฮาได้ยินที่ยศสารภาพ
“ว่าไงครับ ดาบม้วน จ่าทอง”
ดาบม้วนอึกอัก “คือ...”
แม่เลี้ยงหัวเราะเยาะ “แกขู่บังคับ ซ้อมตายศจะฆ่ามัน หลักฐานที่ถูกบังคับ ศาลเค้าไม่เชื่อแกหรอก”
“ผมว่า...”
โสภิตมองแม่ รู้สึกผิดต่อจีรณะเลยสวนออกมา “ฉันรับสารภาพค่ะ ฉันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดนี้เอง”
“ยัยภิต”
หมู่มวลตะลึงมองโสภิตเป็นตาเดียว
สารวัตรหน้าเครียด มองจีรณะ มองโสภิตสลับกันไปมา แม่เลี้ยงอมรานั่งอยู่ที่ชุดรับแขกแยกออกไปอีกมุมจ้องโสภิตหน้าเสีย
“ตกลงคุณอัปสรโสภิตจะรับสารภาพตามข้อกล่าวหาของคุณจีรณะ อย่างนั้นเหรอครับ”
แม่เลี้ยงบอก “ไม่รับ เราจะตั้งทนายสู้ความ”
“ดิฉันรับสารภาพตามข้อกล่าวหาค่ะดิฉันเป็นคนวางแผนใช้จ้างวาน” โสภิตบอก
แม่เลี้ยงอมราเข้ามาจับแขนลูกสาวปรามเสียงลั่น “จะบ้าเหรอลูก” แล้วนึกได้ ลดเสียงลง “ทำงานมากจนเบลอแล้ว แน่ๆ คือ คิดเลขมากสับสนนะสารวัตร”
“ภิตสบายดีค่ะแม่ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกอย่าง” โสภิตย้ำคำ
แม่เลี้ยงตะลึง “ยัยภิต”
สารวัตรเสียงเข้ม “พวกคุณกำลังทำผมปวดหัว เดี๋ยวได้โดนผมแจ้งข้อหาแจ้งความเท็จแน่ คราวก่อนคุณโสภิตก็แจ้งความคุณจีรณะ แล้วก็ไม่ยอมมาให้ปากคำ แถมยังมาประกันตัวให้คุณจีรณะอีกด้วย”
จีรณะกับโสภิต สบตากันจังๆ จีรณะตกใจที่รู้ว่าโสภิตเป็นคนมาประกันตัวให้ โสภิตหน้านิ่งสงบ
อมราตกใจตาโต แล้วรีบกระซิบสารวัตร
“หนี้ของสารวัตร ฉันไม่คิดดอกเบี้ย”
สารวัตรลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เอาเป็นว่าผมขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวผมกลับมาจะเอายังไงก็ว่ากัน”
สารวัตรออกไป แม่เลี้ยงอึ้ง “บอกมาซิ ฉันหูฝาดรึเปล่า แกประกันตัวให้นายจีรณะ”
โสภิตรับนิ่งๆ “ค่ะ”
อมรารีบลุกมานั่งกับโสภิต ลูบหลังลูกไหล่ อังหน้าผาก
“ยัยภิต นี่แกไม่สบายใช่มั้ย ตกใจอะไรมาจนขวัญเสียเหรอลูก ไป ไป แม่พาไปหาหมอ”
“แม่คะ เราถูกเค้าจับได้คาหนังคาเขา ภิตอยู่ในเหตุการณ์ที่ลูกน้องของเราปีนบ้านไปขโมยของเค้า ทำร้ายร่างกายเค้ากับเด็กผู้หญิงด้วย”
อมราเอามือปิดปากโสภิต เหลียวล่อกแล่กกลัวใครได้ยิน โสภิตจับมือแม่ออกจากปาก
“ส่วนคดีคุณจีรณะทำร้ายพี่ยศกับลูกน้องของเรา ภิตจะเป็นพยานให้คุณจีรณะ เล่าความจริงทุกอย่างให้ตำรวจฟังด้วย”
จีรณะได้ยินเต็มๆ แปลกใจสุดๆ มองโสภิตอย่างไม่เชื่อสายตา
แม่เลี้ยงรีบลุกลากเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆจีรณะ “นี่คุณจีรณะ เรามาคุยกันแบบลูกผู้ชายดีกว่า ฉันขอประนีประนอมยอมความด้วย ถ้าไม่แจ้งความยัยภิตกับตายศคุณจะเอาเท่าไหร่”
จีรณะชะโงกหน้าไปหาแม่เลี้ยงทำหน้าขึงขัง “บ้านของผมก็เก่ามาก ส่วนรถก็เริ่มรวนๆ”
แม่เลี้ยงควักสมุดเช็คออกมา ก้มหน้าเขียนไปด้วยพูดไปด้วย
“สองแสนก็คงพอ บ้านฉันให้ลูกน้องมาสร้างให้ ไม่ต้องไปจ้างใครสร้าง”
โสภิตเมินไปอีกทาง ผิดหวังกับแม่ จีรณะยิ้มหยัน มองโสภิตที่นั่งเงียบเฉย
“เรื่องส่วนตัวผมมีปัญญาแก้ปัญหา ผมต้องการให้แม่เลี้ยงแก้สัญญา เงินกู้ของชาวบ้านทุกราย เรียกเก็บดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละสิบห้าต่อปี คืนโฉนดที่ดิน ยืดเวลาการไถ่ถอนให้ชาวบ้าน เรียกดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าไม่ตกลง ผมสู้ถึงศาลฎีกาทุกคดี”
แม่เลี้ยงอึ้งตะลึงตาค้าง
ไม่นานต่อมา บนโต๊ะร้านหนานเทืองมีข้าวต้ม พร้อมกับข้าว 3-4 อย่าง ดาบม้วนแต่งครึ่งท่อนถือแก้วชูนำดื่ม
“ดื่มให้คุณจี คนดีศรีสังคม” หมู่มวลตบมือชนแก้วจ่าทองแต่งครึ่งท่อนเช่นกันเอ่ยขึ้น
“เอากับแกล้มมาเพิ่มอีกหนานเทือง วันนี้ฉันกับดาบม้วนจ่ายเอง”
ชาวบ้านอีกสองโต๊ะดีใจด้วย ดาบม้วนเซ็ง “ถามข้าซักคำรึยังไอ้ทอง”
หนานเทืองขัดขึ้น “ดีใจให้สมควรแก่เหตุ ที่ลงบัญชีกันไว้ยังบ่ได้จ่ายรีบร้อนสร้างหนี้ใหม่อีกแล้ว”
“ถูกของหนานเทืองครับ อย่าเพิ่งดีใจกันให้มากนัก ให้แม่เลี้ยงทำตามสัญญาก่อนดีกว่า” จีรณะบอก
“อย่างน้อยนายจีก็ทำเพื่อพวกเรา ต้องขอขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคนด้วย” บุญมีตื้นตัน
ลุงคำชื่นชม “เชื้อบ่ทิ้งแถว ลูกไม้หล่นบ่ไกลต้น”
จีรณะยิ้มภูมิใจ สายพิณยิ้มชื่นชม “ไม่เสียชื่อที่เป็นลูกครูเจือจริงๆ”
บัวหอมตั้งข้อสังเกต “แต่อู้ก็อู้เต๊อะ ลูกสาวแม่เลี้ยงนี่ก็แปลกขนาด อยู่ดีดีก็มาช่วยพวก เราซะงั้น”
ดาบม้วนบอก “ฉันว่าแกเป็นคนดีนะ ไม่งั้นคงไม่แอบมาประกันตัวคุณจีหรอก”
บุญมีท้วง “อย่าเพิ่งวางใจไป พวกหน้าตาสวยๆ ใจใช่จะงามตามหน้า ข้าว่า ยัยโสภิตนี่อาจจะมาตกเบ็ดนายจี คิดจะเอาเป็นพวกก็ได้”
“ผมก็คิดอย่างงั้น น้ามีไม่ต้องกลัว คนอย่างผม ซื้อกันไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ”
จีรณะเห็นด้วย
ยศนั่งดูคลิปมือถือ พวกรูปนางแบบสวยๆ โป๊ๆ อยู่ในห้องโถง แม่เลี้ยงอมรา โสภิต กับชีพเดินเข้ามา แม่เลี้ยงเขวี้ยงกระเป๋าถือโครม ยศรีบปิดแทบไม่ทัน
“มันหักหน้าฉัน ในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครกล้ามาต่อรอง บังคับขู่เข็ญใจฉันให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้มาก่อน” อมราคำราม
“แต่แม่ก็ไม่น่าส่งนายชีพ นายเส่งไปบุกรุกบ้านเค้านะคะ”
“แกก็เหมือนกัน เกิดผีเข้าอะไรขึ้นมาถึงแอบไปประกันไอ้จีรณะ แถมยังจะยอมเข้าคุกแทนมันอีก”
ชีพเสริม “นั่นน่ะซิครับ ทำอย่างงี้ไอ้จีรณะมันจะได้ใจ ปลุกม๊อบชาวบ้านให้มากระด้างกระเดื่องกับเรา ต่อไปเราจะทำงานลำบาก”
โสภิตย้อนเอา “ที่นายชีพปีนไปขโมยของในบ้านเค้านี่ถือเป็นงานด้วยใช่มั้ย”
แม่เลี้ยงตัดบท “โอ๊ยพอๆ แค่นี้ฉันก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”
ยศค่อยๆ ลุกจะย่องหนี แม่เลี้ยงชี้หน้ายศ “เพราะแก แกมันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้”
ยศหงอปนงง “อะไรอีกล่ะครับ”
“น้องสาวแกเกือบติดคุกติดตะราง ฉันต้องตากหน้าไปขอความเมตตาจากคู่กรณีของแก แกนี่มันถอดแบบมาจากพ่อของแกไม่มีผิด”
พวงถือถาดใส่เหยือกนมสด พร้อมแก้วเข้ามาวาง
“สี่เท้ายังฮู้พลาด นักปราชญ์ยังฮู้พลั้งนะเจ้า แม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงของขึ้นอีก “คำคมนะนังพวง แกเป็นแม่ตายศมันหรือยังไง ปกป้องกันดีนัก”
พวงรีบถอยไปยืนข้างยศชีพถาม “แล้วที่แม่เลี้ยงตกลงกับมันล่ะครับ จะยอมมันจริงๆเหรอครับ”
แม่เลี้ยงมองหน้าโสภิตแกล้งบอก “ก็ต้องยอมมันน่ะสิ ถามได้”
โสภิตทำหน้าขรึม ยศมองๆ
ด้านจิตรานั่งอยู่บนเตียง อาโปจัดที่นอนตัวเองข้างล่าง
“คิดแล้วคุ้มนะพี่จิต อาโปโดนตบไปทีนึง นายโดนต่อยสามสี่ที แต่พวกชาวบ้านได้ลดดอกเบี้ย ได้ไร่นาทำมาหากินคืนจากแม่เลี้ยง”
“พี่จีต้องมาเดือดร้อนเพราะพี่แท้ๆ” จิตราครวญ
“ใครบอก พวกแม่เลี้ยงกับลูกต่างหากที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนแต่นายเก่งกว่าเอาชนะพวกมันได้ สะใจ”
“หวังว่าทุกอย่างคงจะจบลงด้วยดีซะทีนะ” จิตรากังวลไม่คลาย
ฟากยศแวะมาที่สนุกเกอร์คลับของพีรพงษ์ นั่งกินเหล้าหน้าเครียด มีพนักงานหญิงนวดไหล่ให้ พรพงษ์นั่งมองอยู่ตรงข้ามมีพนักงานหญิงนวดให้เหมือนกัน
“เพราะไอ้จีคนเดียว ทำให้แม่ด่าผมไม่เว้นแต่ล่ะวัน”
“คุณก็ต้องสร้างผลงานให้แม่เลี้ยงเห็น รับรองได้เป็นลูกชายคนโปรดแน่”
“ผมจะไปทำอะไรได้ ยิ่งคราวนี้ไอ้จีมันเล่นงานแม่ซะย่อยยับทุนหายกำไรหด หมดทางสู้กับมันจริงๆ”
“เรื่องมันเล็กนิดเดียวเอง อย่าคิดมาก มาสนุกกันดีกว่า ไป...เธอสองคนพาพี่เค้าขึ้นไปนวดข้างบน”
สองสาวโอบเอวโอบไหล่ยศออกไป
พีรพงษ์กดโทรศัพท์หาอมรา “สวัสดีครับแม่เลี้ยง ผมได้ข่าวว่าแม่เลี้ยงมีเรื่องไม่สบายใจ มีอะไรจะให้ผมรับใช้ก็บอกนะครับ”
โสภิตมารออมราที่ร้านอาหารตามนัด โทร.หาแม่เท่าไหร่ก็ไม่ติด หน้าเครียด จีรณะนั่งกอดอกมองขรึมๆ ชาวบ้านนั่งจ้องโสภิตเครียดตามๆ กัน จีรณะดูนาฬิกาข้อมือ
“เลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้วคุณ”
โสภิตหน้าจ๋อย “ติดต่อไม่ได้จริงๆ แม่ปิดโทรศัพท์”
บุญมีเอ่ยขึ้น “ตกลงจะเบี้ยวใช่มั้ย”
โสภิตฉุน “นี่ ถ้าฉันคิดจะเบี้ยว ฉันคงไม่มาหรอก”
“ผมสังหรณ์ตั้งแต่คุณไม่มาพร้อมกันกับแม่เลี้ยงแล้ว คุณจะเล่นลูกไม้อะไรอีก”
“หมอเลื่อนนัดเช็คร่างกายแม่กะทันหัน ฉันก็บอกคุณแล้ว”
บัวหอมสอด “แหม พอต้องลดดอกเบี้ย ให้หมู่เฮานี่โรคหัวใจกำเริบเลยเหรอจ๊ะ แม่คุณ”
ดาบม้วนปราม “เบาๆ เถอะ นังบัว”
“ฉันออกไปขับรถตามหาดีกว่า แม่อาจรถเสียก็ได้”
โสภิตลุกจะเดินไป ดุ่ย ตะโกนเรียก “เฮ้ย หนีไปเฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้นะโว้ย”
ชาวบ้านลุกขยับเข้าหาโสภิต “นี่ มันจะเกินไปแล้วนะ ฉันตกลงทำสัญญาใหม่เพราะเห็นแก่มนุษยธรรม แต่ถ้าจะข่มขู่กันแบบนี้ก็ขึ้นศาลกันเลยดีกว่า”
ชาวบ้านฮือฮาเสียงดังขรม ว่าอย่างงี้มันเบี้ยวกันทำท่าจะรุมโสภิต จีรณะ ดาบม้วนกับจ่าทอง เข้าห้าม
แม่เลี้ยงอมรา ชีพ กาบ เส่งเข้ามาพอดี “โอ๊ย ตายแล้ว มากันนานหรือยังจ๊ะ โทษทีนะ มาสายไปหน่อย หมอตรวจนาน”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรร้ายแรง...เอ้า แล้วมายืนกันทำไมตรงนี้ ไม่ไปนั่งโต๊ะสั่งข้าวปลามากินกันล่ะ ยัยภิต แม่บอกแล้วไงว่าให้ดูแลลูกค้าเราให้ดี”
โสภิต จีรณะ และ ทุกคนมองแม่เลี้ยงอึ้งๆ ในความหวานเกินเหตุ
ต่อมา โสภิต เดินแจกเอกสาร สัญญาเงินกู้ โฉนด ตามโต๊ะ ชาวบ้านดีใจ เปิดอ่าน ยกมือไหว้ท่วมหัวบ้าง กอดกันบ้าง อาหารเต็มโต๊ะ
ชีพเดินตามเป็นผู้ช่วยกับเส่ง และกาบ คอยชี้ส่งปากกาให้ชาวบ้านเซ็นชื่อท้ายสัญญา บรรยากาศชื่นมื่น ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
ที่โต๊ะอาหารมุมหนึ่ง จีรณะนั่งอยู่กับแม่เลี้ยงอมรา อาหารเต็มโต๊ะ จีรณะนั่งกินข้าวช้าๆ เหลือบมองแม่เลี้ยง
อมราบอก “กินเยอะๆ คุณจีรณะ บรรยากาศดีๆ อย่างนี้ มันเจริญอาหาร”
โสภิตเข้ามานั่ง “เรียบร้อยแล้วค่ะแม่ ทั้งที่หมู่บ้าน ในตลาด เหลือพวกชาวบ้านที่อยู่ในสวนในไร่อีกหกเจ็ดราย พรุ่งนี้ก็คงครบ”
จีรณะเอ่ยขึ้น “ผมต้องขอบคุณแม่เลี้ยง คุณโสภิตด้วยที่ช่วยให้ความกรุณาพวกชาวบ้าน”
“โถ ก็คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น ไม่ช่วยเหลือกันแล้วจะไปช่วยใคร จริงมั้ย ภิต”
โสภิตยิ้มขรึมๆ ไม่มองจีรณะ “ฉันเองรู้จักชื่อเสียงของครูเจือดี รู้สึกเคารพนับถือมานานครูเจือคงภูมิใจที่มีลูกชายอย่างคุณจีรณะ”
“แต่ผม จำได้ว่าคุณยศเคยเป็นลูกศิษย์พ่อผมอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถูกไล่ออกจากโรงเรียน”
แม่เลี้ยงอึ้งไป แต่ตีหน้าก็ยิ้มเศร้า“นั่นน่ะซิ น่าเสียดาย ตายศถูกพ่อตามใจจนเกเรไปพักหนึ่ง นี่ถ้าได้เรียนกับครูเจือนานกว่านี้ คงจะกลายเป็นคนดีศรีสังคมเหมือนคุณจี”
ชีพแอบทำหน้าเยาะๆ โสภิตมองเห็นนึกสงสัย อมราจ๊ะจ๋าต่อ “พูดก็พูด ฉันต้องขอโทษคุณจีด้วยนะ ที่ลูกชายฉันมันไปทำอะไรล่วงเกิน เหยียดหยามศักดิ์ศรีน้องสาวคุณจี”
“แม่คะ เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน อย่าไปพูดถึงดีกว่าค่ะ”
“โถ...ยัยภิต แม่ก็แค่อยากให้คุณจีอโหสิกรรมให้ตายศจะได้เลิกแล้วต่อกันซะที”
จีรณะรวบช้อน ลุกช้าๆ “ผมขอตัวไปคุยกับพวกชาวบ้านนะครับ”
“ตามสบายจ้ะ”
จีรณะยิ้มน้อยๆ ค้อมหัวให้อมรา แล้วเดินออกไป แม่เลี้ยงแสยะยิ้มตามจีไป
“แม่คะ ไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ”
แม่เลี้ยงตีหน้าตาย “ไม่มี ทำไมล่ะ”
“เปล่าค่ะ”
“เดี๋ยวถ้าเรียบร้อยแล้ว แม่คงจะกลับล่ะ เพลียๆอยากไปพัก”
“งั้นเดี๋ยวภิตไปจัดการค่าอาหารก่อนนะคะ วันนี้เราเลี้ยงเค้าใช่มั้ยคะ”
“ใช่ซิ”
โสภิตลุกไป แม่เลี้ยงหุบยิ้ม มองหน้าชีพอย่างรู้กัน
อ่านต่อหน้า 2
พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
จีรณะเดินมานั่งที่โต๊ะหมู่มวล อันมี จ่าทอง บุญมี ลุงคำปัน สายพิณ ป้ายิ้ม และบัวหอม โดยจีรณะนั่งชิดกับบุญมี ทุกคนกินอาหารกันสนุกสนาน ต่างมีซองเอกสารวางข้างๆ ตัว
“เอกสารสัญญาเรียบร้อยดีมั้ยครับ” จีรณะถาม
จ่าทองบอก “คุณโสภิตทำตามสัญญา ผมตรวจสอบกับพวกชาวบ้านแล้วครับ”
บุญมีชื่นชมจีรณะ “นายจีนี่แน่จริงๆ มันต้องอย่างงี้ซิวะ คนจนมันถึงจะมีศักดิ์ศรี”
“แต่ต่อไปเราต้องไม่ทำให้เค้ามาบังคับขู่เข็ญเราได้อีกนะครับ อยู่กันอย่างพอมีพอใช้ไม่ฟุ่มเฟือย จะได้ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใครเค้าอีก”
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมช่วยดูแลเอง” ดาบม้วนว่า
จ่าทองเห็นด้วย “ใช่ๆ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่ตรงนี้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย”
สายพิณเหน็บ “แหม ทีงี้ทำขึงขัง เสียงดังเชียวนะ จ่าไปเซ็นกู้แม่เลี้ยงก่อนเพื่อนเลย เฮาจำได้”
“เอาละครับ เรื่องที่แล้วก็ให้แล้วไปดีกว่า เรามาเริ่มกันใหม่”
“ใช่แล้ว เฮามาฉลองเพื่อชีวิตใหม่ พ่อจีจงเจริญ”
บัวหอมร้องนำ ทุกคนชนแก้วเฮฮา
อาโปอยู่ที่บ้านจีรณะ กดโทรศัพท์หาจีรณะที่เดินมาเข้าห้องน้ำ โทรศัพท์ดัง จีรณะหยุดหยิบโทรศัพท์มาดู หน้าตาสงสัยรีบกดรับสาย โสภิตเดินมาจะเข้าห้องน้ำ ได้ยินชะงักฟัง
“ว่ายังไงอาโป จิตราเป็นอะไรรึเปล่า”
อาโปยิ้มแฉ่ง “พี่จิตไม่เป็นอะไร อาโปอยากคุยกับนายเฉยๆ”
“ตกใจหมดเลย กลับบ้านแล้วค่อยคุยกันนะ”
จีรณะหน้าขรึม กดโทรศัพท์วางสาย พอหันกลับไปเจอโสภิต
“มาแอบสอดแนมอะไรอีกล่ะคุณ”
โสภิตชักสีหน้าใส่ “เรื่องของนายมันไม่น่าสนใจขนาดนั้นหรอก”
“อย่านึกว่า เรื่องของพี่คุณกับน้องผมจะจบง่ายๆ เรื่องหนี้ชาวบ้านก็เรื่องนึง ไม่เกี่ยวกัน”
“นี่นายอยากมาดองเป็นญาติกับพวกฉันขนาดนี้เลยเหรอ ไหนว่ารังเกียจนักหนา หรือเปลี่ยนใจอยากได้เงินค่าทำขวัญ แต่คงยาก ที่แม่ฉันทำไป มันก็มากพอสำหรับการประนีประนอมยอมความกันแล้ว”
โสภิตเดินเฉียดไหล่เขาไปเข้าห้องน้ำ จีรณะมองตามอย่างแค้นเคืองใจ
แม่เลี้ยงอมรากับชีพมอง พวกชาวบ้านที่เมากันถ้วนหน้า
“ดูพวกมัน กินกันเหมือนตายอดตายอยาก น่าเวทนา”
“ครับน่าสงสาร พวกแมงเม่า”
ดาบม้วนมึนๆ เดินเข้าไปคว้าไมค์ของทางร้าน ประกาศ
“สวัสดีครับ ผม ดาบทองม้วน ขอเป็นตัวแทนชาวบ้านทุกๆ คนขอบคุณแม่เลี้ยงอมรา ที่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อต่อชาวบ้านทุ่งทอง เปลี่ยนสัญญาเงินกู้อย่างเป็นธรรมให้กับพวกเรา พวกเราปรบมือขอบคุณให้กับแม่เลี้ยงอมราด้วยครับ”
เสียงปรบมือชาวบ้านดังสนั่นเป่าปากกันวี่วิด
แม่เลี้ยงอมราลุกขึ้นโค้งขอบคุณ โบกมือราวกับนางงาม
เสียงปรบมือเบาลง แม่เลี้ยงนั่งลง บุญมี เดินเซมาหาแม่เลี้ยง
“ชนแก้วกันหน่อยครับแม่เลี้ยง”
ชีพ กาบ และเส่ง ขยับจะขวาง แม่เลี้ยงโบกมือห้าม แล้วชนแก้วกับบุญมี
“ผมหลงเข้าใจผิดแม่เลี้ยงไปซะนาน ตะก่อนนึกว่าแม่เลี้ยงเป็นเจ้าหนี้หน้าเลือด ขูดรีดดอกเบี้ยคนจน ใจดำยิ่งกว่าใจหมา”
ชีพร้อง “เฮ้ย”
แม่เลี้ยงหน้าตึง จ่าทองพุ่งเข้ามา “แต่ที่จริงแล้ว แม่เลี้ยงใจกว้างยิ่งกว่าแม่น้ำ ปิง วัง ยม น่านมารวมกันซะอีก ใช่มั้ย น้ามี”
บุญมียิ้มกวนใส่ “ใช่ แม่เลี้ยงใจพระจริงๆ”
ทุกคนเฮฮา ตบมือ “ขอบคุณนะจ๊ะ ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์ชม เรามันคนบ้านเดียวกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่แล้ว ต่อไปมีอะไรก็มาหาฉันได้ไม่ต้องเกรงใจ”
บัวหอมร้องขึ้น “โอ๊ย คงบ่ไปแอ่วไปหาแล้วละเจ้า มันเข็ด”
ทุกคนหัวเราะเฮฮา แม่เลี้ยงกระซิบบอกชีพ “ ฉันจะกลับแล้ว”
“คุณภิตละครับ”
“ยัยภิตเอารถมา เดี๋ยวก็คงกลับ ขืนนั่งอยู่นี่ต่อไป ความดันฉันขึ้นแน่”
แม่เลี้ยงอมราลุกขึ้น
โสภิตออกจากห้องน้ำมาล้างมือ เงยหน้าเห็นจีรณะยืนมองอยู่ข้างหลัง ก็ตกใจ
“นี่ นายเข้ามาทำไม”
“คุณพูดมาเมื่อกี๊ ทำให้ผมคิดได้ ดองกับคุณก็ไม่เลวนะ”
โสภิตฉุน “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
“ถามจริงเถอะ ทำไมคุณถึงประกันตัวผม”
“ทำไม อยากขอบคุณเหรอ ไม่ต้องหรอกนะ เพราะเงินที่จ่ายไป ถือว่าฉันให้กู้ ฉันจ่ายเงินค่าประกันคุณไปสองแสน ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี” โสภิตหยิบเครื่องคิดเลขในกระเป๋ามากด “หารออกมาเป็นวันแล้วก็ได้....” แล้วยื่นให้ดู “คุณคืนฉันมาเท่านี้ พวกเศษทศนิยม ฉันไม่นับ ยกให้”
“ผมมันคนจน เงินแสนกว่าจะหาได้ คงนาน เอางี้ ผมยอมเป็นลูกเขยแม่เลี้ยง ดีกว่า หนี้จะได้หายกัน”
จีรณะเดินสืบเท้าใกล้มาอีก โสภิตถอยจนติดอ่าง “ถอยไป ไม่งั้นคราวนี้ฉันเอานายติดคุกหัวโตแน่”
“ผมเข้าคุกเพราะคุณมาสองครั้ง แล้ว เข้าอีกซักหนก็ไม่แปลก”
จีรณะเข้าไปชิดโสภิต โสภิตเงื้อจะตบ จีรณะจับทั้งสองมือรั้งไว้
“ร้องเลย วันนี้พยานเยอะด้วย เอาซิ”
สองคนหน้าชิดหน้า ต่างอึ้งกันไปพักหนึ่งเหมือนต้องมนต์ แล้วโสภิตก็ร้องกรี๊ดออกมาดังมาก จีรณะตกใจไม่คิดว่าโสภิตจะร้องจริงๆ
ดาบม้วนกะจ่าทองเดินเซกันมา มือถือช้อน ตะเกียบเป็นอาวุธ
โสภิตวิ่งออกมาเจอกับดาบม้วน “ผมได้ยินเสียงร้อง”
จ่าทองร้องถาม “เกิดอะไรขึ้นครับ คุณอัปสรโสภา”
ดาบม้วนท้วง “โสภิต!”
จ่าทองเรียกผิดอีก “คุณโสภิตอัปสร”
โสภิตบอก “อัปสรโสภิตค่ะ”
“ขอโทษครับ ตกลงคนร้ายอยู่ไหนครับ ในนั้นใช่มั้ย”
จ่าทองดันจะไปที่ห้องน้ำ
โสภิตกั้นไว้ “ไม่มีค่ะ ไม่มีคนร้าย”
ดาบม้วนงง “อ้าว”
“ในห้องน้ำมันมีหนูน่ะ ฉันตกใจก็เลยร้องเสียงดังไปหน่อย”
ดาบม้วนงง “อ้อ หนู....หนูพุก หนูหริ่ง หรือหนูนา”
“อ๊ะๆๆ ถ้าเป็นหนูนาก็สวยซิ” จ่าทองหมายถึงหนูนาที่เป็นดารา
โสภิตยิ้มฝืดๆ จีรณะแอบดูอยู่ มองทั้งสามเดินออกไปจากหน้าห้องน้ำ เดินออกมามองตาม
“ยัยนี่บ้าดีเดือดเหมือนกัน”
เช้านี้ ส.ส.คุณวุฒิ บิดาของพีรพงษ์นั่งในอยู่ห้องรับแขกแล้ว ขณะพีรพงษ์ลงมาจากชั้นบน
“สวัสดีครับพ่อ เครื่องมาถึงกี่โมงครับ น่าจะให้ผมไปรับ”
“คนขับรถเยอะแยะไป ฉันมาเตือนแก ตอนนี้รัฐมนตรีกำลังทำผลงาน แกต้องระวังธุรกิจของเรา อย่าให้พลาด”
“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ทีมงานของเราใจถึง พึ่งได้ไม่ซัดทอด”
พีรพงษ์กับพ่อแววตากร้าวมองไปที่ป่าบนเขา
“แล้วว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันล่ะ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
“ใจเย็นๆ ครับ ผมไม่ให้พ่อผิดหวังหรอก น้องอัปสรโสภิตเค้าสวย เสียแต่ดุไปหน่อย”
“รีบๆ หน่อยก็แล้วกัน แกก็รู้เลือกตั้งแต่ละครั้ง มันต้องใช้เงินจะสวยจะดุก็ต้องเอามาเป็นเมียให้ได้”
“ครับ”
ขณะเดียวกันที่บริเวณเพิงพักตัดไม้เถื่อนในป่าบนดอย ชาวบ้าน 2 คนช่วยกันมัด และคลุมผ้าใบไม้บนรถพ่วงอยู่ ผู้ร้าย 1 ยืนบนหัวรถลาก ผู้ร้ายอีก 3 คน พังเพิงพัก เตรียมหนี อีกคนเหยียบกองไฟทำอาหาร เพื่อทำลายหลักฐาน
ผู้กองเกียรติก้อง และกองกำลังตำรวจตชด. 5 คน โผล่หน้าตามพุ่มไม้ กระจายกันไป เล็งปืน
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่าขยับ เอามือวางบนหัว”
ชาวบ้านรีบทรุดนั่ง เอามือวางบนหัว
ผู้ร้าย 1 ยิงกราดไปตามพุ่มไม้ ตำรวจยิงสวนไปมา กับเหล่าผู้ร้ายที่ยิงไปหลบไป ชาวบ้านรีบคลานหลบใต้ท้องรถพ่วง ผู้ร้าย ถอยไป ยิงสวนไป กระสุนเฉี่ยว ต้นไม้ ใบไม้ใกล้ๆ เหล่าตำรวจ
ผู้ร้าย 1 ตะโกน “ปิดปาก มอดไม้ แล้วหนี เร็ว”
ผู้ร้าย 2 โผล่มาเล็งยิงชาวบ้านใต้รถพ่วง เฉียดไปมา ชาวบ้าน 1 มุดมาโผล่อีกมุมสบตากับผู้กอง ชะงักทั้งคู่
เกียรติก้องตกใจ “ตียู”
ผู้ร้าย 2 เล็งจะยิงใส่ตียู ตียูตะโกนบอก “ผู้กอง”
เกียรติก้องเล็งยิง ผู้ร้าย 2 กระเด็นหงายหลัง ตียู และชาวบ้านอีกคนหนีหายเข้าป่าไป
“อย่าตาม อย่าตามๆ” ตียูตะโกน
เกียรติก้อง และตำรวจค่อยๆ โผล่หน้ามาดู ผู้กองเข้าไปเตะปืนจากศพโจรท่าทีระแวดระวัง
“จ่าตุ๋ย จ่าชิด เฝ้ารถของกลาง ที่เหลือตามผมมา”
จ่าตุ๋ยเป็นห่วง “ระวังตัวนะผู้กอง”
เสียงปืนสองนัด ยิงลงตรงพื้นข้างเกียรติกอง ดินกระจาย ตำรวจหมอบกัน ผู้กองเห็นพุ่มไม้ไหว ผู้ร้ายโผล่หลบไปเห็นหลังไวๆ อยู่ไกลๆ
“ไปกัน” เกียรติก้องโผหลบหลังต้นไม้ ตำรวจดาหน้าตามติดแล้วหยุดหลบดู
ผู้กองเหลือบมองระวังภัย จะตามต่อ หันไปจะโบกมือให้สัญญาณ มองที่พื้นไม่ใกล้ไม่ไกล เห็นเถาวัลย์เล็กๆ ดูเฉาๆ ผิดปกติ
ผู้กองเกียรติก้องเพ่งมองไล่สายตาตามเถาวัลย์ เห็นลูกระเบิดพรางใบไม้
“กำลังพลถอย กับระเบิดๆ”
ตำรวจถอย หมอบ คลาน ระวังตัวกัน จ่าตุ๋ยคลานรวดเร็วตาเพ่งมองมุดเข้าพุ่มไม้ เกียรติก้องมองไล่เถาวัลย์มา พบว่าเอ็นกับระเบิดติดอยู่ที่ข้อรองเท้าบู้ทจ่าตุ๋ย
จีรณะขี่รถเข้ามามีลัดดาซ้อนท้ายมาตะโกนถาม “ว่าไง จ่าตุ๋ย”
จีรณะเดินเข้ามาหลังจอดรถ เหล่าตำรวจร้องห้าม “อย่า คุณจี อย่าเข้าไปๆ”
“ไอ้บ้าจี รีบหลบไป เร็ว เข้ามาทำไม”
จ่าตุ๋ยเหงื่อพราวเต็มหน้า เครียดหนัก “ผู้กอง คุณจี ถอยไป ระเบิดสลักหลุดแล้ว ผมประคองแก้วอยู่”
“ก็เอาออกมาซิ ประคองเอาไว้ทำไม” เกียรติก้องบอก
“มันโยงไปอีกสามลูก ไม่รู้อยู่ตรงไหนบ้าง ถ้าลูกนี้ขยับสายเอ็นจะดึงสลักลูกอื่นๆ สลักหลุด แก้วหล่นใส่หินที่มันวางเอาไว้ แก้วแตก ก็ตูม สามตูม รีบไปไกลๆ ผมเมื่อยแล้ว”
“ตายคนเดียว ก็ดังคนเดียวผมไม่ยอมหรอก” จีรณะว่า
เกียรติก้องชักกรรไกรจากซองเครื่องแบบ มีมีดพับ และอีกหลายอุปกรณ์ จีรณะพยักหน้ากับผู้กอง แล้วมุดเข้าไปพุ่มเดียวกับจ่าตุ๋ย
สามคนนับพร้อมกัน “หนึ่ง สอง สาม...”
ผู้กอง จีรณะ และจ่าตุ๋ย มุดหัวกระโจนสุดแรง ออกมาจากพุ่มไม้ไป ระเบิดสามลูกเรียงกัน 3 จุด ระเบิด ตูม ตูม ตูม ตามหลังมาติดๆ
ฟากจิตราสะดุ้งสุดตัว ดีดตัวลุกจากเปล เสียงโทรศัพท์ดัง นิตยสารที่วางบนตัวหล่น อาโปนั่งร้อยสร้อยอยู่สะดุ้งตาม จิตราตั้งสติ ควานหาโทรศัพท์ จิตรารีบกดรับสาย
เป็นยศที่โทร.มาจากคุ้มอมรา และกำลังพูดโทรศัพท์ “จิต พี่เอง จิตเป็นยังไงบ้าง พี่คิดถึงจิตนะ”
จิตราแค้น น้ำตาคลอไม่พูด เสียงยศดังลอดออกมา “พูดกับพี่ยศสักคำสิจิต...”
จิตรากดปิดทันที อาโปแปลกใจ “ใครโทร.มา ทำไมพี่จิตราไม่พูดละจ๊ะ”
“เค้าโทรผิดน่ะ” จิตราปาดน้ำตา เอาโทรศัพท์วางไว้ “พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
จิตราเดินไปเลย อาโปสงสัย
“โทร.ผิดแล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย”
ยศหงุดหงิดมากดูโทรศัพท์ในมือติดต่อจิตราไม่ได้ ยศรู้ตัวว่าผ่านห้องแม่เลี้ยงรีบเก็บโทรศัพท์
จอมเจ้าชู้เหลียวมองซ้าย ขวา ค่อยๆ เปิดลูกบิดประตู แง้มจะเข้าไป แต่ชะงักแอบดู เห็นเอื้องหยิบเงินในกระเป๋าพกเล็กๆ ของแม่เลี้ยง แบงก์พันสองใบ พับใส่ขอบเสื้อฉันใน เห็นเนินอกแว้บๆ ยศหน้าตาหื่น
เอื้องหยิบไม้กวาดหยากไย่ ไม้ขนไก่ทำงานต่อไป
ยศปิดประตูแผ่วเบาคิดแผนเข้าหาเอื้อง แต่พอหันไป เจอโสภิตถึงกับสะดุ้ง
“แอบดูอะไรในห้องแม่ พี่ยศ”
“เปล่านี่ พี่นึกว่าแม่อยู่ในห้องก็เลยจะเข้าไปคุยด้วย”
ยศเดินหนี โสภิตตาม “เรื่องอะไรคะ พี่ยศคงไม่ได้ไปทำเรื่องร้ายแรงอะไรมาอีกนะ”
“พี่จะมีปัญญาไปทำอะไร ตอนนี้แทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ ต้องคอยไปเดินตามยัยนิตยา น่าเบื่อชะมัด”
“คุณนิตยาเค้าก็สวย น่ารักดี พี่ยศไม่ชอบเหรอ”
“ชอบน่ะมันก็ชอบหรอก แต่มันเหนื่อยที่ต้องทำตามกฎเกณฑ์หยุมหยิมที่เค้าตั้งไว้ กลับดึกก็ไม่ได้ต้องถึงบ้านไม่เกินสามทุ่ม รู้จักกันมาตั้งนาน เพิ่งได้แค่จับมือ แบบนี้เมื่อไหร่จะเรียบร้อย”
โสภิตไม่พอใจ “พี่ยศ พอเลยนะ คุณนิตยาเค้าไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่พี่ผ่านมา ถ้ายังไม่ได้แต่งงานอย่าไปทำรุ่มร่ามกับเค้าเด็ดขาด”
“ธรรมชาติของผู้ชายมันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น พวกเรียบร้อยดูดีไม่ยุ่งกับผู้หญิง มันก็มีแต่ตุ๊ด พวกเกย์นั่นแหละ เธอมันหัวโบราณยัยภิต เล่นตัวมาก ระวังจะขึ้นคาน
“ภิตยอมขึ้นคานดีกว่า ต้องอยู่กับผู้ชายที่เห็นแก่ได้ มักมากในกาม นั่นน่ะ เป็นทุกข์ที่สุดของลูกผู้หญิง รู้ไว้ซะด้วย”
โสภิตเดินหนีไป ยศแค้น
ที่บ้านพัก ต.ช.ด. ของผู้กองเกียรติก้อง สภาพเป็นเพิงเล็กๆ แทบไม่มีเครื่องเรือนอะไร มีมุ้ง มีโต๊ะทำงาน วิทยุเล่นเทปเก่าๆ กับคาสเซ็ทเพลงลุกทุ่ง มีซองแฟซ่าห้อยอยู่กับกล้วย ครึ่งหวี
เกียรติก้องนั่งเครียดอยู่ ส่วนจีรณะรื้อตู้กับข้าวดู
“อะไรของแกวะ ข้าวสารเหลือสองถ้วย บะหมี่สามซอง ไข่สองฟอง ปลากระป๋องครึ่งกระป๋อง เปิดแล้ว ราขึ้นด้วย แกจะเสียสละให้ลูกศิษย์ให้ชาวบ้านฉันไม่ว่าซักคำ แต่ต้องดูแลตัวเองดีๆหน่อยสิวะ”
“ฉันเลือกมาเป็นต.ช.ด. เพื่อแผ่นดินนี้ชีวิตก็ให้ได้ อย่างอื่นเรื่องเล็กว่ะ แต่วันนี้ตอนปะทะกับพวกผู้ร้าย ฉันเห็นตียูอยู่กับพวกนั้น เกือบถูกพวกนั้นฆ่าปิดปากเอาด้วย”
จีรณะชะงักตาโต รีบเข้าไปนั่งฟัง
“ตียู พ่อของอาย้ง นักเรียนของเราน่ะเหรออยู่ในแก๊งตัดไม้ด้วย”
“ใช่ ตียูยังตะโกนเตือนฉันด้วยตอนที่หนีไปกับเพื่อนชาวเขาอีกคน”
“ถ้าได้ตัวตียูมาสอบสวนขยายผล เราอาจจะเข้าถึงผู้บงการใหญ่ หรือนายทุนของพวกมันได้”
ผู้กองตบไหล่จีรณะ “นั่นมันหน้าที่ของฉัน ฉันจัดการเอง เออ...จิตราเป็นยังไงบ้างดีขึ้นมั้ย”
“ฮือ ฉันถามเค้าก็บอกว่าไม่คิดอะไรแล้ว แต่อาโปบอกว่า จิตชอบนั่งเหม่อ คงยังไม่ลืมไอ้ชั่วนั่น”
“แกก็น่าจะพาจิตไปเที่ยวที่สวยๆงามๆ จะได้ลืมเรื่องเครียดๆ”
“ที่สวยๆ งามๆ จริงซิ” จีรณะนึกยิ้มออกมาได้
ยามเช้า จีรณะ เกียรติก้อง และอาโป พาจิตราขึ้นมาที่โรงเรียนบนดอย เวลานี้ทุกคนอยู่ตรงมุมสวยนอกห้องเรียน จีรณะนั่งถือกีตาร์ มีจิตราอยู่กลางลาน เด็กนักเรียนนั่งกระจายหน้าจิตรา
ผู้กองเกียรติก้องและอาโปนั่งแทรกเด็กๆ จ่าตุ๋ย ลัดดา และแหวน อยู่อีกมุม เด็กๆ มองจิตราตาแป๋ว
“สัตว์ป่าก็เหมือนพวกเรา มีพ่อมีแม่ มีลูก ที่ต้นไม้ใหญ่บนเขา” จิตราชี้ไปมุมหนึ่ง “มีนกขุนทอง พ่อแม่ลูก ทำรังอยู่บนกิ่งไม้ร่มรื่นวันหนึ่ง พ่อ แม่ นกบินออกหาอาหารมาให้ลูก แม่นก พ่อนกเหนื่อยก็เกาะกิ่งไม้พัก เด็กเกเรคนหนึ่งใช้หนังสติ๊กยิงถูกพ่อนก หล่นลงมาตาย แม่นกตกใจบินหนีไป ที่รังนกเด็กใจร้ายอีกคนปีนต้นไม้ขึ้นไปจับลูกนกขุนทองไปขาย แล้วแม่นกล่ะคะนักเรียน”
เสียงกีตาร์ดังขึ้น จีรณะร้องเพลงออกมา
“ตะวันตกดิน นกน้อยโผบินกลับรัง ห่วงลูกอยู่หลัง กลับรังรอคอย บินสู่รวงรัง มานั่ง เหงาหงอย ไม่เห็นลูกน้อย หยาดย้อยน้ำตา”
ผู้กองกะอาโปฟังเพลง มองคนที่ตนรัก
“เพราะจัง” อาโปว่า
เกียรติก้องบอก “สวย”
“นักเรียนต้องมีเมตตากับสัตว์นะคะ อย่าเป็นเด็กเกเรใจร้ายไปรังแกเค้า เราเป็นเพื่อนร่วมโลกกับสัตว์ ทั้งหลายค่ะ”
หมู่มวลนักเรียน เกียรติก้อง และ อาโปมองจิตราที่มีความสุข ด้วยความสบายใจ
ทั้งคู่เดินมาชมวิวสวยๆ จิตราเพลินมากยิ้มแย้มแจ่มใส
“เด็กๆ น่ารักดี จิตมาช่วยพี่ก้องสอนเด็กๆ ได้มั้ย”
“ได้ซิ ถ้าทำให้จิตมีความสุข”
จิตรามองหน้าผู้กอง แล้วเข้าไปใกล้ยื่นหน้าไปหา เกียรติก้องตัวแข็งทื่อ จิตราจับกระดุมบนของเกียรติก้องบ่นๆ
“กระดุมขาดอีกแล้ว”
ผู้กองหน้าแดง เขิน “เหรอ พี่ไม่ทันสังเกต”
“เดี๋ยวถอดให้จิตนะคะ จิตจะเอาไปซ่อมให้”
เกียรติก้องเกรงใจ “อย่าลำบากเลยจิต ไม่ต้องหรอก”
“ตั้งแต่เด็กจนโต พี่ก้องช่วยดูแลจิตมาตลอด แค่นี้ เล็กน้อย ให้จิตทำนะคะ”
เกียรติก้องซึ้ง “จิต พี่มีเรื่องอยากจะบอก คือพี่...” ผู้กองตั้งใจจะสารภาพรัก
อาโปวิ่งมาขัดจังหวะ “ผู้กอง คุณจิต นายบอกว่าต้องลงไปแล้ว เดี๋ยวจะค่ำ”
“จ้ะ” จิตราเดินไปเลย
อาโปมองเกียรติก้องงงๆ “ผู้กองเป็นไร หน้าแดงเชียว”
“แดดมันร้อน” เกียรติก้องเดินหนีไป
“ตะวันจะตกดินอยู่แล้ว ร้อนตรงไหน”
อาโปมองตามอย่างงงๆ
ขณะเดียวกันที่มุมร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิงในห้างประจำจังหวัด นิตยาหยิบจับชุดเสื้อผ้ามาดู พลิกหน้าหลัง อยู่ในร้าน
ยศหน้าซีดร้อนรน ยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ เหลียวมองล่อกแล่กไปนอกร้าน พยายามมองหาโสภิต
นิตยาชี้ชุด 4 ชุด พนักงานรีบหยิบมาถือ เดินนำนิตยาไปเข้าห้องลองชุด
ยศมองนิตยาเข้าห้องลองชุดรีบหยิบโทรศัพท์มากด รถเข็นของข้างๆ ยศ เต็มไปด้วยถุงใส่เครื่องสำอาง น้ำหอม โลชั่น
โสภิต เดินหน้าขรึมเข้ามาแตะไหล่ยศที่กำลังพยายามกดโทรศัพท์ยศสะดุ้งหันมามอง
“เลิกโทร.ได้แล้ว ภิตมาแล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรอีก เงินเดือนของพี่ยศ ภิตก็เพิ่งโอนให้นะ”
ยศยิ้มจืดๆ เบี่ยงตัวให้โสภิตเห็นของในรถเข็น
“นี่ซื้อไปใช้ หรือจะเอาไปขายกันแน่”
ยศเอานิ้วชี้จุ๊ปากยศ “พูดเบาๆ สิภิต ก็คุณนิตเค้าอยากได้แล้วแม่ก็บอกให้พี่ตามใจเค้า จะให้ทำยังไงล่ะ”
สักครู่หนึ่งพนักงานถือใบเสร็จ เดินเข้ามาหายศ โสภิตรีบเอาเครดิตการ์ดส่งให้พนักงานที่เคาน์เตอร์จัดการรูด เซ็นชื่อจนเสร็จกระบวนการ นิตยาเดินถือถุงเสื้อผ้าออกมา 4 ถุง เอาถุงเสื้อผ้าใส่ตะกร้ารถเข็น
“อ้าวคุณภิต มาได้ยังไงคะ”
“ภิต เอ้อ...ภิตมาเดินดูโน่นดูนี่ พอดีเห็นพี่ยศก็เลยเข้ามาทักเชิญคุณนิดกับพี่ยศตามสบายนะคะ”
“เอ่อ พี่กับคุณนิตก็กำลังจะกลับพอดี”
“แต่นิตหิวแล้ว อยากกินข้าวก่อน”
ยศซีด ดึงมือโสภิตไว้ “งั้นภิตก็ไปกินด้วยกันนะ”
“ภิตไม่หิว”
ยศคะยั้นคะยอ “ไม่ต้องเกรงใจน่า เมื่อกี๊ยังบ่นหิวอยู่เลย”
นิตยาชวน “ไปด้วยกันซิคะ”
ยศแอบทำตาวิงวอนบังคับโสภิตให้ไปด้วย โสภิตฝืนยิ้มยินดี
สี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงมุมหนึ่งในร้านอาหารเกาหลี อาโปเขี่ยกิมจิดู จีรณะบอก
“นี่เค้าเรียกกิมจิ ก็คือผักกาดจอดองกับผักอื่นๆ กินเยอะๆทำให้สุขภาพดี”
“กิมจิ อือ อร่อย นายก็ต้องกินเยอะๆ นะ จะได้แข็งแรง สู้กับพวกผู้ร้ายได้”
อาโปคีบกิมจิใส่ปากจีรณะ แต่จีรณะหลบเลี่ยงจิตราขำ
“พี่จีเค้าไม่ชอบกินผักดอง”
“อ้าว ก็มันมีประโยชน์แล้วทำไมไม่กินล่ะ”
“อย่าพูดมากได้มั้ย ให้กินก็กินเถอะน่ะ”
“เนี่ย พวกชอบบังคับคนอื่นจนเคยตัว” เกียรติก้องเย้า
“ใครจะไปว่าง่ายอย่างแก จิตให้ทำอะไรทำหมด”
ทุกคนขำกัน ผู้กองเขิน “พี่ก้อง กินเยอะๆ นะคะ จิตเห็นที่ครัวมีแต่ปลาเค็ม พอดีขาดสารอาหาร”
จิตราตักของให้เกียรติก้อง อาโปแกล้งเอาผักป้อนจีรณะอีก หัวเราะกันเฮฮา
โสภิต ยศ นิตยาเข้ามาเห็น 3 คนหยุดกึก หมู่มวลโต๊ะจีรณะหันมาเจอพวกโสภิตสบตากันไปมา
โสภิตเอ่ยขึ้น “ไปร้านอื่นดีมั้ยคะ ร้านนี้ควันเยอะ”
นิตยารู้แกว “ไม่เป็นไรค่ะ กินเสร็จค่อยไปสระผม ร้านที่นี่ก็มี”
“ใช่ ร้านนี้แหละดีแล้ว” ยศเสียงดัง “ผู้จัดการ ผู้จัดการ”
ผู้จัดการรีบเข้ามา “มีอะไรให้รับใช้ครับ”
“ผมขอเหมาร้านคุณกินอาหารกันแค่สามคนนี่เท่านั้น คิดเท่าไหร่ก็ว่ามา”
โสภิตชะงัก “พี่ยศ”
ชาวบ้านโต๊ะอื่นๆ มองมา ซุบซิบด่ากัน ยศยิ่งเสียงดัง “พี่อยากให้คุณนิตกินข้าวอย่างสงบๆ ไม่มีเสียงดังโหวกเหวก โวยวายให้หนวกหู
“ไม่เป็นไร คนเยอะๆ อบอุ่นดี เอ๊ะ แล้วนั่นรู้สึกจะเป็นพยาบาลที่แม่พี่ยศเคยแนะนำให้รู้จักนี่คะ”
นิตยาเดินเข้าไปทัก “สวัสดีค่ะ...จำฉันได้มั้ย เราเคยเจอกัน”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
จิตราลุกขึ้นยืนไหว้ หน้าซีด “ฉันชื่อนิตยา เป็นลูกสาวท่านนิยม ผู้ว่า ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ”
เกียรติก้องลุก “ยินดีครับ ผมเกียรติก้อง”
นิตยายิ้มหวานให้จีรณะที่กอดอกนั่งเฉย “ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวเพราะคุณยศรู้จักผมดีอยู่แล้ว”
ยศโกรธ “ว่ายังไงผู้จัดการ ให้โต๊ะอื่นออกไปให้หมด ผมลูกแม่เลี้ยงอมรา กับคุณนิตยาลูกเจ้าเมือง รู้จักรึเปล่า”
“รู้จักครับ แต่...ว่า คงไล่ลูกค้าคนอื่นไม่ได้หรอกครับ มันผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ละเมิดสิทธิ์เค้าด้วยครับ” ผู้จัดการว่า
โสภิตกระซิบปราม “พี่ยศ พอแล้วนะ อยากมีเรื่องเหรอ”
นิตยายิ่งสนุกใหญ่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้“เอาอย่างงี้ดีกว่า ไหนๆ ก็คนกันเอง เดี๋ยวฉันกับคุณยศ ขอ
เลี้ยงนะคะ ผู้จัดการ ขยายโต๊ะให้ที ขอร่วมโต๊ะด้วยคงไม่รังเกียจนะคะ”
ทุกคนอึ้งๆ
“ไม่รังเกียจครับ ดีซะอีก” จีรณะยิ้มเผล่ ลุกไปหาโสภิต “ผมก็กำลังคิดถึง คุณอัปสรโสภิตอยู่มีหลายเรื่องต้องคุยกัน เชิญๆ ครับ มานั่งข้างผมเลย”
โสภิตขืนตัว จีรณะยิ้มแป้นกวนตีน อาโป เถิบหนีงงๆ ผู้จัดการกวักมือให้บริกรเลื่อนโต๊ะอื่นมา
“ขอโทษนะคะ คือพอดี จิตรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอไปรอที่รถก่อน”
จิตราซวนเซเกียรติก้องโอบประคองจิตราเดินลิ่วไป
“จิต” ผู้กองบอกจีรณะ “เดี๋ยวฉันดูให้เอง”
ยศยิ่งโมโห โสภิตสะบัดจากจีรณะ นิตยาสังเกตเห็นยิ้มสะใจ
อ่านต่อหน้า 3
พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
นิตยากลับมาถึงบ้านพักจวนผู้ว่า ก็เม้าท์กับคุณนายนลินีผู้เป็นมารดาเรื่องยศอย่างดูแคลน
“นิตว่าแล้วไม่มีผิด พี่ยศกับนางพยาบาลคนนั้น ต้องมีอะไรกันมากกว่าที่แม่เลี้ยงกับพี่ยศพูด”
“คิดมากน่า ผู้ชายอย่างตายศมีทั้งทรัพย์สิน เงินทอง หน้าตาก็ไม่เลว ผู้หญิงที่ไหนก็อยากจะจับทั้งนั้นแหละ” นลินีว่า
นิตยาเบ้ปาก “โธ่ คุณแม่ไม่รู้อะไร ตัวพี่ยศพกเงินถึงสองพันหรือเปล่าไม่รู้ วันนี้นิตแกล้งช็อปแบรนด์เนมไม่กี่อย่าง เค้าต้องแอบโทร.เรียกน้องให้มาจ่ายเงิน กระจอก”
“เค้าอาจจะไม่ได้ตั้งตัว เงินพี่เงินน้อง มันก็ครอบครัวเดี๋ยวกัน นั่นแหละ” นลินีแก้ต่างให้
“แต่มันทุเรศนี่คะ คุณแม่ หล่ออย่างเดียว แต่ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ แถมยังเป็นอันธพาลด้วย สู้ผู้ชายที่นั่งโต๊ะเดียวกับนางพยาบาลนั่นก็ไม่ได้ ดูดีเชียวค่ะ ทั้งคู่เลย ดู
แมนๆ ลุยๆ เข้ม ขรึม สบตาแล้วร่างนิตแทบละลาย”
นิตยาตาเยิ้ม นลินีหยิกลูกสาวหมับ “ว่าแล้วไงแกนี่มันตาต่ำขุดไม่ขึ้น ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ฉันเลือกตายศให้แกแล้วเป็นอันจบ อย่ามาทำใฝ่ต่ำเหมือนในอดีตให้ฉันเห็นอีก เข้าใจมั้ยยัยนิต”
นิตยาเบ้ปากค้อนลมแล้งเอากับข้างฝา และเพดาน
ขณะเดียวกันทั้งหมดนั่งมาในรถที่จีรณะขับ ผู้กองนั่งคู่ ส่วนอาโปนั่งข้างหลังคู่จิตราที่เมินหน้าออกนอกรถ
“ลูกชายแม่เลี้ยง นี่เลวสุดเลยๆ นะนาย อยู่ดีดีจะมาเบ่งไล่เราออกจากร้าน ถือว่ามีเงินจะรังแกใครยังไงก็ได้ พี่จิตราไม่ต้องเสียใจหรอกที่เลิกกับเขาได้ คนแบบนี้ไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าต้นไม้ใบหญ้าอีก”
เกียรติก้องปราม “อาโป”
“ก็มันจริงนี่จ๊ะ สมน้ำหน้าลูกสาวผู้ว่า สวยซะเปล่า แต่ตาต่ำยิ่งกว่าตาตุ่ม อาโปทายเลยนะว่าต่อไป จะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะถูกทิ้ง”
“พอได้แล้วอาโป พูดจาแก่แดดใหญ่แล้วน่ะเรา เป็นเด็กเป็นเล็ก”
“อาโปโตเป็นสาวแล้ว ไม่เด็ก แล้วก็ไม่โง่ด้วย แต่อาโปไม่เข้าใจนาย ทำไมต้องไปดึงลูกสาวแม่เลี้ยงมานั่งโต๊ะด้วยเราเป็นศัตรูกันนะ เค้าร้ายกับนายจะตาย นายชอบเค้าเหรอ”
จีรณะโดนใจดำ เบรกรถหัวทิ่มกัน “เหลวไหล...อย่าพูดอะไรไร้สาระแบบนี้อีก”
“จิต เจ็บมั้ย” เกียรติก้องถามกังวลว่าหัวกระแทกหรือเปล่า
“ไม่ค่ะ จิตไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลย” สีหน้าจิตราดูออกว่าโคตรเจ็บที่ใจ
เกียรติก้องรู้สึกสงสารจิตราจับใจ
จีรณะเข้าออฟฟิศเอ็นจีโอแต่เช้า เขาอยู่ที่โต๊ะทำงานภีมะรุ่นพี่เอ็นจีโอ ที่กำลังยื่นซองเงินเดือนให้ “คุณทำงานเข้าตาผู้สนับสนุนของเรามาก แต่มีคำเตือนมาด้วย หลายเดือนนี้คุณบู๊มากไปหน่อย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ผู้ใหญ่เค้าเป็นห่วงกัน”
จีรณะไหว้ รับซองเงินไป “ขอบคุณครับพี่”
“เรื่องส่งเสริมอาชีพเสริมชาวบ้านล่ะ” ภีมะถาม
“ได้ผลดีในพวกไทยภูเขาครับ แต่ชาวบ้านพื้นราบไม่ค่อยตอบสนองเลย”
“รอผลผลิตตามฤดูกาล มันชักหน้าไม่ถึงหลังหรอก มันต้องทำเกษตรผสมผสาน พวกออแกนิก ไฮโดร...”
จีรณะลุกขึ้นพลางโบกมือ “อย่าพี่ เร็วไป แค่ให้ชาวบ้านรู้จักวิถีพอเพียงก็แย่แล้ว แต่ก่อนแทบทุกบ้านต้องเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เอาไว้กินไข่ ใครมีที่ทางมากหน่อย ก็มีบ่อปลา พืชผักสวนครัวไม่ต้องพูดถึง เดี๋ยวนี้ซื้อกินกันหมด”
ภีมะเซ็ง “เฮ้อ แบบนี้ชาวบ้านก็คงเป็นหนี้ทั้งชีวิต”
“ไม่หรอกพี่ รอดจากแม่เลี้ยงคราวนี้คงจะมีบทเรียนกันแล้ว”
จีรณะไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิด!
ฟากโสภิตเดินมามองรถเข็นกาแฟของบัวหอม หนานเทืองออกมาเห็น
“บัวหอมไม่อยู่หรอก คุณ”
“ฉันอยากมาซื้อกาแฟน่ะค่ะ ไม่ได้มาเก็บดอกอะไร” โสภิตว่า
“เค้าหยุดไปสองสามวันแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้น ขอเป็นน้ำอัดลมก็ได้”
โสภิตเข้าไปนั่งในร้าน มีชาวบ้าน นั่งกินกันประปราย บางคนหลบๆ ตาโสภิต รีบกิน ควักเงินวางแล้วรีบลุกไป บางคนอยู่ใกล้หนีไม่ได้ ต้องคุย
“ฉันจ่ายดอกเบี้ยไปเมื่อวานแล้วนะจ๊ะ” ชาวบ้าน 1 ว่า
ชาวบ้าน 2 บอก “ของผมครบกำหนดพรุ่งนี้ วันนี้ไม่มีจะให้หรอก คุณโสภิต”
ชาวลุกจะลุกกันหมดโสภิตห้าม “ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ได้มาเก็บดอกเบี้ยหรอกนะคะ มากินข้าวเฉยๆ”
แต่ไม่มีใครเชื่อ รีบกรูออกจากร้าน ชาวบ้าน 2 บอก “หนานเทือง ฉันเซ็นไว้ก่อนนะ”
หนานเทืองร้องเรียกไว้ แต่ไม่ทัน “เฮ้ย เดี๋ยว”
รถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด บัวหอมลงรถมาใส่ชุดสีฉูดฉาด ทองหยองเต็มตัว บัวหอมเห็นชาวบ้านหนีก็เรียกไว้
“เอ้าๆๆ จะรีบไปไหนกัน พ่อแม่พี่น้อง”
ชาวบ้าน 2 ทัก “โอ้โห น้าบัวหอมไปรวยอะไรมาครับ”
ชาวบ้าน 3 แซว “ถูกหวยล่ะสิ แหม...ได้เลขเด็ดก็ไม่บอกกันด้วย”
“หวยเหยอะไร อบายมุขเฮาเลิกหมดแล้ว ตอนนี้เฮาทำธุรกิจใหม่อยู่ เดี๋ยวจะแนะนำหื้อ” บัวหอมหันมาเห็นโสภิต “อุ๊ย คุณอัปสรโสภิต แหมกำลังอยากเจอเลย” พลางควักเงินออกมานับ “ของฉันจ่าย ดอกล่วงหน้าไปเลยสองเดือน”
โสภิตงงๆ “ฉันแค่จะมาซื้อกาแฟ”
บัวหอมคุยฟุ้ง “อ๋อ...ช่วงนี้ปิดร้าน ดีไม่ดีอาจจะเลิกเลย ขายกาแฟ กำไรมันน้อย ยืนชงเอวเคล็ด ได้ไม่กี่บาท เป็นหนี้เป็นสิน บ่ไหว”
บัวหอมยังควักเงินมาให้หนานเทือง “ค่าเช่าที่หน้าร้าน สองเดือน เอาไปเลย บ่ต้องทอน”
“ขอบใจ เฮาก็บ่มีเหรียญห้าสิบสตางค์เหมือนกัน ว่าแต่ ธุรกิจที่ว่า มันอะไร คงไม่ได้ขายพวกยาอี ยาไอซ์นะ” หนานเทืองเหน็บ
“บ้า เฮาทำธุรกิจ สุจริตโปร่งใส บ่เคยรีดไถ เอาเปรียบทำนาบนหลังคนหรอก กลัวกรรมสนอง”
บัวหอมเดินลอยชายออกจากร้าน โสภิตหน้าตึง กระแอมเหมือนจะสำลัก หนานเทืองมองอย่างเห็นใจ เอาน้ำเปล่าไปให้
“ขอบคุณค่ะ”
หนานเทืองเดินเข้าหลังร้าน
จีรณะเดินเข้าร้านมาเห็นโสภิตก็ชะงัก “คุณอัปสรโสภิตนี่เอง มิน่าวันนี้ร้านถึงไม่มีใครนั่ง ลูกแม่เลี้ยงมาเหมาร้านนี่เอง”
“หนานเทืองคะ ฉันวางเงินไว้นี่นะคะ”
จีรณะเข้าไปนั่งใกล้ “ทำไม ทนนั่งร่วมโต๊ะกับชาวบ้านไม่ได้เหรอครับ มันเหม็บสาบคนจนมากหรือไง”
โสภิตมองค้อนจีรณะวางเงินจนทำกุญแจรถหล่นไม่รู้ตัว รีบออกไป
หนานเทืองออกมาจากหลังร้านมองตามสองคน
โสภิตเดินหน้าเครียดมาที่รถ จีรณะเดินตาม
“คุณอัปสรโสภิต คุณ”
โสภิตโมโหหันมาจ้องหน้าจีรณะ “ตามฉันมาทำไม ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ”
“แต่ผมมี”
โสภิตล้วงหากุญแจรถ จีชูกุญแจให้ดู “หานี่อยู่เหรอ”
โสภิตคว้าไม่ทัน “นี่คุณขโมยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เอากุญแจรถฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เอาอีกแล้ว ทำคุณบุญชาโทษอีกแล้ว คุณทำมันหล่นผมเก็บได้ก็ตามเอามาคืน อยากจะได้ก็ขอดีๆพูดเพราะๆ ซิครับ”
โสภิตคว้ากุญแจพัลวัน จีหลบไปมา แล้วเอาไปกำซ่อนไว้ข้างหลัง
“นึกว่าฉันจะง้อเหรอ อยากโดนคดีลักทรัพย์ก็ตามใจ”
โสภิตเดินไปที่ถนนโบกรถ รถโกป๊อแล่นเข้ามา พอโสภิตชะโงกจะบอกจุดหมายปลายทาง สบตากัน โชเฟอร์ตกใจกลัวโดนทวงหนี้ ขับรถออกไปล้อดังเอี๊ยด
จีรณะยืนกำกุญแจกอดอกพิงรถโสภิตมองขรึมๆ
ต่อมา มีมอเตอร์ไซค์วินแล่นมา โสภิตโบก วินจอดแต่พอเห็นหน้าก็ตาเหลือก
“ลูกสาวแม่เลี้ยง!”
วินมอเตอร์ไซค์รีบเร่งเครื่องหนีไป อีกสองสามคันจอด พอเห็นก็หนีเตลิดไปเหมือนกัน
จีรณะเดินเข้าไปหาโสภิต
“เห็นรึยัง ถึงคุณจะร่ำรวยมีเงิน แต่เงินก็ซื้ออะไรทุกอย่างไม่ได้เสมอไป”
“ถ้าเงินมันไม่มีค่า แล้วคนพวกนั้นมากู้แม่ฉันทำไม ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าถูกเอาเปรียบ แต่ก็ยอม ไม่ใช่เพราะอยากได้เงินหรอกเหรอ ทำไมไม่คิดบ้างว่าถ้าไม่ได้เงินกู้จากแม่ แล้วจะเอาเงินที่ไหนกินไหนใช้”
“ก็เพราะเค้าไม่มีทางเลือก คุณก็น่าจะรู้ว่า เกษตรกร ชาวไร่ชาวนาบ้านเรามีสถานภาพยังไง เดี๋ยวฝนแล้ง เดี๋ยวน้ำท่วมกว่าจะเก็บเกี่ยว กว่าจะขายผลผลิตได้ เงินที่พวกคุณกินข้าวมื้อเดียว เค้าเลี้ยงคนได้ทั้งครอบครัว”
“ถ้ามันลำบากนัก ก็เปลี่ยนอาชีพซิ ไปทำอย่างอื่นที่มันได้เงินมากกว่านี้”
“คุณนี่มันเป็นนายทุนโดยสายเลือดจริงๆ เอาไว้ถึงวันหนึ่งที่ไม่มีชาวนา ไม่มีใครปลูกข้าว หาข้าวไทยกินไม่ได้ ต้องรอซื้อจากต่างชาติ แล้วคุณจะรู้สึก”
จีรณะจับมือโสภิตยัดกุญแจรถคืนให้แล้วเดินไป โสภิตมองตามครุ่นคิด
ที่อาคารพานิชย์ห้องแถวเดียว ชาวบ้านคุ้นหน้าราว 10 คน และชาวบ้านจากที่อื่นอีก 10 คน กำลังฟัง วิทยากร ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งโฆษณาประชาสัมพันธ์ ธุรกิจใหม่ มีผู้สื่อข่าว 3 สำนักมาทำข่าว ผู้ชายชื่อ กำพล ผู้หญิงชื่อนารี พูดจาคล่องแคล่ว ดูดีน่าเชื่อถือทั้งคู่
โดยในหมู่ชาวบ้าน นอกจากบัวหอม มีเสี่ยร้านทองอยู่ด้วย
บนจอที่ข้างฝามีแผนผัง เขียนชื่อประเทศในอาเซียน โยงไปยุโรป จีน อเมริกา มีวงกลมเขียนว่าอาณาจักรยางพารา กำพลอธิบายไปมา ชาวบ้านฟังหน้าเครียดไม่รู้เรื่อง แต่อยากได้ยิน
“อีกไม่เกินสามปี ไทยเราจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เมืองไทยเราเป็นศูนย์กลางของการปลูกยางพารา ซึ่งเป็นที่ต้องการของทั่วโลก บริษัทของเรารับซื้อยางพาราทั้งหมดในไทย มาเลและอินโด เราเห็นความสำคัญของพ่อแม่พี่น้องที่จะมาเป็นหุ้นส่วนของเรา”
กำพลพูดจาจบลง ไฟสว่าง นารี ถือกระเป๋าเอกสาร วางบนโต๊ะโพเดียมพูดต่ออย่างฉะฉาน
“สำหรับวันนี้ หุ้นส่วนที่พาหุ้นส่วนใหม่ๆ มาเพิ่มศักยภาพให้บริษัทของเรา คือคุณบัวหอมทางบริษัทขอแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการระดับมงกุฎเพชร ขอเชิญคุณบัวหอมมารับรางวัลด้วยค่ะ รถมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน เครดิตการ์ด แลกสินค้ามูลค่าห้าหมื่นบาท โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดเทคโนโลยีห้าจี
หนึ่งเครื่องค่า”
บัวหอมรับโทรศัพท์ เครดิตการ์ด ชายคนหนึ่งเข็นรถมอเตอร์ไซค์ออกมาให้
“สำหรับวันนี้หุ้นส่วนใหญ่ทุกท่านจะได้รับการปันผลกำไรจากการซื้อขายหุ้นยางพาราล่วงหน้า เป็นสร้อยคอทองคำหนักสองบาทค่า”
นารีหยิบสร้อยทองเต็มกำมือสองข้างขึ้นมาชู ชาวบ้านดีใจตบมือกันกราว
ขณะเดียวกัน แม่เลี้ยงอมราโทรศัพท์อยู่ในห้องโถง คู่สนทนาเป็นพีรพงษ์ หน้าตาแม่เลี้ยงยิ้มแย้มเบิกบาน
“งั้นเหรอ คุณพงษ์ มากขนาดนั้นเลย..ดีดี แหมป้าชักจะรอไม่ไหวแล้ว โอเคๆ รีบส่งข่าวนะ”
ยศเดินถือเอกสารเข้ามาหน้าเซ็งๆ แม่เลี้ยงถาม “ไปไหนมา”
“ก็ไปติดต่อโรงแรมเรื่องงานแต่งงานตามที่แม่สั่งน่ะซิครับ”
“ไหนให้แม่ดูหน่อยซิ” แม่เลี้ยงอมรารับเอกสารไปเปิดดู “ค่าอาหารบุฟเฟท์นานาชาติ ค่าต้นไม้ ดอกไม้ ตกแต่งสถานที่ค่านักร้องดนตรี รวมแล้ว แปดแสนหก แกจะบ้าเหรอตายศ”
“อ้าว ก็ไหนแม่บอกอย่าทำอะไรกระจอกๆ เดี๋ยวคุณนายดูถูกเอา อายเค้าไม่ใช่เหรอครับ”
โสภิตเข้ามาขัดจังหวะ “เถียงคำไม่ตกฝาก ไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป เคยไม๊ที่จะช่วยทำงานหาเงินเข้าบ้าน ไอ้ลูกล้างลูกผลาญ”
ยศเซ็งเดินออกไป “มีเรื่องอะไรเหรอคะแม่”
อมราส่งเอกสารให้โสภิตดู “งานแต่งตายศ ภิตมาดูซิ อย่าให้เกินสองแสนได้มั้ย”
โสภิตดูเอกสาร คิดไป พูดไป “โรงแรมสวยอยู่แล้ว ค่าตกแต่งต้นไม้ ดอกไม้ตัดทิ้งไปเลยบุฟเฟท์นานาชาติโละทิ้ง เสิร์ฟออเดิร์ฟข้าวเกรียบ ถั่วทอดกับข้าวเอาขนมจีนน้ำยา แกงอย่างผัดอย่าง ยำอย่าง ขนมฉันทองหยิบ ฝอยทอง ดนตรีใช้ชุดคอมพิวเตอร์คาราโอเกะของโรงแรมจบ ไม่ถึงแสนด้วยซ้ำ”
แม่เลี้ยงเยื้อนยิ้มพอใจ “เยี่ยมเลย สมเป็นลูกแม่” โสภิตทำหน้าเนือยๆ “ทำไมทำหน้าอย่างงั้น ไม่สบายรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ แม่ ข้างนอกมันร้อน”
ยศเข้ามาในห้องอย่างขุ่นมัว เตะโน่นเตะนี่ระบายอารมณ์โมโห
“เบื่อๆๆๆ โว้ย” ยศทิ้งตัวลงนอน
เอื้องเปิดประตูเข้ามาพร้อม ที่ถูพื้น ถังน้ำ “คุณยศ ขอสูมาเตอะเจ้า”
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่เธอก็ทำความสะอาดได้” ยศบอก
เอื้องวางถัง แล้วก็ถูพื้น ก้มๆ เงยๆ ยศนอนมอง พอเอื้องมาใกล้ ยศก็เหนี่ยวเอวหมับจนเอื้องล้มลงบนเตียง
“คุณยศจะทำอะไร อย่า...” เอื้องดิ้นขัดขืน
“ถ้าไม่อยากให้ฉันฟ้องแม่เรื่องที่เธอขโมยเงินก็อยู่เฉยๆ รับรอง เธอจะได้จากฉันมากกว่า”
ถูกยศกล่อม เอื้องอึ้งหยุดดิ้นทันที ยศกอดซุกไซ้ จนไม้ถูกพื้นหล่นร่วงจากมือเอื้องไปในบัดดล
บรรยากาศที่ตลาดยามเช้าวันนี้ คึกคักดังเช่นทุกวัน โสภิตขับรถมาจอดใกล้หน้าร้านขายชุดเสื้อผ้านักเรียน พอจะลงรถชะงักมอง เห็นลุงคำปันลูบคลำชุดนักเรียน คุยถามราคากับคนขาย แล้วยิ้มเศร้าเดินไป แม้ไม่ได้ยินเสียงโสภิตก็พอดูออก
โสภิตลงจากรถ เดินเข้าไปหาคนขาย “ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ลุงแกจะซื้ออะไรเหรอคะ”
คนขายบอก “ก็พวกชุดนักเรียนนี่แหละจ้ะ แกมาดูเกือบทุกวัน แต่ไม่มีเงินซื้อให้พวกหลานๆ ลูกสาวมาไข่ทิ้งเอาไว้ให้ทีละคนๆ แล้วก็ไม่กลับมาส่งเสียดูแล”
โสภิตคิดถึงคำที่โต้เถียงกับจีรณะวันก่อน
“ก็เพราะเค้าไม่มีทางเลือก คุณก็น่าจะรู้ว่า เกษตรกร ชาวไร่ชาวนาบ้านเรามีสถานภาพยังไง เดี๋ยวฝนแล้ง เดี๋ยวน้ำท่วมกว่าจะเก็บเกี่ยว กว่าจะขายผลผลิตได้ เงินที่พวกคุณกินข้าวมื้อเดียว เค้าเลี้ยงคนได้ทั้งครอบครัว”
“ถ้ามันลำบากนัก ก็เปลี่ยนอาชีพซิ ไปทำอย่างอื่นที่มันได้เงินมากกว่านี้”
“คุณนี่มันเป็นนายทุนโดยสายเลือดจริงๆ เอาไว้ถึงวันหนึ่งที่ไม่มีชาวนา ไม่มีใครปลูกข้าว หาข้าวไทยกินไม่ได้ ต้องรอซื้อจากต่างชาติ แล้วคุณจะรู้สึก”
ในรถโสภิตที่ขับแล่นเข้ามาในไร่ข้าวโพดของลุงคำปัน หล่อนเหลือบมองถุงเสื้อผ้า กระเป๋านักเรียนที่วางตรงเบาะข้างคนขับ มีชุดกีฬา รองเท้าด้วย มองไปเห็นเด็กๆ เล่นกันอยู่ที่คูน้ำข้างถนน
โสภิตเขม้นตามอง แล้วยิ้มดีใจ บีบแตรทัก
โสภิตรีบลงจากรถ รีบเดินอ้อมไปที่ประตูข้างคนขับ หยิบถุงออกมาพะรุงพะรัง โสภิตเอาก้นดันประตูรถปิด หันไปหาเด็ก โสภิตชะงักหน้าเสีย จำพวกเด็กๆ หลานชาย 2 หญิง 1 อายุ 6-8 ปี ของคำปัน ที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างถนนได้ติดตา
เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นผุดขึ้นมา โสภิตนั่งตกใจในรถ เห็นไฟไหม้ไร่ข้าวโพดลุงคำปันควันโขมง
เด็ก 2 เด็ก 3 ร้องไห้ฮือๆ “ใจร้าย เผาไร่ทำไม ฮือๆ”
โสภิต “ฉันเปล่านะ ฉันไม่รู้เรื่อง ฉัน...
โสภิตนั่งตกใจอยู่ มองเปลวไฟที่โหมไหม้ไร่ควันโขมง ชีพ กาบ และเส่ง วิ่งมาขึ้นรถ
ชีพบอก “มันไม่จ่ายหนี้ครับ
เปลวไฟสะท้อนที่กระจกรถ ที่กำลังเคลื่อนไป
โสภิตมองผ่านกระจกสะท้อนเปลวไฟ มองหน้าสบตาเด็กทั้งสามที่กำลังร้องไห้ ขวัญเสีย
“คนใจร้าย เผาไร่”
เสียงเด็กทั้ง 3 ที่ตะโกนใส่ ปลุกโสภิตอองจากภวังค์ หล่อนจ้องหน้าเด็กน้อยทั้ง 3 นิ่งๆ เด็กๆ ก้มลงเก็บก้อนหิน ซางข้าวโพด เขวี้ยงใส่
“เดี๋ยวก่อน หยุด”
โสภิตทิ้งถุง ปิดหน้าปิดตา แต่ก็โดนก้อนหินปาใส่ที่เหนือตีนผม โสภิตปิดป้องถลาเข้าไปจับเด็กได้สองคน อีกคนทุบก้นทุบขาโสภิต ปากพร่ำด่าอย่างไร้เดียวสา
“ใจร้าย คนใจร้าย นี่แน่ะๆ”
“ฟังฉันก่อนสิ”
จีรณะขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามา กดแตรใส่ รีบจอดแล้วลงจากรถ เด็กหยุด โสภิตปล่อยเด็ก
เด็กๆ วิ่งไปหลบหลังจีรณะ “หยุด นี่คุณมาทำอะไรเด็กๆ”
“ฉันไม่ได้ทำ”
มีชาวบ้าน 3 คน แอบมองอยู่ไกลๆ เด็กๆ ชี้โสภิต
เด็ก 1 ฟ้อง “ครูจี ยัยแม่มดคนนี้ จะเข้ามาเผาไร่ตา”
“ไม่จริง ฉันแค่จะมาเยี่ยม ดูซิ ฉันซื้อของมาให้” โสภิตบอก
จีรณะหยิบถุงที่กองๆ อยู่มาเปิดดู โสภิตมองเด็กๆ ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด จีรณะพูดน้ำเสียง เรียบๆ
“ช่วยไม่ได้ เด็กๆ เค้าจำความโหดร้ายอำมหิตของคุณได้”
โสภิตอึ้ง หน้าเศร้าลงไปอีก หล่อนขึ้นรถขับกลับไปทางเดิม เด็กๆ เข้าไปรื้อถุงดูของ ดีใจ
“เก็บถุงขึ้นมา แล้วมายืนเข้าแถวตรงนี้”
จีรณะทำหน้าดุกอดอก ชี้ตรงหน้าตัวเอง เด็กๆ หน้าจ๋อยเป็นแถบ หลบตาจีรณะหันไปสบตากัน แล้วมาเข้าแถวหน้าเขา
จีรณะนั่งย่อลงบนถนนยิ้มเล็กๆ “เด็กดีต้องไม่ทำร้ายคนอื่น ต้องรู้จักคำว่าขอโทษและการให้อภัย เข้าใจบ่”
จีรณะยิ้มกว้างลูบหัวเด็กๆ อย่างเอ็นดู
เด็กๆ ประสานเสียงสลอน “เข้าใจครับ” / “เข้าใจเจ้า”
เวลาต่อมา เพื่อนบ้าน ลุงคำปันและจีรณะนั่งคุยกัน ส่วนเด็กๆ ลองชุด และใส่รองเท้านักเรียนกันเป็นที่สนุกสนานเห็นไกลๆ
“เรียนพร้อมกันสามคนอย่างนี้ จ่ายค่าเทอมทีลุงคงเหนื่อยน่าดูนะครับ” จีรณะเอ่ยขึ้น
“ก็ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของพวกมัน ถ้าวาสนาพวกมันไม่ถึง ก็คงต้องให้ออกจากโรงเรียน มาทำไร่เลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันไป” คำปันปลงๆ
“คงไม่แย่ขนาดนั่นหรอกครับ อีกไม่นาน ก็ถึงเวลาตัดข้าวโพดขาย หักกลบลบหนี้แล้ว ลุงคงพออยู่ได้”
คำปันยกมือไหว้ท่วมหัว “สาธุ ขอให้เป็นอย่างพ่อจีพูดก็แล้วกัน ขอบใจมากนะอุตส่าห์ซื้อข้าวของมาให้พวกมัน”
จีรณะโบกมือปฏิเสธ “เอ้อ...ไม่ใช่ผมหรอกครับ ลูกสาวแม่เลี้ยงอมราเป็นคนเอามาให้เด็ก”
เด็ก 1 บอก “คนใจร้ายเผาไร่เอามาให้”
คำปันไม่เชื่อใจ “คนของคุ้มอมราไม่มาดีแน่ แม่เลี้ยงไม่เคยให้อะไรกับใครฟรีๆ หรอกแต่ชั่งมันเถอะพ่อจี” คำปันตบเข่าจีรณะ “อีกไม่นานนัก ลุงกับไอ้พวกนี้” แล้วหันไปมองเด็กๆ “คงจะหมดทุกข์หมดโศกกันซะที”
ลุงคำปันมองเด็กๆ ครุ่นคิด จีรณะมองคำปันด้วยความห่วงใยกลัวฆ่าตัวตายยกครัว
ขณะที่โสภิตขับรถมา จู่เกิดล้อรถแบน โสภิตจอดรถลงมาดูหน้าเสีย มองหาไม่เจอใคร
จีรณะขี่รถเข้ามาจอดข้างๆ ลงมาดู เขาก้มลงดูที่ล้อรถ หยิบตะปูเรือใบขึ้นมาดู
ชาวบ้านสามคนแอบดูอยู่ไกลๆ ถอยหนีเข้าไร่ไป
“น่าอิจฉา หน้าตาฐานะก็ดี มีแต่คนรุมรักทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ขนาดยางรถยังถูกวางเรือใบ”
โสภิตโกรธจ้องจีรณะเขม็ง ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดพวกนี้จะออกจากปากของคนที่ชาวบ้านเค้ายกย่องนับถือว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม มือถือสากปากถือศีลชัดๆ”
จีรณะตะลึงตาโตมองโสภิตเห็นเลือดไหลจากตีนผมหล่อนหยาดย้อยลงมาที่ขมับ จีรณะเดินเข้าประชิดตัว โสภิตตกใจตบหน้าจีรณะ แล้วชี้หน้า
“ถ้าขืนเข้ามาจะโดนอีกที”
จีรณะลูบแก้มไม่โกรธ ถอนใจเดินเข้าไปจนชิดตัวโสภิตอีก เอามือแตะขมับโสภิตเพ่งดู โสภิตเห็นเลือดที่มือเขา
“หัวคุณแตก เลือดไหล คงโดนหินที่พวกหลานลุงคำปันเขวี้ยงเอา”
โสภิตถอยห่างจากจีรณะหน้าเสีย เอามือมาแตะดูตรงแผลบนหัวป้อยๆ โสภิตใจเสีย แต่น้อยใจมากกว่า เห็นเลือดยังไหลเป็นทาง
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน คุณนั่นแหละให้ท้ายเด็ก ทำให้เด็กๆ ก้าวร้าว”
จีรณะทำหน้าจริงจัง “เลิกพูดได้แล้วคุณ ถึงแผลจะเล็ก แต่มันใกล้สมอง แผลอาจอักเสบติดเชื้อ ถึงตายได้เลยนะ”
โสภิตหน้าเสีย สบตากับจีรณะนิ่งๆ
ต่อมา จีรณะขี่รถมอเตอร์ไซค์วิบากคู่ชีพมาอีกมุมในไร่ โสภิตแตะเอวจีรณะอย่างเสียมิได้ รถเจอหลุมจีรณะเบรกรถ โสภิตหงายจะตกรถ จีรณะเอื้อมมือมาคว้าแขนให้เกาะเอวเขาไว้ได้
“เกาะไว้ อยากจะได้แผลเพิ่มอีกหรือไง”
จีรณะขี่รถไปจับมือโสภิตให้อ้อมมาโอบกอดที่ท้องตน โสภิตกอดร่างแนบติดหลังจีรณะ
ไม่นานต่อมา เห็นจีรณะนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าอนามัย ครู่หนึ่งโสภิตออกมากับพยาบาล จีรณะลุกเข้าไปหาถามอาการกับพยาบาล
“แผลเป็นยังไงบ้างครับ”
“นิดเดียวค่ะ อากาศมันร้อนเลือดเลยออกมาก เรียบร้อยแล้วค่ะไม่ต้องห่วง” พยาบาลเดินจากไป
“ขอบคุณที่พาฉันมาทำแผล”
“โอ๊ย...ไม่ได้สิ ผมต้องทำหน้าที่พลเมืองดีมีคุณธรรมให้ครบ”
โสภิตมองค้อนเล็กๆ แล้วมองผ่านไปหน้าอนามัยตรงถนน
ช่างบัติขับรถโสภิตเข้ามาจอด ลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดรอ โสภิตมองจีงงๆ
จีรณะอธิบาย “ผมให้ช่างไปดูรถให้คุณเอง ไม่ต้องงง”
ช่างบัติรีบเอากุญแจรถมายื่นให้จีรณะ เขารับกุญแจมา
“ขอบคุณครับช่างบัติ ค่าเสียหายกับค่าเสียเวลาเท่าไหร่ครับ”
โสภิตรีบล้วงเงินจากกระเป๋าออกมาแบงก์ห้าร้อยหนึ่งใบกับแบงก์ร้อยสี่ใบยื่นให้ช่างบัติ
ช่างบัติหยิบเงินสามร้อยจากมือโสภิต “แค่นี้ก็พอครับ ขอบคุณครับไปล่ะครับคุณจี”
ช่างบัติรีบไปไม่หันกลับโสภิตบอกอีก “เอาไปเถอะ ฉันให้”
โสภิตยื่นเงินค้าง
“คนเราไม่ได้เห็นแก่เงินกันทุกคนหรอกครับ แค่มีน้ำใจให้กันทุกคนก็มีความสุขแล้ว”
โสภิตเก็บเงินเข้ากระเป๋า แล้วแบมือตรงหน้า โสภิตมองกุญแจรถในมือเขา จีรณะยื่นกุญแจไปพูดไป
“คำว่าขอบคุณ คนพูดก็รู้สึกดี คนฟังก็มีความสุข”
โสภิตสบตาจีรณะหน้านิ่ง “ขอบ...คุณ”
โสภิตหยิบกุญแจรถจากมือชายหนุ่ม แล้วเดินไปที่รถ ขึ้นรถจะขับออกไป แต่จีรณะขวางหน้ารถไว้ โสภิตหงุดหงิด ลงจากรถ
“จะมาอบรมสั่งสอนจริยธรรมอะไรกับฉันอีก”
จีรณะเดินเข้าไปหาโสภิต ยื่นถุงยาให้ พลางส่งยิ้มให้เล็กๆ
“คุณลืมถุงยา”
โสภิตเขิน อึ้ง จีรณะจับมือโสภิตเอาถุงยาวางใส่มือ แล้วเดินไปขึ้นรถขี่ออกไปโสภิตมองตามอึ้งๆ
อ่านต่อหน้า 4
พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ขณะเดียวกันที่โต๊ะสนามจวนผู้ว่า คุณนายนลินีจดรายการสินสอดทองหมั้น ส่งให้แม่เลี้ยงอมราดู นิตยาอยู่ด้วย ชีพยืนกุมมืออยู่ไม่ห่าง แม่เลี้ยงอ่านไป กลืนน้ำลายไป
“มีอะไรขัดข้องมั้ยคะ” นลินีถาม
“โถ...หนูนิดก็เหมือนลูกสาวดิฉัน สินสอดทองหมั้นแค่นี้จะขัดข้องอะไรได้ล่ะคะ”
“ดิฉันได้ข่าวไม่ค่อยดีนัก เรื่องพ่อยศกับผู้หญิงที่เป็นนางพยาบาล แน่ใจนะคะ ว่าตบแต่งกับยัยนิดไปแล้วจะไม่มีปัญหาตามมา” นลินีหยั่งเชิง
อมราเลิ่กลั่ก “พยาบาล เอ๊ะ คนไหนกัน”
“ก็คนที่คุณป้าเคยแนะนำให้รู้จักน่ะคะ มีคนลือว่า ถึงขั้นพี่ยศจดทะเบียนสมรสด้วย” นิตยาบอก
อมราปฏิเสธลั่น “โอ๊ย ไม่จริงค่ะ ไม่จริง นังจิตราพยาบาลนั่นมันชอบตายศฝ่ายเดียว พอรู้ว่าตายศกับหนูนิดจะแต่งงานกันก็คงพยายามจัดฉากให้ตัวเองมีความสำคัญ แต่ก่อนก็พยายามยั่วยวนจะจับตายศต่างๆ นานา ตายศไม่เล่นด้วยก็เลยแค้นน่ะค่ะ”
“แต่เท่าที่หนูเห็น เหมือนพี่ยศกับจิตรายังจะมีเยื่อใยกันอยู่นะคะ” นิตยาว่า
แม่เลี้ยงเสียงสูง “ไม่มี้...ไม่มี ยัยจิตรานั่นแหละมาหลงใหลได้ปลื้มแต่ตายศเค้าจิตใจมั่นคงไม่อ่อนไหวอะไรกับใครง่ายๆหรอก สบายใจได้เลยจ้ะ”
อมรายิ้มใสซื่อ นิตยายิ้มน้อยๆ รู้ทันกับนลินี
อมราไม่รู้ว่าเวลานั้นยศกับเอื้องขยุกขยิกกันอยู่ใต้ผ้าห่ม โผล่หัวออกมาหัวเราะกัน แล้วซุกไซ้กันต่อ
แม่เลี้ยงอมราเดินหน้าเครียด เข้ามามรห้องโถงคฤหาสน์ ชีพตามถือกระเป๋าเอกสาร
“เครื่องเพชรสองชุด เงินสดห้าล้าน ทองหนักร้อยบาท แต่งแล้วถ้าไม่ได้ทุนคืนแกเตรียมจับอีคุณนายไปเรียกค่าไถ่ได้เลยไอ้ชีพ”
“เอาจริงเหรอครับ คุณนายผู้ว่าเชียวนะครับ” ชีพ
ชีพวางกระเป๋า แม่เลี้ยงด่า “ไอ้บ้า ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นแหละ ตายศอยู่ไหนพวง”
พวงเข้ามา “ไม่เห็นนะคะ ไม่ได้ไปกับแม่เลี้ยงเหรอคะ”
“ไปด้วยกันแล้วจะถามแกทำไมนังนี่”
มีเสียงเอื้องร้องกรี๊ดๆ วี้ดว้าย แว่วๆ เข้ามา ชีพ แม่เลี้ยง พวง เหลียวมองไปที่เพดานตรงห้องนอนยศชั้นบน
ประตูห้องน้ำเปิดเอื้องนุ่งผ้าเช็ดตัววิ่งออกมา ยศนุ่งผ้าเช็ดตัวเหมือนกันวิ่งไล่ออกมาอย่างสนุกสนาน ยศตะครุบตัวเอื้องได้ เอื้องดิ้นพองาม ผมเปียกโชกทั้งคู่
“อย่าเสียงดังเจ้า เดี๋ยวคนได้ยิน”
“ใครจะมาได้ยิน แม่ก็ไม่อยู่ ยัยภิตก็ไม่อยู่ เรามากู้อีจู้...”
เสียงเคาะประตูดังเข้ามา ยศกะเอื้องสะดุ้ง
เสียงแม่เลี้ยง “ตายศๆ เปิดประตู”
ยศกะเอื้องสบตากันเหวอๆ สักครู่หนึ่งมือยศปลดล็อกเปิดประตู อมรากับพวงเข้ามา ยศยืนหน้าตาเฉย ยังเหนื่อยจากการรีบแต่งตัว
เอื้องใส่เสือผ้านุ่งแล้ว แต่เสื้อกลับด้าน ถือไม้ขนไก่ หลบหน้าหลบตาปัดโน่นปัดนี่ ใส่หูฟังเพลง
“เรียกตั้งนาน ทำไมไม่เปิด”
แม่เลี้ยงมองผมยศกะเอื้องเห็นน้ำยังเปียกโชกพอกัน
“หลับอยู่ครับแม่”
“คงจะฝันร้าย แอร์งี้เย็นเฉียบเหงื่อลูกเต็มหัว”
แม่เลี้ยงอมราหันไปเห็นเสื้อชั้นใน เอื้องลุกทำเป็นตกใจที่เห็นแม่เลี้ยง จะเดินออกจากห้อง
“ได้เลือดพ่อมาจริงๆ จะไปไหนนังเอื้อง”
แม่เลี้ยงเอาเสื้อชั้นใน คล้องคอเอื้องกระชากหน้าหงาย ลากตัวออกไป
ยศรีบเกาะหลังพวงตามไป
แม่เลี้ยงอมราลากเอื้องลงมาที่โถง แล้วผลักลงกับพื้น พวงเดินนำยศเกาะหลังมา พวงพายศไปนั่งที่เก้าอี้ ชีพยืนอยู่มุมหนึ่ง
แม่เลี้ยงชี้หน้ายศ “แกจะเอาอย่างพ่อแกใช่มั้ยตายศ ดี...ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเลือดของแกมันจะสีเหมือนกันมั้ย”
แม่เลี้ยงหันรีหันขวาง ไปคว้าแจกัน พุ่งเข้าตียศ พวงเข้าขวางกอดยศเอาไว้ แจกันโดนไหล่พวง พวงทรุด
โสภิตเข้ามาพอดีตกใจมาก “แม่ ป้าพวง”
แม่เลี้ยงคว้าแจกันอีกใบยศกุมหัว“แม่ อย่าทำผม”
แม่เลี้ยงพุ่งเข้าหายศ โสภิตเข้ากอดจับแจกันเอาไว้
“อย่าค่ะแม่ๆ นายชีพเป็นบ้าเหรอ ยืนดูอยู่ได้ มาช่วยกันสิ ใจเย็นๆค่ะแม่ ใจเย็นๆ”
ชีพเข้ามาหยิบแจกันไป
“เกิดอะไรขึ้นคะแม่ พี่ยศทำอะไรผิดเหรอคะ” โสภิตประคองแม่นั่ง
แม่เลี้ยงอมราชี้ยศ “พี่ชาย แกมันเอานังเอื้องเป็นเมีย แม่จะเอาเลือดหัวมัน...”
อมราดิ้นจะลุก ยศวิ่งหนีออกไปเลย แม่เลี้ยงหน้ามืดซวนเซ โสภิตประคอง
“แม่ ใจเย็นๆ ค่ะ”
“เย็นไม่ไหวแล้วโว้ย ชีพไปลากคอไอ้ยศมาเดี๋ยวนี้”
ชีพวิ่งตามไป เอื้องสบโอกาสจะหนีด้วย
แม่เลี้ยงตวาด “นังเอื้อง”
เอื้องพนมมือไหว้“กรุณาเอื้องด้วยเถอะเจ้า ถึงยังไงเอื้องก็เป็นเมียของคุณยศแล้ว”
อมราชี้หน้าด่า ข่มขู่ “อย่ามาทำปากดีนังเอื้อง คนอย่างแกอย่าเผยอใช้คำว่าเมียกับตายศ ไสหัวไปซะ ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูใคร ฉันไม่เอาแกไว้แน่ถ้าจะเสี่ยงกับฉันก็ลองดู”
แม่เลี้ยงจ้องเอื้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เอื้องย้อนถาม “หมายความว่าเอื้องต้องเสียตัวฟรีๆ เหรอ”
“ตัวแกมันมีค่าอะไร หา มาขัดดอกยังไม่ทันหักหนี้ซักเท่าไหร่ อ๋อ นี่แกคิดฟันลูกชายฉันล้างหนี้ใช่มั้ย นังเอื้อง”
อมราทำท่าจะเข้าไปจิกกระบาล โสภิตโอบแม่ไว้
“แม่คะ เดี๋ยวหนูจัดการเองค่ะ”
เอื้องร้องไห้เงียบๆ สีหน้าแค้นจัดอยู่มุมหนึ่ง โสภิตเข้ามาหา
“ไม่น่าเลยนะเอื้อง เธอก็รู้ว่าแม่ฉันเป็นคนยังไง”
“ก็คุณยศบังคับเอื้อง ขู่เอื้อง”
“ขู่เรื่องอะไร”
“ก็ ก็ขู่ว่าถ้าบอกใครจะฆ่า”
“คนอย่างพี่ยศ ฆ่าใครไม่ได้หรอก แล้วนี่เค้าก็กำลังจะแต่งงาน เรื่องเธอกับเค้ามันคงเป็นไปไม่ได้”
“แต่ยังไงเอื้องก็เป็นเมียพี่ชายคุณแล้ว จะไล่เอื้องเหมือนหมูเหมือนหมาได้จะใด เอื้องบ่ยอม”
“เธอรักพี่ยศเหรอ” โสภิตจ้องหน้า เอื้องอึ้งๆ “แม่ฉันโกรธขนาดนี้ คงไล่พี่ยศออกจากบ้าน เธอเต็มใจไปกัดก้อนเกลือกินกับเค้าเหรอ”
เอื้องเห็นท่าไม่ดี “งั้นเอื้องขอค่าทำขวัญก็แล้วกัน”
“ได้เธออยากได้เท่าไหร่ ว่ามา ถ้าฉันให้ได้ ก็ไม่มีปัญหา”
โสภิตเดินหน้าเหี่ยวมาในห้องตัวเอง เสียงแม่เลี้ยงแว่วมาจากห้องนอน
“ไอ้ยศ มันทำฉันอีกแล้ว ไอ้ลูกทรพี”
โสภิตหน้าตื่นเปิดห้องแม่เลี้ยงเข้าไป เห็นพวงอยู่ด้วย “เอะอะ อะไรอีกคะแม่”
“กล่องพลอยก้อนหายไป”
“แม่หาดีแล้วเหรอคะ อาจจะลืมที่ลืมทางไปบ้าง ของแม่มีตั้งเยอะ”
“หาทั่วแล้วเจ้า พวกสร้อย แหวน ตุ้มหู ก็หายไปด้วย แต่เล็กๆ น้อยๆ เจ้า”
อมราโมโห “แต่พลอยก้อนนี้ มาจากมาดากัสก้า คนเอามาใช้หนี้ ก้อนนี้เป็นล้านเลย ถ้าเจียระไนแล้ว”
ชีพลากยศมาพอดี “ผมพาคุณยศกลับมาแล้วครับ”
แม่เลี้ยงแผดเสียงใส่ “ไอ้ยศ แกเอาไปใช่มั้ย แกขโมยพลอยฉันไปใช่มั้ย”
ยศงง “พลอยอะไร ผมเปล่านะ ผมไม่กล้าหรอก นังเอื้อง ต้องเป็นนังเอื้องแน่เลย ผมเคยเห็นมัน มาทำลับๆ ล่อๆ ในห้องแม่”
แม่เลี้ยงยิ่งโกรธ “แกใช้มันมาขโมยน่ะซิ ฉันจะฆ่าแก”
ยศป้องหัวหลบพัลวัน โสภิตกับพวง เข้าแยกอมราออกมาจากยศ
“แม่คะ เดี๋ยวก็ไม่สบายไปหรอก ค่อยๆ พูดกันเถอะค่ะ”
“นังเอื้องมันอยู่ไหน”
“ไปแล้วค่ะ รับเงินจากภิตแล้วก็ขนข้าวของไปแล้ว” โสภิตบอก
“เดี๋ยวผมจะไปลากตัวมันมาเอง คงยังไปไหนไม่ไกล”
ชีพรีบออกไป
บุญมี ดุ่ย ไทร และสายพิณนั่งกินก๋วยเตี๋ยว อยู่ที่โต๊ะหน้าร้านหนานเทืองที่กำลังปรุงให้ลูกค้า พวกชาวบ้านชายขี่รถมอเตอร์ไซค์ป้ายแดงเข้ามาจอด
ชายชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามานั่งโต๊ะติดกัน “หนานเทือง บะหมี่แห้งชามนึง”
หนานเทืองจัดการลวกเส้น “ยังไม่ถึงเวลาขายข้าวโพดเลย ออกมอเตอร์ไซค์ป้ายแดงซะ แล้ว ไปรวยอะไรมา”
“อ๋อ...ทำธุรกิจกับบัวหอมเค้า ซื้อขายหุ้นยางพารา ลงทุนไม่ถึงเดือนก็ปันผลแล้ว กำไรงามจริงๆ”
สายพิณทึ่ง “ขายยังไง มันถึงได้กำไรขนาดนั้น”
ชายคนนั้นควักสลิปบัญชีของบริษัทออกมายื่นให้สายพิณ 2-3 ใบ
สายพิณดูสลิปอย่างพิจารณา ชายเดิมบอกย้ำอีก “ก็ดูสิ วันนึงบริษัทเค้าซื้อมา ขายไปตัวเลขตั้งสิบๆ ล้านต่อวัน เห็นมั้ยมีสรรพากรหักภาษีครบ”
“เออ...จริงว่ะ มีเอกสารของตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงพานิชย์ด้วย”
หนานเทืองยกก๋วยเตี๋ยวมาให้
บุญมีชักคล้อยตาม “ถ้าอย่างนั้นก็น่าลองลงทุนดู หรือว่ายังไงหนานเทือง”
หนานเทืองเตือน “กาลามสูตร อย่าเชื่อเพียงเพราะได้ยินกันมา ถึงเห็นก็อย่าเพิ่งเชื่อ แม้แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์บอกก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อ”
ชายชาวบ้านบอก “สนใจก็นัดมา ข้าจะพาไปเอง”
เอื้องสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าวิ่งเข้ามาเลิ่กลั่ก สายพิณเห็นจำได้
“เฮ้ย นี่มันเด็กบ้านแม่เลี้ยงนี่หว่า มีอะหยังนังหนู หนีไผมา”
สายพิณรีบลุกไปหา เอื้องตีหน้าเศร้าละล่ำละลักบอก
“แม่เลี้ยง แม่เลี้ยงส่งคนตามล่าหนูมาจ้ะ ช่วยด้วย”
ชีพ กาบ และเส่ง เข้ามายืนเหลียวซ้าย แลขวาที่หน้าร้าน ขณะเอื้องไปซ่อนอยู่หลังตู้ก๋วยเตี๋ยว บุญมี ดุ่ย และไทร ลุกยืนบังให้
บุญมีตะโกนขึ้นมา
“ที่นี่ไม่มีลูกหนี้ให้เก็บดอกเบี้ยหรอกโว้ย ครบกำหนดตามสัญญาจะไปจ่ายเอง”
“กูไม่ได้มาเก็บดอก กูมาตามคน” ชีพเสียงดังใส่
กาบบอก “มันวิ่งเข้ามาในร้านนี้”
“เฮ้ย...ไม่เห็นมีใครซักคน จริงมั้ยพวกเรา” ดุ่ยว่า
หมู่มวลเงียบกริบ ชีพเสียงกร้าว “ค้นให้ทั่ว”
บุญมีผลักอกชีพที่เดินนำเข้ามา จากนั้น ชีพ กาบ เส่ง บุญมี ดุ่ย ไทร ก็เปิดฉากต่อยกันนัวเนีย หนานเทืองเข้าห้าม โดนต่อยกระเด็น
ชีพกับบุญมีล้มลุกคลุกคลานเข้าไปตรงที่เอื้องกับสายพิณซ่อนอยู่ เกือบจะเห็น จีเข้ามาตกใจ
“หยุด ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ อะไรกัน”
จีรณะเข้าจับคู่ชกต่างๆ แยกออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยหยุดกัน
“แยกย้ายกันไป ไม่งั้นผมเรียกตำรวจ”
“ถ้ารู้ว่าแกให้ที่ซุกซ่อนคนร้าย ฉันจะเอาเรื่องแกเหมือนกัน” ชีพขู่
ต่างฝ่ายต่างไป มองกันแค้นไปมา สายพิณจูงเอื้องออกมาสบตากับจีรณะ ที่มองงงๆ
จีรณะพาเอื้องมาที่สำนักงานเอ็นจีโอ มีสายพิณมาด้วยคอยปลอบ เอื้องทำเป็นซับน้ำตาสะอึกสะอื้น สายพิณนั่งกอดปลอบ จีรณะซักหน้าเครียด
“เธอแน่ใจนะว่าถูกนายยศข่มขืน”
“จ้ะ เค้าปล้ำหนูตอนเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนเค้า แล้วทำมาเรื่อยๆ พอแม่เลี้ยงรู้เข้าก็เป็นเรื่องไล่หนูออก คุณโสภิตเอาเงินมาให้หนู ห้ามไม่ให้บอกใคร ให้หนูหนีไปไกลๆ จากจังหวัดนี้ ไม่งั้นจะส่งลูกน้องมาข่มขืน แล้วเอาหนูไปขายซ่อง”
เอื้องใส่สีสุดฤทธิ์ กอดซบสายพิณร้องไห้น่าเวทนา สายพิณสงสารจับใจ
“ธัมโม สังโฆ จิตใจโหดร้ายขนาด”
“เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอเอง”
จีรณะหน้าเครียด
แถวๆ หน้าเรือนพักตำรวจเวลานั้น บัวหอม ซึ่งนามนี้เครื่องประดับเพียบ ยืนข้างรถมอเตอร์ไซค์ป้ายแดงที่จอดอยู่ใกล้ๆ บัวหอมกล่อมอธิบายจ่าทอง ให้ดูตารางการลงทุน
จ่าทองทึ่ง “ผลตอบแทนขนาดนี้เลยเหรอน้า”
“ก็เออสิ ลำพังเงินเดือนพี่ม้วนกับกำไรขายกาแฟโอเลี้ยงอย่างน้าจะเอาเงินที่ไหนมาออกรถป้ายแดง ซื้อทองซื้อหยองได้เต็มตัวขนาดนี้ ถ้าสนใจน้าจะพาไปที่บริษัทด้วยกัน”
จ่าทองนิ่งคิด จีรณะขี่รถมอเตอร์ไซค์จะเข้ามาที่หน้าโรงพักเจอพอดี
“จ่าทอง ผมจะมาแจ้งความ”
ด้านเอื้องเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานภีมะ รุ่นพี่เอ็นจีโอของจีรณะ หยิบพระเลี่ยมทองขึ้นมาดู พนมมือไหว้นอบน้อม แล้วรีบยัดพระเข้าอกเสื้อ ภีมะเดินมา เอื้องทำเป็นไปนั่งอ่านหนังสือ
“หิวหรือยังล่ะ ฉันมีข้าวผัดในช่องฟรีซ เข้าไมโครเวฟก็กินได้เลย”
“ไม่หิวจ้ะ เอื้องขอออกไปซื้อของใช้หน่อยนะจ๊ะ”
“จะดีเหรอ เดี๋ยวเจอคนของแม่เลี้ยงเข้าจะลำบาก”
“ร้านอยู่ตรงนี้เอง คงไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ”
โทรศัพท์ที่โต๊ะดังภีมะรับ เอื้องถือโอกาสปลีกตัวออกไป
เอื้องออกมาจากร้านทองเดินยิ้มเผล่ ขยับเสื้อชั้นใน ที่ซ่อนเงินเอาไว้ ชีพเห็น ชี้ให้กาบ เส่ง ดูเอื้อง แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเอื้อง โสภิตยืนดูอยู่หลังกลุ่มของชีพ
เอื้องเห็นชีพกับสมุนก็วิ่งหนีไปอีกทาง อาโปยืนกินไอติมอยู่แถวนั้นมองตามอย่างตื่นเต้น
เอื้องวิ่งมาตรงสามแยกตลาด เจอชีพดักอยู่หันไปอีกทางเจอกาบ และเส่ง พอหันไปอีกทางก็เจอโสภิตยืนอยู่ เอื้องหันกลับเจอชีพตบเซไป โสภิต ดุ ชีพ เดินเข้าหาเอื้อง พูดดีๆ ด้วย
“อย่าทำร้ายเอื้อง ไปเอื้องกลับไปคุ้มด้วยกัน เราคุยกันดีๆ ได้”
โสภิตดึงตัวเอื้องโดยเอื้อมมือให้ยึด เอื้องเหวี่ยงกระเป๋าสะพายตีโสภิตเต็มๆ โสภิตกระเด็นไป ทั้งเจ็บทั้งมึน
“กล้าทำร้ายคุณภิต เหรออีเอื้อง”
ชีพโมโห ตบเอื้องกระเด็นไป กาบกะเส่ง เข้าล็อกแขนเอื้องคนละข้าง
ชีพเข้าไปจิกหัวเอื้อง เงื้อหมัดจะต่อย จีรณะโผล่มากระโดดถีบ ยกเท้าเข้ามาก่อน โดนสีข้างชีพกระเด็น
กาบกะเส่งเข้ามารุมเป็นที่ชุลมุนวุ่ยวาย จีรณะเตะต่อยสู้เต็มที่
เอื้องได้ทีวิ่งหนี โสภิตไล่ตามไปดึงสายสะพายกระเป๋า เอื้องล้มลุกคลุกคลาน
จีรณะเสียท่าโดนต่อยทรุดกับพื้น ชีพคว้าไม้เงื้อสุดแขนหมายหัวจีรณะ เสียงนกหวีดปรี๊ดขึ้น ทุกคนหยุดหันไปมองตามเสียง
เห็นจ่าทองกับกำลังตำรวจเข้ามา อาโปตามมาชี้วุ่นวาย
จ่าทองตะโกน “หยุด ทิ้งไม้ไอ้ชีพ”
อาโปเข้าไปประคองจีรณะลุก ชีพ กาบ และเส่ง เดินไปอยู่หลังโสภิต
จีรณะกับโสภิต สบตากัน หอบเหนื่อยกันทั้งคู่
ด้านอมรากินข้าวอยู่กับยศที่คฤหาสน์ ยศตักโน่นนี่ เอาใจแม่ แต่แม่เลี้ยงไม่สนใจ พวงหน้าตื่น เดินนำสารวัตร และดาบม้วนเข้ามา
แม่เลี้ยงยิ้มร่าทักทาย “อ้าวสารวัตร เชิญๆ กินข้าวด้วยกัน จับนังเอื้องได้แล้วใช่มั้ยคะ ยัยภิตนี่เก่งจริงๆ ไม่เหมือนแกมีแต่เรื่องชั่วๆ”
“เชิญคุณยศไปสถานีตำรวจกับผม มีคนแจ้งความกล่าวหาว่าคุณยศข่มขืนกระทำชำเราครับ”
“อีเอื้อง”
แม่เลี้ยงอมรารำพึง แค้นแทบกระอัก ยศซีด
ทุกคนอยู่บนโรงพัก จีรณะ อาโป และเอื้อง นั่งอยู่อีกทาง แม่เลี้ยงอมรา ยศ และโสภิต นั่งอยู่อีกทาง ชีพ กาบ เส่ง อยู่หลังแม่เลี้ยง
“เอื้องก็ไหนตกลงกันแล้ว อยากได้เงินฉันก็ให้ไปแล้ว ทำไมเอื้องทำอย่างนี้ ขโมยของแม่ทำไมเดี๋ยวก็ติดคุกหรอก”
จีรณะสวนขึ้น “คุณมาข่มขู่คู่ความได้ยังไง”
จ่าทอง กะดาบม้วน ยืนที่โต๊ะมีกระเป๋าเอื้องวางอยู่ เสื้อผ้าสิ่งของกองอยู่ข้างๆ แม่เลี้ยงชี้เอื้องยื่นรายการของให้สารวัตรดู
“อีเอื้องมันขโมยของที่บ้านฉัน นี่คือรายการของที่หาย ส่วนเรื่องตายศข่มขืนมัน มันแก้เกี้ยว โกหกกลบเกลื่อนความผิดค่ะ”
เอื้องเถียง “หนูไม่ได้โกหก คุณยศข่มขืนหนูตั้งสองวัน หนูไม่เคยผู้ชาย เอาหนูไปให้หมอ ตรวจก็รู้ คุณยศมีไฝด้วย จะแก้ผ้าพิสูจน์มั้ยล่ะหนูจะได้บอกว่าไฝอยู่ตรงไหน”
สารวัตรตัดบท “ไม่ต้องๆ พอๆ คุณยศล่ะครับว่ายังไง”
“ผมไม่ได้ข่มขืน เอื้องเข้ามายั่วยวนผมในห้องนอนเอง” ยศโพล่งขึ้น
หมู่มวลหันขวับไปมองยศ “อ้าว...ไอ้นี่” แม่เลี้ยงตบกบาลยศ
ยศเจื่อนๆ แม่เลี้ยงลุกไปที่กระเป๋าเอื้อง คุ้ยของ
“ไม่รู้ล่ะ แต่มันขโมยของฉันของอยู่ไหน”
ดาบม้วนบอก “เราค้นละเอียดแล้วครับ ไม่เจออะไร”
“ข่มขืนกระทำชำเรา กังขังหน่วงเหนี่ยววันนี้ทำร้ายร่างกาย” จีรณะพูดแล้วลุกขึ้น แม่เลี้ยงเลิ่กลั่กจับแขนโสภิต เขาบอกต่อ “เพิ่มอีกกระทง เราจะเอาคนผิดเข้าคุกให้ได้ เอื้องไม่ต้องกลัว”
“นายชีพ ไปเอากระเป๋าเอกสารในรถมา เราขอปฏิเสธทุกข้อหา” โสภิตลุกขึ้นแล้วพูดต่อ “เราจะประกันตัวแล้วไปให้การในฉันศาล”
โสภิตสบตานิ่งกับจีรณะ
จีรณะกะ อาโป เดินเข้าบ้านมา จีรณะนั่งครุ่นคิด
“เดี๋ยวอาโปไปเอาน้ำเย็นมาให้นะนาย” อาโปรีบไป
จิตราลงมายิ้มแย้มทักทาย “หิวมั้ยพี่จี ให้จิตทำอะไรให้กินมั้ย”
“ไม่ล่ะจ๊ะ เธอไปพักผ่อนเถอะ ถ้าอยากกินอะไร พี่ให้อาโปทำให้ก็ได้”
อาโปยิ้มถือน้ำมาให้จีรณะ
จิตรายิ้มจับหัวอาโปเล่น “ชักสงสัยซะแล้ว อาโปมาอยู่ดูแลพี่ หรือว่ามาคอยดูแลพี่จีกันแน่”
“ดูทั้งสองคนเลย เออ...วันนี้อาโปกับนายเจอกับนายยศด้วยสมน้ำหน้ามัน”
จิตราชะงัก จีรณะสบตาอาโปให้หยุดพูดๆ“พี่ยศ ทำอะไรเหรอจ้ะ”
“ก็เลวเหมือนเดิม ปล้ำคนใช้ แล้วก็กล่าวหาว่าขโมยของในบ้านแม่เลี้ยง งานนี้คงรอดยาก” จีรณะบอก
“ดีแล้วที่พี่จิตเลิกยุ่งกับคนเลวๆ อย่างนั้นได้ ไม่งั้นคงปวดหัวน่าดู”
จิตราฝืนยิ้มให้ “จิตขอตัวไปนอนก่อนนะจ้ะ”
จากนั้นจิตราก็ขึ้นบ้านไป อาโปกับจีมองตาม
อาโปมองจีรณะ ขณะเขาพูดบ่นเบาๆ “จำเอาไว้เป็นบทเรียนนะอาโป เราเป็นผู้หญิงจะรักใครชอบใครต้องมีสติ อย่าให้ใครมาหลอกเราง่ายๆ แล้วจะเสียใจทีหลัง”
“อาโปไม่มีวันเสียใจหรอกนาย เพราะนายเป็นคนดี พออาโปแต่งงานกับนาย นายไม่มีวันทำให้อาโปผิดหวังแน่ๆ”
อาโปยิ้มจีรณะส่ายหัว เหนื่อยใจ
“ไป...ได้เวลานอนแล้ว อาบน้ำแล้ว อย่าลืมแปรงฟันนะอาโป”
จีรณะดื่มน้ำหมดแก้วลุกไป อาโปยิ้มมองตาม
ภีมะรื้อข้าวของกองเต็มโต๊ะ เขี่ยโน่นค้นนี้วุ่นวาย จีรณะเข้ามางงๆ
“อะไรหายเหรอพี่”
“พระเลี่ยมทองหาย คุณแม่พี่เป็นคนให้มาด้วย”
“เอ๊ะ...เมื่อวานมีใครเข้ามาที่นี่บ้างพี่”
“นอกจากพวกเรา ก็มีเอื้องคนเดียว” ภีมะบอก
จีรณะอึ้งครุ่นคิด จ่าทองดาบม้วนเดินเข้ามาพอดี “แย่แล้วคุณจี เด็กเอื้องมันขโมยของแม่เลี้ยงจริงๆด้วย ได้ของกลางครบเลย แถมพระเลี่ยมทองของใครไม่รู้อีกองค์”
จีรณะทรุดนั่งกับเก้าอี้ ภีมะดีใจ ยกมือไหว้บนบานปากขมุบขมิบ
จ่าทองบอก “คุณโสภิตจำได้ว่าเมื่อวานเห็นเอื้องแถวร้านทอง พาตำรวจไปเจ้าของร้านรีบให้ความร่วมมือเลย กลัวโดนจับรับของโจร”
จ่ากับดาบเหลียวมองไปทั่วๆ สำนักงาน “แล้วนี่คุณจีเอาเอื้องไปไว้ที่ไหน ผมจะจับมัน”
จีรณะลุกพรวด “เปล่า ผมไม่ได้เอาตัวเอื้องไปไว้ที่ไหน”
เสียงวิทยุตำรวจดัง “คดีลักทรัพย์ คุ้มอมรา ขณะนี้จับผู้ต้องหาได้แล้ว นำส่ง สอ.พอ.ตอ. เวลานี้”
“จับได้แล้วครับ”
ฟังที่ดาบม้วนบอก จีรณะอึ้งไปถนัดตา
อ่านต่อตอนที่ 4