วิมานมะพร้าว ตอนที่ 1
ป้าย “ปิดกิจการ” ขนาดใหญ่ ขึงติดอยู่ที่ประตูโรงงานแห่งหนึ่ง คนงานออกันอยู่ที่ประตู มีรปภ.คุมสถานการณ์อยู่ 1 คน คนงานส่งเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่อย่างไม่พอใจ
จุลลาขี่รถซุปเปอร์ไบค์ ใส่กางเกงยีนส์ แจ็กเก็ตหนัง สวมถุงมือ หมวกกันน็อคมาตามถนน คนงานเริ่มกรูเข้าไปพังประตูโรงงาน จุลลาขี่รถมาถึงหน้าโรงงานเห็นความวุ่นวายรีบจอดรถ
คนงานยังคงพยายามจะเข้าไปในโรงงานให้ได้ รปภ. พยายามป้องกันสุดชีวิต จุลลาถอดหมวกกันน็อกแขวนไว้ที่แฮนด์มอเตอร์ไซค์ จุลลาที่รวบผมดูทะมัดทะแมง แต่งหน้าอ่อนๆ สวยใส มองดูเหตุการณ์อย่างตกใจ แล้ววิ่งเข้าไปพลางร้องตะโกน
“ใจเย็นๆ ก่อน เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ คุยกัน อย่าใช้ความรุนแรง!”
“นายช่าง จู่ๆ เค้าก็ปิดโรงงาน ไม่แจ้งพวกเราสักคำ”
“เฮ้ย ปิดโรงงาน” จุลลาตกใจ เลิกใจเย็นซะเอง “พังเข้าไปเลย!”
จุลลาวิ่งแทรกตัวเข้าไปอยู่แถวหน้า ถึงประตูโรงงาน เห็นป้ายผ้าเต็มตา “ปิดกิจการ” จุลลาปี๊ด รปภ.คนหนึ่ง วิ่งออกมาจากในตัวโรงงานพร้อมโทรโข่งและเก้าอี้ รปภ.วางเก้าอี้ลง ขึ้นประกาศผ่านโทรโข่ง
“ทุกคนฟังทางนี้” จุลลาและคนงานชะงักยืนฟัง “ให้ทุกคนกลับไปก่อน ทางโรงงานให้คำมั่นสัญญาว่าจะติดต่อกลับไป”
จุลลาอึ้ง คนงานทุกคนมองหน้ากัน เหมือนจะยอมอ่อนลง จุลลาปีนขึ้นไปแย่งโทรโข่งมาจาก รปภ. แล้วประกาศเรียกร้อง
“เอาคนที่บอกว่าจะติดต่อออกมาคุยกับพวกเรา พวกเราต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ใช่” คนงานส่งเสียงเห็นด้วย กลุ่มรปภ.หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก จุลลาประกาศต่อไป
“พวกเราเป็นแรงงานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย อย่าคิดว่าจะลอยแพพวกเราได้ง่ายๆ จะไม่มีใครเงียบ! ทุกคนจะต่อสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรมที่พวกเราควรจะได้รับ”
“ใช่”
“ไม่อย่างนั้น เราจะปักหลักสู้ ไม่ยอมไปไหน จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม”
“เฮ”
“สู้มั้ยสู้”
“สู้”
“ขอความยุติธรรม”
“ความยุติธรรม”
จุลลานำขบวนคนงานตะโกนเรียกร้องความยุติธรรมอยู่หน้าประตูโรงงาน รปภ.วิ่งไปโทรศัพท์ที่ตู้ยาม ต่อสายหาใครบางคน
ที่ห้องอาหารหรู สืบสาย นักธุรกิจหนุ่มหล่อ สะอาด เนี้ยบ ลุกขึ้นจับมือเช็คแฮนด์กับนักธุรกิจชาวต่างชาติ ยิ้มแย้ม เป็นมิตรเพราะเจรจาธุรกิจกันเรียบร้อยขณะที่รับประทานอาหารมื้อหรู
“Thank you and I will send our quotation to you soon.(ขอบคุณมากครับ ผมจะส่งใบเสนอราคาให้คุณโดยเร็วที่สุด)”
“Glad to see we become good partner in this business (ยินดีที่ได้ร่วมธุรกิจกันครับ)”
“Welcome and see you again.”
ฝรั่งเดินออกไป ลับหลังฝรั่ง สืบสายหน้าเครียด มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือราคาแพง ครรชิตวิ่งเข้ามา
“บอสครับ”
“ครรชิต! ถ้าแกพาฉันไปเช็กอินที่สนามบินไม่ทัน ถูกไล่ออก!”
“อโศกมุ่งหน้าสุวรรณภูมิ สามสิบนาที ว้าย!พูดเป็นการ์ตูนไปได้ ไม่ใช่ซุปเปอร์แบน แบทแมน สไปเดอร์แมน...”
ครรชิตเงยหน้าขึ้นมาอีกที สืบสายเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าออกไปไกลแล้ว “อ้าว...”
ครรชิตรีบวิ่งตามสืบสายไปทันที
หน้าโรงงาน จุลลายังคงโบกมือตะโกนร้องอยู่หน้าคนงาน 2- 3 คน
“ความยุติธรรม ความยุติธรรม พวกเราอย่าไปยอม เราต้องสู้ สู้ไม่สู้”
“สู้” เสียงตอบรับเหลือน้อยมาก จุลลาชะงัก หันไปมองข้างหลัง ไม่มีใครเหลือแล้ว เหลือกันอยู่แค่สามคนรวมจุลลา
“อ้าว เฮ้ย! หายไปไหนกันหมดแล้วอ่ะ”
จุลลาหันไปมอง รปภ. ทุกคนนั่งหง่าว บางคนแอบหลับ
“เค้ารีบไปสมัครงานใหม่ที่โรงงานใกล้ๆ กันแล้ว ป้าว่า ป้าจะไปมั่ง” คนงานที่เหลือบอก
“ไปด้วย”
“จะทิ้งกันไปจริงๆ เหรอ”
“ไม่ได้ทิ้ง เดี๋ยวกลับมาช่วย”
“ช้าเดี๋ยวตกงาน นายช่างเป็นวิศวกร หางานง่ายกว่าพวกป้า อย่าว่ากันนะ”
คนงานทั้งสองวิ่งออกไป จุลลายืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ลมพัดปลิวพร้อมกระดาษ ถุงพลาสติกเข้ามาปะหน้าปะหัว ดูเวิ้งว้างโดดเดี่ยว สิ้นหวังยิ่งนัก จุลลาคอตก หันมองป้ายปิดกิจการของโรงงานอย่างเซ็ง
จุลลาขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนน ผ่านทุ่งนา จุลลาขี่มอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปตามท้องถนนลับหายไปอย่างรวดเร็ว
ถนนอีกสายหนึ่ง ครรชิตขับรถ สืบสายนั่งเบาะหลังอ่านไฟล์ในไอแพดเพื่อเตรียมพรีเซ้นต์ ครรชิตปาดเหงื่อ เมื่อเห็นการจราจรที่คับคั่งข้างหน้า
“โอยยย จะรีบไปไหนกันคร้าบ ขอผมไปก่อนเถอะคร้าบ”
“เหลืออีกยี่สิบนาที ไม่งั้น ไล่ออก” สืบสายพูดโดยไม่เงยหน้า
“หาทางลัดด่วนสิคร้าบบบ”
ครรชิตเบี่ยงพวงมาลัยเข้าซอยข้างๆ ทันที สืบสายยังคงก้มหน้าดูงานต่อไปใบหน้าเรียบเฉย
จุลลาขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนที่สองข้างทางกลายเป็นตึกหนาแน่นเห็นรถเยอะจึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้า
จุลลาขี่มอเตอร์ไซค์มาถึงแยก โดยที่ตัวเองอยู่บนทางเอก จุลลาเห็นแล้วว่าไม่มีรถออกมาจากซอกซอยจึงตรงไป รถของสืบสายโผล่ออกมาจากในซอย จุลลาหักหลบทันที รถเสียหลัก ไถลไปลงข้างทาง ครรชิตตกใจตาเบิกโพลง
“ไอ้หยา มอเตอร์ไซค์คว่ำ”
สืบสายตกใจ
จุลลากระเด็นจากรถเก็บคอ งอเข่า กลิ้งลงไปข้างทาง นอนแผ่หลา นอนมองฟ้า จุลลาเปิดกระจังหน้าหมวกออกเพื่อสูดอากาศ รู้สึกตกใจและโล่งใจ รถของสืบสายจอดแอบข้างทางแล้ว ครรชิตเปิดประตูรถวิ่งมาดูจุลลาอย่างตกใจ สืบสายเปิดประตูตามลงมา แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าใกล้จุลลา มองสภาพจุลลาเพื่อเช็คหาอาการบาดเจ็บ
“คุณพระ ตายหรือเปล่าเนี่ย น่ากลัว น่ากลัวมาก อย่าตายนะ อย่าตาย ผมไม่พร้อมจะเป็นฆาตกรฆ่าคนตาย ฮือๆๆๆ ผมขอโทษ”
จุลลาทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่ง สืบสาย ครรชิตตกใจ
“อุ๊ย ยังไม่ตาย” สืบสายโล่งใจ
“งั้นฟกช้ำ ม้ามแตก หัวกระแทกหินตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ” ครรชิตถาม จุลลาโบกมือ ส่ายหน้า ครรชิตถามต่อ “งั้น รถพัง เสียหายต้องซ่อม ย้อมสี อะไรหรือเปล่าครับ” จุลลาลุกขึ้น เดินไปยกมอเตอร์ไซค์ เช็คดูอาการ ลองสตาร์ทเครื่อง ทุกอย่างเป็นปกติ จุลลาโบกมือ ไม่เอาเรื่องครรชิต “แต่ยังไงก็ผมไม่สบายใจอยู่ดี ผมพาไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจอย่างละเอียดดีกว่า”
“เฮ้ย ครรชิต ฉันรีบ เหลืออีกสิบนาที ไม่งั้น แกถูกไล่ออก”
“แต่...บอสครับ บาดแผลภายนอกอาจไม่มี แต่ข้างในเราไม่รู้นะครับ”
สืบสายหยิบกระเป๋าเงิน เปิด ควักออกมาสองพัน ยื่นให้จุลลา
“เอาไป” สืบสายเปลี่ยนใจ ดึงกลับมาหนึ่งใบ “พันเดียวก็พอ” แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ไม่ให้เลย “แต่นายอาจเป็นพวกสิบแปดมงกุฎหากินกับรถคนรวย อย่าเอาเลย” จุลลาฉุน ที่ถูกดูถูก “ครรชิต ไปเร็ว”
จุลลาเข้าไปขวางสืบสายทันที แล้วถอดหมวกกันน็อกสยายผม
สืบสายตะลึง อึ้ง เพราะจุลลาสวยและดูเป็นธรรมชาติและที่สำคัญ สืบสายคาดไม่ถึงว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คนนี้เป็นผู้หญิง
“อุ๊ย...ผู้หญิง”
“ตอนแรกว่าไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้เป็นแล้ว” สืบสายยังอึ้ง มองจุลลาตาค้าง พูดไม่ออก “ตอนแรกก็ว่าจะไม่เอาเรื่อง เพราะพี่คนนี้เค้าสำนึกผิดและมีน้ำใจ ไม่ดูดาย แต่ตอนนี้คิดว่าจะเอาเรื่องแล้วล่ะ ได้ยินมั้ย ไอ้คุณเผือก”
“หวาย อย่าเรียกบอสอย่างน้าน มิฉะน้านนน” ครรชิตบอกแต่จุลลาไม่สนใจ
“ไอ้คุณเผือก” สืบสายสะดุ้ง รู้สึกตัว โกรธ
“เธอ! จะเอาไง”
“ฉันต้องการให้นายขอโทษ ฉันไม่ผิด ฉันมาทางเอก รถนายต่างหากที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา”
“ไม่มีทาง เธอ...”
“ฉันชื่อจุลลา”
“ไม่ได้อยากรู้ อ๋อ...นี่เธอตั้งใจให้มันเป็นเรื่อง เพื่อหาทางบอกชื่อเธอกับฉัน จากนั้นก็เกิดการสานสัมพันธ์ คิดจะจับผู้ชายรวยๆ ด้วยวิธีนี้เหรอ ไม่มีทาง”
“คิดได้ไง”
“ยิ่งกว่านี้ก็คิดได้ครับ บอสเป็นโรคไม่ไว้ใจคน โดยเฉพาะกับผู้หญิงสวยๆ ที่บอสคิดว่าทำอะไรไม่เป็นนอกจากใช้ความสวยไล่จับผู้ชายรวยๆ มาแต่งงาน”
“ถ้าฉันตกเครื่อง แกถูกไล่ออกแน่ ไม่ได้ขู่” สืบสายบอก ครรชิตหน้าเสีย สืบสายหันมองจุลลาอย่างดูถูก จุลลายิ่งไม่พอใจ เข้าไปขวางสืบสายเอาไว้ “น่าเบื่อ ถอยไป”
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
“ฉันอั้นสุดๆ แล้วนะ จะขอโทษมั้ย”
“ไม่ ทำไม กำหมัดจะต่อยฉันเหรอ”
“ข้อหนึ่ง ฉันคิดว่า ฉันไม่ใช่สวย ข้อสอง ฉันไม่ได้เป็นสิบแปดมงกุฎที่คิดจับผู้ชายรวยๆ ด้วยวิธีแบบนี้ ข้อสาม ฉันมีสมอง และมีงานทำ และข้อสุดท้าย ฉันเกลียดนาย”
จุลลาพูดจบปุ๊บ ต่อยเข้าเบ้าตาสืบสายเปรี้ยง สืบสายหน้าหัน หมัดจุลลาคาที่ปลายคาง ครรชิตตกใจ อ้าปากค้าง ช่วยนายไม่ทัน
ที่เชียงใหม่ สืบสายยืนหันหลังให้กำลังคุยกับลูกค้าสาวใหญ่ ซึ่งยิ้มเจื่อนๆ ให้กับสืบสาย ครรชิตยืนอยู่ข้างหลังสืบสายด้วยความสำรวม
“ขอโทษจริงๆ ครับที่ต้องขอเลื่อนเวลานัดแม่เลี้ยง พอดีเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยครับระหว่างทางที่ผมมาขึ้นเครื่อง”
“ดิฉันน่ะไม่เป็นหรอกค่ะ รอได้ ว่าแต่...เล็กน้อยแน่เหรอคะ คุณสืบสาย” สืบสายเบ้าตาเขียวจ้ำ ยิ้มค้าง “ไปหาหมอดูอาการก่อนมั้ยคะ แล้วค่อยคุยเรื่องงานกัน”
สืบสายยิ้มกลบเกลื่อนความเจ็บใจที่มีมากกว่าความเจ็บปวด เมื่อคิดถึงฝีมือคนทำ
สืบสายเดินมาที่ล็อบบี้โรงแรมอย่างหงุดหงิด เจ็บใจ ครรชิตตามมาเงียบๆ
“แม่เลี้ยงเลื่อนการคุยเรื่องสั่งออเดอร์จากโรงงานเราออกไปอีก จนกว่าฉันจะหายดี”
“ครับ”
“เพราะยัยทอมนั่นคนเดียว”
“อย่าไปโทษเค้าเลยครับ เราผิดเต็มๆ แถมบอสก็ดันไปปากเสียใส่เค้า เค้าไม่แจ้งความเอาผิดเราก็ดีแค่ไหนแล้ว เผลอๆ ตอนนี้อาจจะไปนอนในคุกไม่ใช่เชียงใหม่”
“ครรชิต”
“ขอโทษครับ”
สืบสายถอนใจ พยายามสงบสติอารมณ์
“โทรหา คุณจรัญ ขอนัดเข้าพบเย็นนี้”
“ห้ะ! พูดเป็นการ์ตูน พักบ้างไรบ้างเถอะครับ บอส”
“พักไม่ได้ ฉันไม่อยากพลาด เร็ว” ครรชิตเลี่ยงไปโทรศัพท์ สืบสายนั่งลง สงบลง เจ็บที่เบ้าตา ทำให้นึกถึงจุลลาขึ้นมาอีก “ยัยจุลลา อูย...”
ที่ร้านสบายท้อง บรรยากาศภายในร้าน นั่งสบายเหมือนชื่อร้าน มีเมนูติดให้เห็นเด่นสง่า ล้วนแล้วแต่สร้างรอยยิ้ม ได้แก่ ยำสามเส้าเราสามคน (ยำสามกรอบ) ผัดสิ้นคิด (ผัดกะเพราไก่-หมู) รวมฮิตซุป’ตาร์ (แกงจืดรวมมิตร)
ลูกค้าแน่นร้าน จุลลาที่เปลี่ยนมาเป็นชุดลำลองใส่เอี๊ยมกันเปื้อน ถือจานอาหารเสิร์ฟให้ลูกค้าเป็นระวิง โดยมีลีลาและมะขวิด เสิร์ฟอยู่อีกโต๊ะใกล้ๆ
“เพิ่มข้าวอีกโถครับน้อง”
“ได้ค่ะ! แม่ ข้าวเพิ่มโถ โต๊ะสี่” จุลลาหันไปตะโกน ดาราอยู่ที่โต๊ะแคชเชียร์สะดุ้งเฮือก ไม่พอใจที่จุลลาตะโกนสั่งออร์เดอร์ รีบเข้ามาหาจุลลา
“ตามแม่มาเดี๋ยว! รอข้าวสักครู่นะคะคุณ” ดาราบอกลูกค้าแล้วจับมือจุลลา ดึงตัวออกไปทันที
“ไปไหนคะแม่ ลูกค้าเยอะ หนูยุ่งอยู่นะ”
ดาราพาจุลลาเข้ามาในครัว ดาราสั่งสอนมารยาทกับจุลลาใกล้ๆ เตา ที่จำรัสเป็นเชฟลงมือทำอาหารอยู่ ป้าลำยองเป็นผู้ช่วยส่งวัตถุดิบหรืออุปกรณ์ตามแต่จำรัสจะสั่ง
“แม่บอกลูกจูนกี่ครั้งแล้วคะ เวลาลูกค้าออร์เดอร์อะไร ให้เดินมาบอกแม่ที่เคาน์เตอร์ อย่าตะโกนข้ามหัวลูกค้าเสียงดังอย่างนั้น”
“เฮ้ย ไอ้จูน เวลาเมียพ่อสอน ทำไมไม่รู้จักเชื่อวะ” จำรัสตะโกนเสียงดังข้ามหัวดารา
“คุณนั่นแหละตัวดี เป็นซะเอง แล้วลูกจะเชื่อได้ยังไง” จำรัสเงียบ หันไปทำอาหารต่อ “ลูกจูนขา รักแม่มั้ย”
“รัก” จุลลานึกขึ้นได้ว่าควรพูดเพราะ “เอ่อ...รักสิคะ ทำไมถามหนูแบบนี้ล่ะคะ”
“ลูกจูนเป็นผู้หญิงนะคะ รักแม่ก็เอานิสัยแม่ติดตัวไปบ้าง”
จำรัสเคาะกระทะเสียงดังขัดจังหวะเมื่อเห็นเมียเริ่มจะดราม่า
“ลำยอง ขอน้ำปลา” ป้าลำยองส่งขวดน้ำปลาให้จำรัสเอาไปปรุงอาหาร
“พูดจาเพราะ มารยาทเรียบร้อย อ่อนหวาน”
“ลำยอง ขอน้ำตาล ทีนี้ล่ะแซ่บบบบเวอร์” ป้าลำยองส่งถ้วยน้ำตาลให้จำรัส เอาไปปรุงอาหาร
“และที่สำคัญคือแซบเวอร์ ว้าย คุณจำรัส! อย่าเพิ่งพูดแทรกฉันได้มั้ย ฉันกำลังสอนลูก”
“แม่คะ จูนจะพยายามปฏิบัติตามคำสอนของแม่นะคะ จบนะคะ ลูกค้ารออยู่นะคะ โอเคนะคะ”
“โอเคเถอะค่ะคุณดาราขา นานๆ ทีคุณจูนจะกลับบ้านเร็วมาช่วยที่ร้าน”
“ถูกค่ะ รักนะป้าลำยอง” ป้าลำยองส่งยิ้มให้ เป็นการรู้กันว่าช่วยให้จุลลาหลุดจากดาราไปได้ จุลลารีบหันหลังออกไป ดารานึกอะไรขึ้นได้ รีบเบรก
“แล้วทำไมวันนี้ลูกจูนกลับบ้านเร็วคะ”
จุลลาหยุดกึก คอตก หันมามองหน้าพ่อกับแม่
จุลานั่งนิ่งเงียบอยู่ระหว่างดาราและจำรัส
“ลูกจูนตกงาน”
“ค่ะ”
“ดีค่ะลูก” คำพูดของดาราทำให้จุลลา และจำรัส ตกใจ แปลกใจอุทานพร้อมๆ กัน
“เฮ้ย ดีตรงไหนคะ" / "เฮ้ย ดีตรงไหนจ๊ะ”
“ตกงาน จะได้มีเวลาไปเรียนต่อปริญญาโทสิจ๊ะ”
“โอย จูนยังไม่มีเงินเก็บเลยค่ะแม่”
“แม่ออกให้เอง ลูกจูนจะเรียนอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่วิศวกรเครื่องกลที่หนูจบมา เรียนวิศวฯคอมพิวเตอร์แล้วกัน จบมาก็ทำงานในห้องแอร์ แต่งตัวสวยๆ ไม่ใช่อยู่แต่ในโรงงาน มอมแมมกลับบ้านทุกวัน ลูกแม่จะได้มีแฟนแต่งงานซะที”
“แม่ จูนไม่ได้อยากแต่งงาน”
“น่านไง เห็นมั้ยแม่ มันเป็นทอม”
“พ่อ จูนไม่ได้เป็นทอม”
“แล้วทำไมถึงไม่เคยมีแฟน อายุปาเข้าไปจะ 25 แล้ว”
“ก็อยากมี แต่ไม่มีใครมาจีบ”
“ก็ใครมันจะกล้ามาจีบ ท่าทางยังกะผู้ชาย ไม่ใช่ทอมแน่นะ”
“ล้านเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
“ไม่มีใครมาจีบ งั้นลูกจูนก็ไปจีบเค้าก่อนก็ได้”
“แม่ เสียเหลี่ยม”
“แม่ล้อเล่น ก็แม่กลัวลูกจูนขึ้นคาน แก่ตัวไปจะเหงานะ”
“ขึ้นคานสิดี” จำรัสบอก
“หือW
“แกมีแฟน แต่งงาน แล้วฉันจะอยู่กับใคร แกไม่เหงา ฉันเหงา”
“ก็อยู่กับเมียไงคะ คุณจำรัส! หรือว่าลืมไปแล้วคะว่าตัวเองมีเมีย”
“ไม่มีวันลืม เมียนี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง อกตัญญูเมื่อไหร่ ไม่เจริญ”
“โกหก จริงๆ แล้วคุณกำลังวางแผน กำจัดฉัน เพราะว่าเบื่อฉัน แต่อ้างว่าติดลูก ใช่มั้ย”
“โอ๊ยยย ดูละครกับไอ้พวกนั้นมากไปแล้วคุณ”
จุลลาปวดหัวกับพ่อและแม่ จึงค่อยๆ ลุกออกไปอย่างเงียบๆ ปล่อยพ่อและแม่คาดคั้นกันเองต่อไป
ที่จอทีวีซึ่งติดตั้งในร้านสบายท้อง กำลังเปิดละครเย็นซึ่งเดือนพิไลกำลังเข้าฉากร้องไห้ เป็นผู้หญิงแสนดีที่ถูกแม่ผัวรังแก
“คุณแม่อย่าไล่หนูไปเลยนะคะ หนูขอร้อง”
“หล่อนมาทางไหนก็ไปทางนั้นเลยนะ บ้านนี้ไม่ต้องการสะใภ้ชั้นต่ำอย่างหล่อน”
“คุณแม่”
แม่ผัวผละออกไป เดือนพิไลร้องไห้แทบขาดใจแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด ละครจบเบรก เข้าคีย์ซีน “เพลิงแค้นพิสวาสดำ” ลีลา มะขวิด ป้าลำยองนั่งดูละคร รู้สึกไม่ค่อยอินกับละครที่เดือนพิไลเล่น
“ร้องไห้ยังไงวะ ไม่เห็นมีน้ำตาสักหยด”
“หนูว่าเดือนพิไล เล่นละครไม่เก่ง มิน่าเล่นมาตั้งนาน ไม่ดังสักที อีกทีคงเล่นเป็นแม่แล้วล่ะ แม่เป็นอัมพาตที่หน้าด้วย วะว้าก ฮ่ะๆๆๆ ดูเด่ะ ร้องไห้หน้าไม่ขยับเลย วะว้ากฮ่ะๆๆๆ”
“วาสนาไม่ถึงเค้าก็อย่าไปว่าเค้า เดี๋ยวจะเข้าตัว”
“ฉันพูดความจริง ไม่ต้องมาแช่ง ไอ้มะขวิด”
“ไม่ได้แช่ง ที่พูด เพราะรัก”
“ไม่ต้องมารักเลย ฉันกลัวว่ะ”
“ไมวะ กลัวอะไร”
“นี่ขนาดมันบอกว่ามันรักฉันนะป้า มันยังทำท่าเหมือนจะฆ่าบีบคอ”
จุลลาเข้ามาลงนั่งรวมกับทุกคนพอดี ลีลากับมะขวิดเลยหยุดทะเลาะ
“ทะเลาะอะไรกัน”
“คุยกันเรื่องดาราที่ชื่อเดือนพิไลค่ะ นังลีลามันบอกว่าเค้าเล่นละครไม่ได้เรื่อง”
“เดือนพิไล ใคร ไม่รู้จัก”
“ก็คุณจูนไม่เคยอยู่บ้านตอนมีละครฉาย คนนั้นไงคะ เล่นละครตั้งนานแล้วล่ะ แต่ไม่ดัง”
จุลลาดูทีวี ในจอเป็นฉากที่เดือนพิไลร้องไห้ยืนพูดอยู่กับประตูบ้าน ถือกระเป๋าเดินทาง
“คุณพงศ์ขา ชาตินี้ ทับทิมบุญน้อย ได้เป็นภรรยาคอยรับใช้คุณได้แค่ไม่นาน ลาก่อนนะคะ อย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลา ห่มผ้าก่อนนอน ไม่สบายก็อย่าลืมไปหาหมอ” จุลลายิ้มเยาะ
“นี่เค้ากำลังเล่นละครหรือว่า บ่นอะไรอ่ะ ทนดูเข้าไปได้ยังไง”
“เดี๋ยวก็ถูกรถชนตายแล้วครับ” มะขวิดบอก ป้าลำยอง ลีลาหันมาดุจุลลากับมะขวิด
“ชู่ว์”
จุลลาอึ้งที่คนในร้านติดละครงอมแงม เลยดูละครต่อไป ในจอ...เดือนพิไลหันเดินออกไป ร้องไห้หนัก แต่ก็ยังไม่มีน้ำตาสักหยดอยู่ดี
ที่พักกลางถองถ่ายละคร เดือนพิไลปาบทลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจจนพี่บีและคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ สะดุ้ง ตกใจ
“พิไล เป็นอะไร”
“ทำไมมีบทหนูอยู่ไม่กี่ฉาก บางฉากก็ไม่มีบทพูด หนูไม่ใช่ตัวประกอบนะเจ๊” ทุกคนอึ้ง
“ใจเย็นๆ ก่อน”
“ถ้าไม่แก้บทให้มีเท่ากับนางเอก หนูไม่เล่น”
“โอ๊ยย เป็นแค่ตัวสี่ตัวห้าอ่ะ กล้าเนอะ” ช่างแต่งหน้าบอก
“อะไร พี่แอน” เดือนพิไลถามเสียงเข้ม
“อยากได้ยินชัดๆ เหรอคะ ฟังนะ งานน้อย แต่ทำตัวเยอะแบบนี้ อีกหน่อยจะไม่มีใครเอา”
“เป็นช่างแต่งหน้าป่ะ”
“ก็แน่ล่ะสิ”
“ถ้าไม่ใช่ผู้จัด ไม่ต้องสาระแนมาสอน”
“ว้าย”
ทุกคนฮือฮา ซุบซิบ
“พอแล้ว หยุดปากได้แล้ว พิไล มานี่”
พี่บีลากเดือนพิไลออกไป ช่างแต่งหน้าและทีมงานพากันซุบซิบอย่างไม่พอใจ
พี่บีลากเดือนพิไลมา เดือนพิไลยังหงุดหงิดไม่เก็บอาการ
“ที่หล่อนไปเหลาคาง เสริมดั้ง ยิงเลเซอร์ ฉีดโบท็อกซ์มันคงยังไม่พอ”
“จะให้หนูไปทำอะไรอีกล่ะ แค่นี้ยังไม่เป๊ะอีกหรือไง ตังค์ก็ไม่ค่อยจะมี ทำทีก็ตั้งแพง”
“ถ้าอยากมีตังค์เยอะๆ คราวหน้า อย่าลืมให้หมอผ่าตัดเอาหมาออกจากปากหล่อนด้วย”
“เจ๊”
“พิไล เจ๊เหนื่อยจะสอนแล้วนะ ปากฉีกจนจะถึงหูแล้ว สอนตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการ จนจะยานหย่อนคล้อยกันทั้งหล่อนทั้งเจ๊ ว่าให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้คนเอ็นดู ไม่ใช่แกว่งปากไปหาเสี้ยนให้คนหมั่นไส้”
“ช่างมันสิ เป็นแค่ช่างแต่งหน้า ทำมาเป็นสะเออะ หนูเป็นดารานะ ควรจะให้เกียรติหนูสิ”
“เจ๊แอนพูดถูกนะ งานน้อย แต่ทำตัวเยอะ แล้วก็ไม่ใช่จะโด่งดังเป็นซุปตาร์”
“ที่หนูเป็นได้แค่นี้ เพราะเจ๊ไม่สนับสนุนหนู”
“คนมันจะดัง ดังที่ความสามารถ ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาดี ถ้าหล่อนยังเล่นไม่ถึง ก็อย่าหวังจะได้บทดีกว่านี้” เดือนพิไลอึ้ง “ใจเย็นๆ ค่อยๆไต่ สะสมชั่วโมงบิน อย่าเพิ่งท้อ เดี๋ยวโอกาสก็จะเข้ามาเอง”
“หนูไม่ได้ท้อ แต่เซ็ง! ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากเล่นเก่งๆ นะ ก็บทมันไม่ส่ง”
พี่บีลอบถอนใจ ใจอ่อนจนได้
“อยากเล่นเก่งๆ ฉันจะพาหล่อนไปเรียนการแสดงกับหม่อมเนียน”
“นัดมาแล้วกัน วันนี้หนูกลับล่ะ”
เดือนพิไลเดินออกไปเลย พี่บีตาค้าง
“นังพิไล จะบ้าเหรอ ยังถ่ายไม่เสร็จ”
“บอกเค้าให้ยกไปก่อน หนูมีนัด”
“นัดกับใคร ทำไมฉันไม่รู้” เดือนพิไลไม่สนใจ เดินลั้ลลาออกไปอย่างไม่รู้สึกผิด หลังจากโยนระเบิดให้พี่บี “โอ๊ย คิดถูกคิดผิดเนี่ย ที่เอามันมาปั้น แล้วฉันจะสะตอบอกเค้าว่ายังไง พ่อตาย หรือยายแท้ง โอ๊ย”
สืบสายนั่งอยู่ในรถ เขียนอีเมล์งานคร่ำเคร่งอยู่ สืบสายดูนาฬิกาประมาณทุ่มเศษ แล้วเหลือบมองดูครรชิตที่เหี่ยวมาก เพราะเหนื่อยสุดๆ เสียงท้องครรชิตร้อง ครรชิตรีบเปิดเพลงกลบ รถติด ไม่ขยับ สืบสายเหลือบไปเห็นป้ายร้านอาหาร “สบายท้อง” อยู่ข้างหน้าปากซอย ซึ่งอยู่ห่างจากรถเล็กน้อยจึงสะกิดครรชิต
“ครับ บอส” ครรชิตเบาวิทยุ
“เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้า”
“เลี้ยวทำไมครับ”
“แวะกินข้าว ฉันหิว”
ครรชิตเร่งเพลงวิทยุเสียงดังเลย พลางเต้นประกอบร้องตามอารมณ์ดีที่จะได้กินข้าวสักที สืบสายแอบอมยิ้ม เสียงมือถือสืบสายดังขึ้นพอดี สืบสายสะกิดให้ครรชิตเบาเสียงวิทยุลง สืบสายเห็นเบอร์ แปลกใจ แต่ก็รับ
“ฮัลโหล...”
เดือนพิไลเดินอยู่ในแผนกเครื่องสำอางในห้าง คุยมือถือกับสืบสาย
“พิไลเองค่ะ คุณสืบสาย”
“พิไลไหน” สืบสายถามอย่างแปลกใจ เดือนพิไลหน้าแตก แต่ยิ้มสู้
“พิไล ที่กำลังจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทของคุณไงคะ”
“อ้อ...ครับ คุณได้เบอร์ผมจากไหน”
“คุณเป็นคนให้พิไลเอง ลืมแล้วเหรอคะ” สืบสายงง
“เหรอ ครับ ว่าไงครับ”
“คือ พิไลอยากปรึกษาเรื่องสัญญาการเป็นพรีเซ็นเตอร์กับคุณค่ะ”
“ทำไมไม่คุยกับผู้จัดการคุณล่ะ” เดือนพิไลเซ็ง แต่ยังไม่ยอมแพ้
“คุยแล้วค่ะ ที่เหลือคือต้องคุยกับลูกค้า”
“คุณควรจะโทรมาในเวลาทำงาน”
“ฉันทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมง และก็รู้ว่าคุณเองก็เป็นเหมือนกัน ถูกมั้ยคะ”
“แปลว่า ยังไงก็จะมาเจอผมให้ได้”
“ค่ะ”
“ตามใจ”
ครรชิตเหลือบมองผ่านกระจกหลัง เก็บข้อมูลสุดฤทธิ์ สืบสายกดปิดโทรศัพท์ ยิ้มเย้ย
“หึ ผู้หญิง”
เดือนพิไลลดมือถือลง ปิดสาย ยิ้มย่อง เหลือบไปเห็นเด็กสาวสองคนถือมือถือเล็งมาที่ตัวเอง
“พี่คะ”
“ไม่ค่ะ ไม่ถ่ายค่ะ ไม่สะดวก” เดือนพิไลเอากระเป๋าปิดหน้าตัวเอง
“เปล่าถ่ายพี่ค่ะ หนูจะถ่ายเพื่อนหนูข้างหลัง พี่หลบหน่อยค่ะ อย่าบัง”
เดือนพิไลอึ้ง หันมองข้างหลังเห็นเพื่อนกะเทยของเด็กสาวยืนเท้าสะเอวมองมาที่เดือนพิไล เหวี่ยงๆ เดือนพิไล หน้าแตก โกรธ
“มองทำไม”
เดือนพิไลเดินออกไปอย่างอายๆ
อ่านต่อหน้า 2
วิมานมะพร้าว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่ร้านสบายท้อง ลีลายกอาหารมาเสิร์ฟลูกค้าที่โต๊ะหนึ่ง มีลูกค้าขี้เมาอยู่ด้วย 1 คนกับเพื่อนอีก 2 คน โต๊ะนี้ดูกร่าง และ ซ่า
“อาหารได้ครบแล้วนะคะ” ลีลาถาม
“ยังไม่ครบเลย”
“ขาดอะไรคะ”
“ขาดน้องมานั่งข้างๆ น่ะจ๊ะ” ลูกค้าหัวเราะกันร่วน ลีลาข่มใจ เดินหนีแต่ถูกลูกค้าเมาจับมือเอาไว้ “รังเกียจพี่เหรอจ๊ะ”
จุลลาเข้ามาจับข้อมือของลูกค้าเมาออกไปจากมือของลีลา
“ใครๆ ก็รังเกียจคนเมาแล้วลวนลามผู้หญิงทั้งนั้นแหละพี่! เมาแล้วกลับไปนอนไป” จุลลาพูดกับเพื่อนลูกค้าเมา “พี่พาเพื่อนกลับไปเลยไป”
“ไปนอนด้วยกันมะ” ลูกค้าที่เมาถามจุลลา
“พี่...เตือนแล้วนะ”
“ไม่ต้องเตือน! คิดเองได้ ว่าอย่างน้อง เข้ามายุ่งเรื่องของพี่เพราะอยากโดน” จุลลาเหลืออด เลือดขึ้นหน้า
“ใจเย็นค่ะพี่จูน ใจเย็น” ลีลารีบพูดกับลูกค้า “พี่คะ หนูไหว้ล่ะค่ะ พี่กลับเถอะค่ะ”
“กูไม่กลับ จนกว่าจะเอาอีนี่ไปนอนด้วย” ลูกค้าเมากระโจนเข้ามาหาจุลลา
“งั้นมึงก็นอนที่ร้านกูเลยแล้วกัน”
จุลลาถีบเปรี้ยงกลางยอดอกของลูกค้าเมากระเด็น กวาดโต๊ะ จาน ชามไปกองอยู่ที่ปากทางเข้าร้าน แทบเท้าใครบางคน...
สืบสายคือเจ้าของเท้าคู่นั้น ยืนตกใจ ครรชิตตกใจอยู่ข้างหลัง เพื่อนลูกค้าเมาอ้าปากค้าง ดารา จำรัส ป้าลำยอง มะขวิด และพนักงานคนอื่นๆ วิ่งเข้ามา ตกใจ
“มีเรื่องอะไรกันวะไอ้จูน”
“กล่อมไอ้ขี้เมาให้หลับ หลับหรือยัง หา” ลูกค้าเมาหลับกรนคาเท้าสืบสาย สืบสายเห็นหน้าจุลลา ตกใจเข้าไปอีก ครรชิตเองก็ตกใจผสมโรง แต่จุลลายังไม่ทันได้สังเกตว่าเป็นสืบสาย “พามันไปเลย แล้วจำไว้นะ ถ้ายังอยากจะมากินร้านนี้ อย่าเมามา แล้วอย่าทำตัวทุเรศลวนลามผู้หญิง นี่เด็กเสิร์ฟ ไม่ใช่ไก่”
เพื่อนลูกค้ารีบหิ้วปีกลูกค้าเมาไปทันที ลีลา มะขวิด ลำยอง ตบมือดีใจกันใหญ่
“เจ๋งมากไอ้จูน ลูกพ่อมันต้องยังงี้ สมศักดิ์ศรียูโดสายดำ ตัวแทนมหาวิทยาลัย”
สืบสายและครรชิตยังยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
“โลกกลมที่สุด หมัดหนักไม่พอ ทรีนยังหนักด้วยนะครับบอส ยูโดสายดำอีกต่างหาก”
“ยังหิวอยู่มั้ย”
“รู้สึกจุกแทนแล้วครับ”
สืบสายและครรชิตรีบเดินออกไปทันที จุลลาหันมาพอดีเห็นหลังสืบสายไวๆ
“อ้าว ลูกค้านี่...คุณ ร้านยังไม่ปิดนะ คุณ”
สืบสายไม่สนใจ เร่งฝีเท้าออกไป อยากไปให้ไกลเร็วๆ
“ไปเอาตัวลูกค้ากลับมาให้ได้นะลูกจูน ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ยอม เพราะเราแท้ๆ ชอบใช้ความรุนแรง ลูกค้าหนีเลยเห็นมั้ย” ดาราบอก จุลลารีบวิ่งออกไป
“ไอ้จูนมันทำถูกแล้ว มันป้องกันตัวเอง จะให้โปรยดอกไม้ นั่งพับเพียบขอร้องมันไม่ให้จับตูดจับนมลูกสาวแล้วก็เด็กของเราหรือไง”
“คุณไม่ต้องมาประชด มีวิธีอื่นเยอะแยะที่ไม่ต้องทำแบบลูกจูน มันอันตราย ยังไงก็เป็นผู้หญิง เอาเข้าจริง สู้แรงผู้ชายไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากให้ลูกประมาทคิดว่าตัวเองไม่มีวันแพ้ใคร”
ทุกคนเงียบ เพราะดาราเองก็มีเหตุผล
“ทีหลังแกก็ใส่ชุดเกราะมาเสิร์ฟเลย ลีลา” มะขวิดบอก ดาราปรายตามองมะขวิด มะขวิดจ๋อย
สืบสาย ครรชิตรีบเดินออกมา ปาดเหงื่อ
“ผู้หญิงอะไร”
“สุดยอดจริงๆ” สืบสายมองครรชิตอย่างไม่พอใจ
“ไป กลับ”
“แล้ว คุณเดือนพิไลล่ะครับ บอสนัดเค้ามาที่นี่” สืบสายยื่นมือถือให้ครรชิต
“อ่ะ...แกเป็นเลขา โทรไปแคนเซิลซิ”
ครรชิตรับมือถือมา จะโทรหาเดือนพิไล แต่ไม่ทันเพราะจุลลาวิ่งตามออกมา ร้องเรียก
“คุณคะ จะทานอาหารหรือเปล่าคะ เชิญด้านในค่ะ” สืบสาย ครรชิตหยุดกึก จุลลาเห็นด้านหลังของทั้งสองคน คุ้นๆ ค่อยๆ เดินไปดูด้านหน้า สืบสาย ครรชิตตัวแข็ง จุลลาเห็นว่าเป็นสืบสายกับครรชิตเต็มๆ ก็ตกใจ “ไอ้คุณเผือก”
“คุณสืบสายคะ” เสียงเดือนพิไลดังขึ้น สืบสายเห็นเดือนพิไลเดินเข้ามา โล่งใจ มีตัวช่วย
“คุณเดือนพิไล”
“เดือนพิไล คุ้นๆ นะ” จุลลาบอก ครรชิตจึงกระซิบกับจุลลา
“เค้าเป็นดาราครับ”
“อ๋อ ที่เล่นละครแข็งๆ พูดเหมือนท่องบทน่ะเหรอ” เดือนพิไลหยุดกึก มองจุลลาอย่างฉุนกึก ไม่พอใจ “อุ๊ย ขอโทษที ปากเปราะจริงๆ เลยเรา ขอโทษนะคะ ไม่ได้ตั้งใจ”
“ปากเบา แต่มือเท้าหนัก ไม่ได้มีอะไรดีเลย” สืบสายพูดเบาๆ แต่จุลลาได้ยินจึงโวย
“นี่ได้ยินนะ ตกลงมาทำอะไร จะมากินหรือมากวน”
“ทำไมไม่ไปทานร้านหรูๆ อาหารดีๆ ไม่ใช่ร้านต่ำๆ คนงานมารยาททรามคะ”
จุลลาอึ้ง มองเดือนพิไลอย่างไม่พอใจ
“ก็คนมันหิวนี่ครับ ร้านนี้ใกล้ที่สุด หรูไม่หรูบอสไม่เคยถือหรอกครับ ขอให้ท้องอิ่ม” ครรชิตบอก
“แต่ตอนนี้ฉันถือแล้ว ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” สืบสายบอก
“ไปสิคะ”
เดือนพิไลควงแขนสืบสาย สืบสายมองเดือนพิไล อึ้ง ไม่พอใจ เดือนพิไลหน้าม้าน ค่อยๆ เอาแขนออก เนียนๆ แล้วเดินไปกับสืบสาย จุลลาอดทนอย่างถึงที่สุด
“หน้าตาสวย แต่นิสัยไม่ดีเลยเนอะ ไม่เหมือนในทีวี เนี่ย!โทรมาเองเลยนะ อยากมาเจอบอสให้ได้ ทำตัวแบบนี้ บอสยิ่งไม่ชอบ” ครรชิตเม้าเดือนพิไลกับจุลลา แต่พอหันไปเจอสายตาขวางๆ ของจุลลา เบรกแทบไม่ทัน “เอิ๊ก”
“ไม่ได้อยากฟัง”
จุลลาเดินเข้าร้านไปอย่างหงุดหงิด ครรชิตรีบวิ่งตามสืบสายออกไป
สืบสายเดินมากับเดือนพิไล ครรชิตเดินตามอยู่ห่างๆ
“ไม่ได้เอารถมาใช่มั้ย”
“ค่ะ พอดีรถของพิไลเสีย ต้องเข้าอู่ คุยธุระกันเสร็จแล้ว คุณไปส่งพิไลได้หรือเปล่าคะ”
“นี่ไง กำลังจะส่ง”
“หือ” เดือนพิไลทำหน้าแปลกใจ
“เรียกแท็กซี่ให้คุณ”
“อะไรนะ”
“ผมไม่สะดวก ต้องรีบกลับ”
เดือนพิไลอึ้ง อ้าปากค้าง พูดไม่ออกที่ถูกปฏิเสธ ครรชิตแอบยิ้ม ชอบใจ สืบสายเห็นแท็กซี่รีบโบกมือเรียก แท็กซี่หยุด สืบสายเปิดประตูแท็กซี่ให้เดือนพิไล
“เรื่องสัญญา ถ้ามีอะไรสงสัย คุยกับครรชิต ผมไม่มีเวลามาลงรายละเอียด” เดือนพิไลหันมองครรชิต ครรชิตโค้งให้ “เชิญ”
เดือนพิไลเจ็บใจ แต่ต้องยิ้ม
“สวัสดีค่ะ”
เดือนพิไลขึ้นแท็กซี่ไป กลั้นอารมณ์เต็มที่รอระเบิด สืบสายปิดประตูให้ แท็กซี่เคลื่อนตัวออกไป
“แวะร้านสะดวกซื้อ แล้วกลับบ้านเลย” สืบสายหันไปบอกครรชิต
“ครับผม”
สืบสายเดินไปกับครรชิต ไม่ได้ติดใจหรือคิดถึงเรื่องเดือนพิไล เพราะไม่ได้อยู่ในสายตา
ในรถแท็กซี่ เดือนพิไลกรี๊ดลั่นรถ
“อ๊ายยยย” คนขับแท็กซี่ตกใจ รถเสียหลักเอี๊ยด เป๋ “ขับดีๆ หน่อยสิ”
“ครับ”
เดือนพิไล เจ็บใจ หมายมั่นจะทำให้สืบสายหลงเสน่ห์เธอให้ได้
“คนสวย ไม่มีวันแพ้! ให้มันรู้ไป ว่าคุณจะไม่หลงเสน่ห์ฉัน”
วันต่อมา จุลลาขึ้นมอเตอร์ไซค์จะไปสมัครงานในชุดทะมัดทะแมงเช่นเคยแต่สุภาพขึ้น จุลลาสวมแจ็กเก็ต รูดซิป จำรัสให้พร
“ขอให้ได้งานเร็วๆ นะไอ้จูน”
“ขอบคุณพ่อ ไม่ต้องห่วง จูนมีประสบการณ์ น่าจะหางานได้ไม่ยาก”
“แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียใจ พ่อเลี้ยงแกได้”
“อย่าเลยพ่อ เสียดายความรู้ นั่งงอมืองอเท้า เหมือนคนไม่มีค่า จูนไม่ชอบ ขอบคุณนะพ่อ ไปล่ะ”
จุลลาไหว้จำรัสแล้วออกรถไป จำรัสมองตามจุลลาอย่างภาคภูมิใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ ลูกพ่อจริงๆ”
ดาราวิ่งมา ในมือถือชุดกระโปรงสุภาพ ลูกไม้เพียบ สำหรับสมัครงานมาด้วย พลางตะโกน
“ลูกจูน ทำไมไม่ใส่ชุดที่แม่เตรียมไว้ให้ ไปสมัครงานชุดนั้นได้ยังไง ลูกจูน”
“ขืนมันใส่ รับรอง วันนี้ มันไม่มีทางออกจากบ้าน”
“อีกแล้วนะคุณจำรัส สนับสนุนลูกในทางที่ผิดๆ”
“ผิดตรงไหน มันก็ไม่ได้แต่งตัวน่าเกลียด งานแบบมันเขาดูกันที่ความสามารถ ไม่ได้ดูที่ชุด”
ออฟฟิศแห่งที่ 1 จุลลานั่งอยู่กับผู้จัดการ
“เราไม่มีนโยบายรับวิศวกรคุมเครื่องจักรในโรงงานที่เป็นผู้หญิง”
จุลลาอึ้ง
ออฟฟิศแห่งที่ 2 จุลลาถูกผู้จัดการ ยื่นแฟ้มคืนให้พลางส่ายหัว
“ไม่เอาผู้หญิง ไม่สู้งานหนัก”
ออฟฟิศแห่งที่ 3 จุลลาถูกผู้จัดการ ตอกใส่หน้า
“เครื่องจักรผมต้องรันตลอดเวลา หยุดไม่ได้ แต่เดี๋ยวคุณก็ต้องลาคลอด ลาลูกป่วย ลาไปจับผิดผัวกับเมียน้อย ไม่อยากปวดหัวว่ะ ไม่เอาผู้หญิง”
จุลลายืนอึ้ง ปึง
ผู้จัดการแต่ละคน พูดใส่หน้าจุลลา
“ไม่มีนโยบายรับวิศวกรผู้หญิง”
“ผู้หญิงไม่สู้งานหนัก ไม่เอาผู้หญิง”
“ไม่อยากปวดหัวว่ะ ไม่เอาผู้หญิง”
จุลลายืนเคว้างอยู่หน้าออฟฟิศโรงงานแห่งหนึ่ง เคว้งคว้าง ลมพัดปลิว ถุงพลาสติกลอยมาปะหน้า หัว หู จุลลาปัดออก แล้วก็มีแผ่นหนังสือพิมพ์ใบหนึ่งลอยมาปะทะหน้าของจุลลาอีก จุลลาหยิบออกจากหน้าตัวเองจะขยำทิ้ง แล้วก็ชะงัก เพราะสายตาสะดุดกับกรอบโฆษณารับสมัครงานกรอบหนึ่งบนกระดาษ จุลลาเพ่งอ่านหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์เห็นกรอบโฆษณารับสมัครงานกรอบใหญ่มาก “บริษัท ปาล์ม โปรดักส์ จำกัด...รับสมัคร ผู้จัดการฝ่ายผลิต 1 ตำแหน่ง วิศวกรหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงเครื่องจักร 1 ตำแหน่ง ไม่จำกัดเพศ”
“ไม่จำกัดเพศ จริงเหรอวะ”
จุลลานึกสงสัย ชั่งใจ จะลองไปสมัครงานดูดีหรือเปล่า
ที่บ้านสืบสาย ป้าเมี่ยงกำลังให้คนใช้ถูกพื้น ทำความสะอาดบ้าน พลางมองไปรอบๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่างในบ้าน สืบสายโผล่เข้ามา
“ป้าเมี่ยงครับ”
ป้าเมี่ยง สาวใช้ร้องลั่น ตกใจกลัวมาก
“ว้าย”
ทุกคนหาที่หลบ ไหว้ปะหลกๆ
“เมี่ยงกลัวแล้วค่ะ รักนะคะ แต่ไม่อยากเจอ ขอร้องล่ะค่ะ จะหัวใจวายตายกันหมดแล้ว”
สืบสายถอนใจ รู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องผี ที่สืบสายไม่เคยเชื่อ
“ผมเองครับ ป้าเมี่ยง”
ป้าเมี่ยงและสาวใช้ค่อยๆ เปิดตามอง เห็นสืบสายก็โล่งอก
“โธ่ คุณสืบ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ป้าตกอกตกใจ ใจหายร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม”
“ผมให้เสียงแล้วนะ แต่พวกป้าก็กลัว ทำไม มาให้เห็นอีกแล้วเหรอ”
ป้าเมี่ยงไล่สาวใช้ออกไป แล้วมาคุยเบาๆ กับสืบสาย
“ค่ะ แถมช่วงนี้มาถี่ด้วยนะคะ”
“ไร้สาระ ตาฝาด”
“ไม่ฝาดหรอกค่ะ แกมาจริงๆ ป้าเห็นกับตา”
“แล้วทำไมผมไม่เคยเห็น”
“ก็ ไม่รู้เหมือนกัน คุณสืบอาจจะไม่มีสัมผัสที่หก”
“เพราะผีไม่มีจริง ฟังคนพูดกันเยอะๆ ก็เหมือนถูกสะกดจิต เลยคิดไปเองว่าเห็น”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“แล้วนี่ เตี่ยกับแม่ไปไหน วันนี้วันหยุด เข้าโรงงานเหรอ”
“แกไปธุระค่ะ เห็นว่าสำคัญมาก แต่ไม่ได้บอกว่าไปไหน”
สืบสายแปลกใจ ที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน
ตำหนักอาจารย์เพี้ยน คุณนายเง็กและเสี่ยตงสะดุ้งเฮือก เมื่ออาจารย์เพี้ยน คนทรงตัวสั่นพั่บๆๆๆ
“ไอ้หยา”
“สงสัยวิญญาณเตี่ยลื้อประทับร่างอาจารย์เพี้ยนแล้วนะ” คุณนายเง็กบอก
“เตี่ย เตี่ยมาแล้วใช่มั้ย” เสี่ยตงกระซิบถามอาจารย์เพี้ยน
“ยัง”
“อ้าวววว” คุณนายเง็กกับเสี่ยตงร้องออกมาพร้อมกัน
“ยังเป็นอาจารย์เพี้ยน”
“แล้วอาจารย์จะสั่นทำไม”
“สั่นสู้”
“สั่นสู้! สู้กับใคร”
“ก็วิญญาณของเตี่ยพวกเอ็งไง จะได้รู้ว่าอาจารย์เพี้ยนไม่กลัว อย่ามาทำหยิ่ง! พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย”
คุณนายเง็ก เสี่ยตงมองรอบๆ ตัวเลิ่กลั่ก
“อาจารย์เพี้ยนแกพูดกับใครอ่ะ อาเง็ก” เสี่ยตงถามคุณนายเง็ก
“พูดกับเตี่ยพวกเอ็งนั่นแหละ”
คุณนายเง็ก เสี่ยตงโผเข้าหากันกอดกันกลม
“เตี่ย เตี่ยอยากได้อะไร อยากบอกอะไรพวกอั๊ว เตี่ยก็บอกๆ มาเถอะ อย่าทำแบบนี้”
“ใช่ พวกอั๊วกลัวกันจนขี้หดตดหมายหมดแล้วนะ อาเตี่ยทั้งไปโผล่ที่บ้าน ที่โรงงาน ทั้งมาเข้าฝันพวกอั๊ว จนคนงานจะลาออกกันหมดแล้วเพราะกลัวอาเตี่ย”
ไฟที่จุดไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์เพี้ยนดับวูบลง หน้าต่างที่ปิดเอาไว้ เปิดผ่าง!
ทั้งคุณนายเง็ก เสี่ยตง ลูกศิษย์ แม้แต่อาจารย์เพี้ยนยังตกใจ ร้องลั่น
“เตี่ยพวกเอ็งนี่ มันดุจริงๆ”
“ตอนเป็นคน แกใจดีนะ ไม่น่าเชื่อเลยพอเป็นผี แล้วจะเฮี้ยน”
“แสดงว่าแกคงมีห่วงอะไรบางอย่าง และอยากจะสื่อสารกับพวกเอ็ง”
“ก็สื่อสารมาเซ่ จะเล่นตัวอะไรนักหนา หาเตี่ย”
หน้าต่างถูกลมพัดกระแทกปิดเหมือนเดิม ปัง!
“ว้ากกกกก” ทุกคนร้องลั่น
“พวกเราคงไม่มีใครมีคลื่นที่จะจูนกับเตี่ยพวกเอ็งได้มากกว่านี้”
“แล้วทำไง จะหาใครที่ไหนมาจูนกับเตี่ยอั๊วติดเนี่ย”
ปฏิทินชนิดแขวนที่มีอักษรจีนอยู่ด้วย ที่แขวนอยู่บนฝาผนังห้อง เปิดพึ่บพั่บๆ ส่ายไปมา ทุกคนตกใจ มองดูตัวแข็ง ปฏิทินร่วงลงมาบนพื้น เปิดหน้าเดือนกุมภาพันธ์เอาไว้ น้ำจากเพดานหยดใส่ลงบนวันที่ที่เป็นวันอังคาร และตัวอักษรที่เขียนว่าปีขาล ทุกคนคลานเข้าไปดู
“เตี่ยพวกเอ็งกำลังบอกอะไรบางอย่างแก่พวกเรา วันอังคาร เดือนสาม ปีเสือ”
ทุกคนมองหน้ากัน ประหลาดใจ
วันต่อมาจุลลาขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนน ที่สองข้างทางมีสวนมะพร้าวเต็มไปหมด จุลลาลดความเร็วลง มองสองข้างทางด้วยความสดชื่น จุลลาจอดมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อกออก สูดหายใจรับอากาศสดชื่น สะอาดเข้าเต็มปอด
“ไม่น่าเชื่อ ว่าแถวนี้จะยังมีสวนมะพร้าวเยอะขนาดนี้ ถ้าได้ทำงานที่นี่ก็แจ่มสิ แต่...อย่าคาดหวัง แล้วจะไม่ผิดหวังใช่มั้ยจุลลา”
จุลลายิ้มปลงๆ สวมหมวกกันน็อก เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ ออกเดินทางต่อไป
จุลลาจอดมอเตอร์ไซค์หน้าประตูโรงงานปาล์มโปรดักส์ แต่ประตูยังปิด จุลลาถอดหมวกกันน็อกมองเข้าไปในโรงงาน โรงงานปาล์มโปรดักส์ เป็นโรงงานขนาดกลางตั้งอยู่ท่ามกลางสวนมะพร้าวที่แน่นขนัด
ยามจ้อยนั่งเขียนตารางงานอยู่ จุลลาโผล่เข้ามา
“สวัสดีค่ะ”
ยามจ้อยลุกขึ้นแข็งขัน
“สวัสดีครับ กระผม มีอะไรให้รับใช้กระผม” จุลลายิ้ม ชอบใจกับท่าทางของยามจ้อย
“สวัสดีค่ะ คือ ฉันจะมาสมัครงาน ออฟฟิศเปิดยัง”
“ยังครับผม เปิดทำการแปดนาฬิกาครับผม”
“เหลืออีกครึ่งชั่วโมง เข้าไปรอข้างในได้มั้ย”
“ไม่ได้ครับผม ต้องรอข้างนอกครับผม”
“เหรอ พอดี เอารถมา”
“รถก็ต้องรอข้างนอกครับผม”
“ก็ได้...จะไปรอที่ไหนล่ะเนี่ย” จุลลาบ่น
“มีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ นี่ครับผม นั่งรอได้ ไม่เสียตังค์ แต่ระวังเป็นหนี้บัตรอิอ้อย นะครับผม”
“บัตรอิอ้อย” จุลลางง
เจ๊อ้อยเป็นเจ้าของร้านอาหารตามสั่งและของชำ และมีของโชว์พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูก เช่น พัดลม หม้อหุงข้าว เครื่องเสียง ทีวี วางโชว์ไว้ให้ซื้อในราคาเงินผ่อน เจ๊อ้อยกำลังผัดข้าวให้คนงานที่มานั่งกินข้าวรอเวลาเข้างานที่โรงงาน
“ข้าวผัดหมูใคร มาเอาไป”
คนงานคนหนึ่งเดินมารับข้าวผัดหมู จุลลาเดินเข้ามา เจ๊อ้อยและคนงานมองกันเป็นตาเดียว
“ขอกาแฟร้อนแก้วค่ะ”
“ได้ค่ะได้”
เจ๊อ้อยวิ่งไปที่โต๊ะชงกาแฟ จุลลาหาที่นั่ง
“มาธุระที่โรงงานเหรอคะ” เจ๊อ้อยถาม
“มาสมัครงานค่ะ”
“ตำแหน่งเลขาเหรอคะ”
“วิศวกรคุมเครื่องจักรค่ะ”
“ว้าววว เท่จุงเบย” จุลลายิ้มๆ ไม่พูดอะไรต่อ เจ๊อ้อยยกกาแฟมาเสิร์ฟ จุลลายกกำลังจะดื่ม “ขอให้ได้ ขอให้โดนนะคะ”
จุลลาแทบสำลักกาแฟ ยิ้มเจื่อนๆ
“ค่ะ ขอบคุณ”
ไอ้เข่ง คนงานตัวโต หน้าเหี้ยมแต่รักเด็ก ชอบดูการ์ตูน เดินมาหาเจ๊อ้อย
“เจ๊อ้อย อยากได้จอแบน สี่สิบสองนิ้วอ่ะ จะได้ดูการ์ตูนดิสนีย์แจ่มๆ”
“สองหมื่นสอง มีปัญญาหรือไง ไอ้เข่ง”
“ก็จะมากดบัตรอิอ้อยของเจ๊ไง”
“ฉันรู้ว่าแกไม่มีปัญญาจ่าย เดี๋ยวก็ลาออกหนีหนี้เหมือนไอ้เขียดอีก ไม่อนุมัติเว้ย อยากได้อะไรก็ให้ประมาณรายได้ตัวเองหน่อย”
“เออ ไม่รูดก็ไม่รูด ดูเครื่องเก่าก็ได้ หิวว่ะ เอาข้าวกะเพรามด”
“เฮ้ย หมู”
“เออ หมู”
“เฮ้ย”
“ถูกแล้ว”
“เจ๊ล้อเล่น รอเดี๋ยว เดี๋ยวเสร็จ”
แสบ หัวหน้าคนงานจอมซ่าเข้ามากับไอ้หยิก ลูกน้องจอมหลักการ ดีแต่โม้ ไอ้ถัด ลูกน้องนักมวยเก่า ไม่พูด ใช้แรงอย่างเดียว เดินเข้ามา
“เจ๊อ้อยที่รักของแสบ สวัสดีจ้า”
“ไหว้แม่เถอะลูก เมื่อไหร่จะจ่ายค่างวดหม้อหุงข้าวเจ๊”
“โห เจ๊เช้าๆ เค้าไม่ให้ทวงหนี้ เดี๋ยวจะไม่เฮง”
“เค้าไหนบอก สำหรับเจ๊ เช้าๆ ต้องเอาเงินเข้ากระเป๋า จะได้เฮงๆ เว้ย จ่ายมา ไม่จ่าย กระทะลอย สองร้อยห้าสิบ”
“ไอ้หยิก เอามาเด้ะ” แสบบอก
“เหลืออยู่เจ็ดสิบ”
“ถุย! ไอ้ถัด มึงเอามายืมหน่อย สองร้อยห้าสิบ” ถัดควักออกยี่สิบ
“ให้ได้แค่ยี่สิบ”
“ไรแว้ ทำไมลูกน้องกูมีแต่จนๆ วะ กูจนคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องจนตามกู” แสบเห็นเข่งกำลังหลบหลังเสา ทั้งๆ ที่ตัวเองตัวใหญ่ยักษ์หลบไม่มิด “ไอ้เข่ง มึงไม่ต้องหลบ คิดว่าตัวเองตัวเท่ามดหรือไง แหม ทำตัวลีบ เอามายืมเด๊ะ ขาดอีกร้อยสามสิบ”
“ก็ได้”
“พรุ่งนี้เงินเดือนออกแล้ว กูใช้คืนแน่นอน ไอ้แสบพูดคำไหนคำนั้น”
ลูกน้องเอาเงินมาให้แสบ เจ๊อ้อยรอรับ จุลลาลุกขึ้น
“เจ๊ คิดเงินด้วยค่ะ”
แสบและลูกน้องหันมองจุลลา อึ้งๆ มองด้วยความสนใจ
“สิบบาทค่ะคุณ”
จุลลายิ้ม ถูกไม่น่าเชื่อ ยื่นเงินให้เจ๊อ้อย แล้วออกไป
“ใครอ่ะ เจ๊ สวยเป็นบ้าเลย”
“เค้ามาสมัครเป็นนายช่างโรงงานแกไง”
“มาเป็นหัวหน้าพวกเรานี่หว่าพี่แสบ”
“เฮ้ย หัวหน้าผู้หญิง ได้ไงวะ”
แสบเปลี่ยนท่าทีไม่ยอมรับจุลลา
จุลลาเดินเล่นมาตามสวนมะพร้าว ลมพัดอ่อนๆ จุลลารู้สึกสดชื่น เดินไปเรื่อยๆ จนสะดุดตาที่มุมหนึ่ง จุลลาเห็นฮวงซุ้ยสีขาวตั้งตระหง่านกลางสวนมะพร้าว
“ฮวงซุ้ย แถวนี้มีฮวงซุ้ยด้วย”
ลมพัดโชยมาอีก เหมือนต้องมนต์ จุลลาเดินเข้าไปหาฮวงซุ้ย
ในร้านเจ๊อ้อย เจ๊อ้อยคุยกับพวกแสบ
“ก็หัวหน้าพวกแกลาออกไปพร้อมๆ กับไอ้ผู้จัดการฝ่ายผลิตไม่ใช่เหรอ”
“พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย ที่นายช่างแกออกเพราะเจ๊พุ่มบอกว่าแกเจอผีเจ้าสัว”
“ผีเจ้าสัว”
จุลลาเดินมาถึงหน้าฮวงซุ้ยเห็นฮวงซุ้ยสวยงามมาก
“ฮวงซุ้ยจริงๆ ด้วย”
ลมพัดปะทะร่างของจุลลาวูบหนึ่ง จุลลารู้สึกเย็นอย่างประหลาด จุลลาสำรวจโดยรอบซึ่งปลูกดอกคุณนายตื่นสาย และดอกอื่นๆ ประดับสวยงาม และไม่มีป้ายปักว่าห้ามเข้า
“ไม่มีป้ายห้ามเข้า”
จุลลาจะเดินเข้าไป ฉุกคิดขึ้นได้ จุลลาโค้งคำนับและยกมือขึ้นประสานกัน แบบเอากำปั้นข้างหนึ่งชนฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ตามแบบฉบับหนังจีนกำลังภายในเพื่อทำความเคารพเจ้าของฮวงซุ้ย
“ขออนุญาตนะ ท่านผู้อาวุโส...เออ แล้วเรารู้ได้ไง ว่าคนที่นอนอยู่ในนั้นเป็นผู้อาวุโส”
เสียงลมพัดกระทบใบไม้ซู่ซ่า จุลลาได้ยินเสียงหัวเราะหึหึหึ ปนกับเสียงแหบๆ เหมือนเสลดติดตอดังแว่วมาเบาๆ จุลลาชะงัก มองไปรอบๆ ไม่มีใคร
“หูฝาดแหงเรา”
จุลลาเดินเข้าไปในฮวงซุ้ย ลมพัดยอดมะพร้าวไหวเอน เสียงลมหวีดหวิวคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะดังลอยมาไกลๆ
จุลลาเดินมาถึงด้านหน้าฮวงซุ้ยเห็นเครื่องไหว้เครื่องเซ่นเต็มไปหมด อุดมสมบูรณ์ล้วนเป็นของดีๆ จุลลามองสำรวจไปทั่วบริเวณฮวงซุ้ยที่กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน ร่มรื่น ท่ามกลางสวนมะพร้าว เสียงลมพัดใบมะพร้าวต้องลม ไหวเอน
“หึหึหึหึหึหึหึหึ”
เสียงเบาๆ ดังลอยมาทำให้จุลลาชะงัก ตัวแข็ง นิ่ง ฟัง จุลลารู้สึกขนลุกซู่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ข้างหลัง จุลลารู้สึกประสาทตื่นมากขึ้น ลมพัดซู่แรงขึ้น ยอดต้นมะพร้าวโบกไหวไปมาตามแรงลม จุลลากำลังจะหันหลังไปดูข้างหลัง จู่ๆ ลูกมะพร้าวจากต้นมะพร้าวข้างหน้าจุลลาก็ร่วงหล่นลงมาตุ๊บ! จุลลาตกใจ หันไปดูลูกมะพร้าวปั๊บ แล้วจุลลาก็นึกขึ้นได้ มองดูนาฬิกาข้อมือ
“เฮ้ย! แปดโมงแล้ว” จุลลารีบคำนับฮวงซุ้ย “ขอบคุณค่ะที่ให้เข้าเยี่ยมชม”
จุลลาวิ่งออกไป
ขณะนั้นทุกคนยังรวมกลุ่มกันอยู่ที่ร้านเจ๊อ้อย เจ๊อ้อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องผีเจ้าสัว
“แสดงว่าผีเจ้าสัวต้องน่ากลัวมาก ใช่มั้ยไอ้แสบ”
“ผีที่ไหนน่ารักบ้างล่ะเจ๊”
“ผีแคสเปอร์ไงพี่แสบ กลมๆ ป้อมๆ สีขาว เคยดูป่ะ”
ทุกคนมองประณามเข่งด้วยสายตา เข่งเงียบ
“เจ้าสัวแกก็ตายไปตั้งนานแล้ว ไม่เคยโผล่มาให้ใครเห็น แต่ทำไมจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเฮี้ยน”
“ไว้เจ๊เจอผีเจ้าสัวแล้วถามเด่ะ”
“ว่าอยู่เหมือนกัน ว้าย! ไอ้แสบ อย่ามาแช่งให้เจอผี”
“เอ๊า! ก็ฉันไม่ใช่ผีเจ้าสัว มาถามก็ไม่รู้หรอก ต้องไปถามกับตัว”
“ไปๆ เลย ไป! ไอ้นี่วอน”
“ไปเว้ยพวกเรา ตอกบัตร ทำงานที่เรารัก”
แสบนำพวกลูกน้องออกไปจากร้านเจ๊อ้อย คนงานพากันลุกออกไปจนหมดร้าน เหลือเจ๊อ้อยยืนอยู่คนเดียวกลางร้าน เจ๊อ้อยมองซ้ายขวา ระแวงว่าจะเจอผี หันไปเห็นตัวเองในกระจกที่ติดไว้บนฝาผนังก็ตกใจสุดตัว
“ว้าย” เจ๊อ้อยโล่งอกเมื่อได้สติ “อ้อ...คนสวยนี่เอง นึกว่าใคร”
จุลลาจอดมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อกวางบนแฮนด์ ขยับกระเป๋าเป้ อย่างมั่นใจแล้วเดินเข้าไปในออฟฟิศ ขณะนั้นสืบสายเดินมากับครรชิต สั่งงานอย่างรวดเร็ว ครรชิตจดมือเป็นระวิง
“เตรียมประชุมผู้จัดการทุกฝ่าย เพื่อรับนโยบายใหม่ปีนี้ ใครขาด แกโดนไล่ออก”
“ครับ ฮ้ะ”
สืบสายเห็นมอเตอร์ไซค์ของจุลลาก็ชะงัก
“เฮ้ย” ภาพจุลลากับมอเตอร์ไซค์ตอนที่ชนกันแวบเข้ามาในความคิดของสืบสาย ครรชิตยังจดยิก
“เฮ้ย ครับ เอ๊ะ...เฮ้ยนี่เป็นชื่อลูกค้าหรืออะไรครับ” สืบสายชี้ไปที่มอเตอร์ไซค์จุลลา ครรชิตเห็นก็ตกใจเพราะจำได้ “เฮ้ย”
“สีนี้ ทะเบียนนี้ ฉันไม่เคยลืม”
“ผมว่าเค้าก็ไม่มีวันลืมบอสเหมือนกันแหละ”
สืบสายเร่งฝีเท้าเข้าไปในออฟฟิศทันที
อ่านต่อหน้า 3
วิมานมะพร้าว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่หน้าแผนกต้อนรับประชาสัมพันธ์ ปาล์มโปรดักส์ น้ำหวาน พนักงานใหม่กำลังฟังบรีฟงานจากประชาสัมพันธ์รุ่นพี่
“เราต้องยิ้มแย้มอยู่เสมอ ห้ามโกรธ ห้ามเหวี่ยง เพราะเราคือตัวแทนของบริษัท”
“ค่ะพี่ น้ำหวานจะจำไว้ค่ะ แต่ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า น้ำหวานจบเลขาไม่ได้จบประชาสัมพันธ์”
“ลองดูก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ไหวยังไงค่อยบอกเจ้านาย มั่นใจเข้าไว้”
สืบสายเข้ามากับครรชิต หน้าบึ้ง เสียงเครียดใส่
“ยัยทอมนั่นอยู่ไหน” น้ำหวาน และรุ่นพี่อึ้ง งง ทอมไหน “ฉันถามว่า ยัยทอมนั่นอยู่ไหน ไม่เห็นกันหรือไง มัวแต่สนใจอะไรกันถึงไม่เห็นคนเข้าคนออก”
“ฮื้อ”
น้ำหวานร้องไห้โฮเพราะตกใจสืบสาย สืบสาย ครรชิตอึ้ง
“เอ่อ หนู ไม่ต้องร้อง” ครรชิตปลอบ “บอสเค้าหมายถึง ผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนทอม ที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันที่จอดหน้าออฟฟิศน่ะ อยู่ไหน” น้ำหวานหยุดร้อง
“อ๋อ คุณจุลลา” รุ่นพี่บอก
“อยู่ไหน”
“อยู่ในห้องน้ำค่ะ”
สืบสายพุ่งเข้าไปที่ทางเข้าห้องน้ำหญิง ทุกคนตกใจ
“บอส”
คุณนายเง็กและเสี่ยตงเถียงกันวุ่นวายเข้ามา
“ลื้ออย่ามาพูด อั๊วไม่ฟัง เหม็นน้ำลาย”
“ตามใจลื้อ”
คุณนายเง็ก เสี่ยตงเห็นพนักงานยืนอ้าปากค้างก็แปลกใจ
“พวกลื้อเป็นอะไร ตกใจเหมือนเห็นผี”
“หา ผีเตี่ยอั๊วโผล่มาอีกแล้วเหรอ”
“ไอ้หยา วันนี้มาแต่เช้าเลยเหรอฮ้าเตี่ย” คุณนายเง็กกระโดดเข้ากอดเสี่ยตง
โอ๋ๆๆ ไม่ต้องกลัวน้า เฮียอยู่ใกล้ๆ” เสี่ยตงปลอบเมีย
“หัวใจอั๊วจะวายอยู่แล้วเฮีย”
ครรชิต น้ำหวาน รุ่นพี่มองสองคนผัวเมียโอ๋กัน อ้าปากค้าง คุณนายเง็ก เสี่ยตงรู้สึกตัว รีบผละออกจากกัน
“ตกลง เป็นอะไรกัน”
“บอสบุกห้องน้ำหญิงครับ ท่านประธาน ท่านรอง”
“ไอ้หยา อาตี๋” คุณนายเง็ก เสี่ยตงร้องออกมาพร้อมกัน
ในห้องน้ำหญิงออฟฟิศปาล์มโปรดักส์ จุลลาอยู่ในชุดสมัครงาน กระโปรง เสื้อเชิ้ต เท่ๆ มองดูตัวเองในกระจก
“เอาวะ ใส่กระโปรงสมัครงานก็ได้ เผื่อจะฟลุค”
จุลลาสำรวจความเรียบร้อย เติมลิปสติกสีอ่อนพอให้มีสีระเรื่อไม่ให้หน้าซีด รวบผมธรรมดาไม่ให้ปรกหน้ารกรุงรัง เช็กอีกที เรียบร้อย เก็บของลงเป้เดินออกไปจากห้องน้ำ
จุลลาเดินออกมาเจอสืบสายยืนขวางอยู่หน้าห้องน้ำ จุลลาไม่ทันได้มอง ชนเข้ากับสืบสาย
“ขอโทษค่ะ” จุลลาบอกอย่างตกใจ สืบสายเซ เสียหลัก
“เฮ้ย”
ด้วยสัญชาติญาณของจุลลา รับช้อนประคองสืบสายไม่ให้ล้มหงาย โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร สืบสายล้มลงในอ้อมแขนของจุลลา ทั้งจุลลาและสืบสายจ้องหน้ากัน อึ้ง หวั่นไหวในใจกันทั้งคู่
คุณนายเง็ก เสี่ยตง ครรชิต น้ำหวาน และรุ่นพี่เข้ามาเห็นพอดี ทุกคนมองสืบสายอยู่ในอ้อมแขนของจุลลาแล้วอึ้ง
“เอ่อ ในตำแหน่งของบอส ที่ถูกต้องแล้ว ควรจะเป็นผู้หญิงนะครับ ว่ามั้ย” ครรชิตถามขึ้นมาเบาๆ
“แต่จะว่าไป อาหนูนี่ก็ดูกำยำล่ำสันดีนะ ใครอยู่ในอ้อมแขนอีน่าจะรู้สึกปลอดภัย” คุณนายเง็กบอก
“เสียชื่อลูกผู้ชายชิบเป๋ง ต้องให้ผู้หญิงปกป้อง ไอ้ตี๋! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ป๊าสั่ง!”
จุลลา สืบสายสะดุ้ง สองคนได้สติ จุลลาปล่อยสืบสายทันที เมื่อเห็นชัดๆ ว่าเป็นใคร สืบสายล้มก้นจ้ำเบ้า
“โอ๊ย”
“อั๊วให้ลุก ไม่ใช่ให้ล้ม”
“คนเราต้องล้มก่อนครับ ถึงจะรู้วิธีลุก”
“อาครรชิตพูดถูกใจ”
สืบสายรีบลุกขึ้นมา เจ็บใจจุลลา
“ทำไมฉันต้องมาเจอนายอีกเนี่ย ถามจริง เมื่อไหร่จะไปผุดไปเกิด ตามเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนอยู่ได้”
“แรง” ครรชิต คุณนายเง็ก เสี่ยตงพูดออกมาพร้อมกัน
“คิดว่าฉันอยากเจอเธอมากหรือไง” สืบสายเถียง
“ไม่อยากเจอ แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม”
“เพราะฉันจะมาไล่เธอออกไป”
“หึ...ทำเหมือนเป็นเจ้าของที่นี่งั้นแหละ”
สืบสายยิ้มเหี้ยมให้กับจุลลา จนจุลลาชักหวั่นใจ มองไปที่ครรชิต ครรชิตพยักหน้า
“ลูกชายเจ้าของครับ” จุลลาอึ้ง เหวอ
“ซวยแระ”
จุลลามองหน้าสืบสายที่ยิ้มเย้ยจุลลา จุลลาหน้าเสีย
จุลลาเดินเซ็ง หงุดหงิดกลับมาที่มอเตอร์ไซค์
“โลกจะกลมอะไรขนาดนี้เนี่ย ไม่ยุติธรรมเลยพับผ่า! แห้วตั้งแต่ยังไม่ได้ยื่นใบสมัครเลย”
แสบเดินถือกล่องเครื่องมือมากับเข่ง เข่งเห็นจุลลายืนคอตกอยู่ที่มอเตอร์ไซค์ก็จำได้
“เฮ้ย! นั่นคนที่จะมาสมัครงานเป็นนายช่างนี่พี่ ใส่กระโปรงแล้วว่ะ”
“หน้าตาก็สวย แต่ทำไม พอใส่กระโปรงแล้วเป็นกะเทยวะ เฮ้ย หรือว่าเป็น! เอ็งดูดีๆ เด๊ะ”
แสบกับเข่งยืนสังเกตท่าทางจุลลา จุลลาถอนใจ ถอดใจ เปิดเป้ล้วงแจ็กเก็ตมาสวม เตรียมเดินทาง
“ฉันว่า...ทอมต่างหากพี่! เลยดูกระโดกกระเดกเวลาใส่กระโปรง”
น้ำหวานวิ่งออกมาจากประตูออฟฟิศ ตะโกนลั่น
“พี่คะ อย่าเพิ่งไปค่ะ”
แสบเห็นน้ำหวานถึงกับเลือดพุ่งออกจากจมูก เพราะปิ๊งมาก ในสายตาของแสบ น้ำหวานสวยมาก ผมปลิวสยายต้องลม เลือดฝาดสาวสะพรั่ง เป็นช็อตนางฟ้าปรากฏแก่สายตา แสบแทบจะหยุดหายใจ
“มีอะไรน้อง” จุลลาหันมาถามน้ำหวาน
“อย่าเพิ่งถามค่ะ แต่พี่เท่มากเลยค่ะ หนูชอบ”
น้ำหวานกระชากจุลลาเข้าไปทั้งๆ ที่สวมแจ็กเก็ตกันลม จุลลาเหวอ แสบตะกุยเข่งด้วยความตื่นเต้น ใจสั่น รัญจวนเพราะเจอรักแรกพบ
“ไอ้เข่ง กูเจอแล้ว”
“เจออะไรพี่”
“ความรักของกู”
แสบเดินเพ้อจะตามจุลลาและน้ำหวานไป แต่ถูกรถสปอร์ตสีแดง วิ่งปาดหน้าไปอย่างเร็ว แสบกับเข่งแทบกระโดดหลบไม่ทัน
“เฮ้ย”
“จะรีบไปตายหรือไงครับเพ่”
“ขับแบบนี้ คงไม่ตายดีหรอกครับผม”
แสบ เข่ง หันมาชกกำปั้นใส่กันอย่างเห็นด้วย
รถสปอร์ตจอด ทรงเดช หนุ่มหล่อ มาดดี เก๊กหล่อเต็มที่ลงมาจากรถ สวมแว่นกันแดด ใส่สูท แต่ร้อนตับแตก ยืนเท่ โพสต์เก๋ เพื่อดึงทุกสายตาให้หันมามอง เมื่อเห็นคนงานทั้งหลายที่ผ่านไปมามองเป็นตาเดียว รู้สึกสมใจ เดินเข้าออฟฟิศไปอย่างสง่างาม แสบกับเข่งมองทรงเดชอ้าปากหวอ
คุณนายเง็กเดินเข้ามาในห้องทำงานเสี่ยตง แจ้งเจตนารมณ์
“แต่อั๊วชอบอาหนูคนนั้น อีดูบึกบึน อั๊วให้คนไปตามมาแล้ว จะขอสัมภาษณ์ซะหน่อย”
สืบสาย เสี่ยตงตกใจ ไม่พอใจ
“หม่าม้า”
“อาเง็ก”
“อะไร เรียกทำไม”
“ม้ารู้จักคำว่า...ซวยมั้ย” สืบสายถาม
“อ๋อ เจอเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนปีชง แต่ปีนี้ปีเฮงของอั๊ว อั๊วไม่กลัว”
“แต่ผมกลัว ยัยนั่นเป็นสิบแปดมงกุฎ จะไถเงินผม แต่ผมรู้ทัน เลยต่อยผมซะตาเขียว”
“อาครรชิต” ครรชิตรีบรายงาน
“ผมขับรถเฉี่ยวคุณคนนั้น เราผิดเต็มๆ ครับ แต่เค้าก็ไม่รับเงิน ที่บอสถูกต่อยเพราะไปปากเสียกล่าวหาเค้าแบบนี้ล่ะครับ”
คุณนายเง็กมองหน้าสืบสาย สืบสายชิตจ๋อย จนด้วยเหตุผลแต่ยังไม่ยอมแพ้
“แต่ยัยนั่นเป็นแค่เด็กเสิร์ฟร้านอาหารตามสั่ง อย่างมากก็วุฒิม.3 แต่เราต้องการวิศวกรหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุง มีคนคุณสมบัติดีๆ เพียบ มาสมัคร ม้าเลือกเอาสิ”
“แล้วลื้อรู้ได้ยังไง ว่าอีจบแค่ม.3 เคยดูใบประวัติหรือใบสมัครอีแล้วเหรอ”
“ไม่เคยครับ แต่ผมคิดว่า ไม่ผิดไปจากที่ผมคิด”
“ไอ้หยา เถียงกันอยู่ได้ เสียเวลาทำมาหากิน อาตี๋ ลื้ออย่าไปขัดใจม้าลื้อน่า รู้ก็รู้ว่าขัดไปก็เท่านั้น ปล่อยอีไปเหอะ น่า”
เสี่ยตงขยิบตาให้สืบสายยอมๆ ไปก่อน สืบสายนั่งลงอย่างขัดใจ ยอมก็ยอม คุณนายเง็กเดินไปที่โทรศัพท์ ยกหูหาเลขาหน้าห้อง
“อาคุณหนูนั่น มาแล้วใช่มั้ย”
เลขาคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้องทำงานเสี่ยตง
“ค่ะ ท่านรอง กรอกใบสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ค่ะ”
เลขาวางสาย บอกจุลลาที่นั่งรออยู่
“รอสักครู่นะคะ”
“ค่ะ”
เลขาหยิบแฟ้มใบสมัครและประวัติของจุลลาเข้าห้องไป จุลลานั่งไม่เป็นสุข
ที่ประชาสัมพันธ์ปาล์มโปรดักส์ ทรงเดชถอดแว่นกันแดด ส่งยิ้มพรายให้น้ำหวานและรุ่นพี่ โดยเฉพาะกับน้ำหวาน
“ผมเป็นเพื่อนสนิทของคุณสืบสาย วันนี้ผมนัดเค้า คุยเรื่องงาน”
รุ่นพี่และน้ำหวานมองทรงเดชอึ้งๆ กับการวางเขื่อง ทรงเดชยักคิ้วหลิ่วตาให้น้ำหวาน น้ำหวานไม่ชอบ
“พี่เป็นโรคตาชักกระตุกเหรอคะ”
“น้ำหวาน! ถามแบบนั้นไม่ได้” รุ่นพี่ปรามน้ำหวาน
“ขอโทษค่ะ” ทรงเดชเซ็ง รีบเปลี่ยนเรื่อง
“รีบแจ้งคุณสืบสายเถอะ ว่าทรงเดชมาแล้ว”
“นั่งรอก่อนสักครู่นะคะ ตอนนี้ผู้จัดการอยู่ในห้องท่านประธาน”
“ห้องป๊าเหรอ ฉันจะไปรอที่หน้าห้อง พาไปหน่อย” น้ำหวานกับรุ่นพี่อึ้งกับความไม่มีมารยาทของทรงเดช “เร็วๆสิ! หรือจะให้ฉันรายงานสืบสายว่าพวกเธอทำงานชักช้า ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักว่าใครเป็นใคร”
รุ่นพี่หันมองน้ำหวาน พยักหน้าให้น้ำหวานพาไป
“เชิญค่ะ”
น้ำหวานออกเดินนำทรงเดชไป ทรงเดชแอบมองหุ่นของน้ำหวานด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
ในห้องทำงานเสี่ยตง สืบสายมองเอกสารประวัติของจุลลา แทบไม่เชื่อสายตา
“ยัยนั่นจบวิศวะเครื่องกล”
“เซอร์ไพรส์”
สืบสายหันมองครรชิตตาเขียว
“ขอม้าดูบ้างซิ” สืบสายยื่นเอกสารให้คุณนายเง็ก “แถมยังมีประสบการณ์ทำงานมาตั้งสามปี”
“แต่ยังไงอั๊วก็ว่าไม่เหมาะน่า”
“ทำไม”
“ก็อีเป็นผู้หญิง ถึงลื้อจะเห็นว่าอีบึกบึน แต่จะไปสู้งานหนักเหมือนผู้ชายได้ไง”
คุณนายเง็กเห็นวันเดือนปีเกิดของจุลลาแล้วกรี๊ดลั่น
“อ๊ายยยยย”
สืบสาย เสี่ยตง ครรชิตตกใจ
“ม้าเป็นอะไร”
“อาเฮีย ลื้อดูเนี่ย วันเดือนปีเกิดของอาหนูจุลลา”
คุณนายเง็กส่งเอกสารให้เสี่ยตง เสี่ยตงรับมาดูแล้วตกใจ
“ไอ้หยา”
สืบสายและครรชิตมองหน้ากันงง และประหลาดใจมาก วันเดือนปีเกิดของจุลลาส่งผลอะไร
จุลลายังนั่งอยู่หน้าห้องทำงานเสี่ยตง น้ำหวานเดินนำทรงเดชมา
“เชิญค่ะ”
“ขอบใจนะ” ทรงเดชยักคิ้วส่งสายตาเจ้าชู้ให้น้ำหวานอีก “ชื่ออะไรจ๊ะ”
“หนูว่าพี่ไปหาหมอเหอะ สงสัยเส้นประสาทที่หน้าไม่ปกติอ่ะ ชักกระตุกอีกแล้ว”
น้ำหวานบอกแล้วรีบเดินออกไปอย่างไม่พอใจทรงเดช จุลลาแอบอมยิ้ม เพราะถูกใจ ทรงเดชเซ็ง เจ็บใจน้ำหวานที่ปากไม่ดีใส่ หันมาเจอจุลลาที่นั่งยิ้มอยู่พอดี จุลลารีบหุบยิ้ม ทรงเดชเห็นจุลลาแล้วพอใจ คิดว่าจุลลาให้ท่า มองสำรวจจุลลาทั้งตัวอย่างเสียมารยาท จุลลาไม่พอใจ แต่เก็บอาการ ตีหน้าเฉย ทรงเดชลงนั่งข้างจุลลาคุยโชว์พาวเวอร์
“รอสัมภาษณ์งานเหรอครับ” จุลลาพยักหน้า “ผมไม่ต้องสัมภาษณ์ เพราะสืบสายเพื่อนรักของผม เห็นว่าผมมี
ประสบการณ์ทำงานที่โรงงานผลิตสัปปะรดกระป๋องที่โฮโนลูลูหลายปี คือผมจบวิศวะที่อเมริกาน่ะครับ สืบสายชวนมาเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตที่นี่ ตอนแรกก็ลังเลนะ แต่เห็นว่าเพื่อนไม่มีใครช่วย อีกอย่างก็คิดถึงบ้าน เบื่อเมืองนอก”
“ค่ะ” จุลลาตัดบทสั้นๆ ห้วนๆ เพราะรำคาญ ทรงเดชอึ้ง แต่ยิ้มกลบเกลื่อน เจ้าชู้ใส่จุลลา
“พอดีเห็นนั่งเหงาๆ เลยชวนคุยเล่นๆ คุณมาสมัครงานตำแหน่งอะไร เป็นเลขาผมดีกว่า เดี๋ยวผมจะบอกเพื่อน
ให้ ผมชอบคุณนะ คุณดูมั่นใจในตัวเอง”
“ขอโทษนะ ไม่ได้อยากคุยด้วย” จุลลาตัดบท ทรงเดชอึ้ง เจ็บใจ
เลขารับโทรศัพท์จากข้างใน วางสายแล้วรีบบอกจุลลา
“คุณจุลลาคะ ท่านประธานเชิญด้านในค่ะ”
จุลลาโล่งอกที่หลุดจากทรงเดช
“ขอบคุณค่ะ”
จุลลาเดินเข้าห้องไป ทรงเดชหันมาเหวี่ยงใส่เลขาที่แอบอมยิ้มสะใจที่ทรงเดชหน้าแตก
“ยิ้มอะไร”
“ขอโทษค่ะ”
เลขาก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาทรงเดชที่เกรี้ยวกราด
“จุลลา” ทรงเดชพึมพำออกมา
จุลลานั่งงงอยู่ในห้องทำงานเสี่ยตง คุณนายเง็กกับเสี่ยตงจ้องจุลลาเขม็ง สืบสายนั่งหงุดหงิดมาก ไม่พอใจเหตุผลของแม่เรื่องวันเดือนปีเกิดของจุลลา
“ค่ะ หนูเกิดวันที่ 3 เดือนกุมภาพันธ์ ปีขาล เอ่อ...ไม่ดีเหรอคะ”
“ไม่รู้” คุณนายเง็กกับเสี่ยตงบอกออกมาพร้อมกัน
“อ้าว”
“แต่อั๊ว เอ๊ย...ฉัน รับหนูเข้าทำงานเลย” คุณนายเง็กบอก
“ไอ้หยา อาเง็ก”
“ไม่ได้นะหม่าม้า”
“ทำไมวะ เอ๊ย คะ อาเฮีย อาตี๋”
“เตี่ยอาจจะไม่ได้หมายความอย่างที่ลื้อคิดก็ได้” เสี่ยตงแย้ง
“ใช่ครับ ไม่มีใครรู้ว่าก๋งต้องการอะไรกันแน่กับวันที่สามเดือนสามปีขาล”
“แต่อั๊วถูกชะตาอาหนูจุลลาคนนี้มาก แล้วอาเตี่ยก็ต้องรู้สึกเหมือนอั๊ว อีเป็นคนดลใจอั๊วแหงๆ”
“อาเตี่ย ใครคะ” จุลลาถามอย่างแปลกใจ
“พ่อของท่านประธานไง ใครๆ เรียกว่าเจ้าสัว แต่อีซี้เลี้ยว อยากเจออีเหรอ”
“อุย! ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ม้า รับคนทำงาน เค้าดูที่ความสามารถ ไม่ใช่วันเดือนปีเกิด”
“ในประวัติอี อีก็มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์”
“แต่เราไม่เคยเห็น”
“มีช่วงทดลองงานพนักงานใหม่ไม่ใช่เหรอคะ” จุลลาถาม
“อาหนูพูดถูก”
“แต่ผมมีคนอื่นในใจอยู่แล้ว ผมไม่ต้องการรับนางสาวจุลลา ใจเรืองคนนี้มาทำงานเป็นหัวหน้าแผนกซ่อมบำรุง”
“งั้นให้เป็นผู้จัดการฝ่ายผลิต”
“ผมให้เพื่อนมารับงานนี้แล้ว”
“งั้นให้เป็นเมียลื้อ”
“ชาติหน้าเลยม้า”
“ชาติหน้าฉันก็ไม่เอา” จุลลาสวนกลับทันที
“แรง”
สืบสายเจ็บใจจุลลาที่แสดงชัดมากว่าเกลียดเขาขนาดนี้
“ตามนี้แหละฟันธง”
“ผมเป็นเอ็มดี ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนฟันธงเรื่องรับคนเข้าทำงาน”
“แต่อั๊วเป็นแม่เอ็มดี แถมยังเป็นเมียท่านประธาน ใครใหญ่”
“ท่านรองครับ” ครรชิตบอก
“จบ” สืบสายกะเสี่ยตง มองหน้ากัน
เสี่ยตงขยิบตาให้สืบสายยอมๆ ไปก่อนอีกครั้ง สืบสายถอนใจ ถอดใจ
“พรุ่งนี้เริ่มงานเลย อาหนูจุลลา” คุณนายเง็กสรุป จุลลาอึ้งเหวอ
“ให้หนูเริ่มงาน ตกลง ทำตำแหน่งอะไรคะ”
“หัวหน้าแผนกซ่อมบำรุงไงคะ”
“แต่ถ้าทำตัวดี จิตใจดี อนาคตก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเมียเอ็มดีครับ” ครรชิตบอก
“ถูก” คุณนายเง็กเห็นด้วย
“หม่าม้า” สืบสายตกใจ
“งั้นหนูลาออกตอนนี้เลย! รู้ดีค่ะ ว่าคงไม่มีอนาคตแน่นอน” จุลลารีบบอก
“ไม่ได้ค่ะ อาครรชิตอีพูดเล่นน่า หนูอย่าซีเรียสสิ น้า ตกลงทำงานกับเรานี่แหละ ไม่ต้องไปไหน มีหนูอยู่ที่นี่ เราอุ่นใจ” คุณนายเง็กบอก
“อุ่นใจ”
“แต่ถ้าเธอทำงานห่วยแตก ไม่คุ้มค่าจ้าง ไม่ต้องรอทดลองงานครบสามเดือน ฉันมีสิทธิ์ไล่เธอออก เข้าใจมั้ย” สืบสายรีบบอก
“ก็มาดูกัน ฉันหรือคุณ ที่ห่วย” จุลลาสวนกลับ
“แรงได้อีก” ครรชิตบอก
“ถูกใจอั๊ว” คุณนายเง็กบอกอย่างถูกใจ
จุลลามองสืบสายอย่างไม่หวั่นเกรง อยากเอาชนะสืบสายให้ได้ คุณนายเง็กกับครรชิตเห็นดีเห็นงาม เสี่ยตงเซ็งเมียแต่ไม่อยากขัดใจ ทันใดนั้นไฟในห้องก็ติดๆ ดับๆ เป็นสัญญาณการรับรู้จากสิ่งที่มองไม่เห็น ทำเอาทุกคนเลิ่กลั่ก แต่สืบสายและจุลลายังคงมองอย่างท้าทายกันไม่เลิก
จุลลาเดินงงมาจากออฟฟิศ ในชุดกระโปรง
“อุ่นใจ ทำไมต้องอุ่นใจ วันที่สามเดือนสามปีขาล แล้วไง”
เสียงหัวเราะหึๆๆๆ ลอยมาตามลมอีก จุลลาชะงัก มองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร จุลลาเดินออกไป ที่มุมหนึ่ง สืบสายเดินมามองจุลลาที่กำลังเดินไปอย่างเจ็บใจ ทรงเดชเดินเข้ามาซ้อนหลังสืบสาย มองไปที่จุลลาอย่างเจ็บใจเหมือนกัน
“ป๊ากับม้าฉันรู้เรื่องที่นายจะมาเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตให้ฉันแล้ว พรุ่งนี้เริ่มงานได้เลย”
“พร้อมตลอดเวลา เพื่อนรัก”
“แต่งานนายอาจจะต้องหนักหน่อย ถ้าต้องเจอยัยจุลลา หัวหน้าแผนกซ่อมบำรุงที่ไม่ได้เข้ามาทำงานด้วยความสามารถ”
“ไม่อยากจะพูดแต่ก็ต้องพูด อย่าหาว่าฉันนินทาผู้หญิงเลยว่ะ แต่จากที่ได้คุยกับยัยนั่นระหว่างรอแก บอกเลย ว่าไม่ใช่คนที่ทำงานเป็น”
“ทำงานไม่ได้ ก็ให้ออก ฉันไม่เสียเวลาด้วย ฝากนายจัดการ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่ต้องห่วงเพื่อนรัก”
“ฉันเพิ่งรับช่วงบริหารจากป๊าเต็มตัว มีการปรับเปลี่ยนมากมาย ฉันต้องโฟกัสที่การตลาดและหาลูกค้า เรื่องการผลิตต้องพึ่งมืออาชีพอย่างนาย มันต้องไปด้วยกัน”
“เต็มที่อยู่แล้ว ขอบใจนะที่เชื่อมั่นในตัวฉัน แต่ถามหน่อย ไหนบอกว่ารับงานบริหารมาเต็มตัวแล้วไง ทำไมเสียงของแกถึงหยุดม้าไม่ได้”
“อย่ารู้เลย” ทรงเดชหุบปาก ไม่ถามต่อ สืบสายมองไปที่จุลลาที่ยังเดินงงๆ “ใครรู้เหตุผลที่หม่าม้ารับยัยนั่นเข้าทำงาน คงโดนหัวเราะเยาะตาย” สืบสายบ่นออกมาเบาๆ
“ฮ่ะๆๆๆๆ”
จำรัสหัวเราะอย่างขบขัน จุลลานั่งอยู่กับดารา เป็นเวลาพักผ่อนของครอบครัวหน้าทีวี
“ฮ่ะๆๆๆ เค้ารับแกเพราะแกเกิดวันที่สามเดือนสามปีขาลเหรอวะ ฮ่ะๆๆ”
“ไม่เห็นจะแปลกเลย เจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ มักจะถือเรื่องดวงเรื่องฮวงจุ้ย คงจะมีที่ปรึกษาทางนี้ดูเอาไว้ว่าวันเกิดของลูกจูนมีผลกับดวงของบริษัทล่ะมั้ง แล้วแกก็เชื่อมากซะด้วย”
“ไม่ใช่ที่ปรึกษาทางไหนหรอกค่ะแม่ ก็ท่านเจ้าสัว เตี่ยของท่านประธานนั่นล่ะ”
“เตี่ยเจ้านายแก ตายไปแล้วหรือยังอยู่วะ”
“ตายแล้ว อยากเจอแกจริงจริ้ง ให้ตายเหอะ”
“เฮ้ย/ว้าย” จำรัสกับดาราร้องออกมาอย่างตกใจกลัว
“จะอยากเจอผีเจ้าสัวแกทำม้ายยย ไอ้จูน” จำรัสถามลูกสาวอย่างแปลกใจ
“เอ๊า ก็จะได้ถามว่าวันที่สามเดือนสามปีขาลมันหมายถึงอะไรกันแน่”
“ถ้าลูกจูนเจอแกจริงๆ ลูกจูนไม่กลัวเหรอคะ ผีนะคะลูก”
“ไม่มีทางเจอหรอกแม่ ผีมีจริงที่ไหนล่ะ”
“ไม่มี แล้วไอ้ที่คนเจอๆ กันล่ะวะ ลูกขนุนหรือไง ไม่เชื่อแกอย่าลบหลู่”
“ไม่ได้ลบหลู่ แต่จูนก็ไม่ผิดที่ไม่เชื่อ เพราะจูนไม่เคยเห็น ช่างเหอะ ก็แค่บ่นไปงั้น พ่อกับแม่อย่าบอกใครนะว่าจูนได้งานเพราะอะไร ทำให้ท่านรองอุ่นใจ เสีย เสีย”
“เฮ้ย! ใครบอกว่าแกไม่ถนัดเรื่องทำให้ใครอุ่นใจ ฝีมือของแกนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้เจ้าของโรงงานอุ่นใจ”
“ไม่ต้องเสียความมั่นใจค่ะลูกจูน ลูกจูนมีเวลาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าลูกจูนมีความสามารถ โรงงานจะไม่ผิดหวังที่รับเรา”
“เรื่องทำงานจูนไม่กลัว แต่เรื่องอคติในใจคนนี่สิคะแม่ อีตาผู้จัดการนั่น ไม่เชื่อมือและน้ำหน้าจูนเลย ปักธงกาหัวตั้งแต่แรกว่าจูนทำไม่ได้ หึ...ไม่รู้เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน”
“ชาติไหนไม่ต้องไปสน เกิดเป็นคนต้องอย่าท้อ ท้อได้แต่อย่าถอย ล้มได้แต่ต้องลุก มองไปข้างหน้า แล้วประกาศท้าเพื่อกำชัย สู้เว้ย”
“คุณจำรัส ลูกจูนไม่ได้ไปรบ”
“รบกับอคติในใจคน มันหนักหนาและยาวนานกว่าสมรภูมิรบไหนๆ อีกนะคุณ! สู้ๆ ไอ้จูน!”
“พูดใหม่ค่ะ”
“สู้ๆ ลูกจูน” จุลลายิ้ม รู้สึกฮึกเหิมด้วยกำลังใจจากพ่อและแม่ “ไปอยู่บ้านพักของโรงงาน ดูแลตัวเองให้ดีนะไอ้จูน โทรรายงานพ่อทุกวันด้วย ว่ามีอะไรเด็ด”
“โทรหาแม่เฉพาะตอนที่ลูกมีคนมาจีบก็พอ”
“พ่อจะได้เอาปืนไปยิงมัน”
“คุณก็ จะดองเค็มลูกจูนไว้บนคานจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย หา”
จุลลาทั้งขำทั้งเซ็งพ่อกับแม่
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่โรงงานปาล์มโปรดักส์ ลมพัดยอดต้นมะพร้าวไหวเอน ฮวงซุ้ยสีขาวมีแสงวาบฉาบทาจากแสงจันทร์ ทำให้สว่างโดดเด่นเป็นพิเศษ ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เสียงหัวเราะดังหึๆๆๆๆๆ แว่วลอยมากับสายลม
อ่านต่อหน้า 4
วิมานมะพร้าว ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่สืบสายและคุณนายเง็กกำลังกินข้าวต้ม จู่ๆ เสี่ยตงก็ประกาศ
“อั๊วจะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น” สืบสายและคุณนายเง็กถึงกับสำลักข้าวต้ม พรวด “พวกลื้อนี่มันยังไงวะ เหมือนไม่เห็นด้วยกับอั๊ว”
“ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่...อั๊วว่าอย่าเพิ่งเลยนะเฮีย”
“แล้วจะรออะไร อั๊วอยากขยายกิจการให้มันยิ่งใหญ่”
“ที่เราเป็นอยู่ มันยังไม่ใหญ่อีกเหรอครับป๊า”
“ใหญ่ได้อีก ปาล์มโปรดักส์ต้องเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ เป็นที่รู้จักติดระดับโลก แต่มันจะเป็นจริงไม่ได้ถ้าเงินทุนมีแค่ขี้ปะติ๋ว ที่ดินตรงนี้ก็เอาเข้าแบงก์ไปแล้ว เหลือที่ราชวงศ์ อั๊วไม่อยากขาย เสียดาย เอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นนี่แหละดีที่สุด ระดมทุน เอาเงินออกมาเยอะๆ ทีนี้จะทำอะไรก็ทำได้คล่องๆ”
“แต่มันขัดกับความตั้งใจของก๋ง”
“ลื้อรู้ได้ยังไงว่าขัด ตอนนี้อีอาจจะลุ้นให้อั๊วทำโรงงานให้ใหญ่ๆ อยู่ก็ได้”
“ลุ้นให้ลื้อเอาที่ออกมาจากแบงก์เร็วๆ ต่างหาก เตี่ยลื้อย้ำนักย้ำหนานะเฮีย ว่าให้ดูแลรักษาสวนมะพร้าวของอีให้ดี อีหวงของอี”
“แค่นี้ ผมก็ว่าพอแล้วนะครับป๊า บริษัทเราครองตลาดเป็นอันดับต้นๆ แค่ดูแลให้อยู่ตัว ควบคุมต้นทุนและคุณภาพ รักษาลูกค้าเดิม หาฐานลูกค้าใหม่เพิ่มอีกไม่เท่าไหร่ ซึ่งผมก็กำลังทำอยู่”
“ลื้อมันไม่มีวิสัยทัศน์! อย่ามาขวางอั๊ว”
“วิสัยทัศน์ของผมคือการบริหารโรงงานที่สร้างขึ้นมาจากหยาดเหงื่อและจิตวิญญาณของก๋ง โดยลูกหลานของก๋ง ไม่ใช่คนนอกที่จะไม่สนใจอะไร ทำตัวเหมือนอีแร้ง คอยจ้องเอาแต่ผลประโยชน์และกำไร”
เสี่ยตงตบโต๊ะเสียงดัง
“อย่ามาดูถูกการตัดสินใจของอั๊ว”
สืบสายนิ่งเงียบ อึดอัด คุณนายเง็กพยายามคลี่คลายบรรยากาศ
“ไอ้หยา สองคนพ่อลูก คุยกันใจเย็นๆ อย่าทะเลาะกัน”
“ส่งไปเรียนเมืองนอก เพื่อให้มาช่วยอั๊วทำงาน ไม่ได้ให้มาหัวแข็ง คอยค้านอั๊ว”
เสี่ยตงลุกเดินออกไป
“ผมไม่ได้ค้าน แต่ผมไม่อยากให้ป๊าลืมว่าเราเคยให้สัญญากับก๋งไว้ยังไง ป๊าสอนผมให้เป็นลูกผู้ชาย สัจจะสำคัญกว่าชีวิต ป๊าจำได้หรือเปล่าครับ”
เสี่ยตงชะงัก อึ้ง หันมาด้วยท่าทีอ่อนลง
“อั๊วไม่ได้ลืม แต่อั๊วเป็นห่วงความมั่นคง ก๋งลื้อเป็นคนโบราณ คิดแบบโบราณ มันไม่มีทางโต”
“ถ้าป๊าเป็นห่วงความมั่นคง ผมขอโอกาสจากป๊าได้มั้ยครับ ผมจะพิสูจน์ให้ป๊าเห็นว่าทางเดียวที่จะทำให้เรามั่นคงได้จริงๆ คือความคิดของก๋ง เราจะไม่เติบโต ตัวใหญ่ โดยที่ขาข้างหนึ่งที่ใช้ยืนเป็นขาของคนอื่น และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าของขาข้างนั้น จะถอนทุนคืนแล้วเดินจากไป ถึงตอนนั้นเราจะยืนอยู่อย่างมั่นคงได้ยังไงด้วยขาเพียงแค่ขาเดียว” เสี่ยตงอึ้ง
“เฮีย ว่าไง” คุณนายเง็กถามสามี
“สามเดือนเท่านั้นอาตี๋ พิสูจน์ให้อั๊วเห็น ว่าลื้อคิดถูก”
เสี่ยตงเดินออกไปอย่างหงุดหงิด
“ตามนั้นนะอาตี๋ ม้าเอาใจช่วย” คุณนายเง็กบอกแล้ววิ่งตามเสี่ยตงออกไป “เฮีย รออั๊วด้วยสิ”
สืบสายถอนใจเฮือก โล่งอก แต่ยังมีความกังวล
ที่ตอกบัตรคนงานและพนักงานของโรงงานปาล์มโปรดักส์ แสบนำขบวนหยิก เข่งและถัดมาตอกบัตร เรียบร้อย หันมา แสบตัวแข็ง ตาเบิกโพลง เหมือนเจอผี ลูกน้องแสบและคนงานที่อยู่แถวนั้นตกใจไปตามๆ กัน
“เฮ้ย”
“อย่าบอกนะ ว่า...”
“ผีเจ้าสัว ว้ากส์” ทุกคนร้องลั่น ลูกน้องแสบและคนงานวิ่งกันวุ่น น้ำหวานเดินเข้ามาจะตอกบัตรได้ยินพลอย
ตกใจไปด้วย
“ผีเจ้าสัว อ๊ายยย” น้ำหวานวิ่งไปกอดแสบเอาไว้ ซบอก ตกใจ หลับตาปี๋ “พี่อยู่กับหนูก่อนนะพี่ อย่าไปไหนนะ หนูกลัว”
แสบเคลิ้ม เลือดกำเดาแทบพุ่ง
“ไม่...ต้อง...กลัว...กอดเถอะ กอดแน่นๆ น่าน ยังง้านนนน โอ๋”
แสบกอดน้ำหวานเอาไว้ น้ำหวานมองไปรอบๆ ไม่เห็นผี รู้สึกได้ว่าแสบกอดเกินเหตุ เงยหน้ามองแสบเห็นแสบเคลิ้ม หลับตาพริ้ม สูดลมหายใจจากไรผมน้ำหวาน
“ผีเจ้าสัว ไหนอ่ะ”
“ไม่ได้มา” แสบหลุดปากบอก
“ผีเจ้าสัวไม่ได้มา”
ลูกน้องแสบและคนงานหยุดกึก
“แล้วพี่ตกใจอะไรวะ” เข่งถาม
“ที่ตกใจเพราะเห็นเนื้อคู่ แถมได้กอดโดยไม่คาดฝัน สวรรค์ของไอ้แสบ”
“ไอ้แสบ”
น้ำหวานโกรธที่ถูกแต๊ะอั๋ง กัดหูแสบทันที
“อ๊ากส์ เจ็บโว้ยยย” น้ำหวานยังกัดค้าง แสบไปไหน ไปด้วย
“ไอ้ อา อ๊ก แอ๊ะ อั๋ง อั๊น แอ อาย (ไอ้ลามก แต๊ะอั๋งฉัน แกตาย)”
“ไม่ปล่อย จูบ”
“อ๊าย”
น้ำหวานตกใจกลัวถูกแสบจูบ ผลักแสบออกไป จุลลาเข้ามาพอดี เห็นแสบเซมา หลบทันพอดี แสบล้มก้นจ้ำเบ้า
“มีเรื่องอะไรกัน น้อง”
“ไอ้แสบมันหลอกว่าผีเจ้าสัวมา แล้วมันก็แต๊ะอั๋งหนูตอนหนูตกใจอ่ะพี่”
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่ตามน้ำ”
“อย่าเข้าใกล้ฉันอีกนะ แม่ด่าเจ็ดวันไม่ซ้ำ จะด่าให้เสียคนเลย”
“ใจเย็น ใจเย็น”
“พี่รีบตอกบัตรกันเถอะ ก่อนที่หนูจะกระโดดกัดหูมันอีกรอบ”
น้ำหวานลากจุลลาไปตอกบัตร แสบจ๋อย เข่งมากระซิบ
“พี่ เจ๊เค้าตอกบัตรด้วยล่ะ แสดงว่าได้งานเป็นหัวหน้าเราแล้วแหง”
“เฮ้ย มันไม่ใช่อ่ะกิ๊บ”
แสบมองจุลลาอย่างไม่ยอมรับ น้ำหวานหันมาแหวใส่แสบ
“ชื่อน้ำหวาน ไม่ได้ชื่อกิ๊บ ไปพี่”
น้ำหวานลากจุลลาไป จุลลาอมยิ้มขำแสบและน้ำหวาน
“น้ำหวาน โอวว นี่กูหลงรักนางฟ้าหรือหมาบางแก้ววะ ดุชิบเป๋ง อู๊ย”
จุลลาเดินมากับน้ำหวาน
“ก่อนเริ่มงาน เราต้องทำจิตใจให้สดใส เดี๋ยวไม่มีสมาธิทำงานนะน้อง”
“หนูชื่อน้ำหวานค่ะ พี่จุลลา”
“เรียกพี่ว่าจูนก็ได้”
“ค่ะพี่จูน น้ำหวานไม่หงุดหงิดก็ได้”
“ดีแล้ว” แต่น้ำหวานยังแค้นไม่หาย
“ไอ้แสบ”
“เฮ้อ”
“น้ำหวานขอโทษ เออ พี่รีบไปเถอะ ท่านรองสั่งไว้ ถ้าพี่มาให้พาไปหา”
“โอเคจ๊ะ”
จุลลารีบตามน้ำหวานไป
จุลลาในชุดช่าง เครื่องแบบพนักงานฝ่ายซ่อมบำรุงยกมือไหว้เจ๊พุ่ม ก็อดมาเธอร์ประจำโรงงานอย่างนอบน้อมโดยมีคุณนายเง็กอยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะ เจ๊พุ่ม”
เจ๊พุ่มรับไหว้ สำรวจจุลลาไปทั้งตัว ตาดุ
“อาพุ่มเป็นคนสนิทคอยรับใช้อั๊ว เอ๊ย ฉันมาตั้งแต่สาวๆ พอฉันแต่งงานอีก็ตามมาคอยรับใช้ด้วย เป็นหัวหน้าแม่บ้านของที่นี่ เหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ของทุกคน มีอะไรอึดอัดคับข้องใจหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกอีได้” คุณนายเง็กบอก
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ท่านรอง”
“พาอาหนูจุลลาไปที่แผนกซ่อมบำรุงเลยนะ อาพุ่ม”
คุณนายเง็กขยิบตาให้เจ๊พุ่มลับหลังจุลลา เป็นอันรู้กันว่าเจ๊พุ่มมีหน้าที่คอยสอดส่องดูแลตามติดพฤติกรรมของจุลลาต่อไป
“เชิญนายช่างทางนี้”
จุลลาตามเจ๊พุ่มไป นึกเกรงเจ๊พุ่ม เจ๊แกใหญ่จริงๆ
ที่ห้องทำงานสืบสาย สืบสายกำลังนั่งทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ครรชิตโผล่หน้าเข้ามา ตื่นเต้น
“บอสครับ โอ้หลั่นล้าแล้วครับ”
“อะไรของแก โอ้หลั่นล้า” สืบสายแปลกใจ อะไรโอ้หลั่ลล้าของมัน
เจ๊พุ่มเดินนำจุลลามาจากทางหนึ่ง เดินวนไปทางหนึ่ง จุลลาเดินตาม เจ๊พุ่มพาจุลลาเดินมาจากทางหนึ่ง เลี้ยวไปทางหนึ่ง จุลลาเดินตามเริ่มเหงื่อตก
“ทำไมมันยังไม่ถึงสักทีว้า” จุลลาบ่นเสียงเบา แต่เจ๊พุ่มได้ยิน หันมามองตาเขียว
“บ่นอะไร นายช่าง”
“คือสงสัยค่ะ ว่า...ไกลจัง”
“จริงๆ น่ะ แค่เลี้ยวแรกก็ถึงแล้ว แต่ไม่พาเข้าไปเอง”
“อ้าว”
“จะพาชมโรงงาน มีปัญหามั้ย”
“ไม่มีค่ะ”
“มาทำงานให้เค้า รู้ยัง ว่าโรงงานเค้าทำอะไร”
“ให้ตอบจริงๆ เหรอคะ”
“เล่นด้วยตรงไหน”
“อุ๊ย ดุจังเจ๊ ก็...โรงงานนี้เป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าที่ทำจากมะพร้าวค่ะ ได้แก่ กะทิสำเร็จรูปบรรจุถุงขายในประเทศ กะทิผงใส่ซองใส่ขวดส่งขายต่างประเทศ เอากะลามะพร้าวมาป่นทำถ่านสำหรับเครื่องกรองน้ำส่งขายโรงงานที่เขาผลิตเครื่องกรองน้ำทั้งในและต่างประเทศ” เจ๊พุ่มยิ้มพึงพอใจ จุลลาหันมาถาม “และเก้าลอเก้า”
เจ๊พุ่มเห็นจุลลามอง หุบยิ้ม
“ที่นี่ไม่ได้ผลิตเก้าลอเก้า”
“ฉันหมายถึง...” จุลลายังพูดไม่จบเพราะเสียงครรชิตดังแทรกเข้ามา
“อีกเยอะแยะมากมายที่โรงงานปาล์มโปรดักส์ของเราผลิต ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวครับ” จุลลาเห็นครรชิตเดินนำเดือนพิไลและพี่บีเข้ามาเยี่ยมชมโรงงาน “ก็มีส่งวัตถุดิบสำหรับยัดที่นอนและเบาะซึ่งทำจากกาบมะพร้าว ทำวุ้นมะพร้าว และตอนนี้เพิ่งเริ่มผลิตน้ำมันมะพร้าวกลั่นเย็นออร์กานิก” ครรชิตเหนื่อย พักหายใจ “เฮือกกกก ครับคุณเดือนพิไล”
จุลลาหันมาบอกเจ๊พุ่ม
“ตามนั้นแหละเจ๊”
เดือนพิไล ตื่นเต้นมากกับธุรกิจของโรงงาน
“ว้าว น่าตื่นตาตื่นใจจังเลยค่ะ” เดือนพิไลเดินไปหาสืบสาย ทอดสะพานนิดๆ จุลลาเห็นสืบสาย ยืนหน้าเครียด ไม่ค่อยเต็มใจมานัก จุลลานึกขำท่าทางของเดือนพิไลและสืบสาย “คิดไม่ผิดเลย ที่รับงานนี้”
พี่บีรีบมาแทรก ไม่อยากให้เดือนพิไลทำประเจิดประเจ้อ
“ใช่ค่ะ ขอบพระคุณนะคะคุณสืบสายที่เลือกเดือนพิไลเป็นพรีเซ็นเตอร์”
“ผมไม่ได้เลือก ป๊าเลือก”
เดือนพิไล พี่บี อึ้ง
แต่เดือนพิไลยังเสนอหน้าร่าเริงดันพี่บีออกไปแล้วเข้าไปประชิดสืบสายอีก
“เรียกมูนดีกว่าค่ะ เป็นชื่อเล่น มีเฉพาะคนสนิทกันจริงๆ เท่านั้นที่มูนจะอนุญาตให้เรียก”
“มันไปตั้งเอาตอนไหนวะ มูน” พี่บีบ่นเบาๆ อย่างงๆ
“ดาราคนนั้นนั่นเอง เป็นแฟนผู้จัดการเหรอเจ๊” จุลลาถามเจ๊พุ่ม
“แฟนเฟินที่ไหนกัน ผู้จัดการยังไม่มีแฟน”
“แต่จูนเห็นเค้านัดเจอกันที่ร้านอาหารของจูนนะ”
“ไอ้หยา จริงเด่ะ” เจ๊พุ่มร้องเสียงดัง ทั้งสืบสาย เดือนพิไล ครรชิต พี่บี และคนงานหันมามองที่จุลลาและเจ๊พุ่มเป็นตาเดียว จุลลาอึ้ง เจ๊พุ่มรีบชี้ไปที่จุลลา ตีความภาษามือได้ว่าจุลลาเป็นคนทำ
“อ้าว...เปลี่ยนชื่อเป็นเจ๊โบ้ยดีมั้ยเนี่ย” จุลลาบ่น สืบสายเห็นหน้าจุลลาแล้วหงุดหงิด เดือนพิไลเห็นหน้าจุลลาแล้วจำได้
“นั่นมันเด็กเสิร์ฟ”
“นั่นเป็นในด้านของลูกกตัญญูช่วยพ่อแม่ทำงาน ส่วนในด้านของอาชีพตัวเองตามที่ร่ำเรียนมา เป็นวิศวกรประจำโรงงาน หัวหน้าแผนกซ่อมบำรุงของเราครับ ขอแนะนำคุณจุลลา ใจเรือง” ครรชิตบอก แล้วหันไปพูดกับคนงาน “เอ๊า พวกเรา ปรบมือ ต้อนรับนายช่าง”
คนงานทั้งหมดหันมาตบมือต้อนรับจุลลา จุลลายิ้มงงๆ ไหว้ทุกคน
“ว้าย ดูสิ มือไม้อ่อน มีสัมมาคารวะ ไม่แบ่งชั้นวรรณะ เริ่ดอ่ะ พิไล” พี่บีบอก
“มูน” เดือนพิไลแอบกัดฟันบอก
“มูนจ๋า ดูคุณจุลลาสิ เริ่ดเนอะ น่าเอาเป็นตัวอย่างในเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ดูไว้ลูกดูไว้”
เดือนพิไลหมั่นไส้จุลลามาก สืบสายนึกพอใจจุลลา แต่ก็ยังมีอคติ
“สร้างภาพ”
“นั่นสิคะ คนเราเวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ ไม่ทำอะไรที่แสดงตัวตนจริงๆ ออกมาหรอกค่ะ”
จุลลาไม่ได้ยินที่เดือนพิไลเม้า ยังคงโค้งให้กับทุกคนที่ยังปรบมืออยู่
จุลลาเดินตามเจ๊พุ่มมาที่แผนกซ่อมบำรุง
“ขอบคุณที่ไม่บอกผู้จัดการว่าเป็นฉันเองที่ร้อง”
“แล้วเจ๊ร้องตกใจทำไม ไม่ชอบเหรอ ผู้จัดการมีแฟนเป็นดารา”
“แฟนผู้จัดการ ท่านรองต้องเป็นคนเลือกเท่านั้น”
“โอะ”
“ถึงแล้ว” เจ๊พุ่มเคาะประตูห้อง แล้วเปิดเข้าไป จุลลามองเข้าไปในห้องแผนกซ่อมบำรุงเห็นแสบนั่งเต๊ะจุ๊ยเป็นหัวหน้าแก๊งค์อยู่ มีถัด หยิก เข่งอยู่รายล้อม “เฮ้ย! นี่คุณจุลลา หัวหน้าของพวกเอ็ง นี่ไอ้แสบ หัวหน้าช่าง ส่วนนั่นก็ไอ้
เข่ง ไอ้หยิกแล้วก็ไอ้ถัด ลูกน้องมัน”
“สวัสดีครับ คุณจุลลา” แสบทักกวนๆ จุลลาสำรวจทุกคน เห็นความเปรี้ยว รู้เลยว่าเจองานหนัก
“สวัสดี อย่าเรียกคุณเลย เรียกพี่จูนดีกว่า”
แสบและลูกน้องยังเฉย
“ถ้าไอ้พวกนี้มันทำตัวไม่ดีกับนายช่าง บอกเจ๊นะ เจ๊จะมาตีกบาลพวกมัน” เจ๊พุ่มบอกจุลลา
“ไม่ใช่หมูใช่หมานะเจ๊! จะให้พวกผมยอมรับ ไม่ใช่ด้วยกำลัง แต่ต้องด้วยความสามารถและบารมีว่ะพี่จูน”
แสบมองจุลลาอย่างท้าทาย จุลลาไม่หวั่นไหวอยู่แล้ว
“โต๊ะนายช่างตัวโน้น มีเหตุด่วนเหตุร้าย สายด่วนถึงเจ๊เลย”
“สายด่วนเจ๊ กดเบอร์อะไรล่ะ”
“ไม่ต้องกด ใช้ตะโกน เดี๋ยวก็มา”
เจ๊พุ่มออกไป โดยยังไม่ค่อยไว้ใจพวกแสบ จุลลาเดินไปนั่งอ่านแฟ้มที่โต๊ะโดยไม่สนใจแสบและพวกที่มองดูจุลลาอย่างไม่วางตาและท้าทาย ทันใดนั้นประตูห้องก็ปิดกระแทกอย่างแรงเหมือนมีใครมาผลัก สะดุ้งโหยงตกใจกันทั้งห้อง ยกเว้นจุลลา
“เฮ้ย”
“ใครแกล้งวะ ไอ้ถัดโผล่หัวออกไปดูเด้ะ” แสบบอก ถัดเปิดประตูห้องมองออกไป ไม่มีใครอยู่แถวนั้น
“ไม่มีใครอยู่เลยนะพี่ ถ้ามีคนแกล้ง ก็ไม่น่าจะหลบทัน ไวเกินลิง”
“หรือไม่ใช่คนวะ”
ทุกคนอึ้ง ถัดวิ่งมารวมกลุ่ม จุลลารำคาญ เดินไปปิดประตูกระแทกมาอย่างแรง ทุกคนตกใจ สะดุ้งอีก
“เฮ้ย”
เดือนพิไลเดินมากับสืบสายกำลังจะกลับ เดินมาที่รถ พี่บีและครรชิตเดินตามหลัง
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์เสียเวลาพามูนเดินชมโรงงาน”
“ป๊า” สืบสายบอกทำให้เดือนพิไลขัดใจ
“ป๊าคุณสั่ง ไม่ใช่คุณ ใช่มั้ยคะ” สืบสายนิ่ง “ถึงยังไง มูนก็ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกันวันถ่ายทำนะคะ บายค่ะ อ้อ...ลืมค่ะ” เดือนพิไลเข้าไปกระซิบสืบสาย ครรชิตและพี่บีมองด้วยความสงสัย สืบสายอึ้ง เดือนพิไลส่งยิ้มบรรจงสวยให้สืบสาย “แล้วเจอกันนะคะ สวัสดีค่ะ”
สืบสายเดินออกไปเลย ครรชิตรีบตาม
“นี่ นังมูน คิดจะทำอะไร” พี่บี ถามเดือนพิไล
“ถ้าฉันไม่ได้เป็นซุปตาร์ในวงการบันเทิง ก็ขอเป็นซุปตาร์ในใจผู้ชายรวยๆ สักคน จะได้ไม่ต้องทำงานหาเงินงกๆ เหนื่อย”
“พ่อแม่หล่อนที่นอนอยู่ในหลุมคงภูมิใจกับชีวิตหล่อนพิลึก”
“เจ๊ อย่าลามถึงพ่อแม่ ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบก็ทำตัวให้มันดีๆ ผีพ่อแม่จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะถูกชาวบ้านพาดพิง แล้วเมื่อกี้กระซิบอะไรกับคุณสืบสาย”
“เรื่องอะไรจะบอก รู้ไว้แค่เป็นมารยาหญิงอย่างหนึ่งก็แล้วกัน”
“ทำไมตอนเล่นละครมันไม่แพรวพราวพลิ้วอย่างนี้บ้างวะ แข็งเป็นสากกะเบือ”
“เจ๊ ขึ้นรถ”
“เออ รู้แล้ว”
พี่บีและเดือนพิไลขึ้นรถไปอย่างโมโหกันทั้งคู่
สืบสายเดินมากับครรชิต เสียงมือถือครรชิตดังขึ้น ครรชิตรีบรับสาย พนักงานคนหนึ่งเอาแฟ้มมาให้สืบสายอ่านเพื่ออนุมัติเซ็น
“ครับ ท่านรอง”
คุณนายเง็กกำลังแอบคุยโทรศัพท์ โดยมีเจ๊พุ่มยืนอยู่ใกล้ๆ
“ลื้อแค่พูดคำว่าครับ แล้วคอยรับคำสั่งจากอั๊วดีๆ ถ้าอาตี๋ถามว่าเรื่องอะไร ให้โกหกไป เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ”
“คอยสืบรายงานความเคลื่อนไหวของอาพรีเซ็นเตอร์เดือนพิไลนั่นให้อั๊วทุกฝีก้าว อั๊วไม่อยากให้อาตี๋สนิทสนมกับอี”
“ผมก็เหมือนกันครับ ท่าทางดู...”
“บอกว่าไม่ต้องพูดมาก”
“ครับผม”
“และถ้าจะให้ดี ให้ลื้อทำตัวเป็นกว้างขวางคอ คอยขัดจังหวะ อย่าให้อาตี๋เพลี่ยงพล้ำให้ผู้หญิงคนนั้นโดยเด็ดขาด ไม่งั้น หัวลื้อขาดแน่ ตามนี้” คุณนายเง็กวางสาย ไม่พอใจเรื่องเดือนพิไลมาก “ขอบใจมากอาพุ่มที่มารายงานอั๊ว อั๊วตะหงิดๆ อยู่แล้วเชียว ว่าอีต้องมาตีสนิทคิดไม่ซื่อกับอาตี๋ เซ้นส์อั๊วไม่เคยพลาด แต่อีนั่นแหละที่จะพลาด”
ครรชิต วางสาย
“ที่ทำอยู่ งานมันคงยังไม่มากพอ ครรชิตสู้ๆ” ครรชิตชูสองนิ้ว
“แม่ฉันโทรมาสั่งให้ทำอะไร” สืบสายเข้ามาถาม
“สั่งให้ซื้อเกาลัดเยาวราชมาฝากด้วยครับ ท่านรองอยากรับประทาน เอ่อ...คุณมูนกระซิบอะไรกับบอสเหรอครับ”
“อยากรู้ไปทำไม”
“ก็ตามประสาผู้ชายอยากรู้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
“เค้าบอกฉันว่า เค้ามีแฟนแล้ว” ครรชิตตกใจมาก
“มีแฟนแล้ว แต่มาอ่อยบอสถึงนี่เนี่ยนะ”
“จะเสียงดังทำไม อ่อยเอ่ยอะไร ฉันไม่เคยสนใจ แล้วนี่ทรงเดชอยู่ไหน ฉันมีเรื่องต้องคุยด้วย”
ส่วนในห้องฝ่ายซ่อมบำรุง จุลลาอึดอัดที่ถูกพวกแสบจับจ้อง มองเอาๆ ที่สุดจุลลาวางแฟ้มลง ลุกขึ้น
“จะเอาไง ว่ามา”
แสบและลูกน้องสะดุ้ง เมื่อเจอท่าทีเอาจริงของจุลลา
“ถามคำเดียว”
“ถามมาสิ ตอบได้ก็จะตอบ”
“ทำไมมาทำงานอย่างนี้”
“ไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกินเข้าไปล่ะ ไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ก็เหมือนเหตุผลของพวกนาย หรือไม่จริง”
แสบ และลูกน้องมองหน้ากัน พอใจแต่ก็ยังไม่ได้ยอมรับ
“คิดไงมาเป็นนายช่าง”
“ชอบ จบมะ”
“พี่มีแฟนหรือยัง”
“ไม่มี เพราะไม่ชอบ เสียเวลา จบมะ”
“ฮิ้วววววว” ทุกคนร้องออกมาอย่างชอบใจ จุลลาอมยิ้ม ทรงเดชเปิดประตูผ่างเข้ามา แสบและลูกน้องตกใจกันอีก ยกเว้นจุลลาที่จิตแข็ง
“ใครวะ เปิดประตูไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“เค้าชื่อส่งเดช เอ้ย ทรงเดช ผู้จัดการฝ่ายผลิต” จุลลาบอก
“จำชื่อฉันไว้นะ เพราะฉันกำลังจับตามองแผนกของพวกนายอยู่”
“ทำไม”
“ผมยังพูดไม่จบ ฟัง คนอย่างผม ทำงานแล้วทำจริง เอาจริง อย่ามาทำเป็นเล่น โดยเฉพาะคุณเป็นผู้หญิง แน่ใจเหรอว่าไหว เรื่องการผลิตนี่มันงานรอกันไม่ได้ จะมาแก้ตัวข้อโน้นข้อนี้ไม่ได้นะว่าทำงานไม่ไหวเพราะเกินกำลังผู้หญิง”
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“ไม่พูดน่ะดีแล้ว ผมเองไม่ชอบคนพูดมาก การทำงานต้องพูดให้น้อย ทำให้มาก งานถึงจะเดิน” จุลลาและแสบ ลูกน้องเริ่มหาว เซ็ง แต่ทรงเดชก็ยังไม่รู้เรื่อง เมาน้ำลาย “ตอนที่ผมคุมโรงงานไพน์แอปเพิ้ลที่โฮโนลูลู ผมกำชับ...”
คนงานคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมา
“พี่ๆ เครื่องจักรหมายเลข 5 เสีย เป็นอะไรไม่รู้ เดินช้ามาก”
“เฮ้ย ได้ไงวะ”
“อยากรู้ก็ไปดูสิวะ”
จุลลาวิ่งนำออกไปเลย แสบและลูกน้องตามไป ทิ้งทรงเดชอ้าปากค้าง
“เฮ้ย! ผมยังพูดไม่จบ อย่าเดินหนี ผมไม่ชอบ เฮ้ย ลองของ ได้”
ทรงเดชไม่พอใจมาก เดินออกไป
จุลลา แสบและลูกน้องยืนดูเครื่องจักรตัวที่เสีย จุลลากำลังเช็ก ทรงเดชยืนดูอยู่หาโอกาสจะลองของจุลลา สืบสายเดินเข้ามากับครรชิต
“เครื่องเป็นอะไร” สืบสายถามทรงเดช
“เดี๋ยวเราก็ได้รู้กันแล้วว่ะสืบ ว่านายช่างที่แม่แกรับมา จะมีความสามารถระดับไหน”
สืบสายมองการทำงานของจุลลา จุลลาโผล่ออกมา
“เพลาคด ต้องเปลี่ยนเพลา”
“ผมก็ดูออก ว่าต้องเป็นที่เพลา” แสบพูดข่ม
“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้”
“ใช้งานมันหนักเกินกำลังการผลิต มีใครรู้บ้างหรือเปล่า”
แสบและลูกน้องยักไหล่
“เค้าก็ทำกันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร”
“ก็เพราะมันยังไม่เป็นอะไรไง แต่ถ้าเป็น...ยาว”
“แล้วต้องทำไง” สืบสายถามต่อ
“เปลี่ยนเพลา”
“งั้นก็เปลี่ยนสิ รออะไร เครื่องชะงักแบบนี้ ถ้าผลิตไม่ทันตามออร์เดอร์ รับผิดชอบกันไหวหรือเปล่า” ทรงเดชบอก จุลลาถอนใจกับเสียงบ้าอำนาจของทรงเดช หันไปบอกแสบ
“มีอะไหล่ใช่มั้ย ไปเบิกมา” แสบหันไปบอกเข่งและลูกน้อง
“เฮ้ย ไปเบิกมาเด้ะ ส่วนฉันจะรอรับคำสั่งจากหัวหน้าแผนกซ่อมบำรุงว่าต้องทำอะไรต่อไป”
“ต้องใช้เวลาซ่อมนานแค่ไหน” สืบสายถามต่อ
“พอสมควร วันนี้อาจจะไม่เสร็จ”
“ถ้าไม่เสร็จก่อนเที่ยงคืนวันนี้ เธอถูกไล่ออก เพราะฝีมือไม่ถึงและสร้างความเสียหายให้กับโรงงาน”
สืบสายบอก จุลลาอึ้งเมื่อต้องตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชายสามคนที่กำลังท้าทายความสามารถของเธอ
จุลลารวบรวมพลัง สมาธิและที่สำคัญที่สุดคือพยายามข่มใจให้เย็นลง
โปรดติดตาม ตอนที่ 2