คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 1
งานแต่งงานของ ศรี ลูกสาวคนโตของเจ้าสัวเส็ง และลูกชายเจ้าสัวเต็ง ถูกจัดขึ้นเป็นพิธีจีนแท้อย่างยิ่งใหญ่ เต็มรูปแบบ สินสอดทองหมั้น เงินสดประดามีของฝ่ายเจ้าบ่าว ถูกหาบมาตั้งวางเรียงราย การกั้นประตูเงิน ประตูนาค ประตูทอง เจ้าสาวที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็น ศรี คลุมหน้าถูกนำตัวมาส่งให้เจ้าบ่าว
บ่าวสาวเดินถือถาดน้ำชามา ด้านหลังมีการตีฆ้องผ่างๆ ตามด้วยพิธีกรประกาศ
“ต่อไปเป็นพิธีขั่งเต๊ เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสิร์ฟน้ำชาบิดามารดา”
ทุกคนที่รอรับน้ำชานั่งเรียงราย เจ้าบ่าวหล่อเหลาขาวใส เจ้าสาวปิดหน้าไว้ตามธรรมเนียม แต่งตัวงดงามด้วยอาภรณ์สีแดง แต่เวลาเดินกลับส่ายไปมา ดูเก้งก้างเจ้าสัวทั้งสองยิ้มย่องผ่องใส
การแต่งงานครั้งนี้คือการคลุมถุงชนอย่างแท้จริง บ่าวสาวไม่เคยมีการเห็นหน้ากันมาก่อน มีแต่รับรู้ว่าใครเป็นใคร เพราะพ่อของ บ่าว สาว เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบาน
เจ้าสัวเต็งมีคุณนายหนึ่งและคุณนายสอง ขนาบขวาซ้าย ยิ้มแย้มบอก
“ได้ยินว่าลูกสาวของเจ้าสัวเส็งงดงามมาก ดวงตาสดใสเจิดจรัสราวแสงดาว แก้มแดงประหนึ่งดอกท้อ ปากสีชมพูประหนึ่งกุหลาบแรกแย้ม ขอบใจจริงๆที่ยกลูกสาวให้”
เจ้าสัวเส็งเองก็มีคุณนายใหญ่ และคุณนายน้อยประกบขวาซ้าย ยิ้มตอบ
“เจ้าสัวเต็งชมเกินไปลูกสาวเราก็แค่สาวหน้าตาดีทั่วไป แต่เน้นเรื่องการศึกษาที่ล้ำเลิศไม่เป็นรองใคร ทั้งด้านวิชาการและการเป็นแม่บ้าน ต้องขอขอบใจเช่นกันที่มาสู่ขอลูกสาวเรา”
คุณนายของทั้งสองฝ่าย ยิ้มย่องให้กัน ต่างถือพัดสะบัดไปมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา คุณนายใหญ่หันมาหาคุณนายน้อย
“คุณนายน้อยจ๊ะ ยินดีด้วยที่แม่ศรีลูกสาวเธอได้ดีมีสามีเพียบพร้อมทุกประการ”
คุณนายน้อยยิ้มแย้ม
“ขอบคุณมากค่ะ คุณนายใหญ่ คุณศุกลลูกชายคุณนายใหญ่ก็เพียบพร้อมไม่แพ้ใคร ต้องได้พบคู่ครองที่คู่ควรเช่นกันนะคะ”
“ขอบใจมากจ้ะ เอ๊ะ ศุกลหายไปไหน ทำไมไม่มายินดีกับพี่สาว” คุณนายใหญ่ว่า
คุณนายน้อยกวาดตามองหา พบว่าไม่มีศุกลที่นั่น ก็แปลกใจเช่นกัน
ภายในลำคลองหลังคฤหาสน์เจ้าสัวเส็งเวลานั้น ศุกลขับเรือยนต์ตะลุยมากลางคลอง มีศรีซึ่งควรอยู่ในงานแต่งอันยิ่งใหญ่นั่งมาด้วย หล่อนมีสีหน้ายิ้มแย้มท่าทางสนุกสนานมาก ขณะที่ศุกลดูกังวลหนัก
“ศุกลน้องรัก สักวันพี่จะตอบแทนหาเจ้าสาวแสนสวยแสนดีให้นาย”
“ขอบคุณ แต่ว่าตอนนี้พี่ศรีจะให้ผมพาไปหลบที่ไหน ที่คิดว่าจะรอดพ้นหูตาของคุณเตี่ยของเรา”
“แถวนี้แหละ พี่ขอแค่รอดพ้นพิธีแต่งงานให้ผ่านไปเท่านั้น จากนั้นอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ระเบิดลงกลางบ้าน หนักกว่าอเมริกาโดนญี่ปุ่นถล่มเพิร์ลฮาเบอร์” ศรีหัวเราะชอบใจ
“น้อยไปน่ะสิ น่าจะเป็นสหรัฐถล่มฮิโรชิมา นางาซากิประมาณนั้นถามจริง พี่ศรีทำอย่างนี้หลายที ไม่เคยเกรงกลัวคุณเตี่ยโกรธบ้างหรือ”
“กลัวสิ แต่พี่กลัวการมีผัวมากกว่ากลัวคุณเตี่ยโกรธพี่อยากอยู่เป็นโสดจนวันตาย”
“ผู้หญิงต้องมีสามีปกป้องคุ้มครองดูแล”
“พี่ต้องการแค่มีเมี้ยนดูแลคนเดียวเท่านั้น อ้อ...ครูแหม่มอีกคนก็ยิ่งดี”
“พี่ศรี เหลวไหลเป็นไปไม่ได้ เมี้ยนมันเป็นบ่าวจะมาดูแลพี่ได้อย่างไร”
“ได้สิ ถ้าเป็นความต้องการของพี่”
“ครูแหม่มก็เหมือนกัน อีกหน่อยก็ต้องไปจากบ้านเรา เพราะเขาจะมาสอนพี่ศรีไปจนแก่เฒ่าได้อย่างไร แค่สอนมาจนอายุยี่สิบแปดนี่ก็แปลกเต็มทน”
“ครูแหม่มไม่ใช่แค่ครู เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และที่ปรึกษาทางด้านวิชาการของพี่ ส่วนเมี้ยนเป็นอะไรที่ตายแทนพี่ได้”
ศุกลส่ายหน้าระอาพี่สาว สองพี่น้องหัวเราะกันคิกคัก แล้วสองคนก็ต้องตกใจ เมื่อสะบันงา สาวน้อยที่สวยงามเหมือนนางเงือกผมยาวเต็มหลังยืนบนแผ่นกระดานที่แล่นมาในทางเรือกำลังพุ่งมา คลื่นน้ำทำเอาไม้กระดานกระดกไปมา สาวน้อยตกใจมาก
“ว๊าย”
เรือพุ่งใส่ไม้กระดาน สาวน้อยหกคะเมนตกลงไปในน้ำต่อหน้าต่อตาสองคนศรีตะโกน
“หยุดเรือ นายหยุดเรือ”
ในงานแต่งงานบ่าวสาวคุกเข่าตรงหน้าเจ้าสัวเส็ง คุณนายใหญ่ คุณนายน้อย สามคนยิ้มย่อง เจ้าบ่าวเจ้าสาว
รินน้ำชาให้เจ้าสัว คุณนายใหญ่ คุณนายน้อย เจ้าสาวรินน้ำชาหกทุกคนอึ้ง เจ้าสัวเส็งยิ้มเขินๆ คุณนายน้อยอายมาก
“ลูกสาวเราประหม่าเขินอายมาก” เจ้าสัวบอก
ทั้งสามดื่มน้ำชาวางลงบนถาดเสียงประกาศบอกให้บิดามารดาให้พรบ่าวสาว มอบทรัพย์สินเงินทองให้ไปตั้งตัวพ่อแม่โน้มตัวมาให้พร และส่งถุงเงิน ถุงทอง กล่องเครื่องประดับ แผ่นโฉนดที่ดินมอบให้เจ้าสาวพยายามให้เจ้าบ่าวรับเท่านั้น
ในคลองสะบันงาตะเกียดตะกายไปเกาะขอบท่าน้ำไว้ ศรีกับศุกลเร่งเรือเข้าไปใกล้ศรีตื่นตระหนก
“เข้าไปดูสิว่าตายไหม”
“ไม่ตายดอก ดูนั่นสิ”
ศุกลถึงกับตะลึง เมื่อเห็นใบที่สวยใสของสะบันงา
“สวยน่ารักอะไรปานนี้”
ศรีเข้าไปหา
“หนู เราขอโทษ”
สะบันงาส่ายหน้า
“อย่าเข้ามานะ”
“เรามาดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ศุกลบอก
“ขึ้นมาสิ จะพาไปส่งบ้าน”
สะบันงารีบบอก
“ไม่...ไม่...ไม่ต้อง”
ศรีชักฉุน
“เอ๊ะ เด็กคนนี้ พูดด้วยดีๆ มีเมตตา ยังมาปฏิเสธไม่รู้หรือว่าคลองนี้เป็นของใคร”
“เอ้อ ของท่านเจ้าสัวเส็ง”
“เราสองคนเป็นลูกท่านเจ้าสัว” ศุกลบอก
สะบันงาตกใจ
“ลูกเจ้าสัวเอ้อ...หนู...หนู...”
“ขึ้นมาสิ” ศุกลเรียก
“ขึ้นมา” ศรีย้ำ
สะบันงาส่ายหน้า
“ขึ้นไม่ได้ ไม่กล้าขึ้นค่ะ”
“งั้นฉันลงไปช่วย”
ศุกลทำท่าจะลงไปดึง สะบันงากรีดร้องดังลั่น
“อย่าๆ”
“เป็นบ้าหรือ หรือว่ากลัวผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นฉันเอง”
ศรีทำท่าจะไปดึง สะบันงาสะอื้น
“หนูอาย ผ้าถุงหนูหลุดหายไปแล้ว”
ศรีกับศุกลอึ้ง
“อะไรนะ”
สะบันงาน้ำตาไหลพราก ขณะที่ศรีระเบิดหัวเราะดังลั่น
“แก้ผ้า แก้ผ้าอยู่ในน้ำ อยากเห็นจัง เกิดมาไม่เคยเห็นใครแก้ผ้านอกจากตัวเองกับครูแหม่ม ตอนอาบน้ำด้วยกันสมัยเด็กๆ”
ศุกลนิ่งไป ทำอะไรไม่ถูกรีบเอามือปิดตาไว้ แต่ศรีกระหยิ่มยิ้มย่องสะบันงาหวาดหวั่น
“อย่านะคะ”
ศรีหันไปสั่ง
“ศุกลไปหาเสื้อผ้ามาให้เด็กนี่ใส่ ไวไวเข้า”
ศุกลหันเรือออกไปศรียิ้มให้สะบันงา
“ทีนี้ไม่ต้องอาย ผู้ชายไปแล้ว มีแต่เราสองคน”
สะบันงายังส่ายหน้า ศรีจ้องเป๋งไปราวกับจะมองทะลุไปใต้ผิวน้ำ
ในงานแต่ง...บ่าวสาวเสิร์ฟน้ำชาเสร็จแล้ว พ่อแม่ให้ศีลให้พรหมดแล้วเสียงพิธีกรประกาศดังขึ้น
“เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาว เสิรฺฟน้ำชาเหล่าญาติผู้ใหญ่ตามลำดับ”
สองคนคลานเข่าไปหาญาติแก่ๆ เจ้าสาวสะดุดผ้าตัวเองดูซุ่มซ่าม ทุกคนตกใจ มีเสียงอุทานเจ้าสัวเต็งยิ้มแย้ม
“น่ารักจริงๆ เกิดมาคงไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายแปลกหน้านอกจากเตี่ยใช่ไหมคุณนายใหญ่”
คุณนายใหญ่กระซิบคุณนายน้อย
“หนูศรีกระโดกกระเดกเหมือนใครนะ ครูแหม่มเธอก็เรียบร้อยจะตายจริงไหม”
“เหมือนนางเมี้ยนค่ะ คุณนายใหญ่ มันครอบหนูศรีจนอยู่หมัด เชื่อฟังมันมากกว่าอิฉันที่เป็นแม่ด้วยซ้ำค่ะ ไม่เหมือนคุณศุกลของคุณนายใหญ่ดอกค่ะ เธอเรียบร้อย ว่าง่าย”
“ว่าง่ายที่ไหนรายนั้นก็ดื้อเงียบ ดูสิหายหัวกันไปไหน ทั้งนางเมี้ยน ทั้งศุกล”
สองคนบ่นแล้วหันมาดูการเสิร์ฟน้ำชาต่อบ่าวสาวกำลังรับซองจากญาติผู้ใหญ่
ศรีนั่งยิ้มบนกระดานไม้ท่าน้ำ มีสะบันงาเกาะขอบร้องไห้เงียบอยู่ในน้ำ ศรีมองสะบันงาอย่างชอบใจ
“หน้าตาสะสวยนักนะเรา เป็นผู้ชายละก็จะขอแต่งงาน”
สะบันงายิ่งอายมากขึ้นศรีจับคางให้เงยหน้าแล้วก้มลงไปมองสะบันงากลัวๆ
“จะทำอะไรหนูคะ”
“ไม่ทำหรอก แค่อยากทำน่ะ รู้ไหมว่าหน้าตาเราน่าจูบมาก”
สะบันงาตกใจ
“ว๊าย”
“ไม่จูบหรอกน่า แค่บอกว่าอยากจูบเท่านั้น”
ศรีหัวเราะ ศุกล เร่เรือเข้ามา
“มาแล้วผ้าถุงกับเสื้อแล้วก็ผ้าเช็ดตัว สำหรับสาวน้อยตกน้ำ”
“อย่าเข้ามาใกล้หนู” สะบันงาโวย
“เด็กมันอายน่ะ โยนผ้าถุงมาให้พี่สิ นาย”
ศุกล โยน
“รับดีๆนะพี่ศรี”
ผ้าถุงมาไม่ถึงศรี แต่ตกลงไปก่อน ศรีโดดน้ำลงไปว่ายแล้วคว้าผ้าถุงที่ตกน้ำศรีจะใส่ผ้าถุงให้สะบันงาร้องห้าม
“อุ๊ย อย่านะคะ หนู...หนู...”
“อย่าอาย ไม่เป็นไร คิดซะว่านี่คือพี่สาวของเรา แต่งตัวให้เรา อยู่เฉยๆกระดุก กระดิกมาก น้องชายฉันเห็นอะไรอะไรที่หลบอยู่ในน้ำของเราหมดเลยด้วยนะเออ”
สะบันงา จึงเงียบกระอักกระอ่วนใจมาก ศรีว่ายมาใกล้ ตามองสะบันงายิ้ม มองลงไปใต้น้ำเอาหน้ามุดลงไปมองในน้ำแล้วเงยหน้าขึ้นมา
“เออแน่ะ แม่สาวน้อยตกน้ำของนาย ใช่สวยแต่หน้าตา รูปร่าง ยังกับนางงาม เสียแต่ว่ายังไม่โตเต็มที่ อะไรๆมันยังเล็กไปหน่อยเท่านั้นเอง”
สะบันงาอยากจะบ้าตาย อายจนแทบแทรกแผ่นดิน
พิธีการจบแล้ว ทุกคนปลาบปลื้ม เจ้าบ่าวยิ้มย่อง มองเจ้าสาว กระซิบถาม
“เหนื่อยมากไหมจ้ะ น้องศรี”
เจ้าสาวส่ายหน้า แต่แอบเอามือเกาะแข้งขา เจ้าบ่าวมองรู้สึกแปลกๆ
“ทำไมไม่พูดให้พี่ได้ยินเสียงหวานๆ ของน้องศรีสักคำ”
เจ้าสาวส่ายหน้าซ้ำอีก
ในแพของนางพริ้ง...สะบันงานั่งเขินอายม้วนใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มีศุกลนั่งจ้องหน้าเอาจ้องเอา ไม่วางตาจนศรีสะกิดกระซิบเตือน
“อย่าจ้องเหมือนจะกินเขาขนาดนั้นสินาย เด็กยิ่งอายอยู่ นี่ ชื่ออะไรล่ะเรา”
“สะบันงาค่ะ”
“สะบันงา โอ้โห เพราะเหลือเกิน เพราะเหมาะสมกับความสวย” ศุกลกระซิบศรี
“อยู่กับใครล่ะ” ศรีถามต่อ
“แม่ค่ะ เอ้อ...แม่มาพอดี”
แม่พริ้งไปเก็บผักหญ้ามาทำกับข้าวมาพอดีตกใจเห็นมีใครอยู่ในแพของตน
“มีอะไรกันหรือสะบันงา”
สะบันงาอึกอัก
“หนูเอ้อ...”
ศรีแทรกขึ้น
“ฉันกับน้องชาย ขับเรือมาเกือบชนเอาลูกสาวเธอตายน่ะสิ”
พริ้งตกใจ
“ว๊าย...แม่บอกแล้วว่าอย่าไปว่ายน้ำไกลจากแพ”
“แม่จ๊ะ คุณท่านเธอเป็นลูกสาวท่านเจ้าสัว”
พริ้งรีบทรุดตัวลงไหว้ศรีกับศุกลโดยอัตโนมัติ
“พุทโธ่ ที่แท้ก็ผู้มีพระคุณนี่เอง อิฉันกราบเจ้าค่ะ สะบันงากราบท่านสองคนสิ”
สะบันงายกมือ แต่ศรีจับมือไว้
“แค่ไหว้ก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงกราบ ฉันไม่ใช่เจ้าที่เจ้าทาง ไม่ใช่เทวดานี่ นี่ ลูกสาวน่ารักมากนะ แม่...พริ้ง”
พริ้งยิ้ม
“เจ้าค่ะ”
“แม่พริ้ง อยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ” ศุกลถาม
“ไม่นานดอกเจ้าค่ะ แม่เมี้ยนแกใจดีไปขออนุญาตท่านเจ้าสัวให้เราสองคนแม่ลูกจอดแพขายของตรงนี้ได้เจ้าค่ะ”
“ตามสบายนะแม่พริ้ง” ศุกลตายังจ้องสะบันงา “เอ้อ ขายอะไรกันบ้าง”
“ก็หม้อชามลามไหดินเผาเจ้าค่ะ กระปุกออมสินดินเผาก็มีเจ้าค่ะ”
ศรีมองศุกลอย่างรู้ใจ
“นายอยากซื้อละสิ แม่พริ้งจ้ะ น้องชาย ฉันอยากซื้อของแต่ ฉันอยากนอนค้างสักคืน จ่ายค่าเช่าที่นอนอย่างงามทีเดียวนะ”
พริ้งหน้าตื่น
“อย่าล้อเล่นสิเจ้าคะที่นี่มันคับแคบ แล้วพวกเราก็นอนกับเสื่อ หมอนก็ไม่มีจะหนุน”
“จะยากอะไร น้องชาย ฉันเขาไปซื้อมาแป๊บเดียวก็มีครบแล้ว ส่วนที่ว่ามันคับแคบ ฉันนอนกับสะบันงาก็ได้ ใช่ไหมสะบันงา”
สะบันงาชะงักกึก
“เอ้อ...แล้วแต่คุณท่านค่ะ”
“ศุกล นายกลับไปซื้อเครื่องนอนให้พี่กับสองคนนี้ แล้วค่อยกลับบ้านก่อนกลับอยากเหมาอะไรก็เหมาไปให้หมดเรือ เหมาของนะอย่าเหมาคน”
“ล้อเล่นหรือเจ้าค่ะ” พริ้งถาม
“พี่สาว ฉันพูดจริง แรงๆแบบนี้แหละแม่พริ้ง เขาขวานผ่าซาก แต่จริงใจมีอะไร ฉันเหมาหมดจริงๆ”
พริ้งดีใจ สะบันงาก้มหน้างุดศรีสบตาน้องชายแบบรู้ทัน
“น้องชาย ฉันเขาเป็นอาเสี่ย”
บริเวณลานหลังคฤหาสน์ของเจ้าสัวข้าวของที่ศุกลเหมามาจากเรือแม่พริ้ง มีหม้อชามลามไหเครื่องปั้นดินเผา กระปุกสารพัดกองเต็มลานสาวใช้ชาวจีนแต่งกายแบบออกจีนๆ เป็นเครื่องแบบ กำลังยืนมองหัวเราะกันคิกคัก คุณนายใหญ่ คุณนายน้อยเดินตามกันมา เห็นของพวกนั้นสะดุดกึก หยุดกระพือพัดในมือ
“อะไรกันนี่ เครื่องปั้นดินเผาสารพัดมากมายก่ายเกลื่อน” คุณนายใหญ่ถามอย่างแปลกใจ
คุณนายน้อยมองข้าวของ
“ราวกับจะมาเปิดร้านขายกันตรงนี้”
สองสาวใช้สะดุ้งโหยงไปยืนเบียดกันคุณนายใหญ่จ้องหน้าคาดคั้น
“บอกมาสิว่านี่อะไร ของใคร กิมเฮียง กิมฮวย”
“ของคุณศุกลเจ้าค่ะ คุณนายใหญ่” กิมเฮียงบอก
คุณนายน้อยพยักหน้าเข้าใจ
“ที่แท้คุณศุกลหายไปซื้อของพวกนี้มานี่เองค่ะ คุณนายใหญ่”
คุณนายใหญ่คิดๆ
“แล้วจะไปซื้อมาทำอะไร บ้านเราไม่ใช้ของพวกนี้”
“เยส” กิมฮวยตอบ
คุณนายใหญ่ชะงักมองหน้า
“พวกแกว่าอะไรนะ เยสเยิสอะไรกัน”
“จำมาจากครูแหม่มเจ้าค่ะ ถ้าใช่ตอบว่า เยส” กิมเฮียงบอก
“ถ้าไม่ใช่ ตอบว่า โนค่ะ” กิมฮวยเสริม
คุณนายใหญ่มองหน้า
“ถ้าโอเค แปลว่า ฉันตกลงจะตบหน้าพวกแกด้วยพัดคนละที อย่าล้นนัก”
คุณนายใหญ่ตบหน้าด้วยพัดจริงๆ คนละทีแบบเตือนสติไม่แรง
“เห็นนางเมี้ยนไหม” คุณนายใหญ่ถามเสียงเข้ม
สองสาวใช้ตอบพร้อมเพียง
“ไม่เห็นเจ้าค่ะ”
คุณนายเล็กสงสัย
“หายไปไหนนะ”
“แล้วคุณศุกลเล่า” คุณนายใหญ่ถามต่อ
สองสาวใช้ชี้ไป
“โน่นเจ้าค่ะ”
สองคุณนายมองตาม คุณนายน้อยรู้ใจคุณนายใหญ่รีบค้อมตัวผายมือให้
“เชิญค่ะ ดิ ฉันขอตัว”
คุณนายใหญ่เดินไป
ในสวนเก๋งจีน...ศุกลนั่งฝันหวาน ยิ้มคนเดียว นึกถึงภาพที่สะบันงายืนบนไม้ท่าน้ำแล้วไม้กระดกตกน้ำ...ภาพสะบันงา ซ่อนตัวอยู่ในน้ำ เขินอายภาพสะบันงาใส่เสื้อผ้าแล้วนั่งในแพ...ศุกลพึมพำเรียกชื่อ
“สะบันงา สาวน้อยตกน้ำ งดงามเหมือนเทพธิดาเงือกน้อยลิตเติ้ลเมอร์เมด”
คุณนายใหญ่เดินมาถึง ได้ยินคำว่าเงือกน้อยๆ
“ศุกล ว่าอะไรเม็ดๆนะ”
ศุกลสะดุ้งรีบปฎิเสธ
“คุณแม่ใหญ่ ผม...ผมกำลังแต่งกลอนเงือกน้อยน่ะครับ”
“แต่งกลอน วันๆ เอาแต่แต่งกลอนอ่านวรรณคดี แม่อยากรู้ว่าไอ้เครื่องปั้นดินเผากองเต็มลานหลังบ้านนั่นมันเกี่ยวกับกลอนของลูกด้วยหรือ”
“ผม ซื้อมา มาเอ้อ...มาแจกให้พวกบ่าวใช้กันน่ะครับ”
“เวรกรรม กรรมเวร บ่าวมีไม่ถึงสิบ แต่ซื้อมาเหมือนจะแจกเป็นร้อย”
ศุกลยังยิ้มไม่เลิก คุณนายใหญ่มองด้วยความสงสัย
ในห้องอาหารคฤหาสน์ โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะมุกแบบจีนทั้งหมดนั่งเตรียมกินอาหาร มีกิมเฮียงกับกิมฮวย คอยดูแลจัดให้ ครูแหม่มเข้ามาลา
“ท่านเจ้าสั่วคะ”
กิมเฮียงกับกิมฮวยพูดพร้อมกัน
“เจ้าสัวค่ะ ครูแหม่ม”
“อ้อ ครูแหม่ม”เจ้าสัวเส็งยิ้มแบบรู้กัน “จะมาลากันหรือ”
“ใช่ค่ะ ดิ ฉันจะมาขอลาออก”
กิมเฮียงกับกิมฮวยตกใจ
“ครูแหม่ม ลาออก”
คุณนายใหญ่หันไปดุสองสาวใช้
“แกสองคนไม่ต้องสอด เสียมารยาท”
“จะลาออกจริงๆหรือ ครูแหม่ม” คุณนายน้อยถาม
“ค่ะ คุณหนูศรี ออกเรือนไปแล้ว ไอ แฮฟนอทธิ่ง ทู ดู เอนนี่มอร์”(I have nothing to do anymore)
กิมเฮียงกับกิมฮวยแทรกขึ้น
“ปลาทูดูในหม้อคะ”
คุณนายใหญ่จ้องตาเขียว สองสาวใช้เงียบเจ้าสัวเส็งยิ้มให้ครูแหม่ม
“ฉันขอบใจครูแหม่มมาก ที่ดูแลสอนวิชาภาอังกฤษ และฝรั่งเศสให้ลูกศรีจนแตกฉาน อ่านเขียนวรรณคดี จดหมายโต้ตอบการค้าได้ไม่แพ้ศุกลที่ไปเรียนเมืองนอกกลับมา ครูแหม่มอยากไปทำอะไรที่ไหนล่ะ”
“ดิฉันจะไปสมัครเป็นครูสอนภาษาโรงเรียนฝรั่งค่ะ”
“น่าจะเปิดโรงเรียนเป็นของครูแหม่มเองนะ” คุณนายน้อยแนะ
“ฉันเตรียมไว้แล้ว แม่ใหญ่ พรุ่งนี้จัดเงินให้ครูแหม่มไปตั้งโรงเรียนสอนภาษาเป็นของตัวเอง” เจ้าสัวเส็งสั่ง
ครูแหม่มดีใจตาโต
“โอ มายก๊อด ยู อาร์ โซ ไคด์ แทงกิ้วโซมัช (Oh my god!! you are so kindthank you so much)ขอบพระคุณมากค่ะ”
กิมเฮียงกับกิมฮวยสอดขึ้นมาอีก
“ยั๊วะ เวรกรรม”
คุณนายใหญ่หันมาดุ
“เดี๋ยวพวกแกจะเจอเวรกรรม และจะไม่ได้พูดสักคำอีกต่อไป”
“ก็ เวลาใครพูดแทงคิ้ว ครูแหม่มให้พูดว่า ยัวร์ เวรกรรมนี่เจ้าคะ” กิมฮวยบอกเสียงอ่อย
เจ้าสัวเส็งยิ้มให้ครูแหม่ม
“นี่คือการตอบแทน ครูแหม่ม ความรู้ความสามารถที่ลูกสาว ฉันได้รับจากครูแหม่มยี่สิบปี มันมีค่าเกินคุ้มกว่าสิ่งที่เราตอบแทนให้ครูแหม่มมากมายนัก ความรู้นั้นติดตัวลูกสาวเราไปจนตาย”
ครูแหม่มน้ำตาคลอซาบซึ้งไหว้อีกครั้ง แล้วถอยออกไปเจ้าสัวเส็งส่ายตามองหาศุกล
“ศุกล ทำไมไม่มากินข้าว”
“ถืออาหารใส่ปิ่นโตไปกินตามลำพังเจ้าค่ะ” กิมเฮียงบอก
คุณนายใหญ่ไม่พอใจ
“เหลวไหล ไปกินที่ไหน”
“เห็นเดินทางไปตามคลองที่มีแพ คนขายเครื่องปั้นดินเผาเจ้าค่ะ” กิมฮวยบอก
เจ้าสัวเส็งกับสองคุณนาย ฟังแล้วงง
ในแพริมคลอง...ปิ่นโตอาหาร ถูกแกะวางอยู่ ศรีนั่งพุ้ยอาหารด้วยตะเกียบแบบคล่องแคล่วมาก มีศุกลนั่งมอง
ส่ายหน้ายิ้มขำพี่สาว สะบันงานั่งห่างออกไป แอบมองประหลาดใจในพฤติกรรมประหลาดของศรีแต่ก็ออกทึ่งและชื่นชมศรีกระซิบศุกล
“คุณเตี่ย คุณแม่ใหญ่ คุณแม่น้อย สงสัยอะไรพี่บ้างไหม”
“ไม่มีใครสงสัยพี่ศรี มีแต่สงสัยผม”
ศุกลหันไปมองสะบันงาที่มองมาตาแป๋ว
“มากินอาหารกับเราสิ สะบันงา”
สะบันงาส่ายหน้า
“ขอบพระคุณค่ะ แต่ไม่เหมาะสม แม่ให้หนูมารอเก็บปิ่นโตไปล้างเจ้าค่ะ”
“แหม เรานี่ ช่างเจียมตัวดีแท้ๆ แม่สาวน้อยตกน้ำ” ศรีชม
“แต่ตอนนี้ผมมองเธอเป็นนางในวรรณคดีไปแล้ว บุษบาในอิเหนา มัทนาในมัทธนะพาธา”
“เป็นเอามาก น้องชาย ฉัน”
ศรีมองไปที่สะบันงาอีกครั้ง
“ฉันอยากให้เธอมากินข้าวกับ ฉัน ลูกเจ้าสัวก็คน ลูกแม่ค้าขายเครื่องดินเผาก็คน พอตายแล้วเธอก็ผี ฉันก็ผี เราเหมือนกัน”
“ถ้าจะต่างกันก็ตรงที่ ใครตายดีมีคนสรรเสริญ ใครตายเลวมีแต่คนด่าสาปแช่ง” สะบันงาแย้ง
ศุกลส่งอุปกรณ์ให้สะบันงา...สามคนกินข้าวจากอาหารในปิ่นโตด้วยกัน สะบันงาไม่กล้าตักอาหาร ศรีพยักหน้าให้ศุกลคีบใส่จานให้
เจ้าสัวเส็ง คุณนายใหญ่ คุณนายน้อย นั่งรื่นรมย์คุยกันถึงเรื่องศรี ดีใจที่ศรีได้แต่งงานอยู่ในห้องโถงนั่งเล่นของบ้าน
“หมดห่วงหนูศรีไปสักทีโชคดีแท้ๆ หาเรื่องบ่ายเบี่ยงเจ้าเล่ห์มาหลายครั้งจนเกือบจะขึ้นคาน” เจ้าสัวเส็งบอกอย่างโล่งใจ
“ระยะหลัง ไม่มีใครมาสู่ขอแล้ว โชคดีที่เพื่อนเจ้าสัวเขาเห็นว่า เหมาะสมกันทุกด้าน แล้วเขาก็โสดทั้งที่อายุยี่สิบเก้าแล้ว” คุณนายใหญ่ดีใจ
คุณนายน้อยยิ้มแย้มพอใจ
“ต้องกราบขอบพระคุณ คุณนายใหญ่ที่สนับสนุนหนูศรีค่ะ”
เจ้าสัวเส็งแววตาปลื้ม
“เราครอบครัวเดียวกัน เราต้องสนับสนุนกันและกัน ป่านนี้หนูศรีคงกำลังปรนนิบัติดูแลสามีอยู่สินะ แม่ใหญ่ แม่น้อย ปลื้มแท้ๆ”
สองคุณนายตอบพร้อมกัน
“ค่ะ เจ้าสัว”
สามคนต่างอารมณ์ดี
อ่านต่อหน้า 2
คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ส่วนในห้องหอ ที่คฤหาสน์เจ้าสัวเต็ง...เมี้ยนใส่ชุดเจ้าสาวยังคงนั่งปิดหน้าเอาไว้ไม่ยอมเผยผ้าคลุมหน้า เจ้าบ่าวกำลังใช้ความพยายามเมี้ยนปัดป้องบ่ายเบี่ยง
“น้องศรีจ๋า ขอพี่ดูหน้าอันงดงามปานเทพธิดาตามคำร่ำลือของน้องเถิดนะ”
เมี้ยนส่ายหน้า
“เราแต่งงานกันแล้วนะจ้ะ”
เจ้าบ่าวพยายามจะมาเปิดคลุมหน้า เมี้ยนปัด
“ไม่เอาน่า อย่ามาอายกันอีกเลย คุณเตี่ยของเราสองคน พร้อมทั้งคุณแม่ใหญ่คุณแม่น้อยของเราทั้งหกคน ต้องการให้เรามีหลานให้พวกท่านให้เร็วที่สุด ท่านบอกตอนที่ท่านอวยพรให้เรา น้องศรีอย่าลืมสิจ้ะ”
เมี้ยนส่ายหน้า เจ้าบ่าวพยายามเปิดหน้าอีก คราวนี้เมี้ยนปัดแรงขึ้น
“โอ๊ย พี่เจ็บนะ”
เมี้ยนเดินหนี เจ้าบ่าวดึงบ่าไว้ชักโกรธ
“เป็นอย่างไรก็เป็นกันเถิด พี่ต้องเปิดหน้าน้องศรีออกมาเจรจากันฉันท์ภรรยาสามีให้ได้ แล้วก้อ...”
เจ้าบ่าวใช้วิชาประมาณบู๊ลิ้มเล็กๆ เจอเมี้ยนใช้ตอบ ด้วยการชกหน้าโครมที่เบ้าตา
“โอ๊ย ทำเกินไปแล้ว น้องศรี ตายเป็นตายต้องดูหน้าให้ได้เดี๋ยวนี้”
เจ้าบ่าวก้าวเข้าไป เมี้ยนชักมีดออก เจ้าบ่าวชะงัก
“อะไรกันนี่...แค่ผัวขอดูหน้าจะฆ่ากัน ช่วยด้วย ช่วยด้วย น้องศรีจะฆ่าผม” จ้าวบ่าวตะโกน
เมี้ยนยังชูมีด เจ้าบ่าวถอยกรูด
นอกห้องหอ...ทั้งหมดมาตามเสียงตะโกนของเจ้าบ่าวช่วยกันทุบประตู ตื่นเต้นตกใจเจ้าสัวเต็งตะโกน
“เปิดประตู เปิดประตู”
คุณนายที่หนึ่งแปลกใจ
“หนูศรีจะอายมากอะไรกันขนาดนี้”
คุณนายที่สองไม่พอใจ
“อายถึงขนาดจะฆ่าลูกเรา นี่มันหนักหนามากไปแล้วค่ะ”
เสียงเจ้าบ่าวดังลั่นออกมาจากห้อง
“คุณเตี่ย พังประตู”
“พังประตู” เจ้าสัวเต็งบอกสองคุณนาย
ทั้งหมดวิ่งถอยมาแล้วตั้งท่าทุ่มตัว
เมี้ยนตัดสินใจเปิดหน้า
“ฉันจะเปิดหน้าให้ดูกันจะจะ” เมี้ยนทำเสียงห้าว
เจ้าบ่าวชะงัก
“เสียงน้องศรี ห้าวห้วนเหลือเกิน”
“บอกข้างนอกว่าอย่าพังประตูเข้ามา” เมี้ยนสั่งเสียงเข้ม
เจ้าบ่าวกลัว
“ข้างนอกอย่าพังประตูเข้ามา”
ข้างนอกเงียบไป เมี้ยนก้าวมาหาเจ้าบ่าวอย่างมั่นคง โยนมีดทิ้ง
“เปิดสิ”
เจ้าบ่าวดีใจยิ้มแย้มสองมือประคองเปิดผ้าดูหน้าเจ้าบ่าวรื่นรมย์เอาหน้ายื่นไปจนชิด
“ขอบใจ ขอบใจ พี่มีความสุขเหลือเกิน”
มือของเจ้าบ่าวค่อยๆ ยกผ้าหน้าเจ้าสาวออก จนเห็นหน้าชัดเจน เมี้ยนนั่นเอง ยิ้มฟันดำทั้งปาก หน้าตา
โหดราวกับผู้ชาย ยิ้มกวนโอ๊ย
“สวยจับจิตจับใจสมใจอยากเจอไหม คุณเฮีย”
เสียงร้องของเจ้าบ่าวกึกก้องมาที่หน้าต่างตกใจสุดขีด
“ผะ...ผี...”
เจ้าบ่าวหงายตึงเป็นลมไป พร้อมกับประตู เปิดพลั๊วะเข้ามา ทุกคนกรูเข้ามาเห็นเจ้าบ่าวนอนหมดสติเห็นเจ้าสาวยืนหันหลังให้ทุกคนมองไปที่เมี้ยนคุณนายที่หนึ่งตกใจ
“หนูศรีทำอะไรตี๋ใหญ่”
“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เมี้ยนพูดเสียงห้าว
พร้อมหันหน้ามาทุกคนตาค้างตกตะลึง เมี้ยนยิ้ม กวนสุดๆ ทุกคนร้องลั่น
“ผี...”
เจ้าสัวเต็งตะลึง
“นังคนนี้มัน นังหนูผี ไม่ใช่หนูศรี นี่คือการย้อมแมวมาขาย”
คุณนายที่หนึ่งจ้องหน้า
“แกเป็นใคร ปลอมตัวมาทำไม”
คุณนายที่สองโกรธ
“แกดูถูกเรามาก อยากจะตบหน้า”
คุณนายที่หนึ่งเห็นด้วย
“ใช่ต้องตบหน้า”
สองคุณนายรุมตบหน้าเมี้ยนหันไปหันมาเจ้าสัวเต็งโกรธมาก
“ไอ้เส็งทำกันได้”
สามคนโกรธจนสั่นไปหมด
สะบันงากำลังปูฟูก วางหมอนจัดผ้าห่มให้ศรียิ้มมอง
“นอนเบียดกันหน่อยก็สนุกดีนะสะบันงา”
“หนูให้คุณท่านนอนบนฟูกคนเดียวค่ะ หนูนอนข้างฟูกค่ะ”
ศุกลแปลกใจ
“ฉันซื้อมาให้ทุกคนนอนพอ นี่นา”
“ธรรมดาหนูก็นอนกับพื้นแพค่ะมันเย็นสบายดี”
ศรียิ้มบางๆ
“เธอถ่อมตัว ศุกลนายรีบกลับไปให้คุณเตี่ยเห็นหน้า อย่าเพิ่งบอกใครว่าพี่อยู่ที่นี่”
“พี่ศรีคิดว่าความจะไม่แตกในคืนนี้หรอกหรือ ผมว่าไม่แคล้ว”
“พี่บอกแล้วไง ว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด นายกลับไปซะ”
ศุกลพยักหน้ามองหน้าสะบันงาแบบหลงใหลมาก
“กลับก่อนนะสะบันงา ฝากดูแลพี่สาวเพี้ยนๆของ ฉันด้วย”
สะบันงารับคำ
“ค่ะ”
ศุกลไม่อยากจะไปเลย อยากแต่จะมองหน้าสะบันงาอยู่อย่างนั้นศรีสะกิดพยักหน้า ศุกลจึงจำใจออกไปจากแพ
“รู้มั้ยว่าการต้องมีผัวมันช่างน่าเบื่อหน่ายมาก”
ศรีบ่น สะบันงาฟัง แต่ไม่เข้าใจ
ด้านนอกที่คฤหาสน์กำลังโกลาหลทั้งหมดกำลังทุ่มเถียงกันมีเสียงดังออกมาจากในบ้าน ศุกลกลับมาพอดีกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องที่มีเรื่องราว กิมเฮียงกับกิมฮวย อยู่หน้าห้องเห็นศุกลพอดี
“คุณศุกล กลับมาแล้ว”
“เสียงใครมาเอะอะไรกัน”
“เสียงเจ้าสัวเต็ง กับคุณนายใหญ่ คุณนายเล็กเจ้าค่ะ” กิมเฮียงกับกิมฮวยตอบพร้อมเพียง
ศุกลอุทานเบาๆ
“ความแตก”
“คุณศุกลเจ้าขา ท่านเจ้าสัวกับคุณนายทั้งสองน่าจะต้องการพบคุณศุกลนะเจ้าคะ” กิมเฮียงบอก
“ฉันรู้แล้ว”ศุกลตามองไปในบ้าน
กิมฮวยรีบบอกอย่างร้อนใจ
“เข้าไปข้างในสิเจ้าคะ ท่านเจ้าสัวเต็ง กำลังอาละวาดใส่เจ้าสัวเส็งจนเกรงจะรับมือไม่ไหวนะเจ้าคะ”
ศุกลหงุดหงิด
“ฉันรู้แล้ว”
“งั้นรีบเข้าไปช่วยท่านเจ้าสัวหน่อยสิเจ้าคะท่านกำลังมึนเจ้าค่ะ” กิมเฮียงเร่ง
ศุกลเครียด
“ฉันมึนกว่า มึนจนกำลังจะบ้าเลยแหละ ไปนอนก่อนนะ”
ศุกลส่ายหน้าสยองแล้วรีบไปอีกทางกิมเฮียงกับกิมฮวยหน้าเหวอ
“อ้าว”
ในห้องรับแขก...เจ้าสัวเต็งกำลังชี้หน้าด่าเจ้าสัวเส็ง มีเมี้ยนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
“เลวมาก ไอ้เพื่อนทรยศ ไอ้คนหักหลัง”
คุณนายที่หนึ่งชี้หน้าคุณนายใหญ่
“โกหกหลอกหลวง เลิกคบ”
คุณนายที่สองชี้หน้าเมี้ยน
“เอาเจ้าสาวกำมะลอบ้าบอนี่คืนไป”
“เอาคืนไป”
สองคุณนายของเจ้าสัวเต็งผลักเมี้ยนไปทางสองคุณนายเจ้าสัวเส็ง สองคุณนายผลักเมี้ยนคืนไปเจ้าสัวเส็งงงๆ
“นี่มันอะไรกัน ค่อยๆพูดค่อยๆจา”
เจ้าสัวเต็งโกรธมาก
“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ยังมาทำไขสือ”
สองคุณนายเจ้าสัวเต็งชี้หน้าเมี้ยน
“เอานางนี่คืนไป”
คุณนายใหญ่ไม่พอใจ
“หยาบคายนัก”
“พูดอะไรอย่างนี้” คุณนายน้อยโวย
“อั๊วไม่ต้องการสะใภ้อย่างนี้” เจ้าสัวเต็งเสียงแข็ง
“ลูกสาวอั๊วไม่ดียังไง ดูถูกกันเกินไปแล้ว” เจ้าสัวเส็งชี้หน้า
“ใครดูถูกใครกันแน่ ผิดไม่ยอมรับผิด อย่ามาแหย่เสือนะ ไอ้เส็ง”
“ลื้อนั่นแหละอย่ามาแหย่เสือ อั๊วก็เสือเหมือนกัน อั๊วไม่ผิด”
“ปฏิเสธ หน้าตาเฉย บังอาจมามาลูบคมกันอย่างหน้าไม่อาย หลอกเอาสินสอดทองหมั้นนี่นา”
“ลื๊อนั่นแหละ ลูบคมอั้วหนอยแน่ จะเอาลูกสาวมาคืน ยังไม่ทันข้ามคืนเลยหลอกกินฟรีกันนี่หว่า”
“ที่เราต้องมาคืนเพราะนั่นมันไม่ใช่แม่หนูศรี แต่มันคือนังหนูผี” คุณนายที่หนึ่งโพล่งออกมา
สองคุณนายของเจ้าสัวเส็งชะงัก
“หนูผี”
คุณนายน้อยโกรธ
“หาว่าลูกสาวแสนสวยแสนดีของเราเป็นผี”
คุณนายที่สองกระชากผ้าคุลมหน้าเมี้ยนออก
“แล้วนี่คนหรือผี”
เจ้าสัวเส็งตกตะลึง
“นางเมี้ยน”
กิมเฮียงกับกิมฮวยอึ้ง
“ไอ้หยา อาเจ่เจ๊เมี้ยน”
สองคุณนายของเจ้าสัวเส็งหน้าตื่น
“นางเมี้ยน”
เจ้าสัวเต็งมองหยัน
“งามหน้าไหมล่ะ พวกเรากลับ เกิดมาไม่เคยมีใครกล้ามาดูถูกมาลูบคมกันอย่างนี้ จะขอลืมไปว่าชาตินี้เคยมีเพื่อนชื่อไอ้เส็ง จอมหลอกลวง”
เจ้าสัวเส็งหน้าสลด
“เต็ง อั๊วขอโทษ อั๊ว ๆ....”
เจ้าสัวเต็งโกรธมาก
“ตบหัวแล้วมาลูบหลัง ไม่มีวันอภัยหรอก ขาดกันวันนี้”
คุณนายสองคนหันมาตบหน้าเมี้ยนคนละทีก่อนกลับ แล้วเดินตามเจ้าสัวเต็งไปคุณนายทั้งสองของเจ้าสัวเส็งผวามาตบหน้าเมี้ยนอีกคนละหลายที
เจ้าสัวเส็งโกรธจัด
“นางเมี้ยน แกฉีกหน้าเรา แกทำเราอับอายขายหน้า ถูกกระชากศักดิ์ศรีลงมาเหยียบย่ำป่นปี้ยี่เยิน กิมฮวยกิมเฮียง ไปบอกบ่าวผู้ชายเอานางคนอัปปรีย์ไปมัดโยงไว้กับขื่อคาหน้าโรงครัว น้ำท่าอย่าให้แตะต้อง พรุ่งนี้ ฉันจะชำระโทษมันด้วยตัวเอง”
คุณนายน้อยครุ่นคิด
“หรือจะเป็นเพราะลูกศรีไปสั่งให้มันทำ”
คุณนายใหญ่คิดตาม
“หรือจะเป็นศุกลร่วมมือกับหนูศรี”
เจ้าสัวเส็งตวาด
“เงียบ ใครสั่ง มันก็ไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้ทั้งสิ้น สงสัยว่าคราวก่อนๆที่เกิดเหตุนั่น มันมีส่วนทั้งนั้น บอกมานะว่าลูก ฉันสั่งแกให้ทำใช่ไหม”
เมี้ยนหน้านิ่ง
“ไม่มีใครสั่งเจ้าค่ะ อิฉันสั่งคุณหนูศรีให้หนีเอง วางแผนทั้งหมดเองเจ้าค่ะ”
เจ้าสัวเส็งตบหน้าเมี้ยนฉาด เมี้ยนน้ำตาซึมพยายามกลั้นไว้
ในแพของพริ้ง...ศรีกำลังจะล้มตัวลงนอนบนฟูก ดึงสะบันงาที่นั่งนอกฟูกไปนอนด้วย
“มานอนด้วยกัน”
สะบันงาส่ายหน้าฝืนตัว
“ไม่อาจเอื้อมค่ะ”
“บอกแล้วไงว่าเราเหมือนกัน ฉันไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง”
“แต่คุณท่านคือผู้มีพระคุณค่ะ”
“คิดมาก เอาละมานอนให้ ฉันกอดแทนหมอนข้าง อยู่บ้าน ฉันต้องมีหมอนข้างเอาไว้กอดรู้ไหม อยากตอบแทนพระคุณไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ”
สะบันงางงๆ แต่ก็ยอมให้ศรีดึงไปนอนเบียดกันศรีดึงสะบันงามากอด
“อายุเท่าไหร่”
“กำลังจะสิบสี่ค่ะ”
“เด็กมากๆ นี่ถ้า ฉันยอมแต่งงานไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มีคนมาสู่ขอ ฉันมีลูกอายุเท่าสะบันงาได้เลย”
“คุณท่านอายุ เอ้อ...”
“ฉันอายุยี่สิบแปด ยังไม่ยอมมีผัว ไม่ชอบผู้ชาย มันหลายใจ หลายเมียมันไม่รักใครทั้งนั้นนอกจากตัวมันเอง แม่ ฉันนี่แหละ แม่รัก ฉันที่สุด”
“แม่หนูก็รักหนูที่สุดค่ะ”
ศรียิ้มลูบหัวสะบันงาอย่างเอ็นดู
“เมี้ยนอีกคน เขารัก ฉันที่สุดเหมือนกัน” ศรีพึมพำ “ถ้าโดนจับได้อะไรจะเกิดขึ้นนะเมี้ยน”
ศรีจ๋อยลงไปเริ่มห่วงเมี้ยน
“ครั้งนี้เมี้ยนลงทุนมากกว่าทุกครั้ง ถึงขั้นเอาตัวไปเสี่ยง เฮ้อ รักเมี้ยนจริงๆ”
ศรีเริ่มกังวลห่วงเมี้ยน
เมี้ยนโดนมัดโยงมือไว้กับขื่อ เท้าแตะพื้นพอดี ขยับตัวแสนยาก เมี้ยนพึมพำ
“คุณหนูศรี เจ้าขา บ่าวไม่มีวันทรยศคุณหนู ที่บ่าวรักและเทิดทูนจงรักภักดี ไม่มีคุณหนู อีเมี้ยนไม่มีวันนี้หรอกเจ้าค่ะ”
เมี้ยนน้ำตารื้นแต่ยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งนั้น
ในอดีต...เมี้ยน กำลังหิวโหยอย่างหนัก มองกองขยะ ลงไปคุ้ยหาของกิน เมี้ยนคุ้ยได้ฝรั่งลูกหนึ่งแหว่งเน่าแล้ว เอามาเช็ดเสื้อผ้าเน่าๆของตัวเอง ยิ้มดีใจ
“รอดตายแล้วอีเมี้ยน”
เมี้ยนอ้าปากจะงับฝรั่ง มือใหญ่มาตบมือเมี้ยนแรงมากๆ ฝรั่งหล่นไปจากมือเมี้ยน
“ไม่ให้กิน” นักเลงพูดกวนๆ
“ข้าจะกิน นั่นมันของข้านะ”
“ของเอ็ง แต่ข้าไม่ให้กิน เอ็งจะทำไม”
เมี้ยนชกทันทีนักเลงโกรธมากชักมีดออกมาแทงถากไปเมี้ยนเลือดโชกเพราะสู้ตายที่สุดสู้ไม่ได้เพราะหิวโซมาก
“นังนี่กล้าหือกับข้าหรือ มานี่เลย จะเอามึงไปขายตัว ห้าวๆอย่างนี้อาจมีเสี่ยชอบของแปลก”
เมี้ยนดิ้นรนสุดชีวิต ตะโกน ขณะโดนลากไป
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“แหกปากทำไม เดี๋ยวแทงปากทะลุ”
“กูจะแหก ให้โปลิศมาจับมึง”
นักเลงงื้อมมีดจะแทงจริงๆมีเสียงรถมาจอดดักหน้า ขวางไว้ เมี้ยนโดนลากนอนที่พื้น มองเห็นรองเท้า ขา ชายกระโปรง ละเรื่อยไปจนเห็นเด็กสาววัยรุ่นสวยสง่าหน้าตาท่าทางมีอำนาจ ยืนตรงหน้ากางมือกันเมี้ยนไว้ ตวาดลั่น
“หยุดนะ ไอ้กุ๊ยข้างถนน แกไม่มีสิทธิ์ทำร้ายผู้หญิงคนนี้”
นักเลงยิ้มเยาะ
“อุ๊วะ แกเป็นใคร มาทำกำแหงออกคำสั่งกับข้าแมงดาใหญ่ สวยอย่างนี้เอาไปขายได้ราคางามแน่ๆ”
“ลองดูสิ แต่บอกก่อนนะ ช่วยบอกไอ้เสี่ยที่แกจับเอาไปขายด้วยว่า โสเภณีคนนี้มีพ่อชื่อเจ้าสัวเส็ง เจ้าของที่ที่แกมาทำผิดกฎหมายอยู่ตรงนี้ไอ้หมาขี้เรื้อนข้างถนน หน้าไม่อายรังแกผู้หญิง”
นักเลงตกใจมาก
“ลูกสาวเจ้าสัวเส็ง ม่ายเอาแล้ว”
นักเลงทิ้งฝรั่งใบนั้นทิ้งมีดแล้ววิ่งหนีไปโดยพลัน ศรีก้มลงไปประคองเมี้ยน
“มันไปแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณ เจ็บมากใช่ไหม ฉันจะพาไปหาหมอ”
เมี้ยนมองด้วยความซาบซึ้งก่อนสลบไป
เมี้ยนโดนโยงไว้น้ำตาไหลสองแก้มไม่ใช่เจ็บเพราะโดนโยงแต่นึกถึงเรื่องนี้ทีไรเธอน้ำตาไหลทุกครั้งพร้อมกับยิ้ม
“คุณหนูเจ้าขา อีเมี้ยนคนนี้ทำเพื่อคุณหนูได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตายแทน”
ทันใดนั้นมีหางกระเบนมาฟาดที่หลังจนเมี้ยนหลังแอ่น
“ทนรอถึงเช้าไม่ไหวแล้ว นางเมี้ยน หลายครั้งที่ผ่านมาแกวางแผนทั้งหมดใช่ไหม” เจ้าสัวเส็งตะคอกถาม
ศุกลยืนใจหายใจคว่ำอยู่ข้างๆเจ้าสัวเส็ง
“คุณเตี่ย สมัยนี้เขาไม่มีการโบยแล้วครับ”
“ใช่ ไม่มี แต่สำหรับนางคนนี้ต้องมี มันทำผิดซ้ำซากนับครั้งไม่ถ้วนมันทำลูกสาวเตี่ยขึ้นคาน มันช่วยกันหลอกเตี่ย หลอกทุกคนที่มาขอพี่สาวแก”
“คุณเตี่ยครับ ผมขอร้อง รอพรุ่งนี้สอบปากคำ ถามเรื่องราวกันดีๆก่อน”
“ถามดีๆมันก็ไม่เคยฟัง มันท้าทายอำนาจเตี่ย มันทำเตี่ยเสียเพื่อนร่วมน้ำสาบาน เราล่องเรือสำเภาลำเดียวกันมาแท้ๆ มาแตกคอเพราะนางเมี้ยนขอโทษเขายังไม่ยอมยกให้”
“มันทารุณเกินไป กรุณานะครับ ปล่อยเมี้ยนเถิดครับ คุณเตี่ย”
“ไม่ปล่อยจนกว่ามันจะบอกว่า มันเอาพี่สาวแกไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ผมเอาพี่ศรีไปซ่อนเองครับ ไม่ใช่เมี้ยน”
อารามกำลังคลั่ง เจ้าสัวหันหางกระเบนจะมาฟาดใส่ศุกลเมี้ยนรีบบอก
“อย่าเจ้าค่ะ บ่าวซ่อนเองเจ้าค่ะ คุณศุกลไม่เกี่ยวเจ้าค่ะ”
“เมี้ยน” ศุกลอึ้ง
เจ้าสัวโมโหหนัก
“บอกมาว่าเอาลูกสาว ฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ถึงตายก็บอกไม่ได้เจ้าค่ะ” เมี้ยนยืนกรานหนักแน่น
เจ้าสัวขยับจะฟาดอีก ศุกลไปกันไว้หางกระเบนกำลังจะลงไปที่ตัวของศุกล คุณนายน้อย คุณนายใหญ่ปราดมากันไว้
“ตีอิฉันแทนลูกเถิดค่ะ” คุณนายใหญ่บอก
คุณนายน้อยเข้าขวาง
“ตีอิ ฉันเถิดค่ะ แต่อย่าตีคุณศุกล คนผิดคือลูกสาวอิฉัน”
เจ้าสัวโยนหางกระเบนทิ้ง
“ปกป้องกันดีนัก บ้านอื่นมีแต่เมียสองเขาทะเลาะตบตีกัน นี่ดันปรองดองเข้าข้างกันไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“ใช่สิคะ มีแม่คนไหนบ้างที่ไม่ปกป้องลูก ไม่ยอมเจ็บแทนลูก” คุณนายใหญ่เถียง
“เอาล่ะ กลับไปนอนกันให้หมด ฉันไม่ทำอะไรใครทั้งนั้นสำหรับวันนี้แต่นี่คือคำสั่ง ห้ามใครมาช่วยปล่อยนางเมี้ยนเด็ดขาด”
“บ่าวก็จะไม่ยอมให้ใครมาปล่อยเด็ดขาดเจ้าค่ะ คุณศุกลเจ้าขา อย่าพยายามช่วยเมี้ยนเลยเจ้าค่ะ เมี้ยนไม่รับความช่วยเหลือหรอกเจ้าค่ะ”
เจ้าสัวกระแทกเท้าเดินจากไป คุณนายสองคนดึงศุกลไปจากที่นั่นเมี้ยนน้ำตาไหล
“ไม่มีวันที่เมี้ยนจะยอมให้ใครมาเป็นสามีคุณหนูศรีของเมี้ยนเด็ดขาด เจ้าค่ะ”
เมี้ยนน้ำตาไหลหน้ามุ่งมั่น
เจ้าคุณ หรือพระยาสมิติภูมิ ชาวฝรั่งสัญชาติอังกฤษ กำลังดินเนอร์อาหารฝรั่ง ดื่มไวน์กับเจ้าคุณเกษมและคุณหญิงลออศรีคุยกันไปด้วยมีสังวร สังเวียนคนรับใช้สาวหน้าตาดี คอยปรนนิบัติรับใช้
“บ้านคนโสดโดนลูกเมียตัดขาดก็อย่างนี้แหละ อะไรอะไรมันดูแห้งๆ ขาดตกบกพร่อง อภัยให้กันนะ เจ้าคุณเกษม คุณหญิงลออศรี” เจ้าคุณพูดประชดนิดๆ
“ก็ท่านเล่นไม่ยอมกลับอังกฤษ มัวแต่มาหลงรักเมืองไทยอยู่นี่นา เจ้าคุณ” เจ้าคุณเกษมแย้ง
“ใช่ผมหลงรักประเทศไทย ผมต้องการเป็นคนไทย อยู่อย่างไทยและตอนนี้ผมก็อยากมีเมียไทย”
เจ้าคุณเกษมหัวเราะชอบใจสังวรกับสังเวียน สะกิดกันสบตา แล้วยิ้มลออศรีปรายตามองสองคน ทำหน้ารังเกียจมาก
“อย่าได้เอาพวกหญิงไร้การศึกษา ราคาต่ำต้อยมายกย่องให้เป็นคุณหญิงเคียงข้างท่านทีเดียวนะคะท่านเจ้าคุณ แม่พวกนั้นก็แค่ขนมหวานหน้าโรงหนัง กินแล้วก็จบ”
เจ้าคุณปรายตาไปดูสองสาวรับใช้ที่ส่งยิ้มหวานมาให้
“แล้วผมจะไปหาผู้หญิงที่ไหนมาเป็นคุณหญิง ผมแก่สี่สิบแล้วนะ ผู้หญิงไทยออกเรือนกัน อายุน้อยๆทั้งนั้น ใครจะอยากมีผัวแก่”
“แก่แต่ภูมิฐาน เป็นถึงพระน้ำพระยา ใครบ้าปฏิเสธก็โง่เต็มทีค่ะ”
“จะให้คุณหญิงลออศรีหาให้ ก็คงไม่ไหวแล้ว คุณหญิงปาเข้าไปยี่สิบแปด” เจ้าคุณเกษมพูดขำๆ
ลออศรีแอบตีสามีเพี๊ยะ
“อายุยี่สิบแปด มีลูกกันสิบขวบหรือสิบกว่าก็มี เฮ้อ...ไม่เหลือใครให้ผมแล้วสินะ”
“ความจริงเหลือนะคะ อายุยี่สิบแปดเท่าดิฉัน แต่เธอเพิ่งแต่งงานไปวันนี้เองค่ะ”
เจ้าคุณเกษมแปลกใจ
“ใครหรือคุณหญิง”
“แม่ศรี เพื่อนรักสมัยเรียนคอนแวนต์ด้วยกันไงคะ ถือว่าขึ้นคานแล้วแต่โชคดีที่มีพ่อเพื่อนรักของเขาไม่เกี่ยงเพราะเห็นว่าเหมาะสม”
เจ้าคุณไม่เข้าใจ
“เหมาะสมยังไงครับ”
“สวยสง่า ฉลาดปราดเปรื่อง อ่านออกเขียนได้พูดคล่องทั้งอังกฤษและไทยราวกับภาษาของตัวเอง ดิฉันนะเทียบเธอไม่ติด ที่สำคัญเธอเป็นลูกเจ้าสัวเส็งผู้โด่งดังไงคะ”
“ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้าสัวคนนี้มานานแล้ว ผมคงหาภรรยาที่เลอเลิศอย่างเพื่อนคุณหญิงลออศรีไม่ได้หรอก”
สังวรกับสังเวียนมองหน้ากัน
“วุ๊ย”
ลออศรีได้ยินก็พึมพำ
“ต่ำ”
เจ้าคุณ มองสองสามีภรรยาแล้วครุ่นคิดลออศรีรู้ทัน
“ถ้าดิ ฉันจะรับอาสาเป็นแม่สื่อหาภรรยาที่คู่ควรให้ท่านสักคนจะยอมรับไหมคะ”
เจ้าคุณยิ้มรับ
“แทงคิ้ว ขอบคุณมากจริงๆ ด้วยความยินดี”
“แต่ท่านสัญญานะคะ ว่าจะอดใจรอ ไม่เอาตัวไปเกลือกกลั้วคนไม่คู่ควร”
เจ้าคุณเกษมขัดขึ้น
“มากไปคุณหญิง ผู้ชายก็ต้องมีบ้าง”
“ผมรับปาก เพราะภรรยาผมที่อังกฤษประมาทหน้าดูแคลนเอาไว้ ว่าผมไม่มีปัญญาหาภรรยาดีได้เท่าเธอแน่”
ลออศรียิ้ม เจ้าคุณสนใจข้อมูลที่ลออศรีบอกมาก
อ่านต่อหน้า 3
คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ในวันต่อมา ตอนสายมากแล้ว ศรียังคงนอนหลับสนิท แต่ฝันถึงเมี้ยนแล้วสะดุ้งตื่น
“เมี้ยน”
ศรีลืมตาพรวดมานั่ง ส่ายตาหาเมี้ยน เจอเอาสะบันงานั่งยิ้มตรงข้างฟูก
“สะบันงา”
“ค่ะ คุณท่านตื่นแล้ว นี่คะ น้ำล้างหน้า นี่คะ ใบข่อยแปรงฟัน”
“ใบข่อยแปรงฟัน นี่ๆ ไม่ใช้แปรงสีฟันกันหรอกหรือ”
“มันแพงค่ะ เราใช้ใบข่อยนี่แหละค่ะถูฟัน กับน้ำเกลือบ้วนปาก”
“แปลกดี น่าลองนะ ไม่ไปโรงเรียนหรอกหรือ สะบันงา”
“เรียนจบ ป.4 ก็ออกมาช่วยแม่แล้วค่ะ พออ่านออกเขียนได้”
“ไม่อยากเรียนต่อหรือ”
“อยากมากค่ะ แต่การมาช่วยแม่ สำคัญและจำเป็นกว่าค่ะ”
“ถูกต้อง จริงของเธอ เธอเป็นเด็กดีมาก ฉันเสียอีกอายุยี่สิบแปดยังร้ายกาจทำให้แม่เสียใจร้องไห้เสมอ วันนี้แม่ของ ฉันก็คงกำลังร้องไห้เพราะ ฉันอีกแล้ว”
“กลับไปปลอบแม่ของคุณท่านสิคะ หนูปลอบแม่บ่อยๆค่ะเวลาแม่ร้องให้เสียใจที่ไม่มีเงินส่งหนูเรียน”
“บอกไม่ต้องร้องไห้เสียใจ ต่อไปนี้ ฉันจะมาหาเธอที่แพ จะมาสอนหนังสือเธอ ภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศสด้วยนะ”
สะบันงาดีใจก้มลงกราบ
“จริงหรือคะ”
“ ฉันไม่เคยพูดพล่อยๆ กับคนดีๆหรอกสะบันงา แต่กับคนเลวๆหรือ ฉันด่ามันจนแสบหน้าถลอกปอกเปิกเลยแหละ”
ศุกลโผล่มาเรียก
“พี่ศรีครับ” ศกุลมองสะบันงายิ้มๆก่อนจะหันไปบอกพี่สาว “เมี้ยนแย่แล้ว”
“แย่ขนาดไหน”
“โดนหางกระเบน โดนโยงไว้กับขื่อคาหน้าโรงครัว”
ศรีลุกพรวด หันมาบอกสบันงา
“ฉันไปก่อนสะบันงา แล้วจะกลับมาตามสัญญา ขอบใจมากฝากบอกแม่เธอด้วยว่าขอบใจ ไปศุกล”
ศรีคว้าข้อมือศุกลอึกอัก แล้วหยิบกุหลาบแดงดอกหนึ่งที่แอบไว้ด้านหลัง วางตรงหน้าสะบันงา
“ให้เธอ เก็บไว้ให้ดีอย่าทิ้งนะ”
สองพี่น้องออกไป สะบันงามองกุหลาบค่อยหยิบขึ้นมามองแล้วอมยิ้มมองตามหลังที่สองคนเดินออกไป
เมี้ยนถูกโยงไว้ยืนสงบนิ่ง ไม่มีสีหน้าหวาดกลัว เจ้าสัวเส็งกำลังยืนตะคอกใส่ คุณนายใหญ่คุณนายน้อยยืนเยื้องมาด้านหลัง กิมฮวยกิมเฮียง ครูแหม่มยืนตัวสั่นงันงก บ่าวชายสองคน ยืนหน้าซีดเจ้าสัวเส็งขยับหางกระเบน
“บอกมาว่าลูกสาว ฉันไปแอบอยู่ที่ไหน”
“ตายไปก็บอกไม่ได้เจ้าค่ะ”
เจ้าสัวเส็งสั่นไปหมดขยับหางกระเบนอีกครั้ง
“แกไม่กลัวเกรง ฉันแม้แต่น้อย ใช่ไหม”
“กลัวมากเจ้าค่ะ แต่…”
“แต่อะไร”
“บ่าวกลัวเกรงคุณหนูศรีมากกว่าเจ้าค่ะ”
สองคุณนายตกใจ
“ต๊าย”
เจ้าสัวเส็งโมโห
“ฟังมัน ฟังมัน ถ้า ฉันจะฆ่าแกให้ตายตอนนี้แกจะยอมตายไม่บอกใช่ไหม”
“ใช่เจ้าค่ะ”
สองคุณนายหน้าตื่น
“ว๊าย”
“งั้นแกตาย”
เจ้าสัวเส็งขยับยกหางกระเบนขึ้นสูงทำท่าจะเหวี่ยงศรีวิ่งมากับศุกล
“คุณเตี่ย หยุดเถิดค่ะ”
เจ้าสัวเส็งหันไปมองทุกคนหันไปมอง เมี้ยนอึ้งๆ
“คุณหนู ของเมี้ยน”
เจ้าสัวลดหางกระบนลง ศรีเดินไปหาพ่อแล้วยืนกอดอกหันหลังให้
“นั่นจะทำอะไร” เจ้าสัวเส็งถามเสียงเข้ม
“ให้คุณเตี่ยทำโทษค่ะ ฟาดหนูด้วยหางกระเบน แต่อย่าไปทำเมี้ยนเพราะหนูเป็นคนที่สั่งเมี้ยนทุกอย่าง”
คุณนายน้อยตกใจ
“หนูศรี นี่ลูกกล้าขัดความหวังดีของคุณเตี่ย คุณแม่ใหญ่ กับแม่หรือ”
“คราวนี้รุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทำไมไม่นึกถึงหน้าตาหัวอกของพ่อแม่บ้าง” คุณนายใหญ่ต่อว่า
“แล้วมีใครนึกถึงหัวอกของหนูบ้างไหมคะ คุณเตี่ย ก็ทราบดีว่าหนูไม่อยากแต่งงาน หนูบอกแล้วไงคะ ว่าอยู่คนเดียวไปจนตายได้”
เจ้าสัวเส็งเสียงเข้ม
“ไม่ได้...รู้ไหมว่าพ่อต้องเสียเพื่อนร่วมสาบานที่พ่อรักที่สุดไปแบบไม่มีวันหวนคืนดีกันได้”
ศรีก้มลงกราบเท้าพ่อ
“หนูขอโทษ เชิญลงโทษหนูให้สาสมกับสิ่งที่หนูทำคุณเตี่ยเสียหายเถิดค่ะ”
เมี้ยนรีบห้าม
“ไม่นะเจ้าคะ ลงโทษเมี้ยน เมี้ยนสอนคุณหนูเอง”
ศรีหันไปหาแม่ทั้งสอง
“คุณแม่ใหญ่ คุณแม่น้อยขา หนูขอโทษ”
“ขอโทษหนที่เท่าไหร่แล้ว แล้วก็ทำอีก”เจ้าสัวเส็งปรายตาไปมองศุกล “นั่นก็อีกคน กลับมาจากเมืองนอกไม่ทันรู้เรื่องรู้ราว กุลีกุจอช่วยกันหักหลังพ่อฉีกหน้าครอบครัวตัวเอง”
ศุกลหน้าสลด
“ผมขอโทษครับ คุณเตี่ย คุณแม่ใหญ่ คุณแม่น้อย”
“คุณเตี่ยขากรุณาเถิดนะคะ ได้โปรด ปล่อยเมี้ยนนะคะ” ศรีอ้อนวอน
“คุณเตี่ยครับ ลองคิดกลับกัน เมี้ยนคือทาสผู้ชื่อสัตย์ของพี่ศรีนะครับ” ศุกลช่วยพูดอีกคน
“แต่มันคือบ่าวทรยศอกตัญญูของพ่อ”
“เจ้าสัวคะ ดิ ฉันจะให้หนูศรีแก้ตัวอีกครั้ง นะคะ” คุณนายน้อยขอร้อง
คุณนายใหญ่ถอนใจ
“ใครจะมายอมเป็นเหยื่ออีกเล่า ขึ้นคานไปแล้วแท้ๆ ใครจะมาแลผู้หญิงอายุยี่สิบแปด ผู้หญิงอายุสิบแปดมีถมไป”
“ไม่มีใครมาสู่ขอไปทำลูกทำเมียแล้ว ไม่ต้องคิดว่าจะมาแก้ตัวอีกครั้งสายไปแล้ว ชาตินี้หาผัวไม่ได้แล้ว” เจ้าสัวเส็งโวย
ศรีสบตาเมี้ยนส่ายหน้าศรีนึกกับตัวเองในใจ
“จริงสิ เราอายุยี่สิบแปด ต้องไม่มีใครมาสู่ขอแล้ว...ดีจัง”
ศรียิ้มมีแผนใหม่
เจ้าคุณ นั่งกินขนมปังไข่ดาวไส้กรอก มีสังวรสังเวียนสองพี่น้อง คอยเอาใจให้ท่า
“เราต้องการมีคุณหญิงมาเคียงข้างดูแล” เจ้าคุณพึมพำ
“ว่ากระไรนะเจ้าคะ ท่านเจ้าพระยา” สังเวียนถาม
“อ๋อ ไส้กรอกนี่ใครทำ สังวร สังเวียน”
“นายกุ๊กซ้งเจ้าค่ะ” สังวรส่งตาหวานไปให้
เจ้าคุณทำไม่เห็น
“กุ๊กฝรั่งหายไปไหน”
“ไม่ได้หายไปไหนเจ้าค่ะ แต่กุ๊กซ้ง อยากทดลองทำอาหารฝรั่งเจ้าค่ะ” สังเวียนบอก
“กุ๊กฝรั่งเลยบอกว่า วันหลังจะทดลองทำอาหารจีนบ้างเจ้าค่ะ” สังวรเสริม
เจ้าคุณมองสองสาว
“เราสองคนพี่น้องอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว”
“ปีครึ่งเจ้าค่ะ อายุสิบแปดเจ้าค่ะ” สังวรบอก
“ครึ่งปีเจ้าค่ะ อายุสิบเจ็ดเจ้าค่ะ” สังเวียนพูดต่อ
“ทำไมยังไม่แต่งงานกันเล่า” เจ้าคุณถามอีก
สองคนยิ้มเอียงอายใส่เจ้าคุณแล้วสบตากัน
“แหม ก็ยังไม่มีใครมาสู่ขอเจ้าค่ะ” สังวรพูดเขินๆ
“หน้าตาสองคนสะสวย ไม่น่าจะมีใครมองข้าม”
สองคนสบตากันดีใจ เจ้าคุณรวบช้อน
“ฉันจะไปทำงานแล้ว”
เจ้าคุณเดินออกสองคนผวาจะตาม เจ้าคุณโบกมือห้าม
“ฉันรักเมืองไทยแต่ไม่ชอบธรรมเนียมให้ใครคอยตามประจบเอาใจตลอดเวลา”
สองคนชะงัก จ๋อยไปนิดมองตามผิดหวัง
“ชมว่าเราสวย แต่ทำไมไม่เห็นเราในสายตา” สังวรงอนๆ
สังเวียนเสียใจ
“หน้าตาสวยๆอย่างเรา ทำไมจะกลายเป็นคุณหญิงไม่ได้”
“สักวัน”
สองคนพูดพร้อมกันแล้วหันมามองหน้ากันเองสังวรชี้หน้าสังเวียน
“ฉันต้องได้เป็นคุณหญิงที่นี่ ส่วนแก สังเวียน ฉันจะมอบตำแหน่งคุณนายรองให้แกเอง ได้ยินคุณหญิงสังวรบอกไหม คุณนายรอง”
สองพี่น้องหัวเราะกันคิกคัก
เหตุการณ์ยังตึงเครียด เจ้าสัวเส็งยังไม่ยอมปล่อยเมี้ยนศรีขอร้อง
“คุณเตี่ยขา หนูมีข้อเสนอค่ะ”
“ข้อเสนอชั่วร้ายเจ้าเล่ห์”
“ถ้ามีใครมาสู่ขอหนูอีกหนูจะยินยอมแต่งงานโดยไม่บิดพลิ้วค่ะหนูสัญญา”
เมี้ยนตกใจ
“คุณหนู ไม่นะเจ้าคะ”
คุณนายน้อยมองหน้าลูกสาว
“สัญญากับคุณเตี่ยแล้วนะ อย่าทำลายสัญญาทีเดียวนะลูก”
ศรีมั่นใจ
“ค่ะ แก้มัดเมี้ยนนะคะคุณเตี่ย ถ้าคุณเตี่ยยอมแก้มัดเมี้ยน ไม่ลงโทษเมี้ยนหนูจะขอสาบานซ้ำเพื่อความมั่นใจไว้ตรงนี้เลยนะคะ”
เมี้ยนรีบห้าม
“อย่านะเจ้าคะ”
ศรีพนมมือ สาบาน เจ้าสัวเส็งมอง ทุกคนมองกิมเฮียงกับกิมฮวยแอบพูดกับแหม่ม
“โอเค”
เจ้าสัวเส็งตัดสินใจ
“แก้มัดนางเมี้ยน”
“ขอบพระคุณมากค่ะ คุณเตี่ย” ศรีดีใจ
“ถ้าผิดสัญญาครั้งต่อไป เราไม่ใช่พ่อลูกกันอีกแล้ว”
เจ้าสัวเรียวมองหน้าศรีมองตอบ เป็นเชิงรับรองว่าไม่ทำ
เมี้ยนส่ายหน้าไม่ชอบใจ
“ขอบพระคุณคุณหนูเป็นที่สุดเจ้าค่ะ ที่ช่วยเมี้ยนอีกแล้ว แต่…”
“แต่เมี้ยนช่วย ฉันมากกว่าที่ ฉันช่วยเมี้ยนนี่นา จะมาแต่อะไรอีก”
“แต่คุณหนูสาบานกับคุณเตี่ยแบบนั้นมันเสี่ยงเกินไปนะเจ้าคะ เท่ากับคุณหนูเอาอนาคตโสดของคุณหนูไปแขวนไว้กับเส้นด้ายที่จวนเจียนจะขาดนะเจ้าคะ”
“โฮ้ย ไม่มีใครมาขอแต่งงานกับ ฉันอีกหรอก ฉันขึ้นคานไปเรียบร้อยแล้ว”
“ว่าได้หรือเจ้าคะ คุณหนูถึงจะอายุยี่สิบแปด แต่ยังสวย สง่างาม ฉลาดรอบรู้ จนผู้ชายฉลาดๆบางคนมองข้ามเรื่องอายุ”
“ไม่มีแล้วจริงๆ เมี้ยน ป่านนี้เจ้าสัวเต็งป่าวประกาศไปทั่วกรุงเทพแล้วว่า ฉันหลอกลวงเขา ไม่มีใครกล้ามาสู่ขอ ฉันหรอกน่า เมี้ยนอย่าวิตก”
“เมี้ยนวิตกเจ้าค่ะ เรื่องพรรค์นั้นมันผันแปรเปลี่ยนได้เสมอ ตราบใดที่คุณหนูของเมี้ยน ยังงดงามขนาดนี้”
“ผู้ชายสมัยนี้เขาแต่งงานกันอายุยี่สิบเศษๆ เขาต้องการมีเมีย ใครจะขอ ฉันไปทำแม่”
“อ้าว เกิดมีพ่อหม้ายที่แก่กว่าคุณหนูมาสนใจใยดี หรือบางทีอาจเป็นผู้ชาย ที่อยู่เป็นโสดมานาน มาสนใจคุณหนูเล่าคะ”
“พอแล้ว ฉันจะไม่ยอมพบหน้าผู้ชายที่ไหนทั้งนั้น เออ...เมี้ยน ยัยพริ้งขายดินเผาแพหลังบ้านเรานั่น ลูกสาวแกน่ารักมากนะ”
“เจ้าค่ะ น่ารักมาก น่าจะเกิดมาเป็นคุณหนูในคฤหาสน์ที่ไหนสักแห่งช่างเกิดผิดที่จริงๆนะเจ้าคะ”
“ฉันเอ็นดูเด็กนั่น ฉันจะไปสอนหนังสือเขา”
“เอ็นดูขนาดนั้น เดี๋ยวก็ลืมเมี้ยนกับครูแหม่มหรอกนะเจ้าค่ะ”
“ไม่มีวันลืมหรอก จริงสิ ฉันจะให้ครูแหม่มสอนต่อไปเพราะ ฉันยังไม่ได้ออกเรือน”
ศรีรีบพรวดไปนอกห้อง เมี้ยนตามไปติดๆ
ในห้อง...คุณนายใหญ่ส่งเงินให้ครูแหม่มซองใหญ่ ครูแหม่มก้มลงกราบสวยงาม
“แทงคิว โซมัช ค่ะ คุณนายใหญ่ กรุณากันเหลือเกิน”
“ฉันก็แท้งดิ้ว โซมัช ครูแหม่ม ไม่เสียใจใช่ไหมว่าทำไม ท่านเจ้าสัวท่านต้องการให้ครูแหม่มเลิกสอนหนูศรี”
ครูแหม่มเศร้าๆ
“ค่ะ... ฉันทราบสอนกันมานานเกินไปจนเธอเก่งกว่าดิฉันแล้ว”
“หนูศรีติดครูแหม่มมากเกินไป ขอบใจมากที่แสดงให้ทุกคนเข้าใจว่าครูแหม่มตัดสินใจลาออกเอง ไม่ใช่เจ้าสัวเลิกจ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันขอบพระคุณสำหรับกองทุนตั้งตัว ดิฉันกราบลา”
“จะไปลาหนูศรีไหม...แต่เจ้าสัวท่านว่าอย่าไปจะดีกว่า”
“ค่ะ”
ครูแหม่มหน้าเศร้า...ศรีกับเมี้ยนแอบฟังหน้าห้อง มองหน้ากันศรีกระซิบ
“คุณเตี่ยใจร้าย ชอบทำร้ายคนที่ ฉันรัก”
“ท่านหวังดีนะเจ้าคะ ท่านคิดว่าครูแหม่มมีส่วนร่วมและคือสาเหตุที่คุณหนูเกลียดผู้ชาย”
“ผู้ชายใจร้ายแบบพ่อของครูแหม่มทิ้งลูกทิ้งเมีย สมควรโดนเกลียดผู้ชายไม่ต้องท้อง ผู้หญิงอุ้มท้องคลอดลูกเจ็บเจียนตาย ฉันคิดถึงภาพ ฉันอุ้มท้องแล้ว อยากจะตาย มันคงทรมานพิลึกนะเมี้ยน”
“มันคงทรมานตอนท้องตอนคลอด แต่ตอนคลอดแล้วเห็นหน้าลูก มันคงเป็นความสุขมากนะเจ้าคะ”
“ไม่เอา ฉันไม่เอา ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก”
“ครูแหม่มกำลังจะออกมา อย่าให้คุณแม่ใหญ่รู้เจ้าค่ะว่าเรามาแอบฟังหลบเจ้าค่ะ”
เมี้ยน ดึงศรีหลบ ครูแหม่มเดินตาแดงออกมาจากห้องถือซองเงินมาด้วย
ครูแหม่มหิ้วกระเป๋ากำลังจะออกจากบ้าน ได้ยินเสียงเรียก
“ครูแหม่มใจร้าย หนีไปไม่บอกกล่าวกัน”
ครูแหม่มรู้ว่าเป็นศรีหยุดนิ่ง ศรีปราดมาหา มาจับมือ เมี้ยนยืนห่างไปเหมือนระวังภัย
“ฉันขอโทษค่ะ คือ...คือ เอ้อ...ต้องรีบไป กู๊ดบาย ค่ะ”
“โน...ไปไม่ได้ ฉันยังไม่ได้แต่งงาน ครูต้องอยู่สอน ฉันต่อไป”
“โน ฉันต้องไป ฉันต้องการลาออกไปตั้งโรงเรียนของตัวเองค่ะ”
“โกหก ครูแหม่มรัก ฉัน ครูแหม่มไม่เคยต้องการจาก ฉันไปไหนทั้งสิ้นจำได้ไหมว่าครูแหม่มสอนหนังสือ ฉันตั้งแต่จำความได้ แล้วจู่ๆ จะจากไปโดยไม่ล่ำลาบอกกล่าวแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“หมายความว่า ไอ ก็แค่สอนหนังสือเพื่อมีรายได้ ไม่ได้ผูกพันอะไรทางจิตใจกับยู แต่ยูอาจเข้าใจผิดไปเอง ซอรี่ นะคะ”
“ใครสั่งให้ครูแหม่มใจร้ายกับ ฉันอย่างนี้”
“เงินค่ะ ฉันไม่อยากดักดานมาสอนคนอายุตั้งยี่สิบแปดแล้วฉันต้องการสอนนักเรียนตัวเล็กๆ ลาก่อน คงไม่ได้พบกันอีก”
“ครูแหม่ม” ศรีอึ้งๆ
เมี้ยนไม่พอใจ
“ครูแหม่มทำเกินไป ก็รู้อยู่ว่าครูแหม่มคือตัวอย่างที่คุณหนูยึดถือแม้กระทั่งการเกลียดผู้ชาย แล้วจู่ๆบอกว่าไม่ได้ผูกพันอะไรกันทั้งสิ้นทำร้ายจิตใจคุณหนูทำไม”
“คงต้องไปสักที รถที่นัดไว้น่าจะมารอแล้ว”
ครูแหม่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ ศรีสบตาครูแหม่มสองคนสบตากัน ส่งสายตาผูกพันกัน
“อย่าโกหก อยากทิ้ง ฉันไปจริงๆหรือครูแหม่ม ไม่เคยรักใคร่เอ็นดู ฉันสักนิดตลอดเวลายี่สิบปีที่เราอยู่ด้วยกันมาเลยหรือ ครูแหม่มสอน ฉันทุกอย่าง สอนให้ฉันเกลียดผู้ชาย สอนให้ ฉัน...รักแต่...”
“พอที คุณหนู ครูขอโทษ”
ครูแหม่มสะอื้น สองคนโผมากอดกัน
“ฉัน ฉันรักครูนะ”
“ฉันก็รักคุณหนูค่ะ”
สามคนยืนมองภาพดังกล่าวบนระเบียงอย่างไม่สบอารมณ์เจ้าสัวเส็งหน้าเครียด
“ฉันคิดผิดมากๆที่รับครูแหม่มเข้ามาสอนหนังสือลูกเรา ตั้งแต่อายุแปดขวบ แล้วล่วงเลยมาจนถึงรุ่นสาว เขาครอบงำความคิดหนูศรีได้หมด”
คุณนายใหญ่รู้สึกผิด
“ควรจะให้เขาไปตั้งแต่หนูศรีอายุสิบแปด ไม่ใช่ยี่สิบแปด”
เจ้าสัวเส็งถอนใจ
“ยี่สิบปีที่ครูแหม่มครอบงำให้หนูศรีเกลียดผู้ชาย ไม่อยากแต่งงานมันกลายเป็นความทุกข์ของพวกเรา ฉันพลาดจริงๆ”
คุณนายน้อยเสียใจ
“ดิฉันขอโทษค่ะ ที่ดูแลลูกไม่ดี ปล่อยให้ลูกไปสนิทสนมกับคนอื่นมากกว่าตัวเอง”
“แต่ถึงยังไง วันนี้เขาก็จะจากไปแล้ว หน้าที่ของเราต่อไป คือหวังว่าจะมีใครสักคน มาสู่ขอหนูศรี ซึ่งคงหมดหวังแล้ว” เจ้าสัวเส็งหนักใจ
“หนูศรีสาบานแล้วนะคะ ว่าจะไม่บิดพลิ้ว” คุณนายน้อยย้ำ
“เพราะเด็กคนนี้ฉลาดพอที่จะรู้ว่า ไม่มีใครจะมาสู่ขอผู้หญิง อายุยี่สิบแปดไปทำเมียทำลูก” เจ้าสัวเส็งเข้าใจแผนของศรี
คุณนายใหญ่ถอนใจ
“สาบานไปเพราะต้องการให้นางเมี้ยนรอดพ้นจากการโดนลงโทษด้วยการควบคุมยากเหลือเกิน เด็กคนนี้”
เจ้าสัวเส็งหนักใจ
“ศุกลอีกคน ส่งไปเรียนวิชาการค้าขาย กลับมาวันๆไม่อยากไปทำงานกับพ่อ เอาแต่นั่งเขียนโคลงกลอน ไม่เป็นดั่งหวังสักคน”
“ส่งกลับไปเรียนต่อสิคะ” คุณนายใหญ่แนะ
เจ้าสัวครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“ให้คนไปเรียกศุกลมาพบ ฉัน”
“ค่ะ” คุณนายใหญ่ รับคำ
สะบันงาปั้นหม้อดินด้วยเครื่องปั้นที่หมุนติ้วๆ ศุกลนั่งมองยิ้มๆ
“เก่งจังสะบันงา”
“ไม่เก่งหรอกเจ้าค่ะ หนูปั้นเบี้ยวเสมอ แม่เอ็ดตะโรเอาบ่อยๆ
“ฉันอยากลองปั้นดูบ้างได้ไหม”
“ได้สิคะ”
สะบันงาถอยไปศุกลพยายามปั้นหม้อ แต่ทำไม่เป็นบิดเบี้ยวไปหมดหม้อพัง
“ไม่เอาแล้ว ฉันทำไม่เป็น สะบันงา ฉันอยากนั่งเรือเล่น แต่พายไม่เป็น”
สะบันงาชะงัก
“เอ้อ...”
“พายเป็นไหมล่ะ”
“ค่ะ”
สองคนลุกขึ้น กิมเฮียงกับกิมฮวย มาถึงพอดี
“คุณศุกลเจ้าขา”
“กิมเฮียง กิมฮวย มายุ่งกับ ฉันทำไม” ศุกลโวย
สองคนมองสะบันงาเป๋ง สะบันงาถอยหลบตัวลีบ
“ท่านเจ้าสัวให้มาเรียนเชิญไปพบเจ้าค่ะ” กิมเฮียงบอก
“คุณนายใหญ่ มีอะไรจะปรึกษาเจ้าค่ะ” กิมฮวยเสริม
กิมเฮียงกับกิมฮวยพูดพร้อมกัน
“เชิญเจ้าค่ะ”
ศุกลอาวรณ์สะบันงาที่ก้มหน้างุดศุกลหันไปดุบ่าว
“บอกแล้วก็ไปซะ อย่ามาอ้อยอิ่ง”
สองสาวใช้รีบเดินออกไปยังมองมาที่สะบันงาอีกครั้ง ไม่ชอบใจสะบันงาพูดขึ้น
“วันนี้คงไม่ได้พายเรือเล่นแล้วเจ้าค่ะ”
“แต่วันพรุ่งนี้ เราพายเรือเล่นได้ จริงไหม”
“ค่ะ เชิญค่ะ”
ศุกลหันมาถามก่อนไป
“ยังเก็บดอกไม้ของ ฉันไว้ใช่ไหม”
“เก็บค่ะ”
“สัญญาได้ไหมว่าจะไม่รับดอกไม้จากคนอื่น เอ้อ... ฉันหมายถึงผู้ชายน่ะ”
“เอ้อ…”
“รับปากสิ”
“ค่ะ”
“ขอบใจ”
ศุกลเดินออกไป สะบันงาหยิบดอกไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉาแล้วเอามาดม
เจ้าสัวเส็งคุยกับศุกลอยู่ในห้องทำงาน เจ้าสัวออกคำสั่งลูกชาย
“ศุกลต้องกลับไปเรียนวิชาธุรกิจการค้าเพิ่มเติม”
“คุณเตี่ย ไหนบอกว่า ประสบการณ์เรียนรู้กันได้ ทำไมผมต้องกลับไปเรียนต่ออีก”
“เพราะลูกไม่สนใจจะหาประสบการณ์”
“คุณเตี่ย”
“ศุกล คือลูกชายคนเดียวของพ่อ คือผู้สืบสกุล มีหน้าที่รับงานต่อจากพ่อดูแลแม่สองคน และบ่าวไพร่ ไม่ใช่นั่งเขียนกลอน และช่วยพี่สาวให้นิสัยเสีย นี่คือทั้งคำสั่ง และคำขอร้องจากพ่อ”
“คุณเตี่ย จะให้ผมไปเมื่อไหร่ครับ”
“ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปกับเรือสินค้าของเราที่จะไปมาเก๊าแล้วไปต่อเรือฝรั่งที่นั่น”
ศุกลจ๋อยมากพูดไม่ออก
กิมเฮียงกับกิมฮวย กำลังรายงานคุณนายใหญ่เรื่องสะบันงาสัญญากับศุกล
“ว่ามา เล่ามาให้หมด”
“นางเด็กนั่นอายุนิดเดียว ยังไม่ทันเป็นนางสาวหรอกเจ้าค่ะ” กิมเฮียงบอก
“ดูหูตาจริตจะกร้านเป็นสาวมากเจ้าค่ะ” กิมฮวยเสริม
“มันชม้อยชม้ายชายตาใส่คุณศุกลตลอดเวลาเจ้าค่ะ” กิมเฮียงใส่ไฟ
“มันนั่งถลกซิ่นให้เลยเข่ากะจะเผยขาอ่อนเจ้าค่ะ” กิมฮวยเติมเชื้อเพลิง
คุณนายใหญ่โมโห
“พอแล้ว ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว พวกแกมีหน้าที่สอดส่องเรื่องนางเด็กแพดินเผานั่นต่อไป”
สองสาวรับคำ
“เจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่เดินพรวดๆ ออกไปทางหนึ่ง ศรีกับเมี้ยนเข้ามา ศรีกระชากบ่าสองคนให้หันมาโดยแรงสองคนตกใจ
“คุณหนูศรี”
เมี้ยนชกท้องสองคนโดยแรงจนตัวงอศรีชี้หน้า
“แกใส่ร้ายเขาทำไม”
“แกต้องไปบอกคุณนายใหญ่เสียใหม่ว่าแกโกหกตอแหล” เมี้ยนสั่งเสียงเข้ม
“ถ้าแกไม่ไปทำตามที่เมี้ยนบอก แกก็จะโดนหนักกว่านี้”
“จะเอาลวดแทงร้อยทุลุปากนางคนช่างหาความดีนัก” เมี้ยนขู่
ศรีจิ้มขมับสองคน
“จำใส่กะโหลกร้ายๆ ของพวกแกสองคนเอาไว้ อย่าได้ไปแตะต้องสะบันงาคนนั้นอีกไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนทั้งสิ้น”
สองคนก้มหน้าร้องไห้
ศรีมาสอนหนังสือสะบันงาพยายามตั้งใจเรียน ศรีปิดหนังสือ
“เก่งนะสะบันงา หัวไวมาก อย่างนี้ไม่นานหรอก ก็อ่านเขียนภาษาฝรั่งเป็น”
“ค่ะ แต่ เอ้อ…”
“แต่อะไร”
“อย่าสอนให้หนูพูดเลยนะคะหนูไม่กล้าพูดหรอกค่ะ”
“จริงสิ ไอ้เรื่องพูดนี่ถ้ามีผัวฝรั่ง หรือทำงานกับฝรั่ง มันก็คงพูดไม่ออกเอาแค่เรียนให้อ่านออกเขียนได้ ฟังเข้าใจไปก่อนก็แล้วกัน วันหลังจะหาผัวพูดฝรั่งเป็นให้สักคน หรือจะเอาผัวฝรั่ง”
สะบันงาอายแทบมุดหน้าแทรกพื้นแพ ส่ายหน้าศรีหัวเราะ
คฤหาสน์ เจ้าคุณเกษมวันใหม่...คุณหญิงลออศรีตาค้าง ตกตะลึง ร้องอกอีแป้นแตกสถานเดียว
“อกอีแป้นแตก ศรีนี่เธอกล้าทำถึงเพียงนั้นเพื่อหลบเลี่ยงการมีผัว”
“เธอก็รู้ว่า ฉันไม่ต้องมีผัว ฉันต้องการอยู่เป็นโสดไปจนตาย โอ๊ย นึกถึงหน้าอีตาเจ้าบ่าวนั่นตอนมันเปิดหน้ามาเจอเมี้ยนแล้วตะโกนว่าผี แล้วขำเหลือเกิน เมี้ยนเล่าไปหัวเราะน้ำตาไหลน้ำตาเล็ดเมี้ยนมันเก่งมาก มันกินหมากจนฟันดำปากแดงแจ๊ดแจ๋ แล้วยิ้มแสยะ ฮะๆ”
ลออศรีกลับคิดไปอีกอย่างมองหน้าศรี ยิ้มๆ
“เธอจะไม่แต่งงานจริงๆหรือ ก๋ากั่นหาญห้าวอย่างเธอมันต้องมีผัวฝรั่ง”
“พูดบ้าๆ ฝรั่งเฝริ่งที่ไหน ไม่เอาหรอก อายุยี่สิบแปดแล้ว ถึงได้กล้าสาบานกับคุณเตี่ยว่าถ้ามีคนมาขอจะยอมแต่งทันทีไม่มีบิดพลิ้ว”
“จริงหรือนี่ แน่ใจนะว่าพูดจริง”
“แน่ใจ พูดจริงเพราะมั่นใจว่าไม่มีใครมาขอ ฉันอีกต่อไปแล้ว”
ลออศรีพอใจ
“ดีมาก ฮะๆ”
“เธอหัวเราะอะไร”
“พรุ่งนี้ กลางวันไปกินอาหารที่โรงแรม ทร๊อกกะเดโรกันนะ”
“ทำไม วันเกิดเธอหรือท่านเจ้าพระยาสามี”
“ฉลองที่เธอไม่ต้องแต่งงานอย่างไรล่ะ”
“ขอบใจมาก”
“เจอกันเที่ยงตรง พบกันในห้องและโต๊ะที่เราเคยนั่ง แต่งตัวให้สวยที่สุดในโลกจำไว้”
ศรีพยักหน้าขำๆ
ศรีแต่งตัวหน้ากระจกในห้องนอน เธอสวยมาก สง่าไม่แต่งตัวหวาน แต่แต่งโก้ มีหมวก เมี้ยนยืนประกบหลังยิ้มมอง
“สวยที่สุดในโลกแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู ไปเลยเจ้าค่ะ ไปฉลองการเป็นโสดตลอดชีวิตของคุณหนู”
ศรียิ้ม
“ขอบใจเมี้ยนมากที่สุดในโลก”
ศรีฉวยกระเป๋าเดินออกไปเมี้ยนมองตาม ยิ้มอย่างชื่นชม
ในห้องอาหาร เจ้าคุณใส่สูทเดินตรงมาที่โต๊ะศรีเดินมาที่โต๊ะเช่นกัน สองคนทำท่าจะนั่ง แต่ต่างเห็นกัน แปลกใจ มองหน้ากันมองนานมากเจ้าคุณทึ่งในความสวยสง่าของศรี
“ซอรี่เอ้อ...”
เจ้าคุณไม่ทันได้พูดต่อศรีสวนขึ้น
“แดท อิส โอ เค บีคอร์สดิส เทเบิ้ล อิส เทดเกน บาย มาย เฟรนด์” (That’s OK because this table is taken by my friend)
เจ้าคุณประหลาดใจที่ศรีพูดภาษาอังกฤษได้เจ้าคุณตื่นเต้นมาก
“ยู แคน สปีค อิง ลิช” (You can speak English)
“เยส”
“แอนด์ยัวร์ อิงลิช อิส เวรี่ เวล” (and your English is very well)
“แทงคิ้ว แอนด์ แคน ยู อเวย์ฟรอมมายเทบิ้ลพลีส” (Thank you and can you away from my table,please)
“ซอรี่ บีคอร์สดิส เทเบิ้ล อิส เทคเคน บาย มาย เฟรนด์ ทู” (sorry because this table is taken by my friend)
“โน”
“เยส”
“โนๆ”
“เยส”
“โน”
“เยส”
“โน” ศรีพึมพำไทย “ไอ้บ้า”
“ผมไม่ใช่ไอ้บ้า”
“อุ๊ย” ศรีตกใจที่เจ้าคุณพูดไทยเป็น
สองคนจ้องหน้ากันไม่พอใจกัน
เจ้าคุณเกษมกับคุณหญิงลออศรีมาถึงหน้าประตูห้องอาหาร เพราะแสร้งมาช้าให้สองคนเจอกันเอง สมใจเพราะสองคนเจอกันแล้ว
“พวกเขาพบกัน สบตากัน พูดอะไรกัน เป็นไปตามแผนของเราค่ะคุณเกษม”
“แผนของคุณหญิง ไม่ใช่ของเรา ทีนี้จะให้ ฉันทำอย่างไรต่อไป”
“รีบเดินเข้าแผนต่อสิคะ เราต่างคนต่างมานะคะ แล้วบังเอิญมาจองโต๊ะตัวเดียวกัน”
“เล่นเป็นเด็กไปได้ คุณหญิงไปจำแผนมาจากละครโรงไหนนี่”
“โรงของดิฉันเองค่ะ ทำเพื่อเพื่อนรัก ถ้าขึ้นเลขสาม แม่ศรีไม่มีโอกาสได้ผัวแน่ชาตินี้ ดิฉันไปก่อนนะคะ อย่าผิดแผนนะคะ”
ลออศรีรีบเดินไปทันที
เจ้าคุณกับศรียังคงขัดแย้งกันเรื่องโต๊ะ ในที่สุดเจ้าคุณยอมอ่อนข้อ
“ผมขอย้ำว่าผมไม่ใช่ไอ้บ้า แน่นอน”
“ฉันก็ขอยืนยันว่าโต๊ะตัวนี้เพื่อนของ ฉันจองไว้แน่นอน”
“ผมก็ยืนยันเช่นกันว่าเพื่อนผมจองไว้แน่นอน แต่ผม ยินดียกให้คุณสุภาพสตรี และเพื่อน ส่วนผมกับเพื่อนจะไปหาโต๊ะตัวใหม่นั่ง”
“แทงค์คิ้ว”
“ยัวร์เวลคัม”
ลออศรีเข้ามายิ้มหวานให้ศรี ทำเป็นไม่มองเจ้าคุณ
“คัมมิ้ง จ้า มาแล้ว ศรี จ๋า”
“ลออ เธอมาสาย”
เจ้าคุณมองสองคนมึนๆแปลกใจ
“คุณหญิงลออศรี”
ลออศรีทำเพิ่งจะเห็น
“ต๊าย...เจ้าคุณ สวัสดีค่ะ แหมขอโทษทีคะ ดิฉันไม่ทันมอง มัวห่วงเพื่อน นัดกันแล้ว ฉันมาช้าตลอดเวลา”
ศรีงงว่าสองคนนี้รู้จักกันด้วยหรือ เจ้าคุณอึกอักบอก
“เอ้อ...เอ้อ โต๊ะนี้คุณหญิงจองแล้ว”
“ใช่ค่ะ ดิ ฉันจองแล้ว แล้วท่านเล่าคะจองโต๊ะไหน”
เจ้าคุณเกษมเข้ามาตามแผน
“ผมก็จองโต๊ะนี้”
“ต๊าย ให้บังเอิญ สามีจองที ภรรยาจองทีเขาเลยนึกว่ามาด้วยกันเลยเหมาให้รวมโต๊ะเดียวกัน ถ้าเช่นนั้น ทำไมเราไม่นั่งด้วยกันเล่าคะคนกันเองทั้งนั้น”
ศรีงอนๆ มองเจ้าคุณไม่ชอบใจนักกระซิบลออศรี
“ฉันไม่ได้กันเองกับเขา ทำไมต้องนั่งด้วยกัน ไล่เขาไปนั่งที่อื่นสิ ลออ”
“ต๊ายตาย ลืมไปสนิท ว่าศรีเพื่อนรักที่สุดในโลกของดิ ฉันกับท่านพระยาสมิติภูมิยังไม่รู้จักกัน ศรีจ๋า นี่ท่านพระยาสมิติภูมิจ้ะ”
เจ้าคุณยิ้มขำๆ ยื่นมือให้ศรียกมือไหว้ เจ้าคุณจ๋อยนิดหนึ่งในใจนึกว่ายัยนี่ร้ายนัก
“ไนซ์ ทู มีท ยู”
ศรีก็คิดในใจ...แบด ทู มีท ยู
“ศรี จ้ะ เจ้าคุณ ทักทายจ้ะ”
“ซอรี่ เอ้อ สวัสดีค่ะ ไนซ์ ทู มีท ยู ทู”
ในคลอง...สะบันงาพายเรือให้ศุกลนั่ง
“สะบันงา อาทิตย์หน้าเราต้องจากกันแล้วนะ” ศุกลเศร้าๆ
“จากกัน เอ้อ...” สะบันงาไม่เข้าใจ
“ฉันต้องกลับไปเรียนต่อที่เมืองนอก”
“คุณศุกลโชคดีมากค่ะ ได้ไปเมืองนอกสองครั้งแล้ว”
“โชคร้ายต่างหาก”
“โชคร้าย อย่างไรคะ”
“ฉันไม่อยากไปแม้แต่น้อย ไปครั้งเดียวสามสี่ปีก็มากเกินพอแล้ว”
“แม่บอกว่า ใครได้ไปเรียนเมืองนอก คือคนที่รวยมากและโก้มากค่ะ”
“แต่ ฉันอยากนั่งเรือเล่นกับสะบันงา ชมธรรมชาติ เขียนโคลงกลอน มีความสุขกว่าเป็นไหนไหน สะบันงาจ้ะ เอ้อ...มีใครมาเกาะแกะสะบันงาบ้างไหม หมายถึงผู้ชายน่ะ”
“ไม่มีหรอกค่ะ แม่บอกว่าหนูยังเด็กมาก ห้ามสนใจใครเด็ดขาด”
“ถ้าเช่นนั้น อีกสามปี สะบันงาก็โตเป็นสาวจริงไหม”
“เอ้อ...ค่ะ”
“สัญญาได้ไหม ระหว่างสามปีที่ ฉันจากไป สะบันงา อย่าไปสนใจใครนะ”
“เอ้อ...หนูไม่เคยคิดจะสนใจใครหรอกค่ะ”
“ชื่นใจ”
สะบันงาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทีท่าของศุกลนักรู้แต่ว่าเขาใจดี น่ารัก ชอบที่เป็นคนใจดี พูดเพราะเท่านั้นเอง
“ฉันหิวแล้ว เราไปหาที่นั่งกินอาหารกันริมคลองตรงที่ร่มๆนะ”
“ค่ะ”
สะบันงาเหเรือไปริมคลอง
ทั้งสี่นั่งกินอาหารฝรั่งด้วยกัน เจ้าคุณลอบมองศรีบ่อยครั้ง ศรีไม่ได้สนใจเจ้าคุณ ออกรำคาญ แต่พอเงยหน้าเจอเจ้าคุณมองมายิ้มให้ก้มหัวให้ ศรีก็ได้แต่ยิ้มนิดหนึ่งตามมารยาท ส่วนลออนั้นพูดให้เกิดความโยงใยกับศรีและเจ้าคุณทำตัวเป็นแม่สื่อ เจ้าคุณเกษมแค่คล้อยตามเออออ
“ศรี เธอรู้ไหมว่าท่านเจ้าคุณโสดมาจนป่านนี้”
“โสดที่นี่ แต่ไม่โสดมาจากอังกฤษถูกไหมคะ”ศรีขัดขึ้น
“ถูกต้องครับ ผมรักเมืองไทย อยากป็นคนไทย”เจ้าคุณยืนยัน
“อยากแต่งงานกับคนไทยด้วย”ลออศรีเสริม
“เจ้าคุณท่านเลิกรากับภรรยาที่อังกฤษ เนื่องจากเธอไม่ชอบให้เจ้าคุณมาทำงานต่างชาติ” เจ้าคุณเกษมอธิบาย
“เราหย่าขาดกันตั้งแต่ผมตัดสินใจมาทำงานเมืองไทยเกือบยี่สิบปีแล้วครับ”
ศรีเปลี่ยนเรื่อง
“แหม...เมืองอังกฤษนี่คงสวยคลาสสิกมากนะคะ อยากเห็นแต่ ไม่อยากไป”
“ขนาดยังไม่เคยไป คุณศรีพูดอังกฤษคล่องและชัด ราวกับเกิดที่นั่น” เจ้าคุณชม
“ใช่สิคะ ก็ศรีเขามีครูแหม่มอังกฤษ มาสอนตั้งแต่ตอนแปดขวบกินนอนอยู่ด้วยกันตั้งยี่สิบปี สมัยเรียนคอนแวนต์เพื่อนๆ เรียกศรีว่าแม่ดิคชันนารี่เดินได้ค่ะ ภาษาฝรั่งเศสศรีก็เชี่ยวชาญนะคะ” ลออศรีอวย
ศรีแอบสะกิด ลออศรี
“อย่าออกนอกหน้าสิลออ” ศรีหันไปบอกเจ้าคุณ “คือลออเขาพยายามจะบอกคุณว่า ฉันแก่อายุยี่สิบแปดแล้วค่ะ”
“ผมก็แก่สี่สิบแล้ว”
“คือเจ้าคุณตอนเป็นตัวแทนอังกฤษมาติดต่อกับไทย บรรดาศักดิ์ทางโน้นก็สูงแล้ว พอมาปักหลักเมืองไทย ก็เลยได้เป็นพระยาตั้งแต่อายุยังน้อย” เจ้าคุณเกษมอธิบาย
“คือเป็นท่านลอร์ด แต่ขอลาออกจากบรรดาศักดิ์ทางโน้นเพื่อมารับราชการทางนี้ ก็เลยได้รับพระราชทานยศพระยาสมฐานะและความรู้” ลออศรีเสริม
“แต่ ฉันก็แค่ลูกคนจีนโพ้นทะเลโล้สำเภามา เลยไม่ติดใจเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ คนเราเกิดมาวันแรกก็เท่ากับถอยหลังนับวันตายยศศักดิ์มีเสื่อมได้ถ้าไม่รักษาความดีและ การกระทำให้คงเส้นคงวาค่ะ”
เจ้าคุณพอใจ
“วอนเดอร์ฟูล ยูอาร์ วอนเดอร์ฟูลเกิร์ล คุณศรี พูดได้ประทับใจมาก”
ศรีมองหน้าเจ้าคุณ แล้วมองหน้าลออที่ยิ้มย่อง เจ้าคุณเกษมก็สบตาเจ้าคุณ เจ้าคุณสบตาสองผัวเมียยิ้มศรีหน้าตึงพึมพำ
“ไม่นะ ลออ อย่ามาทำตัวเป็นแม่สื่อให้ ฉัน คนจีนคนไทยยังไม่แยแส นี่ฝรั่ง ตัวโตเท่าตึก”
ศรีแสร้งทำเนียนหยอกลออแต่ลออไม่โต้ตอบ แอบหัวเราะคนเดียวไม่ละความพยายามแน่
คือหัตถาครองพิภพ ตอน 1 (ช่วง 2 จบตอน)
คฤหาสน์เจ้าสัวเส็ง วันรุ่งขึ้น...หลงจู๊ นำนายยอดคนรถของพระยาสมิติภูมิมาพบเจ้าสัวเส็ง
“หลงจู๊ พาใครมา”
“คนขับรถ...”
หลงจู๊พูดยังไม่ทันจบ เจ้าสัวไล่ทันที
“ออกไป”
หลงจู๊ชะงัก
“เอ้อ…”
“ทำไมต้องพาคนขับรถใครก็ไม่รู้มาพบฉัน”
“เขาไม่ได้มาขอพบเจ้าสัวครับ”
เจ้าสัวเส็งชะงัก
“เขามาขอพบใคร”
“ใครก็ได้ขอรับ” หลงจู๊พูดเรียบๆ
เจ้าสัวเส็งฉุนกึก
“อุวะ เป็นคนรถของใครมาทำใหญ่โตคับบ้านนี้”
“ประทานอภัยขอรับ ท่านเจ้าสัว คือกระผม ไม่ได้มาเบ่ง แต่กระผมไม่ทราบว่าจะขอพบใครดี ที่สามารถรับชอคโกแลตของฝากจากท่านพระยาสมิติภูมิ”
เจ้าสัวเส็งแปลกใจ
“ว่าอะไรนะ”
“ท่านพระยาสมิติภูมิท่านส่งชอคโกแลตมาให้คุณหนูศรีครับ”
เจ้าสัวเส็งถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงไป
“ท่านพระยาสมิติภูมิ”
“ท่านให้คนรถมาฝากให้คุณหนูศรี แต่ไม่มีใครกล้ารับแทน ผมจึงพาเข้ามาพบเจ้าสัว เพื่อให้รับทราบว่าจะรับหรือไม่รับครับ”
เจ้าสัวเส็งหน้าตาสดชื่นแววตาแจ่มใส
“ช่วยฝากเรียนท่านเจ้าคุณด้วยว่า ฉันขอบคุณมากในน้ำใจไมตรีครั้งนี้”
หลงจู๊ออกไปกับคนรถ เจ้าสัวเส็งมองชอคโกแลตที่หลงจู๊วางไว้ หยิบมามองยิ้ม
“หรือหนูศรีจะยังมีโอกาสอีกครั้ง”
เจ้าสัวเส็งยิ้มอย่างมีความสุข
อ่านต่อหน้า 4
คือหัตถาครองพิภพ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ในห้องนอนของศรีเวลานี้ มีช็อกโกแลตกล่องนั้นวางตรงหน้า ศรีหน้าตึงไม่สนใจ เมี้ยนมองหน้าศรีมีคำถาม
“บ่าวได้ยินจากครูแหม่มว่า ถ้าผู้ชายฝรั่งให้ช็อกโกแลตหญิงใด หมายความว่าเขาพึงพอใจหญิงคนนั้น นี่แปลว่าฝรั่งนั่น...”
ศรีสวนออกมาทันที “เมี้ยนเอาไปกินให้หมด”
“กินไม่เป็นเจ้าค่ะ แต่เมี้ยนอยากทราบว่า คุณหนูไปรู้จักมักจี่กับพระยาฝรั่งคนนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“บังเอิญน่ะ คุณหญิงลออศรีตัวดีเธอชวนไปกินข้าว ฉลองที่ฉันเป็นโสดต่อไป กลับไปเจอเอาพระยาฝรั่งนี่จะมาแย่งโต๊ะแย่งเก้าอี้กันก็เลยต้อง...”
“นั่งด้วยกัน” เมี้ยนตบเข่าฉาด “นั่นปะไรเจ้าคะ ไอ้ที่ไปสัญญาสาบถสาบานกับคุณเตี่ยเอาไว้ มันกำลังจะ”
“ไม่มีหรอกเมี้ยน ฉันไม่แต่งงาน กับคนจีนคนไทยยังไม่ต้องการ นี่จะให้ไปแต่งกับฝรั่งหม้าย ที่สำคัญเขาคงไม่คิดจะมาสู่ขอฉัน เพิ่งเจอกันวันเดียว”
“วันเดียวส่งชอคโกแลตมา รักแรกพบมีจริงเจ้าค่ะ เตรียมรับมือกับศึกครั้งนี้เถิดเจ้าค่ะ เมี้ยนว่ามันหนักหนานักกว่าทุกครั้ง พระยานะเจ้าคะ ไม่ใช่ตาสีตาสา ยายมียายมา”
ศรีหนักใจ นึกถึงภาพเจ้าคุณภูมิฐาน มองหน้าสบตายิ้มให้ ศรีตาเขียว
“ฉันไม่ชอบฝรั่งนอกจากครูแหม่ม”
เจ้าคุณนั่งครุ่นคิดถึงศรีอยู่ในห้องนอน ชื่นชมมาก ยิ้มเคลิ้ม
“ผู้หญิงคนนี้กล้าสบตาเรา ผิดกับหญิงไทยอื่นที่เรียบร้อยน่ารัก ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้หญิงไทยใจกล้าสง่างาม กล้าแสดงออกไม่เคอะเขินสายตาผู้ชายอย่างนี้มาก่อน ศรีเธอช่างสวยสง่านัก”
สังวรเข้ามาเงียบๆ กะมาอ่อย ได้ยินเจ้าคุณเอ่ยชื่อ ศรีก็ชะงัก สังวรพึมพำ
“ศรี...ชื่ออะไรไม่เห็นจะเพราะ”
เจ้าคุณรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องหันมาดู
“สังวร”
“เจ้าค่ะ”
สังวรนั่งแปะลงไปตรงหน้าทำท่าก้มๆเงยๆ อ่อยสุดเดช
“ฉันเรียกหาสังวรตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”
“เอ้อ เปล่าเจ้าค่ะ แต่บ่าว เข้ามาดูความเรียบร้อยเจ้าค่ะ ว่าท่านจะอาบน้ำหรือยัง บ่าวจะผสมน้ำอุ่นให้เจ้าค่ะ”
“ขอบใจ แต่ครั้งต่อไปสังวรต้องเคาะห้องก่อนแล้วรอฟังเสียงฉันอนุญาตค่อยเข้ามา อย่าเข้ามาเงียบๆ อย่างนี้อีก”
“เจ้าค่ะ บ่าวขอประทานโทษ”
สังวรนั่งกระมิดกระเมี้ยนอ้อยสร้อย เจ้าคุณมองเห็นสังวรเป็น ศรี กำลังนั่งเงยหน้ามามองท้าทาย
“ศรี”
สังวรหน้าเสียจ๋อยๆ
“เอ้อ จะให้บ่าวรับใช้อะไรดีเจ้าคะ”
เจ้าคุณนิ่งไป เอื้อมมือ นึกถึงลออศรีที่สั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับผู้หญิงที่ไม่คู่ควร เจ้าคุณหดมือ
“ไปได้แล้ว ไม่ต้องกลับมาอีก ถ้าไม่ได้เรียก”
สังวรผิดหวังสุดๆ จำต้องออกไป
“เธอจะชอบชอคโกแลตของฉันไหมหนอ”
เจ้าคุณยิ้ม
วันต่อมา ศรีส่งกล่องชอคโกแลตให้สะบันงา
“ให้สะบันงา”
“อะไรหรือคะ”
“มันชื่อชอคโกแลต มันมาจากเมืองนอก ฝรั่งเขากินกัน”
“แหม แต่หนูกินไม่เป็นหรอกค่ะ”
“ลองกินดูแล้วจะรู้ว่ามันอร่อยมาก เอาไว้เถิด”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
สะบันงารับไว้
“คุณศุกลเขาบอกแล้วใช่ไหม ว่าต้องไปเรียนต่อเมืองนอก”
“บอกแล้วค่ะ”
“คิดถึงเขาไหม”
สะบันงา ส่ายหน้า
“ไม่คิดถึง แต่คงนึกถึงบ้าง ค่ะ”
“ตอบตรงไปตรงมาจริงใจดี สะบันงายังเด็กนักแค่นึกถึงไม่ได้ลืมก็ดีมากแล้ว”
“ไม่ลืมหรอกค่ะ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ และใจดีเมตตาหนูกับแม่ หนูไม่มีวันลืมหรอกค่ะ”
“รอเขากลับมาเมตตาสะบันงาต่อนะ ป่านนั้นสะบันงาคงเข้าใจอะไรอะไรได้มากขึ้น”
“ค่ะ”
“มาเรียนหนังสือกันได้แล้ว สะบันงา”
“ค่ะ”
“ต้องเพิ่มเวลาเรียนให้สะบันงา ฉันชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าจะมีเวลาสอนสะบันงาอีกนานแค่ไหน”
“คุณท่านจะไปเรียนต่อเมืองนอกอีกคนหรือเจ้าคะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร ฉันแค่หวั่นวิตกไปเองน่ะ คนเราบางครั้งมันก็หนีบางอย่างไม่พ้น แม้อยากจะหนี”
สองคนเริ่มหยิบหนังสือมาอ่านเขียน
ในห้องนั่งเล่น ...กิมเฮียงกับกิมฮวย เดินยิ้มเข้ามาพร้อมด้วย ถุงอะไรบางอย่าง
“อะไรน่ะกิมเฮียง กิมฮวย” เจ้าสัวเส็งเอ่ยถาม
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ห่อส๊วยสวยเจ้าค่ะ” กิมเฮียงบอก
“บ่าวเดาว่า น่าจะเป็นของขวัญของคุณหนูศรีเจ้าค่ะ” กิมฮวยคาดเดา
“ออกไปได้แล้ว ทั้งสองคน ไปให้ห่างประตูห้อง ไปให้พ้นจากตัวตึกออกไปนอกบ้านเลย” คุณนายใหญ่ไล่อย่างหงุดหงิด
สองคนยิ้มแห้งๆ รีบออกไป เจ้าสัวเส็งส่งให้คุณนายน้อย
“ลางดีนะ แม่น้อย เจ้าคุณคนนี้เจอหนูศรีเมื่อวานซืน ส่งของขวัญมาให้สองวันแล้ว”
“ท่านอาจยังไม่ทราบกระมังคะ ว่าหนูศรีอายุยี่สิบแปด” คุณนายน้อยหนักใจ
“ฉันว่าทราบนะ ฉันส่งคนไปสืบประวัติพระยาคนนี้แล้ว เขาอายุสี่สิบเป็นพ่อหม้าย ได้ตำแหน่งพระยาทันทีที่ตัดสินใจลาออกจากราชการฝรั่งมารับราชการให้ไทย เห็นว่าเก่งและร่ำรวยมาก ใครได้แต่งงานด้วยจะได้รับพระราชทานยศคุณหญิงทันที”
คุณนายใหญ่ดีใจ
“ยินดีล่วงหน้าด้วยคุณนายน้อย ขอให้ความหวังของพวกเราเป็นจริง”
เจ้าสัวเส็งหนักใจ
“ความหวังจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อหนูศรี ร่วมมือด้วย ลูกคนนี้ดื้อด้านห้าวหาญเกินผู้หญิงไทยทั่วไป บางทีน่าจะเหมาะกับฝรั่งมังค่า”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ลูกเจ้าสัวใหญ่อย่างศุกลของเราก็ไม่เหมาะกับหญิงไทยลูกคนขายเครื่องปั้นดินเผาอาศัยแพเราอยู่นะคะ” คุณนายใหญ่พูดขึ้น
“อุตส่าห์ส่งหนีให้พ้นไปตั้งหลายปี กลับมาเด็กสาวนั่นมันคงมีผัวไปแล้ว” เจ้าสัวเส็งมั่นใจ
คุณนายใหญ่คิดๆ
“นางเมี้ยนนี่ก็อีกคนค่ะ ขืนให้อยู่ ตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม มันจะยุแยงตะแคงรั่วหนูศรีให้ทำพิลึกพิเรน อดมีผัว”
“ต้องจัดการนางคนนี้ให้ไกลหูไกลตาสักพัก” เจ้าสัวเส็งหมายมาด
สามคนตั้งความหวังเอาไว้
กล่องชอคโกแลต กล่องน้ำหอม กล่องสบู่ กล่องผ้าเช็ดตัว ผ้าผูกผม ตุ๊กตากระเบื้องวางอยู่ในแพ สะบันงา
มองยิ้มๆ
“ของพวกนี้ไม่คู่ควรกับเราสักนิด”
“คงแทบไม่มีอะไรคู่ควรกับใครทั้งสิ้น ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไปตั้งมาตรฐานกันเอาเอง เพื่อเข้าข้างตนเอง รับไปสิ คราวนี้ เป็นผ้าพันคอ”
สะบันงาไหว้แล้วรับมา
“แต่คนอย่างหนู ไม่มีวันจะได้ใช้ของพวกนี้หรอกค่ะ หนูจะเก็บเอาไว้ เผื่อจากกันวันไหน จะได้เอาไว้ดูต่างหน้าว่าคุณท่านให้หนู”
“ตามใจ ฉันไม่ชอบบังคับจิตใจใคร และก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับจิตใจฉัน เดี๋ยวคุณศุกลเขาจะมาลา เพราะว่า พรุ่งนี้เช้าเขาจะไปขึ้นเรือสินค้าของที่บ้านไปต่อเรือฝรั่งที่มาเก๊า ฉันกลับก่อนนะ”
สะบันงาไหว้ศรี ศุกลเดินสวนเข้ามา ยิ้มห่อเหี่ยวเศร้ามาก ศรียิ้มให้กำลังใจน้อง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ศุกล”
ศรีเดินจากไป ศุกลเข้าไปหาสะบันงา
ในห้องรับแขก...เจ้าสัวเส็ง คุณนายน้อย คุณนายใหญ่ เจ้าคุณ เจ้าคุณเกษม คุณหญิงลออศรี นั่งยิ้มย่องผ่องใส
“สวัสดีเจ้าสัว และมาดามทั้งสอง” เจ้าคุณทักทาย
เจ้าสัวเส็งนอบน้อมกับเจ้าคุณมากนึกดีใจแต่พยายามระงับไว้ คุณนายสองคนก็ดีใจทำตัวแทบไม่ถูก
“ยินดีเหลือเกินที่ให้เกียรติมาเยี่ยมบ้านของผม ยินดีต้อนรับครับ”
“ผมมาแสดงความนับถือเจ้าสัว”
“คือท่านพระยาสมิติภูมิ ท่านต้องการมาทำความรู้จักกับคุณเตี่ยน่ะค่ะ” ลออศรีบอก
เจ้าคุณเกษมเสริม
“เจ้าคุณท่านสนใจจะคบหาไปมาหาสู่กับบ้านเจ้าสัว”
เจ้าคุณเกรงๆ
“ผมเกรงใจมาก ไม่กล้ารบกวน จึงเอ่ยปากขอให้เจ้าคุณเกษมกับคุณหญิงท่านพามาขอทำความรู้จักเป็นการส่วนตัว ส่วนชื่อเสียงของเจ้าสัวนั่น ผมได้ยินมานานมากแล้ว”
เจ้าสัวเส็งยิ้ม
“เช่นกันครับ เจ้าคุณ ชื่อเสียงกิตติศัพท์ความปราดเปรื่องการงานของท่านมาเข้าหูผมเสมอ ถือเป็นเกียรติอย่างหามิได้ ที่ท่านให้เกียรติมารู้จักกับครอบครัวผม”
ทุกคนยิ้มย่องยินดี สบตาตลอด ลออศรีรู้ใจทันทีส่ายตาหาศรี
“คุณเตี่ย คุณแม่ทั้งสองคะ ศรีอยู่ไหนคะ ดิฉันขอไปพบศรีสักนิด”
“เชิญค่ะ คุณหญิง” คุณนายน้อยยิ้มแย้ม
ศรีรีบเดินยิ้มกริ่มไป
เมี้ยนแอบฟังอยู่ด้านหน้าห้องรับแขก ตบอกผางๆ
“เวรกรรม มหาภัย คืบคลานมาใกล้ตัวคุณหนูของอีเมี้ยนแล้ว”
เมี้ยนรีบผลุนผลันออกไปจากตรงนั้น
ศรีเดินมาตามทางเดินจากตึกด้านหลังบ่นสงสารศุกล
“น่าสงสารศุกลนัก อารมณ์อ่อนไหวเกินไป ไปหลงรักเด็กน้อย ไม่เดียงสายังอ่อนเยาว์นัก ถ้าสักสิบหกละก็ จะขอทำตัวเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอสะบันงาให้”
เมี้ยนตื่นเต้นมากมาดึงแขน
“มาแล้วเจ้าคะ มากันแล้ว รีบหลบเจ้าค่ะ”
ศรีงงๆ
“อะไรมา หลบทำไม”
ลออศรีมาถึงพร้อม คุณนายน้อย
“เจ้าคุณมาจ้ะ ศรี มาทำความรู้จักคุ้นเคยกับคุณเตี่ย คุณแม่ใหญ่คุณแม่น้อย”
ศรีตะลึงนิ่งไป เมี้ยนมองหน้าเห็นใจ คุณนายน้อยเข้ามาหา
“ลูกควรรีบไปแสดงความเคารพนับถือท่าน”
ศรีไม่อยากไป
“แม่น้อย จ๋า”
ลออศรีหันมาบอกคุณนายน้อย
“คุณแม่น้อยขา ลออขอคุยเป็นการส่วนตัวกับศรีสักครู่ก่อนเข้าไปต้อนรับเจ้าคุณนะคะ”
“เมี้ยนไปด้วยเจ้าค่ะ”
ลออศรีจ้องหน้าเมี้ยน
“ฉันคิดว่าเมี้ยนควรจะเข้าใจคำว่าส่วนตัวระหว่างฉันกับคุณหนูศรีของเมี้ยน”
ศรีหันไปบอกบ่าว
“ไปเถิดเมี้ยน”
คุณนายน้อยมองหน้าเมี้ยน
“รู้ตัวไหมว่าท่านเจ้าสัวให้เมี้ยนไปช่วยหลงจู๊ นับสินค้าที่จะออกท่าไปมาเก๊าวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย ท่านว่าจะให้ติดเรือไปเอาสินค้ามาจากเมืองจีนด้วยนะ”
เมี้ยนตะลึง
ในห้องรับแขกส่วนตัวของศรี ลออศรีบอกศรีเรื่องเจ้าคุณจะมาสู่ขอ
“เจ้าคุณท่านมาปรึกษาคุณเกษมกับฉัน ว่าอยากจะมาสู่ขอเธอ”
“ไม่นะลออ ฉันแก่แล้ว อายุยี่สิบแปด ใหญ่โตอย่างเขาหาเมียที่ไหนก็ได้ ลูกคนใหญ่คนโตสาวๆ สวยๆ ที่ไหนก็ขอได้ ใครก็อยากเป็นคุณหญิงยกเว้นฉัน”
“ท่านไม่ชอบเด็กสาวๆ ท่านว่าเหมือนเอาเด็กคราวลูกมาทำเมีย”
“ฉันนิสัยไม่ดีมาก เธอก็รู้”
“เธอนิสัยไม่ดีกับคนที่เธอไม่ชอบ และมักเป็นคนไม่ดี เจ้าคุณท่านดูออกว่า เธอเก่งกาจปราดเปรื่องทันคน”
“พูดกันตรงๆ ฉันเกลียดผู้ชาย”
“จะเป็นไรไป เธอก็นั่งแท่นเป็นคุณหญิง แล้วก็หาอีเล็กๆบำเรอท่านเข้าไปสิ มันรออยากนอนกับท่านกันให้สลอน แต่อย่าให้อีนางพวกนั้นมาเผยอกับเธอ หรือมีลูกกับเขา”
“แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ปลาบปลื้มกับการเป็นคุณหญิง”
“คุณเตี่ย แม่น้อย แม่ใหญ่ จะได้ชื่นชมที่มีลูกสาวเป็นคุณหญิง มีลูกเขยเป็นพระยา ฉันรู้นะ ว่าเธอสาบานกับคุณเตี่ยไว้ว่าถ้ามีใครมาสู่ขออีกครั้งเธอจะไม่บิดพลิ้ว”
“โธ่ ก็ใครจะไปคิดว่า จะมีใครบ้ามาสู่ขอนางผู้หญิงขึ้นคานอีกนี่นา”
“เจ้าคุณท่านไม่ได้บ้า แต่ท่านตาแหลม มองเห็น ความงดงามของความคู่ควร ความเหมาะสมของเธอกับท่าน ท่านรู้ว่าเธอมีสติปัญญาฐานะชาติตระกูลน่าชื่นชม”
“วุ๊ย สังคมก็เห่อกันไป ถ้าลองคุณเตี่ย ไม่ใช่เจ้าสัว แต่เป็นอาแปะขายเฉาก๊วย ใครจะอยากมาคบหา”
“เธอก็พูดเกินไป เธอก็เหมือนกัน จะกล้าแต่งงานกับ อาตี๋ขายเต้าฮวยไหม”
“กล้าสิ ถ้าฉันรักเขา และเขารักฉัน ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นอะไร”
ศรีพูดไปก็นึกเป็นห่วงน้องชาย เธอรำพึงในใจ
‘ศุกลน้องรัก พี่ชักสงสัยว่าความรักของน้องก็กำลังถูกกีดกันซะแล้ว’
“เอ้า คิดถึงอาตี๋ขายเต้าฮวยที่ไหน ผู้ใหญ่รอเราอยู่ตั้งหลายคน”
ลออศรีฉุดแขน ศรีจำใจปล่อยให้ฉุดไป
ศุกลร่ำลาสะบันงาอย่างอาลัยอาวรณ์ สะบันงายิ้มให้กำลังใจ
“หนูขอให้คุณไปดีมาดีนะคะ”
“ขอบใจ สะบันงา อย่ามีคู่รักนะ ฉันขอ”
“ถึงคุณท่านไม่ขอ หนูก็คงไม่มีหรอกค่ะ แม่ไม่สบายบ่อยๆ หนูต้องคอยดูแลแม่ ช่วยแม่ทำงาน”
“นั่นแหละ ใครมาสู่ขออย่าตกลงนะสะบันงา มีปัญหาสะบันงาบอกเมี้ยนบอกพี่ศรี”
“ไม่มีใครมาสู่ขอหนูหรอกค่ะ”
“สะบันงา ฉัน...ฉันไม่อยากจากเธอไปเลย”
“ไปเถิดค่ะ ไปดีมีสุขนะคะ”
“รอฉันนะ สะบันงา รับปากสิ ถ้าไม่รับปาก ฉันจะไม่ไป”
“ค่ะ”
ศุกลตัดใจ เสียงพริ้งเรียกสะบันงาดังเข้ามา
“สะบันงา แม่หายาไม่จอ มาช่วยแม่หาหน่อยลูก”
“แม่เรียกแล้วค่ะ”
สะบันงายิ้มแล้วหันกลับ ศุกลเศร้ามาก หันกลับไปเช่นเดียวกัน
ทุกคนคุยกันรื่นเริง ลออศรีพาศรีมา เจ้าคุณมองศรีอย่างถูกใจ ศรีไม่ได้สะเทิ้นอาย รีบยกมือไหว้เจ้าคุณ
“สวัสดีค่ะ”
เจ้าคุณยิ้มแย้ม
“ฮาว อาร์ ยู ศรี”
“สบายดีค่ะ ท่านสบายดีเช่นกันใช่ไหมคะ”
ลออศรีดันศรีมานั่งข้างตัว แต่ใกล้กับเจ้าคุณ เจ้าคุณโน้มตัวมาพูดเบาๆได้ยินสองคน
“ไม่สบายเท่าไหร่...ไอมิส ยู โซ มัช”
ศรีไม่อายกลับมองท้าทายตาเขียว ลออศรีหัวเราะฮึๆ คุณนายใหญ่กระซิบเจ้าสัวเส็ง
“ดูหนูศรีทำตัวเข้า หน้างอหน้าง้ำตาเขียวตาขุ่นใส่แขก”
เจ้าคุณยิ้มแย้มบอก
“วันนี้ผมมาคารวะ วันหน้าไม่นานเกินอาทิตย์ ผมขอเชิญทุกท่านไปบ้านผม รับประทานดินเน่อร์อาหารฝรั่งไทยจีน จากกุ๊กฝรั่ง ไทยจีนชั้นเลิศที่บ้านผม”
เจ้าสัวเส็งยิ้มพอใจ
“ขอบคุณมากครับ ที่ให้เกียรติ์”
เจ้าคุณยื่นหน้ามาที่ศรี
“กรุณาแต่งตัวสวยๆ เหมือนวันที่เราพบกันครั้งแรกหรือสวยกว่า”
“โน”
เจ้าคุณ ยิ้ม
ศุกลอยู่ในห้องน้ำตาซึม ศรีโอบกอดน้องไว้
“คุณเตี่ยกับ แม่ใหญ่จงใจขับไสไล่ส่งผมไปเมืองนอก เพราะกลัวว่าผมจะหาสะใภ้ เป็นลูกสาวคนจนคนปั้นหม้อขายมาให้ ผมเกลียดการแบ่งชั้นวรรณะ”
“พี่ยิ่งเกลียดมากกว่าเธอ พี่เองก็กำลังถูกเสือกไสไล่ส่งให้ไปเป็นเมียฝรั่ง”
“ทำไมเงินทองไม่ช่วยให้เรามีความสุขนะพี่ศรี”
“เพราะเงินทองซื้อความสุขให้เราไม่ได้ เราเลือกหยิบฉวยความสุขที่เราต้องการเองไม่ได้ แต่พ่อแม่เรา หยิบฉวยสิ่งที่คิดว่าเป็นความสุขมายัดเยียดให้เราเสมอ ดูแลตัวเองดีๆ ถ้าอยากกลับมาไวๆ ก็ตั้งใจเรียนให้จบไวไว”
“หรือไม่ก็ไม่ต้องเรียนให้จบ พี่ศรีครับ ผมขอร้อง ฝากดูแลสะบันงาให้ผมด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว พี่ต้องดูแลสะบันงาให้น้อง พี่จะเตรียมตัวสะบันงาให้เป็นแม่บ้านที่ไม่ต้องอับอายขายหน้าใครไว้ให้น้อง”
“ขอบคุณมากครับ”
“พี่บอกแล้วไง ว่าพี่จะตอบแทนเธอถ้าเธอมีคนรัก พรุ่งนี้พี่คงไม่ได้ไปส่งที่ท่าเรือ เราลากันตรงนี้ จดหมายมาถึงพี่ อยากเขียนถึงสะบันงา ให้เขียนถึงพี่ พี่จะส่งต่อไปให้เอง”
“ขอบคุณมากครับ พี่ศรี ผมรักพี่ศรีมากนะครับ”
“พี่ก็รักเธอมากนะศุกล อีกสามปีพบกันใหม่”
“ครับ อีกสามปี สำหรับผมมันคงนานเหมือนสามสิบปี”
ศรีกอดน้องอีกครั้ง แล้วปล่อยถอยห่างออกมา ศุกลมองตามพี่หน้าละห้อย
เช้าวันใหม่...เมี้ยนมาลาศรีน้ำตาซึม
“บ่าวต้องไปก่อนนะเจ้าคะ”
ศรีพยักหน้า
“นี่คือแผนการ แยกน้ำออกจากปลาของคุณเตี่ย คุณเตี่ยรู้ว่าถ้าเมี้ยนกับศุกลอยู่ การหาผัวให้ฉันมันอาจมีอุปสรรคขวากหนามเอาง่ายๆ เฮ้อ ช่างลงทุนกันเหลือเกินนะเมี้ยน”
“พวกท่านทำไปเพราะรักลูก เมี้ยนรู้ เมี้ยนไม่อยากจะไปเลยนะเจ้าคะ เมี้ยนใจคอไม่ดี ห่วงคุณหนู กลัวจะต้องไปแต่งงานกับฝรั่ง”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกเมี้ยน ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่บิดพลิ้ว จะทำตาม สัญญาที่ให้ไว้กับคุณเตี่ยและแม่ทั้งสอง”
“คุณหนูจะรักพระยาฝรั่ง ตัวโตเบ้อเร่อเบ้อร่านั่นได้หรือคะ”
“ยังคิดไม่ออก แต่รู้ว่ายังไงก็รักเมี้ยนมากกว่า จริงๆนะ”
เมี้ยนยิ้มดีใจ
“แหม คุณหนูปากหวาน คอยดูเถิดไปอยู่กับเขาขี้คร้านจะลืมเมี้ยน”
“ฉันจะเอาเมี้ยนไปอยู่ด้วย ฉันวางแผนไว้แล้ว ฉันจะไม่นอนกับเขา”
“ได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“ต้องได้สิ รอให้ฉันแต่งงานได้เป็นคุณหญิงก่อนเถิด”
“กุมอำนาจ คุมมันทั้งบ้านเลยนะเจ้าคะ ใครกล้าหือ ต้องโดนลงโทษ”
เมี้ยนจะเป็นกุนซือให้เอง
“ขอบใจมาก รีบไปเถิด ฝากดูแลศุกลด้วยนะ เขากำลังเสียใจที่ต้องจากสะบันงา”
“คุณศุกลก็ช่างกระไรไปหลงรักเด็ก ต้องเลี้ยงต้อยกันไว้อีกนานกว่าจะใช้การได้”
“ศุกลเขาเป็นคนอ่อนไหวอ่อนแอ ไม่เหี้ยมหาญเหมือนฉันหรอก เราสองคนพี่น้องเกิดมาสลับกัน ไปซะเมี้ยน ฉันไม่อยากไปส่งเมี้ยนกลัวจะไปต่อมน้ำตาแตกให้ใครเห็น”
“เมี้ยนก็เหมือนกันเจ้าค่ะ”
เมี้ยนร้องไห้ ทรุดตัวลงกอดเอวศรี เอาหน้าซบไว้
ศรีโน้มลงไปหา แล้วทรุดตัวลงไปนั่งโอบกอดเมี้ยนไว้ สองคนกอดปลอบ ถ่ายเทกำลังใจให้กันและกัน
ส่วนที่โรงครัวบ้านเจ้าคุณ...บรรดากุ๊กทั้งหลายต่างเร่งมือทำอาหารกันยกใหญ่ พร้อมทั้งแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่มันงานอะไรกัน ท่านถึงสั่งให้ลงมือทำอาหารทั้ง ไทย จีน ฝรั่ง วันเกิดท่านหรือ” ซ้งถามอย่างสงสัย
ยอดเดินยิ้มเข้ามาวางท่าว่ารู้กว่าใครๆ
“วันเปิดตัวว่าที่คุณหญิงของท่านน่ะสิ”
เสียงช้อนจานแก้วตกกระทบพื้นพร้อมกันดังเพล้ง สังวรหน้าตื่น
“กูว่าแล้ว”
“ว๊าย” สังเวียนตกใจ
“ต๊ายตาย” น้อยอึ้ง
“โอ้โฮ” แกละตาลุก
“จริงหรือนายยอด” ซ้งมองหน้ายอด
“จริงสิ ไม่เห็นหรือว่าพักนี้ท่านยิ้มย่องผ่องใส่ไม่โกรธขึ้งใครง่ายๆ”
ทุกคนตอบพร้อมเพียง
“เห็นสิ”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” น้อยถามอย่างสงสัย
ไม่ทันที่นายยอดจะเอ่ยปากสังวรเอ่ยมาก่อน
“นังศรี”
ทุกคนหันขวับไป
“สังวร”
“ถ้าไม่อยากโดนเฉดหัวออกจากบ้าน แกรีบเรียกเธอใหม่คุณหนูศรี และหลังจากที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกเราทุกคนต้องเรียกเธอด้วยความเคารพว่า คุณหญิง” ยอดเตือน
สังเวียนไม่พอใจ
“อ้วกจะแตก เป็นใครมาจากไหน มาได้เป็นคุณหญิง”
“เป็นลูกสาวท่านเจ้าสัวเส็ง ผู้โด่งดัง มีห้างที่เยาวราชและถนนราชดำเนินมากมาย มีกิจการค้าหลายอย่าง มีเรือเดินทะเล มีเงินมีทอง มีความรู้ท่วมหัว สารพัดจะคู่ควรกับนายเรา”
“คงจะสาวสวยมาก” โรเบิร์ต กุ๊กฝรั่งออกความเห็น
“สวยมาก” ยอดยิ้มปลื้ม
“อายุอานามเท่าไหร่ ไม่เกินยี่สิบมั้ง” แกละคาดเดา
“ยี่สิบแปด”
ทุกคนหน้าเหวอ
“หา...”
“คาอยู่บนคานนานมาก คงดีใจตัวสั่นงันงก” สังวรเบ้หน้า
“ฉันไม่เห็นเธอทำท่าดีใจใส่นายเรา แถมเธอทำเฉ๊ยเฉยใส่ เธอเป็นเพื่อนรักของคุณหญิงลออศรี” ยอดสาธยาย
สังวรแววตาเกลียดชัง
“อีคนนี้ฉันล่ะเกลี๊ยดเกลียดมันมองเราแบบดูถูกตลอดเวลา”
“จะเลี้ยงแขกกันสักร้อยคนหรือ” สังเวียนถาม
“หกคน”
“อะไรนะ” ทุกคนอึ้ง
ยอดยิ้มทำมือหกให้ทุกคนดู
“ทำเหมือนจะให้คนมากินทั้งกองทัพ” สังวรประชด
“ท่านเห่อว่าที่คุณหญิงน่ะสิ” แกละยิ้มๆ
สังวรกับสังเวียนสบตากัน ไม่พอใจมาก
คฤหาสน์เจ้าสัวเส็ง...ทั้งหมดแต่งตัวมานั่งรอศรี ทุกคนเบิกบานมาก สองคุณนายนั่งพัดวีให้ตัวเองไปมา เจ้าสัวเส็งใส่สูท
สองคุณนายใส่กี่เพ้างดงาม
“โชคดีนะที่พวกเราหัดกินอาหารฝรั่งกันเอาไว้ไม่อย่างนั้นอายฝรั่งแย่” เจ้าสัวเส็งพูดขำๆ
คุณนายใหญ่ยิ้มพอใจ
“เที่ยวนี้หนูศรีคงไม่พลาด ไม่แคล้วคลาดนะคะเจ้าสัว”
คุณนายน้อยดีใจ
“ไม่นึกเลยว่าจะมีวันอย่างนี้อีก สำหรับหนูศรี”
เจ้าสัวเส็งแปลกใจ
“ทำไมหนูศรีแต่งตัวช้าจริงๆไปช้าแสดงว่าไม่มีมารยาท เฮ้อ ลูกคนนี้”
กิมเฮียงกับกิมฮวย เดินนำมาก่อน
“มาแล้วเจ้าค่ะ” กิมเฮียงกับกิมฮวยทำหน้าแปลกๆ
ศรีเดินมาปรากฏตัว ในชุดสีดำ ทุกคนอึ้งไป
“หนูศรี”
“มีอะไรหรือคะ คุณเตี่ย แม่ใหญ่ แม่น้อย”
“นี่มันชุดไปงานศพไปเปลี่ยนชุดให้เป็นสีอื่น” เจ้าสัวเส็งโวย
“เปลี่ยนไม่ทันหรอกค่ะ คุณเตี่ย ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว ไปช้าเสียมารยาทนะคะ”
เจ้าสัวเส็งหงุดหงิด แต่ศรียิ้ม สองแม่ส่ายหน้า กิมเฮียงกับกิมฮวย กระซิบกระซาบขำ
“ครูแหม่มบอกว่า ฝรั่งใส่ชุดราตรีสีดำถือว่าโก้มากค่ะ คุณเตี่ย แม่ใหญ่แม่น้อย เชิญค่ะ” ศรีแก้ตัว
บ้านเจ้าคุณยามค่ำคืน สว่างไสวด้วยไฟแสงสีตั้งแต่หน้าบ้าน ยันไปถึงในบ้าน รถของเจ้าสัวเส็งแล่นมาถึงหน้าบ้าน ทุกคน เห็นไฟสวยงามประดับประดาบนต้นไม้และขอบกำแพงนอกบ้าน ในบ้านมีแสงไฟแบบเดียวกัน ลอดออกมาสองคุณนายตะลึง
“ไฟประดับสวยเหลือเกิน”
เจ้าสัวเส็งยิ้มปลื้มใจ
“เขาต้อนรับเราขนาดนี้เลยหรือช่างหรูหราจริงๆ หนูศรี พ่อปลื้มใจแทนหนู”
คุณนายใหญ่ตื่นเต้น
“ช่างให้เกียรติเรากว่าใครๆ ที่ไหนที่เคยให้เรามาก่อนนะคะ”
คุณนายน้อยปลื้มมาก
“ทั้งที่ท่านเป็นคนใหญ่คนโต มีคนเคารพนับถือมากมายไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้ เป็นบุญของลูกมากนะหนูศรี”
ศรีนั่งคิดในใจ
“หนูเป็นคนบอกบุญไม่รับค่ะ แม่น้อย”
รถเลี้ยวเข้าไปในบ้านที่ประตูเปิดรอ มียามมาโค้งรอรับ
รถผ่านเข้ามาในบ้าน เห็นแสงสีสวยงามตามต้นไม้ ตามขอบตึกสวยไปหมด ทุกคนมองเพลิน เจ้าสัวเส็งปลื้มมาก
“ข้างในยิ่งงดงามกว่าข้างนอกอีก”
ศรีนิ่งเงียบ รถจอด มีคนของเจ้าคุณมาเปิดประตูให้ เจ้าคุณมายืนรอต้อนรับ เจ้าสัวเส็งและเจ้าคุณต่างยกมือไหวกันและกันพร้อมกัน คุณนายทั้งสองรีบไหว้เจ้าคุณ เจ้าคุณมองศรี ศรีไหว้เช่นเดียวกันมองตอบเจ้าคุณนิ่ง เจ้าคุณมองเสื้อผ้า ศรี ยิ้มน้อยๆ
“เชิญด้านโน้นครับ ทุกคนในบ้านมารอต้อนรับครอบครัวเจ้าสัวแล้วครับ”
เจ้าคุณเดินเคียงคู่เจ้าสัวเส็งไปยังทางเข้าในตัวบ้าน คนในบ้านทั้งหมดมายืนสองข้างรอรับทุกคน อยากดูตัวว่าที่คุณหญิง
“ทุกคน นี่คือครอบครัวเจ้าสัวเส็ง ท่านจะมารับประทานอาหารกับฉันค่ำนี้” เจ้าคุณแนะนำ
ทุกคนยกมือไหว้
“สวัสดีเจ้าค่ะ...สวัสดีขอรับ”
เจ้าสัวเส็งยิ้มแย้ม
“สวัสดีทุกคน ยินดีมากที่ได้พบทุกคน”
“เจ้าคุณเกษมกับคุณหญิงลออศรี รออยู่ด้านในแล้วครับ”
ศรีปรายตามองไปยังคนสองข้าง ไปสบเอาตาสังวรที่มองมาไม่ชอบหน้า ศรีสบตาไม่กลัวแถมข่มใส่ด้วยสายตา และเดินผ่านไป สังวรกับสังเวียนและน้อยแอบมองศรีไม่พอใจ พอพวกศรีเดินเลย สังวรกระซิบ
“มันร้ายกาจนัก มันจ้องตาข่มฉัน ทั้งที่ไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหน”
สังเวียนกระซิบตอบ
“แก่แก๊แก่ แทบจะเป็นแม่พวกเราได้ พี่สังวรกับฉันยังสวยกว่า”
แกละขัดขึ้น
“แต่ฉันว่าเธอสวย สง่า มีราศีกว่าพวกแกสองคนเป็นร้อยเป็นพันเท่า แล้วยังดูไม่แก่เท่าอายุยี่สิบแปดด้วย”
“นางแกละ นี่แกสอพลอมันตั้งแต่มันยังไม่ทันจะมาเป็นนาย” น้อยไม่พอใจ
“คนเราต้องยอมรับตัวเอง ว่าตัวเองคือใคร ฉันไม่ได้หวังสูงเป็นนางรับใช้ตะกายฟ้า แต่ฉันหวังว่า” แกละสบตาซ้ง “พอเก็บเงินเก็บทองได้มากพอก็จะไปตั้งตัว” แกละเชิด
“ใช่แล้ว เราจะไปตั้งตัวด้วยกัน” ซ้งยิ้ม
เจ้าคุณเกษมและคุณหญิงลออศรีรอในในห้องอาหารแล้ว ทุกคนไหว้ทักทายกัน
“เชิญนั่งครับ” เจ้าคุณเชื้อเชิญ
เจ้าสัวเส็งมองอาหาร
“แขกท่านอื่นเล่าครับ ท่าน”
เจ้าคุณยิ้มแย้มตอบ
“มีหกท่านนี่แหละครับ”
สองคุณนายมองหน้ากัน เจ้าคุณมองศรีอีกครั้ง
“โอเวอร์” ศรีเบ้หน้า
ทุกคนนั่ง ลออศรีดึงศรีนั่งใกล้ตัวเอง
“จ้ะ เจ้าคุณท่านจัดบ้านต้อนรับครอบครัวเธอ เต็มที่มากนะ”
“เห็นจ้ะ สวยมาก แต่ไม่เห็นน่าตื่นเต้นสักนิด”
“เขาทุ่มเทมากนะ”
“ทราบแล้วจ้ะ กินแรงบ่าว เพื่อเอาใจผู้หญิงคนเดียว บ่าวที่นี่คงเหนื่อยจนนึกชังน้ำหน้าฉันมาก มองฉันจนตาคว่ำตาหงาย”
“มันอยากเป็นคุณหญิงกันละสิ นางพวกคางคกอยากขึ้นวอ”
เจ้าคุณสั่นกระดิ่ง เห็นพนักงานในบ้านที่ยืนรอรับด้านนอก พากันเดินเข้ามา
“เสิร์ฟเครื่องดื่ม”
คนรับใช้ ใส่เครื่องแบบเดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่ม
“เสิร์ฟของอื่นตามมาเรื่อยๆ อย่าให้ขาด พอถึงดินเนอร์ เอาเมนูมาให้พวกท่านเลือกว่าจะรับประทานอะไร”
ทุกคนทานอาหารดินเนอร์ ศรีทานไก่ กำลังหั่น แสร้งทำหั่นไม่ได้ ทำไก่กระเด็นตกจากจาน ท่ามกลางสายตาตกใจของพ่อแม่ ลออศรีรู้ทัน
“ศรีเธออย่าเล่นบ้าๆนะ”
“สนุกดีจะตายไป”
ศรีหยิบไก่นั้นขึ้นมาจับด้วยสองมือแล้วแทะ เจ้าสัวเส็งกับสองคุณนายอึ้ง
“หนูศรี”
“คนไทยรับประทานไก่กันแบบนี้ค่ะ” ศรีบอกเจ้าคุณ
เจ้าคุณกลับยิ้มแล้วหยิบไก่มาแทะกินบ้าง
“จริงสิครับ ผมอยากเป็นคนไทย ผมสมควรกินไก่แบบคนไทยแหม อร่อย ลองกินดูสิครับ อร่อยกว่ากินแบบฝรั่งเป็นไหนๆ”
ทำเอาศรีทึ่งเจ้าคุณ ที่แก้เกมแกล้งของเธอได้อย่างดี เจ้าคุณแทะไก่ไปสบตาศรียิ้มยั่วๆไป ทุกคนมองหน้ากัน ต่างหยิบอาหารในจานของตัวเองมาถือแล้วแทะกิน
“อร่อย”
พนักงาน พูดไม่ออกมองหน้ากันแล้วแอบยิ้ม โรเบิร์ตกระซิบแกละ
“ความรักทำให้ท่านเป็นไปได้ถึงเพียงนี้”
ทุกคนทานอาหารเสร็จแล้ว ลออศรีพยักหน้าให้ศรี บอกทุกคน สบตาเจ้าคุณ
“ดิฉันขอตัวพาศรีไปเดินชมสวนชมไฟประดับด้านนอกนะคะ”
เจ้าคุณผายมือ
“เชิญ”
เจ้าคุณมองตามยิ้มสบตาลออศรี
ในสวน...ลออศรีพาศรีเดินชมดอกไม้และไฟประดับ
“เจ้าคุณท่านทำวันนี้เพื่อเธออยากให้เธอประทับใจนะศรี”
“ไม่จำเป็นต้องทำหรอกนะ”
“นี่คือการต้อนรับว่าที่คุณหญิงของที่นี่ ต้องทำสิ”
ขณะที่สองคนเดินไป ตามพุ่มไม้มีไม้ไหว ลออศรีไม่ทันสังเกต แต่ศรีเห็น เธอรำพึงในใจ
“พวกมันมาแอบดูเรา”
หลังพุ่มไม้ สังวร สังเวียน และน้อย แอบมองศรีกับลออศรี ตลอดทาง
“น่าขำจริง” ศีบ่น
“อะไรหรือศรี”
“ไม่มีอะไรหรอก ไฟสวยดี บ้านสวยดี ดอกไม้ก็สวยดี แต่คนที่นี่ไม่มีระเบียบไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้จักเจียมตัว”
“เออ เก่งจังนะ ฉันก็รู้สึกและเห็นด้วยอย่างเธอ บ่าวที่นี่มันเผยอกันมาก โดยเฉพาะ…”
ศรีสวนทันที
“นางผู้หญิง”
ลออศรี มองศรียิ้มน้อยๆ
“ศรีจ้ะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่ ศรีอยู่ตรงนี้รอฉันได้ไหมจ้ะ”
“ได้สิ”
“ซ้อมเป็นคุณหญิงที่นี่ไปพลางๆรอฉันนะ”
ลออศรีเดินไป ศรีปรายตาเหลือบไปด้านหลังที่มีคนแอบมอง ยิ้มร้ายๆ
สังวร สังเวียน และน้อยแอบมองอยู่หลังพุ่มไม้
“มันด่าพวกเรา” สังวรกระซิบ
สังเวียนหน้าเสีย
“หรือมันรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้”
“มันไม่รู้หนอกน่า แต่มันปากเสีย” น้อยมั่นใจ
“อยากจะไปถีบมันให้ล้มคว่ำหน้าฟาดพื้นเสียโฉม” สังวรแค้นๆ
สังเวียนมองศรี
“นางคนนี้ท่าทางมันเอาเรื่องไม่น้อย”
น้อยเกลียดชัง
“ถ้ามันมาเป็นคุณหญิง มันมิข่มพวกเราหรอกหรือ”
เสียงเบาของศรีเอ่ยขึ้นพอทำให้สามคนได้ยิน
“ที่นี่อะไรอะไรก็ดี แต่ดูทีท่าว่า บ่าวที่นี่ขาดการอบรม อย่างมาก”
สามคนหน้าเหวอ
“ต๊าย หรือว่ามันได้ยินเราพูด”
ศรีพูดต่อ
“คนที่ไม่รู้จักเคารพให้เกียรติผู้คน ก็อย่าหวังว่าใครจะมาให้เกียรติ แม้เป็นบ่าวก็มีเกียรติได้ ถ้าไม่ทำตัวน่ารังเกียจ”
สามคนสะดุ้ง
“ว๊าย”
แล้วสามคนก็มองเห็น เจ้าคุณเดินตรงมาหาศรี
“ท่านกำลังเดินมาหามัน”
สามคนถอยกรูด ศรียืนรอ
“วันนี้เธอแต่งตัวสวยมาก แต่ใส่สีดำคนไทยถือไม่ใช่หรือ”
“ฉันไม่ถือ ชุดนี้ใส่ไปงานศพมาแล้ว วันนี้ใส่ไว้ทุกข์ให้อะไรบางอย่างกับตัวเองค่ะ”
“คงไม่เกี่ยวกับผม”
“ค่ะ ไม่เกี่ยว” ศรีมองรอบๆ “ติดไฟมากมายขนาดนี้คนที่นี่คงเหนื่อยมากนะคะ”
“มันเป็นความพอใจของผม ผมต้องการทำเพื่อเธอ ศรี”
“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น”
“เพราะผมขาดคู่คิด ที่นี่ขาดคนควบคุมดูแล อะไรอะไรจึงขาดตกบกพร่องไปหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าอะไรบางอย่างที่นี่ขัดหูขัดตา ขออภัยด้วย”
“ถ้าจะให้พูดตรงๆ ฉันเห็นว่าทุกอย่างปกติ มีเพียงผู้คนเท่านั้น ถ้าไม่มีใครคอยควบคุมกฎระเบียบ ก็จะหย่อนยาน ไม่มีวินัย”
“พูดถูกต้อง”
“พูดจากประสบการณ์ที่บ้านค่ะ เอ้อ...ลออศรีไม่เห็นกลับมาสักที ดิฉันขอตัวกลับเข้าไปข้างในก่อนนะคะ”
“เชิญครับ เราจะกลับเข้าไปด้วยกัน แต่ แต่ เอ้อ...”
เจ้าคุณคุกเข่าลงตรงหน้า ศรีตกใจมากคิดไม่ถึง
“จะทำอะไรคะนั่น คุกเข่าทำไมกัน”
“คุกเข่าขอแต่งงานกับคุณ แต่งงานกับผมนะ มาเป็นคุณหญิงของผมมาดูแลบ้านให้ผม ผมขอมอบอำนาจเด็ดขาดในการปกครองทุกอย่างในบ้านให้คุณ”
เจ้าคุณสบตา ศรีนิ่งมากแล้วเอ่ยถาม
“คิดดีแล้วหรือคะ”
“คิดดีตั้งแต่พบหน้าเธอวันนั้น ฝันถึงเธอทุกคืน และไม่อยากตื่นจากฝันเพราะเกรงว่า เธอจะปฏิเสธคำขอแต่งงงานของผม”
“ขอบคุณมาก แน่ใจหรือคะ ว่าจะอดทนกับฉันได้และยอมตามใจฉันในหลายๆอย่าง”
“เยส”
“จะไม่โกรธฉัน ถ้าฉันทำอะไรตามอำเภอใจ เพราะฉันคือคนเอาแต่ใจตัว ฉันนิสัยไม่ดีนักนะคะ”
“ถ้าไม่หนักหนา จนไร้เหตุผลและทำให้ใครเดือดร้อน ก็โอเค”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมโอนอ่อนตามใจหมอบราบคาบแก้ว กราบเท้าสามีก่อนนอน หรือตื่นก่อนนอนทีหลัง”
“โน พร็อบเบล็ม ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องให้ภรรยามาทำเช่นนี้ แต่งงานกับผมนะ”
ศรียิ้มให้ เจ้าคุณยื่นมือมากุมมือไว้ ศรียิ้มน้อยๆ ไม่ได้ทำตื่นเต้นยินดี
อ่านต่อตอนที่ 2