สามี ตอนที่ 2
ในห้องอาหารหรู รสิกามองวศินอึ้ง ๆ
“แต่งงานเหรอคะ”
“ครับ เราก็คบกันมาหลายปี ถ้าผมไม่ทำอะไรให้มันถูกต้อง ก็มีแต่จะทำให้คุณหญิงเสียชื่อเสียง”
“อ้ายจะไปเสียชื่อเสียงอะไรคะ อ้ายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“หรือว่าคุณหญิงไม่อยากแต่งงานกับผม เพราะผมยังไม่ดีพอ”
“มันไม่เกี่ยวกันนะคะ เพียงแต่เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และอ้ายเองก็มีภาระอยู่มาก”
“เรื่องคุณหญิงเป็นหนี้น่ะเหรอครับ” วศินมองอย่างสังเกต
รสิกาชะงัก
“ศินทราบได้ยังไง”
“นี่คุณหญิงมีหนี้สินจริงเหรอครับ”
“ก่อนท่านพ่อจะเสีย ท่านทำธุรกิจขาดทุน...”
“เท่าไหร่ครับ”
“แปดสิบล้านค่ะ”
วศินตกใจที่เป็นเรื่องจริง
“แล้ววังประกาศเกียรติล่ะครับ ทำไมไม่จัดการแปรเป็นเงินมาใช้หนี้”
รสิกาไม่พอใจ
“วังประกาศเกียรติคือสมบัติชิ้นเดียวที่อ้ายมี อ้ายจะต้องรักษาเอาไว้”
วศินคิด ๆ
“อันที่จริงไม่ต้องขายวังก็ได้นะครับ รายได้คุณหญิงจากการ ออกแบบก็มีไม่น้อย ถ้าคุณหญิงจะลดภาระค่าใช้จ่ายไปบ้าง”
รสิกามองว่าหมายความว่ายังไง
“ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนที่คุณหญิงต้องเลี้ยงดูคนรับใช้แก่ๆ ที่คอยเกาะคุณหญิงกินพวกนั้น ถ้าลดตรงนี้ลง ผมว่าไม่นานก็ใช้หนี้ได้หมด”
รสิกาหน้าตึง
“คนพวกนั้นที่ศินพูดถึงเป็นคนเก่าคนแก่ที่ดูแลอ้ายมานาน พวกเขารักอ้ายและอ้ายจะไม่ยอมทิ้งพวกเขาเพราะความเห็นแก่ตัวเด็ดขาด”
วศินหน้าตึงเช่นกัน เริ่มจะไม่ทน
“คำพูดของผมมันไม่มีความหมายกับคุณหญิงเลยใช่ไหม”
“นี่ศินกำลังพูดไม่รู้เรื่องนะคะ”
วศินไม่พอใจที่ไม่ได้ดังใจ
“คุณหญิงคงจะมองไม่เห็นคุณค่าของผม ถ้ายังไม่เสียผมไป”
รสิกาไม่เข้าใจ
“ทำไมอ้ายต้องเสียศินไปด้วย”
ทันใดนั้นเสียงปฐวีดังขึ้น
“อ้าย”
ปฐวีเป็นลูกชายคนโตของประสิทธิ์ แต่นิสัยต่างกับพ่อและน้องมาก รสิกานับถือเขาเหมือนพี่ชายแท้ๆ ขณะที่เขามีใจรักรสิกา แต่ไม่กล้าแสดงออก
“พี่วี” รสิกายิ้มให้
“สวัสดีคุณวศิน”
ปฐวีทักแล้วก็หันไปหารสิกา สิ้นความสนใจจากวศินแค่นั้น
“อ้ายมางานเป็นเพื่อนหม่อมอาใช่ไหม งั้นที่คนเขาว่ากันว่าอ้ายไม่กินเส้นกับเจ้าสัวเรียวก็ไม่จริงน่ะสิ...ดีแล้วล่ะอ้าย”
“พี่วีหมายความว่าไงคะ”
“นี่ อ้ายไม่ได้มางานมอบรางวัลของเจ้าสัวเรียวเหรอ”
“งานมอบรางวัลของเจ้าสัวเรียว...” เธอเข้าใจทันที “หม่อมแม่...จัดกันที่นี่ใช่มั้ย
คะ”
รสิกาจ้ำอ้าวออกไป ทิ้งวศินให้ยืนงง ปฐวีเข้าใจทันทีว่ารสิกาไม่รู้เรื่องที่รัตนาวลีมางานของเจ้าสัวเรียวและจะไปเอาเรื่อง
“หญิงอ้าย”
ปฐวีตามไป เหลือวศินคนเดียวที่ยืนงงๆ อยู่
ในสวน มุมค่อนข้างเงียบ มีสปอตไลท์วางเป็นจุดๆ ให้แสงสว่างภายในสวน รัตนาวลียืนเครียด เจ้าสัวเรียวเดินเข้ามาหายืนข้างๆนิ่งๆ ไม่พูดอะไร รัตนาวลีพูดขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็ที่ฉันพูดจาเสียมารยาทต่อหน้าเจ้าสัว”
“มารยาทใช้ให้มันถูกคนก็ดีนะหม่อมวลี ใช้กับคนที่ไม่สมควรมันเปลือง”
ราพณ์กับรุ้งรายที่เดินตามมาสมทบได้ยินพอดี
“รุ้งชอบนะคะ หม่อมตรงประเด็นไม่ต้องกลับไปย้ำอีกว่าใครเป็นยังไง อยู่ที่จะสำนึกรึเปล่าก็เท่านั้น”
“แต่คนพวกนั้นก็เป็นญาติ”
ราพณ์ขัดขึ้น
“เมื่อกี้หม่อมก็พูดเองนี่ครับ ว่าคนบางประเภท นับญาติด้วยก็ลำบากใจ ตอนนี้หม่อมมีเราเป็นญาติแล้วนะครับ ต่อไปพวกเราจะไม่ให้ใครมารังแก หม่อมอีก” ราพณ์ยิ้มจริงใจ
“ขอบคุณมากค่ะคุณราพณ์ คุณรุ้งราย”
รัตนาวลีสบตาเจ้าสัวอย่างซึ้งใจที่ความรักของเจ้าสัวแผ่ไปยังลูกๆ ด้วย รสิกาเข้ามาเห็นจังหวะที่รัตนาวลีมองตากับเจ้าสัวเรียวอย่างซึ้งใจ
“หม่อมแม่คะ”
ทุกคนหันมองตามเสียง เห็นว่ารสิกาเข้ามากับปฐวี
“อ้ายมารับหม่อมแม่กลับบ้านค่ะ” รสิกาเข้ามาจับมือรัตนาวลี
ราพณ์จับมือรสิกาออกจากมือรัตนาวลี แล้วจับมือรสิกาไว้
“จะกลับบ้าน มาผมพากลับเอง”
รสิกาดึงมือออก
“อะไรของคุณ”
“ก็คุณทำตัวเป็นเป็ดมาถึงก็ร้อง กลับ กลับ กลับ ทั้งที่แม่คุณติดธุระสำคัญอยู่ ผมก็เลยจะพาคุณกลับแทนไง”
รุ้งรายมองราพณ์ยิ้มๆ จับสังเกต เจ้าสัวเรียวมองท่าทีลูกชายเริ่มจับสังเกตเหมือนกัน
“คุณ...” รสิกาฉุนกึก
รัตนาวลีจะจัดการแยกทั้งคู่ แต่เจ้าสัวเรียวจับแขนรัตนาวลีไว้เบาๆ เป็นการห้าม รุ้งราย รู้ว่าเจ้าสัวต้องการให้ราพณ์จัดการ
“ให้เฮียเขาจัดการเถอะค่ะ”
ราพณ์มองหน้ารสิกา
“ราพณ์ครับ ผมชื่อราพณ์ เคยบอกแล้วไงว่าให้จำชื่อผมไว้ให้แม่นๆไง กลับบ้านไม่ถูกใช่มั้ย ผมจะไปส่ง”
รสิกาจะโวย ราพณ์สวนทันที
“จะโวยใช่มั้ย อย่านะ ผมอายเขา รู้จักอายมั้ยล่ะคุณน่ะ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
“อีกไม่นานเราก็ต้องสนิทกัน...มากด้วย ทำไมผมจะยุ่งไม่ได้”
รสิกาอึ้งแต่ปากแข็ง
“ฉันไม่สน” เธอหันไปหาแม่ “หม่อมแม่กลับกับอ้ายนะคะ”
รัตนาวลีลำบากใจ
“อ้ายจ๊ะ...แม่มากับเจ้าสัว แม่ควรจะกลับกับเขา”
วศินตามรสิกาเข้ามา เห็นรุ้งราย วศินหลบตานิดหน่อย ก่อนจะเข้าไปหารสิกา
“คุณหญิง”
วศินจับที่มือรสิกาจะดึงให้กลับ รสิกาสะบัดอารมณ์นั้นสนใจแต่รัตนาวลี วศินหน้าเสีย ปฐวีเข้าไปหารสิกา พูดเสียงอ่อนโยน
“อ้าย หม่อมอามากับเจ้าสัวเรียว อ้ายก็ควรจะให้เขากลับไปด้วยกันนะ”
รสิกาเสียงอ่อนลง
“พี่วี...”
ราพณ์มองปฐวีสงสัยในอาการที่ยอมรับฟังของรสิกา
“นะอ้าย มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง โวยวายไปตอนนี้ก็มีแต่จะอายคน”
“ถ้างั้นอ้ายกลับไปรอที่วัง...” รสิกามองรัตนาวลีอย่างตัดพ้อและกดดันมาก “หวัง
ว่าหม่อมแม่จะไม่ลืมว่าที่นั่นคือบ้าน”
มือปืนที่ซุ่มอยู่ยกปืนขึ้นจากด้านข้างสปอตไลท์ ทิศทางคือจะยิงเข้าด้านหลังของรสิกา เจ้าสัวเรียวขยับเข้ามาจะคุยกับรสิกาจนอยู่ในจุดที่เหลื่อมกับรสิกาบังอยู่ครึ่งนึง ราพณ์ที่ยืนหันหน้าไปทางสปอตไลท์เห็นเงาของมือปืนที่ยืนเล็งมาทางรสิกากับเจ้าสัวเรียวก็ตกใจ ไวเท่าความคิดเขาตะโกนลั่น
“ระวัง”
เสียงปืนดังปัง ราพณ์รวบทั้งรสิกาและเจ้าสัวเรียวลงไปกับพื้น ทุกคนต่างตกใจก้มลงอัตโนมัติ ราพณ์กอดรสิกาไว้แน่น พลางตะโกน
“รปภ”
รปภ.ของโรงแรมวิ่งออกมาจากด้านใน เห็นเงามือปืนวิ่งหนี รปภ.ตาม มือปืนยิงขู่มาโดนที่แขนของรปภ.จนล้มลง รสิกาตกใจ
“คุณเป็นอะไรเปล่า” ราพณ์ถามอย่างเป็นห่วง
รสิกาตกใจจนยังไม่ทันได้ตอบอะไร ปฐวีรีบเข้ามาหารสิกา
“อ้าย...อ้ายเจ็บตรงไหนไหม”
“อ้ายไม่เป็นไรค่ะ”
“มือปืน...”
ราพณ์หันมองเจ้าสัวเรียว รสิกาโวยขึ้นมา
“นี่ไงคะคนดีของหม่อมแม่ ดีจนมีมือปืนมาเอาชีวิต”
“หยุดนะอ้าย” รัตนาวลีตวาด
“พี่ว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย พี่จะพาไปส่งที่วังนะ” ปฐวีขัด
“ค่ะ”
ราพณ์มองรสิกาที่ยอมทำตามปฐวีง่ายๆ อย่างอึ้งๆ ปฐวีพารสิกาออกไป วศินที่ลุกขึ้นมายืนอึ้งเพราะตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย รุ้งรายมองวศินหยามๆ วศินอายหลบตาแล้วรีบออกไปราพณ์หันมาถามเจ้าสัวเรียว
“ศัตรูของเราเหรอครับป๊า”
“เป้าหมายมันไม่ใช่ป๊า”
เจ้าสัวเรียวเครียดๆ เพราะเห็นประสิทธิ์ที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง แล้วเดินหันหลังกลับไป
ปฐวีเดินมาส่งรสิกาที่หน้าตึก วังประกาศเกียรติ
“ขอบคุณพี่วีมากนะคะที่มาส่งอ้าย”
“เพื่ออ้าย แค่นี้สบายมาก”
“เพื่ออ้าย ถ้าหม่อมแม่เป็นคนพูดคำนี้ อ้ายคงจะมีความสุขมาก”
“อ้าย...ถ้าอ้ายมีปัญหา...พี่พร้อมจะช่วยอ้ายนะ”
รสิกาซึ้งใจ
“พี่วีดีกับอ้ายเสมอ ถึงเราจะไม่เกี่ยวพันทางสายเลือดแต่พี่วีก็ห่วงอ้ายมาตลอด”
“เป็นไปได้พี่อยากจะดูแลอ้ายไปตลอดชีวิต” ปฐวีคิดอย่างที่พูดจริงๆ
รสิกาชะงักมองแล้วยิ้ม
“ชอบพูดเล่นอีกแล้วนะคะพี่วี ขืนพี่ดูแลอ้ายตลอดชีวิต พี่ก็เป็นหนุ่มแก่ขึ้นคานพอดีน่ะสิ”
รสิกาพอจะมองออกว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ แต่ก็เลี่ยงไปเรื่อย คิดว่าสักวันปฐวีจะเลิกราไปเอง
“อ้าย...”
“ดึกแล้ว รีบกลับเถอะค่ะ ขับรถระวังนะคะ”
ปฐวีรู้ว่าโดนตัดบท
“จ๊ะ...อย่าคิดมากนะ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
รสิกาเข้าบ้านไป ปฐวีมองตามอึดอัดใจนัก กับความรักที่เก็บมาเนิ่นนาน
วศินนั่งอยู่หน้าโรงแรม สุดเซ็งไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี รุ้งรายเดินมาหา วศินเงยหน้าขึ้นมอง
“รสิกาคงลืมสินะว่ามีเธอมาด้วย”
วศินหงุดหงิดที่โดนรุ้งรายพูดแทงใจดำจะลุกหนี
“ฉันยังรอคำตอบเธออยู่นะ”
วศินชะงักหันมามอง รุ้งรายยิ้มอย่างเป็นต่อแล้วหันหลังเดินไป วศินมองตามอย่างคิดหนัก
รัตนาวลีกลับมาที่วัง พบรสิการออยู่ในห้องรับแขก รสิกามองเย็นชาไม่พูดอะไรจะเดินขึ้นชั้นบน
“แค่อยากจะวัดใจแม่ ว่าแม่จะกลับมาไหม เท่านี้ใช่ไหมอ้าย”
“หม่อมแม่รู้แล้ว ไม่เห็นต้องถามอ้ายนี่คะ”
รสิกาจะเดินหนี
“คืนวันพรุ่งนี้แม่จะแต่งงาน”
“หม่อมแม่ถามความเห็นหรือแค่แจ้งให้ทราบคะ”
“แล้วอ้ายคิดว่าแม่บอกอ้ายทำไมล่ะ อ้ายเป็นลูกคนเดียวของแม่ แม่จะทำอะไร อ้ายก็ต้องรับรู้สิจ๊ะ”
“ส่วนอ้ายจะเห็นด้วยหรือไม่ หม่อมแม่ไม่สนใช่ไหมคะ”
“แม่อยากให้อ้ายยอมรับความจริง เราไม่มีทางเลือกอื่น และแม่ทำทุกอย่างก็เพื่อลูก”
“อย่าเอาความดีมาอ้างเพื่อการกระทำที่เห็นแก่ความสุขของตัวเองของหม่อมแม่เลยค่ะ อ้ายอดสูนักที่ได้ยิน”
รัตนาวลีเจ็บแต่ยังพยายามอธิบาย
“แม่ขอยืนยันว่าแม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก เพราะแม่รู้ดีว่าระหว่างแม่กับวังประกาศเกียรติของท่านพ่อ ถ้าต้องเลือก อ้ายพร้อมที่จะเสียแม่ไปมากกว่าวังนี้”
รสิกาอึ้ง เพราะที่จริงไม่ได้คิดอย่างที่รัตนาวลีพูดเลย
“แม่อาจจะต้องกลายเป็นหม่อมรัตนาวลีผู้ไร้เกียรติในสายตาของอ้าย แต่แม่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาวังที่อ้ายรักเอาไว้...วังที่อ้ายอาจจะรักมากกว่าแม่คนนี้เสียอีก”
รัตนาวลีพูดจบแล้วเดินจากไป รสิกามองตามอย่างปวดร้าว เพราะไม่ได้อยากจะทำร้ายแม่ขนาดนั้น
เช้าวันใหม่...รสิกาเข้ามาในออฟฟิศ พนักงานพากันยิ้มให้
“ยินดีด้วยนะคะ” พนักงานคนหนึ่งเข้ามายินดี
รสิกางงๆ กอบกู้เดินมาพอดียิ้มแย้มบอก
“ยินดีด้วยนะคุณอ้าย”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องการแต่งงานของหม่อมรัตนาวลีกับเจ้าสัวเรียวไงครับ วันนี้มีข่าวออกน่ะครับ”
กอบกู้ส่งหนังสือพิมพ์ให้ รสิการับมาดูเป็นข่าวซุบซิบก็โกรธมาก เพราะรู้ว่าเป็นฝีมือสุรีย์ส่อง
โต๊ะอาหารบ้านประสิทธิ์...ปฐวีถือหนังสือมาวางตรงหน้าสุรีย์ส่องอย่างหัวเสีย
“นี่ฝีมือแกใช่ไหม”
ประสิทธิ์แย่งมาอ่านเป็นข่าวซุบซิบ
“หม่อมตกอับรับแต่งงานเจ้าสัวฟื้นฐานะ ก็ถูกต้องแล้วนี่”
“ยังไงหม่อมอาก็เป็นญาติเรานะพ่อ” ปฐวีแย้ง
สุรีย์ส่องไม่พอใจ
“พี่วีเข้าข้างนังอ้ายมันอีกแล้วนะ แม่มันทำตัวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา คนอ่านสมัยนี้ฉลาดแยกแยะได้”
“เราเป็นญาติกับทางหม่อม แกทำลายเขาก็ทำลายเครดิตตัวเอง เอาสะใจแต่ทำลายตัวเองไม่รู้ตัวโง่จริง”
“มันแต่งงานกับเจ้าสัว คู่แข่งเราก็เท่ากับมันเป็นศัตรูเราเต็มตัว สุเล่นงานมันก็ถูกต้องแล้ว”
“สมองแกมันมีแต่ฟอง ไม่มีเนื้อพูดไปก็ไม่ซึมซับอะไร ช่างมันเถอะ” ปฐวี หันไปหาพ่อ “พ่อครับ พ่อจะให้พีอาร์เรื่องโครงการสร้างทาวน์โฮมเมื่อไหร่ครับ”
“หลังจากที่ทางเจ้าสัวเรียวมันเปิดตัวโครงการมัน เราก็จัดการดิสเครดิตมันซะ”
“ผมว่าเราขายคุณภาพ มันน่าจะดีกว่านะครับ”
“ฉันสั่ง แกมีหน้าที่ทำตาม เจ้าสัวเรียวมันจะต้องแพ้ หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่า”
ปฐวีสีหน้าไม่เห็นด้วย
“ถ้าจะมาแสดงอารมณ์ไม่เห็นด้วย ก็ไปทำที่อื่นพ่อไม่อยากเห็น”
ปฐวีกดดัน ไม่เคยแย้งอะไรได้
“ครับ”
ปฐวีรับคำแล้วเดินหนีไปให้ประสิทธิ์งงๆ ว่ารับคำเรื่องไหนกันแน่
รสิกาอึ้ง ๆ เมื่อกอบกู้บอกเรื่องวศิน
“ศินลาออกเหรอคะ”
“ครับ วศินมายื่นจดหมายลาออกเมื่อเช้า ผมถามก็ไม่ยอมบอกว่าเพราะอะไร ผมจะยังไม่อนุมัติการ
ลาออกนะครับ คุณหญิงคุยกับวศินได้ความยังไงแล้วผมจะพิจารณาอีกทีนะครับ”
กอบกู้ออกจากห้องทำงานรศิกาไป รสิกาพยายามจะกดโทรศัพท์หาวศินแต่เขาปิดเครื่อง
“เกิดอะไรขึ้น คุณอยู่ที่ไหนนะวศิน”
รุ้งรายอยู่ที่คอนโดได้ยินเสียงกริ่ง เธอมองที่มอนิเตอร์สำหรับกล้องที่อยู่หน้าห้อง รู้ว่าใครมา ก็ยิ้มอย่างพอใจ เดินไปเปิดประตูให้วศินที่ยืนรออยู่
“เธอตัดสินใจถูกแล้ว”
วศินสีหน้าลังเลนิด ๆ มองรุ้งราย
“ผมต้องทำยังไงบ้าง”
รุ้งรายยิ้มพอใจ
รสิกานั่งทำงานออกแบบการตกแต่งให้เข้ากับห้องที่ถ่ายรูปมา มีตัวอย่างลายผ้าไทยกับผ้าไหมที่จะนำมาผสมผสานกัน เธอมองนาฬิกาพยายามโทรอีกทีแต่ก็โทรไม่ติด จึงฝากข้อความ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะศิน อ้ายเป็นห่วงคุณนะคะ”
วศินนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก รุ้งรายเดินเข้ามาพร้อมกับเช็ค
“สามล้านตามข้อตกลง ต่อจากนี้เธอจะได้เงินเดือนทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท”
วศินรับมา
“ข้อแม้ของคุณล่ะครับ”
“ทำตามที่ฉันสั่งโดยไม่มีข้อแม้”
“ครับ”
“คนรักของเธอล่ะรู้เรื่องหรือยัง”
วศินเงียบไม่ตอบ รุ้งรายมองวศินอย่างสมเพชที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับรสิกา วศินเห็นแววตาของรุ้งรายก็ไม่พอใจ แต่ก็เลือกที่จะเก็บเช็คและความสุขสบาย
รสิกากลับมาจากทำงาน เห็นแม่นมกำลังสั่งการให้แหววกับคนรับใช้ทำความสะอาดหน้าวังประกาศเกียรติ
“ทำอะไรกันจ๊ะนม”
“คืนนี้จะมีการรับตัวเจ้าสาวตอนตี 2 ค่ะ”
รสิกานิ่งเดินขึ้นข้างบนไปเลย แหววกระซิบกับแม่นม
“คืนนี้จะเป็นยังไงคะคุณแม่นม”
แม่นม หยิกแหวว
“สอนกี่ครั้งว่าไม่ให้ยุ่งเรื่องเจ้านาย”
“ความทุกข์ของเจ้านาย ก็เหมือนความทุกข์ของเรานี่คะคุณแม่นม”
แม่นม หยิกแหววอีก
“แน่ใจนะว่าไม่ได้สอดรู้เรื่องเจ้านาย”
แหวว ยังถูกหยิกอยู่
“โอ้ย...รวมๆ กันแหล่ะค่า”
แหวนสะบัดหลุดได้ แม่นมมองตามรสิกาอย่างไม่สบายใจ แหววเองก็เป็นห่วงรสิกา
รัตนาวลีเดินไปเดินมารอรสิกาอย่างกระวนกระวาย รสิกาเดินขึ้นมา
“อ้าย...”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...”
รสิกาเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าเย็นชา รัตนาวลีมองตามเครียด
หน้าคฤหาสน์ลิ้มวัฒนาถาวรกุล...เจ้าสัวเรียวในชุดสูทเดินออกมา ราพณ์กับรุ้งรายรออยู่แล้ว
“ใกล้จะได้ฤกษ์แล้วครับป๊า”
เจ้าสัวเรียวจะก้าวขึ้นรถ รุ้งรายถามขึ้น
“เคลียร์กับคุณหญิงได้หรือยังคะป๊า รุ้งกลัวคุณหญิงจะพ่นไฟใส่ป๊า”
“เตรียมงานทางนี้ให้เรียบร้อยนะ”
เจ้าสัวเรียวยิ้มแล้วเดินขึ้นรถ ราพณ์ขึ้นขับรถให้ รถเลื่อนออกไป
นาฬิกาในห้องเป็นเวลาตี 1.55 นาที รสิกายังไม่นอนยืนอยู่ที่หน้าต่างสีหน้าเคร่งเครียด รสิกาเดินกลับไปกลับมาอย่างเริ่มกระวนกระวายที่ใกล้เวลาตี 2 เธอลังเลเหมือนจะไม่สนใจ แต่ในใจไม่อยากให้แม่แต่งงานไป รสิกามองไปทางรูปของ หม่อมเจ้าชัยประกาศ
“อ้ายควรทำอย่างไรคะ ท่านพ่อ”
เสียงนาฬิกาดังกังวานไปทั่วบ้านเป็นเวลาตี 2 เสียงรถแล่นเข้ามาที่หน้าบ้าน รสิกาใจหายไม่อยากเสียแม่ไปตัดสินใจออกจากห้องไป
ด้านหน้าวังแสงไฟสลัว เป็นเทียนที่ถูกจุดไว้เป็นระยะ รสิกาเดินออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ เจ้าสัวเรียวลงจากรถ ราพณ์อุ้มหีบสีแดงขนาดสัก 12 นิ้วมาด้วย เขาเดินมาใกล้เจ้าสัวเรียวมองรสิกาอย่างท้าทาย
“เรามารับตัวเจ้าสาว”
รสิกาไล่เสียงแข็ง
“กลับไปซะ”
เสียงแม่นมดังขึ้นมา
“เจ้าสาวมาแล้วค่ะ”
ทุกคนหันไป รสิกาอึ้งที่เห็นรัตนาวลีในชุดกี่เพ้าสีโอรส เกล้าผมปักดอกไม้สีสวยเดินลงมาโดยมีแม่นมมาส่งที่รถ เจ้าสัวมองอย่างชื่นชม
“ป๊าครับ”
ราพณ์เปิดหีบ ภายในเป็นเครื่องเพชรเครื่องทอง เจ้าสัวเรียวรับหีบไปยื่นตรงหน้ารสิกา
“สินสอดทองหมั้นเพื่อแสดงความจริงใจที่ผมมีต่อคุณวลี”
แหววกับคนรับใช้ที่แอบดูอยู่ตะลึง
“อู้หู...ป้าๆ ดูสิ เพชร ทองทั้งนั้น”
รสิกาเมินไปทางอื่นไม่ยอมรับ ทุกคนยืนมองรสิกาว่าจะเอายังไง รัตนาวลีสบตากับเจ้าสัวเรียวแล้วตัดสินใจ
“ขอบคุณค่ะ”
รัตนาวลีรับมาแล้ว
“แหวว เอาไปไว้ในรถนะจ๊ะ”
แหววช่วยรับหีบมาแล้วเอาไปวางตรงที่นั่งคนขับของรถราพณ์เหมือนเดิม เจ้าสัวเรียวยกมือขึ้นเพื่อให้รัตนาวลีวางมือบนมือของเขา รสิกาพยายามครั้งสุดท้ายที่ห้ามรัตนาวลี เธออ้อนวอน
“หม่อมแม่คะ”
รัตนาวลีชะงัก รสิกาขอร้อง
“หม่อมแม่คือ หม่อมรัตนาวลี ประกาศเกียรติ นะคะ”
รัตนาวลีมองรสิกาอย่างโดนกดดันให้ต้องเลือก เธอมองวังประกาศเกียรติสิ่งที่ต้องรักษาเพื่อลูก มองเจ้าสัวเรียวผู้มีพระคุณที่ต้องตอบแทนแล้วตัดสินใจวางมือลงบนมือของเจ้าสัวเรียว รสิกาตะลึงกับสิ่งที่แม่ตัดสินใจ เธอเจ็บปวด
“หม่อมแม่...”
เจ้าสัวเรียวพารัตนาวลีขึ้นบนรถ ราพณ์เข้ามาประจันหน้ากับรสิกา
“ต่อไปนี้จะมีแต่นางรัตนาวลี ลิ้มวัฒนาถาวรกุลเท่านั้น”
รสิกามองราพณ์อย่างเกลียดชัง ราพณ์ขึ้นรถขับออกไป รสิกามองตามด้วยความเสียใจ แม่นมกับแหววที่ยืนอยู่ด้านหลังมองอย่างเห็นใจ
เจ้าสัวเรียวพารัตนาวลีลงจากรถ กู๋พงศ์ ระริน รังรองและบรรดาคนรับใช้มาตั้งแถวรอรับ ที่หน้าตึก
“ยินดีต้อนรับนะอาหม่อมวลี เชิญๆ”
กู๋พงษ์นำเจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีเข้าไปด้านใน ราพณ์กับรุ้งราย ระริน รังรองและบรรดาคนรับใช้ตามเข้าไป กิมละล้าละลัง คนใช้เรียก
“อากิม รีบตามมาสิ”
“ลื้อเข้าไปก่อนเดี๋ยวอั๊วตามไป”
คนรับใช้เข้าไปหมด กิมมองตามแล้วหยิบโทรศัพท์ราคาถูก ๆที่โบตั๋นซื้อให้ รีบกดโทรออก
เสียงมือถือดัง โบตั๋นรับโทรศัพท์ จากหน้าตากระวนกระวายกลายเป็นเจ็บแค้น
“แกเก็บรายละเอียดมาให้หมดนะนังกิม”
โบตั๋นกดวางสายกรีดเสียงร้องอย่างเจ็บแค้น
“นังวลี แกเข้าบ้านใหญ่ ทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่ ทำไม”
โบตั๋นอาละวาด กรีดร้องด้วยความเจ็บแค้นริษยาอาฆาต
“ฉันจะไม่ยอมให้พวกแกเป็นสุข ไม่ยอม”
ป้ายชื่อบรรพบุรุษตั้งอยู่บนโต๊ะที่จัดเครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่ เป็ด ไก่ หมู เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีขยับเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าป้ายชื่อบรรพบุรุษ กู๋พงษ์ส่งธูปให้ทั้งคู่ แล้วแนะนำรัตนวลีอย่างเป็นมิตร
“ไหว้บรรพบุรุษ”
“อาเหล่ากง เหล่าม่า อากง อาม่า วันนี้อั๊วจะขอรับคุณวลีมาเป็นสะใภ้ตระกูลเรา มาเป็นคนในครอบครัว ช่วยปกป้องดูแลคุณวลีด้วยนะครับ”
รัตนาวลีมองเจ้าสัวเรียว แล้วหันไปไหว้
“วลีขออนุญาตเข้ามาเป็นคนในครอบครัวนะคะ”
เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีปักธูป
จากนั้นทั้งคู่มาปักธูปตรงด้านหน้าโต๊ะตีจู่เอี๊ย ที่จัดเครื่องเซ่นไหว้ แล้วเจ้าสัวได้พารัตนาวลีไปนั่งตรงหน้าอาม่าที่นั่งอยู่หน้าป้ายชื่อบรรพบุรุษซึ่งเอาโต๊ะเครื่องเซ่นออกไป เอาเก้าอี้มาวางแทนให้อาม่านั่ง
อาม่าแม่ของเจ้าสัวเรียว เป็นโรคอัลไซเมอร์ ไม่ค่อยได้อยู่ที่กรุงเทพจะไป ๆ มาๆ ระหว่างคฤหาสน์เจ้าสัว กับบ้านพักริมทะเล ทั้งคู่มาคุกเข่าตรงหน้าอาม่า ราพณ์กับรุ้งรายมายืนข้างๆ
“หม่าม๊า...ซิงซิมปู๋”
“ฮ่อ...ซิมปู๋” แล้วอาม่าก็นึกได้ “ใบทับทิม...ใบทับทิมอั๊วอยู่ไหน อาเง็ก...ใบทับทิมอั๊วล่ะ”
เง็กคนรับใช้ที่คอยดูแลอาม่า อยู่มานาน รีบหยิบใบทับทิมมาเป็นกิ่งเล็ก ๆที่จัดใส่จานเล็ก ๆ วางอยู่ข้างอาม่าส่งให้
“อยู่นี่ค่ะ อี้...”
“ไม่วางใกล้ ๆ มืออั๊วล่ะ ลื้อนี่ไม่ได้เรื่อง”
“ก็อาอี้เป็นคนให้อั๊วไปแช่น้ำไว้นี่คะ เดี๋ยวให้วางเดี๋ยวให้แช่ จัดตรงนี้ตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ” เง็กบอกกับรัตนาวลี “ตื่นเต้นจะได้สะใภ้น่ะค่ะ”
อาม่าเขกหัวเบา ๆ
“พูดมาก ถอยไปได้แล้ว อั๊วจะคุยกับอาซิมปู๋” อาม่าหยิบใบทับทิมมาปัดเบา ๆ เหนือศีรษะรัตนาวลี “ให้พ้นเคราะห์พ้นโศกนะ”
รัตนาวลีหันมองเจ้าสัวเรียว
“ม๊ารู้ว่าคุณออกจากไว้ทุกข์มาไม่นานน่ะครับ”
สามี ตอนที่ 2 (ต่อ)
รัตนาวลีหันมามอง อาม่าเอาใบทับทิมทัดหูให้รัตนาวลี
“อั๊วขอให้ลื้อสองคนรักกันนาน ๆ ม๊ายินดีต้อนรับลื้อเป็นสะใภ้ ลูกอั๊วรักลื้อมากนะ ดูแลอาเรียวด้วย”
รัตนาวลีรู้สึกอบอุ่น
“ค่ะม๊า วลีจะดูแลเจ้าสัวให้ดีที่สุดค่ะ”
เจ้าสัวเรียวยิ้มให้รัตนาวลี กู๋พงษ์พูดขึ้น
“ยกน้ำชา”
ราพณ์ส่งถาดน้ำชาให้ รัตนาวลีกับเจ้าสัวเรียวยกน้ำชาให้ อาม่ายกดื่มแล้วหยิบซองอั่งเปาวางให้
รัตนาวลีกับเจ้าสัวเรียวไหว้ขอบคุณ กู๋พงษ์ยิ้มให้รัตนาวลี
“หม่อมวลี ลื้อเป็นคนในครอบครัวเราแล้วนะ”
รังรองกับระรินพูดพร้อมกัน
“ยินดีต้อนรับนะคะ”
รัตนาวลีหันไปหาราพณ์
“คุณราพณ์คะ ฉันขอให้คนยกหีบสินสอดมาให้หน่อยได้ไหมคะ”
ราพณ์หันไป พยักหน้าให้เง็กยกหีบมาให้ รัตนาวลียกหีบให้เจ้าสัวเรียว
“ฉันแต่งงานกับคุณแล้ว ฉันยินดีให้คุณเป็นผู้นำชีวิต เมื่อเราใช้ชีวิตคู่เป็นคนๆ เดียวกัน สินสอดพวกนี้ฉันขอให้คุณช่วยดูแลด้วยนะคะ” รัตนวดียืนยันว่าไม่คิดอยากได้อะไร
เจ้าสัวเรียวยิ้มรับ
“ขอบคุณนะครับหม่อม”
รังรองกับระรินเห็นรัตนาวลีคืนสินสอดให้ไม่อยากได้ ไม่ดูปอกลอก ก็พูดออกมาพร้อมกัน
“ยินดีต้อนรับนะคะ หม่อมวลี”
อาม่าแทรกขึ้น
“พวกลื้อต้องเรียกอีว่าหม่าม๊าสิ อีเป็นเมียป๊าลื้อแล้วนะ”
รังรองรับคำ
“ค่ะ”
ระรินเอ่ยปากเรียก
“หม่าม๊า”
รัตนาวลียิ้มขอบคุณทุกคนที่ให้การต้อนรับอย่างดี
รสิกายืนอยู่ตรงหน้ารูปแต่งงานของพ่อกับแม่ แล้วร้องไห้
“ขอโทษค่ะท่านพ่อ อ้ายรั้งหม่อมแม่ไว้ไม่ได้จริงๆ”
ในห้องนอนเจ้าสัวเรียว รัตนาวลียืนซึมมองรูปถ่ายครอบครัวของเธอ แล้วเอามือลูบรูปเบาๆ อย่างคิดถึง
“ท่านชาย...”
เจ้าสัวเรียวเดินเข้ามาหา รัตนาวลีรีบเก็บรูป
“เป็นห่วงคุณหญิงใช่ไหมครับ”
“หญิงอ้ายคงเสียใจมาก ฉันกลัวว่าลูกจะเสียใจจนเตลิด”
“ผมเชื่อว่าคุณหญิงเข้มแข็งและมั่นคงในความดีงาม...เหมือนคุณ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่คุณยอมให้โอกาสผม”
“สิ่งเดียวที่ฉันจะตอบแทนคุณได้คือ...ดูแลคุณ”
เจ้าสัวเรียวมองรัตนาวลีด้วยความรัก
“นานเหลือเกินกว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่ผมทำให้สัญญาของเราเป็นความจริง”
เจ้าสัวเรียวหยิบรูปมาตั้งไว้ที่ข้างหัวนอน
“ตั้งรูปไว้ตรงนี้เถอะครับ ผมไม่คิดจะให้คุณลืมท่านชาย”
รัตนาวลีอึ้ง
“แต่...”
“ความสุขที่แท้จริงคือการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข สิ่งไหนที่คุณทำแล้วมีความสุข ผมยินดีครับ”
รัตนาวลีไหว้
“ขอบคุณนะคะเจ้าสัว”
“เรื่องคุณหญิง...ถ้าคุณวลีห่วง ผมว่าชวนมาอยู่ซะที่นี่ด้วยกันสิครับ”
รัตนาวลีเหมือนฟังเรื่องแปลกที่สุดในโลก
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ หญิงอ้ายไม่ยอมทิ้งวังไปที่ไหนเด็ดขาด ยิ่งให้มาอยู่ที่นี่เป็นไปไม่ได้เลย”
เจ้าสัวเรียวฟังอย่างใช้ความคิด
เช้าวันใหม่...สิริโสภากำลังจะออกจาก ขณะที่มานพมาถึงพอดี
“คุณราพณ์เอาค่าใช้จ่ายประจำเดือนนี้มาให้ครับ”
“คุณราพณ์ล่ะคะ...”
“คุณราพณ์มีธุระน่ะครับ คงอีกสักสองสามวัน”
สิริโสภาจะถามต่อ
“คุณสิก็ทราบนี่ครับว่าคุณราพณ์ไม่ชอบให้ถามซอกแซก”
สิริโสภาเงียบ
“แล้วนี่คุณจะไปไหนครับ”
“สิจะไปหาหมอค่ะ” สิริโสภาบอกอย่างลืมตัว
มานพถามตามหน้าที่
“เป็นอะไรครับ”
สิริโสภาตอบเลี่ยงไป
“ไม่สบายนิดหน่อย ไม่ต้องบอกคุณราพณ์หรอกนะ”
“ให้ผมไปส่งนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจะไปธุระส่วนตัวอีกหลายที่”
สิริโสภาออกไปเลย มานพได้แต่มองตาม
รสิกาลงมาจากด้านบน ได้ยินเสียงโวยวายของสุรีย์ส่องจากข้างล่าง
“ออกมานะรสิกา”
รสิกาลงมาเห็นสุรีย์ส่องกับประสิทธิ์เข้ามา
“มีธุระอะไรคะ”
“เธอควรจะย้ายออกไปจากวังนี้ให้เร็วที่สุดนะรสิกา”
“คนนอกวังมายืนสั่งเจ้าของวังให้ออกไป เอาสมองส่วนไหนคิดนะสุรีย์ส่อง”
“หม่อมแม่ของเธอทำตัวไม่เหมาะสม ก็ไม่คู่ควรกับวังนี้ วังที่เปรียบเสมือนเกียรติยศของตระกูลเรา อย่าทำลายวงศ์ตระกูลไปมากกว่านี้เลย”
รสิกายิ้ม
“เกียรติยศที่เธอพูดถึง มีไว้สำหรับคนในตระกูลอย่างแท้จริงเท่านั้น”
ประสิทธิ์โกรธ
“เลือดแม่ค้าของหม่อมวลีคงแรงสินะ”
รสิกาสวน
“แม่ค้าที่ได้รับเกียรติเป็นถึงหม่อมโดยไม่ต้องลงทุนทำหนังสือสร้างภาพให้ตัวเอง” รสิกามองสุรีย์ส่อง “แต่ก็กลบเกลื่อนกำพืดตัวเองไม่มิด”
สุรีย์ส่องหันไปหาพ่อ
“พ่อคะ มันด่าพ่อ ด่าสุ ท่านอาไม่น่าแต่งงานกับผู้หญิงต่ำศักดิ์มาให้เสื่อมเสียถึงญาติพี่น้อง”
รสิกาสวนทันที
“ญาติที่จ้องแต่จะทำลายญาติด้วยกัน มันก็ทำลายวงศ์ตระกูลเหมือนกันล่ะค่ะ แม่นมจ๊ะ ส่งแขกด้วยนะจ๊ะ”
สุรีย์ส่องโกรธ
“พวกฉันกลับแน่ถ้าเธอใช้หนี้ที่ท่านอาเอาไปจากพ่อฉัน”
“ลุงว่าหญิงอ้ายอย่าทำให้มันยุ่งยากนักเลย”
“เมื่อยังไม่ถึงกำหนด วังนี้เป็นของอ้าย ถ้าใครมาก่อกวน อ้ายคงต้องให้กฎหมายช่วย”
ประสิทธิ์โกรธ
“หญิงอ้าย”
สุรีย์ส่องจ้องหน้า
“ถ้าครบกำหนดแล้วไม่ได้เงิน ฉันจะเป็นคนแจ้งความและเฉดหัวแกออกจากวังนี้”
รสิกาเชิด
“เชิญค่ะ”
ประสิทธิ์มองรสิกาอย่างมีแผนร้าย จะกำจัดให้ได้ ประสิทธิ์กับสุรีย์ส่องออกไป แม่นมหันมาถาม
“โทรหาหม่อมดีไหมคะ”
รสิกาสะเทือนใจที่นึกถึงแม่
“หม่อมแม่คงลืมไปแล้วล่ะคะว่ามีพวกเรา”
รสิกาเครียด แม่นมมองอย่างสงสาร
รสิกาขับรถอยู่บนถนนในหมู่บ้านอย่างเครียดๆ คำพูดของสุรีย์ส่องและประสิทธิ์ดังก้องในหัว
‘หม่อมแม่ของเธอทำตัวไม่เหมาะสม ก็ไม่คู่ควรกับวังนี้ วังที่เปรียบเสมือนเกียรติยศของตระกูลเรา อย่าทำลายวงศ์ตระกูลไปมากกว่านี้เลย’
ขณะเดียวกัน สกรรจ์ ซึ่งเป็นทหารเรือ ขี่มอเตอร์ไซค์กำลังจะออกจากซอยในหมู่บ้าน สกรรจ์เบรก รถของรสิกาแล่นผ่านไป ขณะที่กำลังจะออกตัว เขาเห็นว่ามอเตอร์ไซค์อีกคันเร่งเครื่องตามรถของรสิกาไป คนซ้อนท้ายด้านหลังชักปืนออกมาเตรียมพร้อม
สกรรจ์ตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์ขับตามไปทันที มอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องจะวิ่งไปประกบเพื่อยิงรสิกาด้านคนขับ รสิกายังไม่รู้ว่ามีภัยมาถึงตัว มอเตอร์ไซค์มือปืนขี่เร่งขึ้นไปจนถึงจุดที่พร้อมยิง มือปืนเตรียมจะเล็งยิง สกรรจ์บิดมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาแทรกกลางระหว่างรถรสิกากับมือปืน ตัดสินใจใช้เท้าขวาถีบเข้าที่ลำตัวของคนขี่มอเตอร์ไซค์เต็มแรง คนขี่มอเตอร์ไซค์เสียหลักล้ม มอเตอร์ไซค์ของมือปืนล้มไถลห่างออกไป สกรรจ์เบรกมอเตอร์ไซค์ เอี๊ยดมองผลงานของตัวเอง เสียงโครม จากด้านหลัง ทำให้รสิกาตกใจ เผลอหันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นเห็นว่ารถล้ม
รสิกาหันกลับมามองถนน มีรถกำลังจะออกจากซอยด้านซ้ายมือ รสิกาตกใจหักพวงมาลัยไปทางขวาอย่างแรง รถพุ่งไปที่ฟุตบาธพุ่งตรงไปหาสิริโสภาที่เดินอยู่ริมถนน รสิกาตกใจเหยียบเบรกสุดชีวิต เอี๊ยด แต่รถก็ไหลเข้าชนสิริโสภาจนกระเด็นไป เสียงคนรอบข้างหวีดร้องด้วยความตกใจที่เห็นเหตุการณ์ รถหยุดสนิท รสิกามือไม้สั่น รู้สึกตัวรีบลงจากรถลงมาดู
“คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
สภาพสิริโสภาเลือดไหลที่ขา รสิกาทรุด ไทยมุงเข้ามาช่วยกันดูสิริโสภา
“ช่วยคนเจ็บหน่อยเร็ว”
“ดูคนขับไว้ด้วย อย่าให้หนี”
รสิกาอึ้ง หมดแรงทำอะไรไม่ถูก สกรรจ์จอดมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ เห็นรสิกาที่ยังช็อค
“เรียกรถพยาบาลเถอะครับ”
“ฉัน...” รสิกายังตั้งสติไม่ได้ “ฉัน...”
“เดี๋ยวผมจัดการให้”
สกรรจ์หันไปพูดกับไทยมุง
“ทุกคนครับกรุณาอย่ามุงครับ ให้คนเจ็บมีอากาศหายใจสะดวกหน่อย”
สกรรจ์จัดการโทรเรียกรถพยาบาล รสิกามองสภาพของสิริโสภาด้วยความกลัวจนมือสั่นพยายามจะจับมือสิริโสภา
“คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ คุณ...”
สกรรจ์เข้ามาบีบมือรสิกาเบาๆ ให้ได้สติ
“อย่าขยับคนเจ็บครับ คุณใจเย็นๆ นะครับ รถพยาบาลกำลังมา”
รสิกากลัวที่ตัวเองชนคน หันมาจะพูดกับสกรรจ์
“ฉัน...”
ภาพสุดท้ายที่รสิกาเห็นคือหน้าสกรรจ์ รสิกาเป็นลมหมดสติเพราะช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คุณครับ คุณ”
รัตนาวลีกับเจ้าสัวลงมาที่โต๊ะอาหาร อาม่ากำลังทานข้าวต้มคำสุดท้าย มีราพณ์กับรุ้งรายนั่งอยู่เป็นเพื่อน เง็กเก็บจานข้าวต้มไป
“สวัสดีค่ะ หม่าม๊า”
รุ้งราย หันไปยิ้มให้
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณวลี”
“ราพณ์ล่ะ” เจ้าสัวเรียวถาม
“ไปปลุกพระลบค่ะ”
“สวัสดีตอนเช้าครับ พระลบมาแล้วครับ”
พระลบวิ่งเข้ามากอดเจ้าสัวเรียว เจ้าสัวเรียวอุ้มกอดหอมอย่างเอ็นดู
“อยู่โรงเรียนพระลบคิดถึงอากงทุกวัน ทุกเวลา”
เจ้าสัวเรียวเอ็นดูวางพระลบให้ยืน
“พระลบ สวัสดีอาม่าสิครับ”
พระลบยกมือไหว้รัตนาวลี
“สวัสดีครับ อาม่า” พระลบเข้ากอดรัตนาวลีเลย “อาม่าของพระลบ รักพระลบมาก ๆนะครับ”
“ขี้อ้อนแบบนี้ รุ้งว่าติดนิสัยเฮียมานะ” รุ้งรายเหย้าแหย่
พระลบหันไปหาอาม่า
“อาเหล่าม่า” พระลบเข้ากอด “พระลบคิดถึงอาเหล่าม่าครับ” พระลบหอมแก้ม
อาม่ากอดหลาน
“อาเหล่าม่าก็รักลื้อ จ๋อ ๆ อาม่าหิวข้าว อาเง็กตักข้าวต้มให้อั๊ว”
ราพณ์แย้งแบบรู้ว่าอาการกำเริบ
“อาม่าเพิ่งทานข้าวต้มไปนะครับ”
อาม่ายืนยัน
“ยัง...นี่อาม่ายังหิวอยู่เลย”
ราพณ์หันไปบอกเง็ก
“อาเง็กตักน้ำข้าวต้มให้ถ้วยเล็ก ๆ ก็พอนะ”
รัตนาวลีมองอาม่าอย่างสังเกตอาการอยู่พักหนึ่ง เจ้าสัวเรียวหันมา
“นี่คือสาเหตุที่ผมไม่ได้พาม๊าไปร่วมงานแซยิดน่ะครับ ม๊าเขา...”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
อาม่าหันมาหารัตนาวลียิ้มอย่างใจดี
“อารัตนาวลีลื้อกินข้าวรึยัง อยู่กินข้าวกับม๊านะ”
เจ้าสัวเรียวกับราพณ์อึ้ง ที่อาม่าจำชื่อรัตนาวลีและเรียกได้อย่างถูกต้อง
“อาม่าจำได้เหรอครับว่าคุณวลีเป็นใคร” ราพณ์ถามอย่างสงสัย
“จำได้สิ นี่เมียอาเรียว ซิมปู๋ของอาม่า ลื้อจำไม่ได้เหรออาราพณ์ ยังหนุ่มแท้ๆ แค่นี้ก็จำไม่ได้ อาม่าชักไม่ไหวกับลื้อแล้วนะ”
อาม่าพูดกับราพณ์จบก็หันมาทางรัตนาวลี
“ม๊ากอดรับขวัญลื้อไปรึยัง”
รัตนาวลียิ้ม
“ยังค่ะ”
“งั้นให้ม๊ากอดทีนะอารัตนาวลี”
อาม่ากอดรัตนาวลีอย่างเอ็นดูรักใคร่
“จาโบ้ว...”
“ลูกสาว...” เจ้าสัวเรียวแปลให้
“ฮ่อ...ลื้อเป็นลูกสาวม๊าอีกคนแล้วนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
รัตนาวลีกอดอาม่าตอบ เสียงโทรศัพท์ของเธอดัง เห็นว่ารสิกาโทรมา
“หม่อมแม่”
รัตนาวลีได้ยินเสียงลูกที่สั่นมากแล้วตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นลูกอ้าย”
เจ้าสัวเรียวกับราพณ์พลอยตกใจ และอยากรู้ไปด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับรสิกา
รสิกานั่งตัวสั่นอยู่หน้าห้องฉุกเฉินหน้าตาซีดเซียว สกรรจ์ส่งแก้วน้ำที่กดมาจากตู้กดน้ำให้
“ดื่มน้ำซะหน่อยนะครับ”
รสิการับมาจิบนิดเดียว
“ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะครับ”
“ค่ะ” รสิกาน้ำเสียงสั่นพร่าด้วยความกลัว
รัตนาวลี ราพณ์ เจ้าสัวเรียวเข้ามา พอรัตนาวลีเห็นรสิกาก็หันมาทางเจ้าสัวเรียวและราพณ์
“ฉันขอเข้าไปหาหญิงอ้าย...”
เจ้าสัวเรียวเข้าใจ
“ผมจะรออยู่ตรงนี้ ตอนนี้คุณหญิงต้องการคุณมากที่สุด”
รัตนาวลีมองเจ้าสัวเรียวอย่างขอบคุณที่เขาเข้าใจ เจ้าสัวเรียวบีบไหล่ของเธอเบาๆให้กำลังใจ แล้วรออยู่กับราพณ์ รัตนาวลีเข้าไปหารสิกา
“ลูกอ้าย...”
รสิกาหันมาเห็นรัตนาวลี แล้วเหมือนความอัดอั้น ความกลัวทั้งหมดที่พยายามเก็บอาการปะทุออกมา เธอโผเข้ากอดแม่แน่น
“หม่อมแม่ อ้ายขับรถชนคน เขาจะตายหรือเปล่า อ้ายกลัวค่ะ”
“ตั้งสติก่อนลูกอ้าย แม่อยู่นี่แล้วนะ ไม่ต้องกลัวนะ แล้วคนที่โดนชนล่ะลูก”
รัตนาวลีกอดลูกไว้ และพยายามให้ตั้งสติ สกรรจ์เข้ามาบอก
“ตอนนี้คนเจ็บยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเลยครับ”
รัตนาวลีหันมามองสกรรจ์ แล้วหันมามองรสิกาเหมือนเป็นคำถามว่าเขาเป็นใคร
“เขาช่วยอ้ายไว้ตอนเกิดเรื่องน่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณ...เอ่อ”
“ผมนาวาโทสกรรจ์ รัตนชัยครับ คุณ...”
“ดิฉัน ม.ร.ว.รสิกา ประกาศเกียรติค่ะ”
สกรรจ์ให้เกียรติอย่างจริงใจ
“คุณหญิงรสิกา”
“เรียกอ้ายก็ได้ค่ะ”
รสิกาแสดงสายตาที่อ่อนโยน และรู้สึกขอบคุณสกรรจ์อย่างจริงใจ เจ้าสัวเรียวกับราพณ์ยืนสังเกตการณ์ห่างๆ ราพณ์แสดงอาการไม่ค่อยพอใจ เจ้าสัวเรียวแอบจับสังเกตลูกชาย
“พูดดีๆ กับคนอื่นก็เป็นนะคุณหญิง” ราพณ์ประชดไม่พอใจนิด ๆ
“แต่ไม่ยอมพูดกับเรา...ใช่ไหม” เจ้าสัวเรียวมองหน้าลูกชาย “ใช่ไหมราพณ์”
ราพณ์ไม่ตอบ เจ้าสัวเรียวมองรู้ว่าลูกชายไม่ค่อยพอใจที่รสิกามีอาการอันดีกับสกรรจ์ แต่ไม่เคยดีกับราพณ์
“ขอบคุณคุณสกรรจ์มากนะคะ” รัตนาวลียิ้มให้สกรรจ์
“มันเป็นหน้าที่ของทหาร ที่ต้องช่วยเหลือประชาชนทุกคนอยู่แล้วครับ”
รัตนาวลีมองสกรรจ์อย่างชื่นชม หมอออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“คนเจ็บปลอดภัยแล้วนะครับ”
รสิการู้สึกโล่งใจ
“แต่หมอช่วยลูกในท้องไว้ไม่ได้”
รสิกาตกใจ
“ผู้หญิงคนนั้นท้องเหรอคะ”
“ครับ”
หมอพูดจบก็เดินออกไปนิ่งๆ รสิกาช็อก
“อ้ายฆ่าเด็ก...”
รสิกาก็เป็นลมหมดสติ รัตนาวลีรีบเข้าพยุง
“อ้าย”
รัตนาวลีพยายามพยุงรสิกาไว้แต่ไม่ไหว สกรรจ์จะเข้าไปช่วย แต่ราพณ์เข้ามาคว้าตัวรสิกาไว้ได้ก่อน สกรรจ์หันไปบอก
“ผมจะไปตามหมอ”
ราพณ์ขัดขึ้น
“ไม่ต้องครับ ผมจะดูแลคุณหญิงรสิกาเอง ที่เหลือคงจะไม่รบกวนคุณแล้ว”
สายตาของราพณ์จริงจังจนสกรรจ์ไม่กล้าจะขัด ราพณ์อุ้มรสิกาออกไป รัตนาวลีตามไป เจ้าสัวเรียวจะตาม
“ขอโทษนะครับ” สกรรจ์พูดขึ้น
เจ้าสัวเรียวชะงักหันมา
“ผมมีเรื่องต้องแจ้งให้คุณหญิงทราบ แต่ตอนนี้คุณหญิงคงจะรับไม่ไหว”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
สกรรจ์สีหน้าหนักใจ
ราพณ์อุ้มรสิกาวางบนเตียง เผลอตัวปัดไรผมของเธอ
“คุณหญิง...” ราพณ์ห่วงไม่รู้ตัว เสียงดัง “พยาบาล พยาบาล”
พยาบาลรีบเข้ามา
“ตามคุณหมอมาดูอาการคุณหญิงที...เธอเป็นอะไร”
รัตนาวลีตามเข้ามาต่างชะงักมองท่าทีของราพณ์ เจ้าสัวเรียวตามเข้ามาหน้าเครียดแต่เห็นรัตนาวลีกำลังยืนมองราพณ์อยู่ เจ้าสัวเรียวแปลกใจ
“ราพณ์...ลื้อไปจัดการเรื่องคู่กรณีของคุณหญิงจะดีกว่า”
“แต่...”
“อยู่แล้วช่วยรักษาคุณหญิงได้หรือไง...จัดลำดับได้ใช่ไหมว่าอะไรที่ควรทำก่อนในตอนนี้”
ราพณ์ตั้งสติได้
“ครับ”
ราพณ์ออกไป รัตนาวลีมองตาม
“ฉันน่าจะห้ามไม่ให้อ้ายขับรถ ไม่น่าเลย”
“หม่อม...คุณหญิงไม่ได้ขับรถประมาทจนเกิดอุบัติเหตุนะครับ”
รัตนาวลีหันมองเจ้าสัวเรียวว่าหมายความว่ายังไง
พยาบาลพาราพณ์เข้ามาในห้องฉุกเฉิน
“คุณหมอให้เวลา10 นาทีนะคะ คนป่วยยังอ่อนแอมาก”
“ครับ”
ราพณ์หันไปมองที่คู่กรณีของรสิกาแล้วก็ต้องตกใจ
“สิริโสภา”
“คุณรู้จักคนไข้เหรอคะ”
“ครับ”
“คุณพอจะติดต่อญาติของคนไข้ได้ไหมคะ”
คำถามของพยาบาลกดทับราพณ์จนรู้สึกหนักอึ้ง เพราะเขาคือญาติคนเดียวของสิริโสภาในตอนนี้
“ครับ แล้วผมจะจัดการให้”
พยาบาลเข้าไปดูอาการของสิริโสภา ราพณ์มองอย่างทั้งสงสารและหนักใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ราพณ์หนักใจที่รู้ว่าคนเจ็บคือสิริโสภา เดินมาที่ห้องที่รสิกาพักอยู่ เห็นเจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลียืนเครียด
“ผมต้องรอคำยืนยันจากตำรวจว่ามีหลักฐานอะไรบ้าง แล้วเราจะคุยเรื่องนี้กันอีกทีนะครับ”
รัตนาวลีเครียดมาก
“ค่ะ”
ราพณ์สงสัยว่าหมายถึงเรื่องอะไรแต่ยังไม่ทันถาม รสิกาขยับตัวค่อยๆ ลืมตาฟื้นขึ้น รัตนาวลีโผเข้าไปหา
“อ้าย”
รสิกาเห็นหน้ารัตนาวลี ก็โผกอดไว้แน่น
“หม่อมแม่...อ้ายฆ่าเด็ก” รสิกาน้ำตาไหลด้วยความกลัว
รัตนาวลีปลอบ
“ใจเย็นก่อนนะลูกอ้าย”
รสิกา ไม่ได้ฟังที่รัตนาวลีพูดเลย
“อ้ายทำบาป อ้ายจะชดใช้ให้เขายังไงดี”
“อ้าย...ตั้งสตินะลูก ตอนนี้เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทำได้แค่ชดใช้ให้เขา”
“อ้ายยินดีชดใช้ให้เขาทุกอย่าง อ้ายเสียใจค่ะหม่อมแม่”
รัตนาวลีกอดปลอบโยน
“เราจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกัน”
ความหนักแน่นของรัตนาวลี ทำให้รสิกาหยุดสติแตกตั้งสติได้
“แล้วคนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะหม่อมแม่”
ราพณ์แทรกขึ้น
“ยังไม่ฟื้นครับ แต่ผมจัดการติดต่อญาติของคนเจ็บแล้ว”
รสิกามองราพณ์ว่ามายุ่งทำไมแสดงสีหน้าไม่พอใจทันที
“หม่อมแม่อย่าให้คนอื่น มายุ่งกับเรื่องของอ้ายได้ไหมคะ”
“แล้วถ้าคนเจ็บฟื้นขึ้นมา แล้วเขาแจ้งความเอาคุณหญิงเข้าคุกล่ะครับ”
รสิกาชะงักแต่ยังพยายามจะเชิดหน้าสู้
“ฉันจัดการเรื่องนี้ได้”
“มันใช่เวลาที่จะเอาทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ไหมครับ ทิฐิของคุณหญิงมันช่วยให้คุณหญิงตอบคำถามตำรวจ ช่วยให้เจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่อง ช่วยให้คิดหาทางรอดจากคุกได้แล้วใช่ไหมครับ” เจ้าสัวเรียวถามเสียงเครียด
รสิกาอึ้ง
“ฉัน...ฉัน”
เจ้าสัวเรียวมองหน้า
“แค่ตอบผมคุณหญิงยังทำไม่ได้”
รสิกาจนตรอกตอบไม่ได้ เจ้าสัวเรียวหันไปหาลูกชาย
“ราพณ์ไปเจรจากับทางโน้น เขาเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ให้เขาไป”
รสิกามองเจ้าสัวเรียวไม่ยอม
สามี ตอนที่ 2 (ต่อ)
รุ้งรายนั่งทำงานเอกสารอยู่ในคอนโด วศินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารมองๆนั่งใช้นิ้วเคาะโต๊ะอย่างหงุดหงิดต้องมานั่งเฉยๆ เพื่อนั่งมองรุ้งรายทำงาน วศินลุกจากเก้าอี้ไปยืนตรงหน้า รุ้งรายถามทั้งที่ยังไม่มอง
“มีอะไร”
“คุณยังไม่ได้บอกว่าจะให้ผมทำอะไร”
รุ้งรายยิ้มเหยียดนิดๆ
“อยู่สบาย ๆ ไม่ชอบหรือไง”
“คุณจ้างผมเป็นล้าน เพื่อให้ผมมานั่งมองคุณงั้นเหรอ”
รุ้งรายเงยหน้าจากงานมองยิ้มๆ
“อยากทำงานให้สมราคางั้นสิ ดีนะ ห่วงใยผู้บริโภค ท่าจะเก่งเรื่องค้าขาย”
“คุณรุ้งราย คุณควรให้เกียรติผมด้วย”
รุ้งรายมองที่มือวศิน เห็นว่ามือกำแน่นอย่างโกรธ ก็ผ่อนความกวนลง
“ฉันแค่พูดเล่นน่ะ...” เธอจับแขนเขาอย่างอ่อนให้เหมือนจะเอาใจแต่หลอกล่อให้
คลายลง “ฉันหิวจัง...เธอจะหาของว่างให้ฉันได้ไหม...หืม”
วศินมองรุ้งรายที่ยิ้มๆ ก็เอาใจเดินเข้าไปในครัว รุ้งรายมองตามวศินหงุดหงิดนิดๆ
“ให้ขึ้นวอสบาย ๆ ดันเป็นคางคก alert ซะนี่...หวังว่าป๊าคงจะบีบยัยคุณหญิงได้เร็วๆ นะ”
รสิกาประกาศเสียงดังฟังชัด
“หม่อมแม่คะ...อย่าให้เขามาจัดการชีวิตของอ้ายได้ไหมคะ”
ราพณ์ขัดขึ้น
“ถ้าคุณหญิงติดคุก นามสกุลประกาศเกียรติจะต้องหมองมัวเพราะการกระทำของคุณหญิง”
รสิกาอึ้งไป ชักหวาดหวั่น เจ้าสัวเรียวยิ้ม
“คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหม...ใช่ไหมคุณหญิงรสิกา”
เจ้าสัวเรียวกับรสิกา จ้องหน้ากันไม่มีใครยอมลดละ
“หม่อมแม่...อ้ายขอแก้ไขเรื่องนี้เองนะคะ”
รัตนาวลีหนักใจ
“อ้าย...”
เจ้าสัวเรียวยิ้มกับความดื้อรั้นของรสิกา
“ถ้าอย่างนั้น...ผมก็ขอตัวนะครับ”
เจ้าสัวเรียวออกไป รัตนาวลีรีบตามไป ราพณ์มองรสิกาอย่างระอากับความดื้อรั้น
“ทำให้ตัวเองลำบาก เรียกว่าฉลาดเหรอครับ”
รสิกาหันขวับ
“ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“คุณหญิงครับ เราต้องทำตัวเข้มแข็งทั้งที่ข้างในเละเป็นโจ๊ก มันดูน่าสมเพชมากกว่าชื่นชมนะครับ”
รสิกาโกรธ
“ออกไปนะ”
“ความจองหองมาเคาะประตูหน้า สติปัญญาก็โผออกประตูหลัง คิดไหมว่าถ้าคุณไม่อยู่แล้ว คนเก่าแก่ที่วังจะเป็นยังไง”
รสิกาชะงักมองเขา
“ถ้าคุณหญิงไม่อยู่ พวกที่จ้องจะยึดวังคุณหญิงก็คงจะดีใจมาก”
“หม่อมแม่ไม่มีวันยอม”
“ตอนที่คุณไม่อยู่ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้”
รสิกามองหน้าราพณ์ที่ยิ้มอารมณ์ดีแบบอยากจะข่วนให้หน้าพังเลยทีเดียว ราพณ์มองอย่างยืนยันจริงจังในสีหน้าแล้วออกไป ทิ้งให้รสิกาคิดหนัก รสิกาหยิบโทรศัพท์ จะโทรหาวศินแต่เขาปิดเครื่อง
“เกิดเรื่องตั้งมากมาย คุณอยู่ที่ไหนนะวศิน”
รุ้งรายเปิดประตูห้องเป็นห้องถัดไปที่เปิดให้วศินอยู่ วศินมองว่าหมายความว่ายังไง
“เธอนอนห้องนี้”
วศินไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงต้องแยกห้องกันครับ”
“ฉันพอใจ”
วศินยิ่งงง
“คุณรุ้ง คุณจ่ายเงินจ้างผมให้มาทำอะไรกันแน่”
“คิดว่าฉันให้เธอมากินตำแหน่งผู้ชายส่วนตัว ในห้องนอนฉันงั้นเหรอ”
“แล้วคุณจ่ายเงินให้ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันมัน ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นเหรอครับ”
“ฉันก็ลืมไปว่าผู้ชายจะมีสักกี่เรื่องล่ะนะ เงิน เซ็กส์...แต่ฉันจ่ายให้เธอเพื่อซื้อความพอใจของฉัน เธอมีหน้าที่ทำให้ฉันพอใจด้วยการทำตามคำสั่ง”
วศินมองรุ้งรายอย่างไม่เข้าใจแต่เห็นสายตากร้าวของเธอก็รู้ว่ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น
“ครับ...”
วศินถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในห้อง รุ้งรายมองตามอย่างพอใจ
รสิกากับรัตนาวลีเข้ามาหน้าห้องคนไข้ของสิริโสภา
“อ้ายน่าจะพักก่อนนะลูก”
มานพเข้ามา มองหน้ารัตนาวลีจำได้ว่าคือภรรยาของเจ้าสัวเรียวแต่ก็นิ่ง เล่นตามบทที่ได้รับมอบหมายจากราพณ์
“พวกคุณเป็นใคร เข้ามาในห้องน้องสาวผมทำไม”
“คุณคงเป็นพี่ชายคนเจ็บ” รสิกายกมือไหว้ “ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องเสียหลานไป”
“คุณมารู้สึกผิดตอนนี้ แล้วมันช่วยอะไรได้”
รสิกาหน้าเสีย
“ฉันขอโทษจริง ๆ นะคะ ฉัน...”
“กองคำขอโทษมักง่ายของคุณไว้ตรงนั้น แล้วก็ไปให้พ้น”
“ขอให้ฉันได้เข้าไปเยี่ยมน้องสาวคุณได้ไหมคะ”
“ไว้ไปเจอกันที่โรงพักก็แล้วกัน คุณติดคุกหัวโตแน่”
รัตนาวลีตกใจ
“คุณคะอย่าให้เรื่องมันถึงขนาดนั้นได้ไหมคะ เรายินดีชดใช้ให้คุณทุกอย่าง”
มานพมองหน้ารัตนาวลี แม้จะรู้สึกเกรงใจแต่ก็ต้องแสดงต่อ
“ชีวิตหลานผม คุณจะเอาอะไรมาชดใช้”
“แต่คุณคะ”
มานพตัดบท
“ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าอยากจะชดใช้ก็เตรียมเงินไว้ห้าล้าน”
มานพพูดแล้วก็รอดูอาการทั้งสองแม่ลูก ก่อนจะมองหน้ารสิกา
“ไม่งั้นคุณติดคุกแน่”
รสิกาอึ้งพูดอะไรไม่ออก พยาบาลออกมา
“คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”
มานพรีบเข้าไป รสิกาจะตาม มานพหันกลับมาสั่งพยาบาล
“ห้ามใครตามเข้าไปทั้งนั้นนะคุณพยาบาล”
มานพเข้าห้องไป รสิกากับรัตนาวลีได้แต่ยืนรอหน้าห้อง
มานพเข้ามาในห้อง
“คุณสิเป็นยังไงบ้างครับ”
สิริโสภาคลำท้องตัวเอง
“คุณนพ ลูกของฉัน...”
“หมอบอกว่าพยายามช่วยสุดความสามารถแล้วแต่ว่า” มานพบอกอย่างลำบากใจ
สิริโสภาเข้าใจทันทีว่าแท้งลูกแล้ว เธอเสียใจมาก
“ไม่จริงใช่ไหมคุณนพ”
“คุณใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”
สิริโสภารู้สึกเหมือนโลกพังทลายลงตรงหน้า การมีลูกคือสิ่งที่จะทำให้ราพณ์เห็นความสำคัญ คือความหวังทั้งหมดของเธอ สิริโสภาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ไม่จริงใช่ไหม คุณล้อฉันเล่นใช่ไหม”
“สงบสติก่อนเถอะครับคุณสิ ตัวคุณเองก็กำลังเจ็บ”
สิริโสภากรีดร้อง
“ไม่จริง ลูกฉันต้องไม่ตาย ไม่จริง”
รสิกาเข้ามาจนได้ รัตนาวลีตามเข้ามายืนอึ้ง มานพหันไปตวาด
“พวกคุณเข้ามาทำไม”
“ฉันอยากจะขอโทษ เพราะฉันทำให้ลูกของคุณ...”
สิริโสภามองรู้ว่ารสิกาคือคนที่ขับรถชนเธอ
“คุณฆ่าลูกฉันทำไม”
“ฉัน...”
รสิกาจะก้าวเข้าไปหา
“คุณมันฆาตกร”
รสิกาเข้าไปหาพยายามจะขอโทษ
“คุณสิคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ฉันขอโทษ”
“ฆาตกร” สิริโสภาคลั่งขึ้นมาแล้วจับตัวรสิกาเขย่าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “เอาลูกฉันคืนมา เอาคืนมา”
มานพกับรัตนาวลีตกใจที่เห็นสิริโสภาคลุ้มคลั่งด้วยความเสียใจ รสิกาพยายามจะจับมือสิริโสภาหวังจะปลอบให้สงบ
“คุณสิคะ”
รสิการู้สึกกดดันมากน้ำตาร่วง สัมผัสได้ถึงความเสียใจของสิริโสภา ขณะเดียวกันนั้นสิริโสภาก็ตบตีตัวรสิกาด้วยความโกรธ
“เอาชีวิตลูกฉันคืนมา เอาคืนมา”
มานพเข้าไปพยายามกอดสิริโสภาไว้ไม่ให้ตีรสิกา
“พอได้แล้ว พอแล้ว”
แล้วสิริโสภาก็ร้องไห้หนักเจียนจะขาดใจ
“ลูกแม่...”
เสียงร้องไห้ของสิริโสภาทำให้รสิกาเจ็บปวดน้ำตาคลอ รู้สึกความผิดท่วมท้น รัตนาวลีมองรสิการู้ว่าลูกเจ็บปวดมากก็สงสาร มานพรู้สึกสงสารทั้งรสิกาและสิริโสภา
เย็นนั้น สิริโสภานอนน้ำตารินยังร้องไห้ไม่หยุด มานพยืนอยู่ข้างเตียงมองอาการอย่างกังวล
“คุณสิ คุณควรจะทานอะไรบ้างนะ ตั้งแต่คุณฟื้นยังไม่ได้ทานอะไรเลย ถ้าคุณเป็นอะไรไป...”
สิริโสภาหันหน้าไปอีกด้าน พูดโดยที่ไม่มองหน้ามานพ
“มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ฉันเสียลูก...แล้วก็คงเสียคุณราพณ์ไปแล้ว”
มานพรู้เหตุผลดี
“คุณก็ไม่น่าทำ...ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว”
ราพณ์เข้ามาอย่างเงียบๆ มานพเห็นจะทัก แต่ราพณ์ส่งสัญญาณไม่ให้ส่งเสียงทัก
“ฉันฝ่าฝืนคำสั่งคุณราพณ์ ฉันปล่อยให้ตัวเองท้อง จนถึงตอนนี้เขายังไม่มาหาฉัน เขาคงไม่อยากเห็นหน้าฉันอีกแล้ว” สิริโสภาร้องไห้
ราพณ์หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้มานพออกไป เสียงประตูปิด สิริโสภาคิดว่าตนเองอยู่คนเดียวจะหันมองให้แน่ใจ แต่แล้วก็ชะงักที่เห็นว่าราพณ์ยืนอยู่
“คุณราพณ์”
ราพณ์เข้ามายืนข้างเตียงใช้มือลูบหัวเธอเบาๆ
“เจ็บตรงไหนบ้าง”
“คุณราพณ์” เธอจับมือเขามาแนบแก้ม “สิขอโทษ...ยกโทษให้สินะคะ”
ราพณ์โอบให้ซบไหล่ไว้หลวม ๆ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ผมอยากให้คุณดูแลตัวเองนะ จะได้หายเร็ว ๆ”
“สิขอโทษค่ะ สิอยากมีลูกเพราะถ้าวันหนึ่งคุณสั่งให้สิไปจากชีวิตคุณ สิอยากมีตัวแทนของคนที่สิรัก...สิขอโทษนะคะ” สิริโสภาร้องไห้
ราพณ์สงสาร เช็ดน้ำตาให้
“ไว้คุณออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราไปทำบุญกันดีไหม”
สิริโสภาไม่ได้พอใจกับฐานะนี้แต่จังหวะนี้เลือกอะไรไม่ได้ เธอเข้ากอดเขาอย่างขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะที่คุณให้โอกาสสิ”
“สิครับ...ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องสินะ”
สิริโสภามองหน้าเขา
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องคุณหญิงรสิกา”
“คุณรู้จักเขาด้วยเหรอคะ”
ราพณ์มองสิริโสภาเตรียมเกลี้ยกล่อมเต็มที่
เจ้าสัวเรียวเดินเข้ามาในห้องรับแข็ก รัตนาวลีตามมา
“เจ้าสัวช่วยหญิงอ้ายด้วยนะคะ”
“คุณวลี...คุณก็รู้ว่าคนอย่างคุณหญิงจะไม่ยอมลงให้ใครง่าย ๆ เพราะทิฐิมันค้ำคอ ไม่เจอ...ไม่จำ...ไม่เจ็บ...ไม่สำนึกก็จะไม่เห็นหัวใคร...คนที่ไม่เห็นค่าของคนอื่นในสายตา ก็จะไม่มีใครเห็นค่าของเขาเหมือนกัน คุณว่าจริงไหม”
รัตนาวลีอึ้งอย่างยอมรับ
“แต่คุณวลีไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไม่ยอมให้คุณหญิงติดคุกแน่นอน”
รัตนาวลีมองอย่างตัดสินใจ
“ค่ะ ฉันเชื่อคุณ คืนนี้ฉันขอไปอยู่เป็นเพื่อนหญิงอ้ายนะคะ แล้วเรื่องที่หญิงอ้าย...”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม
“ครับ เรื่องอื่นคุณไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะจัดการให้เองนะครับ”
รัตนาวลียิ้มอย่างขอบคุณแล้วเดินขึ้นไปด้านบน เง็กเข้ามา
“ท่านเจ้าสัวคะ”
เจ้าสัวเรียวหันมาเห็นตำรวจ ก็โบกมือให้เง็กออกไป
“ผลพิสูจน์ในที่เกิดเหตุ เป็นยังไงบ้างครับ”
เจ้าสัวเรียวรอตำรวจเล่าข้อมูลอย่างเคร่งเครียด
ค่ำนั้น ราพณ์หันมามองเจ้าสัวเรียวอย่างไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“มีคนจะเก็บคุณหญิงเหรอครับ”
“มองออกใช่ไหมว่าใคร...”
ราพณ์คิดชั่วขณะแล้วหัวเสีย
“เพราะวังประกาศเกียรติใช่ไหมครับ”
“ใช่...”
“ต่อไปนี้เราไม่ควรปล่อยให้คุณหญิงคลาดสายตา...ที่วังก็มีแต่ผู้หญิงกับคนแก่ ให้หม่อมวลีเกลี้ยกล่อมให้คุณหญิงมาอยู่ที่บ้านเราดีไหมครับ จะได้ช่วยกันดูแลได้”
“ถ้าในฐานะลูกเลี้ยงแค่นั้นไม่พอหรอก”
หน้าห้อง กิมยกน้ำชามาให้เจ้าสัวเรียว ชะงักแอบฟัง
“ป๊าหมายความว่ายังไงครับ”
“ป๊าต้องการให้คุณหญิงเข้ามาอยู่ในบ้านเราในฐานะลูกสะใภ้”
ราพณ์ตะลึง
“คุณหญิงเป็นผู้หญิงที่เก่งและแกร่ง ถ้าเข้ามาเป็นสะใภ้ ป๊าก็วางใจว่าอีกหน่อยคุณหญิงคงช่วยดูแลกิจการและทรัพย์สมบัติของป๊าได้เป็นอย่างดี”
ราพณ์ตื่นเต้นจนพูดไม่ออกคิดว่าต้องแต่งกับตัวเองแน่ กิมตกใจรีบเดินหนีแล้วหยิบมือถือขึ้นมาหามุมโทรออกทันที
โบตั๋นฟังโทรศัพท์ มือกำโทรศัพท์แน่นอย่างแค้นจัด
“สมบัติของฉัน...ต้องเป็นของฉันเท่านั้น”
โบตั๋นคิดแผนร้าย
ในสวนคฤหาสน์เจ้าสัวเรียวของเช้าวันใหม่...ราพณ์ในชุดจ็อกกิ้งใส่หูฟังวิ่งเข้ามาหยุดที่มุมหนึ่ง เขาขยับยืดเส้นยืดสายยิ้มพลางฮัมเพลงรัก อย่างอารมณ์ดีไม่น้อย ราพณ์หันกลับมาชะงักที่เห็นรุ้งรายยืนมองอยู่
“จ้องเฮียทำไม”
“ก็มองของแปลก นายราพณ์ ลิ้มวัฒนาถาวรกุล ว่าที่ประธานเครือ LVK ว่างมาฮัมเพลงรัก อารมณ์ดีแบบนี้มีเรื่องดี ๆ แน่ บอกรุ้งได้ไหมเฮียว่าเรื่องอะไร”
ราพณ์ยิ้ม
“ให้มันแน่นอนก่อน”
“เฮียยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนี้ ต้องเป็นเรื่องคุณหญิงแน่ๆ บอกรุ้งมาเถอะน่า”
ราพณ์ยิ้มไม่ตอบ รุ้งรายมองพี่ชายพลอยยิ้มชอบใจไปด้วย แล้วเธอก็ชะงักที่เห็นโบตั๋นกำลังเดินเข้าไปในบ้าน
“คุณโบตั๋น มาแต่เช้า หวังว่าจะไม่เอาเรื่องปวดหัวมาให้ป๊านะ”
ราพณ์มองตามห่วงเจ้าสัวเรียวเหมือนกัน
เจ้าสัวเรียวอยู่ในห้องทำงานอึ้งกับคำขอของโบตั๋น
“เธอจะขอให้ฉันจัดการให้คุณหญิงแต่งงานกับราม”
“ค่ะ ก็ถ้าเจ้าสัวอยากได้คุณหญิงเป็นสะใภ้ จะแต่งกับลูกชายคนไหนมันก็สะใภ้เหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนเพราะเจ้าสัวรักราพณ์มากกว่ารามใช่ไหมคะ เจ้าสัวลำเอียง”
“ฉันรักลูกเท่ากันทุกคน”
“ถ้ารักเท่ากัน ทำไมเจ้าสัวถึงไม่คิดมอบสิ่งดีๆ ให้รามมันบ้าง ไล่ให้มันไปอยู่เมืองนอกเพราะอายที่ลูกป่วย แต่งงานใหม่ก็ลืมลูกลืมเมีย กิจการก็ให้ราพณ์ดูแล แล้วรามล่ะคะได้อะไร”
“ฉันส่งลูกไปรักษา เงินทองฉันก็ให้ไม่ขาดทั้งเธอกับลูก”
“เจ้าสัวจะเลี้ยงรามด้วยเงินใช่ไหมคะ ความปรารถนาดี ความรัก เจ้าสัวเคยให้ลูกบ้างไหมคะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นคุณหญิงรสิกา”
โบตั๋นตีหน้าเศร้าสุดฤทธิ์
“โบตั๋นสงสารลูก เกิดมาเป็นลูกชายแต่ก็ไม่ใช่ลูกชายคนโตที่เจ้าสัวจะเห็นค่า ตัวโบตั๋นก็ไม่มีสมบัติอะไรให้ลูกภูมิใจ รามบ่นน้อยใจเสมอที่ดูไม่มีค่าในสายตาของเจ้าสัว สิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะคนหรือของ ราพณ์ต้องได้ก่อนเสมอ เคยไหมคะที่เจ้าสัวจะนึกถึงราม เคยไหม”
เจ้าสัวอึ้งไปนิดเพราะเป็นความจริง
“เพราะรามไม่ใช่ลูกชายคนโตใช่ไหมคะ ถึงต้องถูกมองข้ามครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเจ้าสัวทำให้ลูกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ โบตั๋นจะบอกรามให้ว่าป๊าของเขารักเขามากแค่ไหน”
โบตั๋นจะไป เจ้าสัวเรียวเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
โบตั๋นชะงักไม่ได้หันไป เจ้าสัวเรียวเครียดที่ถูกกดดัน โบตั๋นยิ้มอย่างพอใจว่าสำเร็จแน่
ธีรพัฒน์เดินนำรสิกา เข้ามาในโซนห้องอาหารของโรงแรมของเขา
“ผมอยากจะรีโนเวทห้องอาหารไทยน่ะครับ ปีหน้านักท่องเที่ยวจากทางยุโรปจะเพิ่มขึ้น ผมอยากจะขยายพื้นที่ทางด้านนี้ออกไป แล้วอยากให้ตกแต่งตามแนวคิดคุณหญิงเรื่องใช้ผ้าไทยลุคทันสมัย กลมกลืนจนไม่รู้สึกว่ายัดเยียดน่ะครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอเวลาสักหนึ่งเดือนจะนัดพรีเซนต์นะคะ”
“ดีครับ นี่ก็เที่ยงแล้ว ทานอาหารกลางวันด้วยกันก่อนนะครับ เผื่อจะคุยไอเดียเพิ่มเติม”
“ได้ค่ะ”
“แล้วคุณวศินล่ะครับ เชิญมาทานด้วยกันเลย”
“วันนี้ฉันมาคนเดียวน่ะค่ะ”
ธีรพัฒน์แปลกใจแล้วไม่คิดเสียมารยาทถาม
“เชิญทางนี้ครับ ผมให้พนักงานจัดโต๊ะไว้แล้ว”
ธีรพัฒน์เดินนำ รสิกาก้าวตาม เสียงราพณ์ดังขึ้น
“ธี”
ธีรพัฒน์กับรสิกาชะงักหันมา รสิกาแปลกใจที่เห็นเขา
“คุณ”
“ไอ้ราพณ์ มาได้เวลามากเลยนะ”
“ก็ว่าจะมาให้เจ้าของโรงแรมเลี้ยงข้าวฟรีสักหน่อย”
รสิกาชะงัก
“คุณธีกับคุณราพณ์เป็น...”
ธีรพัฒน์ยิ้ม
“เพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยครับ...ฉันกำลังจะเชิญคุณหญิงไปทานกลางวันพอดี ไปทานด้วยกันสิ”
“ยินดีมาก” ราพณ์ยิ้ม
รสิกาไม่อยากกินด้วย
“คุณธีคะ พอดีฉัน...”
ราพณ์รีบขัดเบาๆ กับรสิกา
“คิดจะหนีใช่ไหมครับ”
รสิกาหน้าตึง จ้องหน้าราพณ์ที่ยิ้มกวนโทสะ
“ฉันอยากลองชิมอาหารที่นี่ เหมือนกัน เผื่อได้แรงบันดาลใจในการออกแบบน่ะค่ะ”
ธีรพัฒน์งงกับท่าทีของราพณ์และรสิกา
“เชิญครับ”
ธีรพัฒน์เดินนำไป รสิกาเชิดนิด ๆ พยายามแสดงให้เห็นว่าไม่แคร์ ราพณ์มองตามชอบใจที่ทำให้เธอยอมอยู่ได้
บนโต๊ะอาหารมีอาหารไทยทั้งน้ำพริกปลาทูเซ็ทใหญ่ ขนมจีนแกงเขียวหวานผัดผักรวมมิตรจัดสวยงาม ธีรพัฒน์นั่งตรงข้ามกับรสิกาและราพณ์ ที่ตั้งใจลงนั่งข้างๆ อย่างจงใจ
“ผมให้เชฟเน้นรสชาติเป็นแบบอาหารไทยแบบต้นตำรับ ที่ลดคือความเผ็ด แต่จะไม่ปรับรสชาติให้อ่อนจนเสียรส เพราะเราควรจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ปรับตามกระแสจนทำให้เสียความเป็นไทยไปจริงไหมครับ”
รสิกายิ้ม
“ฉันเห็นด้วยค่ะ เพราะที่ชาวต่างชาติบินมาเมืองไทยเพื่อทานผัดไทย ต้มยำกุ้ง ทั้งที่ก็มีร้านอาหารในต่างประเทศไม่น้อย มาแล้วไม่ได้เจอต้นตำรับก็เปลืองค่าเครื่องบินนะคะ”
พนักงานโรงแรมยกแกงจืดลูกรอกชามใหญ่เข้ามาวางที่โต๊ะเล็กข้างๆ แล้วจัดแจงตักใส่ถ้วยแบ่งเล็ก ๆสำหรับแต่ละคน ราพณ์แซว
“เหมือนคุณหญิงใช่ไหมครับ นามสกุลผู้ดีต้นตำรับ”
“ค่ะ แล้วฉันก็ภูมิใจในนามสกุลของฉันมาก”
“ใช้นามสกุลเดิม ๆ มันคงจำเจนะครับ หม่อมท่านเลยลองเปลี่ยนมาใช้ลิ้มวัฒนาถาวรกุล แล้วคุณหญิงไม่อยากลองเปลี่ยนบ้างเหรอครับ”
พนักงานตักเรียบร้อยแล้วจัดถ้วยแกงจืดที่แบ่งแล้วใส่ถาดจะขยับมาเสิร์ฟ รสิกาโกรธ ลุกพรวด
“หยาบคาย”
จังหวะที่รสิกาลุกเป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานขยับเข้ามาจะเสิร์ฟ รสิกาชนกับถาดที่พนักงานถือจนถ้วยน้ำแกงร้อน ๆ หกใส่แขนรสิกา
“โอ้ย”
พนักงานตกใจ
“ขอโทษค่ะ”
ราพณ์กับธีรพัฒน์ก็ตกใจ
“คุณหญิง”
ราพณ์รีบเข้ามาจับที่แขนรสิการู้ว่าน้ำแกงร้อนมาก
“ไปล้างก่อนนะ ไอ้ธีเอายาทาแก้น้ำร้อนลวกให้ด้วย”
ธีรพัฒน์หันไปสั่งพนักงาน
“เก็บให้เรียบร้อยนะ”
ธีรพัฒน์ออกไป ราพณ์รีบพารสิกาไปทันที
ราพณ์พารสิกาเข้ามาในห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำอันที่ติดกับผนังด้านข้างล้างมือรสิกาอย่างรีบร้อน เขาพูดอย่างอ่อนโยน
“ ร้อนมากใช่ไหมครับ แสบหรือเปล่า”
“แสบสิ ล้างเบาๆ หน่อยสิคุณ”
รสิกาหน้าแหยนิด ๆ ราพณ์มองยิ้มที่เห็นเธอแสบจนลืมเชิด เขาค่อยๆ ใช้น้ำลูบล้างให้อย่างเบามือ อ่อนโยน รสิกาชะงักมองราพณ์ที่ดูอ่อนโยน ราพณ์หันมาสบตา รสิกาได้สติพยายามจะดึงมือออก
“ปล่อย ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงฉัน”
ราพณ์มองจริงจังแล้วยิ้ม
“แต่ผมห่วงคุณ...”
รสิกาชะงัก
“หะ”
ราพณ์รู้ตัวว่าหลุดแถไป
“ผมแค่ห่วงคุณตามมารยาท เห็นผู้หญิงเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือก็เท่านั้น หรือคุณคิดว่าผมคิดอะไร” ราพณ์ยิ้มกวนใส่
“ไม่”
“แต่ตอนนี้ผมอยากห่วงคุณแล้วนี่ ขออนุญาตให้ผมห่วงคุณ” ราพณ์แกล้งใกล้
เข้าไปอีกนิด “ได้ไหมครับ”
ราพณ์ขยับหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ รสิกาไม่เคยเจอผู้ชายใกล้มากขนาดนี้มาก่อน ขยับถอยแต่ติดผนัง ทำให้เธอได้สติแล้วสายตาแข็งกร้าว
“อย่ามารุ่มร่ามกับฉันนะ”
ราพณ์ได้สติขยับห่างออกมาแต่ยังไม่ปล่อยมือ
“ปล่อยมือฉันได้แล้ว”
ราพณ์ขยับไปดึงกระดาษเช็ดมือมาเช็ดให้อย่างเบามือแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อย
“ฉันบอกว่าให้ปล่อยมือฉันได้แล้ว ได้ยินไหมคะ”
ราพณ์ทำหูทวนลมแล้วจูงมือรสิกาออกไป
“นี่คุณ”
รสิกาต้องไปตามแรงดึง
ราพณ์พารสิกามาที่โต๊ะอาหารจับให้เธอนั่งลง ธีรพัฒน์ส่งยาให้ ราพณ์จะทายา
“ไม่ต้องค่ะ ฉันทาเองได้”
“มันใช่เวลาอวดเก่งไหม”
รสิกาฉุนกึก
“นี่คุณ...”
“คุณนั่งเฉยๆ ผมจะทายาให้ไม่งั้นมันจะพอง”
“แต่ฉัน...”
ราพณ์เหมือนพี่ชายดุน้อง
“อย่าดื้อสิครับ”
รสิกาเสียงเขียว
“อย่าพูดเหมือนฉันเป็นเด็ก ๆ นะ”
“คุณน่ะเด็ก...เด็กดื้อ”
รสิกาจะขืน แต่ราพณ์จับแน่นไม่ปล่อยแล้วก็ทายาแบบไม่สนใจอาการแข็งขืนของเธอ ราพณ์สบตากับธีรพัฒน์ เห็นสายตาล้อเลียนของเพื่อน เขาทำไม่สนใจมองรสิกายิ้มๆ
รัตนาวลีเดินออกมาด้านนอกมองหาเจ้าสัวเรียว เห็นเดินอยู่ในสวนท่าทางเครียดมาก เธอเดินไปหา เจ้าสัวเรียวยังไม่สามารถปัดเรื่องที่ลินดาพูดออกไปจากหัวได้
‘ลินดาสงสารลูก เกิดมาเป็นลูกชายแต่ก็ไม่ใช่ลูกชายคนโตที่เจ้าสัวจะเห็นค่า ตัวโบตั๋นก็ไม่มีสมบัติอะไรให้ลูกภูมิใจ รามบ่นน้อยใจเสมอที่ดูไม่มีค่าในสายตาของเจ้าสัว สิ่งดี ๆ ไม่ว่าจะคนหรือของราพณ์ต้องได้ก่อนเสมอ เคยไหมคะที่เจ้าสัวจะนึกถึงราม เคยไหม’
สามี ตอนที่ 2 (ต่อ)
เจ้าสัวเครียดจี๊ดขึ้นสมอง มีอาการปวดหัวจนทรุด รัตนาวลีตกใจรีบวิ่งเข้ามาประคองเจ้าสัว
“เจ้าสัวคะ...ปวดหัวเหรอคะ”
“ครับ...”
“เมื่อเช้าฉันให้คุณทานยาแล้วนี่คะ”
“ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
“ไม่หน่อยหรอกค่ะ ถ้าเครียดจนความดันขึ้นแบบนี้ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เรื่องคุณหญิงน่ะครับ”
“ทำไมเหรอคะ หรือว่ามีหลักฐานเอาผิดคุณประสิทธิ์แล้ว”
“ยังครับ...เกิดเหตุทั้งสองครั้ง คนร้ายหนีไปได้ เราไม่มีทั้งพยานหลักฐานที่จะสาวไปถึงประสิทธิ์ได้”
“ฉันเป็นห่วงหญิงอ้าย ที่วังก็มีแต่ผู้หญิง ตอนนี้วศินก็หายหน้าไป หญิงอ้ายไปไหนมาไหนคนเดียว ฉันไม่สบายใจเลย”
“ถ้าคุณหญิงได้ชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวผม เป็นเหมือนลูกสาว คนที่คิดร้ายกับคุณหญิงก็คงเกรงกลัวกันบ้าง”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ หญิงอ้ายไม่ยอมเป็นลูกสาวของคุณเด็ดขาด”
“แล้วถ้าเป็นลูกสะใภ้ล่ะครับ”
รัตนาวลีอึ้ง
“ถ้าคุณหญิงแต่งงานกับราม ลูกชายของผม การที่เราจะปกป้องคุณหญิงก็จะง่ายขึ้น”
รัตนาวลีลำบากใจ
“ฉันคงต้องให้หญิงอ้ายเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ ชีวิตของเขาเขาต้องเป็นคนเลือกเองค่ะ”
“หมายความว่าถ้าคุณหญิงตกลง หม่อมก็ไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ”
“ฉันตอบไม่ได้ค่ะ เพราะฉันยังไม่เคยเจอคุณราม เจ้าสัวเป็นอย่างไรฉันเชื่อว่าฉันรู้ แต่กับคุณราม ฉันคงต้องขอเวลาทำความรู้จักก่อนน่ะค่ะ”
เจ้าสัวเรียวยิ้มให้รัตนาวลี คิดพยายามหาทาง
อเมริกายามค่ำคืน...ประตูห้องพักปิ๋ม ลูกสาวท่านทูต ถูกเคาะจากธรรมดาจนแรงขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นทุบ เตะ
“คุณปิ๋ม เปิดประตู เปิด” รามโวยวาย
ปิ๋มในสภาพที่ยังงัวเงียใส่เสื้อคลุม มองที่ประตูอย่างรำคาญ เสียงทุบยังดังต่อเนื่อง ปิ๋ม โมโห กระชากประตูเปิด รามอยู่ที่หน้าประตูจากโวยวายเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้กับปิ๋ม
“สำหรับคุณครับ”
“นี่มันกี่โมงแล้วคุณราม” ปิ๋มหงุดหงิด
รามอารมณ์ดี
“ดอกไม้ครับ”
ปิ๋มใกล้จะหมดความอดทนเต็มที
“คุณราม เลิกตื้อฉันสักทีได้ไหม ฉันไม่ได้ชอบคุณ”
“อย่าเสียงดังสิครับ...คุณปิ๋ม คุณควรจะภูมิใจที่ผม ราม ลิ้มวัฒนาถาวรกุลให้เกียรติมาจีบคุณ มีผู้หญิงตั้งหลายคนที่อยากได้โอกาสนี้ ผมกำลังให้โอกาสคุณนะ”
ปิ๋มรำคาญในความขี้โอ่ของรามเต็มที
“ถ้าคุณคิดว่าคุณแน่มากขนาดนั้นก็เชิญไปจีบคนอื่นเถอะ ฉันไม่สน”
ปิ๋มปิดประตูใส่หน้า ปัง รามหัวเสีย
“คุณปิ๋ม...คุณปิ๋ม”
รามพยายามอยู่สักพักเห็นว่าไม่เปิดแน่แล้วหงุดหงิดมองประตูจะเอายังไงดี ฝรั่งชายข้างห้องออกมามองไม่พอใจ รามมองแบบมีปัญหาอะไรมะ ฝรั่งชายส่ายหน้าเซ็งเข้าห้องไป ทันใดนั้นเสียงหญิงฝรั่งคนหนึ่งดังขึ้น
“Hi...”
รามหันกลับมาเห็นผู้หญิงฝรั่งยืนอยู่หน้าห้องอีกด้าน กระดิกนิ้วเรียกอย่างมีความหมาย รามคิดแค่ชั่วขณะแล้วเดินไปหาหญิงฝรั่งโอบเอวเธอ สองคนพากันเข้าห้องไป รามทิ้งดอกไม้ไว้ในถังขยะหน้าห้องอย่างลืมสิ้นว่ามาที่นี่ทำไม
รสิกาเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นนั่งแล้วจะปิด แต่มือของราพณ์เข้ามายั้งไว้ซะก่อน รสิกาตกใจแต่พอเห็นว่าเป็นราพณ์ก็หน้าตึงใส่
“คุณมีอะไรอีก”
“คุณขับรถไหวหรือเปล่า”
“ฉันขับมาได้ ก็ขับกลับเองได้”
ราพณ์ก้มลงมายิ้มกวน ๆ
“ก็คุณเจ็บมือ...ให้ผมขับรถให้ไหม รับรองว่านิ่มจนคุณต้องติดใจ”
“ไม่จำเป็น”
รสิกาจะปิดแต่แรงสู้ราพณ์ไม่ไหว
“ลองหน่อยเถอะคุณหญิง”
“คุณจะปล่อยไหม”
ราพณ์ยิ้มกวน
“ไม่...”
รสิกาโกรธตัดสินใจสตาร์ทรถ ยังไม่ทันที่ราพณ์จะตั้งตัว รสิกาออกรถทันทีจนราพณ์เกือบล้ม รถรสิกาพุ่งออกไปแล้วจอดเอี๊ยด เธอยื่นหน้าหันมามองยิ้มสะใจแล้วดึงประตูปิดปังขับรถออกไป
ราพณ์มองตามยิ้มพอใจ
“เด็กดื้อ...”
เสียงมือถือราพณ์ดังเขากดรับ
“ครับป๊า...ผมจะรีบกลับครับ”
ราพณ์เดินเข้ามา ในห้องทำงาน เจ้าสัวเรียวนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก
“ป๊าเรียกผมมาด่วน มีเรื่องอะไรครับ”
เจ้าสัวเรียวมองราพณ์อย่างหนักใจแต่จำต้องพูด
“เรื่องป๊าอยากได้คุณหญิงมาเป็นสะใภ้ ลื้อเห็นว่ายังไง”
ราพณ์ยิ้มคิดว่าหมายถึงทาบทามมาให้ตัวเอง
“ผม...”
เจ้าสัวเรียวรีบแทรก
“คุณสมบัติแบบนี้ น่าจะเหมาะกับเจ้ารามนะ”
ราพณ์ชะงัก
“คุณหญิงเป็นคนเข้มแข็ง ทุกวันนี้ก็ทำงานหาเงินเลี้ยงคนทั้งวัง กตัญญูใจเด็ดแบบนี้ป๊าชอบ อ่อนแออย่างราม ถ้ามีคุณหญิงคอยดูแล ป๊าก็คงหมดห่วง”
ราพณ์ใจหาย รู้สึกถูกตาต้องใจรสิกาแล้ว เขาพยายามหาเหตุผลมาค้าน
“จะดีเหรอครับ รามมันเอาแต่ใจนะป๊า”
“ก็นี่ล่ะต้องได้คู่เด็ดขาดเก่งทั้งบู๊และบุ๋นมันถึงจะดี เผื่อว่าไอ้อาการบ้า ๆ ของมันจะดีขึ้นบ้าง”
เจ้าสัวเรียวนิ่งเครียด เพราะรามเป็นโรคใบโพล่าร์ อาการผิดปกติของอารมณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าขาดยาควบคุมจะมีอาการซึมเศร้าและอาการอารมณ์ดีผิดปกติสลับกันไปควบคุมตนเองไม่ค่อยได้
“อาการบ้าๆ...คืออะไรครับป๊า” ราพณ์สะดุดหู
เจ้าสัวเรียวรู้ว่าหลุดปากก็เปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่ลื้อพาอาตี๋น้อยมาค้างที่นี่หรือเปล่า”
“อยู่ที่ห้องนอนข้างบนครับ ที่เมื่อกี้ป๊าบอกว่า...”
“คิดถึงอาตี๋น้อยจริงๆ อาตี๋น้อย อากงมาแล้วลูก”
เจ้าสัวเรียวตัดบทเดินออกไป ราพณ์เดินตาม
พระลบกำลังเปิดหนังสือนิทานพยายามอ่านแต่อ่านไม่ออก เจ้าสัวเรียวเข้ามาในห้องนอน
“อากง”
พระลบโผเข้ากอดเจ้าสัวเรียว
“เสียงดังขนาดนี้ คิดถึงอากงใช่ไหม...ใช่ไหม”
“ลบคิดถึงอากงที่สุดในโลกเลยครับ”
พระลบกอดอ้อนอย่างน่ารัก เจ้าสัวเรียวพอใจมากกอดตอบอย่างเอ็นดูแล้วฟัดเล่นกับพระลบ สองปู่หลานดูมีความสุข ราพณ์ยิ้มเอ็นดูจนลืมเรื่องที่พยายามจะถาม ราพณ์ทำเสียงน้อยใจ
“พระลบคงรักแต่อากงคนเดียว”
พระลบรีบหันมายิ้มแก้มยุ้ยเอาใจ
“ลบก็รักป๊าด้วยครับ รักมากที่สุด” พระลบโผเข้ากอดราพณ์ “ป๊าอ่านนิทานให้ลบฟังได้ไหมครับ”
ราพณ์ทำเล่นตัว
“อ่านดีไหมน้า”
“ถ้าป๊าไม่อ่านให้ลบฟัง ลบคงน้อยใจ คิดมากว่าป๊าไม่รักขาดความอบอุ่นเป็นเด็กมีปัญหา โตไปก็ทำให้สังคมวุ่นวาย”
เจ้าสัวเรียวขำ
“แกกำลังสร้างปัญหาให้ประเทศนะเจ้าราพณ์” เจ้าสัวเรียวยิ้มหลงหลานมาก “ฉลาดพูดเหมือนอากงไม่มีผิด”
ราพณ์ขำ รับหนังสือนิทานมา
“ถ้าอย่างนั้นป๊าอ่านให้ฟังดีกว่านะ ป๊าไม่อยากให้ลบทำให้สังคมมีปัญหา”
พระลบรีบกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างกระตือรือร้น แล้วตีบนที่นอนข้างๆ ตัว
“ตรงนี้เลยครับป๊า”
ราพณ์ขึ้นไปบนเตียงจับพระลบนอนซุกกับตัวเองแล้วอ่านนิทานให้ฟัง ดูอบอุ่นมาก เจ้าสัวเรียวมองราพณ์อย่างภูมิใจ เข้าไปหาพระลบพลางมองราพณ์พูดเบาๆ
“ให้คุณหญิงตกลงก่อนที่รามจะกลับมา ป๊าจะพูดกับเจ้ารามเอง”
ราพณ์หนักใจ แต่ไม่เคยปฏิเสธพ่อ
“ครับ ป๊า”
ราพณ์ฝืนยิ้มยิ้มแต่เจ้าสัวเรียวรู้ว่าลูกชายกำลังผิดหวัง เขารำพึงในใจ
“ถ้าเจ้ารามได้สักครึ่งหนึ่งของลื้อก็คงดี”
เจ้าสัวเรียวถอนใจเบาๆ
ในห้องพัก...รามหน้าเครียดนั่งอยู่ตรงข้ามเจ้าหน้าที่ของทางสถานทูต
“เราได้รับรายงานว่าในเดือนนี้คุณมีอาการขาดสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้หลายครั้ง”
“ผมแค่เครียดเพราะเรียนหนักเท่านั้นเอง”
“ผมว่ามันเป็นเพราะคุณไม่ยอมไปเช็คอาการตามที่หมอนัด และรับยามาทานให้ต่อเนื่องมากกว่า”
รามมองหน้าเจ้าหน้าที่คิดหาเหตุผลมาเถียง เจ้าหน้าที่มองหน้า
“นักเรียนไทยที่นี่ต้องอยู่ในความดูแลของเรา ถ้าคุณไม่ยอมเข้ารับการรักษา และเรายังได้รับรายงานเรื่องความประพฤติของคุณอยู่อย่างนี้ เราคงต้องส่งคุณกลับไปรักษาตัวที่เมืองไทย ภายใต้การดูแลของครอบครัวคุณ ผมช่วยคุณได้เท่านี้”
รามนิ่งไม่พอใจนัก
“ที่เหลือคุณคงต้องช่วยตัวเองบ้าง”
เจ้าหน้าที่ออกไปจากห้อง รามจากที่นั่งนิ่งเงียบก็คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ลุกขึ้นมาทำลายข้าวของกระจัดกระจาย โทรศัพท์ดังขึ้น รามรับสายทั้งที่อารมณ์ยังแรงอยู่ ได้ยินเสียงปลายทางว่าเป็นราพณ์
“ราม นี่เฮียเองนะ”
รามหายใจลึก พยายามหยุดอารมณ์ตัวเอง ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
“ว่าไงครับเฮีย”
ราพณ์คุยโทรศัพท์กับรามอยู่ในห้องนอน
“ป๊าให้รามกลับเมืองไทยด่วน”
“อะไรกันครับ ป๊าคิดถึงผมจนทนไม่ไหวเลยเหรอ”
“ป๊าจะให้รามกลับมาแต่งงาน”
“เรียกกลับไปแต่งงานเนี่ยนะ ฝากบอกป๊าว่าไม่ต้องเสียเวลาหาอาหมวยที่ไหนไว้รอผม ผมมีแฟนแล้ว”
“งั้นก็กลับมาบอกป๊าเองสิ ทำได้มั้ยล่ะ เฮียจะจัดการส่งตั๋วเครื่องบินไปให้”
ราพณ์วางสายจากรามเพื่อเป็นการบอกว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่พูด ราพณ์ถอนใจพลางบ่น
“ใครว่าป๊าหาอาหมวยไว้เป็นเมียแก...ตากลมโต สวยแบบนี้ เห็นแล้วแกจะเปลี่ยนใจ...เสียแต่ว่าจองหองไปหน่อย”
“แล้วทำไมป๊าไม่แต่งเองล่ะครับ”
พระลบถามขึ้นจ้องรอคำตอบ
“หรือว่าป๊าเอาไม่อยู่ เขาแรงใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ไม่ใช่ได้ไงป๊า ลบอยากมีแม่ รู้มั้ยเด็กที่โตมาโดยไม่มีแม่จะเป็นเด็กขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นใจ ขาดกำลังใจ”
“พอเลยไอ้ตัวดี เอาไว้ป๊าจะหาแม่ให้ก็แล้วกัน”
“อย่าพูดจาหลอกเด็กไปวันๆ นะป๊า จริงจังหน่อย เราพ่อลูกกัน ไม่ควรหลอกกันใช่มั้ย ใช่มั้ยป๊า”
“นี่ชักจะติดโรคอากงเข้าไปทุกวันแล้วนะ”
ราพณ์กอดลูกชายไว้ด้วยความรัก พระลบซุกตัวที่อกพ่อ
“อยากมีแม่ อยากมีแม่”
ราพณ์กอดลูกชายไว้แน่น แต่ก็อดคิดถึงรสิกาไม่ได้
ร้านกาแฟมานพ เช้าวันใหม่...ราพณ์นั่งซึม มานพแต่งชุดฟอร์มของร้านตัวเองเอากาแฟมาวางตรงหน้า
“กาแฟครับคุณราพณ์”
ราพณ์มองรู้ว่ามานพจงใจกวน
“ขอร้องว่าอย่ากวน ไม่งั้นแกอาจเป็นเป้าหมายการยืดขาของฉัน”
มานพลงนั่งเข้าใจอารมณ์มากอยากช่วยเพื่อน
“ราพณ์ ถ้าคุณหญิงต้องแต่งงานกับน้องชายแกจริงๆ แกทนได้เหรอ แกชอบคุณหญิงไม่ใช่เหรอ”
“สองปี...ที่ฉันหวังว่าจะได้รู้จักเขา ตอนที่ป๊าบอกว่าจะแต่งงานกับหม่อมวลี ฉันคิดว่ามันคือโอกาส แต่ตอนนี้...มันพังหมดเลยว่ะ”
“บอกป๊าแกสิว่าแกอยากเป็นเจ้าบ่าวของคุณหญิง”
“ฉันไม่อยากให้ป๊าต้องคิดมาก สุขภาพป๊าไม่ค่อยดี”
“ถ้าแกตัดสินใจไปแล้ว แล้วจะคุยกับฉันเพื่อ...”
“ฉันคิดไม่ออกว่าจะให้คุณหญิงตกลงแต่งงานกับรามได้ยังไง คนอย่างเขาไม่ยอมถูกบังคับแน่”
“นอกจากจะถูกบีบถึงที่สุด...”
ราพณ์หันมองมานพคิด ๆ
“ฉันคงต้องให้แกช่วย”
มานพมองแบบรู้ตัวแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
รสิการีบเข้ามาที่หน้าห้องพักคนไข้ของสิริโสภา กำลังจะรีบเข้าไป
“คุณหญิงรสิกา”
มานพเดินมาหา รสิกาชะงักหันไป
“สวัสดีค่ะคุณ...”
“ผม...มานพ พี่ชายของสิริโสภา”
“คุณนพโทรไปตามฉันมา คุณสิเป็นอะไรรืเปล่าคะ”
“ถ้าผมไม่ตามคุณก็คงลืมไปแล้วว่าทำลายชีวิตผู้หญิงคนนึง”
รสิกาหน้าเสีย
“ฉันขอโทษค่ะ”
“ผมต้องการให้น้องสาวผมมีชีวิตใหม่”
“ไม่ว่าคุณจะให้ฉันทำอะไร ฉันยินดี”
“คุณจะจัดการเรื่องเงินห้าล้านให้ผมได้เมื่อไหร่”
รสิกาอ้ำอึ้ง
“ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น”
“ไม่มีได้ยังไง คุณเป็นถึงคุณหญิงเป็นเจ้าของวังไม่ใช่เหรอ กะอีแค่ห้าล้าน ทำไมจะจัดการให้ผมไม่ได้ หรือว่าคุณเห็นว่าคนจน ๆ อย่างน้องผมมันเป็นมดปลวก ถึงไม่คิดจะใส่ใจ...ชดใช้”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะคะ”
“แสดงความจริงใจสิ ทำให้ผมเห็นว่าคุณมีน้ำใจที่จะชดเชย ชดใช้ให้น้องผม”
ทันใดนั้นเสียงราพณ์ดังขึ้น
“เราจะชดใช้ให้คุณ”
รสิกาหันไปตามเสียงเห็นราพณ์เข้ามายืนเคียงข้าง
“ผมจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
“นอกจากคำพูด ผมไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลย”
“บ่ายนี้ผมจะโอนเงินให้คุณ”
“ได้...ถ้าคุณไม่จ่าย ผมจะเอาเรื่องพวกคุณให้ถึงที่สุด”
มานพเข้าไปในห้อง รสิกายืนอึ้งจนกระทั่งราพณ์จับมือ
“มาเถอะ”
รสิกาจำต้องไปตามแรงจูงของราพณ์
ราพณ์พารสิกาเข้ามาในมุมสวนที่ค่อนข้างเงียบของโรงพยาบาล ปล่อยให้เธอได้ตั้งสติ รสิการู้สึกสับสนกับเรื่องที่เข้ามา ราพณ์เข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำหวาน
“ดื่มน้ำหวาน ๆ สักหน่อยจะได้รู้สึกดีขึ้น”
“ขอบคุณ... “ รสิการับมาดื่มคิด ๆ “เรื่องเงินห้าล้าน ฉันไม่ชอบรบกวนใคร”
“ไม่รบกวนหรอกครับ เพราะผมจะให้คุณยืม”
“ยืม...ดอกเบี้ยของคุณคงจะขูดเลือดกับฉันจนเกินคุ้ม”
“คุณไม่ต้องเสียทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้ผม แค่ตกลงรับข้อเสนอจากผมก็พอ”
รสิกาหน้าตึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ข้อเสนออะไร”
“แต่งงานกับนายราม น้องชายของผม”
รสิกาลุกพรวด
“ไม่มีวัน ฉันจะไม่ยอมขายตัวเองแลกเงินเด็ดขาด”
ราพณ์รู้ว่าไม่ถูกต้องแต่ก็ต้องทำ
“คุณมีเวลาตัดสินใจจนถึงคืนนี้” เขาเอานามบัตรใส่มือเธอ “ผมจะรอคำตอบ”
ราพณ์มองนิ่งก่อนจะเดินออกไป รสิกามองตาม มือกำแน่นแค้นใจมาก
ร้านบะหมี่หมูแดงริมถนน แม่หมวยเป็นคนลวกบะหมี่ มีลูกค้าประปราย หมวยกำลังช่วยห่อบะหมี่จัดใส่ถุงให้ลูกค้า
“บะ เกี๊ยว พิเศษห้าห่อได้แล้วค่ะ”
ลูกค้าเดินออกไป รสิกาก้าวเข้ามายืนแทน
“รับอะไรดีคะ” หมวยหันมาดีใจที่เห็นเป็นรสิกา “ไอ้คุณหญิง”
“หมวย”
รสิกาเข้ากอดหมวย เพื่อนรักไว้แน่น ระบายความอัดอั้นตันใจทางอ้อมกอด
“เฮ้ยๆ แกเป็นอะไร”
หมวยเห็นแม่กับลูกค้ามองสงสัย
“ป๊า ม๊าลุยไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวหมวยมา”
หมวยพารสิกาแยกไป
ในร้านของหวานริมถนนเยาวราช...หมวยวางช้อนลงในถ้วยของหวาน เคร้ง
“ไอ้คุณหญิง บ้านแกนี่มันจะฟีโรโมนแผ่ซ่านเกินไปไหม พ่อแต่งกับแม่ นี่จะให้ลูกแต่งกับลูกอีก ฉันขอเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแกได้มะ อยากขายออกมั่ง”
“เพื่อนไม่ตลกด้วยนะหมวย”
“ชีวิตเครียด เส้นเลือดสมองแตกตายพอดี ทุกเรื่องในโลกมันต้องมีสาเหตุ ง่าย เหมือนเส้นบะหมี่เกิดจากแป้งกับไข่ฉันใด ต้องมีสาเหตุที่ผู้ชายอยากได้แกฉันนั้นล่ะ น่าคิดออก”
รสิกาเครียดแต่อดหน่ายกับการเปรียบของหมวยไม่ได้
“ฉันว่ามัน...”
“ไม่ได้ดูเข้ากันเลย ถูกต้อง แต่งก็เครียดเนอะ อยู่กับศัตรู ไม่แต่งก็เครียด เพราะป้าๆ ที่วังมีสิทธิ์ลงทะเบียนเป็นคนแก่เร่ร่อน ว่าแต่...แฟนขี้เต๊ะแกไปไหน ไอ้ศินน่ะ”
“ฉันติดต่อเขาไม่ได้ เขาย้ายออกจากที่พักแล้ว ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“แฟนประสาอะไรวะ เกิดเรื่องแล้วหายหัว”
“แต่ยังไงเรื่องนี้คนที่ต้องตัดสินใจคือฉัน...ฉันคนเดียว”
“แต่ถ้าให้ฉันประเมินแกตกลงใจจะบะ ๆ”
รสิกาหยิกหมวย
“อย่าสองแง่สามง่ามกับเพื่อน เพื่อนเครียด”
หมวยรีบเปลี่ยนคำ
“เอ่อ...เกี๊ยวกุ้งหมูแดงกับทางโน้นช่วยวังแกใช่ไหม”
รสิกาเครียด
“ฉัน...ทำไมหม่อมแม่กับฉันต้องยอมให้คนโกงที่ทำร้ายท่านพ่อมาชี้นิ้วสั่งให้เราทำนั่นทำนี่ ถ้าวิญญาณท่านพ่อรับรู้ ว่าฉันต้องแต่งงานเพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากคนที่ท่านพ่อเกลียดที่สุด ท่านพ่อคงเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ...ทำให้ท่านพ่อต้องเสื่อมเกียรติ”
รสิกาน้ำตาคลอ หมวยลุกขึ้นมาจับศีรษะรสิกามาพิงกับตัวเอง ตบเบาๆ เหมือนปลอบเด็ก
“โอ๋...เซี๊ยะ ๆ ไม่ร้องนะ ไอ้คุณหญิงของเพื่อน ค่อย ๆ คิดนะ”
รสิกากอดหมวย สองเพื่อนกอดปลอบกัน
ในร้านกาแฟมานพ...ราพณ์นั่งมองมือถืออย่างรอคอย มานพที่ปิดร้านเสร็จแล้วเข้ามานั่งด้วย
“ยังไม่โทรมาอีกเหรอ สงสัยจะไม่ได้ผล”
“ดื้อ หยิ่ง ร้าย...”
“อย่างที่แกชอบเลยใช่ไหม”
“พูดไปก็เท่านั้น ฉันไม่มีสิทธิ์”
“เสียดายว่ะ คบกันมาตั้งแต่หมาเลียตูดถึง จนอายุขนาดนี้ฉันยังไม่เคยเห็นแกจะคิดแต่งงานกับใคร ขนาดคุณสิว่าอดทนเป็นเลิศ ยังไม่ชนะใจแกเลย แสดงว่าคุณหญิงคงใช่สำหรับแก”
“เฮ้อ...ไม่รู้ว่ะ จะมีผู้หญิงกี่คนที่เราเห็นแล้ว รู้สึกอยากให้เขาอยู่ในสายตาตลอดไป ฉันรู้สึกแบบนั้นกับเขา”
มานพตบไหล่ราพณ์อย่างเห็นใจ
“คุณหญิงเงียบแบบนี้ พรุ่งนี้แกคงต้องเหนื่อยหน่อย”
“เพื่อนผู้มีพระคุณว่าไง ว่าตามกันอยู่แล้ว”
ราพณ์ฝืนยิ้ม หน้าเครียดเต็มที
รามมาทุบประตูตื้ออยู่หน้าห้องปิ๋ม
“คุณปิ๋ม...คุณปิ๋ม”
ไม่มีเสียงตอบจากในห้อง จากทุบธรรมดาเป็นอาละวาดอย่างรุนแรงโครม ๆ ฝรั่งชายจากข้างห้องออกมาโวยด้วยความหัวเสียสุด ๆเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รามมาโวยวาย
“Stop It! If you don’t stop it, I gonna kill you!” (หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่หยุด ฉันจะฆ่าแก!)
รามสวน
“Not your business!” (ไม่ใช่เรื่องของแก)
รามไม่สนใจไม่โต้ตอบ ทุบประตูต่อไปไม่หยุด ฝรั่งหัวเสีย
“Hey!”
ทันทีที่ฝรั่งแตะตัว รามหันไปต่อย ผัวะ!ทันที รามหันไปทุบต่อ
“ปิ๋ม เปิดประตู”
ฝรั่งชายอีกคน เข้ามาถีบรามกระเด็นไป รามลุกขึ้นมาจะเอาเรื่องชะงักที่เห็นว่ามีสองคน แต่จะหนีก็ไม่ทันมือฝรั่งคนแรกกระชากรามเข้ามาต่อย แล้วมหกรรมการโดนกระทืบก็เกิดขึ้น
รามกลับมาที่ห้องพัก มองในกระจกในสภาพหน้าตาบอบช้ำ
“หนีกลับเมืองไทย คิดว่าจะหนีผมพ้นเหรอปิ๋ม...”
รามไม่ยอมแพ้
เช้าวันใหม่...รสิกาเปิดสมุดบัญชี เห็นว่ามีเงินอยู่สี่แสนก็เครียด
“ถ้าจ่ายก้อนนี้ไป จะไม่มีเงินสำรองเหลือเลย เฮ้อ...”
แหวววิ่งขึ้นมาอย่างรีบเร่ง
“คุณหญิงคะ มีแขกมาขอพบค่ะแต่...”
“มีอะไรเหรอพี่แหวว”
แหววท่าทางหวั่น ๆ
รสิกาเดินลงมาเจอ มานพเข้ามาพร้อมตำรวจ
“ผมมารับค่าชดเชย”
“คุณนพคะ ฉันขอจ่ายก้อนแรกสี่แสนก่อนได้ไหมคะ ส่วนที่เหลือ...”
มานพสวนทันที
“คุณคิดจะเบี้ยวผมใช่ไหม คิดแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ คุณตำรวจครับ ผมขอแจ้งความจับคุณหญิงรสิกา ประกาศเกียรติ เขาขับรถประมาทำให้น้องสาวของผมบาดเจ็บ ทำให้หลานของผมตาย”
รสิกาอึ้งทำอะไรไม่ถูก แหววเห็นท่าไม่ดีรีบไปตามแม่นม ตำรวจเข้ามาหารสิกา
“ผมคงต้องขอเชิญคุณหญิงไปที่โรงพักครับ”
“ให้ติดคุกชดใช้ความผิดไปเลยนะคุณตำรวจ”
รสิกาอึ้งช็อคไป
“เชิญครับ”
รสิกามือสั่นกลัวอย่างควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ราพณ์เข้ามา
“สวัสดีครับ” ราพณ์มองรสิกา “ถ้าคุณหญิงจะขอเจรจาไกล่เกลี่ยกับคุณนพ”
รสิกาตวาด
“ไม่ต้อง”
ราพณ์มองหน้ารสิกาแล้วหันมามองหน้ามานพเป็นการให้สัญญาณว่าเชือดได้
“มัวพูดอะไรกันอยู่ได้ คุณตำรวจจับคนร้ายไปโรงพักเลย”
แหววเข้ามาพร้อมกับแม่นม
“คนร้าย คุณหญิงเป็นคนร้ายเหรอคะ” แหววเสียงดังตกใจ
แม่นมเข้ามาขวาง
“อย่านะ อย่าจับคุณหญิงของนมนะคะ”
มานพสวน
“ฆ่าคนตายจะไม่ให้จับได้ยังไง คุณตำรวจเอาตัวคุณคนนี้ไปโรงพัก”
“อย่านะคุณตำรวจ อย่าทำคุณหญิงของนม”
แม่นมกับแหววทั้งร้องทั้งกอดรสิกาไว้ไม่ยอมให้ตำรวจจับตัวรสิกาไป
“อย่าเอาคุณหญิงไป” แหววถึงขั้นร้องไห้จะเป็นจะตาย “คุณหญิง”
รสิกาโดนกดดันถึงขีดสุด รสิกามองราพณ์ที่มองอย่างรออยู่ก่อนแล้ว ราพณ์ส่งสายตาว่าจะเอายังไง รสิกาตัดสินใจ
“ค่ะ...”
ทุกคนชะงักงง มีแต่ราพณ์กับมานพที่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ราพณ์หันมามาหามานพ
“คุณมานพ ผมขอเจรจากับคุณ...”
มานพมองรสิกา
“คุณหญิงให้เขาเป็นตัวแทนเจรจากับผมใช่ไหมครับ”
รสิกากล้ำกลืน
“ค่ะ...”
ราพณ์มองรสิกาอย่างพอใจในชัยชนะ
ราพณ์กับเจ้าสัวเรียวคุยกันในห้องทำงานที่บริษัท เจ้าสัวเรียวมองอย่างไม่อยากเชื่อ
“คุณหญิงตกลงแต่งงานแล้วจริงเหรอ”
“ครับ”
เจ้าสัวเรียวมองราพณ์ที่ดูสีหน้าซึม ๆ
“ลื้อยินดีที่จะให้รามแต่งกับคุณหญิงหรือเปล่าอาราพณ์”
“รามเป็นน้อง เป็นคนในครอบครัว ผมควรต้องยินดี”
“แต่ไม่เต็มใจใช่ไหม...”
“ผมรู้ว่าป๊าห่วงราม ถ้าสิ่งไหนที่ทำให้ป๊าสบายใจได้ ผมจะทำ”
เจ้าสัวเรียวมองราพณ์ด้วยความรักและภูมิใจ
“ลูกกตัญญูคือสิ่งล้ำค่าของพ่อแม่ ป๊าโชคดีที่มีลื้อ แต่ป๊าจะมีความสุขมากที่สุด ถ้าได้เห็นลูกทุกคนมีความสุข มีครอบครัวที่ดี”
“ตอนนี้ผมมีพระลบก็มีความสุขอยู่แล้วครับ”
“ลื้อแบกรับทุกอย่างไว้บนบ่าเพื่อครอบครัว ความกตัญญูจะทำให้ลื้อเจริญรุ่งเรืองนะอาราพณ์”
ราพณ์ยิ้ม
“ครับ”
เจ้าสัวเรียวมองลูกชายอยากจะช่วยให้สมหวังเหลือเกิน ขณะเดียวกันนั้นด้านนอกฟ้าครึ้ม เสียงฟ้าร้องดังมา
รสิกายืนซึมอยู่ที่ระเบียงเหม่อมองออกไปด้านนอก แม่นมพาหมวยเข้ามา
“ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อเช้าก็เอาแต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นตลอดเลยค่ะ คุณหมวยช่วยปลอบคุณหญิงให้ทีนะคะ นมเป็นห่วง”
“ค่ะ หมวยจะจัดการให้นะคะ”
แม่นมออกไปพร้อมกับปิดประตู หมวยเดินไปที่ระเบียง
“ไอ้คุณหญิง”
รสิกาสะดุ้งนิดหน่อยหันกลับมาเห็นเป็นหมวย ก็เหมือนเขื่อนแตกกำแพงทลาย เธอโผเข้ากอดเพื่อน
“หมวย”
รสิกากลั้นไม่อยู่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด หมวยปลอบ
“โอ๋ๆ ”
หมวยเห็นท่าทีก็รู้คำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับรสิกา
จบตอนที่ 2