หมายเหตุ : ตัวหนังสือสีแดงคือ เรื่องราวที่เพิ่มเข้ามาใหม่
โดมทอง ตอนที่ 16
ขณะนั้น อดิศวร์กำลังยืนสั่งการ และควบคุมคนงานที่ตรวจดูตามบริเวณต่างๆ ในโรงเก็บรถม้า
“ตรวจดูให้ทั่ว ทั้งผนังทั้งพื้น ...”
สมซึ่งตรวจมาจนถึงพื้นใต้รถม้าชะงัก เมื่อใช้มือลูบไปเจอผ้าหน้า มีฝุ่นหนาเขรอะปูทับอยู่
“มาดูตรงนี้ซิครับ คุณลบ”
“ช่วยกันเลื่อน! รถม้านี่ออกไปก่อน”
คนงานมาช่วยกัน เลื่อนรถม้าออกไป เผยให้เห็นเป็นผ้าผืนใหญ่พอสมควรคลุมพื้นอยู่ สมค่อยๆ พับผ้า แล้วยกออกอย่างระมัดระวัง เพราะเต็มไปด้วยฝุ่นจับค่อนข้างหนา
อดิศวร์ทรุดตัวลงเคาะพื้นบริเวณนั้น เสียงดังเหมือนเป็นพื้นโปร่งๆ ไม่ใช่พื้นปูนอัดแน่นเช่นพื้นที่บริเวณอื่น อดิศวร์ลุกขึ้น แล้วสั่งคนงาน
“ช่วยกันงัดออกซิ”
คนงานช่วยกันงัดไม้ออกตามคำสั่ง
สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความสลดหดหู่ใจ เมื่อเห็นโครงกระดูก ซึ่งน่าจะเป็นของท่านเจ้าคุณ เจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ จมฝุ่นอยู่ใต้นั้น ด้วยมีของใช้ประจำตัวท่านถูกโยนลงมาฝังด้วย
อุษาสุดกลั้น น้ำตาไหลอย่างอาดูร “โถ...คุณปู่”
อดิศวร์ทรุดตัวลง ทุกคนทรุดตาม แล้วอดิศวร์ก็ก้มลงกราบ
“อุษา...ไปจุดธูปให้พี่ดอกหนึ่ง...แล้วก็หาผ้าขาวสะอาดๆ มารองกระดูกคุณปู่ด้วย”
“ค่ะ” อุษาลุกเดินออกไปทั้งน้ำตา
“สม....ให้ใครไปสั่งหีบศพอย่างดีมาให้เท่ากับจำนวนโครงกระดูกทั้งหมด”
“ครับ...” สมเดินออกไป
“คนที่เหลือ แบ่งกันทำความสะอาดในนี้ แล้วก็ห้องบนยอดโดมด้วย”
“ครับ”
คนงานขานรับพร้อมเพรียง คนงานส่วนหนึ่งแบ่งกันไปที่ยอดโดม อีกส่วนหนึ่งช่วยกันหาเครื่องไม้เครื่องมือมาทำความสะอาดโรงเก็บรถม้า
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ยืนอยู่ที่หน้าต่างอีกด้าน ทอดสายตามองลงไปข้างล่าง เห็นบรรดาคนงานเดินเข้าออกกันวุ่นวาย
ท่านผู้หญิงยิ้มเยาะนิดๆ เหมือนจะเย้ยหยันแล้วหันกลับมาช้า แต่แล้วต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นท่านเจ้าคุณยืนอยู่ในเงามืดของมุมห้อง เป็นภาพรางๆ มองทะลุไปเห็นผนังห้องได้ สีหน้าแววตาของเจ้าคุณมองมาอย่างเย็นชา
ท่านผู้หญิงตัวแข็งทื่อ ยังคงยืนตะลึงมอง โดยท่านเจ้าคุณยังคงยืนมองมาอย่างเย็นชา
ท่านผู้หญิงค่อยๆ แสยะยิ้มออกมา หลังจากทิฐิเข้ามาครอบงำอีกครั้ง
“มัวแต่มองอะไรล่ะ ไปผุดไปเกิดซะไป๊ นังพลับพลึงชู้รักมันรออยู่แล้วนี่ อ้อ ดิฉันก็ลืมไป ท่าทางจะยังพากันไปเสวยสุขไม่ได้เพราะต้องแวะไปปีนต้นงิ้วในนรกก่อน” หญิงชราพยักหน้าเย้ยหยัน “แล้วก็คงจะต้องปีนขึ้นปีนลงอยู่นานทีเดียว...อาจจะนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ... สมน้ำหน้า”
ท่านเจ้าคุณมีสีหน้าเหมือนรู้สึกเวทนา แล้วค่อยๆ เลือนหายไปกับผนังห้อง ท่านผู้หญิงมีสีหน้าทั้งเย้ยทั้งหยัน
“ขอให้ปีนกันให้สนุกนะเจ้าคะ...เจ้าคุณพี่เจ้าขา”
ท่านผู้หญิงหัวเราะในลำคอ
ขณะเดียวกัน อุษาเดินน้ำตาไหลพรากเข้ามาในบ้าน ขณะที่แสงซึ่งกำลังซุบซิบกับโอบอ้อมอยู่ในบริเวณนั้น หันมามอง
โอบอ้อมพยักเพยิดให้แสงแขหันไปดู
แสงแขหันมา “อ้าว นั่นกันแสงโศกเศร้าเรื่องอะไรอีกล่ะ”
อุษาไม่พูดไม่จา เดินร้องไห้ออกไป
แสงแขยักไหล่พรืด “ไม่พูดก็อย่าพูด”
“สงสัยจะพบกระดูกใครอีกมั้งคะ”
“คราวนี้คงเป็นกระดูกหมากระดูกแมวละมั้ง” แสงแขพูดในท่าทีเย้ยหยัน พลางบอก “...แกไปสืบดูซิ”
“ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
โอบอ้อมเดินออกไปจากที่นั้นทันที
ฝ่ายอุษาเดินเข้ามาในครัว แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ภาพโครงกระดูกท่านเจ้าคุณผุดขึ้นมาในห้วงความคิด พอภาพเลือนหาย อุษาส่ายหน้าน้ำตาไหลพราก
“โถ ... คุณปู่ขา ... ใครช่างทำกับคุณปู่ได้”
ภาพท่านผู้หญิงผุดซ้อนเข้ามาอีก อุษารู้คำตอบ ทอดถอนใจยาว
“ความรักที่กลับกลายเป็นความแค้นมันร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ”
สีหน้าอุษาเต็มไปด้วยความเศร้าสลดใจ
ด้านแสงแขรีบทำหน้าตาตื่น เดินตรงเข้ามาหาที่อดิศวร์ซึ่งเพิ่งเดินเข้าบ้านมา
“แขเห็นพี่อุษาเดินร้องไห้เข้ามา...ถามก็ไม่บอก...เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“พบโครงกระดูกคุณปู่ฝังอยู่ใต้พื้นโรงเก็บรถม้า”
“ตายจริง ก่อนหน้านี้ก็พบโครงกระดูกคุณย่าน้อยในห้องใต้ยอดโดม...นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
อดิศวร์ไม่ตอบ เดินไปเลย จะไปห้องท่านผู้หญิง แสงแขรีบตามไป
อดิศวร์เดินมาจนถึงหน้าห้องย่า โดยมีแสงแขเดินแกมวิ่งมาติดๆ
อดิศวร์หยุด หันมาบอก “ไม่ต้องเข้ามา”
แสงแขทำเสียงแผ่วเบาให้เข้ากับสถานการณ์ “ค่ะ”
อดิศวร์เปิดประตูเดินเข้าไปแล้ว แสงแขเหยียดยิ้มบ่นพึมพำ
“โหดได้ใจจริงๆ เลยค่ะ คุณย่า”
อดิศวร์ปิดล็อคประตู แล้วหันกลับเดินมาที่เตียง ท่านผู้หญิงทำเป็นนอนห่มผ้านวมเหมือนเจ็บหนัก หลับตา อดิศวร์ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
“คุณย่าครับ”
ท่านผู้หญิงยังคงหลับตา
“ผมรู้ว่า คุณย่าไม่ได้หลับ”
ท่านผู้หญิงยังทำเป็นหลับอยู่อย่างนั้น
อดิศวร์แตะแขนเรียกเบาๆ “คุณย่า”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ ทำเป็นลืมตาขึ้นมามอง ท่าทีอ่อนระโหย “ลบหรือลูก...ย่าปวดหัวเหลือเกิน”
อดิศวร์ไม่สนใจ “ผมพบวิรงรองถูกขังอยู่ในห้องใต้โดมกับโครงกระดูกของคุณย่าน้อยพลับพลึง”
ท่านผู้หญิงตีหน้าตาย “อ้าว .... ทำไมถึงขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ล่ะ”
อดิศวร์จ้องหน้าย่าเขม็ง “แล้วผมก็พบโครงกระดูกคุณปู่ถูกฝั่งอยู่ใต้พื้นในโรงเก็บรถม้า”
“อ้าว! นี่ก็เล่นพิเรนทร์ลงไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง! ว่าแต่ลบแน่ใจเรอะ ว่าใช่ คุณปู่กับนังพลับพลึง! อาจจะมีพวกโจรห้าร้อยหกร้อยไปปล้นฆ่าคนมา แล้วเอาศพมาฝัง...”
อดิศวร์พูดแทรกขึ้นทันที “ยิ่งกว่าแน่ใจอีกครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว จะได้เลิกตามหากันเสียที”
“คุณย่าครับ...” อดิศวร์กลั้นใจสุดๆ
“หือ....”
อดิศวร์เลื่อนตัวลงมาจากเก้าอี้แล้วก้มกราบ “ผมกราบขอประทานโทษ...คุณย่าทราบเรื่องนี้มาตลอดเวลาใช่ไหมครับ”
ท่านผู้หญิงชักหงุดหงิด “ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไง”
“เพราะคุณย่าเป็นคนสั่งการไงครับ” อดิศวร์บอก
ท่านผู้หญิงผุดลุกขึ้นทันที “ตาลบ! นี่แกหาว่าฉันเป็นฆาตกรฆ่าคนพวกนั้นเรอะ! ก็เอาซิ! ถ้าคิดอย่างนั้นละก็...พาตำรวจมาลากคอฉันไปเข้าคุกเลย!..ให้มันตายในคุกสะใจไปเลย”
อดิศวร์เสียงอ่อนลง “ผมแค่ถามคุณย่า...”
“แกกล่าวหา ไม่ได้ถาม ก็ดีเหมือนกัน ชีวิตฉันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผัวก็ทรยศ น้องก็เนรคุณ แล้วนี่หลานที่ป้อนข้าว
ป้อนน้ำมากับมือ เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงก็อกตัญญูอีก ฉันตายก็อย่ามาเผา...จำใส่หัวเอาไว้เลย”
อดิศวร์นิ่งไป ท่านบีบน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้น ผู้เป็นหลานมองย่าอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วลุกเดินออกไปเงียบๆ
ท่านผู้หญิงหยุดสะอื้น เหลือบตามองตาม พร้อมกับยิ้มเยาะ
ขณะที่ท่านผู้หญิงกำลังนอน ดวงตาจับจ้องมองที่เพดาน มือวางบริเวณท้องขยับเคาะนิ้วอย่างใช้ความคิด เสียงเคาะประตูเบาๆ ท่านผู้หญิงรีบเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคงหลับหันหลังให้ ด้วยคิดว่าเป็นอดิศวร์
แสงแขเข้ามาแล้วทรุดตัวลง ยื่นหน้าไปใกล้ๆหู
“คุณย่าคะ”
ท่านผู้หญิงสะดุ้งเฮือก แล้วลุกขึ้นนั่ง แสงแขหัวเราะขบขันกับสีหน้าท่าทางนั้น ท่านผู้หญิงฉุนจัด ตบหน้าที่กำลังหัวเราะนั้นฉาดใหญ่
“นี่แน่ะ”
“โอ๊ย คุณย่า! …ตบหน้าแสงทำไมเนี่ย”
“ก็อยากลอยหน้าน่าตบทำไมล่ะ นี่ถ้าเป็นสมัยก่อนละก็ ...ถูกเฆี่ยนจนหลังลายไปแล้ว”
“อ๋อ...แล้วนึกว่าแขจะยอมหรือคะ แขไม่ใช่คุณย่าน้อยพลับพลึงนี่”
“ไสหัวไป๊” ท่านผู้หญิงแผดสียงตะเพิด
“เขาพบกระดูกคุณปู่แล้วนะคะ...คุณลบมาบอกแล้วใช่มั้ยล่ะ...แขเห็น”
“ออกไป”
“คุณย่าทำได้ไงเนี่ย”
“ออกไป๊”
“ถามจริง...ยังเหลือกระดูกใครอีกมั้ยคะ”
“อีแสงแข ออกไป๊” ท่านผู้หญิงเสียงดังลั่น
ประตูเปิดออก อุษารีบเข้ามา
“อะไรกันคะ คุณย่า”
“เอาอีนังนี่ออกไปที”
“แสงแข ออกไปกับพี่”
แสงแขยิ้มเยาะ “แขไปก่อนนะคะ ... แล้วว่างๆ จะเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนใหม่”
“ออกไป! ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก”
“ไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
อุษาลากแสงซึ่งกำลังหัวเราะขบขันออกไปจนได้ ท่านผู้หญิงสรรักษ์หายใจหอบเหนื่อย
อุษาลากแสงออกมาห่างห้องท่านผู้หญิงพอสมควร
“เข้าไปกวนประสาทอะไรคุณย่า”
“ก็แค่ถามความลับนิดหน่อย ความจริงก็ไม่ค่อยลับเท่าไหร่แล้ว ! พี่อุษาก็รู้นี่ ... เมื่อกี้ถึงได้ร้องห่ม ร้องไห้เข้ามา”
อุษาอึ้งไป
“แขถามคุณย่าว่า ยังเหลือกระดูกใครอีกไหม”
อุษาสะดุ้ง “แสงแข”
“โอ๊ย เลิกปกป้องฆาตรกรต่อเนื่องได้แล้ว”
อุษาตบหน้าแสงทันที “หยุดเดี๋ยวนี้”
“พี่อุษา”
“คุณย่าจะทำอะไร มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ...และมันก็ผ่านไปนานแล้ว”
แสงแขสวนทันที “แล้วไอ้ที่เกิดเร็วๆ นี้ล่ะ”
“เธอแน่ใจหรือว่า ไม่ได้มีส่วนร่วม” อุษาสวนทันทีเช่นกัน
แสงแขสะอึกอึ้ง
“เราเห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทำไมพี่จะไม่รู้จักเธอ คุณลบเองก็คงคิดเหมือนกันว่า คนอายุมากขนาดคุณย่าจะแบกคุณวิรงรองขึ้นไปไว้บนยอดโดม คนเดียวได้ยังไง! มันต้องมีคนช่วย! …แล้วใครล่ะ ที่เกลียดวิรงรองจนเข้ากระดูกดำ”
แสงแขหน้าซีด ... เกือบไม่มีเสียง “พะ ...พี่...พี่อุษา”
“เขารู้...แต่ไม่อยากพูดเท่านั้นแหละ แม้แต่คุณวิรงรองก็เหมือนกัน... เธอรู้อยู่เต็มอกว่าใครเป็นคนทำกับเธอ ... แต่เธอยังเลือกที่จะนิ่งเพราะเธอรักคุณลบ...เธอเกรงว่าตระกูล “ศิโรดม” และ “บ้านโดมทอง” จะเสียชื่อเสียงที่มีมาช้านาน”
แสงแขกระแทกเสียงแดกดัน “โอ๊ย ! ช่างเลอค่าเสียเหลือเกิ๊น”
“คุณวิรงรองเขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา...ยังมีโกรธ ...เกลียด...เจ็บแค้น ซึ่งพี่คิดว่า...ถ้ามีครั้งที่ 2 เขาไม่ให้อภัยเหมือนครั้งนี้แน่! จำเอาไว้”
แสงแขแสยะยิ้ม “เก็บไว้ไปบอกยัยแม่มดในห้องนั่นดีกว่ามั้ง”
อุษามองหน้าน้องสาวอย่างระอาใจ ขณะที่แสงแขยังคงแสยะยิ้มเยาะอยู่อย่างนั้น
ฟากอดิศวร์เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องทำงาน แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง ทอดถอนใจยาวอย่างอัดอั้นตันใจ
ภาพเหตุการณ์ต่างผุดๆ ขึ้นมา ทั้งตอนที่พบวิรงรอง และโครงกระดูกหลายโครงในห้องใต้โดม ตามด้วย ภาพเหตุการณ์ที่เจอโครงกระดูกท่านเจ้าคุณใต้พื้นในโรงเก็บรถม้า
และสุดท้าย เป็นภาพที่ท่านผู้หญิงบีบน้ำตาเมื่อครู่นี้
“ก็ดีเหมือนกัน ชีวิตฉันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผัวก็ทรยศ น้องก็เนรคุณ แล้วนี่หลานที่ป้อนข้าวป้อนน้ำมากับมือ เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงก็อกตัญญูอีก ฉันตายก็อย่ามาเผา...จำใส่หัวเอาไว้เลย”
ภาพคิดเลือนหาย อดิศวร์เท้าแขนลงกับโต๊ะ ก้มหน้ากับฝ่ามืออย่างเครียดจัด
ค่ำแล้ว ดวงจันทร์คืนข้างแรมลอยผ่านเมฆฝนเหนือยอดโดม บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เหมือนฝนกำลังจะตก
ภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ ลมแรงจากภายนอกพัดพรูเข้ามาจนม่านและข้าวของปลิว เสียงลมดังซู่ ท่านผู้หญิงผุดลุกขึ้นนั่ง ตะโกนแข่งเสียงลม
“อุษา! อยู่ข้างนอกหรือเปล่า! แสงแข! เข้ามาหน่อย”
ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบรับจากภายนอก
ท่านผู้หญิงชักโกรธ “นังอุษา นังแสงแข นังอุไร นังโอบ หายหัวไปไหนกันหมด”
ยังไม่มีสัญญาณใดๆ เช่นเดิม ท่านผู้หญิงลุกเดินงกๆ เงิ่นๆ มาที่ประตู พลางตะโกนด้วยความโกรธแค้น
“นังอุษา นังแสงแข นังโอบ นังอุไร”
มีเสียงเหมือนหน้าต่างปิด เสียงลมพัดวูบหายไป ท่านผู้หญิงหยุดเดิน แล้วหันกลับมา เห็นผีนางพิศทรุดตัวลงสงบเสงี่ยม
“เอ็งเรอะ...นังพิศ”
“เจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงเดินพลางบ่นพลางกลับมานั่งที่เตียง
“เฮอะ ผีมันยังกตัญญูยิ่งกว่าคนเสียอีก”
“ท่านเจ้าขา...พิศมากราบลา”
ท่านผู้หญิงชะงัก “นังพิศ”
“ถึงเวลาที่พิศจะต้องไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ให้เอ็งไป”
“ถึงเวลาของพิศแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ ! เอ็งยังไปไหนไม่ได้ ! ข้าไม่อนุญาต”
ร่างนางพิศค่อยๆ เลือนหาย “พิศกราบลาเจ้าค่ะ”
“นังพิศ! อีพิศ!”
วิญญาณนางพิศเลือนหายไปในที่สุด
ท่านผู้หญิงตะโกนด้วยความโกรธที่ถูกขัดใจสุดๆ “อีพิศ”
ท่านผู้หญิงสะดุ้งตื่นจากฝันกลางวัน
“อีพิศ”
ประตูเปิดออก อุษาเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณย่าเป็นอะไรไปหรือคะ”
“ไปเปิดตู้ แล้วหยิบกุญแจห้องเก็บของมา”
“ค่ะ”
อุษาทำตามทั้งที่ยังงงๆ
“เข็นรถพาฉันไปที่ห้องเก็บของ”
“คุณย่าจะเอาอะไรหรือคะ...อุษาจะไปหยิบมาให้”
ท่านผู้หญิงเยาะ “แกน่ะเรอะจะหยิบมัน” พร้อมกับลุกเดินไปนั่งรถเข็น
“มาเข็นฉันไป”
อุษาทำตามคำสั่ง
ขณะที่อดิศวร์เดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิดอยู่นั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใคร”
“แขค่ะ” แสงแขตะโกนตอบ
“มีธุระอะไร”
“พี่อุษาเข็นรถคุณย่าไปที่ห้องเก็บของค่ะ”
อดิศวร์ชะงัก มีสีหน้าแปลกใจ
แสงแขเปิดประตูเข้ามา สีหน้าท่าทางกระตือรือร้น
“แขจะเข้าไปถามก็ไม่กล้า...เลยรีบมาบอกคุณลบค่ะ”
สีหน้าอดิศวร์ครุ่นคิด
ฟากอุษาไขกุญแจเสร็จเอามาส่งให้ท่านผู้หญิง
“แกรออยู่ข้างนอกนี่แหละ”
ท่านผู้หญิงลุกขึ้น เปิดประตูเดินเข้าไปโดยอุษามองตามอย่างเป็นห่วง หญิงชราหันมาสั่ง
“ปิดประตู”
“คุณย่าคะ” อุษาเป็นห่วง
“ฉันบอกให้ปิดประตู”
อุษาจำใจปิดประตูตามคำสั่ง
ท่านผู้หญิงเดินตรงมาที่มุมห้องด้านหนึ่งช้าๆ ด้วยสีหน้าแววตาแน่วนิ่ง หญิงชราก้าวเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ผ้า สีดำเก่าซีดคร่ำคร่าด้วยกาลเวลาซึ่งวางคลุมหีบใส่ศพพิศ
ซึ่งถ้าไม่สังเกต จะไม่มีใครสงสัย เพราะบนผ้านั้นวางข้าวของเก่าๆ อยู่พอสมควร
ท่านผู้หญิงปัดข้าวของบนนั้นหล่นกระจาย แล้วดึงผ้าออก หีบศพไม้ใส่ร่างพิศมียันต์ลงอักขระประหลาดๆ ไว้ ใบหน้าท่านผู้หญิงแสยะยิ้ม
ขณะเดียวกันอุษาก้มลงมองที่รอยแตกห้องเก็บของ แต่มีเสียงอดิศวร์ดังมาจากด้านหลัง
“คุณย่าอยู่ที่ไหน”
อุษาสะดุ้งเฮือกหันกลับมา “คุณลบ”
“คุณย่าอยู่ที่ไหน”
“เอ้อ...ข้างในค่ะ”
อดิศวร์เปิดประตู แล้วเดินเข้าไปเลย โดยอุษามองตามอย่างกังวล
ขณะนั้นแสงแขลอบแอบมองมาจากอีกมุมหนึ่ง ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
ด้านท่านผู้หญิงยกมือลูบที่ยันต์นั้นเบาๆ นัยน์ตาเป็นประกายกล้า
“ในนั้นมีอะไรหรือครับ”
ท่านผู้หญิงสะดุ้งแล้วหันกลับมา “ลบ”
ผู้เป็นหลานมองท่านผู้หญิงเป็นเชิงถาม
“จะมาจับผิดฉันอีกละซี”
“ผม...” อดิศวร์อึกอัก
ท่านผู้หญิงชิงพูดขึ้นก่อน แล้วหยิบผ้าคลุมไว้ตามเดิม “ก็แค่สมบัติเก่าๆ ของย่า ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก! นี่นังอุษาคงเสนอหน้าไปรายงานละซี สาระแนไม่เข้าเรื่อง”
“ผมอยากทราบว่าในหีบมีอะไร”
“ย่าปวดหัวเหลือเกิน...พาย่าออกไปเถอะ”
ท่านผู้หญิงหันหลัง ทำเป็นซวนเซจะล้ม อดิศวร์รีบประคอง
“ระวังครับ คุณย่า”
“ขอบใจ”
อดิศวร์ประคองพาท่านผู้หญิงออกไป
อดิศวร์พาท่านผู้หญิงเปิดประตูออกมา แล้วช่วยจัดให้นั่งบนรถเข็น
“อุษา...พาคุณย่ากลับไปห้อง”
“ค่ะ”
“เดี๋ยว ! ใส่กุญแจด้วย” ท่านผู้หญิงสั่ง
“ไม่ต้อง”
อุษาซึ่งกำลังจะใส่กุญแจชะงัก
“อุษา! เอากุญแจมาให้พี่”
อุษามองอดิศวร์ทีแล้วหันไปมองหน้าย่าที ท่านผู้หญิงแสยะยิ้ม ขณะมองหน้าลบ
“อุษา” อดิศวร์เสียงดัง
“ให้เขาไป...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ... รู้เพิ่มอีกสักคนจะเป็นอะไร” ท่านผู้หญิงบอกอย่างไม่ยี่หระ
อุษาส่งกุญแจให้อดิศวร์ แล้วเข็นท่านผู้หญิงออกไป แสงแขผลุบแอบหลังเสา ...
อดิศวร์มองตาม แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องเก็บของอีกครั้ง
อดิศวร์เดินตรงไปยังหีบใบนั้น แล้วดึงผ้าออก สีหน้าดูเคร่งเครียด
อดิศวร์เปิดฝาหีบออก แล้วต้องผงะทั้งๆ ที่เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ...กลิ่นสาบสางจางๆ ที่พุ่งขึ้นมา
ทำให้ต้องปิดจมูก มีโครงกระดูกนางพิศอยู่ในสภาพถูกจับให้งอตัว
ที่ประตูห้อง แสงแขค่อยๆ แอบมองมา
ทันใดนั้นควันจางๆ คล้ายๆ ร่างคน ลอยขึ้นมาแล้วผ่านออกไปตามรอยแตกของผนัง อดิศวร์ทอดถอนใจยาว แล้วยกมือไหว้
แสงแขถามขณะยังอยู่ที่เดิม “ในนั้นมีอะไรหรือคะ”
อดิศวร์หันกลับมามอง
แสงแขหน้าเจื่อนไป “ขอประทานโทษค่ะ”
“ไปตามสมมา”
“ค่ะ”
แสงแขเดินออกไป อดิศวร์เดินไปเปิดหน้าต่างให้แสงสว่างเข้ามาในห้อง
อุษากำลังจัดเสื้อผ้าของท่านผู้หญิงที่ซักรีดแล้วเก็บในตู้ ท่านผู้หญิงนั่งพิงหมอนที่ซ้อนๆ กัน ดวงตามองเหม่อตรงไปข้างหน้าครู่หนึ่ง
“อุษา”
อุษาหันกลับมา “คะ...คุณย่า”
“ออกไปดูซิว่า ตาลบให้รื้อห้องเก็บของหรือเปล่า”
“ค่ะ”
อุษาขยับจะลุกขึ้น อุไรเปิดประตูเข้ามา แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นท่านผู้หญิงมองมา นัยน์ตาคมกริบ
“ขอประทานโทษค่ะ” อุไรรีบทรุดตัวลงคุกเข่า “อุไรนึกว่าท่านผู้หญิงนอนหลับ”
“อ้อ...อ! แล้วไง! แกจะฆ่าฉันเรอะ” ท่านผู้หญิงแดกดัน
อุไรและอุษาสะดุ้งพร้อมๆกัน
“เปล่าเจ้าค่ะ อุไรแค่จะมาเรียนให้คุณอุษาทราบว่า คุณลบสั่งให้พี่สมรื้อห้องเก็บของอีกแล้วค่ะ! เห็นว่ามีหีบศพ …”
ท่านผู้หญิงหัวเราะร่วนขัดขึ้น “ดี! รื้อให้หมดทั้งบ้านยิ่งดี! ผีสางที่มันแอบอยู่มุมไหนซอกไหนจะได้ออกมากันให้หมด”
อุไรกลืนน้ำลาย
“อุไร ออกไปก่อน”
“ค่ะ” อุไรเดินออกไป
ท่านผู้หญิงนัยน์ตาเหม่อลอย แล้วเริ่มร้องเพลงนางครวญออกมา
“โอ้ว่าป่านฉะนี้พระพี่เจ้า ...
จะโศกเศร้ารัญจวนหวนหา...”
ท่านผู้หญิงหยุดเหมือนมีก้อนสะอื้นขึ้นมา น้ำตาคลอเบ้า
“ป่านนี้พวกมันคงเจอกันแล้ว...ฉันต่างหากที่ต้องโศกเศร้าหวนหา”
หญิงชราร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ฉันต่างหากที่ต้องคร่ำครวญอยู่คนเดียว”
อุษามองภาพนั้นด้วยความสลดหดหู่ใจ
อ่านต่อหน้า 2
หมายเหตุ : ตัวหนังสือสีแดงคือ เรื่องราวที่เพิ่มเข้ามาใหม่
โดมทอง ตอนที่ 16 (ต่อ)
บรรยากาศยามโพล้เพล้จวนค่ำ ครอบคลุมทั่วบริเวณโรงพยาบาล อดิศวร์เดินเข้ามาภายในห้องพักวิรงรอง ด้วยสีหน้าอิดโรยเคร่งเครียด เขายกมือไหว้ปราง แล้วหันมารับไหว้ลานนา ก่อนจะส่งเสียงถามวิรงรองเบาและอ่อนโยน
“เป็นยังไงบ้าง”
วิรงรองยิ้มบางๆ ให้ “ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ”
ลานนาหันมาทางปราง “เอ้อ...คุณคะ...เราออกไปหาอะไรทานกันก่อนดีมั้ย”
ปรางหันมามอง 2 หนุ่มสาวแว่บหนึ่ง “ไปซิคะ”
2 คนเดินออกไป อดิศวร์เดินมาใกล้ๆ จับมือวิรงรองไว้ แล้วก้มลงจูบหน้าผาก
“ฉันเป็นห่วงเธอมาก อยากจะมาเฝ้าอยู่ทั้งวัน แต่ก็...” อดิศวร์ก้มหน้าลง แล้วขบกรามแน่น
มือวิรงรองพลิกมาจับมือเขาไว้ แล้วบีบเบาๆ
“ไหนเล่าให้วิฟังซิคะ”
“อย่าเลย...แม้แต่ฉันยังรับแทบไม่ไหว”
วิรงรองสะเทือนใจขึ้นมาอีก จนน้ำตาคลอ “ตั้งแต่เกิดเรื่อง...ไม่มีอะไรที่วิจะรับไม่ไหวแล้วละค่ะ”
อดิศวร์ถอนใจ ก่อนบอก “เราพบโครงกระดูกคุณปู่ฝังอยู่ใต้พื้นดินในโรงเก็บรถม้า”
วิรงรองสะดุ้งเฮือก
“อะไรนะคะ”
อดิศวร์บีบมือวิรงรองเบาๆ ทอดถอนใจด้วยสีหน้าเศร้าโศกสะเทือนใจอย่างหนัก
ปรางและลานนากำลังนั่งคุยกันอยู่ด้านนอก สักครู่หนึ่งจึงเห็นภูไทและพันธุ์สูรย์เดินเข้ามา
“ยัยน้อง ทำไมพาคุณน้าออกมานั่งที่นี่ล่ะ”
“พอดีคุณอดิศวร์มาเยี่ยมวิน่ะค่ะ เลยเปิดโอกาสให้เขานิดหน่อย”
ปรางแกล้งกระแอมเล็กๆ
“ยัยน้องนี่ยังไง” ภูไทชำเลืองมองปราง
“ไม่เป็นไรค่ะ ความจริงน้าอยากจะโกรธคุณอดิศวร์ แต่ก็โกรธไม่ได้เพราะลูกสาวเราไม่ยอมโกรธ เข้าไปข้างในเถอะค่ะ...ปล่อยให้คุยกันนานแล้ว”
ภูไทและพันธุ์สูรย์หัวเราะให้กัน ตามปรางและลานนาเข้าไป
ทุกคนเดินเข้ามาในห้อง วิรงรองไหว้ภูไท และพันธุ์สูรย์อย่างแจ่มใส ขณะอดิศวร์สีหน้าขรึมลง
“คุณอดิศวร์มาพอดี อยากจะไปกับเราไหมครับ”
อดิศวร์ตั้งท่าจะปฏิเสธแบบไม่มีเยื่อใย วิรงรองเห็นรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“ไปเถอะค่ะ...ไปกราบหลวงพ่อของคุณพันธุ์สูรย์กัน”
ลานนาอธิบายต่อ “พี่ชายกับพี่พันธุ์สูรย์ไปนิมนต์ท่านมาพักที่บ้านค่ะ...ท่านค่อนข้างตกใจ ตอนทราบเรื่องของวิ... พี่พันธุ์สูรย์เลยขอให้ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโดมทองให้ฟัง”
พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้น “ไปไหมครับ! คุณลบ!”
อดิศวร์จ้องมองหน้าพันธุ์สูรย์ เห็นมีแต่ความจริงใจ อดิศวร์จึงเบือนหน้ามามองคู่หมั้น วิรงรองยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
อดิศวร์เหมือนจะตัดสินใจได้
ค่ำแล้ว ตัวบ้านคุ้มภูไทมีแสงไฟสว่างลอดออกมาจากชั้นล่าง ภายนอกไฟโคมในสนามเปิดสว่างจ้า ทุกคนรวมตัวอยู่
ภายในห้องรับแขก
ลานนาถือถาดวางกาน้ำร้อนและถ้วย คลานมาวางตรงหน้าหลวงพ่อ ขณะที่บัวคำประคองถาดเอียงกะเท่เร่มาเสิร์ฟน้ำ โดยวิรงรองต้องเข้าช่วย
“รอดตายไปอีกมื้อนึง ขอบคุณค่ะ”
พันธุ์สูรย์ซึ่งอยู่ใกล้หลวงพ่อคอยดูแล รินน้ำชาถวายให้
“ถ้าหลวงพ่อไม่ไหว ก็ไม่เป็นไรนะครับ” ภูไทเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร...อาตมาอยากจะเล่าถึงที่มาที่ไปให้ทุกคนรู้ถึงที่มาของความเกลียดชังและความอาฆาตพยาบาทนี้ ...ให้ตระหนักถึงความทุกข์และโศกนาฏกรรมที่ตามมา ทางเดียวที่จะกำจัดมันไปได้คือลดทิฐิมานะลง รู้จักปล่อยวางและอภัยให้กัน ...”
หลวงพ่อยกน้ำชาขึ้นจิบ แววตาครุ่นคิดคำนึง
“ความจริง...ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ ไกรณรงค์ผู้เป็นเจ้าของ “โดมทอง” นั้น ผูกสมัครรักใคร่กับคุณพลับพลึง ซึ่งเป็น
น้องสาวแท้ๆ ของท่านผู้หญิงมาก่อน ...แต่ต่อมาเกิดผิดฝาผิดตัวกันอย่างไรไม่ทราบ ทางท่านบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายได้จัดการให้ท่านเจ้าคุณสมรสกับคุณมณฑา ซึ่งต่อมาก็คือท่านผู้หญิงสรรักษ์ ไกรณรงค์นั่นแหละ ... แล้วหลังจากนั้น “โดมทอง” ก็หาความสงบสุขไม่ได้เลย”
สีหน้าแต่ละคนฟังอย่างสนใจเต็มที่
หลวงพ่อพาทุกคนย้อนเข้าสู่ภาพในอดีต ต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่เกาะกินทุกชีวิตใน โดมทอง
ทั่วอาณาบริเวณของคฤหาสน์ “โดมทอง” ในเวลานั้น ดูยังใหม่เหมือนเพิ่งเริ่มสร้างได้เพียงไม่นาน ไม้ดอกไม้ใบที่ด้านนอก อวดตัวชูดอกใบให้ความสดชื่นสงบสุข ก่อนที่จะมีเรื่องร้ายกล้ำกรายเข้ามา
ส่วนภายในห้องนั่งเล่น ท่านเจ้าคุณในวัยหนุ่มแน่น 30 ปี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “น้อย” โดยในเวลานั้นยังเป็นเพียง คุณพระ เดินเข้ามา สีหน้าแววตายิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“อ้าว! พ่อน้อย...เข้ามาซิลูก...พ่อกับแม่กำลังอยากพบอยู่พอดี” ผู้เป็นแม่เรียก
คุณพระเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าท่าทางออกอาการเก้อเขินเล็กๆ
“มีอะไรหรือเปล่า...ท่าทางแปลกๆ” พ่อถาม
“ผมมีเรื่องจะมากราบขอความกรุณาคุณพ่อกับคุณแม่ขอรับ”
“ว่ามาเลย” พ่อบอก
“ให้คุณแม่พูดก่อนดีกว่าขอรับ” คุณพระว่า
“เรื่องที่แม่จะพูดเป็นข่าวดี...พ่อน้อยจะอายุครบ 30 แล้วใช่ไหม”
“ขอรับ...อีก 2 เดือน”
“แม่จะไปสู่ขอผู้หญิงให้”
คุณพระสะดุ้ง
“แม่เขาเห็นพ่อน้อยไม่ยอมมีเมียสักที! นี่อายุก็ปาเข้าไป 30 ปีแล้วเขาเลยมาปรึกษาพ่อ...พ่อเองก็เห็นด้วย”
คุณพระขยับจะพูดกับพ่อ แต่แม่ชิงพูดขึ้นก่อน
“แม่รับรองว่า พ่อน้อยต้องถูกใจผู้หญิงคนนี้...เพราะรูปร่างหน้าตาหรือก็สวยงาม...ฐานะชาติตระกูลหรือก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา”
“คุณแม่ขอรับ...”
“อยากรู้แล้วใช่มั้ยว่าเป็นใคร ผู้หญิงที่งามเพียบพร้อมคนนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล...อันที่จริง...ครอบครัวของฝ่ายโน้นกับเราก็สนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างดีมาเป็นเวลานาน”
สีหน้าคุณพระใคร่ครวญดู แล้วค่อยๆยิ้มออก
พ่อมองอย่างรู้ทัน “พูดแค่นี้ก็รู้แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“ขอรับ”
“แม่เขาไปสู่ขอลูกสาวของท่านเจ้าคุณพินิจนราดุลย์ให้”
คุณพระสูดลมหายใจยาวอย่างโล่งใจและยิ้มกว้าง
“แม่มณฑาน่ะ” แม่บอก
คุณพระสะดุ้ง แล้วหุบยิ้มทันที “ใครนะขอรับ”
“แม่มณฑาไง...แม่ไปสู่ขอแม่มณฑาให้”
“ไม่ได้นะขอรับ ลูกรักแม่พลับพลึง”
พ่อและแม่ชะงัก มองหน้ากัน แล้วหันมามองลูกอย่างยุ่งยากใจ
ส่วนที่บ้านท่านเจ้าคุณพินิจนราดุล บิดาของ มณฑา และพลับพลึง มณฑาฟังความจากพ่อและแม่ด้วยท่าทีเขินอาย
“ลูกแล้วแต่คุณพ่อคุณแม่เจ้าค่ะ”
ผู้เป็นพ่อและแม่ยิ้มด้วยความพอใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่าตกลง...พ่อจะได้ปรึกษากับทางเจ้าคุณพินิจฯ หาฤกษ์หายามกันเลย”
“แม่ดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี...”
มณฑาก้มหน้าลงยิ้มอย่างอายๆ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
คุณพระหน้าตายุ่งยากใจ
“จะไปเปลี่ยนตัวได้ยังไงในเมื่อพ่อไปทาบทามแม่มณฑาให้แล้ว” พ่อบอก
“ลูกไปพูดเองก็ได้ขอรับ”
แม่ท้วง “แล้วพ่อน้อยไม่คิดถึงใจแม่มณฑาบ้างรึ! ป่านนี้คงรู้แล้วว่าพ่อกับแม่ไปสู่ขอให้พ่อน้อย”
“แต่ลูกไม่ได้รักแม่มณฑา ลูกรักพลับพลึง และพลับพลึงก็รักลูก”
“แก่แดด แม่พลับพลึงน่ะยังเด็ก” แม่บอก
“อายุ 18...ไม่เด็กแล้วนะ ขอรับ”
“พ่อน้อย! …อย่าให้พ่อกับแม่ต้องถูกถอนหงอกเลยนะ ถึงตอนนี้ลูกยังไม่ได้รักแม่มณฑา พ่อเชื่อว่าอยู่กันไป พ่อน้อยก็จะรักเองแม่มณฑาน่ะไม่ได้สวยน้อยไปกว่าแม่พลับพลึงเลย”
“ข้อนั้นลูกไม่ได้เถียงขอรับ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ลูกมีคนรักแล้วคือ แม่พลับพลึง”
พ่อหันหน้าไปสบตาแม่ ซึ่งมีสีหน้ากลุ้มๆ อยู่
“จะว่าอย่างไร... แม่เพลิน”
ในที่สุดพ่อแม่ 2 ฝ่ายมาหารือกัน ที่บ้านสองสาว โดยผู้เป็นแม่ของสองสาวทอดถอนใจกลัดกลุ้ม ผินหน้าไปมองพ่อคุณพระซึ่งสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
ฝ่ายแม่สองสาวพูดขึ้นในที่สุด “ดิฉันเข้าใจค่ะ…แต่ดิฉันก็เห็นใจและสงสารแม่มณฑามาก...จริงอยู่ ทั้งแม่มณทากับแม่พลับพลึงเป็นลูกสาวของดิฉันทั้งคู่...แล้วทั้งคู่ก็รักพ่อน้อยเหมือนกัน...ถ้าเกิดเปลี่ยนตัวขึ้นมา...พี่น้องจะมองหน้ากันอย่างไร ...อีกอย่าง...แม่มณฑาก็รับรู้แล้ว...ตื่นเต้นดีใจ...ตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวที่จะต้องใช้ในวันหมั้นแล้ว...เพื่อนฝูงญาติพี่น้องก็บอกกันไปเรียบร้อย... แกจะผิดหวังเสียใจเพียงไหน ถ้าถูกบอกเลิกให้เป็นม่ายขันหมาก”
พ่อกับแม่คุณพระถอนใจหนัก และพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อีกอย่าง...ตามธรรมเนียมบ้านเรา...น้องสาวจะแต่งงานออกเรือนไปก่อนพี่สาวไม่ได้…ฝากบอกพ่อน้อยด้วยว่าถ้าไม่หมั้นไม่แต่งกับแม่มณฑา ก็อย่าหวังว่าจะได้แต่งกับแม่พลับพลึง”
พ่อแม่คุณพระต่างถอนใจกลุ้มๆ
มณฑากำลังปรึกษากับพลับพลึง โดยมีผ้าไหมสีสวยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้ง 2 คน มณฑานั้นแจ่มใส และมีความสุขจนลืมสังเกตสีหน้าแววตาน้อง ในขณะที่พลับพลึงเองก็พยายามฝืนยิ้มยินดีกับพี่สาวเต็มที่
“พลับพลึงว่า พี่จะใส่สีกลีบบัวนี่ดีไหม”
“ค่ะ...น้องว่าสวยเสียอีกน่ะซีคะ...ที่จริง คุณพี่ผิวขาว...ใส่สีไหนก็ขึ้นทุกสี”
พลับพลึงหยิบผ้าไหมสีเหลืองนวลขึ้นมา
“สีนี้ก็สวยค่ะ...อาจจะใส่เป็นชุดรดน้ำ...”
พลับพลึงพูดไม่ทันจบ แม่เดินเข้ามา สีหน้าถึงจะยิ้มแย้มแต่ก็มีร่องรอยกังวล
“มณฑา”
สองสาวหันมา ยิ้มหวานเมื่อเห็นแม่
“ขอยืมตัวพลับพลึงไปช่วยแม่หน่อยได้ไหม”
“ได้ซิคะ! คุณแม่จะทำอะไรหรือคะ...ให้ลูกไปช่วยอีกคนก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกลูก...มณฑาเลือกผ้าไปเถอะ...ได้แล้วจะได้ดูเครื่องประดับ”
“ค่ะ”
“ไป...พลับพลึง”
“ค่ะ”
พลับพลึงตามแม่ออกไป
แม่เดินเข้ามาในห้องท่าน แล้วไปทรุดตัวลงนั่ง พลับพลึงปิดประตูเบาๆ แล้วคลานเข้ามานั่งพับเพียบเรียบร้อยตรงหน้าแม่
“เมื่อเช้า...เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ของพ่อน้อยเขามาพบแม่ ตอนที่แม่มณฑากับลูกไปเลือกซื้อผ้ากัน”
พลับพลึงก้มหน้า รับคำเบาๆ “ค่ะ”
“ท่านบอกว่า พ่อน้อยจะขอเปลี่ยนตัวเจ้าสาวจากแม่มณฑาเป็นลูก”
พลับพลึงสะดุ้งเฮือก แล้วเงยหน้าทันที “คุณแม่”
แม่มองสังเกตท่าทีของลูกสาวแว่บหนึ่ง “แม่บอกตรงๆว่าหนักใจ แม่มณฑาก็ลูก...พลับพลึงก็ลูก”
พลับพลึงบอกด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “เปลี่ยนไม่ได้ค่ะ...ลูกไม่ยอมเด็ดขาด”
“พลับพลึง”
พลับพลึงน้ำตาคลอ “ในเมื่อตกลงกันไว้อย่างไร ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามนั้น ลูกจะไม่มีวันทำให้คุณพี่ต้องเสียใจแน่นอน”
“เฮ้อ...ถ้าแม่รู้เสียตั้งแต่แรก”
พลับพลึงกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไป “มันสายเกินไปเสียแล้วค่ะ คุณแม่...ลูกยอมเสียใจคนเดียวดีกว่าจะให้อีกหลายๆคนต้องยุ่งยาก”
ผู้เป็นแม่ลูบผมพลับพลึง “ขอบใจมากลูก...แม่ขอบใจมาก...คุณพ่อทราบก็คงจะสบายใจขึ้น”
พลับพลึงป้ายน้ำตา “ลูกขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”
“ได้ซิ”
“ลูกไม่อยากให้คุณพี่ทราบเรื่องนี้”
“พ่อกับแม่น่ะรับปากได้...ไม่มีปัญหาอะไร...แต่ทางพ่อน้อยนี่ซิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนั้นลูกจะขอร้องคุณพี่เอง...”
“ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้ แม่จะชวนแม่มณฑาออกไปข้างนอก...แล้วจะบอกทางโน้นให้พ่อน้อยมาพบลูกที่นี่” ผู้ป็นแม่สีหน้าลังเลขึ้นมา “ว่าแต่...”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ลูกไม่มีวันทรยศคุณพี่แน่นอน”
สีหน้าแววตาพลับพลึงเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง
ด้านมณฑาเลือกผ้าไหมที่จะใช้ในโอกาสต่างๆ กัน แยกเป็นพับๆ พลับพลึงเดินเข้ามา แล้วหยุดยืนมองพี่ ซึ่งนั่งหันหลังให้ จัดผ้าเหล่านั้นอย่างมีความสุข
สีหน้าพลับพลึงเจ็บปวด แล้วจึงฝืนทำสีหน้าแววตาให้แจ่มใส
“คุณพี่เลือกได้แล้วหรือคะ”
มณฑาหันมามอง ขณะพลับพลึงเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เดิม
“จ้ะ ... 2 พับนี้ พี่ให้พลับพลึง...ชอบไหม”
พลับพลึงไหว้ “ชอบมากค่ะ ขอบพระคุณค่ะ”
“สีโศก พลับพลึงคงไม่ถือ ตอนซื้อมาพี่ลืมไปว่าต้องใช้ในวันแต่งงาน เสียดายเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ให้พลับพลึงใส่แทนคงได้ เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาว”
“ค่ะ...น้องจะใส่แทนคุณพี่เอง”
มณฑายิ้มแล้วนึกได้ “เออ...เพิ่งนึกได้ว่าจะพูดอะไรกับพลับพลึง แต่งงานแล้ว...พี่จะขออนุญาตคุณพี่พาเธอไปอยู่ที่โดมทองด้วย”
พลับพลึงสะดุ้ง
“ห้ามปฏิเสธ! เราสองคนรักและสนิทกันมาก...ถ้าไม่มีเธอไปด้วยพี่คงเหงาแย่!”
พลับพลึงอึ้ง และกระอักกระอ่วนใจ
ค่ำคืนที่สวยงาม...ดวงจันทร์นวลกระจ่าง ภายในห้องพลับพลึงนอนตะแคงร้องไห้เบาๆ โศกเศร้าเจ็บปวดเหลือแสน
เช้านั้นคุณพระแวะมาที่บ้านพลับพลึง และกำลังมองพลับพลึงอย่างตัดพ้อ
“ทำไม! ทำไมพลับพลึงถึงขอร้องให้พี่ทำอย่างนี้! เท่าที่เป็นอยู่นี่ยังทรมานไม่เพียงพออีกหรือ”
พลับพลึงพยายามกล้ำกลืนน้ำตาลงไป “น้องไม่ต้องการทำร้ายคุณพี่มณฑา”
คุณพระแค่นหัวเราะประชด “อ้อ ก็เลยทำร้ายตัวเอง”
“น้องกราบขอร้องละค่ะ เราสองคนไม่ได้ทำบุญด้วยกันมา ในเมื่อคุณพี่ต้องแต่งงานกับคุณพี่มณฑาแล้วก็ไม่ควรจะทำอะไรให้เธอต้องทุกข์ใจ รับปากกับน้องซิคะ”
มุมหนึ่ง พิศลอบมองทั้ง 2 คนอย่างจับผิด
“นะคะ...คุณพี่”
คุณพระหมางเมิน “ถ้าเธอต้องการอย่างนั้นก็ตามใจ”
พลับพลึงยกมือไหว้ “ขอบพระคุณมากค่ะ”
คุณพระเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พิศมองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
มณฑากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากกลับจากข้างนอก เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใครคะ”
“พิศเองค่ะ”
“เข้ามาซิ”
ประตูเปิดออกพิศเดินเข้ามา ปิดประตู ในมือถือถาดวางแก้วน้ำแข็งใส่น้ำยาอุทัย
“น้ำเย็นเจี๊ยบชื่นใจค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
มณฑาหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“เมื่อเช้า คุณพระมาที่นี่ค่ะ”
“ตายจริง...พลับพลึงไม่เห็นบอกฉันเลย!”
พิศทำหน้าเจ้าเล่ห์ “จะบอกทำไมให้ป่วยการล่ะคะ สู้แอบมาไปคุยกัน 2 ต่อ 2 ไม่ได้”
มณฑาชะงัก “อะไรนะ”
“ก็คุณพลับพลึงนะซีค่ะ แอบคุยกับคุณพระสองต่อสองตั้งเป็นนานสองนาน”
มณฑามองหน้าพิศ
“คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อพิศก็ตามเถอะ พิศขอเตือนว่า อย่าไว้ใจคุณพลับพลึงเป็นอันขาด”
มณฑามีสีหน้าแววตาเหมือนหวาดระแวงทันที
วันเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง มณฑากับคุณพระ แต่งงานกันในที่สุด และย้ายมาอยู่ที่โดมทอง ซึ่งในวันนี้บ่าวคนหนึ่งเปิดประตูนำพลับพลึงเข้ามาในห้องพักห้องหนึ่งในโดมทอง มือบ่าวมีกระเป๋าเสื้อผ้าด้วย วางกระเป๋าลงขณะที่พลับพลึงมองไปโดยรอบอย่างพอใจ บ่าวหันหลังกลับจะออกไป
มณฑาเดินเข้ามาพอดี บ่าวหยุดยืนตัวลีบรอให้มณฑาเข้ามา แล้วตัวเองออกไป ปิดประตูเบาๆ มณฑามองผ่านหน้าพลับพลึงแว่บหนึ่งด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“เป็นยังไงบ้างชอบห้องนี้ไหม”
“ชอบค่ะ”
“ถ้าชอบละก็ ขอให้นึกไว้ตลอดเวลาว่าพี่ดีกับเธอขนาดไหน”
พลับพลึงชะงักกับคำพูดแปร่งหู มองพี่สาวอย่างประหลาดใจ
“ความจริง พี่จะไม่พาเธอมาอยู่ด้วยก็ได้ แต่พี่สัญญากับเธอไว้ ก็ต้องรักษาสัญญา”
“โธ่ ! เรื่องแค่นี้”
มณฑาสวนเสียงแข็งทันที “ไม่ใช่เรื่องแค่นี้ พี่เป็นคนรักษาสัญญาเธอเองก็รู้ เพราะฉะนั้น เธอก็ต้องรักษาสัญญาเหมือนกัน”
“น้อง...ไม่เข้าใจค่ะ”
มณฑาเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไป “อย่าทำอะไรที่เป็นการอกตัญญูกับพี่”
พลับพลึงตกใจ “คุณพี่”
“เท่านั้นแหละ”
มณฑาเดินออกไป โดยพลับพลึงมองตามงงๆ
ตกตอนเย็น มณฑานั่งพับดอกบัวจะถวายพระโดยมีพิศช่วย สองบ่าวนายอยู่ในห้องนั่งเล่น
“เมื่อกี้ตอนเดินผ่านห้องครัว พิศเห็นคุณพลับพลึงเข้าไปทำกับข้าวแน่ะค่ะ”
“ฉันบอกให้ไปเอง ! อยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะฟุ้งซ่าน”
คุณพระเดินเข้ามา เพิ่งกลับจากทำงาน สีหน้าแววตาแจ่มใส และมีแววตาตื่นเต้นแฝงอยู่อย่างปิดไม่มิด
“แม่มณฑา”
มณฑาแดกดันเล็กๆ “วันนี้ดูเหมือนคุณพี่จะกลับจากงานเร็วกว่าปกตินะคะพิศ ! เอ็งไปเตรียมของว่างให้คุณพระด้วย”
“ค่ะ” พิศออกไป
คุณพระทรุดตัวลงนั่ง “แม่พลับพลึงมาถึงหรือยัง”
มณฑาพับดอกบัวต่อด้วยสีหน้าแววตาเรียบเฉย “มาถึงตั้งแต่เมื่อตอนสายๆ ค่ะ ดิฉันสั่งให้พิศจัดห้องให้ตั้งแต่เมื่อวาน”
“แล้วนี่ไปไหนเสียล่ะ” คุณพระมองโดยรอบ
“ทำกับข้าวอยู่ในครัวซิคะ”
“อ้าว ทำไม”
“พลับพลึงทำกับข้าวเก่ง...รับรองว่าคืนนี้คุณพี่รับประทานข้าวได้มากกว่าทุกวันแน่ ๆ”
มณฑาตวัดสายตาผ่านคุณพระขณะพูด
หลวงพ่อเล่านาน จนรู้สึกเหนื่อยล้า รับน้ำชาจากพันธุ์สูรย์ซึ่งรินถวายให้ขึ้นมาดื่ม
“ไม่เป็นไร...อาตมายังไหว”
“ถ้าคุณพลับพลึงไม่มา “โดมทอง” ก็คงไม่มีเรื่อง” วิรงรองเอ่ยขึ้น
“ดูเหมือนแรกๆ เธอก็จะไม่มาเหมือนกัน...โดยอ้างว่าต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ แต่ท่านทั้ง 2 เกิดประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต...เธออยู่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นอีกสักพักใหญ่ๆ ท่านผู้หญิงถึงให้ไปรับมา บางคนก็ว่า
ท่านเจ้าคุณท่านให้ไปรับมา เพราะเป็นห่วง ที่คุณพลับพลึงต้องอยู่คนเดียว” หลวงพ่อเล่า
“เท่าที่ฟัง...รู้สึกว่าท่านผู้หญิงจะระแคะระคายเรื่องท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึงแล้วนะคะ” ปรางออกความเห็น
หลวงพ่อพยักหน้า “ใช่” พลางถอนใจ “ที่ร้ายที่สุดก็คือ ท่านเจ้าคุณไม่ได้คิดจะปิดบังเสียด้วย...โดยเฉพาะระยะหลังๆ ที่เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ท่านเสีย...ก็เลยไม่ต้องเกรงใจใคร อีกอย่างท่านได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์...มีทั้งอำนาจและบารมี ความเกรงใจท่านผู้หญิงก็เหลือน้อยลงไป”
วิรงรองฟังแล้วนึกสะท้อนใจ “น่าเห็นใจท่านผู้หญิงเหมือนกันนะคะ”
ทุกๆ คนพยักหน้าช้าๆ อย่างเห็นด้วย
“คุณพลับพลึงเองก็อยากหลบเลี่ยงท่านเจ้าคุณตลอดเวลา...เรื่องราวมาถึงจุดแตกหักในคืนวันเกิดท่านเจ้าคุณ ... วันนั้น...โดมทองมีงานใหญ่ อาตมายังจำได้...ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก...เราตื่นเต้นกันมาก...หลังจากงานวันนั้น “โดมทอง” ก็ไม่เคยกลับไปเหมือนเดิม อีกเลย”
สีหน้าแต่ละคนฟังต่ออย่างสนใจ
ที่โดมทอง ในค่ำคืนนั้นบรรยากาศแสนคึกคัก ด้วยมีงานเลี้ยงวันเกิด เจ้าพระยาสรรักษ์ ไกรณรงค์ ที่ด้านนอก มีเด็กชายคนหนึ่ง กำลังวิ่งเล่นตาม นายพันอยู่ด้วย
ดวงจันทร์เต็มดวงทรงกลด ทอแสงสวยกระจ่างอยู่เหนือยอดโดมทอง ท้องฟ้าไร้เมฆหมอกใดๆ แสงกระจ่างฉาบทาทั่วตัวบ้าน ยิ่งทำให้โดมทองสวยสง่า ส่วนภายในสว่างไสวไปด้วยแสงไฟประดับประดาตามมุมต่างๆ โดยเฉพาะในห้องถงใหญ่ สถานที่จัดงาน แลเห็นผู้คนในเครื่องแต่งกายหรูหรา แบบสากลนิยม
ภายนอกมีทั้งรถยนตร์ รถม้าจอดเป็นแนว มีแสงไฟสีต่างๆ ส่องลอดออกมาจากบรรดาต้นไม้ใหญ่น้อยที่แขวนไว้อย่างมีระเบียบ
แขกบางคนก็เพิ่งมาถึง มีการทักทายกันไป
บรรดาคนขับรถต่างจับกลุ่มกันพูดคุยอย่างสนุกสนาน โดยมีโต๊ะอาหารคาวหวานตั้งบริการอย่างดี และมีคนงานคอยเติมเครื่องดื่มให้
โดมทองในยุครุ่งเรืองดูคึกคัก ยิ่งใหญ่สวยงามประทับใจ
ภายในห้องโถงใหญ่ ซึ่งคึกคักด้วยแขกชายหญิงแต่งตัวสวยงาม ในมือแต่ละคนมีแก้วแชมเปญ จับกลุ่มคุยกันด้วยสีหน้าแจ่มใสสดชื่น
บริกรถือถาดเครื่องดื่มคอยเสริฟให้ผู้ที่เข้ามาใหม่ และเติมให้กับผู้ที่จิบหมดแล้ว
ท่านผู้หญิงสรรักษ์วัยสาว อยู่ในเครื่องแต่งกายหรูหรา ดูสวยสง่า เตรียมเต้นรำเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วรับไหว้ทักทายแขกในขณะที่ดวงตาก็กวาดไปโดยรอบ แต่ไม่ให้โจ่งแจ้งน่าเกลียด
สักพักหนึ่ง นางพิศเดินค้อมตัวเข้ามาข้างหลังท่านผู้หญิง
“ท่านผู้หญิงเจ้าคะ”
ท่านผู้หญิงเบือนหน้าไปมอง พิศกระซิบเบาๆ
“ท่านเจ้าคุณอยู่ในห้องดนตรีเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงพยักหน้า นัยน์ตามีแววหวาดระแวงขึ้นมาวูบหนึ่ง
พิศใส่ไฟต่อ “คุณพลับพลึงก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
คราวนี้ท่านผู้หญิงเม้มปากแน่น นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์
ส่วนที่ห้องดนตรี ท่านเจ้าคุณนั่งอยู่กับกลุ่มแขกสูงอายุประมาณ 3-4 คน ทุกคนทอดสายตาไปยังพลับพลึงซึ่งกำลังนั่งเล่นซอสามสาย ร่วมกับวงมโหรีเพลง “นางครวญ”
แขกแต่ละคนมีสีหน้าแววตาชื่นชม ดื่มด่ำไปกับเพลง ในขณะที่ท่านเจ้าคุณนั้นมองไปที่พลับพลึงเพียงจุดเดียวด้วยสีหน้าแววตาบอกความรู้สึกลึกซึ้ง อ่อนหวาน และอ่อนไหว
พลับพลึง เล่นซอด้วยสีหน้าแววตาอ่อนเศร้าเข้ากับเพลง บางจังหวะ พลับพลึงช้อนตาขึ้นสบตาท่านเจ้าคุณเศร้าๆ ใบหน้าเจ้าคุณเหมือนอยากจะเข้าไปโอบประคองปลอบโยน
สักพักหนึ่ง เสียงท่านผู้หญิงดังขึ้น ด้วยสุ้มเสียงพยายามทำให้แจ่มใส
“เจ้าคุณพี่มาอยู่ที่นี่เอง”
ทุกคนหันมามอง ท่านผู้หญิงเดินเข้ามาที่ท่านเจ้าคุณ แล้วหันไปยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดเล่น ...
โดยไม่วายจิกตาไปที่พลับพลึง ซึ่งรีบก้มหน้าด้วยความกลัว ทุกคนวางมือ
“แขกเหรื่อถามหากันยกใหญ่ เชิญคุณลุงคุณป้าข้างนอกดีกว่านะคะ...ดูเหมือนเขาจะเสิร์ฟอาหารกันแล้ว...”
“พอดีคุณลุงคุณป้าท่านต้องการจะฟังซอสามสาย ฉันก็เลยพาเข้ามาในนี้” ท่านเจ้าคุณบอก
“แม่พลับพลึงเล่นซอสามสายได้เพราะมาก...ลุงฟังจนลืมหิวไปเลย” แขกคนหนึ่งว่า
อีกคนเสริม “ที่จริง...เรากินกันในนี้ก็ได้...ข้างนอกผู้คนเยอะแยะไปหมด”
คนอื่นพยักเพยิดเห็นด้วย
“งั้นเดี๋ยว ผมจะให้เขาจัด” ท่านเจ้าคุณบอก
ท่านผู้หญิงแย้งเสียงอ่อนหวาน “เชิญข้างนอกสะดวกกว่าค่ะ...ลูกๆหลานๆ จะได้มากราบขอพร...เจ้าคุณพี่...พาคุณลุงคุณป้าออกไปซิคะ”
ท่านเจ้าคุณเหลือบมองพลับพลึงแว่บหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เชิญครับ”
ทุกคนลุกขึ้น ออกเดินไป
แขกผู้ใหญ่อีกคนหันไปทางพลับพลึง “ขอบใจนะ แม่พลับพลึง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ทั้งหมดเดินออกไป โดยมีท่านผู้หญิงรั้งท้าย หันมาทางพลับพลึงและนักดนตรีที่กำลังเก็บของ
สายตาที่ท่านผู้หญิงมองมายังพลับพลึง วาววับน่ากลัว “อย่าเพิ่งไปไหน”
“ค่ะ” พลับพลึงก้มหน้าอย่างหวาดกลัว
ท่านผู้หญิงเดินออกไป
พลับพลึงหันมาไหว้นักดนตรีทุกคน “ขอบคุณทุกคนมากนะคะ เชิญออกไปรับประทานอาหารเลยค่ะ”
“แล้วหนูล่ะ” นักดนตรีถาม
“หนูยังไม่หิวเลย...เชิญทุกคนนะคะ”
ทุกคนเดินออกไป พลับพลึงลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปด้วยสีหน้าเศร้าๆ
นักดนตรีเดินออกมาพลางพูดคุย
“ท่านผู้หญิงดุยังกับเสือ น่าสงสารคุณพลับพลึง” คนหนึ่งว่า
“ก็ท่านเจ้าคุณนั่นแหละ” อีกคนบอก
ทั้งหมดชะงัก เมื่อเห็นท่านผู้หญิงเดินย้อนกลับมา ติดตามด้วยพิศซึ่งเลียนท่าทางเจ้านายเปี๊ยบ
ท่านเจ้าคุณถลึงตามอง ทุกคนรีบก้มหน้าก้มตาค้อมตัวเดินไปด้วยความกลัว
ท่านผู้หญิงมองตาม “สมคบกันดีนัก”
“มันน่าให้ตายตกไปตามกันเจ้าค่ะ เจ้าขา”
ท่านผู้หญิงหันขวับมา “อีพิศ ระวังปากของเอ็งไว้”
“เจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงเดินไปที่ประตู เปิดออกทันทีแรงๆ
ท่านผู้หญิงปิดประตูเสียงดังเจตนาให้พลับพลึงรู้ตัว พลับพลึงสะดุ้งเฮือก หันกลับมา ท่านผู้หญิงยืนหน้าถมึงทึง โดยมีพิศยืนอยู่เยื้องไปข้างหลัง เลียนสีหน้าแบบเดียวกัน
“คุณพี่”
“ท่านเจ้าคุณไม่อยู่ ไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งทำมารยาตีหน้าเศร้า”
“น้อง...”
“แกไม่ใช่น้องฉัน มีน้องที่ไหนบ้างคิดจะแย่งผัวพี่”
พลับพลึงก้มหน้า น้ำตาปริ่ม พิศลอยหน้ายิ้มเยาะ
“สำออยเรอะ นี่แน่ะ ทำสำออย”
ท่านผู้หญิงตบหน้าฉาดใหญ่ พลับพลึงถึงกับหน้าหันซวนเซล้มลงไปด้วยความแรงตบ
“โอ๊ย” พลับพลึงยกมือกุมแก้มน้ำตาไหลพราก
พิศกุมแก้มตาม สอพลอสุดๆ “ว้าย ตายแล้ว”
“อะไรของแกฮึ! นังพิศ”
“ขออีกครั้งเถอะเจ้าค่ะ” นางพิศบอก
ท่านผู้หญิงตบพิศเต็มแรง “เอ้า! เอาไป”
พิศมึน เจ็บจนเห็นดาว
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หันขวับมาจิกผมพลับพลึงจนหน้าหงาย
“ฉันสั่งแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเล่นหูเล่นตากับท่านเจ้าคุณ!”
พิศเจ็บก็เจ็บ แต่ก็ยังไม่วายสอพลอ “พิศก็เห็นเจ้าค่ะ”
“จะเอาอีกครั้งมั้ย นังพิศ”
“พอแล้วเจ้าค่ะ ครั้งเดียวก็ซึ้ง”
“รู้ก็ทั้งรู้ว่า วันนี้เป็นวันเกิดเจ้าคุณพี่ ...แขกเหรื่อมากันมากมาย แต่แกก็ยังใช้มารยาเอาท่านมาเก็บไว้กับตัว”
“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจ้าคุณพี่ท่านสั่งให้น้องชวนเพื่อนๆ มาเล่นดนตรี”
“งั้นถ้าท่านสั่งให้แกยอมเป็นเมียน้อย แกก็จะยอมใช่มั้ย”
พลับพลึงสะดุ้งตกใจ
ท่านผู้หญิงจิกหัวกระชากไปมา “ตอบมาซิ แกจะยอมใช่มั้ย อีนังพลับพลึง”
“โอ๊ย กลัวแล้วค่ะ คุณพี่...น้องกลัวแล้ว”
“กลัวก็อย่าบังอาจทำอีก ไม่งั้นฉันไม่เอาแกไว้แน่...จำใส่หัวไว้”
ท่านผู้หญิงจิ้มหน้าผากพลับพลึงจนหน้าหงาย แล้วสะบัดตัวเดินออกไป
พิศสวนคำทันที “จำเอาไว้นะเจ้าคะ คุณพลับพลึงเจ้าขา”
พิศลอยหน้าลอยตา ทำสุ้มเสียงอ่อนหวานเยาะเย้ย แล้วเดินออกไป
พลับพลึงน้ำตาไหลพราก ด้วยความเศร้าสะเทือนใจ
บรรยากาศภายนอกโดมทองก็คึกคักไม่แพ้ด้านใน ดวงจันทร์กระจ่างสวยงามเช่นเดิม บรรดาคนรถ และคนงานบางคนเข้ามาสมทบมากขึ้น ทุกคนต่างสนุกสนานเฮฮา
พันเดินออกมา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ติดตามด้วยคนงาน 2 คนซึ่งยกถาดใส่อาหารออกมาเติมให้
“ตามสบายเลยนะทุกคน” พันหันมาทางคนยกของ “พวกเอ็ง คอยดูอย่าให้ข้าวปลาอาหารพร่องเด็ดขาด เดี๋ยวเสียชื่อ ท่านเจ้าคุณหมด”
คนงานคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสุ้มเสียงตื่นเต้น “ข้างในจะเต้นรำกันแล้ว”
ทุกคนหันไปมองทางประตูกระจก และหน้าต่าง ด้วยความสนใจ
แผ่นเสียงจากเครื่องเล่นตรงมุมห้อง กำลังหมุนเล่นเพลงเพราะๆ จังหวะคึกคัก ท่านเจ้าคุณ และท่านผู้หญิงก้าวออกมาเป็นคู่แรกแขกแต่ละคู่ค่อยก้าวตามออกมาจนครบ
คู่ท่านเจ้าคุณและท่านผู้หญิง โดยท่านเจ้าคุณดูเหมือนจะใจลอยๆ ในขณะที่ท่านผู้หญิงมองด้วยนัยน์ตาคมกริบ
จังหวะหนึ่ง เท้าท่านเจ้าคุณเกือบจะเหยียบเท้าท่านผู้หญิงเพราะมัวแต่ใจลอย แค่โดนแต่ยังไม่ทันเหยียบลงไป
“อุ๊ย”
ท่านเจ้าคุณรู้สึกตัว “ขอโทษ”
“เจ้าคุณพี่เกือบจะเหยียบเท้าน้องแล้วนะคะ ไม่ทราบว่าใจลอยไปถึงไหน”
“พี่ไม่ค่อยสบาย”
“ไม่สบายก็ยังปลีกตัวไปไหนไม่ได้ค่ะ ...วันนี้เป็นวันเกิด...” ท่านผู้หญิงพูดแบบดักคอ
ท่านเจ้าคุณขัดขึ้นด้วยสีหน้าตึงๆ “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ท่านผู้หญิงเม้มปาก แล้วมองท่านเจ้าคุณอย่างน้อยใจ
พลับพลึงเดินมาที่ห้อง โดยมีพิศเดินตามตลอด พลับพลึงปรายตามอง ด้วยสีหน้าไม่พอใจ จนมาถึงประตูห้อง แล้วยังไม่เข้าไป
“อ้าว ทำไมไม่เข้าไปละเจ้าคะ คุณพลับพลึงเจ้าขา”
พลับพลึงหันหน้ากลับมา “นี่จะต้องคอยตามเฝ้าฉันทุกกระดิกเลยรึ”
“เจ้าคะ...เจ้าขา...เป็นคำสั่งของท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ ....ท่านคงไม่อยากให้น้องสาวในไส้ต้องปีนต้นงิ้ว”
พลับพลึงโกรธ “นังพิศ”
พิศลอยหน้า “ทำไมรึเจ้าคะเจ้าขา...ต้นงิ้วน่ะหนามแหลมเปี๊ยบเลยนะเจ้าคะ นังพิศเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
พลับพลึงกำมือแน่น แล้วเปิดประตูเข้าไป ปิดอย่างแรง
“คิดดูดีๆ นะเจ้าคะ”
นางพิศหัวเราะเจื้อยแจ้ว แล้วเดินออกไป
พลับพลึงยืนพิงประตู น้ำตาไหลพราก คำพูดเยาะเย้ยถากถางของนางพิศดังก้องในหู
“เจ้าคะ..เจ้าขา เป็นคำสั่งของท่านผู้หญิงเจ้าค่ะ ท่านคงไม่อยากให้น้องสาวในไส้ต้องปีนต้นงิ้ว”
“ต้นงิ้วน่ะหนามแหลมเปี๊ยบเลยนะเจ้าคะ นังพิศเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
พลับพลึงค่อยๆ เลื่อนตัวลงมานั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความอัดอั้นตันใจ
ดอกไม้หลากสี ถูกจุดขึ้นฟ้าเหนือโดมทอง แลดูสวยงาม สว่างไสว ผู้คนภายนอกต่างเฮฮาตื่นตาตื่นใจ
แขกหลายๆ คนเดินออกมาดูด้านนอก เพื่อให้มองเห็นชัดยิ่งขึ้น
ส่วนบรรดาแขกที่เหลืออยู่ในห้องโถง ส่วนหนึ่งยืนมองความสวยงามของดอกไม้ไฟจากหน้าต่าง โดยท่านเจ้าคุณยืนมองอยู่มุมหนึ่ง ในขณะที่ท่านผู้หญิงเดินเข้ามา
ท่านผู้หญิงพยายามเอาใจ “สวยมากนะคะ...นายพันเป็นคนไปจัดหามา”
ท่านเจ้าคุณฝืนยิ้ม “ก็ดี”
ท่านผู้หญิงเม้มปาก แต่พยายามใหม่ “น้องยังไม่เห็นเจ้าคุณพี่รับประทานอะไรเลย”
“ฉันยังไม่หิว”
ท่านผู้หญิง เสียงแข็งอย่างหมดความอดทน “เพราะนังพลับพลึงใช่ไหมคะ เจ้าคุณพี่ถึงได้ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย”
ท่านเจ้าคุณขัดขึ้นอย่างเย็นชา “อย่ามาทะเลาะกันให้ขายหน้าแขกเหรื่อเลย”
ท่านผู้หญิงแค้นใจ น้อยใจจนน้ำตาซึม ท่านเจ้าคุณเริ่มรู้สึกตัว เสียงอ่อนลง
“ที่จริง...กินอะไรสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ...แม่มณทาล่ะ ยังไม่ได้กินเหมือนกันใช่ไหม”
ท่านผู้หญิงหน้าบึ้ง กิริยายังแง่งอน “ดิฉันกินไม่ลง”
“งั้นก็ไปกินพร้อมๆ กัน เสียเลย”
ท่านเจ้าคุณแตะข้อศอกอย่างอ่อนโยน ท่านผู้หญิงขืนตัวเล็กน้อย แล้วจึงเดินตาม ในจังหวะที่ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นสว่างวาบที่ด้านนอก
อ่านต่อหน้า 3
โดมทอง ตอนที่ 16 (ต่อ)
ดอกไม้ไฟจุดสว่างแตกกระจายบนท้องฟ้า แล้วเลือนหายไปจนหมด ดวงจันทร์กระจ่างนวลลอยผ่านเข้าไปในก้อนเมฆสีเทา บรรยากาศเหมือนฝนจะตก
ผู้คนภายนอกโดมทองที่คึกคัก น้อยลงไปทุกทีจนหมด รวมทั้งบรรดารถยนต์และรถม้า
โดมทองที่สว่างไสวด้วยแสงไฟ บัดนี้ผู้คนภายในน้อยลงทุกทีจนหมดเช่นกัน แสงไฟสว่างดับลงทีละดวง 2 ดวงจนมืดสนิท
ไฟตามต้นไม้ ก็ค่อยๆ ดับลงจนหมด เหลือเพียงโคมไฟบริเวณรั้วประตูใหญ่
บรรยากาศทั่วทั้ง โดมทอง กลับเข้าสู่ความสงัดเงียบ แฝงความลึกลับผิดกับในช่วงแรกชนิดตรงกันข้ามเลยทีเดียว
ด้านพลับพลึงนอนก่ายหน้าผาก ดวงตาจับจ้องมองเพดาน เปลี่ยนหลายๆ อิริยาบถ อาการเหมือนคนกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ สักครู่หนึ่ง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน กระจายเป็นฝนตกลงมาค่อนข้างหนัก
พลับพลึงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง แล้วเปิดประตูเดินออกไปอย่างรีบร้อน ด้วยนึกได้ว่าลืมปิดหน้าต่างห้องดนตรี
พลับพลึงรีบเปิดประตูเข้ามาในห้องดนตรี แล้วถอนใจโล่งอก เมื่อเห็นหน้าต่างปิดเรียบร้อย
“ค่อยยังชั่ว ... นึกว่าลืมปิด”
พลับเดินไปขยับบานหน้าต่าง ตรวจดูความเรียบร้อยแล้วเดินไปที่ประตู ขยับจะเปิดออก
แต่แล้วไฟในห้องสว่างพรึ่บขึ้น พลับพลึงสะดุ้ง เหลียวขวับไปมอง เห็นท่านเจ้าคุณยืนอยู่ตรงเสา ข้างสวิชท์ไฟ
“เจ้าคุณพี่”
ท่านเจ้าคุณมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนรักใคร่ “ฉันนอนไม่หลับ ก็เลยเข้ามานั่งคิดอะไรต่ออะไรอยู่ในนี้”
พลับพลึงก้มหน้าหลบตา ขณะที่ท่านเจ้าคุณเดินเข้ามาใกล้
“แม่พลับพลึงนอนไม่หลับเหมือนกันหรือ”
“เปล่าค่ะ...ดิฉันจำไม่ได้ว่า ปิดหน้าต่างแล้วหรือยัง ก็เลยลงมาดู”
ท่านเจ้าคุณยื่นมือมาจับมือทั้งสองของพลับพลึงขึ้นมา
พลับพลึงตกใจ พยายามดึงออก แต่เจ้าคุณไม่ยอมปล่อย “ปล่อยเจ้าค่ะ...มันไม่สมควร”
“ฉันรู้ว่าเรามีใจตรงกัน”
“ไม่เจ้าค่ะ...ไม่ตรง ดิฉันจะขึ้นนอนแล้ว”
ท่านเจ้าคุณดึงร่างพลับพลึงเข้ามากอด โดยที่พลับพลึงตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
“พลับพลึง”
พลับพลึงเนื้อตัวสั่น พร้อมกับพูดเสียงสั่นๆ “เจ้าคุณพี่...ปล่อยดิฉันเถอะเจ้าค่ะ...ปล่อยเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าคุณก้มลงจูบแก้มอย่างละมุนละไม พลับพลึงตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดแห่งรักนั้น
ฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยง ท่านผู้หญิงสรรักษ์อยู่ในห้องนอนสะดุ้งตกใจตื่น หันมาทางข้างๆ แล้วลุกขึ้นนั่งทันที เมื่อพบว่าว่างเปล่า ไร้ร่างผู้เป็นสามี
“หายไปไหน”
ท่านผู้หญิงลุกเดินไปที่ประตู แล้วก้าวออกไปด้วยสีหน้าหวาดระแวง
ท่านผู้หญิงเดินมาจนถึงหน้าห้องพลับพลึง แล้วเคาะประตูทันที
“พลับพลึง”
ไม่มีเสียงหรือความเคลื่อนไหวใดๆ
“นังพลับพลึง”
ยังเงียบอีกเช่นเดิม ท่านผู้หญิงตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูซึ่งเปิดออกอย่างง่ายดาย
ท่านผู้หญิงรีบก้าวเข้าไป แล้วเปิดไฟทันที
“นังพลับพลึง”
แต่ชะงัก ด้วยในห้องว่างเปล่า นัยน์ตาท่านผู้หญิงลุกวาว “หายหัวกันไปไหนทั้งสองคน”
ท่านผู้หญิงนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไป
ระหว่างนั้น ภายนอกฝนยังคงตกไม่ลืมหูลืมตา ท่านเจ้าคุณ และพลับพลึงเดินออกมาจากในห้องดนตรี ขณะที่ท่านผู้หญิงเดินมาเห็นพอดี
ท่านเจ้าคุณและพลับพลึงตกตะลึง ขณะที่ท่านผู้หญิงตะลึงกว่า แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธจัด มือกำแน่น ตาลุกวาว
“คุณพี่” พลับพลึงหน้าเสีย
“นังพลับพลึง เจ้าคุณพี่ นี่มันอะไรกัน”
ท่านเจ้าคุณจับแขนพลับพลึงไว้ด้วยท่าทางราวกับจะปกป้อง สีหน้าแววตาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ท่านผู้หญิงมองภาพบาดตาบาดใจนั้นด้วยสีหน้าแววตาเจ็บปวดและขมขื่นและเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าคุณพี่ทำกับดิฉันอย่างนี้ได้ยังไง นังพลับพลึง นังน้องทรยศนังเนรคุณขุนไม่เชื่อง กิบบนเรือน ขี้บนหลังคา”
ท่านเจ้าคุณอธิบาย “แม่มณทาเข้าใจผิด พลับพลึงเขาลงมาปิดหน้าต่างห้องดนตรี พอดีฉันก็เผอิญตาค้างนอนไม่หลับ...”
ท่านผู้หญิงสวนออกมาอย่างกราดเกรี้ยว “โกหก”
ท่านเจ้าคุณหน้าตึง “แม่มณทา”
“ดิฉันไม่เชื่อว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น เจ้าคุณพี่นัดแนะกับมัน ทั้งผัวทั้งน้องต่างช่วยกันสวมเขาให้ฉัน”
พลับพลึงปฏิเสธลั่น “ไม่จริงค่ะ น้องไม่เคยทำอะไรชั่วช้าอย่างนั้น”
“นังหน้าซื่อใจคด...ไสหัวออกไปจาก โดมทอง เดี๋ยวนี้
พลับพลึงทรุดตัวลงกราบเท้า น้ำตาไหลพราก “คุณพี่ขา .... เวทนาน้องด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงชักเท้าหนีตั้งแต่น้องสาวก้มกราบเท้า “เวทนาเรอะ นังงูพิษ ไสหัวไป๊ จะไปตายที่ไหนก็ไป”
พลับพลึงขยับตัว จะลุกขึ้นทั้งๆ ที่ยังสะอื้นอย่างหนัก
“พลับพลึง...ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ท่านเจ้าคุณบอก
“เจ้าคุณพี่”
ท่านเจ้าคุณก้มลงพูดกับพลับพลึง “กลับไปที่ห้อง...แล้วก็ไม่ต้องเก็บข้าวเก็บของไปไหน ...ไม่ต้องคิดมาก ... “โดมทอง” เป็นบ้านของฉัน ... ฉันจะอนุญาตให้ใครอยู่ก็ได้”
ท่านผู้หญิงแค้นจนแทบกระอักเป็นเลือด
“ไปซิ”
พลับพลึงก้มหน้าก้มตา คลานผ่านท่านผู้หญิง แล้วลุกเดินออกไป
“แม่มณทา...เราต้องคุยกัน” ท่านเจ้าคุณบอก
สักครู่หนึ่ง ท่านเจ้าคุณผลักประตูเดินเข้ามาในห้องนอน ติดตามด้วยท่านผู้หญิงสรรักษ์ ท่านผู้หญิงหันกลับไปเปิดประตู แล้วเดินไปยืนห่างจากท่านเจ้าคุณพอสมควร
ท่านเจ้าคุณพูดโดยไม่ได้หันมามอง “ฉันไม่ได้นัดหมายกับพลับพลึง...เป็นความสัตย์จริง”
ท่านผู้หญิงกัดปาก ไม่ได้พูดโต้ตอบ
ท่านเจ้าหันกลับมา “แม่มณทาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่”
“เจ้าคุณพี่ไม่ไว้หน้าดิฉัน...ดิฉันไล่นังพลับพลึงออกไปแต่เจ้าคุณพี่กลับบอกว่า โดมทองเป็นบ้านของเจ้าคุณพี่”
“แล้วแม่มณทาจะให้น้องสาวหอบเสื้อหอบผ้าออกไปทั้งๆ ที่ฝนตกหนักอย่างนี้หรือ! คิดหรือเปล่าว่าพลับพลึงจะเป็นอย่างไร...จะไปอยู่ที่ไหน”
“ช่างมันซีคะ มันอยากเนรคุณ อยากทรยศ” ท่านผู้หญิงบอกอย่างจงเกลียดจงชัง
“ก็บอกอยู่นี่ไงว่า พลับพลึงไม่ได้...”
ท่านผู้หญิงสวนคำทันที “เจ้าคุณพี่เข้าข้างมัน”
“ทำไมแม่มณทาไม่ยอมฟังฉันบ้าง”
“เจ้าคุณพี่อยากได้มันมากใช่ไหมคะ”
ท่านเจ้าคุณถอนใจยาว เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
“ทำไมเจ้าคุณพี่ไม่ตอบ”
“จะให้ฉันตอบว่าอย่างไรล่ะ ถ้าบอกว่าเปล่า แม่มณทาก็ไม่เชื่อ ถ้าตอบว่าใช่ แม่มณทาก็จะพิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้น”
“ตอบตามความจริงซิคะ ดิฉันต้องการได้ยินจากปากเจ้าคุณพี่”
ท่านเจ้าคุณไม่ตอบเอนตัวลงนอน แล้วตะแคงหันหลังให้ท่านผู้หญิงทันที
ท่านผู้หญิงมองมาอย่างแค้นใจ และน้อยใจสุดๆ
บรรยากาศในยามเช้าวันต่อมาแสนสดใส แลเห็นบรรดาคนงานกำลังช่วยกันเก็บโต๊ะเก้าอี้ ไฟประดับตามต้นไม้
โดยมีพันเป็นคนคุมดูแลความเรียบร้อย
ท่านผู้หญิงพลิกตัวตื่น แล้วหันไปมองข้างๆ ด้วยสัญชาติญาณและความระแวง ท่านผู้หญิงลุกขึ้นทันที แล้วนิ่วหน้าเมื่อเห็นที่เจ้าคุณนอนว่างเปล่า
“รีบตื่นแต่เช้าเข้าไปหานังพลับพลึงละซี”
ท่านผู้หญิงลุกเดินไปเปิดประตู พิศกำลังเดินตรงมาพอดี ด้วยสีหน้ากังวล ยิ้มออกด้วยความโล่งใจ
“พิศ! เห็นท่านเจ้าคุณไหม”
“อยู่ในห้องทำงานเจ้าค่ะ...ท่านให้พิศขึ้นมาดูว่าท่านผู้หญิงไม่สบายหรือเปล่า”
“นังพลับพลึงล่ะ”
“เห็นผิวบอกว่าออกไปเก็บดอกไม้แต่เช้าเลยเจ้าค่ะ”
“จะจัดแจกันให้เจ้าคุณพี่ละซี! คอยจับตาดูมันให้ดีนะพิศ! อย่าให้อยู่กับเจ้าคุณพี่ตามลำพัง”
“เจ้าคะเจ้าขา ไม่ต้องห่วงเลยเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงเดินกลับเข้าห้อง
ทิวเขาเหยียดยาวด้านหน้าโดมทอง มีไอหมอก ปกคลุมอยู่จางๆ ให้ความรู้สึกหนาวเย็นโอบล้อมอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของตัวบ้าน
ที่ด้านหลัง เป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ ใสสะอาดจนเห็นก้อนกรวด โดยบริเวณใกล้อาณาเขตบ้านน้ำจะตื้น มีโขดหิน เกาะแก่งฝีมือของธรรมชาติเป็นระยะๆ
ใกล้ตัวบ้านเข้ามาหน่อย ปลูกต้นพลับพลึงซึ่งกำลังออกดอกสีขาว เป็นบริเวณกว้างเหมือนพรมผืนใหญ่
พลับพลึงกำลังเดินตัดก้านดอกไม้นั้นเป็นช่อยาวอย่างเพลิดเพลิน
ท่านเจ้าคุณยืนทอดสายตามองมาจากบริเวณหน้าต่างห้องทำงาน ด้วยแววตาอ่อนโยนรักใคร่
สักพักหนึ่ง เสียงท่านผู้หญิงดังขึ้น
“เจ้าคุณพี่”
ท่านเจ้าคุณถอนใจเบาๆ แล้วหันกลับมา ท่านผู้หญิงมองมา นัยน์ตาเหมือนสำรวจตรวจตราแว่บหนึ่ง
“พิศบอกว่า เจ้าคุณพี่ยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้า”
“ฉันยังไม่หิว...คงจะอิ่มมาตั้งแต่เมื่อคืน”
ท่านผู้หญิงฝืนยิ้ม แล้วเดินมาก้มกราบที่แขน “ดิฉันกราบขอประทานโทษเรื่องเมื่อคืนที่ออกจะวู่วามไปสักหน่อย”
“ไม่เป็นไร”
ท่านเจ้าคุณพูดพลางขยับเดินออกจากหน้าต่างเพื่อเบนความสนใจของท่านผู้หญิง แต่ช้าไป เพราะท่านผู้หญิงชำเลืองมองแว่บออกไป นัยน์ตาเป็นประกายเคียดแค้น และเกลียดชังขึ้นมาทันที พึมพำเบาๆ
“นึกแล้วทีเดียว”
“ถ้าแม่มณฑาหิวก็ไปกินด้วยกัน”
ท่านเจ้าคุณสรรักษ์ไกรณรงค์เดินมาโอบไหล่ภรรยาอย่างเอาใจ แล้วพาเดินออกไป โดยที่ท่านผู้หญิงพยายามระงับอารมณ์เต็มที่
ในห้องทานอาหาร พิศยกถาดวางชามข้าวต้มร้อนๆ มาวางให้ทั้ง 2 คน ท่านเจ้าคุณและท่านผู้หญิงกินเงียบๆ กันครู่หนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
ท่านเจ้าคุณพูดขึ้นในที่สุด “สัปดาห์หน้าฉันต้องลงไปพระนคร”
ท่านผู้หญิงเงยหน้าขึ้นทันที “เอ๊ะ...”
ท่านเจ้าคุณขัดขึ้นก่อน “ฉันก็เพิ่งรู้จากหลวงรณชิตฯ เมื่อคืนนี้เอง”
“ไปกี่วันหรือคะ”
“ประมาณ 2 สัปดาห์” ท่านเจ้าคุณมองไปที่พิศ “พิศ...เอ็งออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ” พิศเดินออกไป
ท่านเจ้าคุณหันหน้ามาที่ท่านผู้หญิง “แม่มณฑา...”
ท่านผู้หญิงสบตาท่านเจ้าคุณนิ่งๆ ฝ่ายท่านเจ้าคุณสบตาตอบแน่วนิ่งขณะบอก
“ฉันฝากพลับพลึงด้วย”
ท่านผู้หญิงเบิกตากว้าง พูดไม่ออกด้วยไม่คาดคิดว่าท่านเจ้าคุณจะพูดออกมาตรงๆ
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา...แม่มณฑาก็เห็นว่าฉันไม่เคยเลยสักครั้งที่จะนอกใจเธอ”
ความรู้สึกท่านผู้หญิงค่อยๆ กลับคืนมา ความรู้สึกปนเปทั้งรัก และแค้นประดังขึ้นมาเป็นน้ำตาคลอ
“ฉันยกย่องให้เกียรติแม่มณฑาเสมอ”
ท่านผู้หญิงถามโพล่งขึ้นทันที “เจ้าคุณพี่จะขอพลับพลึงเป็นเมียน้อยใช่ไหมคะ”
“ใช่” ท่านเจ้าคุณบอกอย่างแน่วแน่
ท่านผู้หญิงน้ำตาร่วง
“ฉันยอมรับว่า ฉันพอใจพลับพลึง”
“แต่มันเป็นน้องของดิฉันนะคะ”
“นั่นจะทำให้แม่มณฑาปกครองง่ายมิใช่หรือ..พลับพลึงเองก็ไม่มีพิษสงอะไร”
ท่านผู้หญิงเจ็บแค้นสุดๆ “แย่งผัวพี่นี่หรือคะไม่มีพิษสง เจ้าคุณพี่ช่างพูดออกมาได้”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของแม่มณฑา”
“ไม่จริงค่ะ! เพราะถ้าเข้าใจ เจ้าคุณพี่จะไม่มีวันพูดเช่นนี้”
ท่านเจ้าคุณทอดถอนใจ เหมือนเริ่มรำคาญที่พูดกันไม่รู้เรื่อง สีหน้าขรึมลง
“ถ้าแม่มณฑายอมยกพลับพลึงให้...ฉันขอสัญญาว่า จะไม่มีเมียน้อยที่ไหนอีก”
ท่านผู้หญิงกัดปากจนห้อเลือด เห็นเลือดซึมออกมา โดยไม่ไหลย้อย มือกำแน่น
“แม่มณฑาจะว่าอย่างไร”
ท่านผู้หญิงมองหน้าท่านเจ้าคุณ ด้วยความผิดหวัง เสียใจ และแค้นใจสุดๆ
ไม่นานต่อมาสองคนอยู่ในห้องดนตรีด้วยกัน พลับพลึงมองท่านเจ้าคุณในอาการตกตะลึง
“เจ้าคุณพี่... ไม่ได้ค่ะ...ไม่ได้เด็ดขาด”
ท่านเจ้าคุณเยื้อนยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อพี่สาวของเธอ ยอมยกให้แล้ว”
“ดิฉันไม่มีวันทำร้ายจิตใจคุณพี่มณฑา”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดานะพลับพลึง...ฉันได้เธอยังดีกว่าพาผู้หญิงอื่นเข้ามาอยู่ในบ้าน”
“แต่ดิฉันคิดว่า ผู้หญิงอื่นดีกว่าแน่ๆ ค่ะ”
ท่านเจ้าคุณจับมือพลับพลึงแน่น “อย่าปฏิเสธเลย...เราต่างก็รักกัน”
พลับพลึงดึงมือออก ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่ได้...เอ้อ...รักเจ้าคุณพี่”
“คิดว่าฉันจะเชื่อหรือ...เอาเถอะ...เราจะพูดเรื่องนี้กันอีกที เมื่อฉันกลับมา”
พลับพลึงขยับปากจะยืนกรานปฏิเสธ แต่ท่านเจ้าคุณพูดขึ้นก่อน
“เล่นเพลง “นางครวญ” ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
พลับพลึงอึดอัด ขยับจะปฏิเสธเต็มที่ “ดิฉัน....”
“ฉันขอร้อง...แล้วระหว่างที่ยังไม่ลงไปพระนคร ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
พลับพลึงขยับไปที่ซอสามสาย...หยิบมาไหว้ครู แล้วเริ่มเล่นเพลง
ท่านเจ้าคุณมองดูด้วยความซาบซึ้ง
ขณะเดียวกันท่านผู้หญิงอยู่ในห้องกับพิศ กำลังนั่งซับน้ำตา แต่ก็ไหลออกมาอีก
“พิศ...ข้า...ข้าหายใจไม่ออก”
พิศรีบหยิบยาดมมาส่งให้ “ยาดมเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงรับมาดม พิศหยิบพัดมาพัดวีให้
“ดีขึ้นไหมเจ้าคะ”
“มันเจ็บเหลือเกิน...เจ็บลึกเข้าไปถึงไหนๆ...ข้าอยากตาย”
“เรื่องอะไรล่ะเจ้าคะ คนอื่นต่างหากที่จะต้องตาย”
ท่านผู้หญิงชะงัก มองหน้าพิศ
“ท่านผู้หญิงว่าจริงไหมล่ะเจ้าคะ”
ท่านผู้หญิงไม่ตอบ แต่แววตาเจ็บปวดสิ้นหวังปรากฏความอำมหิตเข้ามาแทนที่
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 16 (ต่อ)
วันเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งแล้ว ทิวทัศน์อันสวยงามของโดมทองเปลี่ยนแปลงผันแปรไปตามคืนวันที่ล่วงเลย
เช้าวันนี้ท่านเจ้าคุณสรรักษ์เดินออกมาพร้อมกับท่านผู้หญิง โดยมีพลับพลึงตามมาข้างหลังด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม พัน พิศ และบ่าวบางส่วนรอส่งอยู่
นายแสงซึ่งเป็นคนขับรถยืนคุยกับพันอยู่ รีบเปิดประตูรถด้านหลังให้ทันที พร้อมขยับตัวไปยืนสำรวม
ท่าทีนอบน้อม
ท่านเจ้าคุณหันมาทางท่านผู้หญิง “ฉันไปละ”
“ขอให้เจ้าคุณพี่เดินทางโดยปลอดภัยนะคะ”
“ขอบใจ...ฝากพลับพลึงด้วยนะ”
นัยน์ตาท่านผู้หญิงวาววับ มีประกายเหี้ยมโหด อำมหิตขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วพูดกลั้วหัวเราะ
“แหม... พลับพลึงน่ะเป็นน้องสาวของดิฉันนะคะ ถ้าไม่ดูแลเขาแล้วจะดูแลใคร...แต่ก็เอาเถอะค่ะ...ดิฉันรับปากเพื่อความสบายใจเจ้าคุณพี่...ดิฉันจะดูแลพลับพลึง ชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเชียวค่ะ...” พลางหันไปทางน้องสาวบอกเสียงหวาน “มาใกล้ๆพี่ซิจ๊ะ พลับพลึง”
พลับพลึงพึมพำรับคำเบาๆ แล้วทรุดตัวลงคลานเข้ามา ก้มกราบท่านเจ้าคุณ
ท่านเจ้าทรุดตัวลง ลูบเรือนผมพลับพลึงอ่อนโยน
“ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณพี่เขานะ”
ท่านผู้หญิงมองภาพนั้น ด้วยสีหน้าเคียดแค้น ขณะที่พิศมองท่านผู้หญิงด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ค่ะ” พลับพลึงรับคำ
“ฉันจะรีบกลับมา...” ท่านเจ้าคุณมองพลับพลึงอย่างรักใคร่อาลัยอาวรณ์
ท่านผู้หญิงเม้มปากจนเป็นเส้นตรง พยายามข่มใจ แล้วรีบคลายสีหน้าเป็นยิ้มแย้มพูดอ่อนหวานขณะที่ท่านเจ้าคุณลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ...พลับพลึงจะรอเจ้าคุณพี่อยู่ที่โดมทองนี่ตลอดไป”
ประโยคหลัง นัยน์ตาท่านผู้หญิงปรากฏแววเย้ยหยันขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ท่านเจ้าคุณพยักหน้า มองพลับพลึงอย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้งแล้วขึ้นรถ
แสงปิดประตูแล้ว ขึ้นนั่งที่คนขับ ขับออกไป สีหน้าแต่ละคนมองตาม โดยพลับพลึงนั้นมีสีหน้าละห้อย
ส่วนในรถ ท่านเจ้าคุณหันหน้ากลับมามอง เห็นทุกคนอยู่ห่างไกลออกไปทุกที
เจ้าคุณหันหน้ากลับมา นัยน์ตาแจ่มใสเต็มไปด้วยความหวัง
พันอยู่ในสวนกุหลาบ กำลังตัดแต่งกิ่งกุหลาบ ซึ่งออกดอกสะพรั่ง สีสวยสดดอกใหญ่ พิศเดินเข้ามาหา
“พี่พัน”
พันหันมามองแว่บหนึ่ง
พิศเข้ามาใกล้ทำเสียงกระซิบกระซาบ “อย่าลืมคืนนี้นะ”
พันมีสีหน้าเป็นกังวล “เอาแน่หรือวะ..พิศ!”
“ทำไมจะไม่แน่! ก็ท่านผู้หญิงท่านอุตสาห์วางแผนไว้ตั้งหลายวันมาแล้ว!”
“เฮ้อ...” พันเดินมานั่ง
พิศตามมา “อะไรอีกล่ะ”
“คุณพลับพลึงน่ะท่านเป็นน้องสาวแท้ๆ”
พิศขัดทันทีอย่างมีอารมณ์
“ก็แล้วคุณพลับพลึงเคยคิดอย่างนั้นบ้างมั้ย! ท่านผู้หญิงท่านมีเมตตาชุบเลี้ยงเพราะต่างก็เป็นกำพร้า..เมื่อมีเหย้า
มีเรือนก็หอบหิ้วมาอยู่ด้วย แต่กลับสนองพระคุณด้วยการแย่งสามีท่านเสียนี่”
พันปราม “เบา...พิศ! เรื่องของเจ้านาย”
“อย่าลืม..คืนนี้สองยาม!”
“เออ!”
“แล้วก็พวกวงมโหรีนั้นด้วย ต้องปิดปากพวกมันให้สนิท อย่าให้มาคอยถามหากันให้ยุ่งยากวุ่นวาย!”
“รู้แล้ว” พันสะท้อนเหลือแสน เว้นไปอีกนิด ก่อนจะบ่นงึมงำออกมาอย่างหนักอกหนักใจ
“คราวนี้ตกนรกอเวจีไม่มีวันผุดวันเกิดเลยมั้งกู!”
เวลาเดียวกันนั้น แลเห็นช่อดอกพลับพลึงสีขาวพิสุทธิ์ปักอยู่ในแจกันทรงสูง พร้อมกับได้ยินเสียงร้องเพลง “นางครวญ” ขับคลอกับซอสามสายอย่างไพเราะเพราะพริ้ง เสียงร้องของพลับพลึงหวานใสกว่าทุกคราว ราวกับจะร้องเป็นครั้งสุดท้ายกระนั้น
“โอ้ว่าป่านฉะนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้ารัญจวนครวญหา
ตั้งแต่พระไปแก้สงสัยมา มิได้พบขนิษฐาในถ้ำทอง…”
มีเสียงฝีเท้าเดินเหยียบกระดานหน้าห้องดังเอี๊ยด พลับพลึงชะงัก ...หยุดร้อง...ค่อยๆ วางซอลง แล้วลุกเดินไปที่ประตู...เสียงคนเดินดังขึ้นอีก...พลับพลึงหมุนลูกบิดเปิดประตูออกไปดู
พบว่าภายนอกว่างเปล่า ไม่ปรากฏแม้แต่เงาของผู้ใด พลับพลึงนิ่วหน้าแปลกใจ แล้วหันหลังกลับ จะเดินเข้าห้อง
มีเสียงความเคลื่อนไหวอีก จึงหันกลับไปมอง
แมวสีดำตัวโตกระโดดลงมาพร้อมเสียงร้องดังลั่น พลับพลึงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ แล้วยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นถนัด พลับพลึงก้มลงลูบหัว
“เจ้านี่เอง..ทองดำ..หิวละซี..ไป..ไปกินข้าวกัน!”
พลับพลึงอุ้มแมวเดินออกไป
ข้างๆ ดงดอกไม้สวยๆ พลับพลึงวางข้าวและแมวลง ในบริเวณนั้น
“กินให้หมดเลยนะ ทองดำ”
แมวก้มหน้าก้มตากินข้าวคลุกปลาทูในจาน
พลับพลึงทรุดตัวลงนั่งมองอย่างเอ็นดู
ท่านผู้หญิง และพิศเดินเข้ามา ท่านผู้หญิงนั้นมองพลับอย่างเคียดแค้นชิงชัง เช่นเดียวกับพิศซึ่งเกลียด
ตามเจ้านาย ท่านผู้หญิงพูดขึ้นมาลอยๆ
“คิดถึงเจ้าคุณพี่นะ”
พลับพลึงสะดุ้งด้วยกำลังเพลินๆ และลุกขึ้นหันกลับมา
“คุณพี่...”
“ขวัญอ่อนจริงนะ”
พลับพลึงยิ้มแห้งๆ เหมือนไม่รู้จะตอบอย่างไร
ท่านผู้หญิงทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวใกล้ๆ พลับพลึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตรงหน้า ขณะที่พิศทรุดลงคุกเข่าข้างๆ นาย
“คิดถึงเจ้าคุณพี่มากไหม”
พลับพลึงก้มหน้าลงไม่รู้จะตอบอย่างไร
พิศสาระแนตามเคย “เจ้าคะเจ้าขา..ก็คงต้องคิดถึงมากละเจ้าค่ะ!”
“ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะต้องมีผัวคนเดียวกับน้อง!”
พลับพลึงมีสีหน้าตระหนักและไม่แน่ใจในท่าทีของพี่สาว
“เจ้าคะเจ้าขา” พิศสาระแนอีก
“นังพิศ! หุบปาก!”
นางพิศจ๋อย “เจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงผินหน้ากลับมามองจ้องพลับพลึง “ถามจริงๆ แกไม่นึกตะขิดตะขวงใจบ้างหรอกเรอะ!”
พลับพลึงหน้าเสียลงไปอีก
“ข้าวของข้ามันคงไม่มียาง เอ็งถึงได้เนรคุณ!”
พลับพลึงก้มลงกราบแทบเท้าพี่สาว แล้วเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอ
“น้องกราบขอประทานโทษที่ทำให้คุณพี่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ..น้องตัดสินใจแล้วว่า น้องจะไปจากที่นี่”
“เจ้าคุณพี่ก็ต้องตามหาแกจนพบ!”
“น้องจะเขียนหนังสือฝากไว้ให้ท่านค่ะ”
ท่านผู้หญิงยิ้มหวาน “งั้นก็ไปเขียนเลยซิ”
“ค่ะ”
พลับพลึงลุกขึ้นเดินไปทั้งน้ำตา
ท่านผู้หญิงมองตามด้วยสีหน้าแววตาอาฆาตมาดร้ายปนเย้ยหยัน
“ง่ายดายเสียเหลือเกินนะเจ้าคะเจ้าขา”
พิศเย้ยเยาะประจบเอาใจนายผู้อำมหิต
ด้านพลับพลึงเดินเข้ามาในห้อง ร้องไห้สะอึกสะอื้น เดินมาทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าแววตาขมขื่นและว้าเหว่ พลับพลึงอยู่ในกิริยาอย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วเดินมาที่โต๊ะ ซึ่งวางแจกันดอกพลับพลึงมีผ้าลูกไม้เนื้อละเอียดรอง
พลับพลึงดึงลิ้นชักออก หยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา พร้อมปากกาหมึกซึม ลงมือเขียนจดหมาย
เวลาผ่านไปอีก ที่บริเวณเฉลียงทางปีกตึกด้านหนึ่ง แจกันดอกกุหลาบดอกใหญ่สีสดวางอยู่บนโต๊ะ พิศถือถาดน้ำชามาวางลงบนโต๊ะ แล้วรินใส่ถ้วยใบสวยให้ คุกเข่าลงแล้วกระซิบกระซาบกับท่านผู้หญิง
“ไม่ทราบว่า คุณพลับพลึงจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านะเจ้าคะ...เห็นหายขึ้นไปตั้งนานแล้ว”
“ข้าจะขึ้นไปดู”
แต่ท่านผู้หญิงต้องชะงัก พิศหันไปมองตามแล้วยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นพลับพลึงถือหีบเสื้อผ้ามือหนึ่ง อีกมือถือจดหมายเดินเข้ามา
“จะไปเดี๋ยวนี้เลยหรือ”
“ค่ะ” พลับพลึงส่งจดหมายให้ “ฝากให้ท่านเจ้าคุณด้วยเจ้าค่ะ”
พวกบ่าวในบริเวณนั้น หันมาเหลือบๆ แลๆมอง
“ขอบใจแม่พลับพลึงที่เห็นแก่พี่...พี่เองก็ใช่ว่าจะใจร้ายใจดำปล่อยให้น้องต้องไปตายเอาดาบหน้า...ที่สั่งให้นายแสงแวะไปดูบ้านที่พี่จัดเตรียมไว้ให้แม่พลับพลึงไปอยู่หลังกลับจากไปส่งเจ้าคุณพี่ที่สถานีรถไฟ”
พลับพลึงชะงัก “คุณพี่”
“พี่ขอสารภาพว่าพี่เตรียมการเรื่องนี้ไว้เป็นเวลาพอสมควร เพราะคิดว่าสักวันหนึ่ง เจ้าคุณพี่จะต้องสู่ขอแม่พลับพลึงจากพี่แน่ๆ”
“น้องผิดเหลือเกินที่ทำให้คุณพี่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจและเดือดร้อนขนาดนี้” พลับพลึงทรุดตัวลงกอดขาพี่สาว
ท่านผู้หญิงวางมือบนหัว “พี่ไม่ถือโทษโกรธแม่พลับพลึงหรอก ขึ้นไปพักผ่อนเถอะ..แล้วคืนนี้พี่จะไปส่งแม่พลับพลึงให้ถึงที่ทีเดียว”
นัยน์ตาท่านผู้หญิงขณะพูด เป็นประกายแข็งกร้าว
ค่ำแล้วดวงจันทร์ข้างแรมท่ามกลางท้องฟ้าครืนครันมัวหม่น รถไฟขบวนนั้น กำลังแล่นไปท่ามกลางแนวป่า 2 ข้าง และฝนที่ตกค่อนข้างหนัก
ส่วนภายในห้องโดยสาร ท่านเจ้าคุณกำลังนั่งเขียนจดหมายถึงพลับพลึง โดยมีเสียงฝนฟ้ากระหึ่ม ฟ้าแลบ
“อีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะถึงพระนครแล้ว...ฉันคิดถึงแม่พลับพลึงมากจนอยากจะกลับ “โดมทอง” เสียเดี๋ยวนี้...”
ท่านเจ้าคุณถอนใจยาว เงยหน้ามองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปครู่หนึ่ง แล้วก้มลงเขียนต่อ
“....แต่ก็พยายามหักใจว่า อีกสองสัปดาห์ เราก็จะได้พบกัน และอยู่ด้วยกันตลอดไป...ฉันคิดถึงพลับพลึงมากเหลือเกิน ...”
ท่านเจ้าคุณพับกระดาษจดหมาย แล้วสอดไว้ในหนังสือ
โดมทองท่ามกลางสายฝน ดวงจันทร์หม่นสลัวเช่นเดียวกัน
ภายในห้อง พลับพลึงนั่งเล่นซอ เพลง “นางครวญ” ด้วยน้ำตา
“โอ้ว่าป่านฉะนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้ารัญจวนครวญหา
ตั้งแต่พระไปแก้สงสัยมา มิได้พบขนิษฐาในถ้ำทอง”
จู่ๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พลับพลึงวางซอลง ยกมือเช็ดน้ำตา แล้วลุกไปเปิดประตู
พันกับพิศถลันเข้ามา ด้วยสีหน้าแววตาแววตาประสงค์ร้าย
“นายพัน พิศ”
พันไม่ฟังเสียง คว้าตัวพลับพลึงในทันที พลับพลึงอ้าปากจะร้อง พันใชผ้าอุดปากไว้แน่น
พลับพลึงดิ้นสู้สุดแรงเกิด แต่ถูกพิศตบซ้ายขวา จนสลบไปในที่สุด
“มันต้องอย่างนี้ เอาตัวไปได้แล้ว”
พันแบกร่างพลับพลึงไว้บนบ่าเดินออกไป พิศคว้าหีบเสื้อผ้า และซอสามสายตาม
ขณะเดียวกัน มือระนาดนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง ประตูถูกถีบเปรี้ยงเปิดออก มือระนาดสะดุ้งตกใจตื่น ชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ตรงเข้ามาจ้วงทวงจนแน่นิ่งไป
และหลังจากนั้นไม่นาน เพื่อนร่วมวงมโหรีแต่ละคนของพลับพลึง ถูกบุกเข้าไปฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมแบบเดียวกัน
มองจากภายนอก ทั่วทั้งปราสาทโดมทองมืดสนิทอยู่ท่ามกลางสายฝน เห็นแต่บริเวณยอดโดมมีแสงไฟลอดออกมา โดยภายในห้อง พลับพลึงซึ่งถูกโซ่คล้องขาไว้อย่างแน่นหนา ค่อยๆลืมตาฟื้นคืนสติ
จากภาพตรงหน้าพร่ามัว แล้วค่อยๆชัดขึ้นจนเห็นชัดเป็นหน้าท่านผู้หญิง...เบื้องหลัง เป็นพิศ
พลับพลึงขยับตัวแต่ติดโซ่ “คุณพี่! นี่มันอะไรกันคะ”
“ก็แกถูกล่ามโซ่ขังอยู่บนยอดโดมน่ะซิ ! นังหน้าโง่”
“เจ้าคะเจ้าขา...อีกไม่เท่าไหร่ คุณพลับพลึงก็จะแห้งแหงแก๋ตายเหมือนดอกไม้เหี่ยวอยู่ในนี้ไงล่ะ เจ้าคะเจ้าขา”
พลับพลึงเบิกตาโพลง “คุณพี่”
“ที่อยู่ที่ฉันหาเตรียมไว้ให้แกก็คือในนี้ไง...อยู่ใกล้ๆ เจ้าคุณพี่แค่เอื้อม...แต่ก็เอื้อมไม่ถึง...เจ้าคุณพี่เองก็จะคร่ำครวญหวนไห้หาแกโดยไม่นึกเอะใจสักนิดว่าแกอยู่ในนี้ สาสมใจข้านัก”
“คุณพี่ขา!...ปล่อยน้องไปเถอะค่ะ น้องสาบานว่าจะไม่มีวันเฉียดเข้ามาใกล้โดมทองนี่อีก”
“ข้าไม่เชื่อ แกต้องอดข้าวอดน้ำไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันตายอยู่ที่ยอดโดมทองนี่แหละ”
“แต่ถ้าเหงาก็สีซอให้ควายฟัง ก็ได้นะเจ้าคะ เจ้าขา”
ว่าแล้วพิศหยิบซอโยนให้
“นี่เจ้าค่ะ...”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดประตูออก
ทุกคนหันมามอง ท่านผู้หญิง กับพิศยิ้ม ขณะที่พลับพลึงเบิกตากว้าง เมื่อพันกับพวกคนหนึ่งยกระนาดเปื้อน
เลือดมาวางพร้อมกับไม้ตี ติดตามด้วยพวกอีกคนหอบเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เปื้อนเลือดโยนมากองรวมกัน
“นี่...” พลับพลึงตะลึง
“เพื่อนวงมโหรีของแกไง! ฉันสงสารกลัวว่าแกจะเหงา ก็เลยให้คนไปเอาวิญญาณของพวกนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน! จะได้มาตั้งวงผีกันบนนี้” ท่านผู้หญิงบอก
“โถ…ท่านผู้หญิงของพิศช่างมีจิตใจที่เมตตากรุณาเสียเหลือเกินนะเจ้าคะ เจ้าขา” พิศสอพลอ
“ไป! นังพิศ!”
“เจ้าค่ะ พิศไปจะนะคุณพลับพลึงเจ้าคะเจ้าขา”
ท่านผู้หญิงหันหลังเดินไป แล้วนึกได้หันกลับมาใหม่
“อ้อ จดหมายของแกน่ะ...ฉันจะส่งให้เจ้าคุณพี่อ่านตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงโดมทองเลย ไม่ต้องเป็นห่วง”
ท่านผู้หญิงหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม แล้วเดินนำทุกคนออกไป โดยไม่ฟังเสียงคร่ำครวญหวนไห้ปิ่มว่าจะขาดใจของพลับพลึง
“คุณพี่ขา...คุณพี่...ปล่อยน้องไปเถอะค่ะ...คุณพี่ขา...”
ท่านผู้หญิงดึงบานประตูปิด แล้วพยักหน้ากับพัน
พันใส่กุญแจ ระหว่างนี้เสียงพลับพลึงร้องไห้ให้ท่านปล่อย)
“สมน้ำหน้า” พิศเหยียดยิ้มสะใจ
ท่านผู้หญิงเดินลงบันไดนำหน้าไปด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
ทุกคนเดินตามโดยพันอดหันมามองด้วยสีหน้าเวทนาไม่ได้ แล้วปิดสวิชต์ไฟ เปิดไฟฉาย เช่นเดียวกับพิศ
ไม่นานต่อมาท่านผู้หญิงเดินเข้ามาในห้อง ติดตามด้วยพิศ
“ข้าไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างนี้มาก่อนเลย”
“พิศก็เหมือนกันเจ้าค่ะ”
“พิศ” ท่านผู้หญิงมีสีหน้าขรึมลง
“เจ้าคะเจ้าขา”
“จงอย่าทำเป็นรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าทำสีหน้าหรือพูดจามีลับลมคมในโง่ๆให้ใครโดยเฉพาะเจ้าคุณพี่สงสัย หัดทำสงบเสงี่ยมเจียมกะลาหัวเสียบ้าง”
พิศรับเสียงอ่อยๆ “เจ้าค่ะ”
“ไปได้”
“ให้พิศบีบนวดให้ไหมเจ้าคะ เมื่อกี้ท่านผู้หญิงขึ้นบันไดตั้งสูง”
“ไม่ต้อง ข้าไม่ได้เมื่อย เอ็งไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
พิศออกไปจากห้อง ท่านผู้หญิงเดินไปที่หน้าต่าง มองฝ่าสายฝนภายนอกออกไป
สีหน้าท่านผู้หญิงยามนี้ดูโหดเหี้ยมและเยือกเย็น แล้วระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งแข่งกับเสียงฟ้าฝนด้านนอก
ที่เรือนพักคนใช้คืนนั้น บรรยากาศเงียบสงัดท่ามกลางสายฝนและความสงบเงียบ ส่วนภายในห้อง พันพลิกไปพลิกมา กระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ภาพพลับพลึงร้องไห้ อ้อนวอนขอความเมตตาท่านผู้หญิงผุดเข้ามาในห้วงความคิด สักครู่หนึ่ง พันลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู
พันเดินออกมายืนพิงเสาเรือนนอกบ้าน มองฝ่าสายฝนไปที่ยอดโดม แลเห็นแต่ความมืดมิด พันทอดถอนใจยาว
รุ่งเช้า เทือกเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาว อากาศเยือกเย็น บ้านโดมทองสวยสง่าเงียบเชียบ พันถือปิ่นโตข้าวปลาอาหารมาที่บันไดเวียนขึ้นห้องใต้โดม แล้วก้าวขึ้นไป
“พัน” เสียงท่านผู้หญิงดังขึ้น
พันสะดุ้งเฮือก หันกลับมา เข่าอ่อนทรุดลงไป เห็นท่านผู้หญิงยืนมองมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น มองไปที่ปิ่นโตแว่บหนึ่ง โดยพิศยืนเยื้องไปข้างหลัง
“เอ็งจะไปไหน”
พันอึกอัก “เอ้อ...กระผม”
“เอ็งขัดคำสั่งข้า”
“กระผม...สงสารคุณพลับพลึงขอรับ”
“ทั้งๆ ที่มันเป็นศัตรูของข้าน่ะรึ”
พันอึ้ง
“เห็นแก่นังพิศที่เป็นน้องสาวเอ็ง” ท่านผู้หญิงเว้นไปนิดหนึ่ง “ไสหัวออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้แล้วอย่าได้หวนกลับมาที่ “โดมทอง” รวมทั้งโคตรเหง้าสักหลาดของเอ็งด้วยอย่ามาให้ข้าและท่านเจ้าคุณเห็นหน้า”
“ขอรับ” พันก้มกราบ “กระผมกราบลาขอรับ”
“วางปิ่นโตไว้ตรงนั้นแหละ”
“ขอรับ”
พันหันหลังเดินดุ่มๆ ออกไป
“พิศ”
“เจ้าขา”
“เตรียมของที่ข้าสั่งไว้พร้อมหรือยัง”
“เจ้าค่ะ พิศขนเอาขึ้นไปเตรียมไว้ตั้งแต่เช้ามืดแน่ะเจ้าค่ะ”
ทางด้านพลับพลึงนอนตะแคงขดตัวอยู่ สะดุ้งตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงค้อนตอกประตูดังมาจากภายนอก พลับพลึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปที่ประตูซึ่งเหมือนมีอะไรมาทุบกระแทก
“นั่นใคร”
ยังมีเสียงค้อนตอกไม้ดังสั่นสะเทือนไปทั่ว
“ใคร...ใครอยู่ข้างนอก ช่วยฉันด้วย” เสียงพลับพลึงดังออกมา
แต่ไม่มีใครตอบกลับ นอกจากเสียงตอกไม้อย่างเดิม
พิศยังคงตอกตะปูเข้ากับไม้ที่วางขวางประตูอีกทีอยู่ ท่านผู้หญิงยืนมองอย่างเย็นชาไร้ความเมตตาห่างออกมา
“คุณพี่ คุณพี่อยู่ข้างนอกหรือเปล่าคะ”
พิศหันมามองนายแว่บหนึ่ง ท่านผู้หญิงยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น
“คุณพี่...สงสารน้องเถอะค่ะ อย่าขังน้องไว้ในนี้เลย...คุณพี่ขา...” ตามด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
สีหน้าท่านผู้หญิงยังคงเย็นชาไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับเสียงร้องไห้นั้นเลย
ขณะที่ท่านผู้หญิงเดินนำพิศลงมา จู่ๆ ท่านผู้หญิงมีอาการเหมือนหน้ามืด ซวนเซจนต้องจับราวบันไดไว้
พิศตกใจแล้วรีบประคอง “เป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
“พาข้าไปนั่งหน่อย”
“ระวังนะเจ้าคะ”
พิศประคองท่านเดินออกไปจากบริเวณนั้น
สักครู่หนึ่ง พิศพาท่านมาทรุดตัวลงนั่งในห้องนั่งเล่น
“เดี๋ยวพิศไปเอายาลมมาให้นะเจ้าคะ”
“เอากระโถนมาด้วย”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านผู้หญิงโก่งคออาเจียนอย่างผะอืดผะอมเต็มที่
พิศมองดูอย่างประหลาดใจ
“ไปเอากระโถนมาซิ นังพิศ นั่งโง่งมอยู่ได้ ไป๊”
“เจ้าค่ะ” พิศรีบออกไป
ท่านผู้หญิงผะอืดผะอมเต็มที่ เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า
เวลาผ่านไปอีกเกือบสัปดาห์ รถท่านเจ้าคุณแล่นกลับมาจอดหน้าตึกโดมทอง มีบ่าวชายหญิง 2 คน และพิศมารอรับ แสงรีบลงมาเปิดประตูรถให้
ท่านเจ้าคุณก้าวลงมาทันที นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
“แม่มณฑาล่ะ”
“อยู่ข้างบนเจ้าค่ะ” พิศบอก
ท่านเจ้าคุณรีบเดินเข้าไป พิศรีบตามยิ้มแย้ม แสงเปิดหลังรถ หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาส่งให้บ่าว
ท่านผู้หญิงนอนแพ้ท้องอยู่บนเตียง ประตูเปิดออก ท่านเจ้าคุณเดินมาทรุดตัวลงนั่ง จับมือภรรยาขึ้นมากุมด้วยสีหน้าตื้นตัน
“แม่มณฑา...ฉันดีใจเหลือเกิน... พอโทรเลขไปถึง ฉันอยากจะกลับเสียตอนนั้นเลย ติดที่ยังทำงานไม่เสร็จ”
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นนั่ง โดยท่านเจ้าคุณช่วยประคองทันที
“ลุกขึ้นทำไม...แล้วนี่..พลับพลึงไปไหน ทำไมไม่มาดูแลพี่”
ท่านผู้หญิงบีบน้ำตา
“เจ้าคุณพี่ขา”
“แม่มณฑาร้องไห้ทำไม”
คราวนี้ท่านผู้หญิงร้องไห้หนัก แถมสะอึกสะอื้นจนตัวโยน จนท่านเจ้าคุณเริ่มเอะใจ แต่ก็โอบกอดไว้
“เกิดอะไรขึ้น...ทำไมถึงร้องห่มร้องไห้ขนาดนี้”
ท่านผู้หญิงขยับตัวออกจากอ้อมกอดเจ้าคุณแล้วก้มลงกราบบนตัก
“คุณพี่ขา...ยกโทษให้ดิฉันด้วย ยกโทษให้ดิฉันที่ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งพลับพลึงเอาไว้ได้”
ท่านเจ้าคุณมีสีหน้าคลางแคลง “บอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พลับพลึง...พลับพลึงหนีไปแล้วเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าคุณตกตะลึง
แจกันปักดอกพลับพลึงในห้องทำงานเหี่ยวแห้งโรยรา ท่านเจ้าคุณยืนอ่านจดหมายที่หน้าต่าง ซึ่งมองออกไปเห็นทุ่งดอกพลับพลึงบานสะพรั่ง
“กราบเรียนเจ้าคุณพี่....เมื่อเจ้าคุณพี่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้นั่นหมายความว่า ดิฉันได้จาก “โดมทอง” ไปแล้ว และจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก...เจ้าคุณพี่อย่าได้ตามหาดิฉันเลยนะคะ ดิฉันไม่สามารถทำร้ายจิตใจของคุณพี่มณฑาได้ ... ยิ่งท่านดีกับดิฉันมากเท่าไหร่ ดิฉันก็ยิ่งละอายใจมากขึ้นเท่านั้น...เรื่องนี้ดิฉันใคร่ครวญเอง และตัดสินใจเองโดยไม่มีใครมาเกี่ยวข้องด้วย...ขอให้เจ้าคุณพี่รักและทะนุถนอมคุณพี่มณฑาตลอดไป...พลับพลึง”
ท่านเจ้าคุณขยำจดหมายนั้น แล้วเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปอย่างเจ็บปวด
“ทำไมทำอย่างนี้...พลับพลึง”
ท่านเจ้าคุณไม่มีทางรู้ว่า เวลานั้นพลับพลึงซึ่งถูกขังอยู่ในห้องใต้โดมนอนอ่อนระโหยใบหน้าซูบซีด นัยน์ตาโหล ปากแห้งแตกเลือดซึม สภาพเหมือนคนอดข้าวอดน้ำนานหลายวัน แววตาเลื่อนลอย
ด้านเจ้าคุณยังคงมองออกไปข้างหน้าด้วยความเสียใจ และเจ็บปวดลึกซึ้ง ประตูห้องเปิดออก ท่านผู้หญิงเดินเข้ามาอย่างอ่อนระโหย แล้วทรุดตัวลงกราบแทบเท้าเจ้าคุณ
“เจ้าคุณพี่...ดิฉันกราบขอประทานโทษ...”
ท่านเจ้าคุณหันมา แล้วทรุดตัวลงประคองท่านขึ้น
“แม่มณฑาไม่ได้ผิด จะต้องมาขอโทษทำไม”
“ดิฉันรู้ว่า เจ้าคุณพี่รักพลับพลึงมาก แต่ก็ยังละเลยปล่อยให้หนีไป...”
“ฉันรักพลับพลึง แต่เขาคงไม่ได้รักฉัน ถึงได้หนีไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์คนที่รักกันคงไม่มีวันทำร้ายจิตใจกัน ได้ถึงเพียงนี้...”
“คุณพี่...” ท่านผู้หญิงบีบน้ำตา
“ในเมื่อเขาไปแล้วก็ช่างเขา”
“ดิฉันเคยให้คนออกไปตามหา...แต่ก็ไม่พบ”
“นั่นเพราะพลับพลึงไม่ต้องการให้เราหาพบ” ท่านเจ้าคุณสูดลมหายใจลึกและยาว “แม่มณฑาอย่าคิดมากเลยลูกออกมาจะได้แข็งแรง”
ท่านผู้หญิงซบหน้ากับอกท่านเจ้าคุณ สีหน้าแววตาบ่งบอกชัยชนะซึ่งท่านเจ้าคุณไม่มีทางเห็น
ค่ำแล้ว ความมืดโรยตัวครอบคลุมทั่วอาณาเขตโดมทอง ทิวเขาดูดำทะมึนโอบล้อม ยิ่งทำให้ดูลึกลับ
ภายในห้องนอน ท่านเจ้าคุณยังคงกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ขณะที่ท่านผู้หญิงนอนตะแคง...คอยจับตาสังเกตสามีอยู่เงียบๆ
ในที่สุดท่านเจ้าคุณดึงผ้าแพรเพลาะออก แล้วลุกขึ้นนั่ง
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นนั่งตาม “จะไปไหนคะ”
“อ้าว นึกว่าหลับแล้วเสียอีก...ฉันนอนไม่หลับ...จะออกไปดูอะไรต่อมิอะไรข้างนอก”
“ดิฉันไปด้วย”
“อย่าเลย...แม่มณฑากำลังท้องกำลังไส้...ต้องพักผ่อนมากๆ”
ท่านเจ้าคุณลุกเดินไปที่ประตู แล้วเปิดออกไป
ท่านผู้หญิงมองตาม ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คิดถึงนังพลับพลึงละซี ป่านนี้คงนอนขึ้นอืดแล้วมั้ง สมน้ำหน้า”
ท่านเจ้าคุณเดินช้าๆ มาหยุดที่หน้าห้องพลับพลึง สีหน้าท่านเจ้าคุณลังเลเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปใกล้ ...มือท่านเจ้าคุณค่อยๆ เอื้อมไปบิดลูกบิดแล้วเปิดเดินเข้าไป
ท่านเจ้าคุณเดินเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด แล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟ ภายในห้องสว่าง ทุกอย่างจัดเป็นระเบียบเช่นเดิม ที่นอนคลุมผ้าไว้เรียบร้อย แต่มีฝุ่นจับด้วยไม่ได้มีใครเข้ามาทำความสะอาดนับตั้งแต่พลับจากไป
ท่านเจ้าคุณเดินมาที่โต๊ะซึ่งวางแจกันปักดอกพลับพลึงเหี่ยวเฉาอยู่ ค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะที่ดอกไม้นั้นเบาๆ
“พลับพลึง...ทำไมทำกับฉันอย่างนี้”
ท่านเจ้าเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเตียง แล้วเอนลงนอน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอาลัยอาวรณ์
ที่ห้องใต้โดม พลับพลึงนอนคุดคู้สิ้นเรี่ยวแรง ร้องคร่ำครวญด้วยเสียงอันแหบโหย
“เจ้าคุณพี่ ...ช่วยน้องด้วย”
พลับพลึงหลับตาลง ทันใดนั้นเสียงระนาด และเครื่องดนตรีในวงมโหรีดังขึ้นเยือกเย็น พลับพลึงลืมตาขึ้น แล้วยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
ผีเพื่อนๆ ในวงปรากฏตัวขึ้นเล่นดนตรีเหมือนเมื่อครั้งมีชีวิต
“มารับฉันแล้วหรือ”
สีหน้าแต่ละคนดูไร้ชีวิตจิตใจและซูบซีดน่ากลัว ขณะที่มือก็เล่นเครื่องดนตรีไป บรรเลงเพลงนางครวญ พลับพลึงหลับตาลงช้าๆ แล้วสิ้นใจไปในที่สุด
ดวงวิญญาณยังคงบรรเลงเพลงหวานเศร้าดังโหยหวนไปทั่วโดมทอง
อ่านต่อตอนที่ 17