วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 16
อีกด้านหนึ่งที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ เหม่ยอิงกำลังยืนด่าพนักงานชายหญิงคู่หนึ่ง
“เลือกมา ไม่ใครคนใดคนหนึ่งต้องออกไปฉันไม่ชอบให้สามี-ภรรยาทำงานบริษัทเดียวกัน ประสิทธิภาพการทำงานมันจะลดลง เข้าใจไหม”
ชายหญิงสองคนมองหน้ากัน คิดหนัก เกาเฟยเคาะประตูกระจกแล้วเปิด เดินเข้ามาหากระซิบกับเหม่ยอิง เหม่ยอิงพูดกับพนักงาน
“ไปได้แล้ว ได้คำตอบแล้วมาบอกฉัน ภายในวันนี้เท่านั้น ไม่งั้นฉันไล่ออกทั้งคู่” พนักงานชายหญิงสองคนหงอ รีบเดินออกจากห้องไป เกาเฟยมองตามอย่างเย้ยหยัน “เกาเฟย! มาพอดี เรื่องที่แกโทรมาเมื่อเช้า แกไปเอามาจากไหน”
“บริษัทนายหน้าขายที่ดินโทรมาบอกครับ”
“ที่ดินตรงตึกร้านขายของเก่านังซูหลิงกะไอ้ฉินเจียงเนี่ยนะ”
“ใช่ครับ”
“มีคนมาซื้อตัดหน้าเราไปแล้ว งั้นหรือ” เกาเฟยพยักหน้า
“เพราะเราไม่รีบทำสัญญาก่อนเอง เราผิดเอง ไอ้คนซื้อรายนี้มันเลยชิงวางเงินมัดจำไปก่อน”
เหม่ยอิงแบะปาก ยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“ช่างมัน ใครจะซื้อไปก็ ยังไงฉินเจียงมันก็หมดที่ทางทำมาหากินอยู่ดี”
“มันจะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิครับ”
“ทำไม”
“คุณหนูอยากรู้ไหมล่ะครับว่าใครเป็นคนซื้อไป”
เหม่ยอิงรีบหันกลับมา
“มันเป็นใคร”
บ้านสี่ฤดู ผิงอัน อาม่า แม่สี่กำลังช่วยกันเตรียมของที่ผิงอันต้องเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ภายในห้องมีกองเสื้อผ้าที่พับไว้ แล้วข้าวของต่างๆ วางระเกะระกะเต็มไปหมด อากงยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาจากชั้นบน
“โอ้โห ใบใหญ่ขนาดนี้เลยเหรออากง แล้วหนูจะแบกไปยังไงไหว”
“ไม่ต้องแบกนี่ลูก ก็แค่ลากไป”
“ใครจะลากใครกันแน่ แม่ดูสิใหญ่ขนาดใส่อาม่าลงไปได้เลยนะเนี่ย”
“แหม...คุณหนู ถ้าอาม่าลงไปได้จริงๆ อาม่าตามไปด้วยนะคะ”
“ลองดูไหมล่ะอาม่า”
“อ้าว พอๆ รีบจัดเร็วๆ เข้า เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว เดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี”
“ไม่ทันก็ดี” ผิงอันซึมนิ่งไป ทุกคนเห็น มองด้วยความเป็นห่วง แล้วมองหน้ากัน ผิงอันยกมือขึ้นภาวนา “เจ้าประคุณ ขอให้พี่ชายใหญ่กลับมาให้ก่อนที่ซาหมุยจะเดินทางไปอเมริกาด้วยเถิด เพี้ยง”
แม่สี่กำลังช่วยจัดของใส่กระเป๋าใบใหญ่
“เหมือนจะใหญ่ไปจริงๆ ด้วย”
“นั่นไง หนูบอกแล้ว เราเลื่อนกำหนดการเดินทางออกไปก่อนก็ได้นี่แม่”
“เพราะแค่เรื่องกระเป๋าเนี่ยนะ ไม่มีทาง” ผิงอันหน้าสลด
“ทำไมเราไม่ใช้กระเป๋าเดินทางของคุณหนูใหญ่ล่ะคะ ใบที่คุณเหม่ยอิงเคยใช้ไปเรียนต่างประเทศ”
“จริงด้วยสิ”
“แหวะ ไม่เอาหรอก ขี้เกียจต้องมานั่งระวัง เดี๋ยวเกิดเป็นรอยขึ้นมา หนูโดนฆ่าตายพอดี เอาของพี่ชายใหญ่นี่แหละ ใช้แล้วสบายใจ”
“อากง ขึ้นไปเอากระเป๋าของเหม่ยอิงมาทีสิ” แม่สี่ใช้อากา
“ใครจะขึ้นไปเอาอะไรของหนู”
หม่ยอิงเดินเข้ามาที่ประตูอย่างรวดเร็ว
“ตายยากจริงๆ” ผิงอันพูดเบาๆ กับตัวเอง คนอื่นมองเหม่ยอิงแบบแปลกใจ
“อ้าว... เอ่อ ทำไมวันนี้กลับแต่วันเลยลูก มาก็ดีแล้ว คืออาทิตย์หน้าผิงอันจะไปเรียนแล้วนะ น้องเขาก็เลยจะขอยืมกระเป๋าเดินทางของหนู”
“เฮ้ย...หนูเปล่า” ผิงอันรีบบอก
“ไม่ให้” เหม่ยอิงบอก
“บอกแล้วไม่เชื่อ” ผิงอันพูดเบาๆ
“จ้ะๆ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
แม่สี่กับอาม่าหันไปง่วนกับการจัดกระเป๋าให้ผิงอันต่อ ไม่สนใจ อากงเดินกลับลงมาจากชั้นบน ไม่มีใครสนใจเหม่ยอิง
“ว้าย” อยู่ๆ เหม่ยอิงก็ร้องออกมา ทุกคนตกใจหันไปมอง “นั่งตีหน้าซื่อกันเก่งนักนะ สุมหัวกันดีนัก ทั้งหัวหงอกหัวดำ ใคร ใครมันเป็นตัวต้นคิดให้มาแย่งซื้อที่ดินตรงร้านอิซูหลิงกะไอ้ฉินเจียงไป ใคร ตอบ”
เหม่ยอิงเดินไปรอบๆ ด่ากราดเสียงดัง ผิงอันเหลืออด ลุกขึ้นยืนตะโกนเสียงดังบ้าง
“พี่เหม่ยอิง ฟังก่อน”
“ไม่ฟัง แกนั่นแหละตัวดี ทำไมที่ดินถึงถูกซื้อไปโดยชื่อของแก แกไปเอาเงินมากมายมาจากไหน ไปเอามาจากไหน ตอบสิ”
“โอ๊ยยย น่ารำคาญ ไม่ต่งไม่ตอบมันแล้ว”
ผิงอันเดินออกไป เหม่ยอิงตะโกนไล่หลัง แล้วเดินตามไป
“หึ คิดว่าได้ไปเมืองนอกเมืองนาแล้วเก่งนักใช่ไหม ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม”
ผิงอันหยุด หันกลับไปอย่างเร็ว มองหน้าท้าทาย
“ใช่ ปีกกล้าแล้วขาแข็งมากกเลยพี่ พี่จะจับดูไหมล่ะ” ผิงอันยื่นขาให้จับ
“ว้าย...อีบ้า”
“พี่น่ะสิบ้า เมื่อกี้ฉันก็อธิบายให้พี่ฟังดีๆ แล้ว อยากไม่ฟังเอง ช่วยไม่ได้”
ผิงอันเดินไป เหม่ยอิงคว้าไหล่ผิงอันไว้
“เดี๋ยว” ผิงอันปัดมือเหม่ยอิงออก แล้วมองหน้าแบบไม่กลัว “แกไปเอาเงินมาจากไหน ธนาคารที่ไหนเขาให้แกกู้ แกยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่แก่เหมือนพี่ และก็ไม่มีธนาคารไหนให้กู้ด้วย อยากรู้ใช่ม้าว่าเอาเงินมาจากไหน”
เหม่ยอิงพยักหน้าหยิ่งๆ “ฉันไม่บอก”
“ว้ายยย”
“หนวกหู! คิดว่าร้องเป็นคนเดียวหรือไง สมน้ำหน้า อยากรู้ให้อกแตกตายไปเลย”
ผิงอันเดินขึ้นไปข้างบน เหม่ยอิงตามขึ้นบันได้ไป
“นี่แก ลงมาคุยให้รู้เรื่องก่อน พี่ชายของแกใช่ไหม แกติดต่อกับจ้าวซันได้ใช่ไหม” ผิงอันไม่สนใจ หันมาแลบลิ้นใส่ “หนอย อี... อี...ดู คุณแม่ดูมัน เลี้ยงลูกประสาอะไรถึงได้แสดงมีกริยาไพร่แบบนี้” เหม่ยอิงตามขึ้นไป ผิงอันปิดประตูห้องอย่างแรง “ผิงอัน ออกมาเดี๋ยวนี้ ผิงอัน”
เหม่ยอิงกระหน่ำเคาะประตูห้องรัวๆๆๆ อาม่า แม่สี่ อากง มองหน้ากันระอา
คืนนั้นที่คีรีรัฐ ภายในห้องบรรทมเจ้าหลวง ศิขรนโรดมนอนเพ้อหนัก มีเหงื่อผุดออกมาตามใบหน้าและแขนพระเทวีสิริวารตีมีสีหน้าวิตกกังวล กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามลำตัว ใบหน้า และแขนของศิขรนโรดม
“อะไรกันนี่ เมื่อหัวค่ำยังดีๆ แต่ตอนนี้เหมือนไข้สูงพรวดพราดเลย นี่มันไข้ใจหรือยังไงกันเนี่ย”
“ให้หม่อมฉันทำดีกว่าเพคะ”
“ไม่เป็นไร” พระเทวีสิริวารตีเช็ดตัวศิขรนโรดมเสร็จ วางผ้าขนหนูลงในอ่างเงินที่นางในถืออยู่ “รีบไปเปลี่ยนน้ำมา”
นางในก้มศีรษะรับคำ แล้วเดินถืออ่างน้ำออกจากห้องไป ศิขรนโรดมขยับตัวไปมา เพ้ออยู่ในลำคอฟังไม่เป็นภาษา พระเทวีสิริวารตีเอามือแตะที่หน้าผากและตามตัว
“ศิขรนโรดม โธ่...ลูกหนอลูก ทรงแข็งแรง มีพระอนามัยดีๆ แท้ๆ นะลูกแม่ ทำไมกลายเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ได้ ลูกคือเจ้าหลวงของคนทั้งคีรีรัฐ ใครๆ ก็ฝากความหวังไว้ที่ลูกนะลูก”
พระเทวีสิริวารตีครุ่นคิด หนักใจ แม่นมรีบเดินออกไป แต่แล้วก็หันกลับมา หยุด พูดความในใจ
“หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระเทวีด้วย”
“อะไรกันแม่นม”
แม่นมรีบเข้ามาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ
“หม่อมฉันเป็นต้นเหตุเอง หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าองค์เจ้าหลวงจะทรงรักคุณมิถิลาขนาดนี้ ต่อไปหม่อมฉันจะไม่บ่น ไม่ว่า ไม่ทำอะไรไม่ดีต่อคุณมิถิลาอีกแล้ว”
“เอาเถอะแม่นม เรื่องมันแล้วไปแล้ว อย่ามามัวแต่โทษตัวเองเลย”
“ขอให้คุณมิถิลากลับมาเร็วๆ ทีเถิด”
แม่นมยกมือพนมขึ้นเหนือหัว
“นม ฉันว่ารีบไปตามหมอหลวงมาเถอะ ท่าจะไม่ดีแล้วล่ะ”
แม่นมสะดุ้ง รีบคำนับพระเทวีสิริวารตีแล้วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ศิขรนโรดมยังคงดูกระสับกระส่ายและทรมานเพราะพิษไข้ พระเทวีสิริวารตีมองดูด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มและแววตาเป็นห่วง จ้าวซันเดินเข้ามา พระเทวีสิริวารตีเห็น อึ้งๆ
“ทำไมเจ้าหลวงเป็นขนาดนี้ เจ้าหลวงมีโรคอะไรประจำพระองค์หรือเปล่า เจ้าป้า กระหม่อม”
“ทอดเนตรเอาเองก็แล้วกัน เจ้าพี่ ศิขร...เอ่อ เจ้าหลวง ไม่มีพระโรคทางกายอะไรเลย แต่พระทัยน่ะสิ ทรงมีพระทัยที่อ่อนแอเกินไป เช่นนี้แล้วฝ่าบาทจะยังทิ้งน้องไปได้ลงคออีกหรือเพคะ”
จ้าวซันนั่งลงที่เตียง จับตัวศิขรนโรดมด้วยสีหน้าหนักใจ
วันต่อมาที่วัด มิถิลาซึ่งนุ่งขาวห่มขาว กำลังตากผ้าอยู่ ทันใดมีเสียงเหมือนคนผิวปากวี้ดๆ ทางซ้าย มิถิลาสะดุ้ง หันไปเห็นผ้าปลิวไปมา ผิดปกติ มิถิลายังไม่ปักใจหันกลับมาตากผ้าต่อ มีเสียงผิวปากวี้ดๆ มาจากทางขวา มิถิลาหันขวับ แน่ใจแล้วว่ามีอะไรผิดปกติแน่ รีบเดินไปดู
พอมิถิลาเดินผ่านแนวราวผ้ามาก็มีคนในชุดดำ ปิดหน้าตา เอาผ้าขาวคลุมหัวมิถิลาฟึ่บ แล้วเอาผ้าขาวอีกส่วน พันฟึ่บๆๆ รอบตัวมิถิลาจนมิถิลาเหมือนโดนห่อเป็นเปาะเปี๊ยะ แขนขาโดนรวบให้แนบไปกับตัว แล้วรวบตัว ลากไปทันที มิถิลาพยายามดิ้นๆๆ แต่มือ แขนขาโดนรัดจนขยับไม่ได้ โดนลากไป
แม่ชีสองคนได้ยินเสียง โผล่มาดู มิถิลาหายไปแล้ว มีตะกร้าผ้าวางทิ้งอยู่ ผ้าขาวบนราวยังปลิวไสวๆๆ แม่ชีสบตากัน ซีดๆ
คนชุดดำลากมิถิลาที่โดนผ้าขาวพันเป็นดักแด้มา แล้วมิถิลาดิ้นสะบัดๆ สู้สุดฤทธิ์ จนคนชุดดำเอาไม่อยู่ ล้มกลิ้งไปด้วยกัน มิถิลาพลิกตัว ดิ้นพลางกระชากผ้าที่คลุมหัว
“ม่านฟ้า คุณคิดจะทำอะไรน่ะ เอาผ้าออกไปจากตัวชั้นเดี๋ยวนี้นะ”
บราลีงง รีบลุกมา ดึงผ้าที่ปิดหน้าตัวเองออก
“มิถิลา เธอรู้ได้ยังไง”
“ข้าจำกลิ่นน้ำหอมท่านได้น่ะสิ” มิถิลาดึงผ้าที่คลุมหัวออกสำเร็จ หันมา “กลิ่นน้ำหอมฝรั่ง ท่านทำบ้าอะไร คิดจะแก้แค้นข้าหรือ”
“แก้แค้นอะไร ระหว่างเรา ไม่มีอะไรแค้นกันซักหน่อย”
จ้าวซันเดินเข้ามาจากอีกทาง
“เรื่องเก่าๆ น่ะ ปล่อยวางได้แล้ว มิถิลา คนจะบวชคิดแต่เรื่องใครแค้นเรา เราแค้นใคร อะไรแบบนี้ จะบวชได้หรือ”
มิถิลาอึ้ง แล้วพนมมือ บังคม
“องค์น่านปิง”
“รู้ไหมว่าคนจะบวชได้น่ะ ต้องไม่มีคนคัดค้าน หากมีใครก็ตามมาขัดขวาง ไม่ว่าจะขอร้องดีๆ หรือเอะอะโวยวายไม่ยอมให้บวช เราเชื่อว่าแม่ชีท่านต้องไม่ยอมบวชให้แน่ๆ”
“แล้วทรงทราบไหม ว่าทรงทำแบบนี้ มันเป็นบาปนะเพคะ”
“เอาอย่างนี้ ก่อนจะบวช พวกเราขอให้ท่านไปดูคนๆ นึงก่อน แล้วหากท่านยังแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจละก็ พวกเราจะพาท่านกลับมาส่งทันที”
“ใครกัน ตัวเขาเองยังไม่คิดจะมาเอง แล้วยังมีสิทธิ์จะมาหวังให้ข้าใจอ่อนอีกหรือ”
“นั่นสินะ ทำไมเขาจึงไม่มาเองล่ะ เจ้าไม่อยากจะรู้บ้างหรือ”
มิถิลางงๆ
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
บราลี จ้าวซันพามิถิลาเดินเข้ามาในบริเวณบ้านพักรับรอง ริมน้ำตก ภูสินทรและคนของภูสินทร ยืนกันเต็ม
“อะไรกัน ทำไม”
บราลีจับมือมิถิลาไว้
“ไม่มีอะไรเป็นอันตรายกับเธอหรอกน่า สิ่งที่น่ากลัวคือคนๆ นึง อาจจะอาการหนักหนาสาหัสกว่านี้”
“ใคร เป็นอะไร”
“เชิญ เจ้าเข้าไปดูเองก็แล้วกัน”
“ไม่ หม่อมชั้นจะกลับ องค์ชายเห็นหม่อมฉันเป็นอะไร คิดจะลักพาตัวมาให้ เอ้อ...”
“ท่านเห็นข้าเป็นคนที่ชอบทำเรื่องที่ไม่ให้เกียรติ หรือดูหมิ่นศักดิ์ศรีสตรี งั้นหรือ”
“คุณมิถิลา โปรดให้ความร่วมมือด้วยครับ” ภูสินทรบอก
“มิถิลา ชั้นจะเข้าไปเป็นเพื่อนคุณเอง เชิญ”
บราลีเดินนำเข้าไป มิถิลาคิดๆ แล้วตามไป
ศิขรนโรดมนอนซมอยู่ในห้อง มิถิลาโผล่มา แล้วชะงัก ตกใจ บราลีเดินเคียงมา มหาดเล็กคนนึงที่นั่งพัดวีอยู่ รีบวาง บราลีพยักหน้าให้ มหาดเล็กรีบออกไป
“ทรง...แกล้งทำหรือเปล่า”
มิถิลาหันมามองหน้าบราลี
“ดูเอาเองสิ บ้าจริง เธอนี่ ไม่รู้ในหัวมีแต่อะไร” บราลีเดินออกไปอย่างเบื่อๆ มิถิลายืนอึ้งๆ มองรอบๆ ไม่มีใคร จึงตัดสินใจเข้าไป
ศิขรนโรดมนอนอยู่ที่เตียง ขยับตัว แล้วหันมาพอดี ลืมตาขึ้น มิถิลาสะดุ้ง แต่ยืนนิ่ง ฟอร์ม มองแบบเชิดๆ ศิขรนโรดมลืมตาแบบปรือๆ เห็นมิถิลายืนอยู่แบบเบลอๆ ศิขรนโรดมยิ้มออกมา
“มิถิลา นี่...”
“ทรงประชวรเป็นอะไรเพคะ”
“นี่ เราคงฝันไปสินะ”
ศิขรนโรดมผล็อยหลับลงไปอีก มิถิลางงๆ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ ศิขรนโรดมหลับนิ่ง หายใจสม่ำเสมอ มิถิลามองดู พิจารณาถนัด หน้าซีดลงๆ แล้วเข้าไปคุกเข่าข้างๆ เอื้อมมือไปแตะแขน แล้วสะดุ้งเฮือก
“ฝ่าบาท เจ้าหลวงเพคะ ทำไมทรงมีไข้สูงขนาดนี้” ศิขรนโรดมไม่ไหวติง ไม่รู้ตัว “เจ้าหลวง ทำไม...ทำไมเพคะ”
มิถิลาจับมือศิขรนโรดม แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ฮ่องกง จ่าหมงจอดรถที่มุมนึงข้างคอนโดหรูแห่งหนึ่ง ภายในรถจ่าหมงนั่งกินบะหมี่ในคัพน็ดเดิ้ลอยู่ จนกระทั่งมีรถสปอร์ตหรูแล่นมาชะลอ จอด จ่าหมงหดหัวลง แต่ตามองเป๋ง เพราะคนขับนั้นคือเกาเฟย ที่กั้นที่จอดรถคอนโดฯ เปิดด้วยระบบอัตโนมัติ เกาเฟยขับเข้าไป จ่าหมงหยิบโทรศัพท์มือถือมากดส่งไลน์
ในลานจอดรถของคอนโด คนแต่งชุดพนักงานรปภ. หยิบโทรศัพท์มากดอ่าน แล้วจับตามอง รถเกาเฟยแล่นมาจอด เกาเฟยลงจากรถ หยิบของจากในรถ รปภ.คนนั้นแอบกดโทรศัพท์ถ่ายรูปเกาเฟยที่แต่งตัวเริ่ดกับรถคันหรู เกาเฟยเดินมา รปภ.คนนั้นทำความเคารพ
เกาเฟยเดินเข้าประตูทางเข้าคอนโดไป ผ่านประตูด้วยระบบกดรหัส รปภ.คนนั้นหันโทรศัพท์ไปกดแอบถ่ายเกาเฟยเป็นชุด
วันต่อมาที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป จ่าหมงแต่งตัวใส่สูทเดินไปเดินทำเป็นอ่านป้าย นั่นนี่ไปมา เกาเฟยในสูทหรูเดินเข้ามา พนักงานส่วนนึงยืนรอลิฟต์อยู่ เกาเฟยเดินกร่างเข้ามา พวกพนักงานหลีกทางให้ เกาเฟยยิ้มหยิ่งเชิด เดินมารอลิฟต์
ลิฟต์เปิด เกาเฟยก้าวเข้าไปคนเดียว พนักงานทำท่าเคารพ กลัวๆ
“อ้าว ใครจะเข้ามาก็เชิญสิ”
เกาเฟยบอก พวกพนักงานยิ้มแหย แหะๆ แอ๊ดลิปส์ ประมาณเชิญตามสบายเถอะครับ ลิฟต์ปิด จ่าหมงยืนมุมนึง แอบมองเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างทึ่งๆ
โรงพยาบาล ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ จ่าหมง ตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่ที่ห้องพักเต๋อเป่า อเล็กซ์นั่งหน้าคอมแลปท็อปกดให้ทุกคนที่มารุมดูดูกัน
“เส้นทางของเงินที่เข้าไปที่บัญชีของเกาเฟย ที่เวียดนาม และที่เมืองจีน มาจากบัญชีของบริษัทในเครือฉินเย่ว์กรุ๊ปทั้งสิ้น เป็นบริษัทที่จ้าวเหม่ยอิงเพิ่งเข้าไปบริหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลังจากจ้าวซันไม่อยู่นี่เอง”
“เท่านี้ยังไม่พออีกหรือครับ หลักฐาน ส่วนเรื่องการปล้นรถสื้อฉวน คนรถตายก็เป็นฝีมือมันแน่ๆ แต่ผมหาหลักฐาน พยานไม่ได้เท่านั้น พวกคุณต้องหาทางเข้าไปในโรงงานกันเองว่าหลังจากการปล้นวันนั้น แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโรงงานหรือเปล่า”
“เราจะส่งคนเข้าไปตั้งนานแล้ว”
มีเสียงเคาะประตู หมวดจางเข้ามา”
“มาพอดี ได้เรื่องไหม อาจาง”
“โรงงานเสื้อผ้าบอกเลิกซื้อวัตถุดิบของบริษัทคู่ค้าเก่าๆ หลายแห่ง แต่ไปซื้อจากร้านใหม่จากเมืองจีน ซึ่งฝ่ายผลิตบอกว่าคุณภาพมันต่างจากสเป็คมาก แต่เหม่ยอิงบอกว่ามันจะเป็นการลดต้นทุนการผลิต จะทำให้ขายได้ราคาต่ำลง แต่ได้กำไรมากขึ้น”
“แล้วพวกลูกค้าที่เมืองนอกเขาไม่มีปฎิกริยาอะไรจากสินค้าล็อตแรกเลยเหรอครับ”
“เอ่อ อันนี้ เรายังไม่ได้ถามมา”
“คุณเหม่ยอิง คงไม่ได้ใช้ของผิดสเป็คเพื่อกำไรที่มากขึ้นอะไรนั่นหรอกครับ”
“งั้นเหรอ งั้นเธอทำเพื่ออะไร คอรัปชั่นหรือไง”
“เปล่าครับ”
“แล้วเธอทำเพื่ออะไรล่ะ”
“เพื่อทำลายจ้าวซัน”
ตำรวจมองหน้ากันไปมา งง
คีรีรัฐ ที่บ้านรับรอง ศิขรนโรดมลืมตาขึ้นมา งงๆ มิถิลาจ้องหน้าอยู่ ดีใจ
“เจ้าหลวง ฝ่าบาท”
“มิถิลา”
มิถิลาผวาเข้ามา จับเนื้อตัว
“ทรงเป็นยังไงบ้างเพคะ ปวดพระเศียร หรือว่าปวดเมื่อยตัวหรือเปล่า ท่านแพทย์หลวงบอกว่าทรงติดเชื้อในกระแสพระโลหิตเพคะ”
“นี่...มิถิลาจริงๆ เราไม่ได้ฝันไป”
“โธ่ นี่ทรงเพ้อหรือว่ามีพระสติดีแล้วเพคะ”
“ไม่ได้เพ้อ แต่นี่คือความจริงใช่ไหม”
“จริงสิเพคะ หม่อมฉันมาถวายรับใช้เจ้าหลวงแล้ว เหมือนที่เคยรับใช้ตอนที่เราไปต่างประเทศด้วยกัน”
“ตอนที่เจ้าแต่งตัวเป็นชาย เหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแสนนานมาแล้ว”
“ตอนนั้น ความจริงเราสนุกกันมากนะเพคะ”
“ใช่ ถ้าเราร่วมกันผจญภัยแล้วก็ได้ใกล้ชิด สนิทสนมกันมาก ไม่เหมือนกับเมื่อเรากลับมาถึงคีรีรัฐแล้ว เรากลับห่างกัน ห่างออกไปทุกทีๆ”
“หม่อมฉันเสียใจเพคะ หม่อมฉันก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย”
“แต่เธอก็ทิ้งฉันไป”
“หม่อมฉันไม่มีทางอื่นเพคะ”
“ทำไมจะไม่มี”
“ไม่มีเพคะ ไม่มีจริงๆ ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นลูกของท่านพ่อ หม่อมฉันคิดว่าหากหม่อมฉันไปล้างบาปแทนท่าน น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หม่อมฉันไม่อาจอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เกลียดชังหม่อมฉัน”
“แล้วคนที่เขารักเธอล่ะ เธอไม่ใส่ใจเลยเหรอ”
“หม่อมฉันไม่คู่ควรกับความรักของใคร”
“แม้แต่ความรักของฉัน งั้นเหรอ”
“ไม่มีใครรับได้หรอกเพคะ”
“เธอเลยทิ้งฉันไป แล้วเธอคิดว่า ถ้าเธอปล่อยให้ฉันตรอมใจตาย แล้วทุกคนถึงจะรับได้ หรือไง”
“เจ้าหลวงเพคะ อย่าทรงใช้แต่อารมณ์เลย เราอยู่ในโลกของความจริง เราต้องมีเหตุผลนะเพคะ”
“เหตุผล คือฉันรักเธอ ความเป็นเจ้าหลวง มันหมายถึงฉันต้องเสียเธอไป แล้วเป็นเจ้าหลวงไปตามลำพัง งั้นเหรอ”
“ทรงหาใครซักคน”
“ก็นี่ไง ใครซักคน ไม่ต้องหาที่ไหนแล้วฉันมีแล้ว”
“ทรงไม่เข้าพระทัยอะไรเลย”
“เธอตังหาก ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เธออย่าดูถูกฉันสิ”
“หม่อมฉันเปล่า”
“เธอดูถูกชั้น เธอมองว่าฉันไม่มีปัญญา รับผิดชอบเธอไม่ได้ คุ้มครองเธอไม่ได้”
“เปล่าเพคะ”
“ถ้างั้น เธอก็ต้องแต่งงานกับฉัน”
“เจ้าหลวง”
“ไว้ใจฉัน เชื่อใจฉัน ฉันจะปกป้องเธอ จะทำให้ทุกคนยอมรับเธอ ฉันเป็นเจ้าหลวงไม่ใช่เหรอ ถ้าแค่ดูแลเธอคนเดียว ฉันยังทำไม่ได้ แล้วฉันจะไปดูแลคนทั้งคีรีรัฐได้ไง”
“เจ้าหลวง”
“แต่งงานกับฉัน อยู่กับฉันตลอดไปนะมิถิลา”
ศิขรนโรดมสบตา กุมมือมิถิลาไว้ มิถิลาสบตา แล้วพยักหน้ายอมรับ
วันต่อมาที่ตำหนักพระเทวีสิริวารตี อสุนีถวายบังคมพระเทวีสิริวารตีกับมาทยาธรอย่างยกย่องสุดๆ
“เจ้าหลวงกับพระเทวี ให้หม่อมฉันเข้าเฝ้า มีอะไรจะให้หม่อมฉันถวายรับใช้พะย่ะค่ะ”
“เวลานี้คำว่าเจ้าหลวง หมายถึงศิขรนโรดมเท่านั้น เจ้าต้องทำตัวให้ชินไว้ แล้วเจ้าก็จะต้องเป็นคนที่รับใช้เจ้าหลวงต่อไป ไม่ต้องไปไหนอีก เข้าใจไหม อสุนี”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุดแล้วกระหม่อม”
“เราอยากรู้ความสมัครใจของเจ้า อสุนี เจ้ายังรักภักดีต่อเราสองคนเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“หม่อมฉันจงรักภักดี ต่อฝ่าพระบาททั้งสองและองค์เจ้าหลวงพระองค์นี้ตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่พะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้ เจ้าคงไม่ขัดคำขอของเราสองคนสินะ”
“แม้แต่ชีวิต หม่อมฉันก็ถวายได้”
“เราจะเอาชีวิตเจ้ามาทำอะไรเล่า อสุนี”
“เราจะขอ มิถิลาตังหาก”
“ฮะ”
“ขอมิถิลา มาแต่งงานกับศิขรเถอะนะ อสุนี มิถิลากับเจ้าหลวงน่ะ รักกัน และเวลานี้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้น ที่เป็นผู้ใหญ่คนเดียวของมิถิลา”
“ตอบมาสิ อสุนี ว่าเจ้าจะยกน้องสาวเจ้า ให้เป็นพระเทวีของเจ้าหลวงหรือไม่”
อสุนีหมอบกราบ
“ถวายพะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอถวายมิถิลา สุดแท้แต่เจ้าหลวงจะโปรดให้รับใช้อย่างไรก็สุดแท้แต่น้ำพระทัยพะย่ะค่ะ”
พระเทวีสิริวารตี มาทยาธร มองหน้ากันอย่างดีใจ
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 16 (ต่อ)
ช่วงกลางคืนที่ท่าเรือริมชายทะเล ฮ่องกง เหม่ยอิงนั่งอยู่ในรถ สักพักเกาเฟยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาเทียบใกล้ๆ
เหม่ยอิงเปิดกระจกรถลง
“ผมดำเนินงานขั้นต่อไปได้แล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ งานเราสำเร็จไปอีกขั้นนึงแล้ว ลูกค้าที่ออสเตรเลียคอมเพลนมาที่ห้างสรรพสินค้ามากมาย ว่าสินค้าเมดอินไชน่าล็อตนี้ ไม่ได้คุณภาพ”
“ทางยุโรป ก็เหมือนกันนี่ครับ”
“ใช่ บริษัทสื้อฉวนกำลังจะโดนฟ้องล้มละลาย”
“แผนกำจัดจ้าวซันของเรา ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ”
“ยัง ฉันเปลี่ยนใจแล้ว จะทำให้มันสนุกมากไปกว่านี้อีก นี่มันแค่น้ำจิ้มไก่ธรรมดา แกรอดูจานที่เป็นหูฉลามของฉันแล้วกัน”
เกาเฟยมองหน้าเหม่ยอิง งงๆ หวาดๆ
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ความสุขอย่างเดียวที่ฉันจะหาได้ตอนนี้ก็คือ เห็นความหายนะของจ้าวซัน ยิ่งหายนะมากเท่าไหร่ยิ่งดี”
เหม่ยอิงออกมาจากรถ ลงมายืนคุยกับเกาเฟย
“หลักฐานการสั่งซื้อทุกอย่างแกทำลายทิ้งหมดแล้วใช่ไหม”
“เป็นขี้เถ้าไปหมดแล้วครับ”
“ดี คราวนี้ก็ไปจัดการทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มันพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
“ทุกคน...”
“ฉันไม่อยากให้เหลือพยานไว้แก้ต่างให้จ้าวซันเลยแม้แต่คนเดียว เรื่องนี้ต้องเป็นความผิดพลาดของจ้าวซันแต่ผู้เดียวเท่านั้น”
“ได้”
เหม่ยอิงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วผินหน้าออกไปทางทะเล
“รับน้ำจิ้มไก่ไปก่อนนะคะพี่ชายใหญ่ เดี๋ยวจะได้เจอกับชุดใหญ่ของเหม่ยอิง แล้วพี่จะอิ่มจนกินอะไรไม่ลง”
ด้านหลังไกลออกไป ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ หมวดจาง จ่าหมง ค่อยๆ ย่องและคลานต่ำเข้ามา หลบอยู่ตามเสา และมุมแอบต่างๆ โดยที่เหม่ยอิงและเกาเฟยไม่รู้ตัว
ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์กำลังเดินออกจากห้องผู้ป่วยที่เต๋อเป่านอนอยู่ เกาเฟยเดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์มาตามทาง ผ่านเคาน์เตอร์พยาบาล กำลังจะเลี้ยวไปทางห้องพัก อเล็กซ์เห็น รีบลากผู้กองเหลียงกลับเข้าไปในห้องเต๋อเป่าอีกที
เกาเฟยเดินเลี้ยวมา ไปทางห้องเต๋อเป่า ได้ยินเสียงประตูปิดดังปัง ไม่รู้ว่าห้องไหน มองไปไม่เห็นใครแล้ว เกาเฟยเปิดประตูผัวะเข้ามาในห้องเต๋อเป่า เต๋อเป่ากำลังนั่งดูการ์ตูนอย่างตั้งใจ หันกลับมายิ้มให้เกาเฟยอย่างเอ๋อๆ
“ไง ไอ้ปัญญาอ่อน” เกาเฟยเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องตามปกติ แต่ไม่เห็นใคร เกาเฟยจ้องดูเต๋อเป่า ผิดสังเกต “นั่งนิ่งเชียวนะวันนี้”
เกาเฟยเดินไปหยิบรีโมททีวี เปลี่ยนเป็นช่องกีฬา
“ไม่เอาๆๆ เอามา”
เต๋อเป่าพยายามจะเอื้อมไปแย่งรีโมทจากเกาเฟย เกาเฟยดึงรีโมทกลับมา
“ดูนี่ไปนั่นแหละ อย่าดื้อ เดี๋ยวปั๊ด”
เต๋อเป่าทำท่ากลัวหงอ พยักหน้ารับคำหงึกๆ เกาเฟยหันไปทางห้องน้ำที่ปิดประตูอยู่กำลังจะเดินเข้าไปเปิดประตู เต๋อเป่ามองลุ้นๆ ไม่รู้จะทำยังไงดี ตัดสินใจร้องออกมาเสียงดังเพื่อเบี่ยงความสนใจ
“โฮ่งๆๆ แฮ่ บรู๊ววว” เกาเฟยหันกลับไปมอง ส่ายหน้า เต๋อเป่าชี้นิ้วมาทางเกาเฟย “หมา หมาบ้า แฮ่”
เกาเฟยโกรธ เดินมาหมายจะเข้าไปตบหัวสั่งสอน พยาบาลถือถาดอาหารเดินเปิดประตูเข้ามาพอดี
“จะทำอะไรน่ะคะ”
เกาเฟยชะงักหันไปมอง
“แม่ๆ กลัวๆๆ จะหาพ่อๆๆ” เต๋อเป่าชี้นิ้วไปทางเกาเฟยอีก “ไม่เอาหมา หมาไป ออกไปๆ ชิ่ว”
เกาเฟยหน้าเสีย โกรธ จะเข้าไปเล่นงานอีก พยาบาลมาห้ามไว้
“คุณ! จะไปถือสาแกได้ยังไง” เกาเฟยส่งเสียงหงุดหงิด เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป พยาบาลส่ายหน้าระอา เดินมาวางถาดอาหารไว้ที่โต๊ะ “กินเองได้แล้วใช่ไหม” เต๋อเป่ายิ้ม พยักหน้าหงึกๆๆ “เก่งมาก”
พยาบาลเดินออกจากห้องไป ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์ค่อยๆ เปิดประตู แล้วโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำอย่างโล่งอก
“มันยังคอยเฝ้าจับตาอยู่ไม่ปล่อยเลย”
“ก็บอกแล้ว มาเกือบทุกวัน ไม่เป็นเวลาด้วย”
“คงต้องระวังให้มากกว่านี้ซะแล้ว ถ้ามันเห็นเราที่นี่ล่ะก็...”
“แกไม่มีญาติบ้างเลยหรือไงวะ จะได้โทรไปให้มารับตัวกลับสักที” ผู้หองเหลียงถามเต๋อเป่า เต๋อเป่าทำหน้าคิด เอ๋อๆ
“เฮ้ย เลิกทำเป็นเอ๋อได้แล้ว ซีเรียสเว้ย”
ผู้กองเหลียงเดินร้อนใจกดโทรศัพท์อยู่ในห้องผู้ป่วย ที่ระเบียงด้านนอกอเล็กซ์ก็กำลังยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาคุย และเข้ามาในห้อง
“ไม่มีสัญญาณ/ติดต่อไม่ได้”
อเล็กซ์กับผู้กองเหลียงพูดออกมาพร้อมกัน ทั้งคู่มองหน้ากัน
“อ้าว ก็บอกว่าผมโทรหาจ้าวซันเอง คุณไม่ต้อง”
“ก็ช่วยกัน”
“ช่วยกันอะไรเล่า สัญญาณมันก็ตีกันหมด ตกลงมีสัญญาณหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ผมโทรเอง”
ผู้กองเหลียงบอกแล้วออกไปกดโทรศัพท์ที่ระเบียง ท่าทางยังติดต่อไม่ได้ อเล็กซ์ส่ายหน้า หันมาคุยกับเต๋อเป่า
“แปลก ติดต่อคุณชายจ้าวซันไม่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว”
“คุณชายจะปลอดภัยดีหรือเปล่าไม่รู้”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่วังหลวง นครคีรีรัฐ ศิขรนโรดมเดินเคียงคู่มากับมิถิลา และมีอสุนีเดินตามมาข้างหลัง ทั้งหมดคุยกันมีความสุข
“อยากเห็นพระพักตร์ของเจ้าพี่ตอนที่ได้ยินเราบอกว่าจะแต่งงาน เจ้าพี่ต้องทรงดีใจกับพวกเราแน่ๆ”
ทั้งหมดเดินมาหยุดหน้าตำหนักที่พักจ้าวซัน ศิขรนโรดมตื่นเต้น ดีใจหน้าบาน กำลังจะเดินเข้าไป แม่นมเดินสวนออกมา หน้าซีด เกือบจะชนกับศิขรนโรดม แม่นมตกใจรีบถอยออกไป
“ถวายบังคมเจ้าหลวง ถวายบังคมคุณมิถิลา”
“เรามาหาเจ้าพี่ จะเชิญให้มาเป็นประธานในงานอภิเษกของเรากับมิถิลาสักหน่อย ทรงอยู่ด้านในใช่ไหม”
ศิขรนโรดมร้อนใจ รีบก้าวเดินเข้าไปข้างใน โดยยังไม่ทันฟังแม่นมตอบ
“ไม่อยู่แล้วเพคะ”
“อ้าว เจ้าพี่เสด็จไปไหนแต่เช้า”
“ข้าวของส่วนพระองค์ก็ไม่อยู่ด้วยเพคะ”
ศิขรนโรดมหันกลับมาตกใจ
“ว่าไงนะ”
รถจิ๊ปศิขรนโรดมแล่นตัดชายป่าลิ่วมาที่อาศรมครูเฒ่า ครูเฒ่าเดินออกมาพอดี ยืนอึ้ง ศิขรนโรดมตะโกนมาแต่ไกล
“ท่านพระครู เจ้าพี่ไปไหนแล้ว”
“เจ้าหลวง” ศิขรนโรดมโดดลงจากรถมาหา ตามด้วยมิถิลาและอสุนี “หม่อมฉันว่าจะไปเข้าเฝ้าอยู่พอดี”
“เจ้าพี่ ประทับอยู่ที่นี่ใช่ไหม” ศิขรนโรดมชะเง้อคอหา ครูเฒ่าทำหน้าหนักใจ แล้วตัดสินใจยื่นจดหมายในมือถวายให้ศิขรนโรดม “อะไร”
ศิขรนโรดมคลี่จดหมายออกดูแล้วช็อก
“ฝ่าบาท ทรงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
มิถิลาถามอย่างแปลกใจ ศิขรนโรดมอึ้ง ไม่ตอบ
“องค์ชายน่านปิงเสด็จกลับไปแล้ว” ครูเฒ่าบอก
“เสด็จกลับ กลับที่ไหน หมายความว่าไง”
“กลับฮ่องกงพะย่ะค่ะ”
“จริงรึ”
“ท่านอสุนีว่าข้าโกหกเจ้าหลวงงั้นหรือ”
“เปล่า แต่อาจเป็น กลลวง”
“ไม่มีใครเขาลวงอะไรกันนักกันหนาหรอก โดยเฉพาะจ้าวซัน เขามีแต่ความจริงใจให้บ้านนี้เมืองนี้” อสุนีอึ้ง
“ทำไมพระครูไม่ห้ามไว้ เสด็จไปนานหรือยัง”
“ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”
“ยังตามทัน ไปทางแม่น้ำเวียงสายใช่ไหม อสุนีไปเอาม้ามาเร็ว” อสุนียืนอิดๆ ออดๆ “เร็วสิ ยืนนิ่งอยู่ทำไม”
“ฝ่าบาท อย่าหาว่าหม่อมฉันล่วงเกินเลย องค์ชายน่านปิงคงมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำจริงๆ ไม่อย่างงั้น”
“ธุระอะไร ในนี้ก็ไม่ยอมบอก ได้แต่บอกว่ากราบบังคมทูลลา ด้วยภารกิจส่วนตัว เจ้าพี่มีอะไรส่วนพระองค์ ที่ไม่ยอมบอกน้อง”
“ฝ่าบาทพระทัยเย็นก่อน ที่พระครูท่านพูดก็มีเหตุผล หม่อมฉันว่าถ้าองค์ชายทรงเสร็จธุระคงจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่นอน”
“แต่เราไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ”
ศิขรนโรดมเสียใจ
ที่ท้องพระโรงของวังหลวงมีเสื้อผ้า ข้าวของชุดราชพิธีต่างๆ วางอยู่เรียงราย ศิขรนโรดม มิถิลา อสุนี พระเทวีสิริวารตี มาทยาธร กำลังคุยเครียด
“น่านปิงคงไม่อยากอยู่ที่นี่จริงๆ คีรีรัฐ ไม่ดีพอสำหรับเขา”
“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพะย่ะค่ะ เท่าที่หม่อมฉันรู้ เจ้าพี่ทรงรักคีรีรัฐมากกว่าที่ไหนๆ”
“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เขาจะกลับไปทำ มันคงสำคัญเหนือราชบัลลังก์กระมัง”
“น่านปิงเขาทำท่าอยากไปตั้งหลายวันมาแล้ว แต่อย่างน้อยก็น่าจะอยู่ร่วมงานมงคลก่อน”
“องค์ชายอาจจะยังไม่ทรงทราบกระมังเพคะ”
“อุตส่าห์เตรียมชุดให้แม่หนูม่านฟ้าใส่ด้วย ดูสิ”
พระเทวีสิริวารตีหยิบชุดที่จะให้บราลีใส่ออกมาโชว์ ผิดหวัง
“แล้วน่านปิงบอกหรือเปล่าว่าจะเสด็จไปที่ไหน”
“ในจดหมายไม่ได้บอกไว้พะย่ะค่ะ”
“จ้าวซันห่วงธุรกิจของเขาที่ฮ่องกงหรือเปล่าพะย่ะค่ะ”
“อาจจะมีปัญหาอะไร ด่วนฉุกเฉิน ที่เขาต้องไปแก้ไข”
“น่านปิงคงชอบที่จะเป็นนักธุรกิจมากกว่าสินะ”
ศิขรนโรดมคัดค้านอยู่ในใจ หันไปมองหน้ามิถิลาอย่างกลุ้มใจ
อีกด้านหนึ่งที่ชายทะเลในประเทศไทย บราลีและจ้าวซันกำลังเดินกระหนุงกระหนิงคุยกันอย่างมีความสุขมาตามชายหาด
“เฮ้ออ”
บราลีมองพระอาทิตย์ตรงหน้า ถอนหายใจเสียงดังอย่างมีความสุข หันมายิ้มให้กับจ้าวซัน จ้าวซันมอง ยิ้มตอบ แล้วเอาอย่างบ้าง
“เฮ้ออ”
“ทะเลที่เมืองไทยสวยที่สุดเลย หม่อมฉันอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป”
“ขอพักผ่อนแบบคนอื่นๆ เขาบ้าง สักสองสามวันก่อนกลับไปทำงาน”
“เจ้าพี่ชอบพักผ่อนจริงๆ หรือ”
“มีใครบ้าง ไม่ชอบพักผ่อนให้สบายกายสบายใจ”
“สบายใจจริงหรือ ไม่ห่วงน้องชายศิขรแล้วหรือคะ”
“ห่วง แต่อยู่ห่างๆ ก็ได้”
“มีคนเสียใจมากเหมือนกันนะคะ ที่เจ้าพี่ไม่ยอมขึ้นเป็นเจ้าหลวง”
“มีคนเสียใจ ถ้าศิขรไม่ได้เป็นเหมือนกัน”
“แล้วหากมีใครบอกว่ายินดีสละชีวิต เพื่อให้เจ้าพี่กลับไปเป็นเจ้าหลวง”
“พอเถอะ ถ้าจะเป็นเหตุให้ใครต้องทำให้ใครเสียชีวิต เลือดเนื้อเพราะพี่อีกแม้แต่คนเดียว พี่ขอหายสาบสูญไปในทะเลนี่เลยดีกว่า”
“โอ๋ๆ โกรธจริงๆ ด้วย น้องไม่ลองพระทัยเจ้าพี่ละ”
“ถ้าจะให้ดี เราก็เป็นจ้าวซันกับบรี...ธรรมดาๆ ดีไหม”
“ได้ค่ะ ฟ้าดินเจ้าขา...” บราลีพนมมือ หลับตา อธิษฐาน “ขออย่าให้มีอะไร มาทำลายวันพักผ่อนของพี่จ้าวซันของน้องเลย เพี้ยง”
“บรี”
บราลีหันมา จ้าวซันกดชัตเตอร์เป็นภาพแคนดิด
“เฮ้ย ไม่เอาๆ ถ่ายแบบนี้อีกแล้ว บอกก่อนสิเพคะ เอ๊ย...บอกก่อนสิ ไหนเอามาดูๆ”
บราลีวิ่งไปดูรูปในกล้องจ้าวซัน เป็นรูปหน้าตลก จ้าวซันขำ บราลีวิ่งไล่ตี จ้าวซันวิ่งหลบ
“โอ๊ยๆๆ พอก่อนๆๆ เอาดีๆ ก็ได้ เอาแบบนางแบบเลยนะ” บราลีหยุดตี มองหาวิว ตั้งท่า “นี่นางแบบแล้วเหรอ ยืนแข็งเป็นตะเกียบเชียว”
“อ้าว ก็ยังไม่นับก็เลยไม่โพสสิ เดี๋ยวท่ามันจืดหมด”
“ได้ เตรียมตัว...หนึ่ง สอง ซั่ม... หนึ่ง สอง ซั่ม...”
บราลีโพสท่าสุดๆ ไปตามที่จ้าวซันนับ 3-4 ท่า แล้ววิ่งไปขอดูรูป
“ดูหน่อยๆ”
จ้าวซันยื่นกล้องถ่ายรูปให้ดู
ส่วนที่ริมหาดบริเวณหน้าบ้านพัก คำฝาย ภูสินทร กำลังช่วยเตรียมอาหารเช้ากันอยู่และมองมาที่ชายหาดเห็นจ้าวซันและบราลี วิ่งเล่น หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
“อ้าว คำฝาย มัวแต่มองเดี๋ยวก็ไหม้หมดหรอก”
คำฝายส่ายหน้า ชี้มือมาที่ตัวเอง แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นประมาณว่า เชื่อมือฉันเถอะน่า สุริยะเดินออกมาจากตัวบ้าน
“คุณเมืองเทพออกมาจากคีรีรัฐได้ ดูคุณจะอารมณ์ดีขึ้นนะ”
“อย่าพูดแบบนี้เลยคุณสุริยะ คุณก็ทราบว่าผมผิดหวังแค่ไหน”
“แต่องค์ชายดูมีความสุขมากๆ..ผมว่าหากองค์ชายทำอะไรแล้วทรงพระสำราญ เราก็ควรจะสุดแล้วแต่พระองค์”
คำฝายทำหน้าเห็นด้วย ภูสินทรถอนใจ มองไปทางจ้าวซัน กังวลๆ
จ้าวซันกับบราลีเดินเล่นรอบๆ สระน้ำของบ้านพักริมทะเลอย่างสบายใจ
“คนเรานี่ก็แปลกนะ ทะเลสวยๆ อยู่ใกล้ๆ แค่นี้ กลับมาสร้างสระน้ำอยู่ใกล้ๆ”
“มันไม่เหมือนกัน บางคนเขาไม่อยากตัวเหนียว ไม่ชอบให้น้ำเค็มๆ เข้าปาก อีกอย่าง น้ำในสระน่ะ มันหยั่งได้ ว่าลึก ตื่น ปลอดภัยแค่ไหน แต่ทะเลน่ะ คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล”
“อ้าว แล้วจะมาทะเลทำไม”
“ทะเลเอาไว้ดู ส่วนสระ เอาไว้ทำไมรู้ไหม”
บราลีหันมา พยักหน้าซื่อ จ้าวซันคว้าแขนบราลี พยายามฉุดลากลงสระน้ำ บราลีฝืนสุดกำลังทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างหลัง จ้าวซันปล่อยมือทำให้บราลีเสียหลักล้มลง แล้วเข้ามาอุ้มช้อนตัวบราลีขึ้นมา บราลีดิ้น
“ปล่อยก่อนๆๆ ยอมแล้วๆ เอาโทรศัพท์ออกก่อน เดี๋ยวเปียก”
จ้าวซันวางตัวบราลีลงกับพื้น บราลีทำท่าหาโทรศัพท์ แต่เหลือบตาขึ้นมา รอจังหวะจ้าวซันเผลอ ผลักจ้าวซันตกน้ำแทน บราลีหัวเราะชอบใจ
“ลืมไป เมยไม่ได้เอาโทรศัพท์มา”
“ร้ายนักนะ”
จ้าวซันวักน้ำในสระระดมสาดใส่บราลี
ภูสินทร สุริยะ คำฝายกำลังดูแลเรื่องอาหารเช้าอยู่
“อ่ะๆๆ คำฝาย เดี๋ยวข้าวต้มก็ไหม้หรอก”
“แม่ครัวคนไหนใครทำข้าวต้มไหม้นี่ก็เกินไปหน่อยแล้ว อย่ามาทำกับข้าวเลย”
สุริยะหันไปมองเมืองเทพ หน้านิ่งๆ
“แม่ผมนี่แหละ ทำข้าวต้มไหม้ประจำเลย”
คำฝายยิ้มขำ สักพักเสียงโทรศัพท์ของจ้าวซันที่วางอยู่ข้างๆ กล้องถ่ายรูปก็ดังขึ้น ภูสินทรเดินไปหยิบดู แล้วทำท่าจะรีบเดินเอาไปให้จ้าวซัน สุริยะคว้าแขนไว้หมับ
“จะไปไหน”
“เอาโทรศัพท์ไปให้องค์ชาย”
“เห็นไหมนั่น...” สุริยะทำหน้าบุ้ยใบ้ให้ดูจ้าวซันกับบราลี จ้าวซัน บราลีกำลังสนุกสนานว่ายน้ำแข่งกัน สุริยะคว้าโทรศัพท์มือถือจากมือภูสินทรออกมา “จะไปรบกวนเขาทำไม”
“เฮ้ย เอามา แล้วถ้าเผื่อเป็นธุระสำคัญล่ะ”
“ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว”
“เอามานี่ ปล่อย อย่าไปยุ่งเรื่องส่วนขององค์ชาย”
ภูสินทรกับสุริยะแย่งโทรศัพท์กันไปมา
“คุณนั่นแหละ กำลังจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของจ้าวซันเขา”
ภูสินทรกับสุริยะแย่งมือถือกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม สุดท้ายโทรศัพท์หลุดมือ ตกไปในหม้อข้าวต้มที่คำฝายกำลังกวนอยู่
“อ๊ากกก”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน ตะลึง
ห้องครัว บ้านสี่ฤดู ผิงอันกดน้ำร้อนใส่ถ้วยคัพนู้ดเดิ้ล เหม่ยอิงเดินมาหยิบอาหารหรูออกจากไมโครเวฟ
“อนาถาจังนะ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”
“ทำไม มันก็ไม่ต่างอะไรกับอาหารกล่องอุ่นไมโครเวฟนักหรอก”
“เหรอจ๊ะ แต่นี่มันของแพงจากภัตตาคารเลยนะ อยากชิมไหมล่ะ ฉันแบ่งให้ก็ได้”
“เชิญคุณพี่เถอะค่ะ รสนิยมหนูคงไม่ถึง”
“จริง เสียของหมด”
“แย่แล้วครับๆ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“มีอะไรค่อยๆ พูดก็ได้ ส่งเสียงดังหนวกหูน่ารำคาญ”
อากงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พักเหนื่อย
“คุณหนู คุณหนูใหญ่ แย่แล้ว...สื้อฉวนๆ”
“มีอะไรอากง สื้อฉวนทำไม”
“ไฟไหม้โรงงานสื้อฉวนครับ ตอนนี้ยังดับไม่ได้”
“อะไรนะ โอ๊ย”
ผิงอันไม่ได้มองกดน้ำร้อนจากกระติกลวกโดนมือตัวเอง และทำถ้วยบะหมี่ตก หกกระจาย เหม่ยอิงค่อยเดินถืออาหารกล่องมาชิลล์ๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“โธ่เอ้ย นึกว่าเรื่องอะไร”
“พี่เหม่ยอิง! ไฟไหม้บริษัทเรานะ นี่พี่จะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรหน่อยเหรอ”
“เดือดร้อนทำไม มันไม่ได้มาไหม้อยู่บนหัวฉันนี่” เหม่ยอิงตักข้าวเข้าปากอย่างใจเย็น “อืมม...อร่อย”
“พี่!”
“ทำไม เดือดร้อนไปแล้วไฟมันจะดับไหม เราทำประกันไว้ดีแล้วไม่เห็นจะต้องไปกังวลเลย ไหม้แค่ไหนประกันก็จ่ายแค่นั้น เผลอๆ เราจะกำไรเสียอีก”
อากงมองผิงอัน ทั้งคู่อึ้ง
“ไม่นึกว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากของพี่ พี่ไม่ได้รักบริษัทเราเลย พี่รักแต่เงินของบริษัท”
“หุบปาก เก็บเศษอาหารของแกที่ทำหกไว้แล้วจะไปไหนก็ไป ฉันอยากกินข้าวสงบๆ”
อากงรีบเดินมาช่วยเก็บ ผิงอันมองเหม่ยอิงโกรธ
ผิงอันนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กำลังหาข้อมูลทางอินเทอร์เนตเพื่อติดต่อจ้าวซัน อากงนั่งเปิดสมุดโทรศัพท์กลุ้ม ถอนหายใจ
“มีใครที่เราจะติดต่อได้อีกบ้างนะอากง ไม่งั้นฉันจะอีเมล์เข้าไปที่วังคีรีรัฐจริงๆ นะ เผื่อองค์ชายพระองค์นั่นจะรู้เรื่องบ้าง”
“จะดีเหรอคุณหนู แล้วมิสภีมะมนตรีก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเหมือนกันใช่ไหมครับ”
“ยัง หนูโทรไปหลายครั้ง ฝากทั้งข้อความเสียง ทั้งไลน์ ทุกอย่าง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าไม่รู้ เออ...ลองโทรหาคุณพ่อของมิสภีมะมนตรีที่เมืองไทยไหม”
“แล้วฉันจะไปมีเบอร์โทรได้ยังไง ชื่ออะไรก็ไม่รู้”
“จำได้ว่าเคยได้ยินใครพูดถึงอยู่นะ นึกไม่ออก”
“จริงสิ แล้วเพื่อนของพี่บรีที่อยู่ที่นี่ล่ะ เขาน่าจะรู้นะ”
“ใช่ๆ ชื่ออะไรนะครับ”
“หลิน หลินอะไรสักอย่างนะ เราไปหาในสมุดโทรศัพท์ของพี่ชายใหญ่ดีกว่า”
“ผมไปหาดูแล้วครับ แต่ไม่เจอ ไม่รู้หายไปไหน”
ผิงอันกับอากงมองหน้ากันกลุ้ม
เหม่ยอิงกำลังเดินกดโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงบ้านด้วยความหงุดหงิด อารมณ์เสียสุดๆ
“โอ๊ย อะไรกันนักหนา” เหม่ยอิงหยิบสมุดโทรศัพท์ของจ้าวซันที่ถืออยู่ในมือ เปิดออกอย่างรุนแรงแล้วไล่หารายชื่อต่อ “จะไม่มีใครรู้เลยหรือไง เป็นไปได้ยังไง” เหม่ยอิงกดโทรศัพท์ต่อ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลายทางไม่มีสัญญาณดังออกมาอีก “เว้ย” เหม่ยอิงปาโทรศัพท์ทิ้งไปที่ประตู เกือบโดนผิงอันที่กำลังเดินออกมาพอดี เหม่ยอิงหันไปเห็น “เข้ามาทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง ไม่มีมารยาท”
ผิงอันชำเลืองมองโทรศัพท์ที่กระจายอยู่ที่พื้น
“พี่กำลังติดต่อพี่ชายใหญ่อยู่ใช่ไหม”
“มันเรื่องอะไรของแก”
“หนูพยายามจะโทรหาพี่ชายอยู่เหมือนกัน”
“เหรอ ขอให้สำเร็จแล้วกันนะ”
เหม่ยอิงจะเดินออกไป
“ไม่ได้ข่าวอะไรบ้างเลยเหรอ”
“ข่าวอะไร ฉันไม่ได้สนใจอะไรพี่ชายของเธอแล้ว รู้ไว้ซะด้วย”
“นั่นสมุดโทรศัพท์ของพี่ชายนี่”
ผิงอันเดินไปหยิบมาดู เหม่ยอิงไม่ตอบ พยายามทำหน้าปกติ
“คงใช่มั้ง เธอก็ลองหาทางติดต่อดูสิ เฮอะ...เพราะกว่าคุณชายจ้าวซันจะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารักมันก็จะกลายเป็นอากาศไปหมดแล้ว”
เหม่ยอิงยิ้มสะใจใส่หน้าผิงอัน แล้วสะบัดเดินออกไป ผิงอันระอา แล้วก้มลงมองสมุดโทรศัพท์ในมือ ถอนหายใจ
บราลีกำลังนั่งเหม่อ ทอดสายตามองออกไปที่ทะเลเบื้องหน้า
“อย่าขยับ!”
จ้าวซันบอกเพราะกำลังสเก็ตภาพบราลีอยู่ บราลีฝืนหันหน้าค้างไว้ พยายามพูดโดยไม่ขยับและหันไปมอง
“เมื่อไหร่จะเสร็จ”
“อยู่นิ่งๆ สิ”
“ไม่เอาแล้ว ขอดูหน่อย” บราลีเดินลุกมาหยิบรูปจากมือจ้าวซันไปดู “อะไรเนี่ย ตั้งนานวาดได้แค่นี้ มา...ให้ฉันวาดดีกว่า”
บราลีคว้าดินสอไปจากมือจ้าวซัน และกำลังจะลงมือวาด จ้าวซันนิ่งไป เหม่อ มองไปที่ชายหาด เห็นเด็กสี่คนกำลังวิ่งเล่นกันสนุกสนาน เด็กผู้หญิงคนที่ตัวเล็กที่สุดวิ่งตามไม่ทัน สะดุดล้มลง พี่ชายคนโตวิ่งเข้ามาช่วย
“อะไรเหรอ”
บราลีมองตามสายตาจ้าวซันไปที่เด็กๆ พวกนั้น เห็นพี่ชายคนโตกำลังช่วยปัดทรายที่เปื้อนขาให้น้องสาวคนเล็กอยู่
“อยู่ดีๆ ก็เป็นห่วงขึ้นมา”
“เป็นห่วง?”
“ฮ่องกงน่ะสิ ผิงอัน...บริษัท...”
“ไหนใครบอกว่าสองสามวันนี้จะขอพักผ่อนแบบคนธรรมดาไง ไม่เป็นทั้งองค์ชายน่านปิงนรเทพ ไม่เป็นทั้งคุณชายจ้าวซัน” จ้าวซันนิ่งขรึมลงไปถนัดตา “มะรืนนี้ก็จะได้กลับฮ่องกงแล้ว มาเล่นกันให้สนุกดีกว่า คุณจะวาดรูปต่อก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปเป็นแบบให้เหมือนเดิม มา...”
บราลียืนสมุดวาดรูปกับดินสอให้ จ้าวซันไม่รับ
“ผมขอโทรศัพท์กลับไปหาผิงอันหน่อยแล้วกัน”
บราลีอึ้ง วางสมุดและดินสอลงบนโต๊ะ
“คุณสัญญาเองไม่ใช่เหรอว่าก่อนกลับไปฮ่องกง เราจะเที่ยวสนุกกัน แล้วก็ลืมเรื่องทุกอย่างไปก่อน”
“แต่...”
“ช่างมันเถอะ ฉันไปสนุกของฉันคนเดียวก็ได้”
สองคนมองหน้ากันไปมา สุริยะ ภูสินทร ต่างเดินผลักกันเข้ามา ไม่มีใครกล้าเดินนำหน้า คำฝายเดินตามมาห่างๆ
“บอกสิ”
“คุณน่ะแหละ รีบทูลองค์ชายไปเลย”
“อะไรเล่า ก็ผมไม่ได้ทำ คำฝายนั่นแหละบอก”
คำฝายทำหน้าตกใจ ส่ายหน้า
“คำฝายพูดได้ที่ไหนกันเล่า”
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
“เอ่อ...คือว่า...”
ทั้งคู่อึกอัก ต่างกระทุ้งสีข้างให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดก่อน
“คือ...”
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
“คือ คุณเมืองเทพคนนี้เขาทำโทรศัพท์มือถือคุณชายตกลงไปในหม้อข้าวต้มครับ” สุริยะบอก
“เฮ้ย” ภูสินทรร้อง
“อะไรนะ แล้วโทรศัพท์เป็นไง”
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 16 (ต่อ)
คำฝายค่อยๆ ยื่นโทรศัพท์สภาพเละเทะ ส่งให้จ้าวซัน มือสั่น
“ผมพยายามเช็ดแล้ว แต่ว่า...”
จ้าวซันรีบรับมาแล้วรีบแกะ เอาซิมออกมา ซิมในมือจ้าวซันบวม เปียกน้ำ ใช้การไม่ได้
“คงใช้โทรไปไหนไม่ได้แล้ว ใช่ไหมเพคะ”
จ้าวซันกำลังคุยโทรศัพท์มือถือของสุริยะ อยู่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม
“ใช่ครับ... ทุกเบอร์...ทุกข้อความที่ฝากไว้...ไม่เป็นไรครับ”
จ้าวซันส่งมือถือคืนให้สุริยะ
“ว่ายังไงบ้างครับ”
“เขาจัดการโอนหมายเลขของผมมาที่เครื่องนี้แล้ว แต่อีกสักพักถึงจะใช้ได้”
“แล้วข้อมูลอื่นๆ ในมือถือล่ะฝ่าบาท”
สักพักเสียงแฟ็กซ์ด้านหลังโต๊ะประชาสัมพันธ์ก็ดังขึ้น มีพนักงานไปกดรับ
“ถ้าหมายถึงเบอร์โทรศัพท์และข้อความที่เราไม่ได้รับล่ะก็ เราให้เขาแฟ็กซ์มาที่นี่แล้ว”
กระดาษแฟกซ์ไหลออกมาจากเครื่องเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะหยุด สุริยะเดินเข้าไปดู
“ที่มันกี่ร้อยกี่พันมิสคอลกันล่ะเนี่ย เบอร์ซ้ำๆ กันทั้งนั้นเลย” จ้าวซันรีบคว้าไปดู เริ่มคิดหนัก “มีข้อความด้วยของใครอะครับ เรื่องด่วนหรือเปล่า”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องน่า” ภูสินทรต่อว่าสุริยะ
“ผู้กองเหลียง”
สุริยะกับภูสินทรมองหน้ากัน จ้าวซันมีสีหน้าหนักใจและกังวลสุดขีด กระดาษแฟ็กซ์ยังคงไหลมาต่อเนื่องเป็นระยะ
คืนนั้นที่ท่าเรือ ริมชายทะเลฮ่องกง เหม่ยอิงกับเกาเฟยยืนมองทะเลคุยกันอยู่ ด้านหลังของท่าเรือไกลออกไป ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ หมวดจาง จ่าหมง หลบอยู่ตามเสาและลังไม้เก่าๆ สายตาของพวกตำรวจเห็นเหม่ยอิงและเกาเฟยจากทางด้านหลัง
“จับเลยไหมครับ”
“ยัง ให้หลักฐานพร้อมกว่านี้ก่อน”
“ระวังมันจะสายเกินไปนะครับ”
ผู้กองเหลียงลังเล หยิบโทรศัพท์ออกมา พยายามกดโทรศัพท์ติดต่อจ้าวซัน
“ไม่รับ”
“เดี๋ยวค่อยโทรก็ได้ จะรีบโทรทำไม”
ผู้กองเหลียงไม่สนใจ พยายามกดโทรหาจ้าวซันต่อ อเล็กซ์ระอา ขยับถอยไป เท้าไปเตะกระป๋องสังกะสีกลิ้งออกไปเสียงดัง เกาเฟยและเหม่ยอิงหันมามอง
“ใครน่ะ” เกาเฟยตะโกนถาม ผู้กองเหลียงส่ายหน้า ส่งสายตาตำหนิอเล็กซ์ เกาเฟยชักปืนเล็งมาทางตำรวจ
“ออกมา”
หมวดจาง จ่าหมงมองหน้ากัน หันไปมองผู้กองเหลียงในเชิงถามว่าเอาไงดี เหม่ยอิงเอาตัวรอดรีบเข้าไปหลบในรถ สตารท์เครื่องเตรียมตัวหนี
“ได้ยินไหมบอกให้ออกมา” เกาเฟยยิงปืนขู่ไปหนึ่งนัด สักพักมีเด็กจรจัดที่อยู่ข้างเดินออกไป ตกใจกลัวจนตัวสั่น “โธ่...ไอ้เด็กเปรตนี่ ทำเอาใจหายใจคว่ำหมด”
ตำรวจทุกคนโล่งใจ
“กลับเหอะ ท่าทางฤกษ์ไม่ดีแล้ว”
ผู้กองเหลียงบอก เหม่ยอิงขับรถออกไป เกาเฟยเหน็บปืนเข้าเอว ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับตามออกไปตำรวจที่เหลือหมอบหลบ ผู้กองเหลียงพูดโทรศัพท์
“คุณชายจ้าวซัน รีบกลับมาฮ่องกงด่วนเลยครับ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี”
จ้าวซันกำลังจัดกระเป๋า เอาเสื้อตัวสุดท้ายใส่ รูดซิปปิด และกำลังจะเดินออกจากห้อง ภูสินทรเข้าไปช่วยถือกระเป๋าให้ ส่วนสุริยะก็เดินนำไปที่ประตู และเปิดประตูออก บราลีกับคำฝายยืนหน้านิ่งอยู่หน้าประตูห้องพอดี
“พี่คงต้องกลับฮ่องกงเดี๋ยวนี้”
“น้องทราบแล้ว แต่มันเร่งด่วนขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“พี่ก็ไม่รู้ว่าเร่งด่วนหรือเปล่า แต่มีโทรศัพท์ของตำรวจโทรมาหาพี่เกือบพันครั้ง”
“ใช่ลูก เมื่อกี้ผู้กองเหลียงก็เพิ่งโทรมา”
จ้าวซันมองหน้าสุริยะ
“มีเรื่องอะไรกันอีก ทำไมไม่จบไม่สิ้นกันสักที”
“พี่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเหมือนกัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วง คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร”
“ไม่ร้ายแรง มิสคอลมาเกือบพันครั้งนี่ยังไม่ร้ายแรงอีกเหรอคะ” จ้าวซันลูบผมบราลี
“เอาน่า น้องรอพี่อยู่นี่ พี่ขอเวลาแค่วันเดียว พรุ่งนี้ก็จะกลับมา”
“ฮ่องกงใกล้ๆ แค่นี้เอง ปุ๊ปปั๊ปเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
ภูสินทรรีบลากตัวสุริยะออกมา
“คุณรีบไปสตาร์ทรถรอดีกว่า”
ภูสินทรยัดกระเป๋าจ้าวซันใส่มือสุริยะ แล้วผลักให้ออกจากห้องไป สุริยะยอมเดินออกไปอย่างจำใจ
“น้องอยู่ที่นี่กับเมืองเทพและก็คำฝายไปก่อนนะ”
“ค่ะ น้องต้องทำตามสั่งอยู่แล้ว”
“พี่จะรีบกลับมา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตามสบาย”
จ้าวซันอึ้ง
“พี่ไปล่ะ”
บราลีพนมมือไหว้ สงบเสงี่ยม เงียบๆ จ้าวซันมองแบบไม่ค่อยเชื่อสายตา ก่อนจะหันเดินออกประตูไป ตามด้วยภูสินทร บราลีใจแข็ง ยังไม่ยอมหันไปมอง คำฝายมองบราลีด้วยสายตาเป็นห่วง จ้าวซันหันกลับมามองบราลีอีกครั้ง แล้วเดินหายเข้าไปในประตูลิฟต์
สุริยะขับรถแล่นเข้ามารับจ้าวซันที่หน้าโรงแรม ภูสินทรเปิดประตูให้จ้าวซันก้าวขึ้นไป
“ฝากทางนี้ด้วย”
“ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้”
จ้าวซันปิดประตูรถ สุริยะแล่นรถออกจากหน้าโรงแรม ภูสินทรมองตาม ห่วงๆ แต่พอหันกลับมาก็ชะงักเมื่อเห็น บราลีลากกระเป๋า แต่งชุดเดินทางก้าวมาสง่าผ่าเผย
“ม่านฟ้า”
“ไปส่งฉันที่สนามบินด้วย”
“ไม่ได้นะครับ คุณม่านฟ้า จะทำตัวเป็นเด็กๆ เล่นไล่จับกันแบบนี้ องค์ชายฆ่าผมตายแน่”
“ฉันคือองครักษ์พิทักษ์จ้าวซัน คุณเมืองเทพต้องให้ฉันทำหน้าที่ของฉัน ไม่งั้น เราก็จะต้องมีเรื่องกัน”
“ที่ฮ่องกงมีเรื่องใหญ่ อันตรายมาก องค์ชายถึงห้าม ไม่ให้คุณ...”
“คุณเมืองเทพ องค์ชายเคยห้ามอะไรฉันได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ”
“นั่นไง คุณจะไปส่งฉัน หรือจะให้ฉันเรียกแท็กซี่ไปเอง”
“ถ้าคุณเป็นอะไร องค์ชายจะว่ายังไง”
“ถ้าจ้าวซันเป็นอะไร ฉันจะทำไง” ภูสินทรอึ้ง ซีด “จ้าวไทไทเคยบอกว่าจ้าวซันจะรอด ปลอดภัย ถ้าชั้นอยู่เคียงข้าง แต่ถ้าเขาไปคนเดียว เขาจะโชคร้าย หวังว่าคุณจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของจ้าวไทไทมาบ้าง”
ภูสินทรอึ้ง ยอมรับ
ฮ่องกง จ้าวซันนั่งอยู่ในรถลิมูซีน จ้าวซันเปิดโทรศัพท์ แล้วรอสาย ผู้กองเหลียงรับสาย
“คุณชายจ้าวซัน นี่คุณอยู่ที่ฮ่องกงแล้วใช่ไหมครับ”
“ผู้กองเหลียง มีเรื่องราวอะไรกันแน่ในบริษัทของผม มีใครเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ใคร หรอกครับ แต่เป็นธุรกิจทั้งหมดของคุณชายเอง”
“งั้นเหรอ แต่มันก็เป็นปัญหาที่ยังแก้ได้ใช่ไหม”
“ครับ...คุณชายต้องเป็นคนแก้”
จ้าวซันลูบหน้าเหนื่อยๆ
“คงมีหลายๆ เรื่องเลยสินะ”
“ถูกครับ หลายเรื่องจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน แต่ทั้งหมด มันก็เกี่ยวข้องกัน คุณชายรีบมาที่ออฟฟิศของผมก่อนก็แล้วกัน เราคงต้องประชุมกันยาว”
“เรื่องของธุรกิจของผม แต่ทำไมผมต้องไปที่สถานีตำรวจ แปลว่าธุรกิจของผมมันไปพัวพันอะไรกับเรื่องผิดกฏหมายหรือไง”
“เต๋อเป่าฟื้นแล้ว เขาให้ข้อมูลอะไรสำคัญๆ กับพวกเราหลายอย่าง เอาเป็นว่าคุณชายอย่าเพิ่งไปไหน รีบมาที่นี่ก่อน อย่าให้คนอื่นรู้ว่าคุณชายมาถึงแล้ว ก็แล้วกัน”
“ได้ เดี๋ยวเจอกัน” จ้าวซันกดวาง หันไป สั่งคนขับ “ไปที่สถานีตำรวจกลาง”
“ครับผม”
ทันใด โทรศัพท์ดังขึ้นอีก จ้าวซันดูหน้าจอ จ้าวซันอึ้งๆ แล้วตัดสินใจรับสาย
“เหม่ยอิง”
เหม่ยอิงที่สะใจ ดีใจ ตื่นเต้นสุดๆ แทบกระโดด
“พี่ชาย ในที่สุดพี่ชายก็รับโทรศัพท์ของน้อง”
“เหม่ยอิง ที่บริษัทมีปัญหาอะไรหรือ”
“แหม ถามเรื่องงานเป็นเรื่องแรกเลยนะคะ ไม่เห็นถามถึงน้องซักคำ”
“น้องเป็นยังไงบ้าง”
“น้องเศร้าๆ นิดนึง เพราะคิดถึงพี่ เฝ้าแต่นับวันรอให้พี่กลับมา นี่พี่อยู่ไหนคะ อีกนานไหม ถึงจะกลับมาช่วยน้องแก้ไขสถานการณ์ที่มันกำลังวิกฤตเต็มที พี่ก็รู้ฉินเจียงช่วยอะไรน้องไม่ได้อยู่แล้ว ผิงอันก็ยังเด็กนัก น้องต้องต่อสู้อยู่คนเดียว”
“เหม่ยอิง พี่ขอโทษ”
“แล้วพี่จะกลับเมื่อไหร่คะ”
“พี่อยู่ฮ่องกงแล้ว”
“จริงหรือคะ พี่คะ พระเจ้าช่วยน้องแล้ว พี่จะมาที่ออฟฟิศได้ไหมคะ ด่วนมากๆ เลยค่ะ”
“ด่วนมากหรือ พี่ไปธุระที่อื่นก่อนได้ไหม แล้วบ่ายๆ เราค่อย...”
“บ่ายๆ เหรอคะ” เหม่ยอิงแหวใส่ทันที “มีธุระอะไรสำคัญกว่ากิจการของพวกเราอีกเหรอคะ งั้นก็แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน น้องทนได้ น้องทนเผชิญหน้ากับปัญหาทุกอย่างคนเดียวได้มาตั้งนานแล้ว ทนอีกวัน ทำไมน้องจะทนไม่ได้”
“มีเรื่อง หลายอย่างเลยใช่ไหม”
“ใช่สิคะ”
“โอเคๆๆ งั้นพี่ไปหาน้องก่อน รอเดี๋ยวนะ” จ้าวซันวางสายจากเหม่ยอิงแล้วยื่นหน้าบอกคนขับรถ “ขอโทษนะครับ ผมเปลี่ยนใจ คุณไปส่งผมที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป ที่...”
ส่วนที่โรงพยาบาลเต๋อเป่ากำลังนั่งสุมหัวกับอาหลี่
“ถ้าคุณชายมา ข้าก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลซะที”
“ดี เราจะช่วยคุณชายเล่นงานนังปีศาจให้อยู่หมัดให้ได้”
ทันใด มีเสียงเคาะประตู ทั้งสองสะดุ้ง เต๋อเป่ารีบโดดไปทำท่านอนตาลอย หมวดจางเปิดเข้ามา
“เอ้า หมวดจาง นึกว่าใคร”
“มีคนมา”
“ใคร”
บราลีเดินลากกระเป๋าเข้ามา
“อาหลี่ หมวดจาง แล้วคุณชายจ้าวซันล่ะคะ ไม่ได้มาที่นี่เหรอ”
เต๋อเป่าเด้งตัวขึ้นมา
“มิสภีมะมนตรี”
“เต๋อเป่า คุณหายแล้วเหรอ” บราลีโดดเข้ามา จับมือเขย่าๆๆ อย่างดีใจ
“คุณ...แล้วคุณชายล่ะ คุณชายมาถึงแล้วเหรอ แล้วคุณชายไม่มากะคุณเหรอ”
“อ้าว ฉันก็นึกว่าทันทีที่มาถึงเขาต้องรีบมาหาเต๋อเป่า ฉันอยากทำให้เขาแปลกใจ เลยมาที่นี่ นี่ไงเห็นไหม” บราลีโชว์กระเป๋าเดินทาง “ยังไม่ได้เข้าบ้านเลย”
“นี่ แปลว่าคุณไม่ได้มากะคุณชาย แล้วชายไม่ทราบหรือครับว่าคุณมา”
“ไม่ทราบ”
“เอาอีกแล้ว คุณทำแบบนี้ทุกทีเลยนะ มิสภีมะมนตรี”
“ใช่สิ ก็คุณชายของพวกคุณ ไม่ยอมให้ฉันมาอีกแล้ว เขาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชอบนึกว่าฉันจะมีอันตรายอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่ฉันเก่งแล้วก็ช่วยเขาให้รอดจากอะไรร้ายๆ มาตั้งเยอะแยะ”
“คุณชายไปที่ออฟฟิศผู้กองเหลียงก่อนมั้งครับ เหมือนได้ยินว่านัดกัน” ทันใด โทรศัพท์ดัง หมวดจางรับสาย “เหวย...ผู้กอง ว่าไงนะครับ ครับๆๆ อ้าว เอ๊ะ...ครับ” หมวดจางวางหู หันมา “ผู้กองบอกว่า คุณชายจ้าวซันโทรมาเลื่อนนัดไปบ่าย จะไปออฟฟิศก่อน”
“อ้าว ทำไมอยู่ๆ เลื่อนนัด ไปออฟฟิศ ไปทำไม”
“หา หรือไปหานางปีศาจ”
“ท่าจะไม่ดีแล้ว ทำไมผู้กองไม่บอกคุณชายว่านางนั่นแหละตัวการ”
“เอ...ผมก็ไม่รู้สิ หรือบอกไปแล้ว แต่คุณชายก็ยังจะไปมั้ง”
“ทำไมคะ อะไรกัน คุณหมายถึงเหม่ยอิงคือนางปีศาจใช่ไหมคะ” บราลีถามอย่างสงสัย
“มันฆ่าคุณชายได้เลยนะ”
เต๋อเป่าบอกทุกคนอึ้ง
จ้าวซันเดินเข้ามาที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ปมีผู้คนหันมา แปลกใจ บ้างทักทาย จ้าวซันยิ้มแย้มกับคนทั่วไป ท่าทางรีบๆ จังหวะนั้นโทรศัพท์ของจ้าวซันก็ดังขึ้น จ้าวซันดูหน้าจอ
“ม่านฟ้า” จ้าวซันรับสาย “ม่านฟ้า บรีนี่โทรมาจากไหน”
บราลีอยู่ในรถที่มีอาหลี่เป็นคนขับ
“พี่กำลังจะไปเจอยัยปีศาจใช่ไหมคะ หยุดเดี๋ยวนี้เลย ห้ามไปเจอเค้าเด็ดขาด”
จ้าวซันสังหรณ์ ชะงัก
“บราลี เธอโทรมาจากไหน บอกมานะ”
“โทรจากในฮ่องกงนี่ล่ะค่ะ”
“ฮ่องกง...นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ฮ่องกงจริงๆ ใช่ไหม”
“ใช่เพคะ ฮ่องกงจริงๆ เพคะเจ้าพี่”
“เมืองเทพทำไมถึงปล่อยเธอมา”
“ไม่มีใครมาห้ามน้องได้ แต่เจ้าพี่นั่นแหละที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ยัยเหม่ยอิงเขาฆ่าพี่ได้ เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ตอนนี้เขายึดบริษัทพี่ไว้หมดแล้ว น้องขอร้องว่าพี่อย่าไปเจอเขาเลย ถ้าจะไปก็ต้องให้น้องไปด้วย”
“ม่านฟ้า ถ้าเธออยู่ที่นี่ก็กลับไปที่บ้าน ไปอยู่กะอากงอย่าออกมาเที่ยวเกะกะ เหม่ยอิงเขามาทำอะไรพี่หรอก พี่เป็นพี่น้องกับเขา ไม่ว่าเรื่องทุกอย่างมันจะจริงหรือไม่จริงพี่ก็พร้อมที่จะคุยกับเขา”
“เจ้าพี่ เรื่องทุกอย่างมันจริง พี่ต้องไม่ประมาทสิคะ พี่ถึงไหนแล้ว บอกน้องมา”
“เด็กบ้า เธอมันดื้อ บ้า น่าตีที่สุด ทำไมถึงเป็นคนไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ขนาดนี้ กลับไปบ้านสี่ฤดู ไป”
“เจ้าพี่นั่นแหละ กลับมาเดี๋ยวนี้ ถึงไหนแล้วคะ...หา...หรือว่าพี่อยู่ที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ปแล้วคะ”
“อย่ามานะ อย่ามา”
“น้องจะไปรับเจ้าพี่ เป็นไงเป็นกัน” บราลีกดวางสาย
“เด็กบ้า ยุ่งตลอด”
จ้าวซันบ่นอย่างโมโห ไม่ไปต่อ เอาไงดี
ขณะนั้นเหม่ยอิงวิ่งตามเกาเฟยมาในห้องที่มีมอนิเตอร์วงจรปิดที่มีพนักงานประจำหน้าที่นั่งดูอยู่ เหม่ยอิงมาดูหน้าจอ
“เขามาแล้ว เห็นไหมครับ”
ที่หน้าจอเห็นจ้าวซัน หยุดยืน คิดอะไรท่าทางว้าวุ่นใจ
“ในที่สุด เขาก็มา”
“คุณจะ ทำยังไงต่อไป”
“ขอดูความประพฤติเขาก่อน เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน” เกาเฟยทำหน้าไม่เห็นด้วย ทันใดนั้นจ้าวซันตัดสินใจแล้วเดินกลับออกไป “เอ๊ะ...อะไรของเขาน่ะ”
“เหมือนเขาจะกลับออกไป”
“ทำไมล่ะ”
“ตะกี๊ เห็นเหมือนคุณชายจ้าวซันโทรศัพท์น่ะครับ” พนักงานบอก
“หรือมีใคร บอกอะไรเค้า”
“ใครจะไปบอกอะไร จะมีคนอื่นมารู้อะไรได้ไง”
“แต่มีคนทำให้เค้าเปลี่ยนใจ ใคร?” ทันใดนั้นบราลีวิ่งเข้ามา จ้าวซัน บราลีเผชิญหน้ากัน เหม่ยอิงตะลึง “บราลี นังนี่ๆ เอง”
“ม่านฟ้า ทำไมน้องไม่เคยเชื่อฟังพี่เลย พี่โกรธมากนะ โกรธมากจริงๆ คราวนี้ น้องเสียนิสัยจนเกินเยียวยาแล้ว” จ้าวซันต่อว่าบราลี
“เจ้าพี่ น้องกราบล่ะค่ะ อย่าเพิ่งโกรธน้องเลย เจ้าพี่ไปกับเราเถอะค่ะ หลี่รออยู่แล้ว เจ้าพี่จะไปพบผู้กองเหลียง หรือเต๋อเป่าก่อนก็ได้ เจ้าพี่ไปรับทราบรายละเอียดทั้งหมดก่อน แล้วเจ้าพี่ค่อยพบกับคุณจ้าวเหม่ยอิงก็ยังไม่มีอะไรสายไปหรอกค่ะ”
จ้าวซันอึ้ง ที่ห้องข้างบน เหม่ยอิง เกาเฟยมอง ลุ้นๆ แล้วก็เห็นบราลีจูงจ้าวซันออกไป
“อีนังจิ้งจอก พี่ชายเป็นทาสของมันหรือไงนะ”
เกาเฟยมองเหม่ยอิง ร้าวใจ
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
อาหลี่ขับรถแล่นเข้ามาในบ้านสี่ฤดู แล้วมาจอดอยู่หน้าตึก รถยังไม่ทันจอดสนิทดี จ้าวซันรีบเปิดประตูรถด้านหลังออกทันทีแล้วลากบราลีออกมา
“มา...มานี่...มาคุยกันให้รู้เรื่อง”
จ้าวซันออกแรงฉุดแขนลากบราลีที่กำลังพยายามขัดขืน
“เจ้าพี่ปล่อย เจ็บนะ”
“อย่ามาสำออยม่านฟ้า เธอบู๊ได้มากกว่านี้พี่รู้”
อาหลี่รีบลงจากรถ
“คุณชาย”
“แกหุบปากไปเลยนะหลี่”
จ้าวซันลากบราลีผ่านอาหลี่เพื่อเข้าไปในบ้าน อาหลี่ไม่รู้จะช่วยยังไง บราลีสะบัดแขนออก
“โอ๊ย ปล่อย ฉันเดินเองได้”
บราลีโกรธ จ้าวซันเดินเข้าไปมองหน้า ประชิด
“นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ต้องมาดุเรื่องนี้ หา? ชอบจังเลยนะเรื่องขัดคำสั่ง ห้ามอะไรไม่ได้เลย ห้ามปุ๊ปทำปั๊ป สั่งไม่เคยเป็นสั่ง แล้วต่อไปจะไว้ใจ จะเชื่อใจกันได้ยังไง”
“ก็ไม่ต้องมาไว้ใจน้อง เชิญเจ้าพี่ไปไว้ใจน้องสาวคนสวยของพี่คนเดียวสิ หลี่...พาฉันกลับไปส่งที่สนามบินที”
บราลีหันเดินกลับไป จ้าวซันรีบเข้าไปกระชากแขน
“จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เธอต้องอยู่นี่”
“ได้ อยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เจ้าพี่อยู่ด้วย”
“ม่านฟ้า นับวันเธอยิ่งทำตัวน่าเบื่อ-น่ารำคาญขึ้นทุกทีนะ อย่าให้พี่ต้องทนไปมากกว่านี้”
“รำคาญก็ไม่ต้องทนเพคะ เจ้าพี่คิดว่าน้องอยากตามมาเป็นตัวป่วนที่นี่หรือไง มาเพื่อโดนเจ้าพี่ด่าว่าแรงๆ ให้เสียใจเล่นใช่ไหม น้องไม่ใช่พวกจำเลยหัวใจที่ชอบให้คนทำร้ายนะ”
“งั้นพี่ถามหน่อย”
“น้องถามก่อน ทำไมเจ้าพี่ต้องไปหาคุณเหม่ยอิง ทั้งๆ ที่ก็นัดผู้กองเหลียงไว้แล้ว ทำไมเจ้าพี่ถึงได้เชื่อใจเขานัก เจ้าพี่กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเจ้าพี่ถึงไม่ฟังที่น้องพูด น้องเตือนมั่งล่ะคะ”
“พอแล้ว เลิกพูดเรื่องนี้สักที ต่อไปพี่จะไม่ยุ่งไม่สนใจอะไรอีกแล้ว อยากทำอะไรทำ อยากไปไหนไป หลี่เอากุญแจรถมา” อาหลี่อึกอัก
จ้าวซันเดินไปกระชากกุญแจรถในมืออาหลี่ กดรีโมทเปิดประตู แล้วขึ้นไปนั่งที่คนขับ ถอยรถออกอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นมีรถตำรวจสวนเข้ามา จ้าวซันเบรกรถอย่างแรงพร้อมๆ กับรถตำรวจที่จอดอยู่ท้ายรถจ้าวซันพอดี
ประตูรถตำรวจเปิดออก ผู้กองเหลียง หมวดจาง ก้าวออกมา ประตูด้านหลังค่อยๆ เปิดออก เต๋อเป่าก้าวออกมา จ้าวซันลงจากรถอย่างอารมณ์เสียแล้วจึงเห็นเต๋อเป่ามองตรงมาด้วยความคิดถึง เต๋อเป่าก้มหัวคำนับให้เล็กน้อย และยิ้มที่มุมปาก จ้าวซันอึ้ง
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นเหม่ยอิง เกาเฟย กำลังยืนสั่งพนักงานในห้องคอนโทรลให้หาภาพบราลีในมอนิเตอร์
“ตกลงว่าหาไม่ได้ มันมาทางไหน เกิดอะไรต่อจากนั้น”
พนักงานกำลังไล่หาภาพต่างๆ ในกล้องวีดีโอ
“กล้องที่อยู่นอกตึกก็จับภาพไว้ไม่ได้เลยเหรอ”
พนักงานเครียด ลน รีบหา
“ถ้าหาไม่เจอพรุ่งนี้แกไปรื้อไอ้กล้องบ้าๆ พวกนั้นออกให้หมดเลยนะ ไม่รู้จะติดไว้หาพระแสงอะไร”
“ภาพที่ได้ก็มีเท่าที่เห็นนี่แหละครับ”
ภาพในจอมอนิเตอร์ เป็นภาพเดิมที่เห็นบราลีจูงมือจ้าวซันเดินออกไป ฉายวนไปวนมา และซูมเข้าไปเห็นมือที่จับกัน เหม่ยอิงทนดูไม่ได้หยิบแฟ้มและเข้าของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือปาใส่พนักงานและเครื่องมอนิเตอร์
“ปิดๆๆ ปิดไปเลย ฉันไม่ดูแล้ว”
พนักงานลนลานพยายามจะปิดภาพบนมอนิเตอร์ แต่ภาพที่จ้าวซันกับบราลีจับมือกันบนจอยังคงค้างไว้
“เดี๋ยวนะครับ เครื่องมันค้าง”
พนักงานบอกเหม่ยอิงเดินไปกระชากปลั๊กไฟออกหมดทุกปลั๊ก เครื่องคอมพ์ทุกอย่างดับหมด แต่หน้าจอยังค้างไว้เป็นรูปเดิมไม่ดับ เหม่ยอิงโกรธ คว้าถ้วยกาแฟที่อยู่แถวนั้นปาอัดไปที่มอนิเตอร์ จนจอแตก เหม่ยอิงอาละวาดปัดข้าวของที่อยู่บนโต๊ะตกลงมากระจายเต็มพื้น
“คุณหนูใจเย็นๆ ก่อน”
เกาเฟยพยายามห้ามปราม พนักงานยืนตัวลีบ กลัว งง
“หน้าด้าน พาพี่ชายฉันไปกกมาเป็นเดือนแล้วยังไม่หนำใจอีกหรือไง คิดจะมาแย่งจ้าวซันไปจากฉันจริงๆ ใช่ไหม ได้...งั้นก็เตรียมตัวตายได้เลย ฉันจะพาปีศาจอย่างแกกลับไปส่งนรกเอง”
เหม่ยอิงเดินสะบัดออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เกาเฟยรีบวิ่งตาม
เหม่ยอิงเดินจ้ำเข้ามาในออฟฟิศ หน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ อารมณ์เสียสุดๆ พนักงานที่กำลังคุยกันเสียงดังเห็นรังสีอำมหิตของเหม่ยอิงต่างพากันเงียบกริบ รีบก้มหน้าหลบตา
“เป็นอย่างงี้ให้ตลอดนะ หน้าไหว้หลังหลอกกันทั้งนั้น” พนักงานสาวคนหนึ่งกลับไปที่โต๊ะไม่ทันยืนก้มหน้าอยู่ตรงทางเดิน กลัวสุดๆ เหม่ยอิงเดินเข้าไปหา ตบหน้าไปหนึ่งฉาดใหญ่ “ถ้ามีเวลาแต่งหน้าหนาขนาดนี้ เอาเวลาไปทำงานดีกว่าไหม” พนักงานสาวสลด น้ำตาไหล เหม่ยอิงเดินไปหาแม่บ้านที่ถือถาดใส่ถ้วยกาแฟร้อนอยู่สี่ถ้วย “ของใคร” แม่บ้านอึกอัก ไม่ตอบ กลัวถาดสั่น “เห็นเป็นของฟรีน่ะกินกันเข้าไป อยากกินกันนักใช่ไหมกาแฟ”
เหม่ยอิงตรงไปคว้าถ้วยกาแฟถ้วยหนึ่งมาแล้วสาดไปทั่วออฟฟิศ
“คุณหนูอย่า”
เกาเฟยร้องห้ามแต่เหม่ยอิงไม่ฟังเดินไปคว้ามาอีกสองถ้วย ถือสองมือ แล้วเดินไปสาดใส่พนักงาน พนักงานหนี หลบกันจ้าละหวั่น ล้มลุกคลุกคลาน เหม่ยอิงถือถ้วยกาแฟเปล่าไว้ในมือ เขวี้ยงใส่ไปที่กลุ่มพนักงาน ที่หนีกันไปเป็นกลุ่ม
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 16 (ต่อ)
เกาเฟยพยายามห้าม เหม่ยอิงเขวี้ยงไปอีกครั้ง โดนหัวพนักงานชายที่กำลังคลานอยู่กับพื้น เลือดไหลอาบ
เหม่ยอิงเดินไปหยิบถ้วยสุดท้ายมา แต่เกาเฟยมาขวางไว้ เหม่ยอิงจึงหันกลับเอาไปสาดใส่หน้าแม่บ้าน แม่บ้านร้องลั่นเพราะร้อน ตกใจปล่อยถาดร่วง รีบเอามือเช็ด เกาเฟยรีบเข้าไปมาดู เหม่ยอิงเดินไปคว้าที่ดับเพลิงที่แขวนอยู่ข้างพนัก ดึงสลักออกมา
“ง่วงกันนัก อยากตาสว่างกันใช่ไหม”
เหม่ยอิงเดินพ่นที่ดับเพลิงใส่พนักงาน พนักงานต่างพากันวิ่งหลบ กรีดร้อง
“พอได้แล้ว ทำอะไรของคุณน่ะ”
เหม่ยอิงไม่ฟังเสียง เกาเฟยรีบเข้าไปรวบตัวเอวไว้ แต่เหม่ยอิงยังไม่ยอมปล่อยถังดับเพลิง ถังดับเพลิงถูกสลัดไปมา จนเหม่ยอิงสู้แรงเกาเฟยไม่ไหว โยนถังดับเพลิงใส่กลุ่มพนักงาน เกาเฟยลากตัวเหม่ยอิงออกไป
“ปล่อยฉันๆๆ ฉันบอกให้ปล่อย แกไอ้ขี้ข้า”
พนักงานมองตาม และพากันสำรวจความเสียหาย และความบาดเจ็บของแต่ละคน พนักงานบางส่วนเดินมาดูแม่บ้านที่โดนน้ำร้อนสาดหน้า และกำลังนอนทุรนทุรายเอามือปิดหน้าอยู่ พนักงานที่เหลือมองตามเหม่ยอิงด้วยแววตาเคียดแค้น
ที่บ้านสี่ฤดู บราลีค่อยๆ เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างเหนื่อยอ่อน โยนเป้และกระเป๋าที่เอามาไว้บนเตียง จากนั้นบราลีก็หงายหลังทิ้งน้ำหนักตัวเองทั้งหมดลงไปนอนหงายอยู่บนเตียง นอนนิ่งมองเพดาน นอนเงียบอยู่สักพัก จู่ๆ น้ำตาของบราลีก็ค่อยๆ ไหลลงอาบแก้มเป็นทาง ประตูห้องค่อยๆ แง้มเปิดออก ผิงอันยืนแอบมองที่หน้าประตูด้วยความเป็นห่วง
“พี่บรี”
บราลีรีบลุกขึ้น เช็ดน้ำตา พยายามทำให้เป็นปกติ แล้วหันมาทักทายผิงอัน
“อ้าว ผิงอัน เป็นไงบ้าง”
“ทำมาถามเค้า พี่บรีเหอะ เป็นยังไง”
“ก็...ดี...”
“ดีตรงไหน น้ำตายังติดอยู่ตรงนี้เลย” ผิงอันเอื้อมมือเอานิ้วไปเช็ดหยดน้ำตาให้บราลี “ทะเลาะกับพี่ชายใหญ่ล่ะสิ”
“เปล่า”
“แล้วร้องไห้ทำไม”
“เจ็บใจ เถียงเขาไม่ทัน” บราลีฝืนยิ้ม ผิงอันยิ้มตามแห้งๆ “ผิงอัน พี่มันเป็นคนที่น่าเบื่อ น่ารำคาญจริงหรือเปล่า”
“โดนพี่ใหญ่ว่ามาแบบนี้แหงเลย” บราลีอึ้ง พยักหน้าเบาๆ “อย่าไปคิดมากเลย หนูโดนเคยมาหนักกว่านี้อีก แต่จะบอกให้นะ บางทีพี่ชายใหญ่เขาก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าจะด่าเราว่าอะไร อย่างเวลาใครทำอะไรให้เขาไม่พอใจ
เขาก็เหมารวมไปหมดแหละว่า น่าเบื่อ น่ารำคาญ จริงๆ แล้วเขานึกคำที่อยากจะว่าเราจริงๆ ไม่ออกต่างหาก”
“มีอย่างงี้ด้วยเหรอ”
บราลีค่อยรู้สึกดีขึ้น หันมามองผิงอัน
“ก็ดูอย่างพี่เหม่ยอิงสิ ทำตัวน่าเบื่อน่ารำคาญจะตาย พี่ชายใหญ่เคยว่าอะไรมั้ย ไม่มีสักคำ” บราลีคิด พยักหน้าเห็นด้วย “แต่เขาจะเงียบ ไม่อยากพูดด้วย ถ้าวันไหนพี่ชายใหญ่เงียบ ไม่อยากพูด ไม่อยากเห็นหน้าพี่บรีอะนะ... เตรียมใจไว้ได้เลย”
“ทำไม”
ผิงอันพูดใส่หน้าบราลี
“เลิกกันชัวร์ๆ”
บราลียิ้ม ไล่ตีผิงอัน
“บ้า ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
จ้าวซันอยู่ในห้องทำงานกับเต๋อเป่า ผู้กองเหลียง หมวดจาง จ้าวซันนิ่ง ซีด อึ้ง เยือกเย็นหลังจากรู้เรื่องทั้งหมด
ทุกคนมองหน้ากัน
“สรุปว่า เรื่องที่สื้อฉวนโดนปล้น และที่แกถูกยิง”
“ใช่ครับ คุณเหม่ยอิงอยู่เบื้องหลังทั้งหมด”
“ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกสองสามเรื่องที่เรากำลังสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของคุณเหม่ยอิงด้วยเหมือนกัน”
จ้าวซันหันขวับมามองผู้กองเหลียงเหมือนต้องการคำอธิบายต่อ
“อย่าง เรื่องที่คุณชายประสบอุบัติเหตุตอนจะไปรับเสด็จที่สนามบิน”
“หรือที่เสี่ยวจูโดนฆ่าตาย”
“ผมบอกแล้ว ห้าฉินเจียงกับอีกสิบพันหงปิง ยังไม่เท่าคุณเหม่ยอิงคนเดียวเลย”
“เป็นผู้หญิงที่อันตรายจริงๆ พร้อมจะฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า ด้วยเหตุผลเล็กๆ แค่นั้น”
จ้าวซันเดินมาที่กรอบรูป หยิบรูปวัยรุ่นที่ถ่ายตอนเหม่ยอิงรับปริญญาที่เมืองนอก หน้าตายิ้มสดใส
“อะไรทำให้เธออำมหิตได้ขนาดนี้นะเหม่ยอิง น้องสาวคนที่ฉันเคยรู้จักหายไปไหน”
“แล้วเราควรจะทำยังไงต่อไปดี”
“อยู่เฉยๆ ทำตัวปกติ”
“อย่าเพิ่งให้เธอรู้ตัว”
“ผมไม่ปล่อยเธอไว้แน่ แต่ขอรอหลักฐานอีกสัก 2-3 ชิ้น เพื่อมัดตัวให้ดิ้นไม่หลุดไม่อย่างนั้นไปสู้คดีแล้วเธออาจจะหลุดได้”
“เหม่ยอิงจะต้องติดคุกเหรอ”
“ห้าสิบปีเป็นอย่างต่ำสำหรับตอนนี้ สูงสุดอาจถึงขั้นตลอดชีวิต”
จ้าวซันอึ้ง มองรูปเหม่ยอิงสมัยวัยรุ่นยิ้มสดใส แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ที่ตึกจ้าวฉินเย่ว์ พนักงานหลายคนออกมาจากลิฟต์เพื่อพาพนักงานที่หัวแตกเลือดอาบและแม่บ้านที่โดนน้ำร้อนลวกไปโรงพยาบาล นอกนั้นก็มีพนักงานที่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดไม่พอใจ ต่างพากันบ่นว่าเหม่ยอิงมาตลอดทาง
“ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว”
“ใช่ เข้าข่ายทำร้ายร่างกายชัดๆ”
“ต้องแจ้งความนะป้า อย่าไปยอม”
“แล้วป้าจะโดนไล่ออกไหม จะเอาที่ไหนกินล่ะต่อไป”
“อย่าให้เงินมันมีอำนาจเหนือเราสิ เราต้องมีศักดิ์ศรี”
เทเรซ่าและซ่างกวานซิงเดินพาทนายเข้ามาในตึกพอดี
“เฮ้ย นั่นมันคุณเทเรซ่ากับซ่างกวานซิงนี่”
“จริงด้วยๆ”
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ”
เทเรซ่าถามพนักงาน ซ่างกวานซิงเห็นคนหัวแตก รีบเข้าไปทัก
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่าโดนยายแม่มด...”
“ใช่พี่ โคตรซวยเลยวันนี้”
“หัวแตกไม่ซวยเท่าไหร่หรอก แต่ต้องมาทำงานกับอีโรคจิตนี่สิซวยมหาซวยเลย”
“คุณเทเรซ่าทำไมถึงกลับมาที่นี่อีกล่ะคะ”
“มาทำไมน่ะเหรอ นี่ไง...คุณทนาย ฉันกับซ่านกวางซิงคิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่โดนไล่ออกจากที่นี่ ก็เลยกะจะฟ้องมันเลย เอาให้ถึงที่สุด”
“มันต้องอย่างงั้น”
“พวกเราน่าจะร่วมมือกันนะ ขับไล่อีแม่มดให้ออกไปจากบริษัทสักที”
“จริงด้วยๆ / เห็นด้วย” พนักงานพูดพร้อมกัน
“ตอนนี้รีบพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า ผมขอเป็นแกนนำจัดการอีแม่มดคนนี้เอง”
ทุกคนเงียบ หันไปหาที่มาของเสียง แล้วถอยหลบฉากออกมาเมื่อเห็นฉินเจียงที่มีสายตาดุดันหมายมั่นปั้นมือ
“คุณชายรอง”
“ไท้เพ่ง”
พนักงานหลายคนกำลังทำความสะอาด เก็บกวาดออฟฟิศ ภายในห้องกระจกเหม่ยอิงนั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะ เกาเฟยยืนอยู่
“คุณทำอะไรลงไป รู้ตัวบ้างไหม”
“ฉันรู้ แล้วก็รู้ดีด้วย พวกมันควรจะเจอมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าแกไม่มาห้ามซะก่อน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาด้านนอก เหม่ยอิงและเกาเฟยหยุดหันไปมอง พนักงานทิ้งอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้ววิ่งไปด้านหลัง เกาเฟยรีบก้าวออกมาดูที่ประตูกระจกจึงเห็นฉินเจียง เทเรซ่า ซ่างกวานซิง พาพนักงานขึ้นมาลุย และตะโกนประท้วง
“ออกไปๆๆ”
“อะไร คุณชายรอง กับพวกพนักงาน”
เกาเหยบอกเหม่ยอิง เหม่ยอิงรีบลุกขึ้นมาดู
“ไม่ต้องพูด ฉันเห็นแล้ว อยากลองดีกันนักใช่ไหม แกไปเอาปืนมา แล้วโทรเรียกตำรวจได้เลยบอกว่ามีผู้บุกรุก”
เกาเฟยยืนนิ่ง
“ผมว่า เรารีบหนีไปก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวเรื่องมันจะใหญ่โตไปเปล่าๆ”
“เออ...ให้มันเป็นเรื่องไปเลย แกจะไปกลัวพวกมันทำไม”
เหม่ยอิงรำคาญเดินไปหยิบปืนกระบอกเล็กๆ ของตัวเองในลิ้นชักของออกมาแล้วผลักประตูกระจกของห้องตัวเองออกมาแล้วยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า พนักงานต่างพากันหมอบ
“มาสิ มาไล่ฉันสิ”
พนักงานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงขับไล่อีก
“แม่มด ออกไป แม่มด ออกไป ปีศาจ ออกไป ปีศาจ ออกไป”
“พวกแกสิออกไป ฉันไล่พวกแกออก นี่มันบริษัทของฉันโว้ย”
เหม่ยอิงยิงปืนขึ้นฟ้าอีกนัด ทุกคนหมอบ ยกเว้นฉินเจียง ฉินเจียงและเกาเฟยจ้องหน้ากัน
“คุณชายรอง คุณชายยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คดีร้ายแรงนะครับ ระวังตัวหน่อย”
“ขอบใจนะเกาเฟย ที่เป็นห่วงนายเก่า”
เกาเฟยเห็นท่าไม่ดี รีบคว้าเอวเหม่ยอิงแล้วพาแหวกผู้คนออกไป เกาเฟยกระชากเอาปืนมาจากมือเหม่ยอิงแล้วยิงขู่เพื่อแหวกทาง ฉินเจียงไม่กลัว ตามเกาเฟยและเหม่ยอิงไปห่างๆ เกาเฟยยกปืนขึ้นขู่ แล้วยิงมาทางฉินเจียง กระสุนโดนขอบโต๊ะ ฉินเจียงหลบ พนักงานร้องวี้ดว้าย และพากันหลบเอาตัวรอด
“อย่าดีแต่ปาก มุดหัวกันทำไมล่ะ เกาเฟยปล่อยฉันๆๆ”
เกาเฟยลากเหม่ยอิงออกจากประตูไป ฉินเจียงวิ่งตาม
เกาเฟยจูงมือเหม่ยอิงวิ่งมาตามทาง หันไปเห็นฉินเจียงวิ่งตามมาไกลๆ เกาเฟยวิ่งไปจนสุดทาง ผลักประตูหนีไฟออก ลากเหม่ยอิงเข้ามาแล้วหาไม้แถวนั้นขัดประตูเอาไว้
“คุณลงไปทางนี้ รีบกลับไปที่บ้านก่อน อย่าเพิ่งไปมีเรื่องกับพวกมัน เชื่อผม”
ฉินเจียงทุบประตูเสียงดังรัวๆ ถีบประตู พยายามจะพังเข้ามา
“ไม่ ทำไมฉันต้องหนี”
“มันมากันเยอะขนาดนี้ เราจะไปสู้ยังไงไหว แล้วอีกอย่าง” ไม้ที่ขัดประตูไว้กำลังจะหลุดออก “ฉินเจียงมันกล้ามา แปลว่าอะไร มันไปรู้อะไรมาแค่ไหน มันคงไม่เอาเราไว้แน่ รีบไป เชื่อผม”
เหม่ยอิงรีบวิ่งลงบันไดหนีไฟไปข้างล่าง เกาเฟยรีบวิ่งขึ้นข้างบน
“แกจะไปไหน ลงมา”
“คุณรีบไป ผมจะล่อมันเอง”
ฉินเจียงถีบประตู จนพังเข้ามาได้ ฉินเจียงมองลงไปข้างล่างเห็นเหม่ยอิงมองขึ้นมา ฉินเจียงจะตาม เกาเฟยที่อยู่ด้านบนยิงปืนสวนลงมา ฉินเจียงหลบ มองขึ้นไปเห็นเกาเฟย ฉินเจียงเปลี่ยนใจวิ่งขึ้นไปตามเกาเฟย เกาเฟยรีบวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ฉินเจียงตาม
บนดาดฟ้า ฉินเจียงผลักประตูออกมา เกาเฟยยิงสวน ฉินเจียงกลิ้งม้วนตัวหลบไปด้านข้าง เกาเฟยลุกขึ้นมายืน ยิงใส่ แต่ปรากฎว่ากระสุนหมด
“ชิบ...”
ฉินเจียงได้จังหวะพุ่งเข้าชาร์จ ทั้งคู่ต่อยกันแลกหมัดกันพัลวันไปทั่วดาดฟ้า เกาเฟยพลาดท่า โดนต่อย และเตะซ้ำจนเกาเฟยทรุดลงไป
“ไอ้ตุ๊ดเอ๊ย” เกาเฟยลุกขึ้นฮึดสู้อีกครั้งแต่ก็โดนฉินเจียงซัดไปอีกชุดใหญ่ “เกาเฟยคนเก่งหายไปไหนซะล่ะ ทำไมถึงได้อ่อนหัดขนาดนี้”
“ปากดี ทีตอนอยู่ในคุกไม่เห็นจะเก่งอย่างนี้เลย”
ฉินเจียงโกรธ ตามเข้าไปซ้ำ เกาเฟยปัดป้องและเริ่มชำเลืองหาทางหนี โดยพยายามไปอยู่ใกล้ๆ ประตูทางออก
ฉินเจียงแลกหมัดกับเกาเฟยอีกชุดใหญ่ เกาเฟยถีบฉินเจียงจนเสียหลักไปแล้วตัวเองรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อจะหนี ปรากฎว่าพวกเทเรซ่า ซ่างกวานซิง และพนักงานบริษัทคนอื่นๆ ต่างพากันขึ้นมาสบทบพอดี
“ไอ้พวกหมาหมู่ ผยองกันใหญ่นะ แต่ก่อนไม่เห็นกล้า หงอกันไปหมด แต่พอรู้ว่าจ้าวซันกลับมาเข้าหน่อยล่ะก็ ทำเป็นเก่งกันนัก ถุย”
“อะไรนะ พี่ใหญ่กลับมาแล้วเหรอ”
เกาเฟยงง
“คุณชายกลับมาแล้ว ได้ยินไหม คุณชายจ้าวซันมาแล้ว”
พนักงานบอกอย่างดีใจ เกาเฟยมองไปรอบๆ แปลกใจที่ทุกคนยังไม่มีใครรู้เรื่อง ฉินเจียงค่อยๆ เดินย่างสามขุมไปหาเกาเฟย เกาเฟยหันซ้ายหันขวาเห็นท่าจะไม่ดี รีบวิ่งฝ่าพวกพนักงานตรงไปที่ประตู เกาเฟยผลักพนักงานหลายคนกระเด็นออกไป พนักงานคนอื่นๆ จะตาม แต่ฉินเจียงห้ามไว้
“ไม่ต้อง ปล่อยมัน.” พนักงานหลายคนเห็นแล้วเจ็บใจ เสียดายที่ฉินเจียงปล่อยเกาเฟยไป “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะพี่ใหญ่”
ฉินเจียงพูดออกมาเบาๆ
เกาเฟยเดินหน้าบึ้ง อารมณ์ไม่ดี ไปกดลิฟต์ที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นบน เกาเฟยเดินออกมาจากลิฟต์ เกาเฟยเดินเลี้ยวไปทางห้องเต๋อเป่าด้วยความเคยชิน เกาเฟยเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นม่านถูกรูดออกมากั้นกับเตียงไว้
“เล่นอะไรวะ วันนี้อารมณ์ยิ่งไม่ดีอยู่นะเว้ย”
เกาเฟยเดินเข้าไปกระชากม่านออก
“ว้ายยย”
ข้างในเป็นคนไข้หญิงแก่กำลังแก้ผ้าเช็ดตัวอยู่ คนไข้หญิงร้องลั่น เกาเฟยผงะ พยาบาลรีบรูดม่านปิด แล้วเดินออกมาคุย
“แล้ว เอ่อ...ไอ้เต๋อเป่าล่ะครับ”
“กลับไปตั้งแต่เช้าแล้วนี่ค่ะ”
“อะไรนะครับ”
“คุณเต๋อเป่าหายดีแล้ว คุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ”
“ใครมารับไปครับ”
“ดิฉันไม่ทราบ”
“โธ่เว้ย”
เกาเฟยรีบเดินออกไปจากห้องผู้ป่วยทันที พยาบาลกับคนไข้มองหน้ากันงงๆ
เหม่ยอิงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงสปา โดยมีผ้าคลุมด้านหลังไว้ เสียงดนตรีแบบผ่อนคลายค่อยๆ ดังขึ้นพร้อมกับไฟในห้องที่ค่อยๆ หรี่ลงโดยพนักงานนวด พนักงานนวดค่อยๆ เลื่อนผ้าออก เผยให้เห็นแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของเหม่ยอิง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือเหม่ยอิงดังขึ้นขัดจังหวะ
“จะรับก่อนไหมคะ”
พนักงานถามเหม่ยอิง
“ไม่เป็นไรค่ะ นวดเลย”
เสียงโทรศัพท์เงียบลง พนักงานค่อยๆ เทน้ำมันลงบนหลังเหม่ยอิง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือเหม่ยอิงดังขึ้นอีกครั้ง
“อะไรกันนักกันหนาเนี่ย หยิบมือถือให้หน่อยค่ะ”
“จะรับใช่ไหมค่ะ” พนักงานถามเสียงสะบัด
“จะปิดค่ะ จะปิดเครื่อง ดิฉันก็รำคาญเหมือนกัน ไม่ต้องมาทำหงุดหงิดใส่ก็ได้” พนักงานนวดเดินไปหยิบมือถือแล้วส่งให้ ขณะที่เหม่ยอิงกำลังจะปิด ก็มีโทรศัพท์เข้ามาอีก “เกาเฟย” เหม่ยอิงกดรับ “มีอะไรว่ามา ด่วน”
เกาเฟยกำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่ที่โรงพยาบาล
“เต๋อเป่าออกจากโรงพยาบาลไปแล้วนะครับ”
“ก็ช่างหัวมันสิเว้ย แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวครับๆๆ ผมว่ามันต้องมีอะไร”
“มีอะไร ก็ว่ามาเลยสิ เร็ว”
พนักงานนวดทำหน้าเซ็ง
“มันไม่แปลกเหรอครับ พอจ้าวซันมา ไอ้เต๋อเป่ามันก็หายออกไปทันที”
“หมายความว่ายังไง” เหม่ยอิงคิดได้ ผงะ “หรือว่า ที่พี่ชายใหญ่อยากจะมาเจอเราเพราะ...”
“ไอ้เต๋อเป่ามันต้องไปเล่าอะไรให้จ้าวซันฟังแล้วแน่เลย”
“อย่าเพิ่งคิดไปเอง แกรีบไปหาข่าวมาเดี๋ยวนี้เลย คืบหน้าอะไรแล้วรีบบอกให้ฉันรู้ ด่วน” เหม่ยอิงกดโทรศัพท์วาง “อ้าว... นวดสิค่ะ ยืนเฉยอยู่ทำไม”
จ้าวซันเดินลงมาส่ง ผู้กองเหลียง หมวดจาง และเต๋อเป่าที่รถตำรวจที่จอดอยู่หน้าบ้านสี่ฤดู
“ตกลงว่าผู้กอง ต้องการเต๋อเป่าไว้ติดตัวหรือครับ”
“ครับ เต๋อเป่าต้องช่วยพาผมไปหาหลักฐาน และพยานบุคคลอีกสักจำนวนนึง”
“ให้ผมทำอะไรก็ได้ครับ เพื่อจัดการกับศัตรูของคุณชายให้ราบคาบ”
“ช่วยตำรวจจับผู้ร้าย ได้บุญนะเต๋อเป่า”
“แหม เป็นการทำบุญที่เสี่ยงๆ ยังไงไม่ทราบนะครับ”
ทั้งหมดหัวเราะ ขำ และเดินมาถึงรถพอดี
“ไปก่อนนะครับคุณชาย”
“เราคงต้องนัดเจอกันอีกครั้งเร็วๆ นี้” จ้าวซันเดินไปจับมือผู้กองเหลียงและหมวดจาง “ผมคงส่งได้แค่ตรงนี้ ขอโทษด้วย” ผู้กองเหลียงและหมวดจางพยักหน้าเข้าใจ แล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างหน้า เต๋อเป่ายืนรอที่จะลาจ้าวซัน จ้าวซันเห็น เดินตรงเข้าไปกอดเต๋อเป่า แล้วตบไหล่เบาๆ “แล้วเจอกัน ขอบใจมากสำหรับทั้งหมดที่ผ่านมา”
เต๋อเป่ายิ้ม ซาบซึ้ง
“ยินดีเสมอครับ”
เต๋อเป่าขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ปิดประตู โบกมือลาจ้าวซัน ผู้กองเหลียงสตาร์ทรถ ถอยหลังเตรียมจะออกไป จ้าวซันมอง เหมือนคิดอะไรได้ รีบเดินมาเคาะที่กระโปรงรถ ผู้กองเหลียงหยุดรถ หันกลับไปมอง แล้วลดกระจกลง
“เรื่องของเหม่ยอิง ผมขอเป็นคนเจรจากับเธอก่อน ทางตำรวจอย่าเพิ่งดำเนินการอะไรได้หรือเปล่า” ผู้กองเหลียงอึกอัก มองหน้าหมวดจาง “ถือว่าผมขอแล้วกัน ยังไงเหม่ยอิงก็เป็นน้องผม”
ผู้กองเหลียงมีสีหน้าหนักใจ
รถตำรวจแล่นออกจากประตูบ้านไป ประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดโดยอัตโนมัติ จ้าวซันกำลังหันหลังกลับเข้าบ้านทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งมาจอดหน้าประตูบ้าน ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดกว้างขึ้นอีกครั้ง รถคันนั้นแล่นเข้ามาจอดภายในบ้าน จ้าวซันมอง รู้สึกคุ้นๆ สักพักเทเรซ่า และซ่างกวานซิงก้าวลงมาจากรถ
“เทเรซ่า ซ่างกวานซิง”
“คุณชาย ไม่ได้เจอกันนานมาก จะเป็นไรไหมถ้าเทเรซ่าจะขอกอด...”
ไม่รอให้เทเรซ่าพูดจบจ้าวซันก็ตรงเข้าไปกอดเทเรซ่าทันที
“พอใจหรือยัง” เทเรซ่าเขิน หน้าแดง รีบถอยไปตั้งหลัก “ได้ข่าวว่าเธอออกจากบริษัทไปแล้ว”
“ไม่ได้ออกเองนะคะ โดนไล่ออก”
จ้าวซันพยักหน้ารับรู้
“เราเลยมาพบคุณชายเพื่อขอความยุติธรรม คุณชายช่วยพวกเราด้วยนะครับ”
จ้าวซันหนักใจ
“ได้”
“อย่าทำหน้าหนักใจอย่างนั้นสิพี่ใหญ่” จ้าวซันหันไปมองทางที่มาของเสียง ฉินเจียงลงมาจากรถ “ถึงเวลาลงดาบจัดการคนผิดสักทีได้แล้ว”
จ้าวซันอึ้ง
“ฉินเจียง” ทั้งสองมองหน้ากันอยู่นาน นิ่ง จากนั้นก็โผเข้ากอดกัน “ขอบใจ เธอคงเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วสินะ เป็นไงมั่ง”
“ก็อย่างที่เห็น พี่ดูซูบไปเหมือนกันนะ”
“แต่เธอดูดีขึ้น ซูหลิงคงสบายดีนะ”
“พี่จะมีหลานแล้วนะครับ”
“ดีจริงๆ เป็นข่าวดีจริงๆ” จ้าวซันหันมา ผละจากฉินเจียง มามองซ่างกวานซิง เทเรซ่า “ได้เวลาทำงานใหญ่แล้วหรือ ขอโทษ ที่ทิ้งไปทำเรื่องส่วนตัวเสียนาน”
“ดิฉันอยากขอประชุมค่ะ”
“ได้ ไปๆ เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”
“ดีเลย ผมมีเรื่องจะฟ้องพี่เต็มไปหมด”
“ฉันว่าฉันพอจะรู้บ้างแล้วล่ะว่าแกจะมาฟ้องเรื่องอะไร”
จ้าวซันเดินกอดคอฉินเจียงเข้าไปในบ้าน ตามด้วยเทเรซ่าและซ่างกวานซิง
คืนนั้นประตูห้องประจำตระกูลค่อยๆ แง้มออก มีแสงไฟลอดเข้ามา จ้าวซันเข้ามาภายในห้อง เปิดสวิทซ์ไฟภายในห้องเผยให้เห็นรูปบรรพบุรุษตระกูลจ้าว และรูปจ้าวฉินเย่ว์ติดไว้เด่นอยู่กลางห้อง จ้าวซันเดินตรงไปยังรูปจ้าวฉินเย่ว์และนั่งคุกเข่าลงทำความคำนับแบบจีน ก้มหน้านิ่ง
“ผมขอโทษ ผมผิดเอง ผมปล่อยปละละเลยพวกน้องๆ ทุกคน ผมดูแลพวกเขาไม่ดีพอ จนทุกคนมีปัญหากันไปหมด ผมขอโทษเต้ ผมละอายใจเหลือเกิน ผมไม่ควรจะเข้ามาเหยียบในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ ผมขอโทษ” จ้าวซันก้มหน้า เหมือนจะร้องไห้ แต่แล้วก็มีมือคนแก่ค่อยๆ ยื่นเข้ามาลูบที่ไหล่ของจ้าวซันเบาๆ “ผมผิดเอง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จ้าวซันได้สติ หันไปดูเหมือนรู้สึกว่ามีคนมาลูบหลัง
“คุณชายครับคุณชาย” อากงค่อยๆ เปิดประตูออกมา “ไทไทให้มาตามครับ”
จ้าวซันพยักหน้าเดินตามอากงออกจากห้องไป แต่ก่อนจะออกไปจ้าวซันหันไปมองรูปเต้อีกที ประตูปิด
ที่ห้องไทไท ไทไทนั่งอยู่บนตั่ง กำลังสั่งสอนจ้าวซัน
“อย่าไปโทษตัวเองเลย ทุกอย่างมันมีเหตุของมันทั้งนั้น ดูอย่างแม่สิ ต้องรับกรรมอยู่ทุกวันนี้ ต้องอยู่ ต้องดู ต้องรู้ ต้องเห็นทุกอย่าง บางทีมันก็เจ็บปวด และทรมานใจอยู่เหมือนกัน”
“ผมเข้าใจครับ”
“มันมีเหตุของมันทั้งนั้น แม่อยากจะตายๆ ให้พ้นๆ โลกนี้ไปสักที แต่พ่อแกสิก็ไม่ยอมเอาแม่ไปอยู่ด้วย” ไทไทหันไปพูดใส่อีกทาง เหมือนว่าเต้มีอยู่ทางนั้น “เจอพ่อเขาแล้วใช่ไหม” จ้าวซันเงยหน้าขึ้นมามองไทไท งง ไทไทหัวเราะเสียงดัง “คงอีกไม่นานหรอก พ่อแกเขาแค่อยากแกล้งฉันไปอีกสักพักเท่านั้นเอง”
“แม่ใหญ่ยังแข็งแรง ยังอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกเราไปได้อีกนาน”
“ไหนแกลองบอกมาสิ โลกนี้มีอะไรบ้างที่ไม่มีวันหมดอายุ หามาให้ข้าดูหน่อยเถอะ”
จ้าวซันก้มหน้าคิดหนัก ในขณะที่ไทไทหัวเราะเสียงดังก้องกังวานไปทั้งห้อง
ส่วนที่ห้องผิงอัน ผิงอันเปิดเพลงเสียงดัง กำลังเต้น Cover เพลงเกาหลีโชว์ให้บราลีดู ผิงอันเดินมาฉุดบราลี
“พี่บรี ลุกขึ้นมาเต้นด้วยกันสิ เลิกเศร้าได้แล้ว”
“ไม่เอาอะ พี่ขอนั่งดูดีกว่า”
ผิงอันเดินไปปิดเพลง
“ว้า แล้วหนูเต้นคนเดียวจะไปสนุกอะไร งั้นเอางี้พี่บรีสอนหนูรำคีรีรัฐได้ไหม”
“เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้พี่เหนื่อยแล้ว”
“อ้าวเหรอ”
“พี่ขอตัวไปนอนดีกว่า ผิงอันก็ควรจะนอนได้แล้ว”
“อะไรกัน ยังไม่ดึกเลย”
“งั้นก็อ่านหนังสือ”
บราลีลุกขึ้น กำลังจะเดินออกจากห้องไป
“เอางี้ แวะไปหาพี่ชายใหญ่กันไหม ไปด้วยกัน”
บราลีไม่ตอบอะไร ส่ายหน้า ยิ้มให้เจื่อนๆ แล้วเปิดประตูออกจากห้องไป ผิงอันเซ็ง
จบตอนที่ 16
อ่านต่อตอนที่ 17 เวลา 17.00น.