3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 7
วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันออกเดินทาง ตอนสายวันนี้ สุนันทาทำหน้าที่ขับรถพามีคณาเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยตัวเอง รถแล่นทะยานอยู่บนถนนหลวง
“คุณโต้งเค้าช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนในพื้นที่มาเกือบ 10 ปีแล้วล่ะค่ะ เริ่มต้นจากเป็นนักศึกษาเข้าค่ายทำกิจกรรม อาสามาเป็นครูสอนนักเรียนชนบท แล้วก็มาเจอปัญหาเรื่องตกเขียว เรื่องเด็กเร่ร่อน เด็กถูกทำร้าย คุณโต้งก็เลยติดแหง็กทิ้งไปไม่ได้”
สุนันทาขับรถเข้ามาตามทางถนนหมู่บ้านในต่างจังหวัด มีคณามองดูข้างทางไปมา
“ถึงแล้ว”
สุนันทาขับรถมาจอดที่หน้าบ้านไม้ มีอาณาเขตกว้างขวาง มีเรือนเล็ก เรือนใหญ่ มีป้ายหน้าบ้าน
เขียนว่า “บ้านทัพใจ” มีคณาลงจากรถ
“บ้านกว้างเหมือนกันนะคะพี่บัว”
สุนันทาตามลงมา
“บ้านหลังนี้ตอนแรกเริ่มมาจากเงินส่วนตัวของคุณโต้ง ตอนหลังมีเด็กมาอาศัยอยู่มากขึ้น มีคนช่วยบริจาคเลยซื้อที่ดินเพิ่มได้ เด็กๆ ก็เลยอยู่กันสบายขึ้น”
มีคณายิ้มดีใจ
“ถือว่าเป็นโชคดีของเด็กๆ นะคะ”
“จ้ะ...เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ทัพขันธ์ หรือ โต้ง เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ดูมีอายุมากกว่ามีคณาเล็กน้อย ท่าทางอบอุ่นใจดี ออกแนวติดดิน กำลังสอนเด็กหญิงจำนวนหนึ่งอยู่ในห้องเรียนภายในบ้าน
“อ่านให้จบทั้ง 4 หน้า แล้วเขียนสรุปมาให้อ่านเข้าใจได้ภายใน 10 บรรทัด”
ทัพขันธ์เหลือบตามองไปหน้าห้อง เห็นสุนันทายิ้มแย้มให้ มีคณารีบไหว้ ทัพขันธ์ยิ้มแย้มรับไหว้ตอบ นักเรียนทุกคนในห้องหันไปมอง
“ลงมือทำงานกันได้แล้ว มีข้อสงสัยถามพี่บี”
ทัพขันธ์ยิ้มให้ครูพี่เลี้ยง ก่อนเดินออกไปรับแขก
ภายในห้องรับแขกของบ้านทัพใจ ทัพขันธ์สีหน้าเคร่งเครียดถามมีคณา
“แน่ใจเหรอครับ ว่าคุณอยากทำงานนี้จริงๆ เสี่ยงมากนะ”
“ค่ะ ฉันทราบว่าเสี่ยง แต่ก็แน่ใจว่าเอาตัวรอดได้”
“อย่าเพิ่งมั่นใจนักเลย จินดานี่ตัวแสบ พิษสงร้ายไม่เบานะคุณ ผมจัดการแม่นี่มาหลายครั้งแล้ว แต่คุณเธอก็นกรู้ เอาตัวรอดไปได้ทุกที เด็กที่ช่วยออกมาได้ก็กลัว ไม่กล้าชี้ตัว แม่นี่ก็ฉลาดยัดเงินปิดปากพ่อแม่เด็ก
จับไม่ได้ไล่ไม่ทันซะที” ทัพขันธ์ถอนใจส่ายหน้า
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะแก้ปัญหาจุดนี้แหละค่ะ ฉันแจ้งความได้ กล้าขึ้นศาล ไม่อายใคร ใครเอาเงินมายัดไม่ได้ด้วย”
“เด็ดเดี่ยวเหมือนที่บัวบอกมั้ยล่ะคะคุณโต้ง”
“ตอนแรกที่คุณบัวเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง ผมก็นึกว่าคุณคงเป็นพวกนักข่าวอยากดัง”
“ค่ะ อยากดัง ฉันอยากให้ข่าวดังมากๆ ให้มีคนมาสนใจมากๆ สังคมจะได้ตื่นตัวกับปัญหาเหล่านี้ซะที”
“สรุปว่าคุณอยากทำข่าวนี้แน่ๆ ถึงแม้จะรู้ว่ามันอาจมีอันตราย”
มีคณาเด็ดเดี่ยว มั่นใจ
“ค่ะ”
“คุณพร้อมจะเริ่มงานเมื่อไหร่”
“เย็นนี้เลยก็ได้ค่ะ”
ทัพขันธ์หันไปสบตากับสุนันทาเล็กน้อย
ผ่านเวลาเล็กน้อย โต้งพามีคณาและสุนันทามายังบ้านพักครู ซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กด้านหลังของเรือนพักของเด็กหญิง ทัพขันธ์ช่วยมีคณาและสุนันทาถือกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย
ทัพขันธ์พูดติดตลก
“บ้านนี้เด็กๆ ห้ามพัก สาวๆ พักได้”
สุนันทายิ้มๆ ทัพขันธ์พาสองสาวเข้าบ้านพักไป
ผ่านเวลาเล็กน้อย มีคณาเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดนักศึกษาทำผมให้เด็กลงมา ถอดแว่น ใส่คอนแท็คเลนส์เรียบร้อย เดินออกมาที่โถงรับแขก สุนันทาและทัพขันธ์หันมองดูอย่างอึ้งๆ ไปเล็กน้อย
ทัพขันธ์อมยิ้ม สายตา ปลื้มผิดปกติ แต่ยังสำรวมอาการอยู่
“ตายแล้วน้องมี่ พี่นึกว่านักศึกษาที่ไหนซะอีก”
“มีข้อบกพร่องตรงไหนมั้ยคะพี่บัว”
สุนันทาพูดหน้าตาย
“มีค่ะ น้องมี่สวยใสเกินไป พี่กลัวยัยจินดาจะสงสัยว่า สวยขนาดนี้รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ยังไงน่ะสิคะ”
“พี่บัวก็พูดเกินไป”
“แต่ก็ควรหาเหตุผลไว้รองรับด้วยนะคะน้องมี่ ยัยจินดานี่ไม่ธรรมดา”
“มี่จะบอกว่ายายมี่หวงมาก ไม่ยอมให้ออกไปเรียนไกลบ้าน ยายเพิ่งเสีย มี่ก็เลยออกมาเรียนที่นี่ได้”
“พอฟังขึ้นค่ะ”
ทัพขันธ์เงียบฟังอยู่นาน ก่อนจะถามหน้าตาย
“คุณมี่ทำอะไรตกน่ะครับ”
มีคณาก้มมองหา
“อะไรคะ”
ทัพขันธ์แซวหน้าตาย
“อายุไงครับ”
มีคณาและสุนันทาขำๆ ออกมา
“อุ๊ย คุณโต้งมีมุกกะเค้าด้วย”
“พูดจริงนะครับ แค่ถอดแว่นเปลี่ยนทรงผม แต่งชุดนักศึกษา เด็กลงไปจมเลย”
“ขอบคุณค่ะ คงหลอกจินดาได้นะคะ” มีคณาว่า
“แค่เห็นหน้าคุณ ยัยนั่นคงตีปีกพั่บๆ คิดเงินบวกลบคูณหารในหัว จนไม่มีเวลาสังเกตอะไรแล้วล่ะครับ”
มีคณายิ้มมั่นใจขึ้นหน่อย ทัพขันธ์แววตาปลาบปลื้มชื่นชม ผู้หญิงคนนี้ช่างตรงใจ
เวลาเย็น รถยนต์แล่นมาซุ่มจอดอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม เห็นป้าย “ร้านจินดา อาหารตามสั่ง” ติดกับหอพักนักศึกษา มีนักศึกษาเดินเข้าออก อุดหนุนกันต่อเนื่อง มีคณานั่งซุ่มมองจากในรถทัพขันธ์ ในรถมีสุนันทานั่งมาด้วย
“วันนี้คุณปรากฏตัววันแรก ยายเจ๊ตัวแสบคงไม่กล้าทาบทามอะไรมาก แต่ถ้าเกิดปิ๊งคุณขึ้นมา เข้ามาเจ๊าะแจ๊ะถามว่าอยู่ไหน ก็บอกว่าสิงหออยู่กับเพื่อนที่หอพักอยู่สบาย จินดาจะไม่สงสัยเพราะหอพักนี่ไม่เข้มงวด เด็กอัดกันห้องนึง 4-5 คน”
มีคณาพยักหน้ารับ
“ถ้าเกิดนางจินดาโทรไปเช็กที่หอพักล่ะคะคุณโต้ง”
“ไม่โทรหรอกครับ หอนั่นใครต่อใครมาพักมั่วไปหมด โทรไปพนักงานก็บอกไม่รู้จัก ไม่มีชื่อถมเถไป ไม่ต้องกลัวหรอกคุณบัว”
“งั้นก็แล้วไปค่ะ”
“งั้นลุยเลยนะคะ” มีคณาบอก
“ระวังตัวนะคะน้องมี่ พี่กับคุณโต้งจะแกร่วอยู่แถวๆ นี้ล่ะ มีอะไรก็รีบโทรหาทันทีเลยนะคะ”
“ค่ะ”
มีคณามองซ้ายขวาว่า ไม่มีใครสังเกต ทัพขันธ์และสุนันทาก็ช่วยมองในมุมต่างๆ จนแน่ใจ
“ลงได้เลยครับ”
มีคณาลงจากรถด้านใน ไม่ลงทางถนนใหญ่ แล้วเดินเลี่ยงเข้าไปในซอย ทัพขันธ์ขับรถเลยผ่านไป เธอรอจังหวะแล้วค่อยๆเดินออกมาจากในซอยแล้วข้ามถนนไป...
มีคณาในคราบนักศึกษากำลังเดินข้ามถนนตรงไปยังร้านจินดาอาหารตามสั่ง อันเป็นเป้าหมายของภารกิจในวันนี้
มีคณาในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาในร้านอาหาร... เธอเผลอยกมือขึ้นดันแว่นกระชับเข้าดั้งเล็กน้อย แต่นิ้วจิ้มเข้าดั้งจมูก เธอรีบลดมือลง ปั้นหน้าเป็นปกติ เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเหล่มองมีคณาแล้วเดินไปกระซิบกระซาบกับแคชเชียร์
มีคณาเดินไปนั่งที่โต๊ะหนึ่ง เด็กเสิร์ฟคนเดิมเดินเอาเมนูมาให้มีคณา แคชเชียร์ลุกเดินเข้าไปห้องด้านใน..
“ข้าวผัดหมูบวกไข่ดาวสุกๆ ค่ะ”
“น้ำอะไรครับ”
“น้ำแข็งเปล่าค่ะ”
เด็กเสิร์ฟเดินออกไปพร้อมเหล่มองมีคณา จินดาเดินยิ้มแย้มออกมาดูความเรียบร้อย ทักทายกับโต๊ะอื่น
“วันนี้มีลอดช่องน้ำกะทินะ เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆเลย สั่งได้นะจ๊ะ”
จินดายิ้มแย้มแล้วยิ้มเลยมาให้มีคณา เธอยิ้มตอบตามมารยาท จินดาปรี่เข้ามาทักทาย
“สั่งอะไรรึยังจ๊ะหนู”
“สั่งแล้วค่ะ”
“เพิ่งมาทานร้านพี่ครั้งแรกเหรอจ๊ะ ไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย”
“ค่ะ”
“เรียนปีไหนแล้วจ๊ะเนี่ย”
“ปี 2 แล้วค่ะ แต่เรียนๆ หยุดๆ น่ะค่ะ”
“อ้าวทำไมถึงเรียนๆหยุดๆล่ะจ๊ะ”
“มีปัญหาเรื่องการเงินนิดหน่อยน่ะค่ะ หนูเลยต้องช่วยงานที่บ้าน ตอนนี้ดีขึ้นบ้าง กลางวันเรียนได้ แต่กลางคืนก็ต้องไปช่วยทำตุ๊กตาขาย”
จินดายิ้มพอใจ เด็กไม่มีเงินเข้าทาง เลยลากเก้าอี้มานั่งลง คุยจริงจัง
“น่ารักจังเลย ขยันทำมาหากินยังงี้ พี่ชอบ”
มีคณายิ้มแย้มอ่อนน้อมพร้อมเปิดช่อง
“ขอบคุณค่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าจะอยู่แบบนี้ไปได้นานแค่ไหน”
“หาเงินไม่พอใช้ล่ะสิ”
มีคณาพยักหน้ารับ
จินดาแสร้งปั้นหน้าเห็นใจ
“พี่เข้าใจจ้ะ เดี๋ยวนี้ค่าครองชีพมันสูง ยอดขายร้านพี่ก็ตกไปเยอะ บางทีพี่สงสารเด็กๆ นะ ให้กินฟรีๆไปก็บ่อย ถือว่าทำบุญช่วยเหลือกันไป”
มีคณาปั้นยิ้มอย่างชื่นชม
“พี่เห็นน้องๆ มาเรียนหน้าแห้งๆ ไม่มีเงินติดกระเป๋าก็เข้าใจเลย พี่ก็เคยไม่มีมาก่อน เอางี้ พี่ถูกชะตาน้องมากเลยนะ ฝากท้องไว้กับร้านพี่สิ พี่จะลดให้ คิดราคาลูกหลานเลย”
มีคณายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะพี่”
จินดายิ้มแย้มรับไหว้
“เออ พี่ใช่พี่จินดา เจ้าของร้านมั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ พี่เองแหละ แล้วหนูล่ะชื่ออะไรจ๊ะ”
“มีคณาค่ะ พี่จินดาเรียกว่ามี่ก็ได้”
“แหม ชื่อน่ารักสมตัว มีมี่”
มีคณาฝืนยิ้มไปมา เปลี่ยนชื่อเธอซะเสร็จสรรพ
เวลาเย็น มีคณากลับมาคุยกับสุนันทาและทัพขันธ์ที่โถงบ้านพักครู
“พวกนายหน้าตกเขียวนี่ลักษณะเหมือนกันหมดเลยนะคะเวลา เข้ามาหาเรานี่หวานนุ่มมาเลย ทำเป็นเห็นใจ เอาเงินเข้าหว่าน พูดจาดีแต่ส่งเด็กไปลงนรก ผู้หญิงด้วยกันแท้ๆ ทำไมทำกันลงได้ก็ไม่รู้”
“ท่าทางคุณมี่คงเคยเจอคนพวกนี้มามาก” ทัพขันธ์บอก
มีคณาหน้าขรึมลง
“ก็ไม่มากหรอกค่ะ ถ้าไม่นับตอนที่สัมภาษณ์หลังถูกจับละก็ เจ้านี้เป็นรายที่สองเอง”
“ไม่รู้ว่าคุณมี่เคยมีประสบการณ์ทำข่าวแบบนี้มาก่อน ถ้ารู้ผมก็คงไม่ค่อยห่วง”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ ฉันเจอนายหน้าพวกนี้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นยังเรียนมัธยมอยู่เลย”
มีคณาหน้าซึมไป สีหน้าย้อนนึกกับภาพอดีตที่ฝังใจ
บุญสมยิ้มแย้มเดินนำคุณนายสาวใหญ่เข้ามาที่โถง มีคณากำลังช่วยบานเช้าพับผ้า
“นังมี่ แกยืนขึ้นซิ ให้คุณนายเค้าดูตัวหน่อย”
มีคณาอึ้งๆ หันมองหน้าบานเช้าที่ดูไม่สบายใจนัก ธำรงที่นอนกระดิกเท้าอ่านการ์ตูนอยู่ที่โซฟา ก่อนลดการ์ตูนลงมอง
“เร็วซิวะ พูดภาษาคนไม่เข้าใจรึไง กูจะได้เห่าแทน”
มีคณาค่อยลุกขึ้นยืน สาวใหญ่เดินวนดูรอบๆ ตัวมีคณา
“ไหนถอดแว่นสิจ๊ะ”
มีคณางงๆ แต่ก็ถอดแว่นออก คุณนายยิ้มพอใจ แอบปลื้ม
“มี่เค้าสวยเหมือนแม่นะ ผิวผ่อง ตาโตหวานเชียว แหม ยังงี้คงดัง”
คุณนายและบุญสมหันไปยิ้มชอบใจกัน ธำรงเข้าใจก็พลอยยิ้มดีใจไปด้วย มีคณาหน้าเสีย รู้ตัวแล้วว่ากำลังจะถูกขาย
“จะดีเหรอพี่สม ครูสินเค้าเลี้ยงมี่มานะ ถึงจะเป็นลูก แต่ฉันก็ไม่ได้เลี้ยง ให้ไปทำงานแบบนี้ ครูสินจะโกรธเอานะ”
“โกรธก็โกรธไปซิวะ มันไม่เอาแล้วนี่ ถึงได้ส่งตัวมาให้เรา โง่ชะมัดเลย เล็กๆ เอาไปเลี้ยง โตใช้งานได้ดั้นเอามาคืน” บุญสมขำๆ นึกดูถูก
มีคณาเสียงแข็งบอก
“แม่ มี่ไม่ไปไหนนะคะ มี่จะอยู่กับแม่”
บุญสมและธำรงหันขวับมาจ้องหน้ามีคณาอย่างไม่พอใจ
“ไปกับป้าเถอะจ้ะหนู ป้าเลี้ยงดีนะ กินอยู่สบาย งานก็สบาย”
“ฉันไม่ไป งานสบายบ้าบออะไร ป้าบอกว่างานสกปรก”
“เอ๊ะ นังนี่ ป้าแกมันสาวโสดหาผัวไม่ได้ จะไปรู้อะไร”
“พี่สม ถ้ามี่มันไม่อยากทำก็ปล่อยมันเถอะ ครูสินบอกว่ามี่เรียนเก่ง ให้มันเรียนสูงๆ จบแล้วทำงานส่งเงินมาให้เราก็ได้ ตอนนี้ฉันก็ยังพอหาเงินได้ไม่เดือดร้อนอะไร” บานเช้าบอก
“มึงไม่เดือดร้อนแต่กูกับลูกเดือดร้อน ดูลูกสาวบ้านอื่นซิ เค้ากตัญญู ไปทำงานหาเงินส่งบ้านเป็นกอบเป็นกำ แต่ลูกมึงนี่กลับทำยักท่า”
ธำรงรีบเสริม ทำหน้าตากวนประสาทใส่มีคณา
“ใช่พ่อ ไม่สวยแล้วยังเรื่องมากอีก”
“ผู้หญิงจะเรียนไปทำไมวะ เสียเวลา สู้ไปทำงานตั้งแต่เด็กไม่ได้ พอยี่สิบสี่ยี่สิบห้าก็เลิก กลับบ้านทองหยองเต็มตัว ทางบ้านก็ลืมตาอ้าปากได้ ถึงตอนนั้นมึงค่อยหาผัว”
“มี่ไม่ไป มี่ไม่ทำ” มีคณาเสียงดัง จะร้องไห้อยู่แล้ว
“เอ๊ะอี่นี่ พูดไม่รู้เรื่อง มึงเป็นพี่สาวคนโต ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ หน่อยสิวะ อีกหน่อยมันจะได้เคารพนับถือว่าพี่กตัญญู มันก็จะได้กตัญญูตามมึง”
มีคณาโกรธจนเหลืออด
“ความคิดทุเรศ ไปขายตัวเนี่ยนะกตัญญู อยากมีบ้านมีรถ ทำไมน้าสมไม่ออกไปหางานทำล่ะ วันๆ เอาแต่กินเหล้า งานการไม่ทำ นอนสบายอยู่บ้าน คอยแต่เกาะแม่ฉันกิน”
บุญสมของขึ้น โกรธจะตรงเข้าตบ
“อีมี่ ปากดีนักนะมึง”
มีคณาหลบตามองพื้นนิ่งพยายามลืมเรื่องเลวร้ายครั้งนั้น สุนันทาและทัพขันธ์สบตากันด้วยความรู้สึกเข้าใจมีคณา
มีคณาตั้งสติได้ก็พูดต่อ
“ทุกวันนี้พ่อเลี้ยงยังด่าว่าฉันอกตัญญู เพราะไม่ยอมขายตัวเลี้ยงครอบครัวอยู่เลยนะคะ”
มีคณาถอนใจออกมา สุนันทาเห็นใจ
“พี่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยนะคะน้องมี่”
“ก็พี่บัวไม่ถาม มี่ก็เลยไม่ได้เล่า”
ทัพขันธ์สีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษที่ตอนแรกผมแอบคิดว่าคุณมี่ทำข่าวนี้เพราะอยากดัง”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณโต้ง จะว่าไปที่ฉันทำข่าวนี้อาจจะเป็นเพราะความแค้นส่วนตัวก็ได้ แค้นที่เห็นคนบางกลุ่มเห็นลูกสาวเป็นสินค้า แค้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่แค้นที่สุด ก็ตรงที่เกิดเป็นผู้หญิง แล้วต้องทนให้เค้าเอาเปรียบ”
“เพราะว่าแค้นมาก คุณก็เลยทำงานอย่างไม่มีความสุข”
มีคณาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ
“ก็เคยมีคนทักเหมือนกันค่ะ”
“คุณมี่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างเดียว แต่ยังเอาตัวเองเข้าไปผูกพันด้วย ผูกแล้วไม่ยอมปล่อย ยิ่งเจอคดีหลายคดี คุณเลยยิ่งหนัก แบกอารมณ์จนสุขภาพจิตแย่”
มีคณาช้อนตามองทัพขันธ์ รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้มีความเข้าใจมาก สมกับที่ทำงานด้านนี้
ทั้งคู่สบตากัน ทัพขันธ์ทอดสายตาอย่างเป็นห่วง
“ถ้าคุณเอาแต่รับปัญหา ไม่ยอมปล่อยออกซะบ้าง ระวังจะทรุดได้นะครับ”
สุนันทาแอบมองทั้งคู่ที่สบตากันอยู่ เหมือนเข้าอกเข้าใจกัน... เธอแอบอมยิ้มเล็กน้อย ในใจแอบคิดไปแล้วว่า คนดีสองคนนี้น่าลุ้นให้ชอบกันจริงๆ เหมาะสมกันดี
มีคณาหลบสายตาไปเล็กน้อย
“ฉันก็คิดๆ อยู่ค่ะ ถึงได้อยากทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ บางทีมันอาจจะช่วยปลดปล่อยอะไรจากใจฉันบ้างก็ได้”
สุนันทาเข้าใจ เลื่อนมือไปจับกุมมีคณา บีบเบาๆ ให้กำลังใจ
“ไม่แน่นะคะ เสร็จงานนี้ ฉันอาจจะพยายามถอย”
สุนันทาตกใจ ระคนเสียดาย
“น้องมี่จะเลิกเป็นนักข่าวสายนี้เหรอคะ”
“ก็คงไม่ถึงกับเลิกหรอกค่ะ มี่อาจจะทำงานที่เกี่ยวกับปัญหาเด็กและสตรีที่ถูกทำร้ายน้อยลง อาจจะจับงานด้านอื่นมากขึ้น นั่งออฟฟิศมากขึ้น”
“ค่อยโล่งใจหน่อย พี่เสียดายนักข่าวที่มีอุดมการณ์ดีๆ อย่างน้องมี่ นานๆ จะเจอซักคน”
“ตัดสินใจถูกต้องแล้วล่ะครับ”
มีคณาเลื่อนตาไปสบตากับทัพขันธ์ที่ยิ้มให้กำลังใจ
“เพลาๆ ลงบ้างก็ดีครับ จะดีกับตัวคุณเอง”
มีคณายิ้มตอบก่อนเลื่อนมือไปยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
สุนันทาแอบชำเลืองมองไปที่ทัพขันธ์อีกครั้ง เธอเห็นแววตาปลื้มมีคณาในสายตาของเขา
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 7 (ต่อ)
บ้านหิรัณย์ตอนหัวค่ำ พ่อหิรัณย์คอยแนะนำให้สันติเล่นเกมส์ที่ใช้ความคิดแบบสร้างสรรค์อยู่ มีวันทนีย์ยืนเชียร์อยู่ด้วย กัลยายกถาดใส่ขนมบัวลอยเข้ามาเสิร์ฟ
“พักทานบัวลอยกันก่อนจ้ะ”
โทรศัพท์มือถือกัลยาดังขัดจังหวะพอดี เธอดูเบอร์โชว์ ยิ้มยินดีก่อนกดรับ
“ว่ายังไงจ๊ะหนูมี่”
มีคณาคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่สนามหน้าบ้านพักครู
“สันติดื้อรึเปล่าคะ”
“ไม่เลยจ้ะ วันนี้ช่วยล้างจานด้วยนะ”
กัลยามองไปทางสันติที่เล่นเกมส์อยู่กับครอบครัวด้วยสีหน้าชื่นชม
“แม่บอกว่าไม่ต้องล้าง เค้าก็บอกว่ากลัวป้าดุ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ ต้องฝึกให้ช่วยงานบ้านเอาไว้”
“หนูมี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ทำงานให้สบายใจเถอะจ้ะ … ยังจ้ะ เล่นเกมส์กับพ่อรันเค้าอยู่ … ไม่รบกวนหรอก พ่อเค้าชอบซะอีก อยากเลี้ยงหลานอยู่แล้ว ลูกๆโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด ไม่ค่อยมาตอแย เค้าเหงาเค้า” กัลยายิ้มแย้ม
โทรศัพท์บ้านดังขัดขึ้นมา วันทนีย์เดินเลี่ยงไปรับโทรศัพท์ให้
หิรัณย์อยู่ในห้องพักโรงแรมที่อเมริกาในช่วงเช้า เตรียมตัวจะออกไปดูงาน แต่พอมีเวลาก็เลยใช้โทรศัพท์ห้องพักโทรกลับมาหาที่บ้าน
“มีเวลาเหลือก็เลยโทรมาคุย ทำอะไรกันอยู่”
เสียงกัลยาดังแทรกแว่วเข้ามาในโทรศัพท์
“สันติ มาทานขนมก่อนลูก”
หิรัณย์ชะงักไป ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินเล็กน้อย ต่อมาได้ยินเสียงพ่อพูดขึ้นอีก
“ไปทานขนมกันก่อนไป”
พ่อหิรัณย์พาสันติลุกจากโต๊ะคอมฯมาทานขนม
“เดี๋ยวเล่นต่อได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้แล้วจ้ะ ยายเพิ่งวางสายจากป้าเราเดี๋ยวนี้เองว่าให้เข้านอนได้แล้ว”
สันติหน้าแหยไป วันทนีย์รีบส่งซิกจุ๊ปากบอกแม่ กัลยามองวันทนีย์อย่างงงๆ เล็กน้อย
“เดี๋ยวตาให้เล่นอีก 10 นาทีก็แล้วกัน”
เสียงสันติเฮดังลั่น วันทนีย์ถึงกับยกมือตบหน้าผากตัวเอง กัลยาเห็นเข้าก็สงสัยมาก
“มีอะไรเหรอวัน”
“พี่รันโทรมาค่ะแม่”
กัลยาตกใจรีบยกมือขึ้นปิดปาก หิรัณย์ชักสงสัย จึงซักไซ้ไม่หยุด
“สันติมาอยู่บ้านเราได้ยังไง … คุณมี่ไปทำข่าวที่ไหน ไม่เห็นบอกพี่ซักคำ”
วันทนีย์รีบโบ๊ยทันที
“พี่รันคุยกับแม่แล้วกัน วันปวดหัว วันไม่รู้เรื่อง...แม่คะ คุยกับพี่รันหน่อย”
หิรัณย์สีหน้าเครียด เป็นกังวล แล้วถอนใจออกมา ทำไมมีคณาถึงไม่ยอมบอกเขา เธอต้องแอบไปทำข่าวเสี่ยงอีกแน่ๆ
ผ่านเวลาเล็กน้อย ภายในบ้านพักครู สุนันทาอาบน้ำใส่ชุดนอนเรียบร้อย ขณะที่มีคณากำลังเตรียมชุดสำหรับใส่ปลอมตัวพรุ่งนี้อยู่...
“มี่อาบน้ำได้แล้วจ้ะ” สุนันทาบอกแล้วเดินไปแปรงผมหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ค่ะ”
มีคณาตั้งท่าจะลุก โทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้น เป็นเบอร์แปลกๆ โทรจากต่างประเทศ เธอลังเลอยู่ไปมา ก่อนกดตัดสายแล้วตามด้วยปิดเครื่องหนี เธอยังไม่พร้อมจะเล่าให้หิรัณย์ฟัง เพราะเดี๋ยวจะเป็นห่วง
เวลากลางวัน มีคณาในชุดนักศึกษาเดินเข้าร้านอาหารจินดามา ขณะนั้น จินดากำลังเช็คบัญชีอยู่ตรงแคชเชียร์ พอเหลือบตาเห็นมีคณาเข้าก็ยิ้มดีใจ ปรี่เข้าหาทันที มีคณายกมือไหว้
จินดารับไหว้แล้วถาม
“วันนี้ทานอะไรดีจ๊ะ”
จินดากวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟ
“ป๋อม มารับออเดอร์น้องมี่ก่อน...นั่งก่อนจ้ะมีมี่”
มีคณาฝืนยิ้มก่อนนั่งลง เด็กเสิร์ฟมารอรับออเดอร์
“เส้นหมี่ราดหน้าหมูก็ได้ค่ะ”
“ราดหน้าทะเลเลยแล้วกัน ทานอาหารทะเลได้รึเปล่า”
“ได้ค่ะ”
จินดาสั่งเด็กเสิร์ฟ
“พิเศษมาเลยนะ อ้อ..แล้วก็น้ำลำไยด้วย”
มีคณาจะอ้าปากค้าน
“ไม่เป็นไร น้ำลำไยฟรี ให้เพราะเสน่หา”
มีคณาฝืนยิ้มอยู่ไปมา จินดาสั่งสำทับเด็กเสิร์ฟก่อน หันมาพูดยิ้มแย้มจับแขนมีคณาอย่างเอ็นดู
“แซงคิวมาเลย ลูกค้าพิเศษของพี่...พี่ถูกชะตาหนูมี่มากจริงๆ นะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“หนูพักอยู่แถวนี้เหรอ มีญาติพี่น้องอยู่ด้วยรึเปล่า”
มีคณาตีหน้าซึมบอกตามที่ทัพขันธ์สอนไว้ แล้วปั้นหน้าให้ดูน่าสงสาร
“หนูมาสิงหออยู่กับเพื่อนค่ะ นอนอัดกัน 3-4 คน ทำไงได้ล่ะคะ ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องเค้า ก็ต้องทนไปแบบนี้ล่ะ มีที่ซุกหัวนอนก็ดีแล้ว”
ฝ่ายจินดาก็ปั้นหน้าแสร้งเห็นใจ
“อยากมีเงินก็ต้องทำงาน แต่งานสมัยนี้หายาก”
“ค่ะ หนูก็พยายามหาอยู่”
“ที่จริงตอนนี้เพื่อนพี่ก็อยากได้พนักงานอยู่นะ เค้ากำลังจะเปิดร้านอาหารใหม่ เงินเดือนๆ ละหมื่นนึงเชียวนะ ไม่รวมทิป”
“อุ๊ย ร้านอาหารอะไรเหรอคะ ค่าจ้างแพงจังเลย”
“ร้านอาหารทะเล ตั้งอยู่แหล่งท่องเที่ยวเลย ลูกค้าแน่นทั้งวัน แต่ไม่ได้เสิร์ฟอย่างเดียวนะ”
มีคณาชะงักเหลือบตามองจินดา รึว่าเธอจะเผยเรื่องงานรับแขก
“ก่อนร้านเปิดก็ต้องช่วยเตรียมอาหาร หลังร้านปิดก็ต้องช่วยเก็บกวาด ปิดร้านให้เรียบร้อย งานหนักเชียวแหละ กว่าจะได้นอนโน่นแหละ ตี 3 ตี 4”
มีคณาปั้นหน้านิ่ง เพราะจินดายังโกหกต่อ จึงเดินตามเกมไป
“เงินดีขนาดนี้ หนูสู้ค่ะ งานหนักแค่ไหนหนูก็ไม่กลัว”
“แต่ร้านอยู่ทางใต้นะจ๊ะ ไม่ได้อยู่กรุงเทพ”
มีคณาแกล้งทำสีหน้าลังเลเล็กน้อย จินดาจับตามองด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์มีแผนการ
เวลาบ่าย มีคณาเดินกลับไปบ้านพักของโต้งพร้อมสีหน้าใช้ความคิด … ถึงการสนทนากับจินดา
“หยุดเรียนเทอมนึง ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ ไปทำงานซัก 3 เดือนถ้าไม่มือเติบ ได้เงินกลับบ้าน 4-5 หมื่นสบายๆ”
“คุณแม่ไม่ยอมแน่ๆ ค่ะ”
“ก็ไม่ต้องบอกสิจ๊ะ ไปก่อนแล้วค่อยเขียนจดหมายมาบอกทีหลัง ส่งมาพร้อมค่าแรงงวดแรกก็ได้ ขี้คร้านแม่จะดีใจ”
มีคณาสลดใจกับการกระทำของผู้หญิงคนนี้ที่หลอกผู้หญิงด้วยกันไปขายได้ลงคอ
ย้อนไปตอนกลางวัน เมื่อเด็กเสิร์ฟเอาราดหน้าทะเลมาเสิร์ฟให้มีคณา
“น้ำลำไยล่ะ เร็วๆ เลย”
เด็กเสิร์ฟรีบล่าถอยออกไป มีคณาแกล้งพูดดักคอ
“พี่จินดาไม่ได้หลอกมี่ไปขายแน่นะคะ”
จินดาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะร่วน
“ต๊าย คิดอะไรยังงั้นจ๊ะหนูมี่ หาคุกให้พี่ซะแล้ว พี่จะทำยังงั้นได้ยังไงกันจ๊ะ ร้านพี่ตั้งอยู่ที่นี่เป็นปีๆ แล้วนะ ทำการค้าสุจริต ถ้าหลอกใครไปขาย ป่านนี้ตำรวจมาลากคอพี่เข้าคุกไปนานแล้วล่ะ บาปกรรมตายเลย พี่ไม่ทำหรอกจ้ะ” จินดาทำหน้าขยาดขนลุก ปนกลัวประกอบการพูด
มีคณาทำสีหน้าตัดสินใจ
“งั้นพรุ่งนี้มี่จะไปดร็อปเรียนเลย”
จินดายิ้มดีใจ
“ดีจ้ะหนูมี่”
“แล้วมี่ต้องเตรียมเอกสารอะไรมั่งคะ”
“ไม่ต้องเลยจ้ะ เด็กฝากเส้นพี่จินดาซะอย่าง ไม่มีปัญหาแต่เพื่อนพี่ ต้องการคนด่วนด้วยนี่สิ...น้องมี่พอจะเดินทางพรุ่งนี้เลยได้มั้ยจ๊ะ”
“พรุ่งนี้เลยเหรอคะ”
“จ้ะ เช้าทำเรื่องหยุดเรียน แล้วค่อยมาหาพี่ จะได้เริ่มงานต้นเดือนเลยไงจ๊ะ”
มีคณามีสีหน้าลังเล จินดาจับมือกล่อม
“โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มาหาเราได้บ่อยๆ นะจ๊ะหนูมี่ ถ้าตัดสินใจได้ ซักก่อนเที่ยงก็มากินข้าวที่นี่ ข้าวของไม่ต้องขนมาเยอะนะ ทางร้านเค้าสวัสดิการดี มีเครื่องแบบให้ ของใช้เจ้านายเค้าหาให้หมดเลย...ซักบ่ายโมงบ่างโมงครึ่งพี่จะให้เพื่อนเอารถมารอรับ”
จินดาฉีกยิ้มให้ยกมือไหว้
“ขอบคุณพี่จินดามากค่ะพี่เมตตาหนู”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
จินดาฉีกยิ้มแย้ม แต่แววตาเจ้าเล่ห์แอบมีแผนการร้ายในใจ ฝ่ายมีคณาทำก้มไหว้ขอบคุณจินดา แต่สีหน้าแววตามีแผนการเล่นงานจินดาอยู่ในใจเช่นกัน
มีคณา หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดที่ไปพบจินดามาวันนี้ให้สุนันทาและทัพขันธ์ฟัง
“คุณมี่ยังแน่ใจรึเปล่าครับว่าอยากทำงานนี้ต่อ”
“มาถึงขั้นนี้แล้วไม่น่าถามนะคะ”
“ก็เผื่อเปลี่ยนใจไงครับ”
สุนันทาอยากจะโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจ
“น้องมี่รู้ใช่มั้ยคะ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่น้องมี่ก้าวขึ้นรถของพวกมัน ชีวิตของน้องมี่จะต้องเสี่ยงทันที”
“ต่อให้พวกเราตามประกบอย่างใกล้ชิด ก็ไม่ใช่จะไม่มีโอกาสพลาดนะครับ”
มีคณาหน้านิ่งบอก
“เรามาทบทวนแผนการทั้งหมดกันอีกทีดีกว่าค่ะ”
ทัพขันธ์และสุนันทาแอบสบตากัน ยังไงก็คงเปลี่ยนใจมีคณาไม่ได้แล้ว ทัพขันธ์หยิบแผนที่เส้นทางการเดินทางมากาง พร้อมกับหยิบไอแพดออกมาเปิด เตรียมทบทวนแผนการทั้งหมดอย่างรอบคอบ
มีคณาดูตั้งอกตั้งใจมุ่งมั่นมาก นาทีนี้อะไรก็ขวางเธอไม่ได้
ภายในห้องพักครู ตอนหัวค่ำ...มีคณากำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่บนเตียง สุนันทาเข้ามานั่งคุยด้วยข้างๆ
“พี่บัวจัดกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอคะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ของพี่จัดง่าย ไม่ต้องปลอมตัว”
มีคณายิ้มๆ จัดกระเป๋าต่อไป สุนันทา เหล่มอง เลียบๆ เคียงๆ ถาม
“น้องมี่เห็นว่าคุณโต้งเป็นยังไงบ้างคะ”
มีคณาชะงักไปเหลือบตามองเล็กน้อย
“พี่บัวถามทำไมเหรอคะ”
“พี่ว่าเค้าเป็นคนดีนะคะ อุทิศตัวเพื่อสังคม มีอุดมการณ์เหมือนน้องมี่ไม่มีผิดเลย”
มีคณาออกจะงงๆเล็กน้อย
“ก็น่าชื่มชมดีค่ะ”
“คนดีๆ แบบนี้หายากนะคะ”
“ค่ะ”
มีคณาจัดกระเป๋าต่อไป สุนันทาจงใจพูดเข้าประเด็นหลังอ้อมๆอยู่นาน
“ไม่รู้ว่าจะเป็นพรหมลิขิตรึเปล่านะคะทำให้คนดีสองคนได้มาเจอกัน”
มีคณาหายสงสัยแล้ว ที่แท้ … สุนันทามาทำหน้าที่เป็นแม่สื่อนี่เอง มีคณางยหน้ามอง ยิ้มหน้าตาย
“ดีใจด้วยนะคะพี่บัว”
สุนันทาตกใจ
“จะมีดีใจอะไรกับพี่คะน้องมี่”
มีคณาหน้าตาย
“อ้าว พี่บัวไม่ได้สนใจคุณโต้งอยู่เหรอคะ”
“อุ๊ย น้องมี่ พี่ไม่ชอบกินเด็กค่ะ พี่น่ะรู้จักทั้งน้องมี่ ทั้งคุณโต้งมานานแล้วนะคะ น้องสองคนเป็นคนดีน่ารักทั้งคู่เลย โสดเหมือนกันเพราะบ้างาน มีใจรักทำงานช่วยเหลือสตรีและเด็กเหมือนกันอีก ถ้าได้คบหากันคงจะดีไม่ใช่น้อยเลย”
มีคณายิ้มแหยๆไป
โทรศัพท์มือถือดังขังจังหวะขึ้นมาพอดี...เหมือนระฆังช่วย มีคณาเลี่ยงและกดรับโทรศัพท์ทันที
“ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
“คุณมี่อยู่ไหน” เสียงขรึมๆเชิงดุของหิรัณย์ถามทันที
“สารวัตร”
สุนันทาเหล่มองมีคณาเล็กน้อย มีคณาฟังอีกฝ่ายพร้อมเดินเลี่ยงออกไปจากห้องพัก สุนันทาจับตามองตามอย่างอยากรู้ว่า สารวัตรที่ไหนโทรมาหามีคณา
หิรัณย์สีหน้าเคืองในชุดเตรียมตัวออกไปดูงานในวันใหม่ กำลังคุยโทรศัพท์โรงแรมในห้องพักที่อเมริกากับมีคณาอยู่
“ผมโทรไปที่สยามสาร คุณไชยวัฒน์ก็บอกว่าคุณลาพักร้อน”
มีคณาหน้าจ๋อยๆ คุยมือถืออยู่หน้าบ้านพักของทัพขันธ์ตอนหัวค่ำ เธอพูดอ้อมแอ้มตอบไป
“ก็ลาพักร้อนไงคะ”
หิรัณย์ยิ้มๆแบบคนถือไพ่เหนือกว่า
“ผู้ร้ายปากแข็ง”
มีคณาชะงักไป กรอกตาไปมาเล็กน้อย
“เมื่อวานผมโทรไปหาแม่ ได้ยินเสียงสันติเฮดังลั่นบ้านเลย”
มีคณากลืนน้ำลายไม่ลงคอเล็กน้อย ตอบอ้อมแอ้มกลับไป
“ก็ไปพักร้อนไงคะ เลยต้องฝากสันติไว้กับคุณแม่สารวัตร”
หิรัณย์ยิ้มหยัน
“อย่างคุณน่ะเหรอะจะไปพักร้อนแล้วทิ้งหลานไว้กับคนอื่นทั้งที่โรงเรียนยังไม่ปิดเทอม”
มีคณาเงียบไป
หิรัณย์เห็นอีกฝ่ายเงียบ จึงพูดตรงๆ เลิกต้อน
“สันติบอกผมแล้วว่าคุณไปทำข่าว...ข่าวอะไรครับ”
“ก็ข่าวเดิมๆ น่ะค่ะ สารวัตรไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันมากับพี่บัว พี่บัวสุนันทาไงคะ มากับทางมูลนิธิน่ะค่ะ” มีคณารีบออกตัว
หิรัณย์แอบถอนใจออกมา ก่อนซักกลับไปอย่างคาดคั้น
“แล้วทำไมต้องปิดทางสยามสารด้วย ไม่ใช่ทำข่าวธรรมดาๆ ใช่มั้ย”
“ก็ตามข่าวแบบที่ตามข่าวของสารวัตรน่ะค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ”
หิรัณย์เสียงจริงจัง สวนกลับมาทันที
“ถ้าคุณตัดสายผมโกรธจริงๆด้วย”
มีคณาจ๋อยไปเลย ไม่กล้าหักหาญน้ำใจ
วิมลินแต่งตัวทะมัดทะแทงปลอมตัวให้ดูเป็นทอมบอยหน่อยๆ กำลังซ่อนอาวุธไว้ตามจุดต่างๆของร่างกาย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้น เธอดูเบอร์โชว์ แล้วกดรับ
“สวัสดีค่ะ...มีอะไรให้รับใช้คะสารวัตร”
หิรัณย์คุยโทรศัพท์โรงแรมถาม
“หมวดหายดีรึยัง”
“ก็ดีขึ้นบ้าง แต่ยังไม่เต็มร้อย”
“อยู่ไหนครับเนี่ย”
“ขอนแก่นค่ะ”
“อ้าว ยังไม่หายดีเลย ลุยงานต่อแล้วเหรอ”
“แค่ตามความคืบหน้านิดหน่อย ไม่ได้ไปบู๊อะไรหรอกค่ะ สารวัตรโทรมาอยากให้ช่วยอะไรรึเปล่า คงไม่แค่โทรมาถามว่าหายเจ็บรึยังหรอกมั้งคะ ถ้าฉันเป็นคุณมี่ก็ว่าไปอย่าง”
หิรัณย์ สีหน้าใช้ความคิดก่อนตัดบท
“หมวดไปทำงานเถอะ แล้วค่อยคุยกัน ยังไม่หายดีอย่าซ่านักล่ะ”
หมวดดาวมีสีหน้างงๆ ปนติดใจสงสัยเล็กน้อย ก่อนติดอาวุธไว้ป้องกันตัวต่อ
หิรัณย์สีหน้าท่าทางเป็นห่วงมีคณา ทิ้งตัวลงนั่งโครมที่โซฟารับแขก ย้อนคิดถึงเรื่องที่มีคณาพูดคุยโทรศัพท์กับเขา
"มีนายหน้าล่อลวงเด็กไปขายตัวทางใต้ ตำรวจพยายามจะจับ แต่ยังขาดหลักฐาน ฉันเลยพยายามหาหลักฐานมัดตัวเอเย่นต์คนนั้นอยู่"
หิรัณย์มองไปทางโทรศัพท์ของห้องพัก.... ก่อนร้อนใจคุยตอบโต้มีคณาไปเมื่อ 15 นาทีก่อน
"ทำยังไง"
"ปลอมตัวเป็นนักศึกษาแฝงเข้าไปเป็นเหยื่อค่ะ"
หิรัณย์ตกใจปนโกรธเพราะความเป็นห่วง ลุกพรวดขึ้นพร้อมยกตัวเครื่องโทรศัพท์ตามมาคุยด้วย เขาคุยโทรศัพท์อย่างเผชิญหน้ากับมีคณา...เธอผงะไปเล็กน้อย สัมผัสอารมณ์โกรธของหิรัณย์
"ถ้าผมอยู่ที่นั่นผมจะเขย่าตัวคุณ จนความคิดบ้าๆ นั่นหลุดออกมาจากหัวของคุณเลย"
มีคณาแหยๆ และจ๋อยไป
"โชคดีที่สารวัตรไม่ได้อยู่ตรงนี้"
"ไม่ตลกเลยนะ คุณเป็นบ้าไปแล้ว รู้รึเปล่าว่ามันอันตรายมากแค่ไหน"
" ทราบค่ะ แต่ฉันทำอย่างรอบคอบ วางแผนกับพี่บัวกับคุณโต้งอย่างรัดกุมที่สุด ถึงปลายทางจะขอกำลังตำรวจทางโน้นบุกเข้าไปช่วยทันที"
หิรัณย์สวนไปทันที
"ไม่มีแผนไหนรัดกุมที่สุด ต่อให้วางไว้ดีเลิศแค่ไหนก็ต้องมีช่องโหว่"
"ทราบค่ะ ฉันตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าแผนแรกพลาด ฉันก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดออกมาให้ได้"
หิรัณย์สีหน้าไม่พอใจ น้ำเสียงดุ
"คุณรู้จักคนพวกนี้น้อยไป ลองเห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักเป็นปลา นึกจะค้าก็ค้านึกจะขายก็ขาย
คิดเรอะว่า มันจะยอมละเว้นนักข่าวจุ้นๆ อย่างคุณ"
มีคณายิ้มอารมณ์รั้นๆ
"สารวัตรคะ ถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเสี่ยงเข้าถ้ำเสือ สารวัตรก็เคยแนะนำฉันเองไม่ใช่เหรอคะ"
หิรัณย์โดนย้อนก็ถอนใจ
"แต่ผมไม่อยากให้คุณเสี่ยง ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนของประเทศไทย"
"บ้านทัพใจค่ะ ก็ประมาณบ้านพักฉุกเฉินของเด็กที่ถูกล่อลวง ถูกทารุณน่ะค่ะ"
"แล้วบ้านทัพใจนี่อยู่ที่ไหน"
"สารวัตรถามพี่บัวเอาแล้วกัน"
"ผมจะรีบกลับเมืองไทยแล้วไปหาคุณทันที"
"ไม่ทันแล้วล่ะค่ะสารวัตร พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางลงใต้แล้ว"
หิรัณย์ตกใจมาก
"คุณมี่อย่าไปเลยนะ ผมขอร้องล่ะ ถ่วงเวลารอผมกลับไปก่อนได้มั้ย"
มีคณาสีหน้ามุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว
"รอไม่ได้ค่ะ ฉันลางานมาน้อย สารวัตรไม่ต้องห่วงนะคะ"
หิรัณย์ เหวี่ยงๆ เล็กน้อย
"พูดออกมาได้ยังไงไม่ให้ห่วง คุณกำลังจะทำเรื่องที่ไม่เข้าท่า ไม่มีเหตุผลที่สุด รู้ตัวมั่งมั้ย"
มีคณาแย้งไปทันที
"นี่เป็นงานของฉันนะคะสารวัตร"
หิรัณย์สวนกลับไป
"งานที่ไม่ได้รับอนุมัติน่ะสิ คุณมี่ ผมขอร้องล่ะ ล้มเลิกความคิดซะเถอะ มันไม่ปลอดภัย แล้วคุณก็รับปากผมแล้วว่า จะไม่ไปทำข่าวเสี่ยงๆ ตอนผมไม่อยู่ไงล่ะ"
" ฉันมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้วล่ะค่ะ สารวัตรคะ สารวัตรจะรู้สึกดีขึ้นมั้ย ถ้าฉันจะบอกว่า ฉันจะทำงานเสี่ยงแบบนี้เป็นงานสุดท้ายแล้ว"
หิรัณย์ตอบกลับไปห้วนๆ
"ไม่ดีขึ้น ดีไม่ดีคุณอาจถูกฆ่าหมกป่าซะก่อนงานเสร็จก็ได้ อย่าหวังเรื่องจะได้ทำข่าวอื่นต่อเลย"
มีคณาเงียบไป ไม่ได้โต้ตอบกลับมา
"โกรธเหรอ"
"เปล่าค่ะ"
" โอเค ในเมื่อคุณเลิกไม่ได้ งั้นถ่วงเวลารอผมกลับไปก่อนก็แล้วกัน"
"ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าสารวัตรมาอาจจะทำให้ฉันพะวักพะวงจนเกิดพิรุธได้ ฉันยืนยันอีกครั้งนะคะว่าสารวัตรไม่ต้องเป็นห่วง ดูงานให้สบายใจเถอะค่ะ สารวัตรกลับเมืองไทยแล้วเราไปทานข้าวมันไก่เจ้าเดิมกันนะคะ" มีคณายิ้มแย้ม กดตัดสายไปเลย
หิรัณย์ที่นั่งครุ่นคิดอยู่ที่โซฟา ตัดสินใจลุกพรวด เดินไปยกหูโทรศัพท์ กดเบอร์ภายใน..รอเจ้าของห้องรับสาย
"ผมหิรัณย์นะครับ เสร็จรึยังครับผู้การ ... ผมมีเรื่องอยากปรึกษานิดหน่อยน่ะครับ ผมอยากกลับเมืองไทยก่อนจะได้มั้ยครับผู้การ" หิรัณย์สีหน้าลุ้นๆ ไม่สบายใจนัก
มีคณาเดินกลับขึ้นโถงบ้านมาหลังจากคุยกับหิรัณย์ เธอนั่งสงบอารมณ์อยู่ไปมา
ทัพชันธ์และสุนันทากำลังเตรียมเครื่องมือไว้ให้มีคณา
"คุยโทรศัพท์นานจังเลย"
"คุยเสร็จซักครู่แล้วล่ะพี่บัว มี่นั่งเล่นรับลมที่สนามน่ะค่ะ"
ทัพขันธ์ยิ้มแย้ม ชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
"ผมมีอุปกรณ์การทำงานมาแจกคุณมี่ครับ"
มีคณาเดินมานั่งดูด้วยความสนใจ เขาส่งอุปกรณ์ให้
"นี่เครื่องช็อตไฟฟ้าอยู่ในรูปไฟฉาย ส่วนนี่มีดพกซ่อนอยู่ในแปรงผม"
มีคณาขำๆ
"เอามาจากไหนคะเนี่ย แน่ใจนะคะว่าคุณโต้งไม่ใช่พวกสายลับ หรือ ว่าตำรวจนอกเครื่องแบบ"
"ไม่ใช่หรอกครับ ผมชอบของพวกนี้อยู่แล้ว เพื่อนฝูงไปเจอมาก็ซื้อมาให้เรื่อยๆ ยิ่งพอรู้จากคุณบัวว่าจะมีนักข่าวสาวบ้าระห่ำมาทำงาน ผมก็เลยรีบรวบรวมมาเท่าที่พอหาได้ทันน่ะครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ"
"มีนี่อีกอย่าง"
ทัพขันธ์หยิบลิปสติกอีก 2 แท่งให้
"ไม่ใช่ลิปสติกธรรมดาๆ นะครับเป็นพลุฉุกเฉิน ใช้ยิงขึ้นฟ้า เดี๋ยวผมจะสาธิตวิธีใช้ให้ดู"
"หวังว่าตำรวจคงตามมาช่วยฉันได้ทันก่อนใช้อุปกรณ์พวกนี้นะคะ"
"นั่นสิ ถ้าต้องใช้อุปกรณ์พวกนี้ น้องมี่คงถึงสถานการณ์คับขันแล้วล่ะ"
"หวังว่าแค่ใช้โทรศัพท์มือถือก็พอ" ทัพขันธ์บอก
"ค่ะ"
"งั้นก็เปลี่ยนเครื่องซะด้วย เอาสมาร์ทโฟนแบบนั้นติดตัวไป บอกไม่มีตังค์จะไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่" ทัพขันธ์ส่งมือถือรุ่นเก่าให้
สุนันทาพูดเสริม
"เราเปลี่ยนซิมใหม่หมดทั้ง 3 คนแล้วนะคะ เผื่อมันยึดมือถือไปเช็คคอนแทร็ค รับรองไม่รู้ว่าเราเป็นใคร...พี่เม็มชื่อไว้ให้หมดแล้ว บีกับที นะคะ"
"รอบคอบจังเลยค่ะ"
"ความปลอดภัยของน้องมี่ แค่นี้ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ"
"งั้นเอาติดตัวไปอีกอย่าง กล้องหัวปากกา อันนี้ซ่อนไว้กับตัวก็แล้วกัน"
"ภาพและเสียงของยัยจินดาต้องเก็บมาให้ได้เป็นอย่างแรกเลยนะน้องมี่"
"ได้ค่ะ พี่บัว... มีของเล่นอะไรอีกมั้ยคะคุณโต้ง" มีคณาถาม
"โห...เรียกซะเสียเลย ใช้ได้จริงนะครับ ไม่ใช่ของเล่น...เดี๋ยวผมหาก่อนเผื่อมีอะไรดีๆ อีก" ทัพขันธ์รื้อกระเป๋าข้างๆตัวไป สุนันทาสีหน้าอยากรู้
"น้องมี่คะ เมื่อกี้สารวัตรที่ไหนโทรมาเหรอคะ อย่าบอกนะคะว่าสารวัตรหิรัณย์ขวัญใจพี่"
"ใช่ค่ะ"
"ติดต่ออะไรกันอีกคะ น้องมี่ยังไปทำสกู๊ปข่าวที่หน่วยคุณหิรัณย์อยู่อีกเหรอ"
"ไม่ได้ทำแล้วล่ะค่ะ"
"อุ๊ย...หรือว่ากำลังแอบคบกันอยู่"
ทัพขันธ์เหลือบตามองมีคณา
"คุณมี่มีแฟนแล้วเหรอครับ"
มีคณาสีหน้าใช้ความคิดไปมาก่อนหันมองหน้าทัพขันธ์
"ค่ะ"
ทั้งสุนันทาและทัพขันธ์ตกใจหันมามองหน้ากัน ก่อนที่เขาจะปล่อยมุกกัดตัวเอง
"มีเครื่องดามหัวใจมั้ยเนี่ย" เขาพูดพลางค้นหาของในกระเป๋าสนุกสนานไป
มีคณาและสุนันทาขำๆ ออกมา
โทรศัพท์มือถือสุนันทาดังขัดขึ้น เธอดูเบอร์โชว์ พึมพำก่อนกดรับ
"เบอร์แปลกๆ สวัสดีค่ะ อุ๊ย สวัสดีค่ะสารวัตร"
มีคณาที่กำลังเก็บอุปกรณ์ต่างๆ อยู่เหลือบตามอง สุนันทากระซิบบอกมีคณา
"สารวัตรหิรัณย์... ค่ะ ฉันอยู่กับน้องมี่ค่ะ"
มีคณาบอกสุนันทา
"บอกตามจริงไปเลยนะคะ มี่ขอตัวไปจัดกระเป๋าต่อก่อน"
เธอหยิบอุปกรณ์ที่ทัพขันธ์เตรียมให้ ลุกเดินเข้าห้องพักไป สุนันทาลุกเดินคุยโทรศัพท์ ทัพขันธ์หันมองตามมีคณาไป สีหน้าแอบเซ็งๆ เล็กน้อย หญิงในฝันหลุดลอยไปซะแล้ว
เวลากลางวัน มีคณาแต่งตัวในชุดไปเที่ยวให้สมกับวัยนักศึกษาปี 2 ที่ปลอมตัวอยู่ ถือกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมติดมือมาด้วย จินดาแทบจะถลาออกมารับด้วยความดีใจ
"นึกว่าจะเปลี่ยนใจไม่มาซะแล้ว"
มีคณายิ้มแย้มยกมือไหว้
"มาสิคะ สวัสดีค่ะพี่จินดา"
"สวัสดีจ้ะ ขนอะไรมาซะเยอะแยะเลย พี่บอกแล้วไงว่า เอาไปเฉพาะของที่จำเป็นก็พอ ไปถึงที่นั่นนายจ้างเค้าก็หายูนิฟอร์มให้แต่ง"
"มี่เอาของมาหมดค่ะ ทิ้งไว้ไม่ได้ ไม่รู้ว่ากลับมาเพื่อนจะอยู่ห้องเดิมรึเปล่า ดีไม่ดีจะไม่ได้ของคืนเอา"
"ก็จริงนะ พี่ลืมคิดข้อนี้ไป..ไหนขอพี่ดูหน่อยซิ ขนอะไรไปบ้าง" จินดาแย่งกระเป๋าเดินทางมีคณาไปวางบนโต๊ะ มีคณาอึ้งๆไปเล็กน้อย แต่เดาออกว่า เป็นหน้าที่ ตรวจสมบัติเหยื่อก่อนส่งต่อ
มีคณากดกล้องปากกาที่เสียบมุมปกเสื้ออยู่ให้ทำงาน เก็บภาพจินดาเอาไว้ ก่อนเธอไปช่วยเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าให้จินดาตรวจเช็ค
จินดาค้นหาดูไปทั่วกระเป๋าก็เห็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ส่วนตัว ที่แปลกก็กระบอกไฟฉายแต่ไม่ผิดสังเกต
มีแปรงผม ลิปสติก อยู่กับถุงใส่เครื่องสำอางราคาถูก สำหรับจินดาแล้วผ่าน... ไม่มีอะไรต้องระวัง
"น้องมี่มีเครื่องสำอางน้อยไปหน่อยนะจ๊ะ ไปอยู่ที่โน่นบางทีต้องแต่งตัวดีหน่อย พี่มีอายแชโดว์กับแป้งตลับอยู่อย่างละอัน ของใหม่เลยนะ เพิ่งไปซื้อมาจากตลาด น้องมี่ติดตัวเอาไว้ เผื่อต้องใช้"
มีคณายกมือไหว้
"ขอบคุณค่ะพี่จินดา"
"ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวกินข้าวกินปลาซะ อยากกินอะไรสั่งได้เลย มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง"
มีคณายิ้มแย้ม
"ขอบคุณค่ะ แต่มี่ทานมาเรียบร้อยแล้ว"
มีคณาระวังตัวไม่อยากกินอาหารของจินดามื้อนี้
ทันใดนั้นเองก็มีหญิงสาววัย 18-19 ปีเดินเข้าร้านพร้อมส่งเสียงใส
"เอ๋มาแล้วค่ะพี่จินดา"
มีคณาหันมอง เด็กสาววัยรุ่นถือกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมเข้าร้านมาหาจินดา...มีคณามีสีหน้าใช้ความคิด สงสัยจะไม่ใช่เธอคนเดียวที่เดินทางทริปนรกเที่ยวนี้ซะแล้ว
"ทานอะไรมารึยัง"
"เลี้ยงส่งมาเรียบร้อยแล้วค่ะ"
มีคณาสีหน้าสลดมองไปที่เอ๋ ... ถึงขั้นเลี้ยงส่งกันเลยเหรอ
"อ้อ... เอ๋ นี่มีมี่จะไปทำงานร้านอาหารที่เดียวกับเอ๋ เรียนอยู่ที่เดียวกัน รู้จักกันรึเปล่า"
มีคณาหน้าเจื่อนดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด เอ๋มองหน้า ฝืนยิ้มทำใจดีสู้เสือ
"เอ๋เพิ่งเข้าปี 1 ยังไม่ค่อยรู้จักใครหรอกค่ะ แถมไม่ค่อยได้ไปเรียนด้วย"
มีคณารีบสวน
"พี่อยู่ปี 2 แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียนเหมือนกันค่ะต้องทำงานหาเงินส่งที่บ้าน"
"อุ๊ย เหมือนกันเลยค่ะพี่"
ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างแบบคนละหัวอกเดียวกัน
"คนหัวอกเดียวกันแบบนี้ เข้าใจกันง่าย น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ดีเลยล่ะ" จินดาบอก
เอ๋ยิ้มแย้มจริงใจให้มีคณา
"ไหนให้พี่ดูสิ ขนอะไรมาบ้าง"
มีคณาเหล่มองจินดาเล็กน้อย
"ไหนๆ แล้วพี่บอกตามตรงก็ได้ อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะ พี่กลัวน้องๆ รับจ้างขนยาอีกทอดนึง พี่จะซวยไปด้วย"
"อุ๊ย พี่จินดา ยาบ้าไม่มีหรอกค่ะ มีแต่ยาแก้ปวดหัว ค้นดูได้เลยค่ะ"
เอ๋รีบวางกระเป๋าเสื้อผ้าเปิดให้ตรวจแล้วพูดต่อ
"มีแต่เสื้อผ้าแล้วก็ขนม เพื่อนๆ ซื้อมาฝากให้กินเล่นระหว่างทาง"
จินดาเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าเอ๋ ดูไม่มีอะไรผิดสังเกตนอกจากกล้องถ่ายรูปอันหนึ่ง จินดาไม่ค่อยเห็นด้วยนัก"เอากล้องไปด้วยเหรอจ๊ะ"
"ค่ะ เอ๋ชอบถ่ายรูป"
จินดาฉีกยิ้มให้
"เดี๋ยวพี่ไปเอาเครื่องสำอางมาให้คนละชุดแล้วกัน"
จินดาเดินเลี่ยงเข้าไป มีคณามองเอ๋ที่กำลังปิดกระเป๋าเสื้อผ้า แต่หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาด้วยท่าทางรื่นเริง มีคณาสงสารจับใจอย่างบอกไม่ถูก
จินดาเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานที่หลังร้าน วิชัยและซันนั่งรออยู่ในห้อง...
"เรียบร้อย มาครบทั้งสองคนแล้ว"
"มีอาวุธติดตัวมามั้ย" วิชัยถาม
"เด็กสาวๆ พวกนี้จะคิดอะไรมากนอกจากเรื่องแต่งตัว มีแต่เสื้อผ้า อ้อ มีเด็กเอ๋ เอากล้องถ่ายรูปติดไปด้วยนะ"
"โทรศัพท์มือถือล่ะ" ซันถาม
"เอ๋ไม่รู้นะ แต่อีกคนมี..." จินดาเดินไปนั่ง
"รีบเคลียร์บัญชีเลย อยู่ร้านฉันนานๆ เสียวสันหลัง"
วิชัยเปิดเป้เตรียมหยิบเงินค่าจ้างหาเด็กให้จินดา ส่วนจินดาเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบเครื่องแต่งหน้า อายแชโดว์กับแป้งตลับอย่างละ 2 ชิ้นเพื่อเอาไปให้มีคณาและเอ๋
ผ่านเวลาซักพัก วิชัยและซันเดินคุมมีคณาและเอ๋กลายๆ มาขึ้นรถตู้...รถตู้ติดฟิล์มดำปี๋ แว่นชายหนุ่มใส่แว่นกันแดดอีกคนรออยู่ ช่วยขนกระเป๋าเสื้อผ้าไปไว้หลังรถ เอ๋ขึ้นรถนำไปก่อน มีคณาตามเข้ามา ทำให้เห็นว่าในรถมีเด็กสาวอยู่อีก 3 คน มีคณาอึ้งๆไปเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายยิ้มให้กัน
ซันไปขับรถ วิชัยนั่งหน้าข้างๆ แว่นขึ้นมานั่งคุมประตู ทันที่ที่ปิดประตูรถตู้ และรถแล่นออกไป...
รถของทัพขันธ์จอดซุ่มแอบมองอยู่
"รถตู้ออกไปแล้วค่ะ"
สุนันทารีบจดทะเบียนรถเอาไว้ ทัพขันธ์จับตามองตาม รอจังหวะเล็กน้อยก่อนขับรถสะกดรอยตามไปห่างๆ
ภายในรถตู้ เอ๋ น้ำผึ้ง พุด อ้อย นั่งคุยแนะนำตัวกันอยู่
เอ๋ชี้เรียก
"คนนี้น้ำผึ้ง อ้อย พุด"
พุดบอก
"ไม่ใช่จ้ะ หนูพุด อ้อยคนนี้"
เอ๋ชี้เรียกใหม่อีกครั้ง
"อ้อย พุด ส่วนเราเอ๋ แล้วก็พี่ใหญ่ของเรา พี่มี่แต่หน้าเด็กกว่าเอ๋อีก"
มีคณาฝืนยิ้มไป
"กินขนมกันดีกว่า"
เอ๋เอาขนมมาแกะแจก แบ่งกันกิน ดูสนุกสนานปาร์ตี้กันมาก มีคณาชำเลืองมองเด็กสาว รู้สึกเศร้าๆ แต่ต้องทำเป็นยิ้มรื่นเริงรับขนมจากเอ๋มาทานให้กลืนๆ กันไป
เอ๋ยื่นขนมให้แว่นที่นั่งคุมประตูรถตู้อยู่กับพวกสาวๆ
"พี่แว่น ทานขนมมั้ยจ๊ะ"
สาวๆ ขำๆ เห็นหนุ่มหล่อเต๊ะๆ มานั่งอยู่ด้วย แว่นยิ้มให้รับขนมไปทาน
"อร่อยมั้ยคะพี่" อ้อยถามขำๆ แล้วกิ๊วก๊าวกันไปกับพุด
มีคณาแอบถอนใจออกมา สีหน้าสลดหดหู่ใจจริงๆ
เวลาเย็น รถตู้ขับเข้ามาจอดข้างๆ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมทางหลวง แว่นเปิดประตูรถตู้ให้
มีคณาและเด็กสาวๆ เดินลงจากรถตู้ เด็กๆ บิดตัวยืนเส้นยืดสายกัน มีคณากวาดตามองจดจำว่าอยู่ที่ไหน
"พักทานข้าวเย็นกันก่อนนะสาวๆ"
"กำลังหิวเลยค่ะ" เอ๋บอก
วิชัยเดินนำทุกคนเข้าร้าน ซันและแว่นเดินคุมตามมา มีคณาแอบกวาดตามองหาทัพขันธ์และสุนันทา.. ที่ลานจอดรถ เธอไม่เห็นใคร ก็เป็นกังวลปนไม่สบายใจเล็กน้อย ก่อนเดินตามทุกคนเข้าไปทานอาหารเย็นในร้านข้างทาง
ผ่านเวลาซักพัก หลังมื้ออาหาร ซันคาบไม้จิ้มฟันนำขึ้นรถตู้มาก่อน เขาสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์รอ วิชัยและแว่นคุมสาวๆ ออกมาจากร้านอาหาร
"ขอเดินเล่นยืดเส้นยืดสายก่อนได้มั้ยคะ" เอ๋ถาม
"10 นาทีพอนะ ไม่อยากถึงสายมาก" วิชัยบอก
"ได้ค่ะ ไปถ่ายรูปกัน" เอ๋นำ
น้ำผึ้ง พุด อ้อยดูสนุกสนานรื่นเริง ไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังจะถูกหลอกไปขาย มีคณาต้องฝืนยิ้มแย้มมีความสุขให้กลมกลืน
"พี่มี่ถ่ายให้น้องๆก่อน"
"ได้จ้ะ แต่พี่ขอถ่ายเดี่ยวนะ"
เอ๋ขำๆ
" ได้เลยค่ะ... มาเร็วๆ" เอ๋เรียกสาวๆที่เหลือไปโพสท์ท่าถ่ายรูปกัน
วิชัยและแว่นยืนคุมอยู่ไม่ห่าง ชนิดไม่ให้คลาดสายตา มีคณาเหล่มองผู้ชายสองคนเล็กน้อยขณะยกกล้องขึ้นเล็งจะถ่ายรูป..สีหน้าหนักใจที่ 2 คนคุมไม่ห่างเลย
"พี่มี่ ยิ้มเหงือกแห้งแล้วค่ะ"
"ก็หามุมสวยอยู่ เตรียมตัวนะ 1 2 3"
เด็กสาวๆ โพสต์ท่ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูไร้เดียงสาร่าเริงสมวัย
"อีกรูปนะจ๊ะ"
มีคณาตั้งกล้องอีกครั้ง ยิ่งเห็นภาพความสดใสแล้วสลดใจปนสงสารจับใจ ขณะที่เด็กสาวโพสท์ท่าสนุกสนานอย่างไม่รู้ชะตากรรม มีคณากดชัตเตอร์ไปพร้อมกับน้ำตารื้นๆขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
รถตู้เดินทางลงใต้ไปเรื่อยๆ จนถึงเวลากลางคืน ภายในรถนอกจากซัน-คนขับรถ และมีคณาแล้ว นอกนั้นหลับกันหมดเกลี้ยง เธอหลับตาไม่ลง ทำเป็นนอนเอนเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต สายตาเธอก็แอบมองเด็กสาวทั้ง 4 ที่กินอิ่มนอนหลับ คุยเล่นเฮฮาเหมือนมาเที่ยวต่างอากาศกัน
มีคณารู้สึกเศร้าใจ ข่มตาหลับไม่ลง สีหน้าใช้ความคิดทบทวนแผนการและทางหนีทีไล่ต่างๆในใจไปเรื่อย เพื่อป้องกันความผิดพลาด
เวลาเช้า รถตู้ขับมาจอดที่หน้ารั้วบ้านหนึ่งแล้วบีบแตรเรียก ลุงวัย 50 กว่า ชะโงกหน้าจากรั้วมามองรถตู้ ให้แน่ใจว่า เป็นพวกเดียวกันก็เดินเปิดประตูรั้วให้ รถตู้แล่นเข้าไปจอดที่หน้าตัวบ้าน
เจ๊แอ๊ด หญิงร่างผอมเกร็ง อยู่ในชุดนอนเดินออกมาดูที่หน้าระเบียงบ้าน แว่นเปิดประตูให้สาวๆ เดินลงมา วิชัยเข้าไปรายงานเจ๊แอ๊ด
"เรียบร้อยดีใช่มั้ย เจ๊แอ๊ดเหลือบตามองไปดูเด็กสาวหน้าใหม่
"เรียบร้อยครับเจ๊"
"งวดนี้กี่คนล่ะ"
"5 ครับ"
"กำลังดี"
มีคณาและสาวๆ ไปถือกระเป๋าสัมภาระของตัวเองมารวมตัวกัน เจ๊แอ๊ดยิ้มแย้มให้สาวๆ
"เดินทางเหนื่อยมั้ยจ๊ะสาวๆ"
มีคณาปั้นยิ้ม
"นิดหน่อยค่ะ"
"เชิญเข้าบ้านเลยจ้ะทุกคน เดี๋ยวได้ไปอาบน้ำอาบท่านอนพักผ่อนกัน"
เจ๊แอ๊ดเดินนำเข้าไป วิชัย ซัน แว่นเดินตามประกบสาวๆ เข้าบ้านไปเหมือนกัน เอ๋ น้ำผึ้ง พุดและอ้อย ดูตื่นเต้นกับบ้านใหญ่โต ส่วนมีคณาแอบกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ ก่อนเดินตามทุกคนเข้าบ้านไป
เจ๊แอ๊ดยิ้มแย้มเดินนำสาวๆ เข้ามาที่โถงบ้าน
"บ้านใหญ่จังเลยค่ะ" เอ๋บอก
"บ้านนี้คนอยู่เยอะ ก็ต้องหลังใหญ่เป็นธรรมดา"
มีคณากวาดตามองไปรอบๆ โถงบ้านอย่างเก็บข้อมูล
เจ๊แอ๊ดเรียกหา
"นังเหมียว...นังเหมียว"
เหมียววิ่งออกมาหาพร้อมขานรับ
"ขาเจ๊"
"พาน้องๆ เค้าขึ้นไปห้องนอนไป"
เหมียวยิ้มแย้มรับคำสั่ง
"ค่ะ ตามพี่มาเลยจ้ะ"
ทุกคนตั้งท่าจะเดินตามเหมียวไปขึ้นบันได
"อ้อ เดี๋ยวจ้ะ"
มีคณาและสาวๆ หันมองเจ๊แอ๊ด
"ใครมีโทรศัพท์มือถือมั่ง เจ๊ขอยึดไว้ก่อนนะจ๊ะ"
มีคณาดูอึ้งไปเล็กน้อย
"เจ๊ไม่ชอบคนคุยโทรศัพท์พร่ำเพรื่อในเวลางาน ถ้ามีเรื่องจำเป็นจริงๆ ค่อยมาเอาโทรศัพท์ที่เจ๊"
เจ๊แอ๊ดแบมือ
"หนูไม่มีค่ะ" อ้อยบอก
"หนูก็ไม่มีค่ะ" พุดว่า
เอ๋เดินเอาโทรศัพท์มือถือมาให้เจ๊แอ๊ด
"ขอบใจจ้ะ...มีอีกมั้ย"
"หนูไม่มีค่ะ"
มีคณาหน้านิ่งเดินเอาโทรศัพท์มาให้อีกคน เจ๊แอ๊ดยิ้มแย้มดูโทรศัพท์มือถือในมือ
"ขอบใจจ้ะ ครบแล้วนะ ทำงานกับเจ๊ไม่นาน รับรองได้เปลี่ยนมือถือรุ่นใหม่แน่ๆ ส่วนพวกไม่มีใช้ก็จะได้
มีใช้แน่นอนจ้ะ"
สาวทั้ง 4 คนยิ้มดีใจกัน มีคณารีบปั้นยิ้มไม่ให้แตกต่าง
" ไป ขึ้นไปพักผ่อนกันได้แล้ว ตื่นขึ้นมาเจ๊จะหาอะไรให้กิน"
มีคณาและสาวๆ เดินตามเหมียวขึ้นชั้นบนไป
เจ๊แอ๊ดหันบอกวิชัย
"พวกนายก็ไปพักผ่อนก่อนไป"
"ครับเจ๊"
วิชัย ซัน และ แว่น ล่าถอยออกไป เจ๊แอ๊ดยิ้มพอใจเดินเข้าไปด้านในครัว
เหมียวพา มีคณา เอ๋ น้ำผึ้ง พุด และอ้อยขนสัมภาระของแต่ละคนเข้ามาในห้องพักรวมขนาดใหญ่
ภายในห้องปูเบาะไว้เรียงรายเต็มไปหมด มีหญิงสาวนอนหลับพักผ่อนกระจายตามเบาะอยู่ในห้อง เหมียวชี้บอก
"ห้องน้ำอยู่โน่นนะ เบาะไหนว่างก็นอนๆไปเหอะ อย่าคุยกันเสียงดังล่ะ คนอื่นๆ เค้าเพิ่งจะได้นอนกัน" เหมียวจะออกไป มีคณาฉุกคิดอยากเตือนเด็กสาวที่มาด้วยกันให้ฉุกคิด
"พี่คะ"
"มีอะไร"
"ทำไมนอนกันตอนเช้าล่ะคะพี่ คืนทั้งคืนมัวทำงานอะไรกันอยู่เหรอคะ"
มีคณาจงใจพูดเน้น เด็กสาวทั้ง 4 คนหันมาฟังคำตอบ
"ก็งานร้านอาหารที่พวกเธอต้องไปทำนั่นแหละ งานมันหนักหามรุ่งหามค่ำ ไม่งั้นค่าจ้างจะแพงเรอะ นี่ฉันเตือนแล้วนะ ว่าอย่าพูดมาก นังปริกมันเพิ่งหลับไป ใครเสียงดังปลุกมันตื่นขึ้นมามีหวังห้องแตก นังนี่ปากมันจัดเหมือนมนุษย์มนาซะที่ไหน เหวี่ยงยังกะอะไร ไม่อยากเดือดร้อนก็เงียบๆ ไม่ต้องสงสัยมาก" เหมียวยืยท้าวสะเอวบอก
ทั้ง 4 สาวดูกลัวๆ ขาใหญ่ มีคณาหน้านิ่งๆ เหมียวเดินออกไปจากห้อง ทุกคนกลัวปริกตื่นก็เลยพูดเบาๆใส่กัน
"อาบน้ำมั้ย" อ้อยถาม
" ไม่ไหวแล้วล่ะ นอนเลยดีกว่า" เอ๋บอก พลางมองหาเบาะว่างแล้วไปนอนเลย
เด็กสาวทั้ง 4 คนเดินไปหาเบาะว่างนอนไป มีคณากวาดตามองเบาะว่างที่อยู่มุมห้องแล้วเดินไปวางของลงที่เบาะ นั่งลงกวาดตามองไปทั่ว ด้วยสีหน้าเศร้าใจ ก่อนจะถอนใจยาวออกมา
ภายในห้องน้ำ มีคณากำลังทำความสะอาดคอนแท็คเลนส์อยู่ เธอล้างหน้าล้างตาหลังจากอาบน้ำเสร็จอยู่ในชุดนอนเรียบร้อย มีคณาเอาแว่นตาขึ้นมาสวม มองหน้าตัวเองในกระจกก่อนพึมพำ
"คิดถึงที่สุดเลย" เธอเลื่อนมือกระชับแว่นเข้าดั้ง ยิ้มพอใจเล็กน้อย
มีคณาค่อยๆ หุบยิ้มลง มีสีหน้าใช้ความคิดหาทางติดต่อสุนันทาและทัพขันธ์เมื่อถึงคราวคับขัน
ในฝัน ... มีคณารีบวิ่งตามหิรัณย์ที่เดินโกรธจัดออกมาจากโถงบ้านตัวเอง
"สารวัตรคะไ
หิรัณย์โกรธจัด หันมาต่อว่า
"คุณมันดื้อ ไม่เคยเชื่อฟังผมเลย คิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหน คุณมันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ถึงจะเรียนศิลปะป้องกันตัวมาก็เถอะ แต่ลองถูกผู้ชายรุม คุณจะสู้พวกมันไหวเรอะ"
มีคณาจ๋อยๆไป
"อยากจะไปตายที่ไหนก็ไปเลย"
มีคณาจ๋อยสนิท หิรัณย์เดินหัวเสียออกไปจากบ้านไป สันติวิ่งร้องไห้ออกมาจากบ้านกระแทกมีคณาจนเซไป หลานชายพูดไปร้องไห้ไป
"สารวัตรรอด้วย ผมจะไปอยู่กับสารวัตรครับ"
"สันติ กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"
" พี่มี่คะ ตื่นเถอะค่ะ" เอ๋เรียก
มีคณาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ท่าทางยังเหวอๆ งงๆ เล็กน้อยเพราะฝันไม่ค่อยดี
"บ่าย 2 แล้วค่ะ"
มีคณาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
"ไปอาบน้ำเถอะค่ะ คนอื่นเค้าลงไปกินข้าวกันหมดแล้ว"
มีคณากวาดตามองไปรอบๆห้อง
"ขอบใจจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามลงไปนะเอ๋"
เอ๋ลุกเดินนำออกไปจากห้องนอนรวม
มีคณากวาดตามองสภาพห้องนอน ที่อยู่ในสภาพแย่ๆ เบาะวางกับพื้นให้นอนกันอย่างง่ายๆ แต่ละเบาะก็มีเจ้าของเกือบหมด ค่อนข้างรก และไม่เป็นระเบียบ เธอมองไปตามมุมห้องด้านบนให้แน่ใจว่า มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่มั้ย แต่ก็ไม่เห็นมี แต่เธอก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี ทำเป็นก้มเก็บเตียง แต่เอาตัวบังเพื่อกดกล้องปากกาที่เหน็บไว้ด้านในเสื้อนอน แล้วทำหันมาพับผ้าในมุมให้กล้องปากกา
ทำการบันทึกสภาพห้องพักเอาไว้เป็นหลักฐานอย่างเนียนๆ
3 ทหารเสือสาว ฟ้ากระจ่างดาว ตอนที่ 7 (ต่อ)
บ่ายแก่ๆ ที่โถงบ้าน บริเวณโต๊ะอาหาร สาวๆ อยู่ร่วมกันร่วม 10 กว่าคน ส่วนใหญ่กินข้าวกันอยู่ บ้างก็นั่งอ่านหนังสือซุบซิบดารา บ้างก็นอนดูทีวีไป คนหนึ่งยกตะกร้าผ้าเดินออกไปซัก ชายหางตามองมีคณา ด้วยสีหน้าท่าทางไม่เป็นมิตร ตอนที่เธอเดินลงมาจากบันไดบ้าน
“พี่มี่ ทางนี้จ้ะ”
มีคณาเดินไปก๊วนของตัวเอง
“รีบทานข้าวเถอะพี่ก่อนจะหมด” เอ๋บอก
มีคณาเหลือบตาดูหม้อใส่ข้าวผัดสีชมพูมีเศษไข่ประปรายบนโต๊ะ ก่อนเหลือบตาไปมองผัดผักกะหนวดปลาหมึกอ่างข้างๆ
“ไข่กับปลาหมึกจะเหลือแต่วิญญาณอยู่แล้ว ใจคอกินกันไม่คิดถึงคนอื่นเลย”
น้ำผึ้งเดินเข้ามากระซิบกระซาบ
“พี่ไม่เห็นตอนพวกมันตักอาหาร มันเลือกแต่เนื้อๆ ไข่ๆ ไปทั้งนั้นเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก มีเท่าไหร่ก็กินเท่านั้นแหละ อย่าให้มีเรื่องเลย เราเป็นคนใหม่”
มีคณาตักข้าวไป
สาวๆ เด็กเก่าเหล่ๆ มองกลุ่มมีคณาด้วยสีหน้าแววตาไม่เป็นมิตร วิชัยเดินยิ้มแย้มมาหา 5 สาว
“เดี๋ยวทานอิ่มแล้ว ฉันจะพาออกไปเดินเล่นที่ตลาดกันนะ”
“ดีค่ะ มีของใช้ขาดตั้งหลายอย่าง”
“งั้นก็รีบกินให้อิ่มซะ เดี๋ยวฉันรอหน้าบ้าน”
วิชัยเดินนำออกไป มีคณามีสีหน้าใช้ความคิดบางอย่างจับตามองตามวิชัยไป
ผ่านเวลาพักใหญ่ มีคณาและ 4 สาวเดินเล่นอยู่ที่ตลาด ดูของขายโน่นนี่ไปแเด็กสาวต่างร่าเริงวิ่งดูร้านโน้นร้านนี้ ไม่ได้รู้อนาคตเลย วิชัย ซัน และแว่นตามคุมตลอด มีคณามองเด็กสาวด้วยความรู้สึกสงสาร แต่ต้องทำร่าเริงเพื่อไม่ให้ดูแปลกแยก
“ใครอยากได้ขนมอะไรมั่ง พี่เลี้ยงเอง”
วิชัยเดินนำไปที่ร้านขนมหนึ่ง สาวๆ เฮฮากร๊ดกร๊าดวิ่งกรูตามวิชัยไป
"เร็วพี่มี่" เอ๋เรียก
มีคณาปั้นยิ้มแย้มรีบเดินเร็วไปหา ซันและแว่นเดินตามประกบไปห่างๆ แล้วก็ไปเลือกขนมกับเค้าด้วย
ขณะที่ทุกคนกำลังเลือกขนมกันอยู่ก็มีเสียงคุ้นหูดังมาเข้าหูมีคณา
"น้องๆ กาแฟนี่ของแท้รึเปล่า"
มีคณาชำเลืองไปมองร้านข้างๆ อมยิ้มออกมาอย่างดีใจ ทัพขันธ์ทำไม่สนใจมีคณาคงต่อของกับเด็กสาวคนขายไป
"โธ่ลุง ของแท้สิคะ" คนขายบอก
"เฮ้ย เรียกแค่พี่ก็พอ เรียกลุงมันแสลง"
มีคณาทำเลือกขนมแต่ก็แอบอมยิ้มไป
"เรียกพี่ก็ได้จ้ะ เอากาแฟมั้ยล่ะ"
"ลดอีก 10 บาทได้มั้ย"
"แหม ต่อทุกรายการเลยนะคะคุณโต้ง"
มีคณาแอบชำเลืองมองไปเนียนๆ สุนันทาเดินเข้ามาหาโต้งแล้วยิ้มเลยมาให้มีคณา เธอยิ้มรับบางๆ ใจชื้นขึ้นหน่อย พรรคพวกตามาทันแล้ว
"น้องมี่ เลือกได้รึยัง" วิชัยถาม
มีคณาสะดุ้งสุดตัว หันไปปั้นยิ้ม หยิบขนมมั่วๆ ขึ้นมาถุงนึง
"เอาอย่างเดียวเหรอ"
"ค่ะ" มีคณายิ้มรับ
"ยิ้มสวยนะเรา หัดยิ้มไว้บ่อยๆ ลูกค้าชอบ จะได้ทิปเยอะๆ" วิชัยบอก
มีคณาปั้นยิ้มให้อีกที วิชัยหยิบขนมที่มีคณาเลือกส่งให้คนขายไป
"อ้ะ นี่อีกถุง คิดเงินรวมเลย"
ระหว่างวิชัยรอจ่ายเงิน มีคณาแอบชำเลืองมองไปร้านข้างๆ ไม่มีทัพขันธ์และสุนันทาอยู่แล้ว
ภายในห้องนอนใหญ่ เจ๊แอ๊ดยืนขวางอยู่หน้าประตูห้องยืนคุมลูกน้องค้นของในกระเป๋าสาวใหม่ทั้ง 5 คน
"ค้นให้ทั่วๆล่ะ"
ลูกน้อง 1 บอก
"มีแต่ของใช้ส่วนตัวทั้งนั้นเลยเจ๊"
ลูกน้อง 2 บอก
"ของนังนี่มีกล้องถ่ายรูปด้วยเจ๊"
"เอามานี่เลย"
ลูกน้องคนที่ 2 รีบเอากล้องถ่ายรูปของเอ๋มาให้ เจ๊แอ๊ดริบไว้
"จัดเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยเหมือนเดิมล่ะ" เจ๊แอ๊ดรีบเดินออกไปจากห้อง
วิชัย แว่น ซัน ต้อนเด็กสาวทั้ง 5 ขึ้นรถตู้ไป มีคณาขึ้นหลังสุด และแอบมองหากลับไปทางตลาดหาทัพขันธ์กับสุนันทา แต่ไม่ทันที่จะเห็นอะไร แว่นก็เดินมาบังทางสายตา ต้อนทุกคนขึ้นรถไปซะก่อน
ชั่วอึดใจ รถตู้ขับกลับออกไปจากตลาด ทัพขันธ์และสุนันทายืนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง จับตามองตามรถตู้ไป
"คุณมี่คงสบายใจแล้วล่ะที่ได้เห็นหน้าเราสองคนW
"ค่ะ นี่น้องมี่คงกังวลอยู่ว่าพวกเราจะตามเธอมาทันมั้ย... ได้เห็นน้องมี่ปลอดภัยแบบนี้แล้วค่อยสบายใจขึ้นหน่อย"
"ยังซิ ยังไม่ถึงร้านเลย"
"อ้าว ไม่ใช่ที่นี่อีกเรอะ"
"ยัง...คิดว่าน่าจะเดินทางต่อคืนนี้ล่ะ หลังจากนี้แหละ นรกมีจริง"
ทัพขันธ์สีหน้ามีกังวลๆ ขึ้นมา เช่นเดียวกับสุนันทาที่อดห่วงมีคณาไม่ได้
ผ่านเวลาซักครู่ ทุกคนกลับเข้าห้องพักมา สาวๆ คนเก่านอนเล่นบ้าง นอนอ่านหนังสือดารากันอย่างเอกเขนก ทั้ง 5 แยกย้ายกลับฟูกของตนเพื่อพักผ่อน เอ๋บ่นๆ พลางค้นหากล้องในกระเป๋าเสื้อผ้าไป
"เสียดายลืมเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย"
มีคณามองกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง เห็นบางอย่างผิดสังเกต จึงเปิดกระเป๋าตรวจดู เห็นกระบอกไฟฉาย แปรงผม และลิปสติกยังอยู่ครบ ก็มีสีหน้าโล่งอก แต่เอ๋กลับหากล้องไม่เจอ
"กล้องเอ๋หายไปไหนก็ไม่รู้"
มีคณา และก๊วนหันไปมองเอ๋ที่รื้อค้นเป็นการใหญ่
"เจอมั้ย" อ้อยถาม
"ไม่มี"
"พี่เอ๋เอาไปลืมไว้ข้างล่างรึเปล่า"พุดถาม
“เปล่า พี่ไม่ได้เอาลงไป ใส่ไว้ในช่องนี้แหละ”
มีคณาเหลือบตามองสาวๆ อื่นในห้อง...ทุกคนไม่ได้ใส่ใจ ยังคงทำกิจกรรมของตัวเองไป
“ลองหาดูดีๆ อีกทีซิเอ๋”
เอ๋ค้นหาใหม่อีกครั้ง หน้าเริ่มเบะจะร้องไห้ มีคณามีสีหน้าคิดไตร่ตรองหาสาเหตุที่กล้องหาย ซึ่งเดาได้ไม่ยาก
ผ่านเวลาเล็กน้อย มีคณาพาเอ๋ที่ร้องไห้เสียดายของมาพบกับเจ๊แอ๊ดที่โถงบ้าน
“เธอเอามาแน่เรอะ ไม่ใช่ลืมไว้ที่บ้านแล้วมาเอะอะว่าหายที่นี่หรอกนะ”
“เอ๋เอามาแน่ๆ ค่ะ ยังถ่ายเล่นกับทุกคนอยู่เลย พี่มี่เป็นพยานได้”
“เอ๋เอามาจริงๆค่ะ มี่เห็นเอ๋เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า”
“แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว เอ๋ยืมเค้ามาด้วย ไม่ใช่กล้องของเอ๋ เอ๋จะทำยังไงดี” เอ๋พูดพลางร้องไห้
เจ๊แอ๊ดทำสีหน้าเบื่อหน่าย
“เด็กสมัยนี้นี่น๊า รู้ว่าตัวเองมีของมีค่าแล้วไม่รู้จักระวัง ไม่รู้จักติดตัวไว้ตลอด พอหายขึ้นมาก็เอะอะโวยวาย”
เอ๋น้ำตาซึม
“เอ๋ขอโทษค่ะที่ไม่ได้ระวัง เอ๋ไม่นึกว่าของอยู่ในบ้านเจ๊จะหายได้”
เจ๊แอ๊ดชายหางตาทิ้งค้อนเล็กน้อย เอ๋ยกมือไหว้
“เอ๋ไหว้ล่ะค่ะเจ๊ เจ๊ช่วยหากล้องมาคืนเอ๋ได้มั้ยคะ กล้องเป็นของเพื่อน มันย้ำนักย้ำหาว่าอย่าให้หาย”
“เจ๊จะไปจับมือใครดมได้ล่ะ บ้านนี้คนอยู่ตั้งเยอะแยะ เจ๊ช่วยอะไรไม่ได้หรอก หมดธุระแล้วใช่มั้ย เจ๊จะได้ไปทำงานทำการต่อ” เจ๊แอ๊ดตวาด ตัดบท เดินหัวเสียออกไปทางหน้าบ้าน
เอ๋เช็ดน้ำตาไปมา
“ไม่เป็นไรหรอกเอ๋ คิดซะว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน ต่อไปก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ ส่วนกล้องเดี๋ยวเรามีเงินก็ซื้อใหม่ได้ อย่าไปเสียดายอะไรเลยนะ” มีคณาปลอบ
เอ๋พยักหน้ารับให้มีคณาโอบเอวขึ้นบ้านไป มีคณาชำเลืองมองหน้าเอ๋... สาวน้อยใสซื่อด้วยความรู้สึกสงสาร เพราะยังมีเรื่องเลวร้ายกว่านี้รอเธออยู่
บ้านเจ๊แอ๊ดตอนหัวค่ำ มีคณา เอ๋ น้ำผึ้ง พุด และอ้อย ...ช่วยงานในครัวประมาณยกจาน เทเศษอาหารทิ้งขยะ ล้างจานด้วยน้ำยา ล้างจานน้ำเปล่า เช็ดจานคว่ำช่วยเหลือกันไป น้ำผึ้งบ่นๆ
“ที่นี่กินข้าวกันยังกะแร้งลง น่าเกลียดจริงๆ”
“เค้าให้กินฟรีก็งี้แหละ” เอ๋บอก
วิชัยเดินเข้ามาในครัว ยิ้มกระเซ้า
“ล้างจานฝึกมือเอาไว้แบบนี้น่ะดีแล้ว ไปถึงร้านเค้า ถามว่าเคยมีประสบการณ์มั้ย จะได้ตอบได้เต็มปาก”
ทุกคนก็ยิ้มๆ รับ
“เดี๋ยวล้างจานเสร็จก็ขึ้นไปนอนพักเอาแรง หรือจะอาบน้ำเก็บเสื้อผ้าเลยก็ตามใจนะ”
“เก็บเสื้อผ้าไปไหนคะ” มีคณาถาม
“ก็เดินทางไปร้านอาหารน่ะสิ ร้านยังอยู่อีกไกลเลย” วิชัยบอก
“เดินทางกลางคืนเลยเหรอคะ”
วิชัยดูนาฬิกาข้อมือ
“ใช่ จะได้ไม่ร้อน...เดี๋ยวซัก 3 ทุ่ม เจอกันที่หน้าบ้าน เก็บของให้ครบ เราจะไม่ย้อนกลับมาบ้านเจ๊แอ๊ดอีกแล้ว”
วิชัยเดินนำกลับออกไป สาวๆ ก็รีบทำงานไปคุยกันไป
“เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำก่อน” พุดบอก
“ฉันไม่อาบหรอก ค่อยไปอาบที่โน่นก่อนนอนเลย” อ้อยว่า
เอ๋ยิ้มๆ พูดอย่างอ่อนโลก
“ร้านอาหารต้องสวยแน่ๆ เลยเนอะ ไม่งั้นไม่ตั้งอยู่แหล่งนักท่องเที่ยวหรอก ว่ามั้ยผึ้ง”
น้ำผึ้งยิ้มบางๆ ไม่ตอบอะไร ทำงานไป มีคณาชำเลืองมองเด็กสาวทั้งสี่ด้วยสีหน้าสงสารและเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะถอนใจยาวออกมาด้วยความหนักใจว่าจะช่วยเหลือเด็กสาวพวกนี้สำเร็จหรือไม่
เวลานัดหมาย 3 ทุ่ม ซันถอยรถเข้ามาจอดรอรับสาวๆ ที่หน้าตัวบ้าน วิชัยเดินคุม 5 สาวที่ขนสัมภาระเดินออกมาจากตัวบ้าน แว่นและซันช่วยไปรับกระเป๋าสัมภาระขนมาใส่หลังรถ
“เราต้องเดินทางไปอีกไกลรึเปล่า” มีคณาถาม
“จะว่าไกลก็ไกลจะว่าใกล้ก็ใกล้” วิชัยว่า
“ตกลงว่าไกลหรือใกล้กันแน่คะ เอ๋งง”
“เดี๋ยวก็รู้...”
มีคณาเดินเอากระเป๋าสัมภาระไปเก็บ
“ขึ้นรถเร็วๆ เราต้องเดินทางอีกหลายชั่วโมง”
ซันขึ้นไปประจำตำแหน่งคนขับ แว่นต้อนสาวๆ ขึ้นรถ
โทรศัพท์วิชัยดังขัดขึ้นมา...วิชัยกดรับ
“กำลังจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้แล้วล่ะครับ” วิชัยฟังก่อนตอบกลับไป
“ส่งแค่ลงเรือพอนะ”
มีคณาที่กำลังจะขึ้นรถตู้เป็นคนสุดท้าย แอบได้ยินพอดี ก็มีสีหน้าตกใจเหมือนกัน คิดในใจมีลงเรือด้วยเหรอ !? แว่นต้อนเธอให้รีบขึ้นรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่วิชัยสีหน้าเครียดเดินคุยมือถือห่างออกไป เธอขึ้นไปนั่งในรถตู้ แว่นปิดประตูรถทันที
มีคณาหันมองออกมานอกรถ สีหน้าแววตาดูกังวลปนกลัวขึ้นมาเหมือนกัน พวกนี้กำลังจะพาตนไปไหนแล้วทัพขันธ์กับสุนันทาจะตามไปถูกรึเปล่า
ผ่านเวลาพักใหญ่ รถตู้วิ่งมาตามถนนใหญ่ตอนกลางคืน ไม่นานก็หักเลี้ยวเบี่ยงลงทางลาดยางเล็กๆ
มีคณาสอดส่ายสายตามองเส้นทางข้างนอก พยายามจะจดจำเส้นทาง แต่ค่อนข้างมืด เห็นอะไรไม่ถนัดนัก
สาวในรถหลายคนหลับไปแล้ว เหลือน้ำผึ้งที่นั่งหน้านิ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง
รถตู้หักเลี้ยวอีกครั้งไปทางบนถนนลูกรังหยาบๆ จนรถสะเทือน มีคณาพยายามมองออกไปแต่ก็มืดมาก
ถนนลึกลับคดเคี้ยวขนาดนี้ สร้างความกังวลใจให้เธอไม่น้อยเลย
แว่นหันมามองสำรวจความเรียบร้อย เห็นมีคณาไม่หลับมองไปนอกรถ เธอปั้นหน้ายิ้มให้ แว่นมองเธอนิ่งแล้วหันกลับไป เธอเครียด กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องบีบมือตัวเองไปมา
ในเวลาเดียวกัน สันติลากกระเป๋าเดินทางของหิรัณย์กลับเข้าโถงบ้านมา วันทนีย์ยิ้มแย้มยกมือไหว้นำมาทันที
“สวัสดีค่ะพี่รัน ของฝากล่ะคะ”
“เจอหน้าก็ถามหาของฝากเลยนะ วันเปิดหาเอาเลย ถุงบนสุด อย่ารื้อถุงอื่น เจอกางเกงในไม่รู้ด้วย”
“แหวะ”
สันติมานั่งรอวันทนีย์เปิดกระเป๋า สีหน้าลุ้นๆอยากได้เหมือนกัน กัลยาเดินออกมาจากในครัว หิรัณย์ยกมือไหว้
“สวัสดีครับแม่”
หิรัณย์เข้าไปสวมกอดกับแม่เอาไว้
“กินอะไรมารึยังลูก”
หิรัณย์ยิ้มอ้อน
“ไม่น่าถาม”
“เดี๋ยวแม่ไปอุ่นอาหารให้ เอ่อ แล้วเรื่องหนูมี่คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” กัลยาถาม
หิรัณย์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ปิดมือถือหนีหายไปเลยครับ ผมพยายามติดต่อคุณบัว ตั้งแต่ลงจากสนามบินแล้ว รายนั้นก็ไม่ยอมรับสายเลย”
“ใจเย็นๆ ลูก อาจจะไม่มีอะไรก็ได้... ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายใจก่อน เดี๋ยวค่อยลงมาทานข้าว” กัลยาเดินกลับไปเข้าครัว
หิรัณย์เดินเลี่ยงไปนั่งที่มุมหนึ่งของบ้าน กดโทรศัพท์มือถือหาสุนันทาอีกครั้ง
เกินความความหมาย ครั้งนี้ !! สุนันทารับสาย หิรัณย์ดีใจมาก จนดีดตัวลุกขึ้นยืนคุย
“คุณบัวไม่ยอมรับสายผมเลย”
“ขอโทษทีค่ะสารวัตร บัวเปลี่ยนไปใช้มือถืออีกเครื่องแทนเพื่อความปลอดภัยของน้องมี่น่ะค่ะ เลยไม่ทันได้ดู”
“ตอนนี้คุณมี่อยู่ไหนครับ สถานการณ์ไปถึงไหนแล้ว” หิรัณย์ถามอย่างร้อนใจ เมื่อเขาฟังอีกฝ่ายก็อดเครียดกว่าเดิมไม่ได้ ถามตบท้ายสุนันทาว่า
“ถ้าผมจะขึ้นเครื่องไปคืนนี้เลย ไปลงที่ไหนใกล้สุดครับ”
หิรัณย์สีหน้าเป็นห่วงมีคณา
ผ่านเวลาพักใหญ่ รถตู้วิ่งเข้ามาจอดที่ใต้ถุนบ้านไม้หยาบๆ หลังหนึ่ง มีคณาพยายามมองออกไปนอกรถ
เห็นชายวัย 50 รูปร่างผอมเกร็ง ผิวคล้ำ ท่าทางดุ แววตาหลุกหลิก ลงจากบ้านมาหา วิชัยลงจากรถ ยกมือไหว้และคุยด้วย
“หวัดดีป๋า”
“เออ คราวนี้ 5 เหรอ”
“ใช่ เท่าเดิมนะป๋า ครึ่งนึงก่อน กลับมาปลอดภัยอีกครึ่ง”
ป๋าหน้านิ่ง รับทราบถาม
“นัดทางโน้นไว้กี่โมงล่ะ”
“ราวๆนี้แหละป๋า ป่านนี้คงเอารถมาซุ่มรออยู่แล้ว”
“งั้นก็รีบไป อยู่นานเดี๋ยวใครมันจะสงสัยเอา”
วิชัยเดินไปเคาะกระจกรถตู้ แว่นค่อยๆเปิดประตูรถตู้ออกมา ป๋ามองสำรวจสาวๆราวเช็กสินค้าในรถ
“รีบไปเอากระเป๋าลงมา ต้องไปลงเรือต่ออีกทอด” วิชัยบอก
แว่นและซันช่วยไปขนสัมภาระมาให้สาวๆ
“ตามมาทางนี้เลย”
วิชัยพาสาวๆ เดินทะลุใต้ถุนบ้านไปทางหลังบ้าน ป๋ามองสำรวจสาวๆ ด้วยสายตากระลิ้มกระเหลี่ย
มีคณานึกรังเกียจ แต่พยายามสะกดอารมณ์และอาการเอาไว้ แล้วเดินตามวิชัยไป
แว่นเดินนำสาวๆ ผ่านสวนหลังบ้าน เลยไปยังป่าไผ่ พ้นป่าไผ่ก็เป็นเนินสูงเพื่อลงไปที่ริมคลอง ทางนั้นค่อนข้างลื่นและชัน สาวๆ กรี๊ดกร๊าดกันสนุกสนานประสาเด็กสาววัยรุ่น โดยเฉพาะพุดกับอ้อยที่อายุน้อยสุด
“เงียบๆ หน่อยสิ เดี๋ยวชาวบ้านเค้าก็ออกมาด่าเอาหรอก” วิชัยปราม
เด็กสาวดูจ๋อยๆ ไป แต่ก็ยังปิดปากหัวเราะกันคิกคัก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า จะไม่มีเงาหัวอยู่แล้ว มีคณาพยายามจะจำเส้นทางให้ได้ ก่อนจะกล่าวถามวิชัยกลับไปว่า
“ต้องข้ามฟากไปฝั่งโน้นเหรอ”
“อืม...”
“ร้านอาหารอะไรถึงได้อยู่ไกลหูไกลตาขนาดนี้” มีคณาว่า
วิชัยยิ้มทิ้งเลศนัยไว้
“ลูกค้าเยอะก็แล้วกันน่ะ รับแขกกันไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะ”
วิชัยแล้วเดินนำไป มีคณาสีหน้านิ่งเครียด ซันเดินตามปิดท้ายจี้เร่งมีคณา
“เดินเร็วๆ สิ อ้อยสร้อยอยู่ได้”
มีคณาสะดุ้งเล็กน้อย รีบเดินตามวิชัยไป
มีคณาเห็นเรือพายขนาดเล็กจอดเทียบท่าอยู่ มีคนพายเรือพร้อม แว่นนำพุด อ้อย น้ำผึ้งและเอ๋มาถึงริมท่า เธอหยุดยืนมอง ใจเต้นตึกตัก รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก คิดในใจว่า สถานที่นี้ยากที่ใครจะตามถูก ซันดันหลังเร่งเธอแรงๆ
“เดินไปซิ ชักช้าอยู่คนเดียวนี่ล่ะ”
เธอกระชับสัมภาระในมือแล้วเดินตามไปรวมกับทุกคนที่ท่าน้ำ
“พุด อ้อย น้ำผึ้ง ลงเรือก่อน” วิชัยบอก
แว่นช่วยจับเรือให้ สามสาวทยอยเดินลงเรือไป วิชัยสั่งอีก
“นอนราบไปท้องเรือเลย”
“ทำไมต้องนอนด้วยล่ะ” มีคณาถาม
วิชัยหันมากวน
“แล้วทำไมต้องนั่งด้วยล่ะ อย่าปัญหามากนักเลย”
“ใช่ พี่เค้าสั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวดีเอง” ซันทำตาดุใส่
มีคณาเงียบกริบไป … พุด อ้อยและน้ำผึ้ง ลงไปนอนเรียงกันที่กลางลำเรือ วิชัยและแว่นช่วยกันเอาผ้าใบสีดำจากในเรือคลุมทั้งสามคนจนมิด!! มีคณาและเอ๋หันมาสบตากัน สัมผัสได้ถึงความกลัวในใจของทั้งคู่ พุดกับอ้อยยังหัวเราะกันคิกคักใต้ผ้าใบ ในอารมณ์สนุกได้ผจญภัย วิชัยส่งต้องดุบอก
“เงียบๆหน่อย ไม่อยากถูกจับก็รีบหุบปากเลย”
เสียงหัวเราะคิกคักเงียบกริบไป วิชัยกับแว่นก้าวลงเรือไปด้วยเพื่อคุม คนเรือค่อยๆ พายเรือออกไป
เธอจับตามองตามเรือที่พายไป กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เรือพายค่อยๆพายข้ามคลองไปอย่างช้าๆ ฝ่าความมืดไป แสงไฟจากคบไฟที่ฝั่งตรงข้ามบอกเป้าหมายที่เรือจะไปจอดเทียบท่า วิชัยและแว่นสอดส่ายสายตามองไปรอบอย่างระแวดระวัง
ซันนั่งคุมเชิงมีคณาและเอ๋อยู่ที่ด้านหลัง ทั้งคู่ยืนถือกระเป๋าสัมภาระยืนคู่กันที่ท่าน้ำ ทั้งคู่ต่างเงียบกริบ ในใจเต้นระรัว ความกลัวแล่นเข้าจับใจจนคิดจะหนี เธฮชำเลืองมองไปทางซันที่นั่งกอดอกนิ่ง
เธอใช้ความคิดแล้วมองไปที่คลองตรงหน้า คิดในใจว่า ถ้าว่ายน้ำหนีตอนนี้จะพ้นมั้ย ก่อนชำเลืองมองเอ๋ ที่ชะเง้อมองไปทางฝั่งตรงข้าม สีหน้าหวาดกลัว
ขณะที่มีคณาตัดสินใจเอาตัวรอด ค่อยๆ วางสัมภาระลงข้างๆ ลงอย่างช้าไม่ให้ผิดสังเกต … เธอรวมความกล้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตั้งท่าจะกระโดดว่ายน้ำหนีตาย
ขณะนั้นเอง เอ๋ปาดมือที่เย็นเฉียบมาจับมือมีคณาไว้ เธอสะดุ้งเฮือกปนตกใจ
“เอ๋กลัวจังเลยพี่มี่”
มีคณาชำเลืองมองหน้าเอ๋ แววตารู้สึกผิดและสงสารระคนกัน เอ๋น้ำตารื้นๆ บอก
“แปลกจังเลย อยู่ๆ ทำไมเอ๋รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาก็ไม่รู้ ใจมันสั่น กลัวขึ้นมาเฉยๆ”
มีคณาน้ำตาคลอ ๆ รู้สึกเช่นกัน บีบมือเอ๋ไว้แน่น
“ตอนมาก็ตั้งใจว่า จะต้องทำงานหาเงินให้ได้ซักก้อน พ่อกับแม่จะได้ไม่เดือดร้อนเรื่องค่าเรียนของเอ๋ ของน้อง”
มีคณาก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิด น้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมา
“พี่มี่ พี่กลัวรึเปล่า”
มีคณาน้ำตาร่วงผล๋อย
“พี่ขอโทษนะเอ๋ ความกลัวเกือบทำให้พี่เป็นคนเห็นแก่ตัว ทิ้งความตั้งใจซะแล้ว”
เอ๋ได้แต่ฟังคำพูดของเธออย่างงงๆ ไม่เข้าใจ ซันลุกขึ้นมาบอก
“เอ้า เตรียมตัว เรือวนกลับมาแล้ว”
มีคณาและเอ๋ใจหายวูบอย่างบอกไม่ถูก ทั้งคู่บีบมือกันแน่น ทอดสายตามองไปที่เรือซุ้งกำลังพายกลับมารับทั้งคู่ น้ำตาของมีคณาค่อยๆ ไหลซึมออกมาอย่างกลัวจับใจ
ผ่านเวลาซักครู่ วิชัยและแว่นนั่งคุมเรือพายกลับข้ามฝั่งมาอีกรอบ ภายใต้บรรยากาศเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงพายแหวกน้ำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มีคณาและเอ๋ที่นอนอยู่ใต้ผ้าพลาสติกสีดำ ทั้งคู่หวาดกลัวจับมือกันแน่น
ไม่รู้ว่า มีอะไรกำลังรอพวกตนอยู่ที่อีกฝั่งของคลอง
พุดและอ้อยนั่งอยู่ท้ายกระบะคันหนึ่งที่จอดซุ่มรออยู่อีกฝั่งของคลอง รถกระบะคันนั้นทำหลังคามิดชิด มีคนงานชายเฝ้าพุดและอ้อยอยู่ น้ำผึ้งนั่งหน้านิ่งอยู่ที่เบาะหน้าข้างคนขับ
วิชัยและแว่นเดินคุมมีคณาและเอ๋มาส่งที่รถกระบะ
“5 คนครบแล้ว” วิชัยบอก
ชายไว้หนวดชื่อ ทง เดินหน้าเข้มเข้ามามองหน้ามีคณาและเอ๋
“หน้าตาท่าทางดีทุกคน นายคงพอใจ”
เอ๋รู้มึกทะแม่งๆ ชำเลืองมองหน้ามีคณาที่กำลังใช้ความคิดหาทางช่วยทุกคนอยู่ตลอดเวลา
วิชัยคุยโอ่บอก
“ฝีมือระดับนี้แล้วไม่ต้องห่วง”
“พาไปขึ้นรถได้แล้ว” ทงบอก
แว่นพามีคณาและเอ๋ไปขึ้นกระบะท้ายรถที่มีพุดกับอ้อยนั่งอยู่ก่อนแล้ว ทงยื่นซองสีน้ำตาลให้วิชัย โดยไม่ได้เปิดซองเช็กเพราะไว้ใจกัน
“เรียบร้อยแล้ว ผมไปล่ะ ไม่อยากโอ้เอ้ ไว้ค่อยเจอกัน”
ทงตบบ่าวิชัยแทนคำขอบใจ
สาวๆ ทั้ง 5 มองมาทางวิชัยและแว่น จ่างใจหายวูบที่ถูกทิ้ง วิชัยยิ้มเย้ยสาวๆ
“บ๊ายบายสาว ๆ โชคดีนะคนสวย”
วิชัยและแว่นขำๆ ให้กันเล็กน้อยก่อนเดินกลับไปทางท่าเรือ
“ไป ออกเดินทาง” ทงเดินไปขึ้นรถที่ด้านหน้าประกบผึ้งเอาไว้ ท้ายรถกระบะมีคนงานนั่งคุมอีก 2 คน
คนงาน1 ข่มขู่กำราบสาวๆ เอาไว้
“เงียบๆ ไว้ล่ะ ส่งเสียงดัง ตำรวจจับได้ติดคุกกันหมดนี่ล่ะ”
เอ๋ พุด และอ้อยมีสีหน้างงๆ ทำไมต้องติดคุกด้วย มีคณารู้ว่า พวกนี้หมายถึงอะไร
“ทำไมต้องติดคุกด้วย พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด” เอ๋บอก
คนงานชายทั้งคู่มองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะออกมา เอ๋ พูด อ้อย หันไปมองอย่างงงๆ
รถกระบะคันนั้นแล่นออกไปยังที่เปลี่ยวมืด มีคณาสีหน้าหนักใจมากขึ้นทุกที กวาดตามองหาทัพขันธ์และสุนันทา รวมทั้งจดจำเส้นทางเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ผ่านเวลาหลายชั่วโมง รถกระบะขนสาวๆ ขับเข้ามาในชุมชนเงียบๆ แห่งหนึ่ง มีคณาพยายามมองและจดจำทุกเส้นทางเอาไว้ เผื่อหนีจะได้ไม่หลง รถคันนั้นเลี้ยวไปเลี้ยวมาอย่างวกวนก่อนถึงบ้านหลังใหญ่ในชุมชน ที่มีรั้วรอบขอบชิด บ้านหลังนี้รั้วสูง มีลวดหนามต่อกำแพงรั้วสูงขึ้นไปอีก
ประตูบ้านเปิดออก รถกระบะวิ่งเข้าไปในบ้าน มีคณาสีหน้าตื่นกลัว ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก
รถกระบะแล่นเข้ามา จอดต่อท้ายรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาจอดก่อนหน้าเพียงอึดใจ
คนในรถรถยนต์กันทยอยลงมา มีผู้ชายหน้าเข้ม 2 คน กับหญิงสาวหน้าตาอิดโรยอีก 3 คน
สาวๆ ทั้ง5 และผู้ชายคนอื่นๆต่างลงจากรถกระบะเช่นเดียวกัน
ทันทีที่เอ๋ลงมาก็จำผู้หญิงคนหนึ่งจากรถคันหน้าได้
“พี่ปุ๊ก”
ปุ๊กหันมาตามเสียง ก็ตกใจมากที่เห็นรุ่นน้อง เอ๋ทำหน้าเบะแล้วร้องโฮออกมาเลย
“ไอ้เอ๋ แกมาทำไม รู้รึเปล่าเค้าหลอกแกมาขายตัว”
พุด อ้อย เอ๋ ตกใจมาก ส่วนมีคณาและน้ำผึ้งเฉยๆ เหมือนรู้ตัวอยู่แล้ว มีคณาแปลกใจชำเลืองท่าทีของน้ำผึ้งที่ไม่ได้ยินดี ยินร้าย
“พูดมากนักนะอีปุ๊ก กลับเข้าบ้านไปเลยมึง” ทงบอก
“จริงเหรอพี่ เอ๋ไม่อยากขายตัว”
เอ๋หันซ้ายหันขวาวิ่งตะบึงหนีไปทางประตู มีคณาตกใจ รีบตะโกนเรียก
“เอ๋”
คนงานชายรีบวิ่งตามไปจับตัวเอ๋เอาไว้
“ปล่อยนะ หนูมาทำงานร้านอาหาร หนูไม่ได้มาขายตัว”
ทงสีหน้าดุดัน
“เอ็งไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ ต้องทำงานใช้หนี้ให้หมดถึงจะกลับได้”
“หนูไม่เคยเป็นหนี้ใคร หนูไม่ได้เอาเงินใครมา หนูไหว้ล่ะ ปล่อยหนูไปเถอะ” เอ๋พูดพลางยกมือไหว้
“เอ๊ะนังนี่ พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ เอ็งทั้ง 5 คนไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ต้องทำงานอยู่ที่นี่ เถ้าแก่จ่ายเงินค่าตัวพวกแกไปหมดแล้ว”
พุดกลัวจนจับมืออ้อยแน่น น้ำผึ้งถอนใจ มีสีหน้าเห็นใจเอ๋ มีคณาจับตาเป็นห่วงเอ๋ กลัวโดนทำร้ายร่างกาย แอบเปิดกระเป๋าสัมภาระช้าๆ อย่างไม่ให้ใครผิดสังเกต เตรียมหยิบที่ช็อตไฟฟ้าในรูปกระบอกไฟฉายออกมา หากเกิดเหตุจำเป็น
เอ๋ยังเถียงคอเป็นเอ็น
“หนูไม่เห็นได้เงินซักบาทเลย”
“ก็เถ้าแก่จ่ายให้นายหน้าไปแล้ว แล้วยังค่ารถค่าเดินทางมาที่นี่อีกล่ะ ยังจะบอกว่าไม่ได้เงินอีกเรอะ”
เอ๋อึ้งไป พูดและยกมือไหว้ ร้องไห้ขอร้อง
“เงินเท่าไหร่ หนูจะใช้คืนให้ ส่งหนูกลับบ้านเถอะนะ นึกว่าสงสารหนูเถอะ”
มีคณาสงสารเอ๋จับใจ มือกำเครื่องช็อตกระบอกไฟฉายในกระเป๋าสัมภาระเอาไว้แน่น
“3 หมื่น มีจ่ายคืนให้มั้ยล่ะ”
เอ๋ตกใจมากฃ
“ตั้ง 3 หมื่น แบบนี้มันหลอกลวงกันชัดๆ ไม่เอา หนูไม่อยู่ที่นี่ พี่ปุ๊กช่วยเอ๋ที เอ๋จะกลับบ้าน ช่วยด้วย” เอ๋แผดเสียง ตะโกนลั่น
ทงตรงเข้าไปใช้หลังมือตบใส่หน้าเอ๋
เสียงกรีดร้องของเอ๋ ที่เจ็บกายและเจ็บใจดังเข้ามาถึงโถงบ้าน … ธิดา ที่รูปร่างดูผอมโทรม แก่กร้านกว่าวัย อยู่ในชุดนอนเดินหัวฟูออกมาจากด้านใน ลูกน้องเถ้าแก่ยืนมองอยู่ที่หน้าระเบียง
“เสียงเอะอะไรอะไร”
ลูกน้องรีบเข้ามารายงาน
“เด็กใหม่ไม่ยอมทำงาน จะกลับบ้านท่าเดียวเลย”
ธิดาถอนใจส่ายหน้าเดินออกไปสงบเหตุการณ์
มีคณาจะเข้าไปช่วย แต่น้ำผึ้งจับแขน ส่ายหน้าตัวเองเล็กน้อยมีคณาดึงเอาไว้ เธอเลยชะงักเสียจังหวะ
ปุ๊กทนเห็นรุ่นน้องถูกทำร้ายไม่ไหวก็วิ่งไปขวางทงไว้ ที่ดูโกรธจัด ส่วนเอ๋ถูกตบ ล้มอยู่กับพื้นร้องไห้
ปุ๊กยกมือไหว้
“พอแล้วพี่ สงสารเด็กมันเถอะ มันเพิ่งมา ไม่รู้อะไร”
“มาใหม่ไม่รู้อะไรก็ต้องสอนให้รู้ไว้ จะได้เป็นเยี่ยงอย่าง พวกแกดูเอาไว้นะ มาถึงที่นี่แล้วก็ต้องทำงานใช้หนี้ ใครคิดจะตุกติก จะหนีจะเบี้ยวที่นี่ไม่เลี้ยง ที่อีนังนี่โดนไปยังเบาะๆ กูจะบอกให้รู้ไว้ รอบบ้านนี่มีแต่ศพทั้งนั้น”
พุด อ้อย และน้ำผึ้งตกใจกลัวกันมาก มีคณามีสีหน้านิ่ง รับฟังสะกดความเกลียดชังเอาไว้ให้อยู่
“ใครดื้อก็เหยียบตายแล้วฝังไว้ที่นี่แหละ ไม่ต้องกลับบ้านหรอก แต่ถ้าใครเชื่อฟัง อีกไม่นานจะมีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนส่งกลับบ้าน พอเถ้าแก่อนุญาตให้กลับบ้าน พวกเอ็งจะมีทองหยองใส่ไปอวดเพื่อนๆ เลือกเอาแล้วกันว่า พวกแกอยากอยู่ในบ้าน หรืออยู่ในดินนอกบ้าน”
พุด อ้อย และน้ำผึ้ง กลัวกันจนหัวหดหมดแล้ว
ธิดาเดินหน้าหงิกงอออกมา
“เสียงเอะอะไรกัน”
ทุกคนหันไปมองธิดา
“ก็นังเด็กนี่น่ะสิ พอนังปุ๊กบอกเข้าหน่อยว่าต้องรับแขก ก็แหกปากโวยวายร้องให้คนช่วย จะกลับบ้าน ฉันก็เลยต้องปิดปากไว้ก่อน”
“นังปุ๊กก็จริงๆเลย ไปรีบบอกเด็กมันทำไม มันเพิ่งจะมาถึงเอะอะเสียงดังยังงี้เดี๋ยวได้เป็นเรื่องหรอก”
“พี่ดาจะให้หนูทำยังไงล่ะคะ เอ๋มันเพื่อนรุ่นน้อง เห็นหน้ามันหนูก็ตกใจ เวทนามันด้วยที่ถูกหลอกมาขาย หนูก็เลยบอก”
“หลอกเหลิกอะไรกัน โตขนาดนี้เค้าพาจากเหนือมาใต้ ไม่เอะใจอะไรมั่งเลยเรอะ”
เอ๋ อ้อนวอนธิดาทั้งน้ำตา
“เค้าหลอกหนู หนูไม่รู้จริงๆ ว่าหนูต้องมาขายตัว พี่จ๋า พี่ช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากอยู่แล้ว หนูอยากกลับบ้าน”
สายตาธิดามีแววเวทนาเหลือบตามองเอ๋ มีคณาจับสังเกตสายตาของหญิงคนนี้ ธิดารีบตัดอารมณ์ตัวเอง
“โอ๊ย นังหนูเอ๊ย ปัญญาช่วยตัวเองยังไม่มีเลย ฉันจะไปช่วยใครได้ เอาเถอะ วันนี้ดึกแล้ว จะเช้าอยู่แล้วด้วย ไปพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน ส่วนไอ้เรื่องคิดหนีน่ะ บอกตรงๆ อย่าคิดเลย เปลืองชีวิตเปล่าๆ”
มีคณานิ่งไปอย่างรับฟัง อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองหาทางหนีทีไล่ แต่รั้วรอบขอบชิดมาก ท่าทางจะหนีลำบาก
“อ้าว นังปุ๊ก ยังเฉยอยู่ได้ พาน้องเราไปนอนซะสิ แล้วจำไว้ ทีหลังอย่าเอะอะ เถ้าแก่หลับอยู่ ถ้าแกตื่นขึ้นมามีหวังไม่ใครก็ใครได้เนื้อกระจุยกันมั่งล่ะ”
ปุ๊กบอกสาวๆ
“อ้ะ ตามฉันมา”
ยังไม่ทันทีที่ทุกคนจะขยับเขยื้อนตัว ถ้าแก่พิงวัย 40 เศษผิวขาว เจ้าเนื้อ ลูกครึ่งจีนก็เดินออกมาซะก่อน
“เอะอะอะไรกันธิดา”
มีคณาชะงักไปเล็กน้อยกับชื่อธิดา ใครก็ชื่อนี้ได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้นึกถึงญาติเธอ มีคณาจ้องธิดาอย่างจับสังเกต น่าจะใช่พี่สาวธำรงจริงๆ แต่ทำไมเธอดูแก่และโทรมจนจำแทบไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะเถ้าแก่ เด็กมันมาใหม่ ยังไม่รู้อะไร ทงมันก็เลยสั่งสอนไปนิดๆหน่อยๆ”
เถ้าแก่มองสาวๆ เด็กใหม่แล้วยิ้มให้น้ำผึ้ง
“ชื่ออะไรล่ะเรา”
น้ำผึ้งบอกด้วยท่าทีกลัว
“น้ำผึ้งจ้ะ”
เถ้าแก่ยิ้มพอใจ
“หน้าตายังงี้แขกคงติดตรึม แล้วเราล่ะชื่ออะไร”
เถ้าแก่ถามมีคณา เธอยังมัวแต่ช็อกแอบมองธิดาอยู่ จนน้ำผึ้งกระตุกมือเตือนเบาๆ
“เถ้าแก่ถามว่าชื่ออะไร”
มีคณาค่อยรู้ตัว
“ชื่อมี่”
ธิดาเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง เพ่งมองมาที่มีคณา
“ชื่อน่ารักดี” เถ้าแก่บอก
มีคณาจงใจพูดเน้นต่อและมองตรงไปที่ธิดาเพื่อจับสังเกต
“ ชื่อจริงว่ามีคณาค่ะ”
ธิดานิ่งงันไป กลับเป็นฝ่ายหลบสายตาแทน
เถ้าแก่มองไปที่เอ๋
“ต่อไปก็ทำตัวให้ดีๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว...ไป ไป เข้าบ้านไปพักผ่อนกันก่อน เดินทางมาเหนื่อยๆ”
ทงสั่งเด็กสาว
“ตามมา”
ปุ๊กมองเอ๋ก่อนถอนใจ แล้วเดินแยกไปก่อน สาวๆ ตามทงเข้าบ้านไป ทุกคนก็แยกย้าย
เถ้าแก่เดินยิ้มอารมณ์ดีตามหลังเข้าบ้านไป มีเพียงธิดาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่คนเดียว เหมือนเธอจะจำมีคณาได้เลือนๆ ฝ่ายมีคณาหันกลับมามองทางธิดาอีกครั้ง ฝ่ายธิดารีบทำไม่รู้ไม่ชี้หันมองไปทางอื่น จนมีคณาเดินเข้าบ้านไป
ธิดาหันมองตามมีคณาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ธิดาพึมพำ
“พี่มี่จริงๆ เรอะ”
ทงมาส่ง 5 สาวเข้าห้องพักเล็กๆ
“นอนซะ อย่าเอะอะ อย่าคิดหนี พรุ่งนี้อาจจะสำนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร”
พอสาวๆ เข้าไปในห้องจนหมด ชทงก็ปิดประตูล็อกกลอนจากข้างนอก พุดกับอ้อยทิ้งกระเป๋าสัมภาระแล้วกอดคอกันซุกนั่งร้องไห้อยู่มุมห้อง น้ำผึ้งตามไปปลอบ เอ๋เองก็ร้องไห้โฮออกมาอีก มีคณาเข้าปลอบ “ใจเย็นๆ นะเอ๋ อย่าเพิ่งกลัวไป พี่แน่ใจว่าเราต้องหนีออกไปจากที่นี่ได้แน่ๆ”
เอ๋ถามกลั้วสะอื้น
“จะหนีได้ยังไงล่ะพี่ พวกมันตั้งเยอะแยะ”
มีคณาช่วยซับน้ำตาให้
“ไม่ร้องไห้แล้วเอ๋ พี่บอกแล้วไงว่าเราต้องรอดไปได้ เชื่อพี่สิ”
พุดกับอ้อยก็ร้องไห้โฮขึ้นมาอีก น้ำผึ้งปลอบไม่สำเร็จก็ชักรำคาญขึ้นมา
“หลงมาแล้วนี่ หนีก็ไม่ได้ มัวร้องไห้จะมีประโยชน์อะไร”
น้ำผึ้งลุกพรวดขึ้น แล้วพูดต่อ
“กัดฟันทนทำไปเหอะ มันก็ได้เงินกลับบ้านเหมือนกันแหละ”
น้ำผึ้งคว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองไปนั่งอีกมุมห้อง เตรียมตัวนอนพัก เธอหันหลังให้ทุกคน
“ผึ้งรู้มาแต่แรกแล้วใช่มั้ยว่ามาทำงานอะไร”
น้ำผึ้งหน้าบึ้งๆ
“รู้ พ่อแม่รับเงินไปแล้ว”
เอ๋ถามทั้งน้ำตาปนเสียงสะอื้น
“แล้วทำไมไม่บอกพวกเรา”
น้ำผึ้งปั้นหน้าไม่แคร์
“ก็นึกว่ารู้เหมือนกัน” น้ำผึ้งขยับตัวนอนเข้ามุม ไม่สนใจจะพูดต่อ
มีคณาบีบไหล่เอ๋เบาๆ
“แยกย้ายกันนอนพักเอาแรงก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไรอีกมั่ง”
พุดกับอ้อยกอดคอกันร้องไห้เงียบๆ เอ๋ปาดน้ำตาไปมาแล้วเดินถือกระเป๋าสัมภาระไปนั่งซุกอีกมุมห้อง
มีคณาหันมองไปทางน้ำผึ้งที่นอนหันหลังให้ทุกคน เห็นแต่แผ่นหลังที่สั่นทะท้าน จริงๆ แล้ว เธอก็แอบร้องไห้อยู่
มีคณาได้แต่ถอนใจออกมา เดินไปที่หน้าต่างห้องที่ติดเหล็กดัดแน่นหนา เธอเขย่าดูหาทางเปิด ไม่มีวี่แววว่าจะทำได้เลย เธอชะเง้อมองออกไป บ่นพึมพำพลางถอนใจ
“พี่บัวจะตามมาถูกได้ยังไง”
รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าชุมชน ภายในรถ หิรัณย์นั่งหน้ามากับทัพขันธ์ สุนันทานั่งเบาะหลัง
หิรัณย์แต่งตัวกระชับรัดกุมพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ทุกคนก้าวลงมาจากรถ เขามองเข้าไปในชุมชน
“คุณโต้งแน่ใจเหรอครับว่าคุณมี่ถูกพามาที่นี่”
“ผมรู้จักที่นี่อยู่แล้วครับ ผมตามพวกมันมานาน มีสายพอสมควร แต่ไม่มีหลักฐานเล่นงานมันได้ซักที”
สุนันทาแอบต่อ ทิ้งค้อนใส่โต้งเล็กน้อย
“คุณโต้งก็เหลือเกินนะคะ ปล่อยให้ฉันตกใจเกือบตายตอนคลาดกับน้องมี่ ไม่ยอมบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าจะพามาที่นี่”
ทัพขันธ์ยิ้มบอก
“ถ้าไม่รู้ผมจะบอกให้สารวัตรลงสนามบินไหนถูกได้ยังไงล่ะครับคุณบัว”
“ก็บอกมาตรงๆ เลยสิคะ เวลายังงี้ใครจะไปคิดอะไรออก”
“ที่พวกมันพานั่งรถอ้อม ต้องข้ามน้ำข้ามคลองก็ต้องการไม่ให้จำแหล่งซ่องสุมของมันได้”
“ประมาณนั้นล่ะครับ มันทำงานเป็นขบวนการ กินกันหลายทอด พ่อแม่เด็กนั่นแหละที่ได้ค่าขายลูกกินน้อยที่สุด” ทัพขันธ์ส่ายหน้า รู้สึกเศร้าใจ
หิรัณย์กวาดตามอง
“แล้วบ้านหลังไหนที่กักตัวคุณมี่เอาไว้ล่ะครับ”
“ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับสารวัตร สายผมก็ไม่แน่ใจว่าบ้านหลังไหน แต่ผมเชื่อว่าถ้าถึงตาอับจนจริงๆ คุณมี่ต้องส่งสัญญาณบอกเราเอง”
“ถ้าน้องมี่อยู่ในชุมชนนี้จริงๆ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ตำรวจกำลังตามมาแล้ว มันยังไม่ทันได้ทำอันตรายอะไรน้องมี่หรอกค่ะ”
หิรัณย์ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เป็นห่วงมีคณามาก เดินชะเง้อมองเข้าไปในชุมชน
ผ่านเวลาพักใหญ่ ธิดาเดินหน้านิ่งมาหยุดที่หน้าห้องพักเล็กๆ ที่กักขัง 5 สาวเอาไว้ ทงนั่งเล่นหมากรุกเฝ้าเวรอยู่หน้าห้องกับลูกน้องอีกคน ทงเงยหน้ามอง
“ฉันจะมาพาเด็กใหม่คนนึงไปพบเถ้าแก่”
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ตอนนี้แหละ อย่ามาซักไซ้เสียเวลาเลย เปิดประตูเร็วๆเข้าเถอะ เถ้าแก่รอนานอารมณ์เสีย ฉันจะบอกว่าช้าที่แกนะ”
ทงรีบลุกไปเปิดประตูให้ ทันทีที่ประตูห้องเปิด เด็กสาวทุกคนดูตกใจกลัว หวาดผวา มีคณาดูนิ่งๆ พร้อมรับทุกสถานการณ์
“คนชื่อมี่ออกมา”
สาวคนอื่นตกใจปนห่วง
“จะพาพี่มี่ไปไหน” เอ๋ถาม
“ไปพบเถ้าแก่”
เอ๋สีหน้าร้อนใจ เป็นห่วงแทน
“ไปพบทำไม”
“ไม่ใช่เรื่องของหล่อน สวยน้อยกว่าก็รอคิวไปก่อนเถอะย่ะ ตามมาเร็วๆ”
ธิดาสะบัดหน้าพรืดเดินนำออกไป มีคณาลุกขึ้น เอ๋ร้องไห้ จับมือเธอเอาไว้
“พี่มี่”
มีคณายิ้มใจดีสู้เสือ จับมือเอ๋บีบเอาไว้
“ไม่มีอะไรหรอก”
ทงตะคอกเข้ามา
“เร็วๆ สิวะ ร่ำไรอยู่นั่นล่ะ”
มีคณาหน้านิ่งจะเดินออกไปจากห้อง แต่ไม่วายจะหยิบแปรงผมที่มีมีดพกซ่อนอยู่เหน็บเอวติดไปป้องกันตัวด้วย
“พี่มี่ - - ระวังตัวนะพี่”
เอ๋กับอ้อยพูดแค่นั้นแล้วร้องไห้ทั้ง 2 คน
“ไม่ต้องห่วงเค้าหรอก เค้าไปดี ไปสนุก”
ทงหัวเราะชอบใจ ปิดประตูห้องโครม ลงกลอน
พุดร้องไห้ถาม
“มันจะทำอะไรพี่มี่”
น้ำผึ้งสีหน้าเกลียดชังบอก
“เอาทำเมียมันน่ะสิ”
เอ๋ปล่อยโฮออกมา อ้อยและพุดประสานเสียงร้องไห้ออกมาอีก น้ำผึ้งยกมือขึ้นอุดหู ซุกตัวนอนต่อด้วยความรำคาญ
มีคณาเดินตามหลังธิดาไปติดๆ พอเดินเลี้ยวมุมบ้านไป แทนที่ธิดาจะพาไปห้องเถ้าแก่กลับพาเลี้ยวมาทางห้องเก็บของ
“เร็วๆ”
มีคณางงๆ เล็กน้อยก่อนรีบตามธิดาเข้าไปในห้องเก็บของ
ธิดารีบกดล็อกประตูห้องเก็บของทันทีหลังมีคณาเข้ามา มีคณาจ้องหน้า
“ธิดาจริงๆ ด้วย พี่จำเราเกือบไม่ได้”
“โทรม แก่ ไม่มีราศีเลยใช่มั้ย”
มีคณาเลือกที่จะเงียบ ธิดายักไหล่ จ้องหน้ามีคณา
“ทำไงได้ล่ะ ฉันก็เกือบจำพี่ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าพี่ไม่จงใจแนะนำตัวบอกฉันขนาดนั้น”
เธอนึกสงสารเห็นใจในโชคชะตาของน้องสาว
“ก็เราเจอกันนับครั้งได้”
ธิดาหลบตาเล็กน้อย ก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“พี่คงไม่ได้มาขายตัวที่นี่หรอกนะ”
มีคณาผงะไปเล็กน้อยกับคำถาม
“หรือว่ามาตามฉันกลับบ้าน”
“พี่มาทำข่าว พี่ตามข่าวเรื่องค้าผู้หญิงอยู่”
ธิดาอึ้งด้วยความตกใจมาก
“ทำข่าวเรอะ”
ตำรวจนอกเครื่องแบบกระจายกำลังไปตามซอยต่างๆ ของชุมชนเตรียมพร้อมทลายแหล่งซ่องสุมเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวที่ถูกหลอกมาขาย
ภายในห้องเก็บของ
“แล้วนี่พี่คิดว่าพี่ฉลาดนักรึไง ถึงได้ให้ไอ้พวกนายหน้าส่งมาที่นี่ รู้รึเปล่าว่าพี่ไม่มีทางหนี ถ้าพวกมันรู้ว่าพี่เป็นใคร คิดจะทำอะไร รับรองว่ามันเชือดทิ้ง ไม่ทันได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้แน่”
“รู้ แต่พี่คิดว่าพี่หาทางเอาตัวรอดได้”
ธิดาขำหยัน
“ต้องรอเทวดาลงมาโปรดแหละ ถึงจะรอดจากไอ้พวกนี้ได้”
“พี่มีวิธีก็แล้วกัน”
ธิดาเบะปากดูถูกก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“เฮอะ วิธีไหนก็หนีไม่พ้นหรอก...พ่อกับแม่เป็นยังไงมั่ง”
ธิดาสีหน้าแววตาเป็นห่วง
“เหมือนเดิม แม่ยังทำงานหนัก ส่วนน้าสมก็เมาเช้าเมาเย็นด่าทุกคน แม่ต้องทนรองมือรองทั้งน้าสมทั้งธำรง”
ธิดาสีหน้าสลดลง เธอเลื่อนมือไปจับกุมมือน้องสาวเอาไว้
“ดารู้มั้ย แม่คิดถึงเธอมาก แม่นึกว่าเธอตายไปแล้ว”
ธิดาแปลกใจ
“คิดว่าตายไปได้ยังไง ส่งเงินให้อยู่ทุกเดือน แค่ไม่ได้เขียนจดหมายตามไปด้วยเท่านั้นเอง เถ้าแก่เค้าไม่ยอม”
มีคณาตกใจปนแปลกใจ
“แม่กับน้าสมไม่เคยได้รับเงินจากเธอเลยซักบาท”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ฉันส่งเงินไปให้แม่ทุกเดือน เมื่อก่อนฉันส่งเดือนละหมื่นกว่า หลังๆ นี่แขกหายหัวหมด เถ้าแก่ต้องช่วยดูแลพวกสาวๆ เลยส่งให้ได้แค่เดือนละ 8 พัน”
“แม่ไม่เคยได้รับนะดา แม่เคยบอกพี่ว่าตั้งแต่เธอเลิกกับแฟนลงใต้มาครั้งสุดท้าย เธอไม่เคยส่งอะไรกลับบ้านอีกเลย”
ธิดาเข้าใจได้ทันที โกรธฉุนขาด
“ไอ้เถ้าแก่เฮงซวย มึงอมเงินกู หลอกให้กูทำงานฟรี ไอ้...”
มีคณารีบจุ๊ปากให้เงียบ
“มีเสียงคนอยู่หน้าห้อง”
ธิดารีบหุบปากสนิท หน้าซีดเผือดกลัวความผิด ถึงตายเลยงานนี้ มีคณาแอบฟังที่ข้างประตู
ลูกน้องเถ้าแก่เดินคุยโทรศัพท์มือถือกับสาวมาหยุดที่หน้าห้องเก็บของ
“คุยได้อีก 5 นาที พี่ต้องไปเปลี่ยนเวร เดี๋ยวโดนลูกพี่ด่า... ใครว่าไม่คิดถึงล่ะ”
ลูกน้องยืนพิงประตูห้องเก็บของคุยมือถือไปยิ้มแย้ม
หิรัณย์ ทัพขันธ์และสุนันทาตามตำรวจมาที่ซอยแยกหนึ่ง ทุกคนซุ่มรอจนกว่าจะมีสัญญาณการติดต่อของมีคณา
“พลุสัญญาณของคุณโต้งใช้การได้แน่นะคะ”
“ได้สิครับ เคยลองใช้มาแล้ว”
หิรัณย์สีหน้าเคือง น้ำเสียงแดกดันเล็กๆ
“อยู่ที่คนใช้มันมากกว่าครับ เค้าห่วงแต่จะหาข้อมูลไปทำข่าวให้ได้ จนลืมนึกไปว่าตัวเองก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ตายได้เหมือนกัน”
สุนันทาและทัพขันธ์เหล่มองหิรัณย์ที่บ่นพึมพำเล็กน้อย
“เลิกอวดเก่งได้แล้ว”
อ่านต่อตอนที่ 8 อวสาน