โดมทอง ตอนที่ 5
เวลานั้นแข้งขาวิรงรองไร้เรี่ยวแรง ร่างเซผงะไป 2-3 ก้าว ตามองพิชญ์ซึ่งตกใจไม่คาดคิดเช่นกัน พิชญ์ก้าวเข้ามาหาอย่างลืมตัว
“พลับพลึง”
อุษามองภาพนั้นเหมือนยังงงๆ ขณะที่พิณทองเหมือนเริ่มจะเข้าใจ
อดิศวร์โอบไหล่วิรงรองไว้ทันที “คุณพิชญ์คงจำคนผิด นี่คุณวิรงรอง...เธอกับผมกำลังศึกษากันอยู่”
พิชญ์มองหน้าวิรงรองเขม็ง “จริงหรือ พลับพลึง”
วิรงรองช็อก เดินกลับเข้าห้อง แล้วปิดประตูโดยไม่พูดไม่จาในขณะที่พิณทองก็เดินกลับเข้าห้องไปเงียบๆ เช่นกัน
พิชญ์ขยับจะตรงไปห้องวิรงรอง “พลับพลึง”
อดิศวร์ขยับขวางไว้ทันที “ผิดห้องแล้ว ห้องนี้ของผม...ของคุณห้องนั้น”
พิชญ์ถึงกับอึ้งไป
“คุณควรจะเข้าไปอธิบายให้ภรรยาคุณเข้าใจ”
“ขอผมพูดกับพลับพลึงก่อนได้ไหม”
“ไม่ได้”
อดิศวร์มองพิชญ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง
“คุณไม่ควรทำให้คุณพิณเสียใจ ! อีกอย่างวิรงรองกับผมกำลังดูใจกันอยู่”
“ผมไม่เชื่อ”
“ก็ช่วยไม่ได้”
พิชญ์จ้องตาอดิศวร์เขม็ง ขบกรามแน่น แล้วเดินกลับไปเปิดประตูเข้าห้องไป
อดิศวร์หันกลับมา สบตาอุษาเข้าพอดี อุษาสะดุ้งเฮือก
“ถ้ามีใครถาม ก็ให้ตอบตามนี้”
อุษาพึมพำแทบไม่มีเสียง “ค่ะ”
อดิศวร์เดินไปทันที อุษายกมือลูบหน้า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
สองคนกลับเข้าห้องห้องพิชญ์เรียกชื่อออกมา
“พิณทอง”
พิณหันกลับมา น้ำตาคลอ “ผู้หญิงคนนั้นคือคนรักเก่าของคุณ”
พิชญ์นิ่งอย่างยอมรับ
“คุณยังรักเขา...พิณเห็นสายตาคุณ”
พิชญ์ลงนั่ง “แต่คุณก็ได้ยินที่น้าลบพูดแล้ว” ประโยคต่อมาพิชญ์บอกอย่างขมขื่น “เขากำลังศึกษากันอยู่”
“เสียดายเขามากใช่ไหมคะ” พิณทองเจ็บปวดในใจ
“อย่าสนใจความรู้สึกของผมเลย”
พิณทองหยิบหมวก แล้วเดินไปที่ประตู
“พิณจะไปไหน”
“ไปอยู่คนเดียวเงียบๆ...พิณต้องอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อย่างนั้น...”
พิณทองน้ำตาร่วงพรู แล้วรีบเปิดประตูเดินออกไป พิชญ์ทิ้งตัวลงนั่ง สีหน้าแววตาทั้งสับสนปนกลัดกลุ้ม
ด้านวิรงรองร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ
“เขาต้องรู้ ต้องรู้แน่ๆ คนอะไรร้ายกาจที่สุด วางแผนได้ชั่วร้ายที่สุด”
วิรงรองสะอึกสะอึ้นอยู่อย่างนั้น
ตรงบริเวณมุมสวยนอกตัวบ้าน บรรยากาศร่มครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุยืนยาว พิณทองเดินเข้ามาในบริเวณนั้น พลางถอดหมวกออก ทรุดตัวลงนั่ง น้ำตาที่เหือดแห้งไป กลับไหลออกมาอีก
ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ผุดเข้ามาในห้วงความคิด โดยเฉพาะปฏิกิริยาของพิชญ์ที่พบวิรงรองโดยไม่คาดคิด
ภาพเหล่านั้นเลือนหาย พิณทองร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดขมขื่น
สักพักหนึ่ง อดิศวร์เดินเข้ามา มองหลานอย่างสงสารจับใจครู่หนึ่ง
“ก็อย่างที่น้าลบเคยพูด...วิรงรองเป็นอดีตของพิชญ์ไปแล้ว !
พิณทองเงยหน้าขึ้น “น้าลบไม่เห็นสายตาของพิชญ์ที่เขามองหรือคะ พิชญ์ยังรักเขาอยู่ พิณไม่น่าเชื่อคุณแม่ เชื่อคุณป้าแต่งงานกับพิชญ์เลย...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...” พิณทองสะอึ้นฮักๆ
อดิศวร์เดินมาใกล้แล้วโอบไหล่พิณทองไว้
“ในเมื่อเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้... เราก็ต้องหันกลับมามองปัจจุบันแล้วทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“พูดง่ายนะคะ แต่มันทำยากมาก”
“ตอนนี้คุณพิณกำลังตกใจ กำลังทุกข์ ก็เลยคิดอย่างนั้น ต้องรอให้เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง...อย่าลืมว่าเขากับน้าลบกำลังคบกัน
พิณทองมองน้าอย่างเพ่งพิศ “พิณถามจริงๆ แล้วก็อยากให้น้าลบตอบจริงๆ...น้าลบรู้เรื่องนี้มานานแล้วใช่ไหมคะ”
“ก็...บังเอิญรู้ไม่นานนัก”
“น้าลบก็เลยตัดสินใจช่วยพิณ...โดยพา...ผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่ ...น้าลบคบกับเขาก็เพื่อพิณ”
อดิศวร์เมินมองไปอีกทาง
“มันก็...ไม่เชิง”
“ที่พิณถามนี่ก็เพราะคิดว่า มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา”
อดิศวร์เบือนกลับมามองพิณเอ็นดู “จนอย่างนี้ แล้วยังจะเป็นห่วงความรู้สึกเขาอีก”
พิณทองส่ายหน้า “พิณรู้ว่า...การอยู่กับคนที่ไม่รักเรามันทรมานมาก”
“น้าลบขอโทษที่ทำให้คุณพิณต้องทุกข์ใจ...ถ้าคุณพิณอยากจะกลับ”
“พิณคงกลับเร็วๆ นี้ไม่ได้...พิณไม่อยากให้คุณแม่ไม่สบายใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณพิณ...น้าลบจะให้เขาย้ายมาอยู่ปีกเดียวกับน้าลบ”
“ไม่ต้องค่ะ”
“น้าลบสั่งไปแล้ว...อย่างน้อยคุณพิณอาจจะรู้สึกดีขึ้น”
พิณทองนิ่งงันไป
อดิศวร์จูงพิณทองเดินกลับบ้านช้าๆ โดยดึงหมวกไปสวมให้
สองสาวอยู่ในห้องด้วยกัน วิรงรองพูดอย่างซังกะตาย “จะเอาวิไปอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นค่ะ ให้ไปอยู่นอกบ้านก็ได้! เพราะวิมันไม่มีชีวิตจิตใจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ...พี่คิดว่าคุณลบไม่อยากให้ทั้งคุณวิแล้วก็คุณพิณทองต้องกระทบกระเทือนจิตใจ”
วิรงรองแค่นหัวเราะ “คงแค่พิณทองคนเดียวกระมังคะ” แล้วลุกขึ้นเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าออกมา
“มาค่ะ ! พี่ช่วย” อุษาช่วยจัดกระเป๋าให้ “ห้องทางโน้นที่คุณวิจะไปอยู่ก็เหมือนห้องนี้เลยค่ะ เพียงแต่ว่าโต๊ะเครื่องแป้งอยู่คนละด้าน ...แต่พี่สั่งให้เขาย้ายให้เหมือนห้องนี้แล้ว คุณวิจะได้รู้สึกเหมือนเดิม”
“แล้วแต่พี่อุษาเถอะค่ะ”
ทั้ง 2 ช่วยกันจัดเสื้อผ้าเงียบๆ
อุษาเดินลงมาชั้นล่างจะไปรายงานอดิศวร์ที่ห้องทำงาน แสงแขซึ่งรออยู่บริเวณนั้นรีบเดินตรงมาอย่างหงุดหงิดกังวล
“พี่อุษา”
อุษาหันมามอง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณลบให้นังนั่นมันย้ายมาอยู่ห้องติดๆ กันด้วย”
“เธอต้องไปถามคุณลบเอาเอง”
“แต่แขถามพี่อุษา”
“งั้นพี่บอกได้เลยว่า พี่ไม่รู้...เมื่อคุณลบมีคำสั่งมา...พี่ก็ทำตาม”
“แขไม่เชื่อว่าพี่อุษาไม่รู้”
“ถ้าอย่างนั้นก็จนใจ...พี่ต้องไปรายงานคุณลบแล้ว”
อุษาเดินไป แสงมองตามอย่างหงุดหงิด
“ไม่ง้อก็ได้”
ที่พึ่งของแสงแขคือท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์
พอได้ฟังท่านผู้หญิงก็มีสีหน้าถมึงทึง “อะไรนะ ตาลบน่ะเรอะให้นังผีนั่นย้ายไปอยู่ห้องติดกัน”
“ค่ะ...แขคิดว่า บางที อาจจะไม่ใช่ความคิดของคุณลบหรอกค่ะ คุณลบไม่ใช่คนอย่างนั้น นังวิรงรองน่ะ มันมารยาเก่งนะคะ ทำหงิมๆ ติ๋มๆ...แต่ร้ายลึก” แสงแขใส่ไฟ
“ไปตามตาลบมา”
“เอ้อ...คุณย่าขา คุณย่าอย่าบอกคุณลบนะคะ ว่าแขเป็นคนมารายงานคุณย่า”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ฉุน จนหลุดปาก “เอ๊ะ นังคนนี้ แกคิดว่าฉันโง่นักเรอะ เฮอะ ถ้าฉันโง่ละก็ ...นังนั่นไม่ได้ระเห็จขึ้นไปตายอยู่บนนั้นหรอก”
แสงแขงง “ใครหรือคะ”
“ไม่ต้องมาสาระแนอยากรู้ ไปตามตาลบมา”
“ค่ะ”
แสงแขคลานออกไป
“ฉันไม่มีวันยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด”
หญิงชราคำราม
แสงแขเดินออกมา ท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัวเปลี่ยนเป็นเริดเชิดทันที ขณะเรียกอุไรซึ่งรออยู่
“มานี่ซิ”
อุไรรีบเดินมายืนค้อมตัวข้างหน้า
“คุกเข่าลงซิยะ! ยืนทื่ออยู่ได้” แสงแขวางอำนาจ
อุไรงง “คุกเข่าหรือคะ”
“เออ! แล้วก็รู้ไว้ด้วยว่า แกกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าคุณผู้หญิงคนต่อไปของโดมทอง”
“ยังงั้นเชียวหรือคะ” อุไรสงสัยหน้าตาย
“ใช่...ไปเชิญคุณลบมาพบท่านผู้หญิงเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ”
อุไรรีบลุกเดินไป ด้วยสีหน้ายังไม่หายมึนงง ส่วนแสงแขเชิดหน้าอย่างภาคภูมิแล้วเดินกลับเข้าห้องท่านผู้หญิงไป
อดิศวร์ ศิโรดม ยืนหันหลังอยู่ระเบียงหลังห้องขณะถามอุษา
“เขาบ่นอะไรบ้างหรือเปล่า”
อุษานิ่งไป ท่าทางอึดอัด
อดิศวร์หันกลับมามอง “ว่าไง”
“เอ้อ...” อุษาไม่อยากพูด
“อุษา” อดิศวร์คาดคั้นเสียงเข้ม
“คุณวิรงรองบอกว่า จะให้เธอไปอยู่นอกบ้านก็ได้ เพราะเธอไม่มีชีวิตจิตใจค่ะ”
อดิศวร์นิ่งไป พอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใครอีกล่ะ...” อดิศวร์หงุดหงิด เว้นไปนิด “เข้ามา”
ประตูเปิดออก อุไรเดินตัวลีบเข้ามา
“ว่าไง” อดิศวร์ถามเสียงขุ่น
“ท่านผู้หญิงให้มาเชิญคุณลบไปพบค่ะ”
อดิศวร์หงุดหงิดทันที “ใครปากสว่างไปรายงานอะไรอีกล่ะ”
“อุไรเปล่าค่ะ”
“ฉันไม่ได้ถาม” อดิศวร์เสียงเขียว
อุไรงง “อ้าว”
อดิศวร์เดินออกไปท่าทางหงุดหงิด
อุไรรีบเข้ามากระซิบอุษา “สงสัยจะเป็นคุณแสงแขค่ะ”
อุษาเบือนหน้ามามอง สีหน้านิ่งเฉยเรียบสนิท อุไรทำหน้าเจื่อนๆ อุษาเดินออกไป อุไรรีบตาม
อดิศวร์เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องท่านผู้หญิง เห็นแสงแขกำลังนวดเฟ้นให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์อย่างตั้งอกตั้งใจ
ชายหนุ่มเดินมาที่เตียง แสงแขลงมาอย่างเรียบร้อย แล้วเดินออกไปอย่างสงบเสงี่ยม
อดิศวร์จับมือหญิงชรา “คุณย่าจะให้ผมทำอะไรหรือครับ”
“ลบไม่รักย่าแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงผู้เป็นย่าน้อยอกน้อยใจสุดๆ
“ทำไมคุณย่าพูดอย่างนั้นล่ะครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์จ้องหน้าหลานเขม็ง “เพราะลบไม่เชื่อฟังย่า! ลบให้นังผีพลับพลึงย้ายไปอยู่ห้องใกล้ๆ ลบ”
สีหน้าอดิศวร์เคร่งขรึมลง “ใครเอาเรื่องนี้มาฟ้องคุณย่าหรือครับ”
“โอ๊ย! บ่าวไพร่เยอะแยะไป! อย่าคิดว่าย่าหูป่าตาเฟื่อน”
“ใครที่เอาเรื่องร้อนหูร้อนใจมาบอกคุณย่า จะอยู่บ้านนี้ไม่ได้” อดิศวร์พูดเสียงแข็ง
“อย่าพาลนะลบ คนที่มาบอกสมควรจะได้รับการยกย่อง เพราะเขาจงรักภักดีกับย่า ถ้าลบไล่เขาไปเราก็คงต้องขัดใจกัน”
อดิศวร์นิ่งงันไป
“เป็นความจริงใช่ไหม”
“ครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์น้ำตาไหลริน มือไม้เริ่มเกร็ง
“คุณย่าครับ”
“ออกไป”
“ผมมีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น”
“เหตุผลที่อยากจะได้มันใช่มั้ย ลบนะลบ ย่าขอแค่นี้ทำไมให้ย่าไม่ได้! ผู้หญิงมากมายก่ายกอง ลบจะแต่งกับใครย่าไม่ว่า จะเป็นยาจกเข็นใจ ย่าก็ทำใจยอมรับได้ ! ยกเว้นนังพลับพลึงคนนั้นคนเดียว”
“เขาชื่อวิรงรองครับ...ไม่ใช่พลับพลึง”
“จะชื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นคนๆ เดียวกัน”
“เป็นไปไม่ได้ ที่คน 2 คนจะเหมือนกันขนาดนั้น โดยที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวดองกันเลย”
“อย่าเถียงย่า! ถ้าไม่เชื่อ...”
ท่านหยุดชะงักเหมือนนึกได้
“ทำไมหรือครับ” อดิศวร์ถาม
ท่านผู้หญิงเลี่ยงไปพูดอย่างอื่น “เชื่อย่าซิ ย่าไม่มีวันลืมมันเลย”
อดิศวร์นิ่ง ท่านผู้หญิงมองหน้าหลานชายอย่างครุ่นคิด
ประตูเปิดออก อดิศวร์ก้าวออกมาแล้วปิดเบาๆ แสงแขซึ่งรออยู่ด้วยความกระวนกระวายรีบเดินตรงมาหา
“คุณลบคะ”
อดิศวร์ไม่มองแสงแขแม้แต่หางตา เดินเลยไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แสงแขรีบเร่งฝีเท้าตาม “แขไม่รู้เรื่องเลยนะคะ...คุณลบ”
อดิศวร์หยุดเดินและหันมามองด้วยสีหน้าเย็นชา “เธอไม่รู้เรื่องอะไร”
แสงแขชะงัก..อึกอักหลบตาด้วยรู้ตัวว่าพลาดไปถนัด
อดิศวร์เสียงเข้มขึ้น “เธอไม่รู้เรื่องอะไร”
“เอ้อ...ไม่รู้เรื่องที่คุณย่าพูดกับคุณลบน่ะค่ะ คือ...แขเห็นคุณลบเดินหน้าบึ้งออกมา ก็..เลยเดาเอาเองว่า..คง..คงเป็นเรื่องไม่ค่อยดี”
“พี่รักและเคารพคุณย่าก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องหลับหูหลับตาทำตามที่ท่านต้องการทุกอย่าง! และคุณย่าก็รู้จักพี่ดีจนไม่คิดจะบังคับพี่”
อดิศวร์เดินไปทันที
แสงแขมองตาม น้ำตาคลอด้วยความคับแค้นใจ
2 สาวบ่าวนายเดินตามกันมา จนดูว่าห่างจากตัวบ้านและผู้คนตามสมควร
แสงแขหันกลับมาหาโอบอ้อม “แกรู้จักใครที่พอจะไว้ใจได้มั้ย”
“ทำไมหรือคะ”
“ฉันจะให้มันทำงานสำคัญ! แต่ต้องเก็บความลับได้นะ!”
“พี่ชายโอบค่ะ! ชอบโทร.มา...” ชะงัก เมื่อนึกได้
“แกมีโทรศัพท์” สงแขมองเขม็งจับผิด
โอบยิ้มแห้งๆ
“รู้ใช่มั้ยว่า คุณย่ากับคุณลบห้ามทุกคนมีโทรศัพท์”
“ก็แหม..โอบต้องติดต่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของพ่อแม่พี่น้องญาติโกโห...”
แสงแขสวนออกมา “ล้นจริงแกนี่”
“คุณแขจะให้พี่อ๊อดมาพบเมื่อไหร่คะ”
“มาที่นี่ไม่ได้! ฉันจะไปพบกับเขาเอง”
“เมื่อไหร่ดีคะ”
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกายวาววับด้วยความมาดหมายขณะบอก “พรุ่งนี้เช้า”
ค่ำแล้ว เกลียวคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดเข้าสู่ฝั่งค่อนข้างแรงด้วยกระแสลม ทำให้ทั่วบริเวณดูค่อนข้างน่ากลัว
ทิวมะพร้าวโอนเอนตามแรงลมเช่นกัน
บนท้องฟ้า..สายฝนกระจายไปทั่ว...พร้อมแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ
ทุกคนอยู่ภายในห้องอาหาร ประจำที่ยกเว้นวิรงรองโดยมีโอบคอยเสิร์ฟ
พิณทองเบือนหน้ามาทางอดิศวร์โดยทุกคนไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว “คุณวิรงรองล่ะคะ”...น้าลบ”
สีหน้าทุกคนนิ่งอึ้งกันไปหมด
“คุณวิทานแล้วค่ะ” อุษาบอก
“อ้าว...ทำไมอย่างนั้นล่ะ..ปกติเธอเคยมาทานพร้อมกันหรือเปล่า” พิณทองว่า
ทุกคนอึ้งกันไปอีก
พิชญ์เรียกเบาๆ เป็นเชิงเตือน “พิณ”
พิณทองมองหน้าอดิศวร์ “คะ..น้าลบ”
พิชญ์แตะแขนพิณทอง เสียงยังเบาแต่เข้มขึ้น “พิณทอง”
พิณทองผินหน้ามาทางพิชญ์ “พิณต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เคยเป็นค่ะ...ไม่อยากให้เรามาเปลี่ยนแปลงอะไร” แล้วหันมามองน้าชาย “พิณเดาว่าก่อนหน้าที่พิณจะมา คุณวิรงรองจะต้องลงมาทานข้าวพร้อมกันใช่ใหมคะ”
แสงแขตอบแทนอดิศวร์ “เขาก็ลงมาบ้าง ไม่ลงมาบ้างค่ะ เอาแน่อะไรไม่ได้”
“แต่พิณไม่เคยเห็นเขาลงมาร่วมโต๊ะเลยนะคะ”
“ทานข้าวเถอะ คุณพิณ...ทุกคนเขาหิวกันแล้ว..รวมทั้งน้าลบด้วย”
อดิศวร์เริ่มกิน ทุกคนทำตาม โดยพิณทองยังคงมีสีหน้าติดใจในเรื่องที่พูดอยู่
ด้านวิรงรองยืนมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า ซึ่งฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ แล้ว ยืนมองเหม่ออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับมาทรุดลงนั่งบนเตียงน้ำตารึ้นขึ้นมาอีก คิดถึงมารดาจับใจ
“คุณขา..หนูคิดถึงคุณจังเลย”
สีหน้าของวิรงรองดูเศร้าโศกและว้าเหว่เหลือแสน
หลังมื้อค่ำ ภายในห้องนั่งเล่นเวลานั้น สายฝนตกกระทบหน้าต่างกระจกอดิศวร์เดินนำคนทั้ง 2 เข้ามาแต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่งซิ…”
พิชญ์ลงนั่งใกล้ๆ พิณทอง แต่พิณทองลุกไปนั่งเก้าอี้อีกตัว พิชญ์ลอบถอนใจกึ่งหงุดหงิดกึ่งรำคาญ
“น้าลบอยากจะเคลียร์เรื่องวิรงรอง”
พิณทองปรายตามองพิชญ์แว่บหนึ่ง “ดีค่ะ!..พิณเองก็ไม่อยากมีอะไรค้างคาใจ”
“เรา 2 คน...น้าลบกับเขาอยากจะเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกัน”
พิชญ์ก้มหน้า คับแค้นใจขบกรามแน่น
“วิรงรองเองก็อยากจะลืมเรื่องที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น น้าลบไม่อยากให้คุณพิณรื้อฟื้นขึ้นมาอีก” คราวนี้หันไปมองพิชญ์ “คุณด้วยคุณพิชญ์...อะไรที่ผ่านมาแล้ว ก็ขอให้ผ่านเลย...อย่าจมอยู่กับอดีต..ชีวิตเราทุกคนต้องดำเนินต่อไป”
“ผมยังข้องใจอยู่อย่างนึง! แล้วก็คิดว่าพิณเองก็เหมือนกัน” พิชญ์เอ่ยขึ้น
“ผมยินดีตอบทุกข้อ”
“ทำไมเรา 2 คนถึงต้องมาเจอกับพลับ...เอ้อ ... วิรงรองที่นี่!... มันเป็นความตั้งใจของน้าลบหรือเปล่า”
อดิศวร์สบตาพิชญ์ “ครอบครัวผมกับครอบครัวคุณป้าสุรภีซึ่งเป็นแม่บุญธรรมของวิรงรองสนิทกันเหมือนญาติ...ท่านคอยส่งพยาบาลมาดูแลคุณย่า จนกระทั่งวิรงรองมีเรื่องไม่สบายใจมาก...คุณแม่เขาปรึกษากับคุณป้าสุรภี แล้วตกลงใจ ให้มาอยู่ที่นี่เพื่อให้ลืมเรื่องที่กรุงเทพฯ แล้วก็ช่วยดูแลคุณย่าไปด้วย”
พิณทองมีสีหน้าแววตาอ่อนลงเล็กน้อยขณะถาม “หมายความว่า..เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจหนีมา”
“ใช่!”
พิชญ์ดูสะเทือนใจ
“เขาไม่ได้คิดจะต่อสู้เลยด้วยซ้ำ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พิชญ์เดินออกไปเงียบๆ พิณทองมองตามแล้วเบือนหน้ากลับมา
“พูดแล้ว..พิณดูเหมือนนางมารร้าย ขณะที่วิรงรองเหมือนนางฟ้าเลยนะคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น...ที่น้าลบเล่าให้ฟังก็เพราะอยากให้คุณพิณสบายใจ”
พิณทองน้ำตาคลอ “พิณคงไม่มีวันสบายใจไปได้หรอกค่ะ”
“งั้นคุณพิณก็ควรจะกลับไป”
“ไม่ค่ะ!...มันเจ็บมากนะค่ะที่ต้องเห็นสามียังอาลัยอาวรณ์คนรักเก่าอยู่ แต่พิณก็ต้องการให้เรา 2 คน เผชิญหน้ากับความรู้สึกเหล่านั้น..ซึ่งอาจเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาให้หายได้” พิณทองเว้นไปนิดหนึ่ง “หรือไม่ก็ให้มันตายไปเลยเพราะยังดีกว่าทนทรมานอยู่กับความหวาดระแวงและความไม่แน่ใจ”
อดิศวร์ยิ้มพอใจ “คุณพิณคิดถูกแล้ว! หลานสาวของน้าลบเก่งมาก”
พิณทองหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
ด้านนอกโดมทองฝนยังคงตกอยู่ ในขณะที่พิชญ์เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง พิชญ์เดินช้าๆ มาเอนตัวลงนอน...เหม่อมองเพดานเศร้าๆ
“ถ้าคนเรารักกันจริง ทำไมจะต้องยอมเสียสละถึงขนาดนั้น”
“เขาไม่ได้คิดจะต่อสู้เลยด้วยซ้ำ” เสียงอดิศวร์ดังก้องในหู
สีหน้าพิชญ์เศร้าสร้อยน้ำตารึ้นขึ้นมา นัยน์ตามองดูชื้นๆ ด้วยความสะเทือนใจสุดๆ
“หรือว่า...พลับพลึงไม่ได้รักผมเลยถึงได้เปลี่ยนใจเร็วนัก”
ส่วนอดิศวร์พาพิณทองเดินมาถึงบริเวณหน้าห้องวิรงรอง
“ห้องนี้หรือคะ”
“ใช่! ส่วนนี่ห้องน้าลบ” อดิศวร์ชี้ที่ห้องตัวเอง “แน่ใจนะว่าพร้อมแล้ว”
พิณทองรับคำหนักแน่น “ค่ะ”
อดิศวร์เคาะประตูเบาๆ
วิรงรองลุกขึ้นนั่ง และลุกเดินไปที่ประตู
“ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“ฉันเองค่ะ...พิณทอง”
วิรงรองชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเปิดประตู เห็นพิณทองยืนอยู่
“ขอเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมคะ”
วิรงรองไม่ได้พูดอะไร แต่เบี่ยงตัวให้
“ขอบคุณ”
พิณทองเดินเข้าห้องมาวิรงรองปิดประตู อดิศวร์ยืนอยู่หลังประตูขณะที่ประตูปิดลง
2 คนยืนมองกันนิ่งๆ ราวกับจะประเมินกัน แต่ไม่มีท่าทีท้าทาย
วิรงรองขยับตัว “มีอะไรหรือคะ”
พิณทองขยับตัวเช่นกัน “ฉันอยากมาขอโทษ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็...ที่เข้าใจผิดคิดว่า คุณยังไม่เลิกติดต่อกับพิชญ์”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ทั้ง 2 นิ่งกันไปอีก มีแต่เสียงลมเสียงฝนจากภายนอกดังซ่าๆ
ในที่สุดพิณทองก็เดินไปที่ประตู มือจับลูกบิด แล้วนึกได้ หันกลับมา
“น้าลบเป็นคนดี...เป็น Prince charming ...ฉันดีใจกับคุณด้วย”
พิณทองเปิดประตูเดินออกไป วิรงรองซึ่งยืนอึ้งไม่คาดคิด เริ่มรู้สึกตัว บ่นบ้าด้วยความหมั่นไส้
“จะบ้าเหรอ...Prince charming ที่ไหน! ท่านเคาท์แดร็คคูล่าน่ะซิไม่ว่า”
อ่านต่อหน้า 2
โดมทอง ตอนที่ 5 (ต่อ)
อดิศวร์ซึ่งรออยู่แล้วที่หน้าห้องพาพิณทองเดินออกมาที่เฉลียง ซึ่งมีหลังคายาวกันฝน
“ท่าทางเขาหยิ่งไม่ใช่เล่นนะคะ”
“เขาว่ายังไงบ้างล่ะ”
“พิณขอโทษเขาที่เข้าใจผิด เขาก็แค่บอกว่าไม่เป็นไร” พิณทองเว้นจังหวะพูดนิดหนึ่ง “แต่ก่อนจะออกมา พิณไม่ลืมอวยให้น้าลบด้วยนะคะ”
“อวยอะไร”
“พิณบอกว่าน้าลบเป็นคนดี...เป็น Prince charming”
“เขาคงสวนในใจว่า เป็นซาตานมากกว่า” อดิศวร์รู้ทัน
“โอ๊ย ถ้าซาตานเหมือนน้าลบ ผู้หญิงคงสมัครเป็นสาวกกันเยอะ อย่างน้อยก็คุณแสงแขคนหนึ่งละ” พิณทองเย้า
“อย่าเอาแสงแขเข้ามาเกี่ยว น้าลบไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด”
“แล้วคุณวิรงรองล่ะคะ”
“มัวแต่มาล้อเรื่องน้าลบ...แล้วเรื่องของตัวเราเองล่ะ” อดิศวร์เปลี่ยนเรื่อง
สีหน้าพิณทองค่อยๆ สลดลง ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ทราบซิคะ...อาจจะลงเอยไม่ดีนักก็ได้”
“คุณพิณรักเขาหรือเปล่า”
พิณก้มหน้าลงขณะพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็จงรักษาชีวิตแต่งงานไว้ให้ยืนยาวที่สุด”
พิณทองเงยหน้าขึ้น พลางทอดถอนใจ นัยน์ตาที่มองมาของพิณทองดูเศร้าหมอง
พิชญ์เดินมาเปิดประตู พิณทองเดินเข้ามา แล้วพิชญ์จึงปิดประตูลง พยายามทำสีหน้าให้แจ่มใสราวกับไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้
“คุยอะไรกับน้าลบนานจัง”
“ก็คุยเรื่อยๆ น่ะค่ะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น พิณเดินไปหยิบขึ้นมาดู รับสายบิดารัฐมนตรีพจน์ด้วยสีหน้าแจ่มใส “สวัสดีค่ะ คุณพ่อขา”
พิชญ์ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ พจน์
“สบายดีหรือลูก” พจน์ซึ่งอยู่คฤหาสน์ในกรุงเทพฯ ถาม
“ค่ะ...คุณพ่อล่ะคะ”
“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ หนูล่ะ โดมทองเป็นยังไงบ้าง”
พิณทองอึ้งไปครู่หนึ่ง “ก็ดีค่ะ”
ท่านรัฐมนตรีจับน้ำเสียงและความผิดปกติได้ “พิณทอง...มีอะไรหรือลูก”
พิณทองกำโทรศัพท์แน่น แล้วเสียงสั่นเครือ “คุณพ่อ...”
คุณหญิงแก้วกำลังลองตุ้มหูคู่ใหม่อยู่หน้ากระจก ขณะที่สามีเดินเข้ามาหา
“สวยไหมคะ”
พจน์พูดอย่างฉุนเฉียว “เพราะคุณคนเดียว”
แก้วงวยงง “อะไรอีกล่ะ”
“รู้หรือเปล่าว่า พิณทองไปเจอใครที่โดมทอง”
“ก็เจอท่านผู้หญิง...ตาลบ” คุณหญิงว่า
“คู่รักเก่าตาพิชญ์”
แก้วได้ฟังก็ตกใจ “อะไรนะ”
“ผมเตือนคุณแล้วว่าอย่าบังคับลูก แล้วเป็นไง นายพิชญ์นั่นยังลืมคนรักเก่าไม่ได้...คนที่ต้องเสียใจช้ำใจก็คือพิณทอง” รัฐมนตรีพจน์ด่าภรรยา
“แล้วแม่นั่นมันไปเสนอหน้าอยู่ที่นั่นได้ยังไง” แว่นแก้วโมโห
“เขาไปช่วยดูแลท่านผู้หญิง”
“จะไปจับตาลบมากกว่า พอพิชญ์หลุดมือ ก็ต้องรีบหาผู้ชายคนใหม่แทน นังคนนี้มันมารยาสารพัด ฉันต้องเตือนตาลบ”
แก้วเดินมาหยิบโทรศัพท์ พจน์ดึงเอาไว้ “คุณจะทำอะไร”
“โทร. หาตาลบ”
“ลบน่ะช่างเถอะ เขาเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้นคงไม่ถูกผู้หญิงหลอกง่ายๆ ยัยพิณนี่ซิ ร้องห่มร้องไห้ ผมบอกให้กลับก็ไม่ยอม”
“งั้นเราก็ไปรับ”
“ไม่มีประโยชน์ แกบอกว่า จะจัดการเองด้วยวิธีของแก”
แก้วเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
“ผมบอกแล้ว...ให้เขาลองศึกษากันก่อน”
“มัวแต่ศึกษา แม่นั่นจะได้คว้าพิชญ์ไปน่ะซีคะ คุณพี่วัชรีไม่มีทางยอมหรอก”
“แล้วเป็นไงล่ะ” พจน์ย้อนเอา
“ฉันจะลองปรึกษาคุณพี่ดู” แก้วบอก
ทางด้านพิชญ์อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ถอนใจเฮือก ขณะทรุดตัวลงนั่ง
“กลับกรุงเทพฯ กันดีกว่า”
“ไม่ค่ะ พิณตั้งใจไว้แล้ว”
“แล้วคุณก็ต้องมานั่งร้องไห้ฟ้องคุณพ่อ คุณแม่เป็นเด็กๆ” พิชญ์ต่อว่า
พิณทองเบิกตากว้าง “พิณไม่ได้ฟ้อง! แต่พิณไม่เคยมีความลับกับคุณพ่อคุณแม่”
“คุณโตแล้ว...มีครอบครัวแล้ว..บางอย่างที่จะทำให้ผู้ใหญ่ ไม่สบายใจก็ไม่ควรจะเล่า”
“พูดเอาแต่ได้”
พิณทองฉุนเดินไปที่ประตู
พิชญ์ร้องถาม “นั่นจะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ห้องนี้”
พิชญ์จับแขนไว้ สีหน้าแววตาดุๆ
“แล้วคนอื่นเขาจะคิดยังไง มีเหตุผลบ้างซิ”
“ปล่อย”
พิชญ์ไม่ยอม “มานี่”
พิชญ์จับพิณมากดให้ลงนั่งบนเตียง
“ถ้าจะเป็นอย่างนี้ละก็ กลับบ้านดีกว่า”
พิณทองเชิดหน้าดื้อดึง “พิณไม่กลับ”
“แล้วเราจะต้องมานั่งทะเลาะกันอย่างนี้หรือ”
พิณทองนิ่งงันไป
“พิณทอง” พิชญ์เรียกเสียงอ่อนโยน
พิณทองลุกเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วหยิบชุดนอนเดินเข้าห้องน้ำไป
คุณหญิงวัชรีอยู่ในห้องนอน คุยกับคุณหญิงแก้วซึ่งอยู่ในห้องรับแขก
“ตายแล้ว! มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ”
“นั่นซิคะคุณพี่...โลกมันกลมจริงๆ...แล้วนี่จะทำยังไงกันดี”
“ใจเย็นๆ ก่อน พี่จะจัดการเอง”
สีหน้าวัชรีมุ่งมั่นมาดหมาย
บรรยากาศยามเช้าของบริเวณภายนอกตัวบ้านวิรงรองแสนสดใส ผิดกับภายในที่ทั้ง 2 คนนั่งเผชิญหน้ากัน โดยมีน้ำท่าและพายไก่อยู่บนโต๊ะรับแขกตรงหน้าวัชรี แต่วัชรีเชิดหน้า ท่าทางไม่เป็นมิตรเอาเลย
“คุณต้องเอาลูกสาวออกมาจากที่นั่น”
“ขอประทานโทษค่ะ แล้วจะให้ดิฉันพาแกไปไว้ที่ไหนล่ะคะ! อยู่ที่บ้านก็ไม่ได้ เพราะลูกชายคุณรู้จัก...อุตส่าห์ส่งไปเสียไกล ลูกสะใภ้คุณยังอุตส่าห์ไปเกี่ยวดองกับเจ้าของบ้านเข้าอีก! นี่ดิฉันก็เริ่มจะรำคาญใจเหมือนกันแล้วนะคะ” ปรางบอก
“จะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ นอกจากสองแห่งนี่”
“ก็ต้องขอประทานโทษอีกครั้งนึงค่ะ...ดิฉันกับลูกสาวไม่รับคำสั่งใคร”
“ถ้าฉันจะเซ็นเช็คให้” วัชรีวางอำนาจใส่
“เช็คก็ไม่รับ...คำสั่งก็ไม่รับเหมือนกัน! ถึงเราจะไม่ร่ำรวยเท่าพวกคุณแต่ก็ไม่ได้ยากจนเข็ญใจ”
“งั้นต้องการอะไรก็บอกมา”
“ต้องการให้คุณออกไปจากบ้านดิฉันค่ะ”
วัชรีเบิกตากว้างตกใจไม่คาดคิดว่าจะถูกไล่
ขณะที่รัฐมนตรีพจน์ เดินลงมาในห้องโถงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหญิงแก้ววางโทรศัพท์ลง รีบเรียกพจน์ไว้
“คุณคะ…มาฟังนี่ก่อน...คุณพี่วัชรีเพิ่งโทร.มาเล่า”
“ผมต้องรีบไป วันนี้มีประชุม”
“ฟังเดี๋ยวเดียวจะเป็นไรไป”
“เป็นไรซิ! เพราะผมจะไปประชุมไม่ทัน”
พจน์เดินออกไปเลย
“คุณพจน์”
พจน์โบกมือให้โดยไม่หันกลับมา แก้วมองตามอย่างหงุดหงิด
ดอกไม้เบ่งบานสวยงามในแจกันที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งในห้อง ปรางนั่งพิงพนัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ในที่สุดปรางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาจะกด แต่แล้วมือปรางชะงักค้าง เกิดเปลี่ยนใจ
“ไม่ดีกว่า”
ปรางวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินเข้าไปในครัว
เวลาเดียวกันนั้น รถสามล้อคันหนึ่งพาแสงแข และโอบอ้อม มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้เก่าๆ ในต่างจังหวัด ดูออกว่าเจ้าบ้านมีฐานะค่อนข้างยากจน
“จอดตรงนี้ละลุง”
รถสามล้อจอด แสงแขและโอบอ้อมก้าวลงมา แสงแขส่งค่าโดยสารให้
“พี่อ๊อด พี่อ๊อด ตื่นเรอะยัง” โอบตะโกนดังลั่น
“ตื่นแล้ว รอเดี๋ยว” เสียงผู้ชายตอบออกมา
ตามด้วยเสียงบ้วนปาก แล้วจึงเห็นอ๊อดพี่ชายโอบอ้อมโผล่หน้าขึ้นมา บ้วนน้ำลงมาเกือบโดน สองสาว
“ว้าย” แสงแขกระโดดหนีทันที
“เฮ้ย ระวังหน่อย…ทางนี้ค่ะ คุณแขขา”
โอบอ้อมพาแสงไปนั่งตรงเตียงที่ใต้ถุนบ้าน แสงแขมองไปโดยรอบอย่างรังเกียจแว่บหนึ่ง
“ต๊าย ลืมเอาน้ำฝนให้คุณแข”
แสงแขสวนทันที “ไม่ต้อง”
อ๊อดเดินลงมาที่ใต้ถุนบ้าน โดยมีเมียชื่อสร้อยตามมาด้วย ทั้ง 2 ไหว้แสงแข
“สวยจัง” สร้อยชมซึ่งๆ หน้า
แสงปลื้มเล็กๆ “ขอบใจ” แล้วหันมาทางอ๊อด “โอบเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้วใช่ไหม”
อ๊อดบอก “จ้ะ”
“ทีนี้เป็นรายละเอียด ฟังให้ดีนะ”
อ๊อดพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจฟัง
แสงแขกำชับในตอนท้าย “แล้วก็อย่าให้พลาดเด็ดขาด”
3 ล้อขับรถพา 2 สาวมาเรื่อยๆ แลเห็นบรรยากาศต่างจังหวัด 2 ข้างทาง
“สบายใจขึ้นหรือยังคะ”
“ยัง! จนกว่านังนั่นมันจะถูกฝังอยู่ใต้ทะเล”
สีหน้าและแววตาแสงแขดูโหดร้ายและอำมหิตยิ่งนัก
เช้าวันนี้ตรงแนวไม้อันร่มครึ้ม บริเวณภายนอกโดมทอง วิรงรองเดินทอดอารมณ์เข้ามาบริเวณนั้น บางขณะก็ก้มลงเก็บดอกไม้ที่ร่วงอยู่บริเวณใต้ต้น
เสียงพิชญ์ดังขึ้น “พลับพลึง”
วิรงรองสะดุ้ง หันกลับไปมอง เห็นพิชญ์ยืนมองมา สายตายังมีแววรักใคร่อาลัยอาวรณ์
วิรงรองพึมพำเบาๆ “พิชญ์”
“ในที่สุดก็ได้คุยกับคุณตามลำพังเสียที”
วิรงรองขยับตัว “ฉันต้องกลับเข้าบ้านแล้วค่ะ”
พิชญ์ขยับขวางไว้ “อย่าเพิ่ง” ประโยคต่อมาน้ำเสียงพิชญ์อ่อนโยน และขอร้อง “ได้โปรด”
วิรงรองเมินมองไปทางอื่น แต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน พิชญ์ขยับจะเข้ามาใกล้ วิรงรองถอยหลังทันที และนัยน์ตาแน่วแน่
“ยืนอยู่ตรงนั้นนั่นแหละค่ะ...ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ฟังต่อ”
พิชญ์มองมาด้วยแววตาตัดพ้อ “เป็นเพราะน้าลบใช่ไหม”
“เป็นเพราะภรรยาคุณต่างหาก”
พิชญ์อึ้ง
“คุณมีธุระอะไรก็กรุณารีบพูดด้วยค่ะ”
สีหน้าแววตาของพิชญ์ดูสะเทือนใจสุดๆ “รู้หรือเปล่าว่า ผมพยายามตามหาคุณตลอดเวลา คุณใจแข็งเหลือเกิน”
วิรงรองน้ำตารื้นขึ้นมาแว่บหนึ่ง “หมดเรื่องที่คุณจะพูดแล้วใช่ไหมคะ”
“จนถึงขนาดนี้ คุณก็ยังใจร้าย” พิชญ์ตัดพ้อ
“ขอตัวนะคะ” วิรงรองพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น รีบเดินออกไปจากบริเวณนั้น เพื่อไม่ให้พิชญ์เห็นน้ำตาที่เริ่มคลอ
พิชญ์รีบเดินตาม “วิ”
อดิศวร์ยืนมองเหตุการณ์มาจากระเบียงห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านพิชญ์กำลังเร่งฝีเท้าให้ทันวิรงรอง
“พลับพลึง”
วิรงรองหันกลับไป “ฉันชื่อวิรงรอง...ไม่ใช่พลับพลึง กรุณาเรียกให้ถูกด้วยค่ะ”
อดิศวร์ซึ่งเห็นภาพนั้นไกลๆ สีหน้าบึ้งขึ้นไปอีก แล้วยกมือกอดอก
พิชญ์ยังไม่ยอม
“แต่คุณคือพลับพลึงของผม”
“ฉันชื่อวิรงรอง ไม่ใช่พลับพลึง” วิรงรองตะโกนเสียงลั่นด้วยอารมณ์โกรธขึ้ง แล้วหันหลังกลับวิ่งตรงเข้าบ้านไป
พิชญ์รีบตาม
2 คนวิ่งตามกันมาถึงหน้าบ้าน เห็นอดิศวร์ก้าวออกมา ทั้งคู่ชะงัก
อดิศวร์สีหน้าเรียบเฉย “เล่นไล่จับกันแต่เช้า”
วิรงรองไม่อยากเถียงด้วยรีบเดินเข้าบ้านโดยไม่มองหน้ามองตาใคร อดิศวร์ผินหน้าจากวิรงรองมามองพิชญ์
“เรื่องของคุณกับวิรงรองจบไปแล้ว”
“จบแบบยังไม่เคลียร์” พิชญ์มองอดิศวร์อย่างเหนือกว่า “ผมมั่นใจว่าพลับพลึงยังรักผมอยู่”
พิชญ์เดินเข้าบ้าน อดิศวร์ดึงไหล่ไว้ นัยน์ตาวาวโรจน์
“อย่าได้พูดประโยคนี้ให้หลานผมได้ยินเด็ดขาด”
“ผมไม่ปัญญาอ่อนขนาดนั้นหรอก”
พิชญ์ปัดมือออก แล้วเดินเข้าบ้าน อดิศวร์มองตามอย่างหงุดหงิด
วิรงรองเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วทิ้งตัวพิงประตูที่ปิดลง น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลพราก สักพักหนึ่งจึงเดินเข้าห้องน้ำ ยกมือเปิดก๊อก ก้มหน้าลงล้างคราบน้ำตา
ด้านพิณทองยืนอยู่ที่ระเบียงห้อง ทอดสายตาไปยังเทือกเขาเบื้องหน้า เหมือนตกอยู่ในภวังค์ พักหนึ่งประตูระเบียงเปิดออก พิชญ์เดินมาหา
พิชญ์หยุดมองพิณทองด้วยสีหน้าแววตาครุ่นคิด
พิณทองหันกลับมา จะเดินเข้าห้องแล้วชะงัก ฝืนยิ้ม “ไปไหนมาหรือคะ”
พิชญ์ไม่ตอบขยับตัวเดินเล่น พูดพลางเดินมาท้าวระเบียงมองออกไป “ที่นี่สวยจริงๆ...แต่สวยแบบเหงาๆ”
พิณทองอดเหน็บไม่ได้ “พิชญ์ไม่เห็นน่าจะเหงานะคะ”
พิชญ์หันมา พิณทองสบตาสามี “พิณพูดอะไรผิดหรือคะ”
“ผมไม่ชอบให้คุณประชดประชัน”
“พิชญ์ร้อนตัวเองต่างหาก”
พิชญ์เดินมาใกล้แล้วรวบมือทั้ง 2 ของพิณทองไว้ “คุณต้องช่วยผมสิ พิณทอง ช่วยให้ผมลืมเขาให้สนิท”
พิณทองดึงมือออกอย่างหมางเมิน “ไม่มีใครช่วยได้หรอกค่ะ นอกจากตัวคุณเอง”
พลางพิณทองเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาอย่างนึกได้
“พิณจะพยายามอดทนรอให้ถึงวันนั้น ซึ่งถ้าคุณทำไม่ได้ เราก็คงต้องแยกกัน”
พิชญ์ชะงัก มองดูพิณทองเดินกลับเข้าห้องไป
พิณทองหยิบหมวกจะเดินออกไปจากห้อง พิชญ์ตามเข้ามา ด้วยสีหน้าแววตาที่พยายามจะให้แจ่มใส
“เราควรไปกราบคุณย่าน้าลบกันก่อนไหม แล้วค่อยไปเที่ยวในเมือง”
พิณทองหันกลับมามอง
“เรามาตั้งหลายวันแล้วยังไม่ได้ไปกราบท่านเลย”
“น้าลบบอกว่า ท่านไม่ค่อยสบาย เลยไม่อยากให้ใครพบ” พิชญ์ว่า
“ถึงอย่างนั้นเราก็ควรจะไป”
พิชญ์พูดพลางเดินมาเปิดประตู โอบไหล่พิณทองออกไป
อดิศวร์ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ มองรูปบรรพบุรุษแต่ละคนอย่างใช้ความคิด
“คุณย่าเอารูปคุณปู่ไปไว้ที่ไหน”
อุไรพาพิชญ์และพิณทองเดินเข้ามา
“นี่ค่ะ”
“ขอบใจนะจ้ะ”
อุไรชะเง้อมองรูปหวาดๆ แล้วรีบเดินออกไป ขณะที่พิณทองและพิชญ์เดินเข้ามา
“น้าลบคะ”
พิชญ์มองภาพเหล่านั้นทึ่งๆ
“พิณอยากไปกราบคุณทวด”
อดิศวร์มีสีหน้าแววตาเหมือนจะอึดอัดแว่บหนึ่ง พิณทองสังเกตเห็นพอดี
“ถึงท่านจะไม่พูดอะไรก็ไม่เป็นไรค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้า “ก็ได้”
พิชญ์ชี้รูปท่านผู้หญิงตอนสาว “นั่นรูปใครครับ”
“รูปคุณย่าเมื่อตอนสาวๆ ส่วนรูปนี้เป็นรูปล่าสุด แต่ก็หลายปีมาแล้วเหมือนกัน” อดิศวร์บอก
“สวยมากนะครับ...ถึงแก่แล้วก็ยังมีเค้าสวย”
จากนั้นอดิศวร์ก็เดินนำออกไป 2 คนเดินตาม โดยไม่วายหันมาดูรูปต่างๆ อีกอย่างติดใจ
ภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์เวลานั้นแสงแขซึ่งกำลังนวดท่านผู้หญิงอยู่เดินมาที่ประตู แล้วเปิดเมื่อได้ยินเสียงเคาะเบาๆ
แสงแขยิ้มหวาน “อ้าว คุณลบ คุณพิชญ์ คุณพิณ เชิญค่ะ”
แสงแขเปิดประตูกว้างขึ้น แล้วเบี่ยงตัวให้ทุกคนเดินเข้ามาพร้อมกับปิดประตู ท่านผู้หญิงสรรักษ์ซึ่งหลับอยู่ ลืมตาขึ้นเลื่อนลอย อดิศวร์เข้ามาพยุงท่านให้ลุกนั่ง
“นั่นพาใครมาล่ะ”
“พิณทองลูกสาวพี่แก้วครับ แล้วนั่นคุณพิชญ์สามีพิณทอง”
2 คนทรุดตัวลงก้มกราบท่านผู้หญิงเพ่งมองพิณทอง “เข้ามาใกล้ๆ นี่ซิ”
พิณทองคลานเข้ามาใกล้อีก หญิงชราขยับตัวจ้องหน้าจริงจัง จนพิณทองเหมือนจะหวาดๆ “ต้องระวังผัวของเราให้ดีนะ”
พิณทองและพิชญ์ชะงัก รวมทั้งอดิศวร์และแสงแขด้วย
“อย่าให้นังพลับพลึงมันแย่งไปได้”
ทุกคนสะดุ้ง โดยเฉพาะพิณทองหวาดระแวงแคลงใจ
“เคยเห็นมันหรือยัง นังพลับพลึงน่ะ มันจะมาตอนวันพระจันทร์เต็มดวง” ท่านผู้หญิงสรรักษ์น้ำตาไหลริน “มันแย่งท่านเจ้าคุณของฉันไป...” แต่ยิ่งพูดยิ่งเพ้อ
“คุณย่าครับ” อดิศวร์บีบมือเบาๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา “นี่ลบครับ...แล้วนั่นหลานสาวกับหลานเขยของคุณย่า”
“ระวังนังพลับพลึงมันให้ดีๆ” หญิงชราย้ำคำเดิม
“แสงแข...พาคุณพิชญ์กับพิณทองออกไปก่อน”
“ค่ะ” แสงแขหันมาทาง 2 คน “เชิญค่ะ”
พิชญ์และพิณทอง ตามแสงออกไปงงๆ
อดิศวร์ทอดเสียงอ่อนโยน “คุณย่า...”
ท่านผู้หญิงจับมืออดิศวร์ไว้ “เตือนหลานด้วยนะลบ ระวังนังพลับพลึงมันจะแย่งผัว”
“คุณย่านอนดีกว่า...ผมจะอยู่เป็นเพื่อน”
อดิศวร์ปรับหมอนใหม่ให้ท่านผู้หญิงลงนอน
พอออกมาด้านนอกพิณทองก็ซักแสงแขซึ่งยืนลังเลอยู่
“คะ...คุณแสงแข...ทำไมคุณทวดถึงพูดอย่างนั้น”
“ท่านก็พูดตามประสาคนแก่ที่หลงๆ ลืมๆ น่ะพิณ ...อย่ารบกวนคุณแสงแขเลย”
พิณทองยังคงมองแสงแขไม่วางตาขณะถาม “ผู้หญิงที่ชื่อพลับพลึง เป็นใครคะ”
แสงแขตัดสินใจ “เป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณย่าค่ะ...พวกเราเรียกท่านว่าคุณย่าน้อย”
“แล้ว...เรื่องที่คุณทวดพูด”
พิชญ์เรียกเป็นเชิงเตือน “พิณทอง”
“เท่าที่ทราบ ท่านเป็นภรรยาน้อยของคุณปู่ค่ะ...คุณย่าเจ็บช้ำน้ำใจมาก...”
“ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนคะ...”
“ไม่มีใครทราบแน่นอนค่ะ...บางคนก็ว่าท่านเสียไปแล้ว..บ้างก็ว่าท่านหนีออกจากบ้านไป แต่ไม่เคยมีใครได้ข่าวจากท่านเลย”
“แล้วคุณทวดผู้ชายล่ะคะ...”
พิชญ์นิ่วหน้า “พอได้แล้วน่า...พิณ”
“ท่านตรอมใจตายตั้งแต่คุณย่าน้อยหายไปค่ะ...คุณย่าเองก็เจ็บปวดมาก สังเกตในห้องโถงใหญ่ซิคะ...มีรูปบรรพบุรุษทุกท่าน ยกเว้นคุณปู่กับคุณย่าน้อย”
พิณทองสีหน้าสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
บริเวณสองข้างทางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ออกดอกสะพรั่ง เวลานั้นรถคันหนึ่งแล่นมา ภายในรถเป็นพิณทองและพิชญ์ ซึ่งเป็นคนขับ พิณทองยังไม่หายตื่นเต้น
“ยังกับนิยายแน่ะ...ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ”
“พิณไม่น่าซัก คุณแสงแขเอาเป็นเอาตายอย่างนั้นเลย”
“พิณอยากรู้นี่...พิชญ์ว่าไม่น่าแปลกหรือคะ ที่คุณทวดน้อยชื่อเหมือนแฟนคุณ” พิณทองเหน็บอีกจนได้
พิชญ์ถอนใจ
“แล้วก็มีเรื่อง...เอ้อ..รักสามเศร้าคล้ายๆ กันอีก”
พิชญ์รีบแก้ “แต่พลับพลึงไม่ได้แย่ง...”
พิณทองกระแทกเสียงใส่ทันที “อ๋อ! รู้แล้วค่ะว่าพลับพลึงของคุณเป็นคนดี...เสียสละ...พิณต่างหากที่ได้ชื่อว่าแย่ง”
พิชญ์รีบพูดและยื่นมือมาจับพิณทอง “ไม่เอาน่า...เราสัญญากันแล้วไงว่าวันนี้เราจะไม่ทะเลาะกัน เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก”
พิณทองชักมือกลับมา นัยน์ตามองไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึม พิชญ์เหลือบมองพิณทองแว่บหนึ่งอย่างอ่อนใจ
ตรงมุมหนึ่งภายนอกบ้านใต้ร่มไม้ บรรยากาศสวยงามร่มรื่น วิรงรองจูงแกมลากอุษามาที่มุมนั้น แล้วเหลียวมองโดยรอบอย่างระมัดระวัง แล้วปล่อยมืออุษาและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น
อุษารีบจับมือวิไว้ทันที “ไม่นะคะ”
“โถ..สงสารคุณพันธุ์สูรย์เถอะค่ะ...แค่คุยกับเขานิดเดียว”
วิรงรองจัดการกดโทรศัพท์ทันที ขณะที่อุษาดูว้าวุ่นใจ
“คุณวิ...”
วิรงรองยิ้มกริ่ม “พี่อุษาอยู่ตรงนี้แล้วนะคะ” ส่งโทรศัพท์ยัดใส่มืออุษา “วิจะไปรอทางโน้น! เชิญคุยกันตามสบายค่ะ”
วิรงรองรีบเดินออกไป
อุษามือสั่นขณะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู แต่ไม่พูด
พันธุ์สูรย์อยู่ในบ้านเจ้าภูไท พูดทักเสียงอ่อนโยน “คุณอุษา...”
อุษาทักกลับเสียงเบา “คะ...”
“เมื่อไหร่เราจะได้พบกัน”
“ไม่...ไม่ทราบค่ะ”
“คุณวิรงรองบอกว่า เธอจะให้คุณพาไปเที่ยวตลาดพรุ่งนี้”
“ดิฉันคง...คงไม่ว่างค่ะ”
“อย่าใจร้าย นักเลยครับ” พันธุ์สูรย์อ้อน แกมตัดพ้อ
“พอเถอะค่ะ...แค่นี้นะคะ...”
อุษาปิดโทรศัพท์ วิรงรองซึ่งยืนลับๆ ล่อๆ เป็นคนดูต้นทางอยู่ รีบเดินตรงมาถามนัยน์ตาพราว
“ว่าไงคะ”
อุษายิ่งดูอัดอั้นตันใจและว้าวุ่น “พรุ่งนี้พี่ไม่ไปด้วยนะคะ”
วิรงรองลากเสียง “พี่อุษา.....”
“คุณวิรงรอง ได้โปรดอย่ายุ่งกับพี่เลยค่ะ..พี่พอใจกับชีวิตของพี่”
“ชีวิตที่เหมือนตกเป็นทาสอย่างนี้หรือคะ”
“อย่าพูดให้มันเกินไป! คุณย่ากับคุณลบดูแลพี่อย่างดี”
“วิบอกแล้วว่า เพราะพี่มีประโยชน์กับเขา”
อุษาหันหลังเดินไปอย่างเร็ว วิรงรองไม่ยอมแพ้รีบเดินตามทันทีที่หายงง
อุษาเดินแกมวิ่งเข้ามาในบริเวณหน้าบ้าน ขณะที่อดิศวร์เดินออกมาพอดี
อุษาตกใจ “คุณลบ”
“วิ่งหนีอะไรมา”
พูดยังไม่ทันขาดคำ วิรงรองตามเข้ามา
“พี่อุ...อุ๊ย”
“อ้อ...ไม่ใช่ผี...แต่เป็นพวกล่าผี” อดิศวร์เหน็บ
วิรงรองมองเขม็ง “คุณว่าใครคะ”
อดิศวร์สบตาลูกจ้างสาว “ก็ใครล่ะที่ชอบออกมาด้อมๆ มองๆ ล่าผีตอนดึกๆ”
อุษาขยับจะปลีกตัวออกไป..วิรงรองจำใจเลิกทะเลาะรีบคว้าข้อมือไว้
“เดี๋ยวค่ะ พี่อุษา..คุณอดิศวร์ค่ะ..พรุ่งนี้พี่อุษากับดิฉันขออนุญาตเข้าเมือง คือพี่อุษาอยากจะออกไปเปิดหูเปิดตาน่ะค่ะ”
อดิศวร์ผินหน้ามาทางอุษา แล้วเบือนกลับมาที่วิรงรอง ขณะอุษารีบก้มหน้างุด
วิรงรองรีบสะกิดอุษาให้รับคำ
“ฉันดูท่าทางเธออยากจะไปมากกว่าอุษาอีกนะ! ว่าไง..อุษา”
อุษายิ้มแห้งๆ “ค่ะ”
“งั้นไปบอกสม”
วิรงรองบอกทันที “ไม่ต้องค่ะ...เราจะไปกันเอง”
อดิศวร์มองวิรงรองจับพิรุธ
วิรงรองยิ้มใส “พี่อุษาคงไม่พาหลงหรอกค่ะ”
“ตามใจ”
“ขอบคุณค่ะ...” วิรงรองรีบพูดด้วยกลัวว่าลบจะเปลี่ยนใจ
วิรงรองรีบจูงอุษาเดินไป เพื่อกันไม่ให้อดิศวร์ซักถามอุษา
อดิศวร์มองตามอย่างครุ่นคิด
2 คนเดินมาถึงบริเวณนั้น แล้วอุษาดึงแขนจากวิรงรองอย่างไม่พอใจนัก
“ทำไมทำกับพี่อย่างนี้”
วิรงรองยิ้มหวานพออกพอใจ แล้วหัวเราะคิกๆ
อุษาแปลกใจ “หัวเราะอะไรคะ”
“ก็วิเพิ่งเห็นพี่อุษาโกรธน่ะซีคะ..ปกติเห็นใจเย้น..น..เย็น”
“จะไม่ให้โกรธได้ยังไง ในเมื่อคุณวิเล่นเอาพี่ไปอ้างกับคุณลบหน้าตาเฉย”
“วิอยากให้พี่อุษา...”
วิรงรองพูดยังไม่ทันจบ...แสงแขเดินเข้ามาหน้างอหงิก
“มามุดหัวอยู่ที่นี่เอง”
อุษาปราม “หยาบคาย”
“แค่เนี้ยนะ หยาบคาย! นี่ยังไม่ได้...”
อุษาสวนคำเสียงแข็ง “แสงแข”
“ก็มันจริงนี่! คุณย่าน่ะยิ่งกว่าหยาบ”
วิรงรองพูดเบาๆ กับอุษา “วิไปก่อนนะคะ...วันนี้ยังไม่ได้โทรศัพท์ถึงคุณแม่เลย”
“ค่ะ”
วิรงรองเดินออกไป
แสงแขสะบัดหน้าพรืด “หมั่นไส้”
อุษาเดินเลี่ยงไป
“พี่อุษา! คุณย่าเรียก”
อุษานิ่วหน้าหันมามอง “อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”
“ถ้าบอกตั้งแต่แรก พี่อุษาก็ไม่โดนคุณย่าด่าน่ะซิ”
แสงแขเดินหัวเราะร่าจากไป อุษามองตามเคืองๆ แล้วเดินออกไปอีกทาง
ดึกสงัด ภายในห้องวิรงรองปิดไฟมืดสลัว บรรยากาศวังเวง วิรงรองนอนหลับสนิท ลมภายนอกพัดกรูเกรียว ดังหวีดหวิวน่ากลัว บานหน้าต่างเปิดออกราวกับถูกผลักอย่างแรง ลมพัดเข้ามา ม่านปลิวไสว วิรงรองขดตัวด้วยความหนาวทั้งๆ ที่หลับ
ไอหมอกจางๆ ม้วนตัวเข้ามาในห้อง ชวนเย็นยะเยือก เสียง พลับพลึง ดังขึ้นมาเบาๆ แผ่วโหย เหมือนคนร้องไห้
“วิรงรอง...วิรงรอง”
ร่างวิรงรองบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย เหมือนจะได้ยินเสียงนั้น
“วิรงรอง”
วิรงรองพึมพำทั้งๆ ที่ยังหลับตา “ใคร..พี่อุษาหรือคะ”
“วิรงรอง..ตื่นแล้วฟังฉัน” พลับพลึงถอนสะอึ้น
เปลือกตาวิรงรองขยับครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ สายตาเห็นร่างๆ หนึ่งซึ่งที่แท้คือคุณพลับพลึงซึ่งเสียบดอกพลับพลึงสีขาวที่ผม กำลังยืนอยู่ในมุมห้อง มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย พร้อมเสียงโซ่ตรวนครืดคราด
วิรงรองตกตะลึงมองภาพนั้น
ร่างนั้นค่อยๆ ขยับเดินราวกับมีอะไรถ่วงไว้ที่ข้อเท้า เห็นหน้าไม่ชัดนัก เนื่องจากไอหมอกที่ค่อนข้างหนา
“พี่อุษาหรือเปล่า”
“ฉันต่างหาก..วิรงรอง..ฉันเอง”
เสียงนั้นขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอึ้น วิรงรองยังมองเขม็ง ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ เสียงเพลง “นางครวญ” ดังขึ้นเบาๆ ชวนขนลุก
“วิรงรอง”
แล้วร่างนั้นเหมือนสะดุดอะไรบางอย่าง ล้มลงตรงหน้าเตียง วิรงรองสะดุ้งเฮือก..ร้องออกมาด้วยความตกใจ
มือของพลับพลึงค่อยๆ เลื่อนมาจับขอบเตียงเหมือนจะพยุงร่างให้ลุกขึ้น วิรงรองกรีดร้องสุดเสียงดังสนั่น
วิรงรองยังไม่รู้ว่า ห้องใหม่ของตนคือห้องเดิมที่พลับพลึงเคยอาศัยอยู่!
อ่านต่อหน้า 3
โดมทอง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ด้านอดิศวร์ตกใจตื่นลุกขึ้นนั่งด้วยเสียงกรีดร้องของวิรงรอง
“วิรงรอง”
อดิศวร์รีบลุกขึ้นไปเปิดประตู เดินออกไป
แทบจะทันที อดิศวร์รีบเดินมาเคาะห้องวิรงรองแล้วร้องเรียก
“วิรงรอง! วิรงรอง”
ทุกอย่างเงียบสนิท
อดิศวร์ร้อนใจ รัวทุบหนักขึ้น “วิรงรอง”
ทุกอย่างยังเงียบงันอยู่เช่นเดิม อดิศวร์รีบกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
อดิศวร์รีบร้อนเข้ามา เหลียวหน้าเหลียวหลัง แล้วรีบไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชักออกหยิบกุญแจห้องออกมา แล้ววิ่งออกไปจากห้องอย่างรีบร้อน
อดิศวร์วิ่งเข้ามา...ไขกุญแจ รีบเข้าไป เจอร่างวิรงรองซึ่งนอนหมดสติอยู่หน้าเตียง
“วิรงรอง”
อดิศวร์ทรุดตัวลงช้อนร่างวิขึ้นมา แล้วค่อยๆ วางบนเตียงอย่างทะนุถนอม ลูบเรือนผมเบาๆ
“วิรงรอง”
วิรงรองค่อยๆ ลืมตาขึ้น..ตกใจเมื่อเห็นอดิศวร์
“คุณอดิศวร์” ถดตัวถอยไปจนสุดเตียง “เข้ามาได้ยังไง!..ออกไปนะ”
อดิศวร์เซ็ง “เอ้า! ทำคุณบูชาโทษเสียอีก ฉันได้ยินเสียงเธอร้องก็เลยรีบเข้ามาดู!
วิรงรองหันไปมองมุมห้องอีกที “มีคนเข้ามาในนี้”
“ก็ฉันนี่ไง”
“ไม่ใช่! เป็นผู้หญิง..เขารู้จักชื่อดิฉันด้วย”
“คงเป็นผีที่คุณกำลังตามหาอยู่มั้ง” อดิศวร์แขวะ
วิรงรองหันขวับมามอง “เชิญออกไปได้”
วิรงรองลุกลงจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้ อดิศวร์ลุกจากเตียงขยับจะเดิน แล้วชะงักก้มมอง ที่พื้นห้อง ซึ่งลบเกือบเหยียบ มีดอกพลับพลึงตกอยู่
อดิศวร์ก้มลงเก็บขึ้นมา
“อะไรคะ”
“ดอกพลับพลึง”
วิรงรองสะดุ้ง “ผู้หญิงคนนั้นเสียบดอกพลับพลึงที่ผม”
อดิศวร์ไม่คิดอย่างนั้น “เธอเอาเข้ามาเองมากกว่ามั้ง...เห็นชอบไปเก็บมาปักแจกันนี่”
“แต่ฉันไม่ได้ไปเก็บหลายวันแล้ว”
อดิศวร์วางดอกไม้บนโต๊ะข้างเตียงและเดินมาที่ประตู “ฉันว่าเธอคงว่างเกินไป ลองหาอะไรทำหน่อยดีไหม จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
อดิศวร์เดินออกไป วิรงรองตามไปปิดประตูดังปังอย่างหงุดหงิด
“คนบ้า”
วิรงรองเดินกลับมาที่เตียง หยิบดอกพลับพลึงขึ้นมาดูด้วยสีหน้าพิศวง
เช้ามืดอุษาและอุไรกำลังช่วยกันทำอาหารเช้า วิรงรองเดินเข้ามา 2 มือไขว้หลัง
“คุณวิ..วันนี้ลงมาแต่เช้ามืดเลยนะคะ” อุไรทัก
วิรงรองยื่นดอกพลับพลึงให้อุษาดู “นี่ค่ะ”
อุษางง “ทำไมหรือคะ”
“เมื่อคืนมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในห้องวิ..เขาเสียบดอกไม้ดอกนี้ที่ผม”
อุไรอุทานดังลั่น “ผี”
อุษาหันมาดุ “อุไร”
“ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรได้ล่ะค่ะ! ดีไม่ดี..อาจเป็นผีคุณพลับพลึง!เพราะห้องนั้นเดิมเคยเป็นห้องของเธอ นี่อุไรไม่ได้เอาความลับมาเปิดเผยนะคะ มันพรั่งพรูออกมาเอง”
วิรงรองมองอุไรพลางเบิกตากว้าง
“อุไร! จะออกไปได้หรือยัง” อุษาเอ็ดเอา
“ค้ะแล้วไค่...ได้แล้วค่ะ! เดี๋ยว ต้องอาราธนาพระก่อน”
พลางอุไรกุมพระพนมมือไหว้ ปากพึมพำสวดมนต์แล้วเดินออกไป
วิรงรองหันมามองอุษา “ห้องนั้นเคยเป็นห้องของคุณพลับพลึงจริงหรือคะ”
“คนเก่าคนแก่เขาว่าอย่างนั้นค่ะ”
วิรงรองมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น ผู้หญิงที่วิเห็นก็อาจจะเป็นวิญญาณคุณพลับพลึงจริงๆ”
“ไปกันใหญ่แล้ว...คุณย่าน้อยเสียหรือยังก็ไม่มีใครยืนยันได้” อุษาว่า
“ท่านคงไม่อยู่แล้วละค่ะ” วิรงรองบอก
“คุณวิทราบได้ยังไง”
“ไม่รู้ซิคะ..แต่วิค่อนข้างแน่ใจ...”
“อยากย้ายห้องหรือเปล่า” อุษาถาม
“ไม่ค่ะ...” วิรงรองบอกด้วยสีหน้าแน่วแน่ “เมื่อคืน ท่านคงพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง”
สีหน้าวิรงรองใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
ทั่วท้องทุ่งดอกพลับพลึงโอนเอนตามสายลม วิรงรองเดินคุยโทรศัพท์อยู่ในบริเวณนั้น คู่สนทนาคืออนิรุทธิ์ ซึ่งอยู่ในออฟฟิศกรมทหารที่กรุงเทพฯ
“เมื่อคืนเกือบจะเห็นหน้าคุณพลับพลึงอยู่แล้ว...แต่หมอกกระจายบังไว้หมดเห็นแวบๆ แค่เค้าโครงหน้า แล้วก็ดอกพลับพลึงที่เสียบผม”
อนิรุทธิ์ลากเสียงเป็นเชิงเตือน “วิ...มันก็แค่ความฝัน”
วิรงรองแย้งเสียงแข็ง “แล้วทำไมหน้าต่างเปิด”
“หน้าต่างเปิดเพราะลมแรง ผมฟังรายงานสภาพอากาศ..เขาบอกว่า เมื่อคืนมีพายุเข้าที่นั่น”
“แล้วดอกพลับพลึงล่ะ มาจากไหน”
“ก็อาจจะเป็นคุณอดิศวร์ เขานึกหมั่นไส้วิ”
วิรงรองขัดขึ้นทันที “เขาไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ”
“นั่นแน่! มีแก้แทนกัน” อนิรุทธิ์แซว
วิรงรองเขินแวบหนึ่ง “บ้า! วิจะบอกว่าดอกไม้นั่นไม่ได้มาจากเขาแน่” เว้นจังหวะไปอีกนิด “รุทธิ์! วิจะเอาจริงแล้ว! วิจะเริ่มต้นสืบเรื่องราวทั้งหมด”
อนิรุทธิ์ร้องลั่น “เฮ้ย”
“แล้วถ้าติดขัดอะไร วิจะโทร.มาปรึกษา โอเค นะคู่หู”
วิรงรองปิดโทรศัพท์
“เดี๋ยว! เดี๊ยว...วิ...เฮ้อ! หาเรื่องแล้วมั้ยล่ะ”
อนิรุทธิ์ส่ายหน้าขำปนระอา พลางปิดโทรศัพท์
บรรยากาศบริเวณเรือนคนรับใช้ดูเงียบสงัด ออกไปทางวังเวง เห็นผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม และปลอกหมอนที่ตากไว้ปลิวไปตามสายลม
วิรงรองขี่จักรยานตรงมาและกำลังจะผ่านเลยไป จู่ๆ มีเสียงหน้าต่างบานหนึ่งเปิดดังปัง วิรงรองหยุดปั่น หันกลับไปมอง พบว่าหน้าต่างห้องบานหนึ่ง เหมือนมีคนดึงให้ปิด
วิรงรองลงจากจักรยานเดินมาใกล้ๆ “มีใครอยู่หรือเปล่าคะ”
ทุกอย่างเงียบสนิท
“ฮัลโหล ...มีใครอยู่หรือเปล่า”
ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท...วิรงรองหันไปมองโดยรอบ เห็นมีเพียงผ้าที่ตากไว้ปลิวไสวตามสายลม ทว่าบรรยากาศช่างดูวังเวงยิ่งนัก
“หายไปไหนกันหมด”
วิรงรองหันกลับขยับออกเดินแล้วสะดุ้งเฮือก ร้องดังลั่นเช่นกัน
“ป้าอุไร”
“คุณวิ! โอย! ขวัญหายกระเจิดกระเจิงเปิดเปิงหมด”
“ป้าน่าจะให้เสียงซักหน่อย”
“ป้าจะให้แล้วล่ะค่ะ แต่พอเห็นคุณวิกำลังด้อมๆ มองๆ ก็เลยกลัวว่าจะซิสะมาเถีย...เสียสมาธิ”
วิรงรองนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วจ้องอุไรเขม็ง
“คุณวิขา...อย่ามองป้าแบบนั้นซิคะ”
“วันนั้นเรายังคุยกันไม่ทันจบดี”
“วะ....ไวหนัน...วันไหนคะ”
“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า” วิรงรองจับแขนอุไรดึงแกมลากมา
“ตรง....ตรงนี้ก็เงียบค่ะ” อุไรขืนตัวไว้
“ไปเถอะน่า”
วิรงรองออกแรงลากอุไรไปจนได้ โดยไม่สังเกตว่าที่หน้าต่างซึ่งกระแทกปิดเมื่อสักครู่
ภายในห้องเก็บของขณะนั้นมืดสนิท เต็มไปด้วยหยากไย่และฝุ่นละออง ราวกับเป็นห้องที่ทิ้งร้างไม่มีคนอยู่มาช้านานข้าวของภายใน เช่นหีบใส่เสื้อผ้า...ที่นอน หมอน มุ้ง เก่าคร่ำคร่า และขาดวิ่นตามวันเวลาที่ผ่านไป
ร่างใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้ แล้วมองไปที่บานหน้าต่าง ราวกับจะแลลอดไปเห็นภาพข้างนอก ร่างๆ นั้นค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ เห็นว่าเป็น...ผีพิศ!!
ในมุมหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศเวิ้งว้างโดยรอบ อุไรปฏิเสธวิรงรองหน้าตาตื่น
“อุ๊ย ป้าไม่ทราบจริงๆ ค่ะ...ป้าบอกไปแล้วนี่คะ...แต่ถ้าจะให้เดา...คุณวิคงต้องไปลองหาดูในห้องเก็บของค่ะ(อุไรนึกได้ว่าไม่ควรพูด” รีบอุดปากตัวเอง “อุ๊บ! นี่ป้ายังไม่ได้บอกอะไรคุณใช่มั้ยคะ”
วิรงรองบอกหน้าตาย “เปล่าจ้ะ ...ยังไม่ได้บอกอะไรเลยแม้แต่คำเดียว”
อุไรลูบอกโล่งใจ “ค่อยยังชั่ว”
“แล้วห้องเก็บของนี่...”
“ฮั่นแน่! จะหลอกถามป้าใช่มั้ยว่า ห้องเก็บของอยู่ที่ไหน! ป้ารู้ทันหรอกน่า”
“วิรู้คะว่าห้องเก็บของน่ะต้องอยู่บนยอดโดมนั่น”
อุไรภาคภูมิใจ “ไม่ใช่ค่ะ อยู่ข้างหลังโรงเก็บรถม้าเก่าโน่น”
“เอ๊ะ! แล้วทำไมวิไม่เห็น”
“เพราะคุณวิไม่ได้สังเกตน่ะซีคะ”
วิรงรองยืนลังเล อยากจะไปดู แต่ก็นัดกับอุษาและพันธุ์สูรย์ไว้ มองดูนาฬิกาข้อมือ
“ว้า ! ไปตอนนี้ไม่ได้เสียด้วย”
“ไปตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นค่ะ” สีหน้าอุไรสยดสยองขณะบอก “ผีดุ”
ด้านอุษาแต่งตัวสวยงามเรียบร้อยจะออกไปข้างนอก เข้ามาขออนุญาตอดิศวร์ซึ่งอยู่ในห้องทำงาน
อดิศวร์พูดไม่ได้เงยหน้ามอง “ไปเถอะ ...ชวนแสงแขไปด้วยก็ได้...ให้อุไรไปอยู่กับคุณย่าแทน”
“เอ้อ...อุษาไปกับคุณวิรงรองค่ะ”
อดิศวร์ชะงักนิดหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง “ใครชวนใครกันแน่”
“เอ้อ...คุณวิอยากไปเที่ยวตลาดน่ะคะ...เธอยังไม่เคยไป”
อดิศวร์เอนตัวพิงพนัก มองอุษาด้วยสายตานิ่งๆ ขณะพูดดักคอ “ไม่ได้แอบไปพบกับใครนะ”
อุษามีพิรุธทันที อึกอักพูดไม่ออก เพราะคิดว่าอดิศวร์ถามเรื่องพันธุ์สูรย์
“ใช่เจ้าภูไทหรือเปล่า” อดิศวร์ถามย้ำ
อุษาชะงัก แล้วยิ้มโล่งใจเมื่ออดิศวร์เข้าใจผิด
“เปล่าค่ะ...คุณวิไม่ได้นัดพบกับเจ้าภูไทแน่นอน”
“แน่ใจ” อดิศวร์ถามย้ำ
อุษารับเต็มปากเต็มคำ “แน่ใจค่ะ”
“ความจริง...ถ้าจะนัดพบกันก็เป็นเรื่องของเขา แต่พี่ไม่ชอบให้มาโกหกกัน...จะไปพบใครก็บอกตรงๆ เพราะพี่รับปากกับคุณแม่เขาว่าจะดูแลลูกสาวให้อย่างดี”
“คุณวิไม่ได้นัดพบกับใครแน่นอนค่ะ” อุษายืนกราน
อดิศวร์เสียหน้า “งั้นก็ไปเถอะ”
อุษามีสีหน้ารู้สึกผิดนิดๆ ขณะยกมือไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
อดิศวร์ทำงานต่อ ส่วนอุษาเดินออกไป
อุษามายืนรออยู่ที่รถตรงหน้าตึก ขณะที่วิเดินมากับอุไร
“พี่ขออนุญาตคุณลบเรียบร้อยแล้ว ...ไปกันเถอะค่ะ”
สองสาวเดินมาเปิดประตูรถ
“เที่ยวให้สนุกนะคะ” อุไรยิ้มส่ง
สองคนยิ้มบอก “ขอบใจจ้ะ” ไล่เลี่ยกัน
เสียงแสงแขแหลมเข้ามา “นั่นจะไปไหนกัน”
ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นแสงยืนเริดเชิดหยิ่งตามเคย
“ไปเที่ยวตลาดกับคุณวิ” อุษาบอก
“ขออนุญาตคุณลบหรือยัง”
วิรงรองขึ้นนั่งที่คนขับโดยไม่สนใจคำถามแสงแข โดยสายตาแสงแขมองตามอย่างไม่กินเส้น
“ขอแล้ว” อุษาตอบ
แสงแขกอดอก พูดแขวะ “ทีน้องละก็ไม่ชวน...ดันไปชวนคนอื่น”
“ชวนทีไรเธอไม่เคยไปสักที” อุษาขึ้นรถไป
แสงแขตะโกนไล่หลัง “อย่าเอารถไปชนอะไรนะยะ”
วิรงรองขับออกไปโดยไม่สนใจ แสงแขมองตามด้วยแววตาถมึงทึง แล้วหันมาสบตาอุไรโดยบังเอิญ อุไรสะดุ้งเฮือก
แสงแขตวาด “มองอะไร”
อุไรตอบทันทีแบบคนบ้าจี้ “เปล่าค่ะ”
“ก็แกกำลังจ้องฉันอยู่”
“ถ้าคุณแขไม่ได้จ้องอุไร คุณแขจะทราบได้ยังไงคะว่าอุไรจ้องคุณ” อุไรต่อปาก
แสงแขของขึ้น “นังอุไร”
“เพื่อเห็นแก่ความสงบเรียบร้อย...อุไรไปล่ะค่ะ”
อุไรรีบเดินเข้าตึกไป
แสงแขมองตามบ่นบ้าในท่าทีโกรธจัด “พอมีพวกเข้าก็ปีกกล้าขาแข็งนะแก ! เดี๋ยวเจอกัน”
แสงแขใส่ไฟอุไรต่อหน้าท่านผู้หญิง มีโอบอ้อมก้มหน้าอยู่ทางประตู
“แต่ก่อนอุไรไม่เคยเป็นอย่างนี้นะคะ...แต่พอนัง...เอ๊ย วิรงรองมามันก็เปลี่ยนเป็นคนละคน”
ท่านผู้หญิงหน้านิ่ง ดวงตาเป็นประกายกล้า “นังโอบ”
“เจ้าขา”
“ไปเชิญคุณลบมา”
“เจ้าค่ะ”
ขณะที่โอบอ้อมคลานออกไป แสงแขสบตาโอบ พยักหน้าให้นิดๆ เป็นเชิงรู้กัน
“เอ้อ...แข...แขออกไปก่อนนะคะ...เดี๋ยวคุณลบจะหาว่าแขมาฟ้องคุณย่า”
“ไม่ต้องออกไป” ท่านผู้หญิงเสียงเข้ม
“แล้ว...”
“แกนึกว่าตาลบโง่นักเรอะ! มันก็มีแกอยู่คนเดียวที่ชอบสาระแนมาฟ้องฉัน”
แสงแขก้มหน้าลง ใบหน้าแสงมีแววตาเป็นประกายกล้าไม่พอใจ
วิรงรองขับรถมาเรื่อยๆ เพลินเพริดกับภาพบรรยากาศ 2 ข้างทาง ในขณะที่อุษายังมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เดี๋ยวถึงทางแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้าย”
วิรงรองชำเลืองมองอุษา “ยังไม่สบายใจอยู่อีกหรือคะ”
“พี่ไม่เคยโกหกคุณลบ”
“พี่อุษาก็ไม่ได้โกหกนี่คะ...เพียงแต่พูดไม่หมด”
อุษาถอนใจยาว วิรงรองเอื้อมมือมาบีบหลังมืออุษาเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยน ก่อนที่วิรงรองเลี้ยวรถลับตาไป
ฟากสามคนอยู่ในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ด้วยกัน
“แสดงว่าลบรับรู้แล้วอนุญาตให้มันขับรถไป”
“เขาไปกับอุษาครับ”
“ย่าอยากรู้ว่าลบอนุญาตหรือเปล่า”
“ใช่ครับ”
ระหว่าง 2 คนพูดกัน แสงแขนั่งก้มหน้าตลอดเวลา
“อีกหน่อยก็คงจะยกบ้านนี้ให้มัน” ท่านผู้หญิงกระแทกเสียงใส่
“คุณย่าก็ทราบว่าเป็นไปไม่ได้”
ท่านผู้หญิงจ้องอดิศวร์เขม็ง พูดเสียงแข็ง “ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น! ย่าเคยคิดว่าเจ้าคุณสรรักษ์ฯ รักย่า จะไม่มีวันนอกใจย่า...ไม่เคยคิดว่านังพลับพลึง ที่ย่าให้ความเมตตาปรานีจะเนรคุณ แต่แล้ว...” นัยน์ตาหญิงชราเป็นประกายกล้ากร้าว
“แต่นี่มันไม่เหมือนกันครับ” ผู้เป็นหลานทักท้วง
“ไม่เหมือน แต่มันจะนำไปสู่สิ่งที่ย่าเคยขอร้องลบไว้...คำสัญญาหรือสาบาน ไม่เคยมีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกทรยศ! หรือว่าลบอยากจะสาบานกับย่า”
อดิศวร์นิ่งงันไป แสงแขลอบช้อนสายตามองแว่บหนึ่ง
ท่านผู้หญิงนัยน์ตาเป็นประกายกล้าแข็งยิ่งขึ้น “ว่าไง”
“ผมไม่ชอบสาบาน...ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น”
สีหน้าอดิศวร์แน่วแน่เช่นกัน
“เพราะเราไม่สามารถรับรองได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์สะอึก
แสงแขเดินเข้ามาในครัว ซึ่งโอบอ้อมรออยู่
“ว่าไง”
โอบอ้อมยิ้ม “เรียบร้อยแล้วค่ะ...พี่อ๊อดไปดักรอคุณอุษากับแม่นั่นอยู่ที่ตลาด”
แสงแขยิ้มอย่างพอใจ
แลเห็นผู้คนจับจ่ายใช้สอยกันค่อนข้างคึกคักในบริเวณตลาดนัด วิรงรองขับรถมาจอดในบริเวณที่จอดรถ แล้วทั้งคู่เปิดประตูลงมา โดยอุษายังมีท่าทีหวาดระแวง ขณะที่วิรงรองมองโดยรอบ
จึงเห็นเจ้าภูไทและพันธุ์สูรย์เดินตรงมาจากมุมหนึ่งด้วยสีหน้าแจ่มใส
“อ้าว นั่นเจ้าภูไทก็มาด้วย”
2 คนเดินมาใกล้ วิรงรอง และอุษาไหว้ทักทาย
สองหนุ่มรับไหว้ พันธุ์สูรย์มองอุษาด้วยความรักและคิดถึง จนอุษาต้องก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น
“ไม่ยักรู้ว่าเจ้า...เอ๊ย พี่ชายจะมาด้วย” วิรงรองบอกยิ้มๆ
ภูไทนัยน์ตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินคำว่า “พี่ชาย” แล้วเอ่ยถาม
“หิวกันหรือเปล่า”
2 สาวบอกพร้อมกัน “ไม่ค่ะ”
“งั้นพาคุณวิรงรองชมตลาดกัน” พันธุ์สูรย์ออกไอเดีย
“เชิญคุณพันธุ์สูรย์กับพี่อุษาเถอะค่ะ...วิจะไปกับพี่ชาย”
อุษาชะงัก....พันธุ์แตะข้อศอกเบาๆ
“ไปท่าน้ำกันเถอะ คุณอุษา”
อุษาเดินไปกับพันธุ์สูรย์ วิรงรองและภูไทมองตาม
“เราไปหาที่นั่งกันดีกว่าค่ะ...วิมีอะไรจะถามพี่ชายเยอะแยะ”
“งั้นไปหาร้านเงียบๆ ดีไหม”
วิรงรองพยักหน้าแล้วเดินไปกับภูไท
ระหว่างที่ทั้ง 4 คนคุยกัน จนกระทั่งแยกกันเป็น 2 คู่ อ๊อดหลบอยู่และถ่ายรูปตลอดเวลา
สองคนเดินเข้ามาในบริเวณศาลาท่าน้ำ แล้วทรุดตัวลงนั่ง อุษายังคงมีท่าทีหวาดระแวง คอยหันมองโดยรอบ ด้วยกลัวว่าจะมีใครมาเห็น
“ไม่ต้องกลัวใครมาเห็นหรอกครับ...รับรองว่า ผู้คนที่โดมทองไม่มีวันลดตัวมาแถวนี้”
พันธ์สูรย์เข้าใจถูกและผิด เพราะอ๊อดที่อยู่มุมหนึ่ง คอยถ่ายรูปคนทั้งคู่เป็นคนที่แสงแขจ้างวานมา
“ไม่ทราบซิคะ...อุษาไม่ค่อยสบายใจ”
พันธุ์สูรย์มองอุษาด้วยแววตาหวานซึ้ง เปี่ยมความรักตลอดเวลา
“ต้องขอบคุณคุณวิรงรองที่อุตส่าห์เสี่ยงอันตรายพาเรามาพบกัน”
อุษาเงยหน้ามองขณะถาม “พันธุ์สูรย์สบายดีนะคะ”
“ก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร นอกจาก...” นัยน์ตาพันธุ์สูรย์เป็นประกายพราวขณะบอกคำต่อมา “คิดถึงคุณ”
อุษาหน้าแดง “ฮื้อ ...”
พันธุ์สูรย์พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ขอบอกความจริงว่า หลังจากถูกคุณลบเยาะเย้ยถากถาง...ผมก็พยายามจะลืมคุณ...แต่ไม่สำเร็จ และในเมื่อไม่สำเร็จ ผมเลย...ตัดสินใจว่าจะสู้ทุกวิถีทางเพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน...คุณต้องเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ” พลางจับมืออุษามากุมไว้ “ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาพรากเราจากกันอีกแน่นอน”
อ๊อดกดชัตเตอร์บันทึกภาพช็อตนี้
อุษาส่ายหน้าเศร้าๆ “ไม่มีประโยชน์ค่ะ คุณลบไม่มีวันยอมแน่นอน”
“เขามีสิทธิ์อะไร คุณโตแล้ว และก็ไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ย คุณมีอิสระที่จะตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตได้ ...ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณคนเดียวว่าพร้อมหรือเปล่า”
อุษาก้มหน้านิ่ง
“ว่ายังไงครับ” พันธุ์สูรย์คาดคั้น
อุษาเงยหน้าขึ้นในที่สุด บอกด้วยสีหน้าแน่วแน่ “ยังไม่พร้อมค่ะ”
พันธุ์สูรย์มองตามอย่างประหลาดใจ และผิดหวัง
ด้านเจ้าภูไทกับวิรงรองเดินคุยกันมาตามทางเดินอันร่มรื่น วิรงรองเล่าเรื่องที่คุยกับอนิรุทธิ์ให้ภูไทฟังจนจบแล้ว
“พี่ชายคิดว่าวิโกหกหรือว่าฝันกันแน่คะ”
“คุณวิ”
วิรงรองเอียงคอล้อ “แอ๊ะ”
ภูไทหัวเราะขำ “วิไม่ได้โกหกแน่นอน แต่ถ้าฝันละก็ไม่แน่”
“งั้นดอกพลับพลึงมาได้ยังไง” วิรงรองคาใจเรื่องนี้มาก
“อันนี้แหละปัญหา...เพราะคนอย่างคุณลบคงไม่ถือดอกพลับพลึงเข้ามาแกล้งวิหรือใครแน่ๆ”
“วิก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ....” วิรงรองเว้นจังหวะไปนิด “วิอยากเห็นรูปคุณพลับพลึงจัง ทำไมท่านผู้หญิงถึงนึกว่าวิเป็นคุณพลับพลึง...วิคิดว่าเราอาจจะมีเค้าหน้าคล้ายๆกัน”
ภูส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ! คนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยจะมาเหมือนกันได้ยังไง ! ผิดหลักวิทยาศาสตร์”
วิรงรองเถียงทันที “แต่พี่ชายต้องยอมรับว่า ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้”
“พี่ยังเชื่อว่า อธิบายได้ อีกอย่าง...ท่านผู้หญิงแก่มากแล้ว...หูตาฝ้าฟาง”
“ระยะห่างแค่นั้น คงไม่ฟางขนาดมองคนหนึ่งเป็นอีกคนหรอกค่ะ”
“สรุป...วิคิดว่าบ้านนั้นมี...ผี”
วิรงรองหยุดเดินแล้วหันมามอง “วิอยากเรียกว่าดวงวิญญาณมากกว่าค่ะ เป็นดวงวิญญาณที่ยังไปผุดไปเกิดไม่ได้ เพราะมีบางสิ่งบางอย่างค้างคาอยู่ ซึ่งวิจะต้องสืบรู้ให้ได้”
ภูไทสะดุ้ง “พี่ว่าอย่าไปยุ่งเลย”
วิรงรองออกเดินต่อเงียบๆโดยไม่รับปาก ภูไทเดินตามพลางมองอย่างกังวล
ส่วนที่ท่าน้ำ แลเห็นผืนน้ำกระเพื่อมด้วยเรือขายของผ่านไปมา 2 คน นั่งกันเงียบๆ จนกระทั่งอุษาขยับตัวในที่สุด
“กลับกันเถอะค่ะ”
พันธุ์สูรย์ตัดสินใจ “ยังไงผมจะรอคุณ”
อุษาหันมามอง พันธุ์สูรย์มองมาในท่าทีอันแน่วนิ่ง
“ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหนก็ตาม”
อุษาสะท้อนใจน้ำตารื้นขึ้นมา “อย่ารอเลยค่ะ...มันอาจจะไม่มีวันนั้นจนชั่วชีวิต...อุษาไม่อยากเป็นคนอกตัญญู”
“คุณทำเพื่อพวกเขามามากแล้ว”
อุษาส่ายหน้า น้ำตาหยดริน “บุญคุณของทั้งคุณย่าและคุณลบท่วมหัว...ตอบแทนเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด”
“แล้วถ้าท่านผู้หญิงตายล่ะ”
อุษาตกใจ “พันธุ์สูรย์”
“ผมพูดเผื่อไว้...ท่านก็อายุมากแล้ว” พันธุ์สูรย์ว่า
“เรากลับกันดีกว่า”
อุษาเดินออกไป พันธุ์สูรย์ถอนใจยาวขณะเดินตาม
วิรงรองและเจ้าภูไท นั่งคุยกันอยู่ในบริเวณที่จอดรถ รอพันธุ์สูรย์และอุษา
“วิต้องระวังตัวให้ดี โดมทองมีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 คนที่เคยอยู่ที่นั่นเล่าให้ฟังว่า โดมทองไม่ใช่บ้านธรรมดา...มันมีจิตวิญญาณบางอย่าง”
วิรงรองหัวเราะคิก “เรียกว่าบ้านผีสิง”
ภูไทดุไม่จริงจัง “ทำเป็นพูดเล่นดีไปเถอะ”
“วิพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น...ก็วิทั้งเคยเห็นเคยได้ยินอะไรบางอย่างที่นั่น” วิรงรองถอนใจ “ไม่รู้ซิคะ บางทีวิก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่บางครั้งมันก็มีอะไรแวบๆ เข้ามาว่า อาจจะเกิดจากการกระทำของใคร คนใดคนหนึ่งที่ต้องการให้วิกลัว”
“มากันแล้ว” ภูไทบอก
วิรงรองหันไปมองตามสายตาภูไท เห็นพันธุ์สูรย์และอุษาช่วยกันหอบผักสดเมืองหนาว สตรอเบอร์รี่ และผลไม้อื่นๆมาด้วย
วิรงรองเดินไปช่วยรับกับเจ้าภูไท “ซื้ออะไรมาเยอะแยะไปหมด”
“คนที่โดมทองจะได้ไม่สงสัยไงครับ ว่ามาตลาดทั้งที ทำไมไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลย”
“พันธุ์สูรย์เขารอบคอบ” ภูไทเย้า
ทั้งหมดเดินเอาของมาเก็บที่รถวิรงรอง
จังหวะนี้อ๊อดถ่ายรูปหมู่นั้นอีกครั้ง
อุษายืนมองไปโดยรอบอย่างกังวล เห็นภาพชีวิตผู้คนโดยรอบเป็นปกติ
“ไม่มีอะไรหรอกคุณอุษา” พันธุ์สูรย์บอก
ภูไทมองโดยรอบอีกที “ขึ้นรถเถอะครับ”
ทั้ง 4 คนแยกย้ายกันขึ้นรถ แล้วต่างขับออกไป
อ๊อดหันกลับมาจากการทำภารกิจให้แสงแข หันไปทำทีเป็นซื้อของ
ในบรรยากาศร่มครึ้มของโดมทอง 2 สาวกำลังคุยกันอยู่บริเวณนั้น อ๊อดโทร.มาเล่าเรื่องให้โอบอ้อมฟัง และมันถูกรายงานต่อมายังแสงแขในตอนนั้น
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกายของผู้ชนะ “ดีมาก แกให้เขาส่งมาทางไปรษณีย์ถึงคุณลบเลย”
“เดี๋ยวนี้เลยหรือคะ” โอบอ้อมอึ้ง
แสงแขชักฉุน “แล้วจะให้ส่งมาชาติหน้าเรอะไง! โทร.เลย”
โอบอ้อมรีบกดโทรศัพท์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มประจบประแจง
เวลานั้นภายในห้องนั่งเล่น อดิศวร์กำลังนั่งคุยอยู่กับพิณทอง และพิชญ์ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ชายหาดโดมทองนี่ยังมีปูลมอยู่อีกหรือคะ”
“ก็ไม่มีใครมาจับนี่”
“ดีจัง แต่พิณจะจับแล้วก็ปล่อย...กลัวบาป”
“กลัวบาปก็อย่าไปจับสิครับ” พิชญ์แจม
พิณทองเมินไปอีกทาง อุษาและวิรงรอง เดินเข้ามาพอดี ทั้ง 2 คนชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นลบไม่ได้อยู่คนเดียว
พิชญ์มองวิรงรองนัยน์ตาเป็นประกายแว่บหนึ่ง แต่ไม่พ้นสายตาจับผิดของอดิศวร์และพิณทอง
“นั่งก่อนซิ” อดิศวร์บอก
“ไม่เป็นไรค่ะ...อุษากับคุณวิรงรองจะมาเรียนคุณลบว่า เรากลับมากันแล้ว”
พิชญ์ประชดขณะชายตามองวิรงรอง “ว่าง่ายจริง”
อดิศวร์ยิ้มๆ “ที่นี่ระเบียบว่าจะไปก็ต้องลา จะมาก็ต้องไหว้ ทุกคนต้องปฏิบัติตามนี้ ! เพราะอาณาเขตของโดมทองกว้างใหญ่มาก...ถ้าใครหายไปก็จะตามหายาก...ยิ่งหายไปหลายวันยิ่งอันตราย”
ขณะอดิศวร์พูด วิรงรองหันหลังเดินออกไป
“จะไปไหนล่ะ วิรงรอง” อดิศวร์ถามเสียงดัง
“ดิฉันต้องโทรศัพท์ถึงคุณแม่ค่ะ”
วิรงรองเดินเลยไป อุษาถือโอกาสเดินตาม
“คืนนี้เราน่าจะชวนคุณวิรงรองไปด้วยนะคะ”
พิชญ์นิ่งไป ขณะอดิศวร์มองท่าทีของพิณทองอย่างพึงพอใจ
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา ทั้ง 2 ยืนอยู่ที่ประตูหน้าห้องวิรงรอง
“ดิฉันคงต้องขอตัวค่ะ”
“ทำไม...ทนเห็นพิชญ์เขาหวานกับพิณตามประสาข้าวใหม่ปลามันไม่ได้หรือไง”
วิรงรองตวัดสายตาเยาะผ่านใบหน้าเจ้าของคำพูดแดกดันนั้น “เกรงว่า หลานสาวของคุณคงจะทนไม่ได้มากกว่า ที่เห็นพิชญ์คอยวนเวียนอยู่กับดิฉัน”
อดิศวร์จับต้นแขนวิรงรองกระชากเข้ามาใกล้บีบอย่างแรง วิรงรองนิ่วด้วยความหน้าเจ็บ แต่กัดฟันไม่ยอมร้องออกมา
“อ้อ...เจ็บเป็นเหมือนกัน เจ็บก็ร้องออกมาซิ ฉันจะได้ปล่อย”
วิรงรองสบตาอดิศวร์แน่วนิ่ง “ไม่! ฉันจะไม่มีวันร้องขอความกรุณาใดๆ จากคุณ”
“เก่งนักเรอะ”
อดิศวร์รวบตัววิรงรองเข้ามา
“น้าลบ”
2 คนสะดุ้งหันกลับไปมอง วิรงรองผลักอดิศวร์ออกทันที ในขณะที่พิณทองยิ้มนิดๆ
วิรงรองขยับจะเข้าห้อง แต่ถูกอดิศวร์คว้าข้อมือไว้
“เอ้อ...ขอโทษค่ะ...พิณจะมาชวนคุณวิรงรองไปเดินเล่นชายหาดคืนนี้ แต่...น้าลบคงตัดหน้าพิณไปแล้ว”
“คงจะเป็นอย่างที่คุณพิณว่า น้าลบชวนวิรงรอง และเขาก็ตอบตกลง” อดิศวร์โมโม
“คืนนี้เดือนหงายด้วย...ต้องสนุกแน่ๆเลย พิณไปละนะคะ”
พิณทองเดินแกมวิ่งออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างแจ่มใสจากภาพที่เห็นเมื่อสักครู่
วิรงรองสะบัดข้อมือหลุดจากอดิศวร์ แล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ฉันไม่ไป”
“งั้นก็ไม่ครบคู่น่ะซิ”
วิรงรองสวนทันควันโดยไม่รู้ตัว “คุณแสงแขไงคะ! รู้สึกว่าเธอต้องเต็มใจไปด้วยแน่”
อดิศวร์มองวิรงรอง แล้วยิ้มนิดๆ ราวกับพอใจที่เห็นท่าทีเช่นนั้น วิรงรองหน้าแดง ทั้งโกรธทั้งอายที่อดิศวร์ทำสีหน้าเหมือนอ่านใจเธอออก
“ทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เราก็จะไปกันเลย” อดิศวร์บอกต่อ
“ดิฉันไม่...”
นัยน์ตาอดิศวร์มีแววบังคับชัดแจ้ง “ฉันจะไปกับเธอ ไม่ใช่แสงแขหรือใครทั้งนั้น”
อดิศวร์ผละเดินออกไป วิรงรองมองตามอย่างหงุดหงิดขัดอกขัดใจ ขณะพึมพำออกมาอย่างดื้อรั้น
“ฉันไม่ไป ใครจะทำไม”
พิณทองเดินลงบันไดมาชั้นล่าง นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความพอใจจากภาพอดิศวร์และวิรงรองที่เห็นเมื่อสักครู่
แสงแขเดินผ่านชะงัก ตรงเข้ายิ้มแย้มทักทาย
“คุณพิณทองไปไหนมาหรือคะ...เมื่อกี้เห็นคุณพิชญ์เดินเล่นอยู่คนเดียวข้างนอก”
“ไปหาน้าลบมาค่ะ” พิณทองยิ้มเว้นจังหวะไปนิด “อีกหน่อย...ที่โดมทองต้องมีงานใหญ่แน่”
แสงแขมองตามงงๆ
พิณทองออกมานอกบ้าน เหลียวมองหาพิชญ์ พบว่าบริเวณนั้นว่างเปล่า
“หายไปไหน”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พิณหยิบขึ้นมา แล้วรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณแม่ขา...คิดถึงจังเลยค่ะ”
คุณหญิงแว่นแก้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งในห้องนั่งเล่น โดยมีสาวใช้จัดแจกันดอกไม้ไม่ห่างนัก
“เสียงใสเชียวนะลูก สบายใจขึ้นแล้วหรือ”
“มันก็สบายบ้าง ไม่สบายบ้างตามประสาพิณนั่นแหละค่ะ...แต่วันนี้สบายขึ้นกว่าทุกวัน”
“แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้านล่ะ”
“ก็คงจะเป็นวันอาทิตย์โน้นนั่นแหละค่ะ...คุณแม่คะ...พิณคิดว่า น้าลบกับวิรงรองอาจจะลงเอยกันเร็วๆ นี้แหละค่ะ”
แว่นแก้ว โวยวาย “โอ๊ย! ตาย...ยังไงแม่ก็ไม่ยอมรับแม่นั่นมาเป็นน้องสะใภ้ พูดแล้วขนลุก”
พิณทองหน้างอทันที “ก็ยังดีกว่าให้มาแย่งพิชญ์ไปจากพิณนั่นแหละค่ะ”
พิณทองกดปิดโทรศัพท์ ส่วนแว่นแก้วถอนใจเฮือก
ค่ำนั้น รัฐมนตรีพจน์ ออกมาโทรศัพท์ข้างนอก ตรงบริเวณสวนหน้าบ้านพิณทองที่กรุงเทพฯ เห็นดวงจันทร์กระจ่างนวล แต่ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นข้างแรมแก่ๆ แว่นแก้วเดินเข้ามาขณะที่ สามีโทร.เสร็จพอดี
“ใครโทร.มาหรือคะ”
“ปลัดกระทรวง”
“ยัยพิณโทร.มาบอกว่า ลบคงจะแต่งงานกับแม่วิรงรองเร็วๆ นี้ เห็นมั้ยว่าผิดไปจากปากฉันพูดเสียเมื่อไหร่”
พจน์ยิ้ม “โล่งใจไปที”
แว่นแก้วฉุน “โล่งใจ”
“อ้าว...แล้วคุณไม่โล่งเรอะ นอกจากลูกพิณจะไม่ต้องร้องไห้ร้องห่มกลุ้มใจวันละ 3 เวลา ทั้งก่อนและหลังอาหารแล้ว...คุณลบจะได้มีคนดูแลเสียที”
“มันจะคอยดูแต่มรดกซิ ทรัพย์สมบัติคุณลบตกทอดมาจากบรรพบุรุษไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่...ฉันไม่ยอมให้ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายตีนมาชุบมือเปิบหรอก”
รัฐมนตรีพจน์มองแว่นแก้วอย่างเย็นชาปนสลด “ก็แล้วคุณจะทำยังไง จะหาเมียให้น้องหลังจากที่หาสามีให้ลูกเรอะ ไม่เอาน่า อย่าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเลย”
“เขาเรียกว่าหวังดีต่างหาก”
รัฐมนตรีส่ายหน้า แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
แว่นแก้วมองตามขวาง “ไม่เคยเข้าข้างเมียเล้ย คนอะไร”
ขณะเดียวกันโอบอ้อมทยอยเก็บจานชามออกไปจากห้องอาหารในโดมทอง เวลานัดหมายไปปาร์ตี้
“เดี๋ยวพิณขึ้นไปเอาผ้าพันคอก่อนนะคะ”
พิณทองลุกขึ้นไปโดยไม่ฟังคำตอบจากใคร
แสงแขมองพิชญ์ยิ้มๆ “จะไปไหนหรือคะ”
“พิณทองอยากไปเดินเล่นชายหาด...คุณแสงแขไปด้วยกันไหมครับ”
“ไม่ละค่ะ...แขต้องคอยดูแลปรนนิบัติคุณย่า อีกอย่าง...แขไม่ค่อยชอบทะเลตอนค่ำ...น่ากลัวจะตาย”
อดิศวร์ลุกขึ้น “เราออกไปรอหน้าบ้านกันเถอะ อุษา ไปบอกพิณทองว่าพี่จะไปรอข้างนอก”
แสงแขมองอดิศวร์แล้วเบิกตากว้าง ไม่รู้ว่าเขาจะไปด้วย และยิ่งกว้างขึ้นไปอีกจนแทบถลน
“ค่ะ”
พิชญ์บอก “คุณอุษาไม่ต้อง...ผมไปเองดีกว่า” แล้วเดินออกไป
อดิศวร์มองมายังวิรงรอง “งั้นเราก็ออกไปรอกันสองคน”
อดิศวร์ออกเดินไปเลย โดยมีวิรงรองเดินตามเงียบๆ
แสงแขละล่ำละลั่ก “คุณลบ...คุณลบจะไปกับเขาด้วยหรือคะ”
อดศวร์พยักหน้า “ใช่”
แสงแขเปลี่ยนใจทันควัน “ขอแสงไปด้วยได้ไหมคะ”
อดิศวร์เลิกคิ้วนิดๆ “ไหนเธอบอกว่าต้องดูแลคุณย่าไง...อีกอย่างเธอไม่ชอบทะเลตอนค่ำ”
แสงแขอึ้ง พูดไม่ออก
อดศวร์เดินตามวิรงรองออกไป ขณะที่อุษาจะเลี่ยงไปอีกทาง
“พี่อุษารู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ด้วยใช่มั้ย”
“เปล่า”
“โกหก” แสงแขแผดเสียงใส่
“แสงแข พี่บอกเปล่า...ก็แปลว่าเปล่า เรื่องนี้ถ้าเธอจะโกรธใครก็คงจะต้องเป็นตัวเอง เพราะคุณพิชญ์ก็ชวนแล้ว... แต่เธอปฏิเสธเอง ลองทบทวนดูให้ดีซิ”
อุษาเดินออกไป ปล่อยแสงแขให้ฮึดฮัดพลุ่งพล่านอยู่คนเดียว
ก้อนเมฆฝนสีดำแผ่กระจายเต็มท้องฟ้า พร้อมกับเสียงร้องครืนครันและแสงแปลบปลาบเป็น สัญญาณว่าฝนใกล้จะตก
อดิศวร์และวิรงรองเงยหน้ามอง
วิรงรองพูดลอยๆ “ฝนจะตกแล้ว”
อดิศวร์มองวิรงรองนิ่งๆ “ดีใจละซี”
วิรงรองหันขวับมามอง “ทำไมดิฉันจะต้องดีใจ”
อดิศวร์ยังคงนิ่งๆ อย่างเดิม “เพราะเธอจะได้ไม่ต้องเห็นอะไรที่มันบาดตาบาดใจไงล่ะ”
“อย่าคิดว่าคุณจะอ่านใจใครออกไปเสียหมดทุกคน” วิรงรองหยัน
“อย่างน้อยฉันก็อ่านเธอออกละ”
ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา
“ฝนตกแล้ว”
พิชญ์ และพิณทองเดินออกมา พิณทองมีสีหน้าเสียดายสุดๆ
“ว้า ฝนตกแล้ว...เสียดายจังเลย” พิณทองบ่น
“เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้” อดิศวร์ว่า
ตลอดเวลาพิชญ์ลอบมองวิรงรองเงียบๆ ทั้งหมดนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง จนวิรงรองหันมาสบตาพิชญ์พอดี
วิรงรองขยับออกเดิน “ดิฉันขอกลับห้องก่อนนะคะ”
พิณทองกอดอก “หนาวจัง เรากลับเข้าข้างในกันดีกว่าค่ะ”
พิชญ์พยักหน้า แล้วเดินตามพิณทองเข้าไปเงียบๆ โดยมีอดิศวร์เดินปิดท้าย
ส่วนแสงแขยืนมองฝนตกที่บริเวณหน้าต่างห้องด้วยความสะใจ
“สมน้ำหน้า ดี! ตกมาให้หนักๆ เลย! จะได้ออกไปไหนไม่ได้!”
แสงแขหัวเราะชอบอกชอบใจแข่งกับเสียงฝนด้านนอก
ทั้ง 4 คนมาถึงทางแยกจะไปอีกด้านของตัวบ้าน
“แยกกันตรงนี้นะ คุณพิณ คุณพิชญ์”
“ค่ะ”
อดิศวร์แตะแผ่นหลังวิรงรองให้ออกเดิน หญิงสาวจำต้องเดินไป พิชญ์มองด้วยสีหน้าแววตาสะเทือนใจ
พิณทองเรียกเบาๆ “พิชญ์คะ”
พิณทองจับมือพิชญ์แน่นราวกับจะยึดไว้เป็นที่พึ่ง ทั้ง 2 เดินเคียงไปด้วยกัน
ไม่นานต่อมาวิรงรองเดินมาที่ห้องของตัวเอง ขณะที่อดิศวร์ตามมาช้าๆ
“ขอแสดงความเสียใจด้วยอีกครั้ง”
วิรงรองหันขวับมาทันที “ฉันไปทำอะไรให้...คุณถึงได้ต้องคอยถากถางเยาะเย้ยตลอดเวลา”
“ฉันเปล่า...เธอร้อนตัวไปเอง”
“ฉันอ่านสายตาของคุณออก”
อดิศวร์ค่อยๆ ยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายขณะที่ก้าวเข้ามาใกล้อีก “เก่งนี่...ช่วยอ่านต่ออีกหน่อยได้ไหมว่า สายตาฉันบอกอะไรเธออีก”
วิรงรองทั้งโกรธผสมอาย หันหลังเปิดประตูเข้าห้องอย่างรวดเร็ว
อดิศวร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
ดึกแล้วบรรยากาศภายนอกโดมทอง ทั้งฝนและพายุโหมกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา จนพอเวลาผานไปฝนซาลงเรื่อยๆ จนหยุดไปในที่สุด
ดวงจันทร์ลอยออกมานอกกลีบเมฆ แล้วลอยผ่านเข้าไปอีก เงามืดปกคลุมโดมทอง
ภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ ท่านผู้หญิงนอนอยู่บนเตียง โดยมีอุไรอยู่มุมห้องหลับสนิท
จังหวะนี้มีเสียงเหมือนหมาหอนดังแว่วมาไกลๆ
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปทางปลายเท้า เห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งอยู่ตรงมุมห้อง
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นนั่ง “ใคร...พิศเรอะ”
ใครคนนั้นก้าวออกมาจากมุมห้องทรุดตัวก้มลงกราบ
“ข้าเห็นเอ็งวอบๆ แวบๆ มาหลายครั้งแล้ว”
ที่แท้เป็นวิญญาณพิศที่พูดด้วยเสียงแหบโหย เย็นยะเยือกออกมา
“พิศมาคอยปกป้องท่านเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงฉุนสุดขีด “ปกป้องบ้าบออะไร นังพลับพลึงมันมาหลอกมาหลอนฉันตั้งหลายครั้ง...ไม่เคยเห็นแกโผล่หัวมาเลย”
จังหวะนี้อุไรลืมตาตื่นขึ้นด้วยเสียงอันดังอย่างโกรธเกรี้ยวของท่าน
“แล้วตอนนี้มันก็ส่งนังผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนมันยังกับพิมพ์เดียวมาล่อตาลบ”
“พิศเห็นแล้วเจ้าค่ะ”
อุไรตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อมองไปที่คนและผี พยายามจะอ้าปากร้อง แต่ก็ร้องไม่ออก
“กำจัดมัน กำจัดมันให้เหมือนกับที่ข้ากำจัดนังพลับพลึง เอามันไปขังไว้ด้วยกัน” ท่านผู้หญิงสรรักษ์สั่งเสียงเหี้ยม
“เจ้าค่ะ”
วิญญาณพิศค่อยๆ เลือนหายไป
“นังพลับพลึง แกจะต้องหายสาบสูญไปอีกคน”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ค่อยๆ เบือนหน้ามาที่อุไร สีหน้าแววตาดุดันน่ากลัวมาก
อุไรรีบหลับตาลงทันที
ท่านผู้หญิงเพ่งมองครู่หนึ่ง แล้วจึงเอนตัวลงนอนอย่างเดิม อุไรลืมตาขึ้น ค่อยๆ แอบมองด้วยแววตาหวาดกลัวสุดๆ
ด้านวิรงรองนอนตะแคงหลับสนิท มีเสียงแผ่วแหบโหยเรียกดังขึ้น เสียงนั้นฟังดูชวนขนลุกขนชัน
“วิรงรอง...วิรงรอง”
เปลือกตาวิขยับไปมา แล้วค่อยๆ ลืมขึ้น
“พลับพลึง...พลับพลึง” เสียงดังขึ้นอีก
วิรงรองลุกขึ้นเหมือนถูกสะกด แล้วเดินไปที่ประตู ประตูเปิดออกเอง มีหมอกควันจางๆ วิญญาณพิศเดินเหมือนลอยอยู่ข้างหน้าช้าๆ
วิรงรองเดินตามไปเรื่อยๆ เหมือนถูกสะกด
ขณะเดียวกันอดิศวร์นอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง เสียงเพลงนางครวญดังขึ้นเบาๆ อดิศวร์ลืมตาขึ้นฟังอย่างตั้งใจ
เสียงเพลงยังคงดังแว่วๆ เหมือนคนร้องกำลังคร่ำครวญหวนไห้อย่างหนัก
อดิศวร์ยังคงนิ่งฟังด้วยความแปลกใจ
วิรงรองเดินมาตรงบริเวณบันไดทอดยาวสูงขึ้นไปที่ห้องใต้โดม หมอกควันกระจายอยู่จางๆ ทั่วบริเวณนั้น ร่างพิศลอยขึ้นไปช้าๆ ท่ามกลางหมอกควัน กุญแจประตูเหล็กคลายออกเอง โซ่เคลื่อนตกลงมาพร้อมประตูเหล็กเปิดออก
“วิรงรอง” เสียงอดิศวร์ดังขึ้น
ร่างพิศเลือนหายไปทันควัน ขณะที่ร่างวิรงรองโงนเงน อดิศวร์รีบขึ้นไป แล้วรับไว้ได้ทันท่วงที
“วิรงรอง”
สภาพวิรงรองเหมือนคนหลับเอนซบไหล่อดิศวร์ ไม่รู้สึกตัวใดๆ
ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น คนงานดูแลม้ากันอยู่ อดิศวร์ปรึกษากับสมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บริเวณคอกม้านั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องเมื่อคืนนี้
“ไม่น่าเป็นไปได้นะครับ…กุญแจประตูอยู่ที่ผมตลอดเวลา เมื่อกี้คุณลบก็เห็นที่ห้องผมแล้ว”
“บางที...กุญแจอาจจะไม่ได้ล็อคก็ได้...มันอยู่อย่างนั้นมานานแล้วโดยที่เราไม่ได้สังเกตุ” อดิศวร์ตั้งข้อสังเกตุ
“ก็อาจเป็นไปได้ครับ”
อดิศวร์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “ฉันไปละ ขอบใจมาก”
จากนั้นอดิศวร์จึงเดินไป สมมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
อดิศวร์เดินเข้ามุมหนึ่งในบ้าน มองไปเห็นวิรงรองและอุษากำลังฟังอุไรเล่าด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น
“จริงๆ นะคะ ป้าคนนั้นเข้ามาในห้องได้ยังไงก็ไม่ทราบ! ถ้าท่านผู้หญิงไม่ได้คุยด้วย ป้าอุไรต้องนึกว่าเป็นผีแน่นอน”
“เหลวไหล” เสียงอดิศวร์ดังขึ้น
3 คนสะดุ้งหันมามอง อดิศวร์เดินเข้ามาสีหน้าเคร่งขรึม
อุไรหน้าตาจืดเจื่อน ย่อตัวลง แล้วค่อยๆ ขยับจะเดินออกไป
“อุไร” อดิศวร์เรียกไว้
“ขา...คืออุไรจะไป”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เล่าให้ฟังซิว่า ใครเข้าไปในห้องคุณย่า เล่าแบบเมื่อกี้ตอนที่ยังไม่เห็นฉันน่ะ”
อุไรอึกอัก “แหม...คือ...”
“ไหนเคยพูดเก่งนักไง” อดิศวร์เหน็บ
อุไรขาเม้าท์ยิ้มแห้งๆ “แต่พออยู่ต่อหน้าคุณลบแล้ว...มันเล่าไม่ค่อยออกค่ะ”
วิรงรองค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไป
อดิศวร์มองตามแวบหนึ่งแล้วหันมาทางอุไรเป็นเชิงบอก
อุไรรีบพูด “เรื่องมันเป็นยังงี้ค่ะ”
ตรงมุมสวยๆ ภายนอก บรรยากาศภายร่มรื่น วิรงรองซึ่งนั่งพิงต้นไม้ในบริเวณนั้น นัยน์ตาหลับอยู่
ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแวบๆ เข้ามาในความคิด เหมือนความฝันที่ไม่ปะติดปะต่อกัน พอภาพเหล่านั้นเลือนหาย วิรงรองยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิมนั้น จนเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง วิรงรองยังคงไม่รู้สึกตัว ขนาดมีใครมาจับไหล่เรียก
“วิรงรอง”
วิรงรองยังคงไม่รู้สึกตัว
อดิษวร์นิ่วหน้า แล้วทรุดตัวลงจับไหล่วิรงรองเรียกอีก
“วิรงรอง”
วิรงรองลืมตาขึ้น นัยน์ตาที่มองมายังอดิศวร์เหมือนยังงงๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
วิรงรองรู้สึกตัว รีบเบี่ยงตัวออก แล้วลุกขึ้นยืน ด้วยความรีบร้อนพรวดพราดลุกขึ้นในขณะที่ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี ทำให้ซวนเซจะล้มลง อดิศวร์รับไว้ในอ้อมแขนพอดี วิรงรองเงยหน้ามอง ในขณะที่อดิศวร์ก้มหน้าลงมาพอดี
ทั้ง 2 คน นิ่งงันกันอยู่ครู่หนึ่ง
แสงแขเดินเลี้ยวตรงมาบริเวณนั้นสอดตามองหาอดิศวร์แล้วชะงัก สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวริษยา
อดิศวร์ค่อยๆ คลายแขนออกจากวิรงรอง
แสงแขรีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม ขณะอดิศวร์หันมา
“แสงแข...มีอะไรหรือ”
“คุณย่าต้องการพบคุณลบค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้าแล้วหันมามองวิรงรอง ถามเสียงนุ่ม
“เดินไหวไหม”
แสงแขเม้มปาก นัยน์ตาเกลียดชังชัดแจ้ง ขณะจ้องวิรงรองเขม็ง
“ไหวค่ะ...ขอบคุณ”
วิรงรองออกเดิน อดิศวร์มองอย่างขวางๆ แล้วเดินตาม
“ทำไมคุณลบไม่เคยมองแขอย่างนั้นบ้างเลย” แสงแขคับแค้นใจระคนน้อยใจ
สักครู่หนึ่งอดิศวร์เปิดประตูเข้ามา ดึงเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ ข้างเตียงย่า แสงแขเดินตามเข้ามา แล้วเลี่ยงไปนั่งมุมห้องอย่างสงบเสงี่ยม
“วันนี้คุณย่าดูสดชื่นกว่าทุกวันนะครับ”
“ย่าจะสดชื่นยิ่งกว่านี้อีก ถ้านังพลับพลึงมันจะไปจากโดมทองได้”
สีหน้าอดิศวร์ขรึมลง
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองเขม็ง “โกรธย่าหรือลบ”
“ผมไม่เคยโกรธคุณย่าครับ”
“ย่าขออะไรอย่างได้ไหม”
อดิศวร์นิ่ง รอฟัง
“ไม่เกี่ยวกับนังพลับพลึงหรอก” ท่านผู้หญิงว่า
“คุณย่าจะให้ผมทำอะไรครับ”
“พาแสงแขไปเที่ยวหน่อย...คนอื่นเขาไปเที่ยวกันโครมๆ แต่แสงแขต้องอุดอู้เฝ้าย่าทั้งวันทั้งคืน”
แสงแขทำหน้าตาสุ้มเสียง เจียมเนื้อเจียมตัว “อย่ารบกวนคุณลบเลยค่ะ คุณย่า...แสงแขก็ไม่ได้อยากไปไหน เป็นห่วงคุณย่าน่ะคะ”
“นังอุษามันก็อยู่ ฉันบอกให้ไป แกก็ไปซิ!...ลบ ...ย่าขอร้อง”
“ได้ครับ…คุณย่า”
ท่านผู้หญิงยิ้มกริ่ม “ขอบใจมากลูก”
ไม่นานต่อมาแสงแขแต่งตัวสวยเฉิดฉาย เดินมาที่รถตรงหน้าบ้านแล้วขึ้นนั่งคู่คนขับ ด้วยนึกว่าอดิศวร์จะเป็นคนขับ เป็นรถหรู แบบ 2 ตอน แสงแขเปิดกระเป๋าถือ หยิบตลับแป้งขึ้นมาส่อง แล้วเติมแป้ง เติมลิปสติค ตรวจดูขนตาซึ่งใส่ดกหนาเป็นแผง พลางยิ้มชื่นชมตัวเอง
“สวยจังเลย”
อดิศวร์เดินออกมาช้าๆ แสงแขหันไปมอง แล้วส่งยิ้มหวาน แต่แล้วยิ้มนั้นก็ค่อยๆ หุบลง เป็นบูดบึ้ง เมื่อเห็นพิชญ์ และพิณทองตามออกมาด้วย
“ไอ้พวกบ้า ตามมาทำไม ใครเขาเชิญพวกแก”
แสงแขสะบัดหน้ากลับมา แล้วชะงัก หน้างอหงิกยิ่งไปกว่าเก่า เมื่อเห็นว่าสมเดินมาในลักษณะท่าทางเหมือนจะขับรถ แสงแขเปิดประตูลงมาอย่างรวดเร็ว
“แกจะขับรถเรอะ”
“ครับ”
อดิศวร์กับพิชญ์ขึ้นไปนั่งตอนหลัง พิชญ์หันมาถามอะไรบางอย่างกับอดิศวร์
พิณทองหันมาทางแสงแขซึ่งยืนนิ่ง สีหน้าน้อยใจสุดๆ
“คุณแสงแขไม่สบายหรือเปล่าคะ”
แสงแขฝืนยิ้ม “ปวดศรีษะนิดหน่อยค่ะ”
แสงแขก้าวขึ้นไป พิณทองก้าวตาม สมขับรถออกไป
แลเห็นบรรยากาศ 2 ข้างทางเปลี่ยนไปตามจังหวะรถวิ่ง รถแล่นมาเรื่อยๆ โดยที่ภายในรถ ทุกคนนั่งกันเงียบๆ ราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
แสงแขตัดสินใจพูดขึ้นในที่สุด หันไป “แขนึกว่าคุณลบจะขับเอง”
“เมื่อคืนนอนดึก...เลยไม่อยากขับ”
พิณพยายามทำบรรยากาศให้ดีขึ้น “ดีแล้วค่ะ...เดี๋ยวน้าลบหลับใน จะเป็นอันตราย”
แสงแขหันไปมองข้างทางแล้วพึมพำ “ฉันไม่ได้ขอความเห็นแก”
“วันนี้น้าลบจะพาเราไปเที่ยวที่ไหนคะเนี้ย” พิณทองถามเสียงใส
“เดี๋ยวไปถึงค่อยรู้”
“ว้าว ! ลึกลับจัง” พิณทองหน้าตาตื่นเต้น
รถที่มีสมขับแล่นเลี้ยวลับตาไป
ขณะที่วิรงรองกำลังหลับตานิ่งๆ อยู่บนเตียง ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนเข้ามาในห้วงความคิดอีกแบบขาดๆ วิ่นๆ
เสียงเคาะประตูปังๆๆ ดังขึ้นอย่างไร้มารยาท วิรงรองลืมตาแล้วนิ่วหน้า ลุกเดินไปเปิดประตู
“มีธุระอะไร”
“ท่านผู้หญิงให้ตามไปพบ” โอบอ้อมลอยหน้าเยาะ “ตายแน่” แล้วสะบัดหน้าเดินไป
“เดี๋ยว”
โอบอ้อมหันมา แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอย่างกวนประสาท
“อยู่บ้านใหญ่โต...ผู้คนในบ้านก็เป็นผู้ดิบผู้ดี...เธอก็ควรจะมีมารยาทหน่อย”
โอบอ้อมเบิกตากว้าง
“ถึงเจ้านายจะไม่ได้สั่งสอนอบรม แต่เธอก็ควรมีสามัญสำนึก!”
วิรงรองปิดประตู แล้วเดินเลยโอบอ้อมไป สาวใช้ผู้สอพลอมองตามตาถลน
วิรงรองเดินมาหยุดหน้าประตูห้องท่านผู้หญิง สูดลมหายใจยาว เพื่อเรียกความมั่นใจ
“หยุดทำไมล่ะ กลัวละซี้” โอบอ้อมหยัน
วิรงรองหันมามอง “เคยถูกตบปากมั้ย”
โอบอ้อมยกมืออุดปาก ทำตาโตตกใจ
“ถ้าไม่เคย ฉันจะขอเปิดซิงซักหน่อย”
วิรงรองเปิดประตูเดินเข้าไปเลย
“ตายแล้ว”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์นั่งมองมาหน้าตาถมึงทึง วิรงรองค่อยๆ ปิดประตู แล้วหันมาเผชิญหน้า
วิรงรองขยับตัวจะเดินเข้าไปหา
ท่านผู้หญิงสรรักษ์แผดเสียงแหบโหยกราดเกรี้ยวใส่ “หยุดอยู่ตรงนั้น”
วิรงรองชะงัก “โอบบอกว่าท่านผู้หญิงต้องการพบดิฉัน”
ท่านผู้หญิงขยับไปชิดพนักเตียงมากยิ่งขึ้นแล้วมือยกขึ้นกำพระที่ห้อยคอโดยอัตโนมัติ ขณะถาม
“แกเป็นใคร”
“ดิฉันชื่อวิรงรอง ถ้าหากท่านผู้หญิงยังข้องใจ..ดิฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณพลับพลึงเลยค่ะ”
ท่านผู้หญิงจ้องเขม็ง “วิรงรอง คือ ดอกพลับพลึง”
“ใช่ค่ะ! คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันตั้งให้”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ชะโงกตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย...นัยน์ตาเป็นประกายวาว “นังพลับพลึงมันส่งแกมา! อย่านึกว่าฉันโง่”
“ตั้งแต่จำความได้ ดิฉันไม่เคยรู้จักหรือเคยได้ยินเรื่องราวของคุณพลับพลึง หรือท่านผู้หญิงเลย...ดิฉันมาที่นี่ก็เพราะคุณป้าสุรภีซึ่งเป็นผู้มีพระคุณของดิฉันส่งมา..ดิฉันอยากจะขอความยุติธรรม”
ท่านผู้หญิงสวนทันที “ไม่มีความยุติธรรมสำหรับคนเนรคุณ” มืออันสั่นเทาชี้มา “แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง! กินบนเรือนขี้บนหลังคา” พร้อมกันนี้เนื้อหญิงชราตัวเริ่มสั่นเทา นัยน์ตาวาวโรจน์
วิรงรองประหลาดใจในท่าทีนั้น “ท่านผู้หญิงค่ะ”
“อีนังพลับพลึง! ผีอย่างแกก็ทำได้แค่นี้! ฉันซิเหนือกว่าแกทุกอย่าง! จนป่านนี้แกก็ยังไม่ได้พบกับคนที่แกรัก! พวกแกจะต้องวนเวียนตามหากันตลอดไปโดยไม่ต้องไปผุดไปเกิด! ฉันนี่แหละคือผู้ชนะ! ฉันเป็นผู้กุมชะตาพวกแก”
ยิ่งพูด หน้าตายิ่งดูโหดร้ายและเหมือนคนโรคจิต!!
“ฉันเป็นผู้ชนะ! ได้ยินไหมว่าฉันคือผู้ชนะ” ท่านผู้หญิงสรรักษ์หัวเราะดังลั่น
วิรงรองคุมสติได้ย้อนถาม “สภาพอย่างนี้น่ะหรือคะ ผู้ชนะ”
สีหน้าแววตาและสุ้มเสียงวิรงรองทำให้ท่านผู้หญิงหยุดหัวเราะ
“ว่าอะไรนะ”
“ท่านคือผู้แพ้ต่างหาก...แพ้ต่อความรัก..โลภ...โกรธ..หลง! ท่านปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำ หมกมุ่นอยู่แต่กับความเกลียดชัง...ความอาฆาตพยาบาท..ขอประทานโทษเถอะค่ะท่าน เคยถามตัวเองไหมคะว่า...ทุกวันนี้ ท่านมีความสุขดีหรือเปล่า... ความจริง วัยของท่านขนาดนี้ก็สมควรจะเข้าวัดฟังเทศน์...ทำบุญทำทาน...ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ได้แล้ว”
ท่านผู้หญิงตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอีก “ออกไป! อีพลับพลึง!”
“ท่านโกรธเกลียดเคียดแค้นคุณพลับพลึง โดยที่คุณพลับพลึงไม่ได้มารับรู้ด้วยเลย...จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครได้ข่าวจากเธอ..ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน!”
ท่านผู้หญิงลืมตัวตะเบ็งเสียงใส่
“ฉันรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน”
อ่านต่อตอนที่ 6