มายาตวัน ตอนที่ 8
เอกชัยหน้าช้ำ รีบร้อนวิ่งมาที่หน้าห้องพักมัทนา เคาะประตูรัวอย่างร้อนใจ
“มัท ฉันเอง เอกชัย”
มัทนาร้องไห้ตาบวมเดินมาเปิดประตูห้อง เอกชัยมองอย่างเป็นห่วง
“ปอนมันทำอะไรเธอรึเปล่า”
มัทนาส่ายหน้า ตาแดงๆ จ้องหน้าเอกชัย
“หน้าคุณเอกไปโดนอะไรมาคะ”
เอกชัยโกหกปัดๆไป แต่มีพิรุธเล็กน้อย
“หกล้ม”
มัทนาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ เอกชัยยิ้มฝืดคืนไปให้ ก่อนจะยกมือขึ้นจับปาก สีหน้าเจ็บๆ
“เข้ามาก่อนสิคะ”
เอกชัยเดินเข้าไปในห้อง กวาดตามองทั่วห้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย มัทนาเก็บของพร้อม
เดินทางกลับ มัทนาสีหน้าไม่สบายใจ
“คุณปอนล่ะคะ”
เอกชัยถอนใจบอก
“ไปไหนของมันแล้วก็ไม่รู้”
“คุณเอกพอจะรู้เรื่องรูปนั่นแล้วใช่มั้ยคะ จะเอามัทไปสาบานที่ไหนก็ได้ มัทไม่รู้เรื่องจริงๆ”
มัทนาเดินไปหยิบซองที่ใส่รูปทั้งหมดที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมาให้เอกชัย
“มัทไม่มีทางเขียนข่าวแล้วลงรูปน่ารังเกียจพวกนี้เด็ดขาด”
เอกชัยเปิดซอง แง้มดูรูปเล็กน้อยแล้วปิดลงอย่างเร็ว ถอนใจพรวดออกมา
“ฝีมือมันแน่ๆ ไอ้คนอัปรีย์ชอบเล่นสกปรกยังงี้ ไม่มีใครหรอก”
เอกชัยมีสีหน้าเกลียดชังขึ้นมาทันที
“ใครเหรอคะ”
“เธอไม่รู้จักหรอก รู้แค่ว่ามันไม่หวังดีกับไอ้ปอนก็แล้วกัน”
“มัทอยากอธิบายให้คุณปอนเข้าใจ แล้วก็คืนรูปพวกนี้ให้คุณปอนให้หมด”
“อย่าเพิ่งเลย พูดอะไรไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ มันกำลังโกรธ หน้ามืดตามัว ไม่ฟังหรอก ขนาดฉันค้านมันว่าเธอไม่มีทางทำยังงั้นแน่ มันยังซัดเอาซะ”
เอกชัยจับประคบปาก เล็กน้อยด้วยความเจ็บ มัทนาจ๋อยๆรู้สึกแย่มาก
“มัทต้องขอโทษด้วยนะคะที่เป็นต้นเหตุให้คุณสองคนต้องทะเลาะกัน คุณเอกเลยต้องมาเจ็บตัวฟรีๆ”
“ก็ไม่ฟรีหรอกสาวน้อย ชกหน้ามันคืนไปได้หมัดนึงเหมือนกัน...เสียดายก็แต่ไอ้ปอนมันมุดกลับเข้าไปซ่อนในเปลือกอีกแล้ว” เอกชัยพูดพลางถอนใจ
มัทนารู้สึกเศร้าปนเซ็งไปด้วย ทุกอย่างกำลังดีขึ้นอยู่แล้วเชียว มัทนาเดินไปทิ้งตัวนั่งที่ปลายเตียงอย่างหมดแรง เอกชัยรู้สึกสงสารเพื่อนจากใจ
“ที่ผ่านมาปอนมันใช้ชีวิตแบบตีกรอบตัวเองให้อยู่ในวงแคบๆ ไม่รับรู้เรื่องราวคนอื่น ไม่แชร์เรื่องราวของตัวเองกับใคร ไปไหนก็แบกเปลือกหนาๆไปด้วย ซุกตัวอยู่แต่ในกระดอง”
มัทนาอินกับที่เอกชัยพูด น้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมา รู้สึกล้มเหลวที่ทำให้ตวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
“คุณเอกพามัทไปหาคุณปอนทีสิคะ มัทขอร้องล่ะ ถ้ามัทไม่ได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้คุณปอนเข้าใจ มัทคงอึดอัดใจตาย”
เอกชัยมองหน้ามัทนา
“ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก ปอนมันน่าจะเป็นฝ่ายมาขอโทษเธอมากกว่า”
มัทนาน้ำตาท่วมขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
“แต่มัทอยากจะพูดกับเค้าเดี๋ยวนี้ เค้าคงไม่มาหามัทแน่ๆ มัทต้องไปหาเค้าเอง”
เอกชัยสีหน้าครุ่นคิด แล้วเดินเข้าไปจับไหล่มัทนา
“ไม่มีประโยชน์หรอกมัทนา ฉันอยู่กับมันมานาน รู้จักนิสัยมันดี ตอนนี้ ถึงจะเป็นหลวงพ่อมาอธิบาย มันก็ไม่เชื่อหรอก”
มัทนายิ่งร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นว่าหมดหวังจะอธิบายแน่ๆ
“ไอ้นี่เวลามันจะโง่ซะอย่าง ทั้งโง่ทั้งดื้อน่าเตะ รอหน่อยเถอะ รอมันใจเย็นขึ้น หูตาสว่างพอจะพูดกันรู้เรื่อง แล้วฉันจะบอกมันให้เอง ถึงเวลานั้นมันคงคิดได้แล้วหาทางไปขอโทษเธอ ตอนนี้ต้องรอให้มันหมดพยศก่อน”
มัทนาพูดทั้งน้ำตา
“มัทต้องรอถึงเมื่อไหร่คะคุณเอก”
เอกชัยสีหน้าหนักใจ ย่อตัวลงนั่งให้เสมอระดับเดียวกับมัทนา พูดพร้อมซับน้ำตาให้
“ถึงเธอตั้งใจจะปรับความเข้าใจกับเจ้าปอนมันตอนนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปตามตัวมันเจอได้ที่ไหน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะกลับบ้านเมื่อไหร่ อาจจะคืนนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนก็ไม่แน่”
มัทนาอึ้ง น้ำตาไหลออกมาอีก
“ไม่มีทางรู้เลยเหรอคะ”
เอกชัยส่ายหน้า
“ตั้งแต่อยู่กับมันมา มันเคยเป็นแบบนี้อยู่ 2-3 หน เราต้องยอมปล่อยมันไป อย่าเสียเวลาไปยื้อกับมันให้เหนื่อยเลย”
มัทนายิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหมดหวัง เอกชัยดึงมัทนามาสวมกอดเอาไว้
“ไม่ร้องไห้นะสาวน้อย เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันเชื่อทุกคำพูดของเธอ”
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
“เตรียมตัวเดินทางไปสนามบินเถอะ ป่านนี้คนรถคงมารอแล้วล่ะ ฉันกับเจ้าปอนมีโปรแกรมต้องเข้ากรุงเทพ 2-3 วันนี้อยู่แล้ว เชื่อฉันสิ ถึงเวลานั้นปัญหาทุกอย่างคงเคลียร์ ทำใจให้สบายเถอะนะ”
เอกชัยลูบหัวมัทนาอย่างสงสารเห็นใจ
มัทนาพยักหน้ารับแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ น้ำตาไหลออกมาอีกจนต้องเบือนหน้าไปข้างๆ พร้อมยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก
ภายในโรงอาหารที่วัด เขตต์ตวันมาช่วยครูแดนตักอาหารแจกขนมให้เด็กทานเวลาพักกลางวัน เขามีสีหน้าอมทุกข์ เหมือนคนผิดหวังหนักอย่างแรง แต่พยายามฝืนยิ้มให้เด็กๆ
“หน้าคุณตวันไปโดนอะไรมาครับ” ครูแดนถาม
“หกล้มนิดหน่อยครับ”
“ผมไปเอายาประคบที่กุฏิหลวงพ่อมาให้มั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็หาย”
เขตต์ตวันแจกขนมเด็กไปพร้อมฝืนยิ้ม แต่แววตาทุกข์ เครียดและไม่มีความสุข
คนขับรถกำลังขับรถอีกคันของเขตต์ตวันพาเอกชัยและมัทนาที่นั่งเบาะหลังไปส่งสนามบินภูเก็ตมัทนายังมีสีหน้าซึมๆ
“รูปพวกนี้จะทำยังไงดีคะ”
“คงไม่มีใครอยากเก็บเอาไว้หรอก”
“งั้นมัทฝากคุณเอกทำลายทิ้งให้หมดเลยนะคะ ยังไงมัทก็ไม่มีทางตีพิมพ์มันอยู่แล้ว”
มัทนาน้ำตาคลอๆขึ้นมาอีก เอกชัยเลื่อนมือมาจับกุมมือมัทนาเอาไว้ บีบเบาๆให้กำลังใจ
“ฉันเข้าใจ แล้วฉันก็มั่นใจว่าเธอไม่มีทางทำอยู่แล้วล่ะ”
“ถ้าคุณปอนเชื่อใจมัทได้ซักครึ่งของคุณเอกก็คงดีนะคะ”
มัทนาสีหน้าเศร้าซึมมองไปนอกหน้าต่าง
“คนมันปมเยอะ ยังงี้แหละ รักมากก็โกรธมากเป็นธรรมดา”
เอกชัยพูดทิ้งระเบิดเสร็จก็เบือนหน้ามองไปนอกหน้าต่าง มัทนาชะงักไปเล็กน้อยหันไปเหล่มองเอกชัยที่ดูไม่สนใจจะรับผิดชอบกับคำพูดเมื่อครู่ มัทนาไม่มีแรงจะต่อคารมกับใคร ได้แต่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา มีสีหน้าตัดสินใจที่จะส่งข้อความภาพบางอย่างไปหาเขตต์ตวัน
เขตต์ตวันกำลังจะนั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกับครูแดนและครูอื่นๆ ขณะนั้นเองก็มีข้อความภาพส่งมาทางwhatsapp เขากดดูภาพ เป็นรูปหน้าการ์ตูนร้องไห้ น้ำตาไหลเป็นทาง รูปหน้าการ์ตูนเรียงยาวเป็นพรืดเต็มหลายบรรทัด เขตต์ตวันหน้านิ่งๆ ก่อนกดปิดโทรศัพท์มือถือไป
มัทนากำลังพิมพ์ข้อความหนึ่งอยู่ที่โทรศัพท์มือถือ
“มัทขอยืนยันอีกร้อยครั้งพันครั้งว่ามัทไม่รู้ว่ารูปพวกนั้นมาอยู่ในห้องมัทได้ยังไง”
เอกชัยเหล่ๆ มองแอบอ่าน
“จะให้มัท...”
มัทนาอัดอั้นตันใจที่สุด พิมพ์ต่อไม่ออก น้ำตารื้นท่วมตาขึ้นมา ตัดสินใจกดไล่ลบข้อความทั้งหมดจนเกลี้ยงแล้ววางโทรศัพท์ลงข้างตัว มัทนาหันมองไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แอบซับน้ำตา เอกชัยเลื่อนมือไปวางบนหัวมัทนา ขยี้หัวเบาๆ ด้วยความสงสารปนเอ็นดู
ผ่านเวลาซักพัก เขตต์ตวันเงยหน้ามองฟ้าที่มุมหนึ่งของวัด เห็นเครื่องบินโลว์คอสท์บินผ่านท้องฟ้าไป เขาถอนใจยาวออกมาก่อนจะเดินกลับไปทางกุฏิหลวงพ่อ
ประตูบ้านถูกเปิดเข้ามา...มัทนาหอบกระเป๋าสัมภาระและถุงของฝากพะรุงพะรัง
เข้าบ้านมา มัทนาสีหน้าเศร้า
“กลับมาแล้วค่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับ... ยังไม่มีใครกลับบ้าน มัทนากวาดตามองบ้านที่ไม่มีใครอยู่ ความเหงาอ้างว้าง จู่โจมเข้าจับขั้วหัวใจ อย่างตั้งตัวไม่ทัน เธอทิ้งทุกอย่างลงพื้นอย่างหมดแรง ก่อนจะเดินซึมๆ ไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา เธอหยิบหมอนอิงมาปิดหน้า ฟุบตัวลงนั่งร้องไห้โฮ สะอึกสะอื้นอย่างไม่ต้องกลั้นไม่ต้องอายใครอีก
ผ่านเวลาเล็กน้อย ประตูห้องนอนวาสิฏฐีถูกเปิดเข้ามาเบาๆ มัทนาเดินเข้ามาในห้องน้องสาว แต่ไม่มีคนอยู่ กองผ้าห่มขยุกขยุยอยู่บนเตียง มัทนาหันมองไปที่โต๊ะวางหนังสือข้างโต๊ะทำงาน มีตู้ปลากระจกมาตั้งใหม่ มัทนาบ่นพึมพำ
“เลี้ยงอะไรของเค้าอีก”
มัทนาเดินไปดูใกล้ๆ ค่อยพบว่า มีการจัดตู้สำหรับเลี้ยงเต่า มีขอนไม้ โขดหิน แอ่งน้ำและเต่าญี่ปุ่น 2 ตัว เธอยิ้มเอ็นดูน้องสาว
“เต่าญี่ปุ่น ค่อยยังชั่ว”
ไม่คาดคิด กองผ้าห่มขยุกขยุยถูกเปิดออกมาพร้อมกับวาสิฏฐีเด้งขึ้นนั่ง เผชิญหน้ากับมัทนา
ต่างร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ
“พี่มัทน่ะเอง”
“นอนอยู่ตรงไหนเนี่ย พี่มองไม่เห็นเลย”
วาสิฏฐีคลานมานั่งคุยกลางเตียง
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่พี่มัท”
“เดี๋ยวนี้แหละ ทำไมเรากลับเร็วนักล่ะ”
“ตอนบ่ายคลาสงด เลยกลับมานอน หนุกมั้ยพี่มัท”
มัทนาหน้าหงอย จ๋อยๆ เดินมานั่งซึมเซ็งก่อนจะถอนใจที่ปลายเตียง วาสิฏฐีเห็นท่าทีของพี่สาวก็สงสัย
“เป็นไร ไม่สบายรึเปล่า”
มัทนาตอบเนือยๆ
“อืม”
มัทนาเลื่อนตัวไปนอนเตียงน้องสาว วาสิฏฐีเอื้อมมือไปแตะหน้าผาก จับคอ
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”
“ขอนอนด้วยคนนะ”
วาสิฏฐียิ้มๆ มองพี่สาว
ไรู้แล้วเป็นไรไ
มัทนาเผยอตามองน้องสาว
ไเหงาๆ เศร้าๆ ใช่มั้ยล่ะ”
“รู้ได้ไง”
“โธ่ สิฏฐีก็เคยเป็น คนเราพอไปเที่ยวหนุกๆ นานๆ กลับมาบ้าน มันจะว้าเหว่ เวิ้งว้าง เหงาหงอย ยังงี้แหละ”
มัทนายิ้มขำ
“รู้ดีนักนะ”
“เจ็บสุดตอนไหนรู้มั้ย ตอนรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าไปซัก”
มัทนาคิดตามหน้าจ๋อย
“เห็นจะจริง...มา นอนกอดที ไม่อยากอยู่คนเดียว”
มัทนายื่นมือไปเรียก วาสิฏฐีคลานไปนอนหันหลังให้พี่สาว มัทนายกขากอดก่ายน้องสาวแทนหมอนข้าง
“เค้าหลับจริงนะ ยังง่วงอยู่เลย”
“อือ พี่ก็อยากหลับเหมือนกัน”
วาสิฏฐีชิงนอนหลับตานำไปก่อน มัทนาสีหน้าเศร้าๆ บ่นพึมพำ
“ไม่ต้องตื่นมาอีกเลยยิ่งดี”
มัทนาน้ำตารื้น เสียใจปนน้อยใจ รีบหลับตาตัดความคิดไป
เวลาเย็น เอกชัยลองเสี่ยงตามหาเพื่อนรักที่แหลมพรหมเทพ มองหาไปมา แล้วก็เจอจริงๆ เขามองเพื่อนอยู่ด้านหลังเงียบๆ เขตต์ตวันนั่งมองวิวในตำแหน่งเดิมกับที่เคยมานั่งเล่นกับมัทนา ไม่รู้ตัวว่า เอกชัยตามมาหา เขามองเพื่อนด้วยความเข้าใจก่อนจะถอนใจออกมาแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ
เขตต์ตวันตกใจ ถอยตัวห่างเล็กน้อย เอกชัยผวายกการ์ดป้องกันตัว
“ชกฉันอีกหมัดเดียว แกน็อคแน่ไอ้ปอน”
เขตต์ตวันสีหน้ารู้สึกผิด
“โทษทีว่ะ”
“ไปจ้างคุณสาลินีมาเฝ้าไข้ฉันด้วย”
เขตต์ตวันขำๆ
“สำออย...รู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“แค่ลองคิดดูว่า มาที่ไหนจะช่วยให้หายคิดถึงมัทนาได้มั่ง”
เขตต์ตวันหน้าเคืองเหล่มอง
“เลิกพูดถึงเค้าซะทีได้มั้ย แค่นี้เราสองคนยังเจ็บไม่พออีกรึไง”
“เจ็บทั้งสามคนมากกว่า เจ็บแล้วไม่จบซะด้วย เพราะคนผิดยังลอยนวลอยู่”
เขตต์ตวันลุกขึ้น
“ยังปกป้องเค้าอีกนะ”
เอกชัยลุกตาม
“ถามจริงๆ เหอะ แกเชื่อจริงๆเหรอะว่ามัทนาจะรวบรวมรูปถ่ายพวกนั้นมาเขียนข่าวทำลายแก”
เขตต์ตวันเงียบไป ลึกสุดใจก็ไม่เชื่อ แต่โกรธจนหน้ามืดเลยหันมองไปดูวิวแทน
“รู้มั้ยตอนไปส่งมัทที่สนามบิน เค้าเล่าอะไรให้ฉันฟัง”
“โดนเค้าแต่งเรื่องหลอกให้อีก ยังไม่รู้ตัว”
เขตต์ตวันเดินหนีกลับไปเลย
“ไอ้ปอน”
เอกชัยถอนใจส่ายหน้า
ตอนหัวค่ำ วาสิฏฐีรีบวิ่งขึ้นชั้นบนมาเปิดประตูเข้าห้องนอน มัทนาตื่นแล้ว นั่งดูตู้ปลาใส่เต่าญี่ปุ่นใจ
ลอยๆอยู่ มัทนาหันไปมอง
“ตื่นแล้วเหรอพี่มัท ลงไปทานข้าวกันเหอะ กลับมากันครบแล้ว”
มัทนาสีหน้าขรึมถามน้องสาว
“ สิฏฐี เธอว่าคนเราจะรักกันในเวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์ได้มั้ย”
วาสิฏฐีมีสีหน้าจับผิด
“อย่าบอกนะว่าพี่ไปแอบรักใครที่ภูเก็ต”
มัทนาหลบสายตา
“พี่ไม่รู้”
วาสิฏฐีมีสีหน้าตื่นเต้น เดินอ้อมไปจ้องหน้า
“เขตต์ตวันใช่มั้ย”
มัทนาหน้าแหยๆ เสียงอ่อย
“ทำไมรู้ล่ะ”
วาสิฏฐียักไหล่ เดินไปนั่งที่เตียง
“ไม่เห็นจะยาก พี่ไปภูเก็ตไม่กี่อาทิตย์ ไปสัมภาษณ์เค้าอยู่คนเดียว แถมพี่เคยเป็นแฟนคลับเค้ามาก่อนอีกตะหาก ไม่ใช่ไปหลงรักนายคนนี้แล้วจะไปรักแมวที่ไหนล่ะ”
“พี่เองก็ยังไม่แน่ใจนะสิฏฐี ว่าที่พี่รู้สึกมันเป็นความรัก หรือ ความหลงกันแน่ อาจจะเพราะพี่เคยเป็นแฟนคลับเค้าอย่างที่เธอว่าก็ได้”
มัทนาหยุดกึก เหมือนคอตีบขึ้นมากะทันหัน
“แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะตอนนี้เค้าเกลียดพี่แล้ว”
มัทนาทำหน้าเบะแล้วร้องไห้โฮออกมา วาสิฏฐีตกใจมาก รีบลุกมาหามัทนา
“ไม่ร้องไห้พี่มัท มีเรื่องอะไรเล่าให้เค้าฟังก่อน”
มัทนาได้แต่ร้องไห้ส่ายหน้าไปมา พูดไม่ออก เสียงแม่ตะโกนเรียกดังขึ้นมาจากข้างล่าง
“สิฏฐีปลุกพี่เค้าลงมาทานข้าวได้แล้ว”
“ได้ยินเสียงอาญาสิทธิ์มั้ย หยุดร้องไห้ แล้วลงไปทานข้าวกันก่อน เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อ”
มัทนาพยักหน้ารับพร้อมซับน้ำตา วาสิฏฐีดึงพี่สาวเข้ามากอดเอาไว้
เวลาต่อเนื่องมา พ่อ แม่ สาวิตรี ศกุนตลา นั่งอยู่พร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร ทันทีที่มีเสียงคนเดินลงบันไดมา ทุกคนหันมอง เห็นวาสิฏฐีที่ช่วยถือถุงของฝากเดินนำลงมา ก่อนฉีกยิ้มให้ทุกคน
วาสิฏฐีทำหน้าเป็น
“น้องสาวนางเอกลงนำมาก่อนค่ะ”
มัทนาเขกมะแหงกที่หัววาสิฏฐีก่อนเจ้าตัวจะเดินตามลงมา
“โอ๊ย...”
มัทนาเดินลงมายกมือไหว้ทุกคน
แม่พูดประชด
“นึกว่าจะย้ายรกรากไปอยู่ภูเก็ตแล้วซะอีก”
“ลูกกลับมาแล้วก็ยังไปประชดอีกแม่นี่” พ่อบอก
“ก็มันน่าโมโหมั้ยล่ะพ่อ คอยดูเถอะ มีลูกแล้วจะรู้สึก”
“คงยากค่ะแม่ แฟนยังไม่เคยมีกะเค้าเลย” มัทนาว่า
“มีแต่แอบรักเค้าข้างเดียว” วาสิฏฐีกระเซ้า
มัทนาหยิกแขนน้องสาว บิด...วาสิฏฐีร้องเสียงหลง มัทนาแย่งถุงของฝากจากวาสิฏฐีมาจนหมด
“เอามานี่...”
มัทนายิ้มแย้มใจดีสู้เสือมาหาทุกคน
“มัทมีของฝากมาฝากครบทุกคนเลยนะคะ”
“ต้องดูของก่อน ถูกใจจะช่วยพูดแก้ตัวให้” สาวิตรีบอก
มัทนาหยิบผ้าบาติกออกมา
“ไม่ค่อยเลยนะพี่สา... นี่ของพี่สา นี่ของพี่นก”
“ขอบใจจ้ะ” ศกุนตลาบอก
พ่อเห็นผ้าบาติก ทำหน้าเหยเก รีบบอก
“พ่อไม่เอานะ”
มัทนาขำๆ
“ของคุณพ่อ ของกินเล่นทั้งถุงเลย ปลาหมึกกรอบของโปรด”
“ขอบใจมากลูก” พ่อดึงลูกสาวมากอด หอมแก้มซักฟอด
พ่อพยักเพยิดให้มัทนาไปง้อแม่ต่อ แม่ทำกินข้าวไปไม่สนใจ มัทนายิ้มแหยๆ ทำใจดีสู้เสือ
“ของคุณแม่เป็นผ้าบาติกเหมือนกันแล้วก็น้ำพริกแสนอร่อย”
“ขอบใจย่ะ”
มัทนาทำเนียนเข้าไปกอดแม่
“คิดถึงที่สุดเลยคนเนี้ย”
แม่ทำสีหน้างอนๆ
“ขนาดคิดถึงที่สุดยังทำกันได้ขนาดนี้เลย”
“มัทขอโทษค่ะ ต่อไปมัทจะไม่ทำอีกแล้ว”
“อ้ะ มานั่งทานข้าวกันได้แล้ว” พ่อบอก
พอมัทนานั่งเก้าอี้ คำถามก็ถูกยิงใส่ทันที
“เขตต์ตวันให้สัมภาษณ์ดีมั้ย ดุเหมือนที่เค้าลือกันรึเปล่า” ศกุนตลาถามอย่างสนใจ
สาวิตรีใคร่รู้
“แล้วยังหล่อเหมือนเดิมมั้ยมัท”
ทุกคนมองมาที่มัทนา รอฟังคำตอบ เธอฝืนยิ้มไปมาจำใจเล่าให้ทุกคนฟังไป วาสิฏฐีแอบชำเลืองมองพี่สาวอย่างจับสังเกต
ภายในบ้าน เขตต์ตวันรวบช้อนอิ่มแล้วลุกขึ้น เอกชัย ลลิสา ชลบุษย์ และเยาะที่ยืนคอยรอบริการอยู่ ต่างหันมองแปลกใจ
“อิ่มแล้วเหรอะ” เอกชัยถาม
“อือ”
“ทานไม่ถึง 4 คำเลยนะคะ เยาะนับอยู่”
เขตต์ตวันตาดุหันมองไปทางเยาะที่ทำหน้าแหยปนกลัวก้มหน้าลงทันที
“วันนี้มีแต่อาหารจานโปรดคุณปอนทั้งนั้นเลยนะคะ” ลลิสาบอก
“ผมไม่ค่อยหิว ทานกันต่อเถอะ” เขตต์ตวันเดินขึ้นข้างบนไปทันที เอกชัยแอบถอนใจออกมา รู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร
ลลิสามองตาม สีหน้าแอบเคืองๆ ชลบุษย์อมยิ้ม แกล้งเย้ยลลิสา
“ไม่ค่อยหิว หรือกินไม่ลง เพราะไม่เห็นหน้าคนรู้ใจกันแน่”
ลลิสาหันขวับมาจ้องหน้าชลบุษย์
ชลบุษย์ยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ทานอาหารไป ลลิสาสะบัดหน้าพรืดลุกพรวด
“อิ่มอีกคนแล้วเหรอคะ” เยาะถาม
ลลิสาอารมณ์หงุดหงิดเดินผลักเยาะออกไป
“กะกะ”
ลลิสาเดินปึงปังขึ้นบ้านตามเขตต์ตวันไป ชลบุษย์ยิ้มขำสะใจที่แกล้งพูดยั่วประสาทคนได้สำเร็จ เธอทานข้าวต่อไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่มีใครรู้จริงเท่าคุณบุษย์ซักคน”
เอกชัยส่ายหน้าขำๆทานข้าวต่อไป ชลบุษย์ยิ้มค้าง หมดอร่อยไปในทันที
วาสิฏฐีเดินเข้ามาถามมัทนาที่นั่งซึมๆอยู่ที่ม้าสนามหน้าบ้าน หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดครบถ้วน
“แล้วพี่คิดจะทำไงต่อ”
มัทนาส่ายหน้าไปมาเนือยๆ
“อย่าบอกนะว่าจะรอจนกว่าเค้าจะติดต่อกลับมา”
“ก็คงต้องงั้นมั้ง”
“แล้วถ้าเค้าไม่ติดต่อกลับมาอีกเลยล่ะ”
มัทนาชะงักไป น้ำตารื้นๆ
วาสิฏฐีเดินมาจ้องหน้าพี่สาว ตอกย้ำ
“อีกเลยตลอดชีวิต”
มัทนาลุกหนี ก่อนจะร้องไห้ วาสิฏฐีหันไปโวยวายตาม
“นี่มันอะไรกันเนี่ย พี่สาวคนเก่งของเค้าหายไปไหนแล้ว”
เธอจับตัวพี่สาวหันมาเผชิญหน้า
“นี่พี่มัทตัวปลอมใช่มั้ยเนี่ย”
“ก็พี่คิดอะไรไม่ออกนี่ มันตื้อไปหมด ไม่รู้ว่าคุณเอกจะพูดให้เค้าเชื่อได้มั้ย”
“ไม่เห็นจะยาก ก็รอเค้าเข้ากรุงเทพมา แล้วพี่ให้คุณเอกช่วยจัดฉากให้เจอกัน พี่ก็อธิบายให้เค้าฟัง ถึงตอนนั้นเค้าคงหายคลั่งแล้วล่ะ”
มัทนาสีหน้าลังเล
“แต่บางทีปล่อยให้มันเลยตามเลยไปก็ดีเหมือนกันนะ”
วาสิฏฐีมองหน้าพี่สาว อึ้งปนงง
“นี่แหละน๊า บอกอถึงว่าอย่าผูกพันทางความรู้สึกกับแหล่งข่าวให้มากเกินไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องกลับไปลงเอยที่เดิม เค้าเป็นดาราหนัง เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จะมามองอะไรกับนักข่าวตัวเล็กๆ อย่างพี่ นางแบบสวยๆ เซ็กซี่ๆ อยู่รอบตัวเค้าเต็มไปหมด” มัทนาดูหดหู่ห่อเหี่ยว
วาสิฏฐียิ้มขี้เล่น เดินวนรอบตัวพี่สาวพร้อมพูด
“แต่ฟังจากที่พี่มัทเล่ามา เค้าว่าพี่ตวันต้องมีเยื่อใยอะไรกับพี่มั่งแหละ ไม่งั้นจะตามมาเทคแคร์อะไรมากมาย”
“จะบ้าเหรอ ไม่มีทางหรอก” มัทนาไม่กล้าสู้ตาน้องสาวนัก แต่ใจก็แอบคิดยังงั้นเหมือนกัน
วาสิฏฐียิ้มๆกระเซ้า
“อย่าทำมาปฏิเสธไปหน่อยเลยพี่มัท ถ้าเค้าไม่รักไม่ชอบพี่ มีเรื่องวันนี้จะโกรธพี่เว่อร์ขนาดนี้เหรอะ เต็มที่ก็คงด่าสาดแล้วก็จ้างทนายฟ้องซะมากกว่า ไม่ตรงเข้าขย้ำคออย่างที่ทำกับพี่หรอก”
“เหตุผลอะไรของเธอ เอามาจากไหน ไม่เห็นเข้าท่า”
วาสิฏฐีทำหน้าตาย
“ก็เอามาจากในนิยายแล้วก็หนังซีรีย์น่ะสิ เจอมาหลายเรื่องแล้ว พระเอกแอบรักนางเอก พอผิดหวังก็เลย โกรธมาก อาละวาดตบจูบยังงี้แหละ ดีนะที่พี่ไม่โดนจับปล้ำ” วาสิฏฐีขำชอบใจ
มัทนาเขินชอบกล
“ประสาท ไร้สาระ เรื่องอะไรเอาชีวิตพี่ไปเปรียบเทียบกับเรื่องแต่งขึ้นยังงั้น ปรึกษาคนผิดที่สุดเลย” มัทนาค้อนใส่แล้วเดินฉับๆ เข้าบ้านไป
วาสิฏฐีทำท่าทางล้อเลียนแล้วเดินตามพี่สาวไป
“นางเอกอ่อนแอผู้น่าสงสาร”
มายาตวัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
เขตต์ตวันมานั่งเล่นกับด่างและจุดที่สนามหลังบ้าน ดูเหงาๆ
“ ฉันไม่เชื่ออยู่ดีว่ามัทนาจะทำ”
เขตต์ตวันถอนใจเหลือบตามอง
“แฟนคลับมัทนาจะตามอวยกันไปถึงไหนไม่ทราบ”
“ลึกๆแกก็ไม่เชื่อหรอกว่าน้องเค้าจะทำ แต่แกโกรธจนสติแตกเลยเป็นบ้า”
“ไอ้เอก หยุดพูดซะที เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำรึไง”
“แกไม่อยากรู้จริงๆเหรอะว่ามัทเล่าอะไรให้ฉันฟัง”
เขตต์ตะวันถอนใจ ลุกขึ้น อย่างรำคาญ
“ตามตอแยพอกันเลย คนกำลังสบายๆ พาหมาเข้ากรงด้วย”
เอกชัยตามขวางหน้า
“แต่แกต้องฟังฉันก่อน”
เขตต์ตวันจ้องหน้าเอกชัย ตาขวางๆ ชักจะเหลืออด
“มีอะไรก็รีบพูดๆ มา ก่อนฉันจะสติแตกขึ้นมาอีกรอบ”
“ฉันจะถ่ายทอดสิ่งที่น้องเค้าพูดมาคำต่อคำเลย เพราะเราควรรับรู้ข้อมูลเท่ากัน”
บนรถวันนั้น มัทนานั่งมองไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วหันมาพูดกับเอกชัย
“ที่จริงมัทก็มีเรื่องติดใจบางอย่างนะคะ”
เอกชัยสีหน้าสงสัย
“เกี่ยวกับ...”
“เรื่องที่มัทถูกส่งมาทำข่าวที่นี่น่ะสิคะ มีใครก็ไม่รู้โทรไปหาบอกอ บอกว่ารู้ความลับเรื่องคุณปอน ว่าเป็นเด็กวัดมาก่อน”
เอกชัยสีหน้าสนใจมาก
“จริงเหรอะ”
“ค่ะ แล้วเค้ายังบอกบอกอด้วยนะคะว่ามีข้อมูลลับเรื่องฆาตกรรมอยู่ในมือด้วย”
เอกชัยขยับตัวนั่งตรง
“แล้วเค้าพูดอะไรอีก”
“เค้าบอกว่าจะทยอยส่งข้อมูลลับมาให้เรื่อยๆ”
เอกชัยฟัง สีหน้าเก็บข้อมูล ประมวลความคิดในใจ
“แต่ถ้าส่งผ่านทางบอกอ พี่เค้าต้องไม่ส่งมาให้มัทแน่ๆ บอกอไม่มีวันลงภาพอุบาทว์พวกนี้ในหนังสือเค้าแน่นอน เว้นซะแต่ว่าไม่ส่งผ่านทางพี่เค้า หรือพี่เค้าไม่ได้เปิดอ่านซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้”ฃ
มัทนามีสีหน้าสับสน ว้าวุ่นใจมาก
เอกชัยสีหน้าจริงจังมองเขตต์ตวันหลังจากเล่าเรื่องจบ
“แกกำลังจะบอกอะไรฉัน”
“ฉันเชื่อว่ามัทนาไม่รู้เรื่องภาพพวกนี้ แต่ทั้งหมดเป็นฝีมือไอ้เชษฐ์”
เขตต์ตวันนิ่งไป
“มันเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ทั้งหมดเป็นแผนการแก้แค้นของมัน มัทนาเป็นแค่หมากไร้เดียงสาที่ถูกมันหลอกใช้”
เขตต์ตวันเงียบไป พายุโกรธคลั่งกระหน่ำเริ่มสงบมีสติยั้งคิด
“ฉันสงสารมัทนาที่สุด ฉันสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่น้องมีให้กับแก แกทำรุนแรงกับเค้าเกินไป แกควรจะไปขอโทษเค้าที่กรุงเทพ”
เขตต์ตวันมองหน้าเพื่อนนิ่ง
“แต่ถ้าแกคิดว่ามัทนาก็เป็นแค่นักข่าวเลวๆ คนนึงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่อยากจะเจออีกเลยตลอดชีวิต ก็ช่างหัวมัน”
เขตต์ตวันไม่ตอบอะไร เดินกลับเข้าบ้านไปหน้าตาเฉย เอกชัยหันมองตามเพื่อน สีหน้าลุ้นว่าเพื่อนจะตัดสินใจยังไง
เวลากลางคืน มัทนาอยู่ในชุดนอนนั่งแปรงผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง วาสิฏฐีในชุดนอนเคาะประตูห้องมัทนาก่อนเปิดเข้ามา
“อารมณ์ดีขึ้นรึยัง”
มัทนาหน้าตูมๆ ตอบไม่เต็มใจนัก
“อือ...”
มัทนาแปรงผมไป วาสิฏฐียิ้มแย้มเดินมาโดดขึ้นเตียง พร้อมแบมือ
“อะไร”
“ของฝากน่ะสิ”
“ก็ให้ไปแล้ว”
“ผ้าบาติกเนี่ยนะ เหมาะกะเค้าตายเลย เอาอย่างอื่น”
วาสิฏฐีแบมือ
“ยุ่งวุ่นวายซะจริง ไปหาเอาเองในกระเป๋าเลย”
วาสิฏฐียิ้มแป้นรีบลงจากเตียงไปเปิดกระเป๋าที่มุมห้อง
“ขอบคุณค่ะพี่สาว”
มัทนาเดินขึ้นไปกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง หยิบเครื่องอัดมาเสียบหูฟัง เตรียมทำงานต่อ วาสิฏฐีเปิดกระเป๋าเดินทางออกเห็นเสื้อผ้าพับเป็นระเบียบเรียบร้อย
“โอ้โห จัดกระเป๋าเป็นระเบียบเชียว ทุกทีเห็นเละเทะ”
มัทนาชะงักไปเล็กน้อย เหลือบตามองไปทางวาสิฏฐี
“โรงแรมนี้เค้ามีบริการแม่บ้านช่วยจัดกระเป๋าให้ลูกค้าด้วยเหรอคะเนี่ย” วาสิฏฐีหันมาถาม
“พูดมากเหลือเกินนะ รีบๆ เลือกเข้าเลย เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจไม่ให้ซะเลยนี่”
“ดุร้ายจริงๆเลย”
วาสิฏฐีเลือกค้นหาของในกระเป๋าไป จนไปเจอถุงกำมะหยี่ใส่ของยัดอยู่ใต้กระเป๋า เธอหยิบติดมือมาแล้วขึ้นไปหามัทนาบนเตียงพร้อมโชว์ถุงกำมะหยี่
“นี่อะไรเหรอพี่มัท”
มัทนาถอดหูฟังออก
“ไข่มุกดำ”
“ขอดูนะ”
มัทนาพยักหน้าให้
วาสิฏฐีเทออกมาใส่ใส่มือดู
“โอ้โห สวยน่ากินจังเลย”
“อยากได้มั้ยล่ะ”
วาสิฏฐีอึ้งปนงง
“ให้จริงเหรอะ ไม่แพงเหรอ”
“ของปลอม”
“งั้นเค้าเอานะ”
“เอาไปดิ”
วาสิฏฐียิ้มดีใจเข้าไปหอมแก้มมัทนาแล้วรีบวิ่งร่าเริงออกไปจากห้อง
“ขอบคุณค่ะพี่สาว”
มัทนายิ้มๆเอ็นดูก่อนจะขรึมลง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นหาชื่อตวัน ลังเลว่าจะโทรหาดีมั้ย ก่อนจะตัดสินใจ วางโทรศัพท์มือถือลงแล้วเสียบหูฟังเตรียมถอดเทปทำงานต่อ
หน้าตึกเชนเพิร์ลตอนกลางคืน เชนเดินกลับเข้าห้องทำงานที่ใหญ่โตโอ่โถง ลูกน้องตามประกบคอยรับใช้
“เราจะไปเอาไข่มุกดำคืนเลยมั้ยครับ”
เชนนั่งลงที่โต๊ะทำงาน สีหน้านิ่งขรึม
“ยังก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
ลูกน้องร้อนใจแทน
“ไม่กลัวมันเอาไปขายเหรอครับ”
“ไม่หรอก เด็กนั่นมันมีใจให้ฉัน แล้วมันก็คิดว่าฉันหลงรักมันอยู่”
เชนสะแหยะยิ้มดูถูก
“ป่านนี้คงซุกไว้ใต้หมอนเก็บเอาไว้นอนฝันอย่างดีล่ะ”
ลูกน้องยิ้มๆ ตามเจ้านาย
“ฉันมั่นใจว่าเอาคืนได้ไม่ยาก ตอนนี้มีธุระสำคัญกว่าต้องทำก่อน...ไปตามวิชัยมาพบฉันสิ”
“ครับ” ลูกน้องรับคำแล้วเดินออกไป
เชนมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แววตาดูร้ายๆ มีแผนการในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น มัทนาแต่งตัวไปทำงาน สะพายเป้ประจำเดินลงมาจากชั้นบน สีหน้าซึมๆ เหงาๆ
“มาทานข้าวลูก” พ่อบอก
“มัทไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ”
“กินรองท้องซะหน่อยสิ” แม่ว่า
“มัทไปทานที่ออฟฟิศก็ได้ค่ะ มัทไปก่อนนะคะ” มัทนายกมือไหว้ เดินซึมปนเซ็งออกไปจากบ้าน
“มัทเค้าเป็นอะไรของเค้าไม่สบายรึเปล่านก” สาวิตรีพูดขึ้น
“ไม่รู้สิคะ ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันเลย ต้องถามคู่ซี้เค้าโน่น” ศกุนตลาโบ้ยปากไปทางวาสิฏฐี สายตาที่ทุกคนมอง ทำให้วาสิฏฐีถึงกับยิ้มแหยไปมา
“รู้มั้ยพี่สาวเราเค้าเป็นอะไร”
วาสิฏฐีลังเล
“แหม จะพูดยังไงดีล่ะคะ”
พ่อยิ้มแบบรู้ทัน
“อยากเล่าเต็มแก่แล้วจะเก็บไว้ทำไมล่ะ”
สาวิตรีขำๆ
“คุณพ่อรู้ทัน”
“เล่ามาเร็วๆ เลย อย่ามาลีลาเยอะ” ศกุนตลาบอก
“บางทีบ้านเราอาจจะได้ลูกเขยเป็นดาราก็ได้นะคะ”
ทุกคนในบ้านดูตกใจมาก
“อย่าพูดไปนะคะว่ารู้มาจากสิฏฐี ไม่งั้นโดนพี่มัทเล่นงานตายแน่ๆ”
วาสิฏฐีสีหน้าคันปากอยากเล่าต่อ
ยามสาย มัทนาเดินเข้าออฟฟิศมาด้วยความรู้สึกหดหู่ ฉีกยิ้มแบบสักแต่ว่ายิ้มให้เพื่อนพนักงานที่ยิ้มให้ เธอเดินไปหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานของมีคณา มีคณาไม่รู้ตัวกำลังง่วนอ่านการะดาษปึกใหญ่ในมือ พลิกกระดาษไปมา ใช้ปากกาเน้นตัวอักษรขัดข้อความที่คิดว่าสำคัญ อ่านไปอ่านมาก็ขีดอีก ขีดอีก
มัทนายืนแอบมองอยู่ ค่อยยิ้มออก มีคณาก็ขีดเน้นอีก จนกระดาษทั่งแผ่นแทบจะกลายเป็นกระดาษสะท้อนแสงไป มัทนากระเซ้า
“ไม่ขีดดีกว่าค่ะ”
มีคณาสะดุ้งสุดตัว
“อ้าวมัท กลับมาแล้วเหรอะ”
มัทนายิ้มแย้ม
“ค่ะ”
มัทนาเปิดเป้หยิบผ้าบาติกผืนสวยมาฝาก
“ของฝากค่ะ”
มีคณายิ้มรับแล้วคลี่ดู
“ขอบใจจ้ะ”
มัทนาทำจมูกฟุดฟิด สูดกลิ่นหอม
“หอมดอกอะไรคะเนี่ย”
มีคณาชะงักไป ดันแว่นกระชับจมูกเล็กน้อย ก่อนเอาผ้าบาติกคลุมช่อดอกส้มที่ปักอยู่ในแจกัน
บนโต๊ะซะมิด ท่าทางมีพิรุธ
มีคณารีบตัดบทชวนคุย ยิงคำถามเป็นชุด
“เป็นไงบ้าง สนุกมั้ย ทำไมไปทะเลทั้งทีไม่เห็นดำขึ้นเลย”
มัทนาสีหน้าเนือยๆ
“ก็ดีค่ะ”
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ ใช้เทคนิคยังไง พระเอกสุดหล่อถึงยอมเปิดปากได้” มีคณายิ้มอยากรู้
มัทนาหน้าเจื่อนๆ ยังไม่อยากพูดถึงเขตต์ตวันจึงปฏิเสธอย่างเนียนๆ
“เรื่องมันยาว เอาไว้ว่างๆ ค่อยเล่าดีกว่าเน๊อะ”
มัทนารีบตัดบทเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วพี่มี่กำลังทำเรื่องอะไรอยู่คะ”
มีคณาเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง
“อ๋อ ก็ข่าวยาเสพติดน่ะจ้ะ”
“พี่วารีเล่าให้มัทฟังว่า พี่มี่เจอเรื่องอะไรจุดไต้ตำตอเหรอคะ เกี่ยวกับสารวัตรอะไรซักคน”
มีคณาอึ้งปนอาย รีบเลี่ยงเหมือนกัน
“เรื่องมันยาว เอาไว้ว่างๆ ค่อยเล่าดีกว่าเน๊อะ”
มีคณาตัดบท ไม่เนียนนัก โชว์มือถือ สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่
มัทนายิ้ม
“ยอมซื้อแล้วเหรอคะ”
“รำคาญวารี ยุอยู่นั่นแหละ”
“ดีแล้วค่ะพี่มี่ เดี๋ยวโหลดแอ๊พตั้งกรุ๊ปเราสามคนเมาท์กันไม่เสียค่าโทรศัพท์ ..มัทไปหาบอกอก่อนนะคะ”
“จ้ะ”
มัทนาเดินเลี่ยงออกไป มีคณารีบเอาผ้าบาติกที่คลุมแจกันดอกส้มออกอย่างเร็ว สีหน้าเป็นห่วงดอกส้มกลัวจะบอบช้ำอยู่เหมือนกัน เธอหยิบช่อดอกส้มมาจัดแต่งก่อนจะมองซ้ายขวาเห็นไม่มีใคร ค่อยแอบดมกลิ่น ยิ้มสบายใจที่ยังอยู่ในสภาพดีและหอมอยู่
มัทนาเดินสะพายเป้ไปทางห้องไชยวัฒน์ เขาเดินออกมาจากห้องกาแฟพอดี มัทนายิ้มแย้ม ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะบอกอ”
“งานผมได้เมื่อไหร่” ไชยวัฒน์ถาม
“โห..เจอหน้าก็ทวงงานเลยนะคะ”
มัทนาหยิบถุงใส่ขนมออกมาจากเป้
“ของฝากลูกชายบอกอค่ะ....ขนมเหมือนกันเป๊ะ จะได้ไม่แย่งกันค่ะ”
“ขอบใจมาก” ไชยวัฒน์รับของเอาไว้
มัทนาหยิบมาอีกถุง
“ส่วนของบอกอเป็นน้ำพริกนะคะ แซ่บเว่อร์ เค้าว่างั้น”
“ขอบใจมาก ทีหลังไม่ต้องนะมัท ป่ะ ไปคุยกันที่ห้องผมต่อ”
ทั้งคู่เดินคุยกันไป มัทนานึกได้
“อ้อ มัทมีเรื่องสงสัยค่ะบอกอ ภาพพวกนั้นบอกอได้เปิดดูก่อนส่งไปให้มัทที่ภูเก็ตรึเปล่าคะ”
“ภาพอะไร”
“ก็ภาพอนาจารพวกนางแบบของบริษัทตวันไงคะ”
ไชยวัฒน์มีสีหน้างงๆ
“บอกอบอกว่ามีแหล่งข่าวส่งข้อมูลมาให้ บอกอจะส่งไปให้มัท ลืมแล้วเหรอคะ”
ทั้งคู่เดินคุยกันไป
ไชยวัฒน์สีหน้าสงสัย
“ใช่ แหล่งข่าวส่งมาจริง เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคดีเมื่อสองปีก่อน ผมเห็นว่ามันไม่ใช่หลักฐานที่สมบูรณ์ ภาพที่ส่งมาก็ทุเรศทุรัง ขืนลงไปไม่ถูกฟ้องก็โดนใบเตือนจากกรมตำรวจแน่ ผมเลยไม่ได้ส่งไปให้คุณ”
ทั้งคู่เดินคุยกันจนไปหยุดที่หน้าห้องไชยวัฒน์
“ไม่ได้ส่งไปให้เหรอคะ แล้วภาพพวกนั้นถูกส่งไปให้มัทที่โรงแรมได้ยังไงคะ”
ไชยวัฒน์ติดใจสงสัยมากเช่นกัน
“มีคนส่งภาพอะไรไปถึงคุณ เล่าให้ผมฟังให้ละเอียดซิ”
ไชยวัฒน์เปิดประตูนำเข้าห้องไป มัทนาเดินตามเข้าไปติดๆ
ผ่านเวลาเล็กน้อย ไชยวัฒน์นั่งพิงพนักเก้าอี้หน้าเครียดไปหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจากมัทนาอย่างละเอียด เขามองเธอแล้วซักอย่างสงสัย
“แล้วคุณตวันเข้าไปในห้องพักของเธอได้ยังไง”
มัทนาลืมเรื่องนี้ไปสนิท หน้าแดงเถือกขึ้นมา จะอ้าปากเคลียร์ตัวเอง ไชยวัฒน์ยกมือห้าม
“ช่างเถอะ มันเรื่องส่วนตัวของเธอ”
มัทนารีบแก้ตัวพัลวัน
“มันไม่ใช่อย่างที่บอกอคิดนะคะ”
“เอาเถอะผมเชื่อคุณ แต่ผมชักไม่ค่อยชอบใจแล้วสิ รู้สึกเหมือนพวกเรากำลังถูกใครบางคนหลอกใช้เป็นเครื่องมืออยู่”
มัทนาสีหน้าใช้ความคิดตามที่บ.ก.พูด
“เธอทำถูกแล้วล่ะ ที่คืนภาพพวกนั้นให้เค้าไป แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจ รีบเขียนเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วๆ แล้วผมขอเอาไปให้ทนายความดูก่อน แล้วเราค่อยลงตีพิมพ์”
“ค่ะบอกอ”
ไชยวัฒน์ลุกขึ้นยืนเดินมาตบบ่ามัทนาเบาๆให้กำลังใจ
“ตั้งใจทำงานให้เสร็จ เขียนอย่างที่เธอถนัด ไม่ต้องเกร็งนะ ตามสบาย ถ้ามีปัญหาอะไรผมจะจัดการแก้ไขให้เอง”
มัทนายิ้มตอบแต่กลับคิดในใจ
“แล้วปัญหาหัวใจ บอกอจะรับแก้ไขให้ด้วยมั้ยคะ”
ไชยวัฒน์ถาม
“คิดอะไรอยู่”
มัทนาสะดุ้งเล็กน้อย หลุดจากความคิด
“เปล่าค่ะ”
ไชยวัฒน์จ้องหน้า
“แต่หน้าเธอมันฟ้อง”
มัทนาสีหน้าเจ้าเล่ห์ แก้ตัว
“คือมัทแค่อยากรู้ว่า ยังคอนเฟิร์มว่ามัทจะได้ย้ายไปโต๊ะการเมืองแน่ๆใช่มั้ยคะ”
ไชยวัฒน์ขำแกล้งตบบ่าแรงขึ้นนิด
“ ใจเย็นๆ”
ไชยวัฒน์เดินกลับไปนั่ง มัทนามีสีหน้าเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะเป่าปากโล่งอก แก้ตัวพ้นไปได้
สาระวารีเดินบ่นงึมงำไปมาขณะเดินผ่านโต๊ะทำงานมัทนา
“ยังง่วงอยู่เลย โทรมาปลุกอยู่ได้ ว่างมากนักรึไงเจ้าพ่อขี้นก”
สาระวารีเดินเลยโต๊ะมัทนาที่กำลังนั่งถอดเทปอยู่ เธอหยุดกึกเดินถอยหลังกลับมาทักทายด้วยความดีใจ
“มัท กลับมาเงียบๆนะจ๊ะ”
มัทนาดีใจ กดปิดเครื่องอัดสัมภาษณ์ ปั้นยิ้มแย้มให้
“พี่วารี มัทมีขนมกับผ้าบาติกมาฝากพี่วารีด้วย”
มัทนาหยิบถุงใส่ของฝากที่วางไว้ข้างโต๊ะขึ้นมาให้
สาระวารีรับถุงไว้
“ขอบใจจ้ะ พี่ก็มีของฝากจากเกาะมาให้เราเหมือนกันอยู่ที่โต๊ะแน่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เจอป้ามี่รึยัง วันๆหาตัวไม่เจอเลย เอะอะไปขลุกอยู่หน่วยปราบปรามยาเสพติดตลอด ไม่รู้ไติดใจอะไรนักหนา”
“เห็นพี่มี่บอกว่าจะทำสกู๊ปอะไรซักอย่างนี่ล่ะค่ะ”
“แล้วงานสัมภาษณ์เราเป็นไงบ้าง”
“ก็ไม่เลวค่ะ” มัทนารีบตัดบท ไม่อยากโดนซักเยอะ
“แล้วคุณษมายอมให้พี่สัมภาษณ์แต่โดยดีรึเปล่าคะ”
สาระวารีดูเหมือนเขินอายเล็กน้อยแปลกๆ ก่อนตอบ
“ก็ยอม พี่ได้ไปดูเกาะที่เค้าจะสร้างด้วยนะ ถ้ามัทกับมี่ไปคงชอบ เกาะเล็กๆ มีน้ำตก ดอกไม้แปลกๆ ทะเลก็สวย”
สาระวารีหน้าเบ้เล็กน้อยก่อนบอก
“แต่แย่หน่อยตรงที่เค้าขออ่านต้นฉบับก่อนจะตีพิมพ์”
มัทนายิ้ม
“จบข่าวกันเลย อย่างพี่วารีไม่ยอมแน่ ๆ ใช่มั้ยคะ”
สาระวารีตอบไม่เต็มเสียง ผิดจากคนเดิม
“ก็ต้องยอมบ้างไรบ้างแหละ”
มัทนาอึ้งปนแปลกใจ จ้องหน้าวารี
สาระวารีหลบตา ทำอารมณ์เสียกลบ
“ก็เค้าจะตามขึ้นมาอ่านถึงที่นี่พี่จะไปห้ามได้ไงล่ะ บอกอก็อยากได้ข่าวซะ”
มัทนาอ้าปากจะถามต่อ สาระวารีรีบชิงปิดการสนทนา
“งั้นพี่ ไปโต๊ะก่อน มีข้อมูลต้องค้นเพิ่มจมเลย กลางวันค่อยไปเมาท์กันที่ร้านเจ๊”
สาระวารีรีบเดินหนีไปเลยเพราะกลัวโดนซัก
มัทนามองตามสาระวารีไปเล็กน้อย ด้วยสีหน้าติดใจสงสัย ก่อนจะหันกลับมามองเครื่องอัดสัมภาษณ์ พอกลับมาเห็นเรื่องตัวเองก็ซึมไปพลางพึมพำบ่นกับตัวเอง
“ป่านนี้จะหายโกรธรึยังก็ไม่รู้” ฃ
มัทนาถอนใจพร้อมเสียบหูฟัง แกะเทปสัมภาษณ์ต่อไป
เอกชัยเดินตามหาเขตต์ตวันขึ้นมาถึงชั้นบน
“ปอน ปอน”
เขามองหาไปทั่วๆ ก่อนไปเคาะประตูห้องนอน
“ปอน”
เอกชัยเปิดประตูห้องเข้าไปดู เห็นเขตต์ตวันกำลังพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบย่อมอยู่
“เรียกไม่ตอบวะ”
“จัดกระเป๋าอยู่”
เอกชัยสงสัย
“จัดกระเป๋าไปไหน”
“ไปกรุงเทพ”
เขตต์ตวันเดินไปเลือกเสื้อผ้าที่ตู้เสื้อผ้ามาเพิ่มอีก เอกชัยเดินตามไปซักต่อ
“อีกตั้งสองวัน จะรีบจัดไปไหนวะ”
“ฉันจะไปวันนี้”
เอกชัยตกใจ
“วันนี้”
“เออ” เขตต์ตวันเดินเอาเสื้อไปพับใส่กระเป๋า
เอกชัยสีหน้าจับผิด ตามไปซักอีก
“จะรีบไปทำไมเหรอ”
“มีธุระนิดหน่อย”
เอกชัยกระเซ้า ยิ้มกวนเหมือนรู้ใจเพื่อน
“ต้องเป็นธุระสำคัญมากแน่ๆ”
เขตต์ตวันเหล่มอง
“จะไปพร้อมกันมั้ย ถ้าจะไปก็หยุดซักไซ้แล้วไปจัดกระเป๋า ฉันจัดเสร็จจะไปทันที”
เขตต์ตวันเดินไปเข้าห้องน้ำ ปิดประตูโครมใส่ เอกชัยอมยิ้มอย่างรู้ทันเพื่อน
สมาร์ทโฟนในมือมีคณาถูกยื่นไปข้างหน้าถ่ายเพื่อภาพรวมของสามสาวในบริเวณหน้าลิฟท์ สามสาวฉีกยิ้มค้าง มีคณาไม่กดถ่ายซักที
“ป้ามี่ ถ่ายเป็นรึเปล่า”
“ก็มันยังไม่ชิน”
“มัทถ่ายให้ค่ะ”
มัทนาไปเอามือถือจากมีคณามาตั้งถ่าย
สามสวยเล็งมุมกันใหม่ มัทนาอยู่หน้าสุด
มัทนาลังเล เปลี่ยนใจ
“พี่วารีอยู่หน้าสุดได้มั้ย เดี๋ยวมัทหน้าใหญ่”
มัทนายิ้มแหย ขอร้อง
“โอ๊ย เรื่องมากกันจริง จะได้กินข้าวมั้ยเนี่ย”
ไชยวัฒน์เดินมาที่ลิฟท์พอดี ทั้งสามสาวพูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“บอกอขา” ไชยวัฒน์ชะงักหันมองหน้ากัน
ไชยวัฒน์กระเซ้า
“ประสานเสียงกันเลยเชียว จะให้ช่วยถ่ายรูปให้ใช่มั้ยล่ะ”
“ค่ะ รบกวนด้วยนะคะบอกอ” มีคณาบอก
มัทนาเอามือถือไปให้ไชยวัฒน์
“เราจะใช้เป็นรูปโพรไฟล์แก๊งสามทหารเสือสาวของเราน่ะค่ะ”
“ได้เลย แอ๊ดผมเข้ากลุ่มด้วยคนสิ”
“แล้วจะเมาท์ใครล่ะคะ” สาระวารีบอก
ไชยวัฒน์มองเหล่สาระวารี
สาระวารีขำ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอามุมนี้ค่ะ แบ็คกราวนด์ สีสดๆ หน่อย”
สาระวารีจัดแจงไปลากเพื่อนๆไปรวมก้อนกันที่หน้ากำแพงสีสดใส ทุกคนโพสท์ท่ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ไชยวัฒน์ถ่าย ไชยวัฒน์กดถ่ายให้ ยิ้มๆ แซว
“แอ๊บกินกันไม่ลงเลย”
สาระวารีฉุกคิดก่อนหันไปบอกเพื่อน
“อุ๊ย ขออีกรูปค่ะบ.ก. ทหารเสือสาวต้องดุๆ ถึงจะถูก ทุกคนทำหน้าให้ดุที่สุดเลยนะ”
มีคณาอาย
“ไม่ต้องก็ได้วารี”
“ยัยป้า อย่ามาเรื่องมาก จะเข้ากลุ่มมั้ย”
มีคณาหน้าจ๋อย
“ก็ได้”
“เอ้า ทุกคนพร้อม ทำหน้าเสือสาวจอมโหด”
สามสาวพยายามตั้งท่า มีสาระวารีดุสุด อีกสองสาวยังดูอายๆ
“มัทกับมี่..เสือนะไม่ใช่แมว” ไชยวัฒน์บอกแล้วขำออกมา
มัทนาเขิน
“บอกออ้ะ”
มีคณาเขินๆ กระชับแว่นเข้าดั้ง ไชยวัฒน์บอก
“เอาใหม่ 1 2 3 เหี้ยม”
ภาพหมู่สามสาวทำหน้าตาดุดันสมชื่อแก๊งสามทหารเสือสาว
มายาตวัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
เวลากลางวัน ภายในร้านก๋วยเตี๋ยว เด็กเสิร์ฟกำลังลวกลูกชิ้นและเนื้อสดปริมาณเยอะในหม้อน้ำต้มซุปก่อนจะเอามาเทใส่ชามก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก
เจ๊คนขายเดินโวยมาแต่ไกล
“ตายแล้วๆ ๆ โชคดีที่อั๊วฉี่ไม่ออก...”
เจ๊รีบเข้ามาคีบลูกชิ้นและเนื้อสดออกไปใส่อีกชาม แล้วใช้ตะเกียบชี้ใส่ตัวเองถามเด็กเสิร์ฟ
“นี่ใคร”
“เจ๊นิด”
เจ๊ดุ ตาเขียว
“ชื่อเต็ม นิดอะไร”
เด็กเสิร์ฟแหยๆปนกลัว
“เจ๊นิดเดียว”
“ถูก เนื้อนิดเดียว เส้นเยอะๆ จำเอาไว้”
เจ๊ตักน้ำลวกใส่เลือดคลุกๆเทราดใส่ชาม
“เอาไปเสิร์ฟ ไปให้พ้นๆเลย เดี๋ยวค่าแรงลื้อจะเหลือนิดเดียว” เจ๊พูดพลางชายหางตามองค้อนตามท เด็กเสิร์ฟยกชามก๋วยเตี๋ยวไป
เด็กเสิร์ฟยกก๋วยเตี๋ยวไปก่อนจะเลี้ยวไปรับรายการอาหารที่โต๊ะสามสาว
สาระวารีหัวโจกของกลุ่มเริ่มเล่าเรื่องไปทำข่าวเป็นคนแรก มัทนาและมีคณานั่งฟังกันตาแป๋ว
“ตอนแรกก่อนไปก็คิดว่านี่งานหินชัดๆ คงคว้าน้ำเหลวกลับมาแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ยากอย่างที่คิดเอาไว้ สัมภาษณ์ตามเก็บได้ทั้งหมด ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อน แม้แต่
ตัวเจ้าพ่อใหญ่”
สาระวารีชะงักไปเล็กน้อย แอบเหยียดปากหมั่นไส้ เมื่อต้องเอ่ยชื่อหนุ่มใหญ่คนนี้
“ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะยอมให้สัมภาษณ์ง่ายๆ เน๊อะ” มัทนาบอก
“ก็ไม่น่าเชื่อพอๆ กับดาราใหญ่แหล่งข่าวของเธอแหละมัท” มีคณาว่า
มัทนาดูจ๋อยๆ ไปเล็กน้อย
“จะว่าไปฉันก็โชคดีหลายอย่างนะ มีทั้งเพื่อนคอยแนะนำให้ไปเจอแหล่งข่าว แถมแหล่งข่าวใหญ่ยังเคยรู้จักกันเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย” สาระวารีบอก
“เคยเจอกันที่ตราดเหรอ” มีคณาถาม
“ใช่ ที่บ่อนเล็กๆ กลางตลาด คุณษมาเค้าเล่นได้เยอะ ถูกนักเลงคุมบ่อนตามตี ฉันไปตามตำรวจมาช่วยไว้ได้ทัน เค้าเลยจำฉันได้แม่น พอไปทำข่าว สยามสารก็เลยได้สิทธิ์พิเศษได้สัมภาษณ์เป็นเจ้าแรกได้ข้อมูลแบบเอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ เสียอย่างเดียว เจ้าพ่อท่านไม่ยอมให้ถ่ายรูปซะงั้น”
เด็กเสิร์ฟยกก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กเนื้อน้ำตกมาเสิร์ฟให้ที่ข้างๆสาระวารี และ ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำข้นลูกชิ้นให้มัทนา... ยังเหลือแต่มีคณาที่ยังไม่ได้อยู่คนเดียว
“ได้แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้วล่ะวารี ใครจะไปคิดว่าเจ้าพ่อที่เก็บตัวนักหนาจะมีบุญคุณค้างอยู่กับนักข่าวสาวสวยอย่างเธอ งานที่คิดว่ายากเลยง่ายไป” มีคณาบอก
สาระวารีเหล่ๆมองเพื่อน ระแวงว่าที่เพื่อนพูดแซวเพราะจับได้หรือพูดไปตามปกติ เพราะงั้นตัดบทดีกว่า
“จบข่าว”
“อ้าว ไปตั้งนาน มีเล่าแค่เนี้ย”
“เออ แค่นี้แหละ หิวแล้ว...”
สาระวารีเลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวมาปรุง
“ถึงคิวแกแล้วมี่ แฟชั่นการกุศลเป็นไงมั่ง เงียบกริบไม่เล่าให้เพื่อนฟังเลย มีอะไรรึเปล่า” มีคณาพูดพลางชิมรสไป
มีคณาหลบสายตา ปฏิเสธเสียงแหลมทันที
“ไม่มี”
มีคณาใช้ปลายนิ้วแตะขอบแว่นตาเหมือนจะขัดเขิน ทำเป็นหันไปสั่งอาหารเด็กเสิร์ฟแทน
“ลืมบะหมี่แห้งของพี่รึเปล่าจ๊ะ”
มีคณากรอกตาไปมาเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติเล่าไม่ให้เพื่อนจับพิรุธได้
มีคณาหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง แอบถอนใจออกมาอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย ก่อนจะเผลอยกปลายนิ้วแตะขอบแว่นตาที่สวมอยู่ซ้ำอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว มีคณาพยายามเล่าให้ธรรมดาและเป็นธรรมชาติที่สุด
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก เหมือนแฟชั่นการกุศลทั่วไปแหละ เสียงดังวุ่นวาย นางแบบกิตติมศักดิ์ก็เดินตามใจฉัน บางทีพิธีกรเรียกให้เดินคู่ คุณเธอไม่อยากเดินคู่ก็ไม่เดินออกมาซะเฉยๆ”
สาระวารีขำบอก
“น่าสนุกจัง”
“งานนี้มีดีอย่างเดียวตรงที่รายได้จากงานจะเป็นประโยชน์กับตำรวจชั้นผู้น้อย”
“แล้วสารวัตรหน้าบึ้งนั่นโผล่มาตอนไหน เดินแบบด้วยเหรอะ” สาระวารีถาม
มีคณาเผลอแก้ตัวแทน
“เค้าแค่หน้าขรึมไม่ได้บึ้งหรอก”
สาระวารีเหล่มองเพื่อน
มีคณาชะงักรู้ตัวว่าเผลอออกรับแทนไปหน่อย รีบเล่าเรื่องต่อ
“เค้าไม่ได้เดินแบบ แค่เป็นเจ้าหน้าที่ในงาน สารวัตรเป็นคนรับประสานงานให้ มันก็เท่านั้น” มีคณาพยายามพูดเน้น เพื่อป้องกันตัวเอง
“เราติดต่อเรื่องงานกันล้วนๆ”
สาระวารีเลิกคิ้วมองเพื่อน
“จริงอ้ะ”
มีคณาหยุดกึก แต่ทำหูทวนลม ทำไม่ได้ยิน แก้เก้อด้วยการหยิบน้ำปลามาเหยาะใส่ชามก๋วยเตี๋ยวตนเป็นการใหญ่ สาระวารีอมยิ้มเหมือนรู้ทัน แต่ไม่อยากคาดคั้นหันไปซักมัทนาแทน
“มัทล่ะ”
มัทนาชะงักไปแทน มีคณาแอบถอนใจโล่งอก หยุดเหยาะน้ำปลา
“เล่าให้พี่ๆ ฟังสิ เธอไปใช้เสน่ห์มนต์ดำสำนักไหน ถึงทำให้เขตต์ตวันเลิกไล่ตะเพิดนักข่าวแล้วหันมาจูบปากแทนได้”
มัทนาตกใจมาก เขินจัดจนหน้าแดงแป๊ด ไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว
“พูดอะไรก็ไม่รู้พี่วารี”
สาระวารีและมีคณาอดขำๆ ท่าทางของมัทนาออกมาไม่ได้
มัทนาวางตะเกียบลง เลียริมฝีปากเล็กน้อย คล้ายตั้งหลักก่อนเล่า
“ข่าวของมัท...ก็ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ”
สาระวารีกระเซ้า
“รู้สึกทำข่าวงวดนี้ ไม่มีอะไรมากซักคน”
มีคณาหมั่นไส้มานาน แขวะเข้ามั่ง
“เที่ยวขัดคอเค้าไปทั่ว จะเบี่ยงเบนความสนใจอะไรออกจากตัวรึเปล่ายะ”
สาระวารีซีดไป เพื่อนกัดหนักราวงับคอ เลยเงียบไปเลย มัทนาไม่ได้คิดตาม มัวแต่จะปิดข่าวตนอย่างไม่เจ็บตัว จึงเล่าข้ามๆให้จบไป
“ก็อย่างที่เราโทรเมาท์ๆ กันแหละ เค้ามาใจอ่อนยอมให้สัมภาษณ์ก็อีตอนมัทป่วย จากนั้นก็... ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ มัทไปซื้อของในเมือง เค้าเลี้ยงข้าวมื้อนึงแล้วก็กลับกรุงเทพก็เท่านั้น”
มัทนาเล่าจบก็รีบจิบน้ำไป
“แล้วเค้าให้สัมภาษณ์ละเอียดมั้ย” สาระวารีถาม
“ก็ละเอียดดีค่ะ บางเรื่องเล่าแล้วก็ขอไม่ให้มัทเขียน”
“จริงๆ แล้วนิสัยใจคอเค้าเป็นยังไงเหรอ” มีคณาถาม
“ทั่วไปก็สุภาพ อ่อนโยน แต่ เวลาโมโห ร้ายน่าดู อย่างตอนรู้ว่ามัทเป็นนักข่าวนะ ไล่มัทยังกะ
หมูกะมา แต่มัทก็ตามตื้อไม่เลิก เค้าคงรำคาญมั้งก็เลยพูดดีด้วย คงคิดว่ามันจะได้กลับๆไปซะที”
“แล้วที่เค้าลือว่าหยิ่งนักหนา เชิดใส่นักข่าวจริงมั้ย” สาระวารีซักต่อ
“ที่จริงเค้าเกลียดอาชีพนักข่าวมากกว่าพี่ เค้าว่าเราเป็นพวกเห็นแก่ได้ ละโมบ ซื้อได้ด้วยเงิน ชอบขุดคุ้ยเรื่อง เสียๆหายๆของคนอื่นมาแฉ แล้วก็ลงข่าวผิดๆ ขอแค่ได้กระแสไว้ก่อน”
สาระวารีและมีคณาคิดตามตรงประเด็นที่อาชีพตนโดนว่า มัทนากรอกตาเจ้าเล่ห์ไปมาเล็กน้อ มัทนาตัดบท
“จบข่าว”
“อ้าว แค่เนี้ย” สาระวารีว่า
มัทนามั่วนิ่มต่อไป
“เส้นอืดหมดแล้ว กินต่อก่อนนะคะ”
มัทนาก้มหน้า สาวเส้นเข้าปากต่อเนื่องชนิดเต็มปาก พูดไม่ได้ไปนานเลย จะได้เปลี่ยนเรื่องคุยไป
คนอื่นซะที
สาระวารีและมีคณาเหล่มองกับท่าทีแปลกๆของมัทนา
“เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก”
มีคณาว่า มัทนาไอสำลักออกมาจริงๆ
สาระวารีกินไม่ลงแล้ว วางตะเกียบ ยกมือขึ้นเท้าคาง พูดเปรยๆขึ้นมา
“สิบกว่าวันนี่ก็นานเหมือนกันนะ”
ทั้งมัทนาและมีคณาต่างชะงัก คิดตามอดมีสีหน้าจ๋อยๆ ขึ้นมาไม่ได้ สาระวารีถอนใจยาวออกมา เหลือบตามองเพื่อนๆ
“ในที่สุดก็ไม่มีเรื่องอะไรสนุกๆ มาเล่าให้กันฟังเลยว่ามั้ย”
สามสาวสบตากันไปมา ต่างรีบหลบสายตากลัวเพื่อนจะจับพิรุธได้...จิบน้ำ เช็ดปาก รวบช้อน
หาอะไรทำไปเรื่อยดีกว่าสบตาเพื่อน
เสียงส่งข้อความผ่าน whatsapp ดังขึ้น สามสาวรีบหยิบสมาร์ทโฟนของตนมาดูพร้อมๆ กัน แต่เป็นข้อความส่งถึงสาระวารี เธอกดตอบไป แต่ก็แอบเหล่มองมัทนาและมีคณาที่ต่างวางโทรศัพท์มือถือลง สีหน้าแอบผิดหวังเล็กน้อย
สาระวารีมีสีหน้าใช้ความคิดบางอย่าง แล้วก็พิมพ์ข้อความส่งไป เสียงส่งข้อความผ่าน whatsapp ดังขึ้นอีก คราวนี้ดังพร้อมกัน 2 เครื่อง มัทนาและมีคณารีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู
สมาร์ทโฟนเครื่องมัทนา เป็นกลุ่มสามทหารเสือสาว มีรูปโปร์ไฟล์ 3 สาวท่าเสือดุที่ถ่ายหน้าลิฟท์พร้อมข้อความ “เป็นอะไรกันยะ” ตามด้วยรูปการ์ตูนหน้าบึ้งดุ ถูกส่งมาโดยสาระวารี
มัทนาและมีคณาจ๋อยปนแหย เหลือบตาขึ้นมองสาระวารี
สาระวารีสูดหายใจลึกรวมความกล้า กระแอมก่อนพูด
“เอาล่ะ เราสามคน เราเล่านิทานหลอกตัวเองกันมาพอแล้วล่ะ”
สาระวารีจ้องตาเพื่อนทั้งสอง
“ทีนี้มาพูดเรื่องจริงกันดีกว่า เอาความรู้สึกที่มีกับแหล่งข่าวล้วนๆ เลย ตกลงมั้ย”
มีคณาและมัทนาต่างหลบตาสาระวารีมาประสานตากันเองพอดี ทั้งคู่รีบหลบสายตาไปอีกทางทันที
สาระวารีนั่งยืด ตัวตรง
“ฉันจะเริ่มก่อน ใครไม่กล้าพูดความจริงไม่ใช่ทหารเสือสาว ออกจากกลุ่มไปเลย”
มีคณาและมัทนาจ๋อยปนแหยๆ หงอๆให้สาระวารี
สาระวารีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขินเหมือนกันที่ต้องมาสารภาพว่า แอบชอบแหล่งข่าวยังงี้เสียฟอร์มสาวห้าวหมดเลย สาระวารียกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากไปมาเล็กน้อย
คนขับรถกำลังช่วยเยาะยกกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมของเอกชัยและเขตต์ตวันออกจากโถงบ้านไปใส่รถ ชลบุษย์รีบเดินออก หน้าตาตื่นตกใจ
“จะไปไหนกันคะ”
“เข้ากรุงเทพครับ” เอกชัยบอก
“อ้าว อีก 2 วันไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าบุษย์จำวันผิด”
“ไม่ผิดหรอกครับ พอดีปอนเปลี่ยนใจจะเดินทางกระทันหัน”
“แล้วบุษย์ล่ะคะคุณปอน”
“เธอก็ไปตามกำหนดเดิมพร้อมกับลิซ่า...” เขตต์ตวันบอก
“ลิซ่าเปลี่ยนใจจะไปวันนี้เหมือนกันค่ะ”
ทุกคนหันมอง ลลิสาเดินกรีดกรายลงบันไดมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบย่อม
“เยาะ มาเอากระเป๋าฉันไปใส่รถ”
เยาะรีบวิ่งมาช่วยถือกระเป๋า
“ได้ค่ะ”
เขตต์ตวันสีหน้านิ่งๆ ซ่อนอาการเซ็งปนรำคาญไว้มิดชิด
“ผมไม่ได้จองตั๋วเผื่อนะ” เอกชัยบอก
“ลิซ่าจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวคุณเอกก็ย้ายไปนั่งที่ลิซ่านะคะ ลิซ่าจะนั่งข้างคุณปอน” ลลิสาจะเข้าไปเกาะแขนเขตต์ตวัน
เขตต์ตวันเดินเลี่ยงออกไปก่อนลลิสาจะถึงตัว เขารีบเดินนำออกไปก่อน
“งั้นก็รีบไป”
เอกชัยเดินตามเขตต์ตวันออกไป
ลลิสายิ้มหยันใส่ชลบุษย์
“ช้าเป็นเต่าอย่างเธอ ไม่ทันกินหรอกย่ะ”
ลลิสาสะบัดหน้าพรืดอย่างสะใจ เดินกรีดรายออกไปจากบ้าน ชลบุษย์มองตามด้วยสีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้มาก
บ่ายแก่ๆ มัทนาเดินกลับเข้าบ้านมาด้วยอาการเซ็งๆ เศร้าๆ พร้อมบ่นๆ และเดินทิ้งก้นไปกระแทกตัวนั่งที่โซฟา
“เมื่อไหร่ความรู้สึกบ้าๆ นี่จะหายไปซะทีนะ”
มัทนาทิ้งตัวลงนั่ง สีหน้าใช้ความคิดไปมา เธอนึกฮึดขึ้นมา
“เอาสิวะ เป็นไงเป็นกัน”
มัทนาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาตวัน เสียงสัญญาณตอบรับว่าติดต่อไม่ได้ มัทนาวางโทรศัพท์มือถือลงกลางโต๊ะโซฟา มัทนาเกิดลูกบ้าขึ้นมา
“ปิดมือถือหนีนักใช่มั้ย ได้เลยเดี๋ยวเจอกัน”
มัทนาวิ่งปู๊ดขึ้นบ้านไป
หน้าตึกเชนเพิร์ลตอนเย็น ภายในห้องทำงาน เชนเพิ่งจะเซ็นเอกสารกองโตเสร็จ...เชนหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหามัทนา แต่ไม่มีคนรับสายจนมีเสียงให้ฝากข้อความไว้
เชนเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบนามบัตรมัทนาที่เก็บไว้อย่างดีออกมา แล้วกดโทรไปตามเบอร์ที่ทำงานที่ให้ไว้ รออึดใจ ปลายสายก็รับ
“สวัสดีค่ะ โต๊ะบันเทิงสยามสารค่ะ”
“ขอสายคุณมัทนาหน่อยครับ”
“น้องมัทกลับบ้านไปแล้วค่ะ”
“ขอเบอร์ที่บ้านได้มั้ยครับ... ไม่ให้ฉันก็หาได้อยู่ดี” เชนกดตัดสายไปอย่างไร้มารยาท
เชนกดอินเตอร์คอมฯ เรียกเลขาอย่างหัวเสีย
“เข้ามาสิ”
เลขาเข้ามาในห้อง
“หาเบอร์โทรกับที่อยู่บ้านของผู้หญิงคนนี้มาให้ผมเดี๋ยวนี้เลย”
เชนโยนนามบัตรมากลางโต๊ะ สีหน้าหงุดหงิด ไมได้ดั่งใจ
เวลาเย็น วาสิฏฐีในชุดนักศึกษาฮัมเพลงร่วมสมัยกลับขึ้นบ้านชั้นบนมา จะเข้าห้องนอนแต่พลันเหลือบตาเห็นหน้าห้องมัทนามีกระดาษเขียนข้อความแปะอยู่
วาสิฏฐีเดินไปแกะมาอ่านดู ก่อนถอนใจ ส่ายหน้า
“หาเรื่องโดนด่าอีกแล้วพี่มัท”
เสียงโทรศัพท์บ้านที่โถงดังขึ้น...วาสิฏฐีวิ่งลงบันไดไปรับ
เชนนั่งเบาะหลังรถกำลังคุยโทรศัพท์ มีคนขับรถขับให้อยู่
“ขอสายมัทนาหน่อยครับ”
ที่โถงบ้าน...วาสิฏฐีคุยโทรศัพท์บ้านอยู่
“พี่มัทไม่อยู่ค่ะ”
“ปกติกลับบ้านกี่โมงครับ”
“จากที่ไหนคะเนี่ย”
“เพื่อน”
วาสิฏฐี พึมพำเบาๆ พร้อมอมยิ้ม “พี่ตวัน...”
เธอถามกลับไปเพื่อความมั่นใจ
“เพื่อนที่ไหนคะ”
เชนหน้าตาไม่พอใจ...มีเสียงเรียกซ้อนขึ้นมา เชนก้มดูเห็นเป็นชื่อมัทนา กดตัดสาย
วาสิฏฐีทิ้งไปทันที
“ฮัลโหลๆ”
เธออึ้งปนงง
“เสียมารยาท”
วาสิฏฐีเหยียดปากใส่ก่อนวางสายไป
เชนสีหน้าแปลกใจเมื่อคุยโทรศัพท์มือกับมัทนา
“มัทจะกลับภูเก็ตอีกทำไมครับ แล้วตอนนี้อยู่ไหนครับ...ครับ ครับ แล้วคุยกัน”
เชนกดตัดสาย สีหน้าใช้ความคิดไปมา ก่อนพูด บอกคนขับ
“ไปสนามบิน”
คนขับรถเหลือบตามองเชนสีหน้างงเล็กน้อย เชนสีหน้าเครียด ไม่ค่อยสบายใจนักเพราะอยากได้ไข่มุกดำคืน
มัทนากำลังต่อคิวเช็ค-อินไปภูเก็ตอยู่ ใกล้จะถึงคิวแล้ว
เอกชัยและลลิสาเข็นรถใส่กระเป๋าเดินทางคนละคันเดินคู่กันออกมาจากทางออกผู้โดยสาร เขตต์ตวันเดินสวมหมวกและแว่นดำเดินปนๆ มากับกลุ่มคน ทิ้งระยะห่างจากเอกชัยและลลิสาเล็กน้อย
มัทนาเดินออกมาจากเคาท์เตอร์เช็คอิน หยุดเดินสีหน้าใช้ความคิด
เอกชัย ลลิสา และเขตต์ตวันเดินพ้นประตูทางออกผู้โดยสาร จะไปทางลานจอดรถ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเอกชัยก็ดังขัดขึ้น เอกชัยหยิบมือถือมาดู ก็แปลกใจปนดีใจ
มัทนาคุยโทรศัพท์มือถือ
“คุณเอก มัทเอง...มัทกำลังจะไปภูเก็ตนะคะ”
เอกชัยมีสีหน้าตกใจ
“จะไปทำไมอีก ตอนนี้ฉันกับปอนอยู่กรุงเทพนะ”
เขตต์ตวันเดินหน้าบึ้งเข้ามาหาถามเอกชัย
“ใครโทรมา”
มัทนาตื่นเต้น
“คุณเอกอยู่ไหนคะ ตอนนี้มัทอยู่สนามบิน”
เสียงเขตต์ตวันแทรกดังเข้ามา น้ำเสียงดุปนโกรธ
“ฉันถามว่าใครโทรมา”
มัทนาตกใจปนดีใจที่ได้ยินเสียงเขตต์ตวันดังเข้ามา
“คุณปอน”
เขตต์ตวันแย่งโทรศัพท์มือถือไปจากเอกชัย เพื่อดูเบอร์โชว์ว่าใครโทรเข้ามา เอกชัยตัดสินใจตะโกนบอกไปให้เข้าโทรศัพท์
“กำลังจะไปที่จอดรถ”
มัทนาวิ่งตะบึงเพื่อไปหาเอกชัยและเขตต์ตวัน ฝ่ายเขตต์ตวันดูเบอร์โชว์แล้วกดตัดสายไปทันที หน้าบึ้งดุใส่เอกชัย
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ไม่น่าเอามาด้วยเลย”
เอกชัยยิ้มใจดีสู้เสือ
“ขอคืน”
เขตต์ตวันโยนลอยฟ้า เอกชัยรับคว้ารับไว้อย่างแม่นยำ เป่าปากโล่งอกเล็กน้อย ลลิสาไม่พอใจด้วย “คุณเอกยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ ด้วย แค่นี้ยังวุ่นวายไม่พออีกเหรอคะ” ลลิสาค้อนใส่แล้วรีบเข็นรถตามเขตต์ตวันไป เอกชัยสีหน้าใช้ความคิดแล้วแกล้งเข็นรถตามไปช้าๆ ช่วยถ่วงเวลาให้
มัทนาวิ่งตะบึงไปที่บันไดเลื่อน ดูสายพานจะช้าไม่ทันใจ ต้องวิ่งแทน
เขตต์ตวันเดินนำลิ่วๆไปตามทางเชื่อมไปลานจอดรถ ลลิสาเข็นรถขนกระเป๋าไล่ตามไป เอกชัยเข็นรถทิ้งท้าย รีรอ
เขตต์ตวันหยุดเดินหันกลับมามอง ด้วยท่าทางไม่พอใจ เขาเดินย้อนกลับไปหาเอกชัย
“ให้มันเร็วๆ หน่อยสิ ไม่ต้องถ่วงเวลาเลย ฉันไม่อยากเจอหน้าเด็กนั่น”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขตต์ตวัน มัทนาวิ่งรีบร้อนตะบึงตามมาถึงพอดี ทั้งคู่สบตากัน เขตต์ตวันท่าทางหัวเสียเดินนำกลับไป มัทนาวิ่งไปขวางหน้า ยกมือไหว้
“ได้โปรดฟังฉันก่อนได้มั้ยคะ”
“หลีกไป ฉันไม่อยากเจอหน้าเธอตอนนี้”
เขตต์ตวันจะเดินเลี่ยง มัทนาตามมาขวางอีก ยกมือไหว้ สีหน้าขอร้อง
“นะคะ”
เขตต์ตวันโกรธพูดเสียงดุ
“ไปให้พ้น อยากเป็นเป้าสายตาให้คนจำฉันได้รึไง ต้องการพาดหัวข่าวใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะคะ”
ลลิสาเดินปรี่เข้ามาผลักมัทนาออกไป
“ไม่ใช่ก็หลีกทางไป”
เขตต์ตวันไม่สนใจเดินฉีกนำไปก่อน
“คุณปอน”
“หน้าด้าน”
มัทนาชะงักไป จ้องหน้าลลิสา
“ค้าไล่แล้วยังไม่ไปอีก ทำใจเถอะย่ะ ผู้ชายเค้าไม่สนก็คือไม่สน แม่เด็กใจแตก กลับบ้านไปหาพ่อแม่หล่อนได้แล้วย่ะ โตแล้วเลิกคลั่งดาราซะทีเถอะ” ลลิสาสีหน้าเหยียดหยาม
เอกชัยเข็นรถเข็นใส่กระเป๋าพุ่งเข้ามาเกือบชนลลิสา
“ว้าย อะไรคะคุณเอก” ลลิสาตกใจขยับตัวหลบ
“เอาของไปเก็บรถด้วย ไปมัทนา”
เอกชัยลากแขนมัทนาออกไป
“คุณเอก ลิซ่าจะเข็นไปยังไง 2 คัน”
“โทรตามคนรถมาสิ”
เอกชัยลากแขนมัทนาพาไปหาที่คุย ลลิสาเท้าสะเอวหงุดหงิดเจ็บใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรอย่างหงุดหงิด
เชนแอบมองมาจากมุมหนึ่ง สีหน้าติดใจสงสัยมากๆ ก่อนจะรีบเดินฉีกกลับเข้าไปก่อนที่เอกชัยและมัทนาจะเห็นเขา
เชนหน้าบึ้งตึงโทรศัพท์มือถือหาเลขาส่วนเข้ามาที่มุมหนึ่งของสนามบิน
“ผมจะไปภูเก็ต วันนี้ เร็วที่สุด”
เชนฟังคู่สายก่อนตอบเป็นระยะ
“แอร์ไลน์ไหนก็ได้ ไม่เอาไฟท์เดียวกับมัทนา … ก็ผู้หญิงคนที่ผมให้นามบัตรคุณวันนี้ไง เช็คให้ดีล่ะ”
เชนกดตัดสาย สีหน้าครุ่นคิดอย่างมีแผนการ ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาใครบางคน
เขตต์ตวันนั่งหงุดหงิดอยู่ในรถที่เบาะหลังคู่กับลลิสา ซึ่งเป็นรถของบริษัทที่กรุงเทพ มีคนขับรถพร้อม เขาบ่นอุบ
“ทำไมเอกมันช้านักวะ เดี๋ยวก็ไม่รอซะเลย”
โทรศัพท์มือถือลลิสาดังขัดขึ้น เธอดูเบอร์โชว์ สีหน้ามีพิรุธเล็กน้อย
“ลิซ่าไปตามให้ค่ะ”
เธอรีบลงไปจากรถ เดินเร็วไปพร้อมกดรับโทรศัพท์ บ่นหน้าหงิก
“ส่งข้อความไปบอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งโทรมาตอนนี้ ลิซ่าอยู่กับมัน”
ลลิสาหน้าหงิกงอ ไม่พอใจ
มัทนาหลบมุมคุยกับเอกชัยที่มุมหนึ่งของสนามบิน
“เธอก็ไม่ควรจู่โจมปอนมันยั้งงั้น มันเหมือนคนอื่นซะที่ไหน คนอย่างมันต้องให้เวลา ให้มันคิดได้เอง”
มัทนาหน้าจ๋อย
“มัทอดทนรออีกวินาทีเดียวก็ไม่ไหวหรอกค่ะ อยู่ดีๆ คนที่เราแคร์มากๆ มาโกรธเกลียดเราโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เป็นคุณเอกจะยิ่งกว่ามัทอีก”
เอกชัยเข้าใจ
“พูดอีกก็ถูกอีก ไม่งั้นฉันจะออกรับแทนเธอจนถูกมันชกเอาเหรอะ”
มัทนากอดอกถอนใจ
“แล้วนี่เธอจะเอายังไง จะไปภูเก็ตอีกเหรอะ ปอนมันอยู่กรุงเทพแล้วนะ”
“มัทเช็คอินไปแล้วล่ะค่ะ”
“ไปก็เสียเที่ยวเปล่า ไม่เจอใคร”
มัทนางอนๆ พูดประชด
“แล้วคุณเอกคิดว่ามัทจะไปเจอใครเหรอคะ มัทจะไปกราบหลวงพ่อ”
เอกชัยจ้องหน้า
“เหรอ...จะให้ฉันเชื่อมั้ย”
มัทนาถอนใจ ไม่สู้ตา สีหน้าหน้าซึมๆจ๋อยๆ
“บอกตรงๆ มัทยังช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่”
“ฉันเข้าใจ” เอกชัยมีสีหน้าเห็นใจ
มัทนาน้ำตารื้นๆขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“มันเหมือนมัทนั่งชมวิวสวยๆบนเขาอยู่ดีๆ เก้าอี้ก็หักโครม มัทตกนรกลงมาเลย จิตใจมันอ่อนแอยังไงบอกไม่ถูก”
มายาตวัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
เอกชัยมองมัทนา ด้วยสีหน้าสงสารเห็นใจ ถอนใจยาวออกมา
“มัทขอกลับไปเก็บความรู้สึกดีๆ ที่ยังพอเหลืออยู่ที่ภูเก็ตมาเพิ่มพลังให้กับตัวเองหน่อยดีกว่า”
“ก็ตามใจถ้าจะทำให้รู้สึกดีขึ้น”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้น
เอกชัยจำเสียงเรียกเข้าได้
“พ่อโทรมาตามแล้ว โชคดีนะมัท แล้วคุยกัน”
เอกชัยกดรับโทรศัพท์มือถือ
“เออ กำลังเดินกลับไปอยู่นี่ ล่ะ”
เอกชัยกดตัดสายเดินหน้าเครียดกลับไป
ผ่านเวลาซักพัก เขตต์ตวันเดินกลับเข้านอนคอนโดฯ มายืนเท้าสะเอวหน้าหงิกอยู่กลางห้อง เอกชัยเดินตามพูดไม่เลิก
“แกก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นฝีมือใคร เด็กนั่นไม่มีปัญญาหารูปพวกนั้นมาได้หรอก ขนาดเรายังไม่มีปัญญาเลย ถ้ารูปพวกนั้นหาง่ายขนาดนั้นจริงๆ คงหลุดมาทำลายแกไปตั้งนานแล้ว”
เขตต์ตวันเถียงไม่ขึ้น ได้แต่ถอนใจออกมา
“ชัดเจน ว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง แล้วมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน”
“พูดจบรึยัง ฉันเหนื่อย อยากพัก”
เขตต์ตวันเดินไปทางห้องน้ำ
เอกชัยจ้องหน้าเพื่อนแล้วบอก
“ฉันขอแนะนำ รีบออกจากเปลือกหอยหลบภัยของแกซะไอ้ปอน”
เขตต์ตวันหยุดกึกหันมาจ้องหน้าเพื่อน
“จับเครื่องกลับภูเก็ตไปตอนนี้ยังทัน ไปปรับความเข้าใจกับมัทนาซะ”
“เพื่ออะไร”
“ใจแกคงตอบได้ดีกว่าฉันมั้ง”
เขตต์ตวันอึ้งไปเล็กน้อย
“นอกจากป่าน ฉันก็ไม่เคยเห็นแกแคร์ผู้หญิงคนไหนมากเท่ามัทนามาก่อน”
เอกชัยจ้องหน้าเขตต์ตวันเขม็ง เหมือนอ่านใจเพื่อนออก เขาหลบสายตาเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง
เขตต์ตวันเปิดประตูห้องนอนออกมาที่โถง ลลิสาทำท่าทีมีพิรุธเล็กน้อยอยู่แถวหน้าประตูห้อง เธอยิ้มแก้เก้อ
“ไวน์ซักแก้วมั้ยคะ”
เขตต์ตวันพยักหน้าไปงั้นๆ ก่อนเดินไปทอดสายตามองวิวนอกคอนโดฯ
ลลิสาเดินไปทางครัวแต่ก็จับตามองเขตต์ตวันตลอด สีหน้านิ่งๆ มีแผนการ
มัทนาทอดสายตามองทะเลสวยไกลออกไป คลื่นก็ซัดเข้าฝั่งต่อเนื่อง ความรู้สึก วันนี้เหงาหว่าทุกครั้ง เธอได้แต่ถอนใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อย
ม้าสวยตัวหนึ่งถูกควบช้าๆ ผ่านมาตัดหน้าบังวิวซะงั้น... มัทนาเหลือบตาขึ้นมอง ตกใจระคนดีใจนึกไม่ถึง เพราะคนขี่ม้าคือ เชน
“คุณเชน”
มัทนายิ้มออกมาอย่างดีใจ
ผ่านเวลาเล็กน้อย มัทนาเดินคุยเล่นกับเชนเรียบมาตามชายหาดมาเรื่อยๆ เชนสีหน้าขรึมๆ หันมาถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“มัทกับคุณตวันชอบกันอยู่เหรอ”
มัทนาชะงัก ก้าวขาไม่ออกเลย เชนสีหน้าเศร้าๆ มองตาเธอเพื่อรอคำตอบ
“ผมเข้าใจไม่ผิดใช่มั้ย”
มัทนาไม่สู้สายตา
“ทำไมคุณเชนคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“ไม่รู้สิ ดูคุณแคร์เค้ามาก”
มัทนาหน้านิ่ง จริงจัง
“ก็ถ้าเป็นคุณเชนมีเรื่องเข้าใจผิดกับมัท โดยที่มัทไม่ได้ทำผิดอะไรเลย มัทก็ต้องตามอธิบายให้รู้เรื่องแบบนี้เหมือนกัน”
เชนฟังคิดตาม ค่อยยิ้มออก
“ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
มัทนาฝืนยิ้มให้ จะเดินนำไป เชนฉวยมือเธอาจับกุมเอาไว้ เธอชะงักไปเล็กน้อย มองมือเชนที่จับกุมมือเธอเอาไว้
“อย่าลืมว่ามัทให้สัญญากับผมแล้วนะ ว่าจะให้โอกาสผมเป็นคนแรก”
เชนสีหน้าจริงจัง มัทนาขำๆแก้เก้อ
“คุณเชนนี่ตลกจังเลยนะคะ”
มัทนาดึงมือออกแล้วรีบเดินนำเลี่ยงไปก่อน สีหน้าแอบเครียด เชนพูดขณะเดินตาม
“ยังเก็บไข่มุกดำที่ผมให้เอาไว้หรือเปล่าครับ”
มัทนาชะงักหันกลับมามองหน้าเชน
เชนปั้นสีหน้าน้อยใจ
“หรือว่าเอาไปขายทิ้งหรือวางลืมไว้ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้”
“เปล่าค่ะ มัทเก็บไว้ที่บ้านอย่างดี”
เชนยิ้มสบายใจ
“ขอบคุณมากครับ ที่ยังเห็นความสำคัญของผมอยู่”
มัทนายิ้มให้แล้วเดินนำต่อไป
พอมัทนาหันหลังไป เชนค่อยๆ ยิ้มจางลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นหน้านิ่งขรึม แต่แววตากลับดูนิ่ง
มีนัยแฝงอยู่จนดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
มัทนานั่งดูพระอาทิตย์ตกอยู่ที่แหลมพรหม ณ.จุดชมวิวเดิมที่เคยมากับเขตต์ตวัน เธออยู่คนเดียวเพียงลำพัง มัทนาดูเหงาๆ เศร้าๆ
เย็นวันนั้น... พระอาทิตย์ตกดินอีกครั้ง
เช่นเดียวกับ เขตต์ตวันที่กำลังยืนมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่ที่ระเบียงคอนโดคนเดียวเงียบๆ เอกชัยที่ถือแก้วน้ำค้างอยู่ ขณะกำลังจัดโต๊ะอาหารเย็น ชลบุษย์ช่วยจัดอาหารอยู่ มองตามสายตาเอกชัยไปที่เขตต์ตวัน สีหน้านิ่งๆ
เอกชัยยิ้มๆ หันมาพูดกับชลบุษย์
“ตอนนี้คงมีคนมองพระอาทิตย์ตกดินพร้อมๆ กันอยู่ว่ามั้ย”
ชลบุษย์งงเล็กน้อย ไม่ได้คิดตามความแฝงของเอกชัย
“แน่นอนค่ะ พระอาทิตย์ดวงดียวกันนี่คะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ 3 คนแล้ว”
“ผมว่า 4”
เอกชัยเดินยิ้มไปทางห้องครัว ชลบุษย์มองตามเอกชัยแล้วส่ายหน้าไปมา นึกว่า เอกชัยมาอารมณ์อะไรของเค้าแล้วจัดโต๊ะอาหารต่อไป
เขตต์ตวันยังคงยืนหันหลังมองพระอาทิตย์ตกดินไปตามลำพังเหงาๆ
โรงแรมอโณทัยตอนหัวค่ำ บริเวณล็อบบี้...เชนกำลังคุยกับพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์อยู่
“เมื่อเย็นให้รถโรงแรมไปส่งที่แหลมพรหมเทพแล้วรอรับกลับเลยค่ะ”
เชนสงสัย
“ไปทำไมของเค้า”
“เห็นว่าอยากดูพระอาทิตย์ตกดินนะคะ”
เชนขำๆ
“ชอบอะไรเหมือนกันซะด้วย”
พนักงานดูงงๆ เล็กน้อยแต่หายงงทันทีที่เชนหยิบซองใสใส่ไข่มุกให้
“อุ๊ย อีกแล้วเหรอคะ เกรงใจจังเลย”
“ก็เธอน่ารักกับฉันขนาดนี้ ไข่มุกเม็ดเดียว น้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
“ขอบคุณค่ะ”
พนักงานต้อนรับรับไม่มุกไปดูปลาบปลื้ม
“อย่าลืมรายงานฉันให้ละเอียดแล้วกัน ว่าเค้าไปไหน กับใคร แล้วจะเช็คเอาท์กลับกรุงเทพเมื่อไหร่”
“ได้ค่ะคุณเชน”
พนักงานต้อนรับรีบเก็บไข่มุกเข้ากระเป๋าไป เชนยิ้มมุมปากอย่างมีแผนการ
ยามสายวันรุ่งขึ้น บรรยากาศวัดสวนป่าร่มรื่น มัทนาอุ้มโรสเดินเล่นมายังบริเวณวัด
“พี่สัญญาไว้แล้วว่าจะมาหาน้องโรส พี่ก็ต้องมา วันนี้เราไปเที่ยวไหนกันดีคะ”
หลวงพ่อเดินกลับมาจากโบสถ์ มีลุงชดช่วยถือย่ามของใช้ตามหลังมาด้วย เจอกับมัทนาพอดี เธอยิ้มดีใจรีบย่อตัวลงนั่งไหว้หลวงพ่อที่ยิ้มเมตตาให้มัทนา
หลวงพ่อเดินนำคุยกับมัทนามาทางมุมร่มรื่นของวัด ลุงชดเดินตามมาด้วย
“ได้ข้อมูลไปแล้วก็ไปเขียนข่าวให้ตรง อย่าผิดเพี้ยนซะล่ะ ซื่อสัตย์กับเจ้าตวันมันด้วย”
หลวงพ่อนั่งนำลงที่เก้าอี้สนามหน้ากอไผ่งาม
“คิดซะว่าสงสารมันเถอะนะ อย่าไปทำร้ายมันอีกเลย”
มัทนาตามมานั่งกับพื้น ห่างไปสักระยะ
“มัทไม่ทำหรอกค่ะหลวงพ่อ มัทให้สัญญาค่ะ”
“ขอบใจแทนเจ้าตวันมันด้วย ที่กลับมานี่ มาหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกล่ะ”
“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ กลับมาเติมพลังนิดหน่อย ก็เลยแวะมาเยี่ยมน้องโรสท แต่จะว่าไปก็มีบางเรื่องที่ยังสงสัยอยู่นะคะ”
หลวงพ่อขำๆบอก
“นักข่าวในสายเลือด เปิดช่องเป็นไม่ได้ อ้ะ ว่ามา อาตมาตอบได้ก็จะตอบให้”
“คือมัทสงสัยเรื่องเพื่อนของคุณปอนกับคุณเอกที่ชื่อเชษฐ์น่ะค่ะ”
เชนแอบมองและฟังการสนทนามาจากด้านหลังกอไผ่ด้านหลัง
มัทนาสีหน้าสงสัยอยากรู้
“เค้าหายไปไหนซะล่ะคะ”
เชนมองผ่านช่องต้นไผ่มีสีหน้านิ่งเครียดไปอย่างเห็นได้ชัด
หลวงพ่อสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเช่นกันพร้อมถอนใจยาวออกมา
“ชีวิตเจ้าเชษฐ์มันก็น่าเวทนาไม่ต่างจากเจ้าตวันนักหรอก”
หลวงพ่อมองเลยไปที่ชด
“เจ้าชดโน่น รู้ลึกกว่าใครทั้งหมด”
มัทนาหันมองไปทางลุงชดที่นั่งยิ้มกริ่มโชว์ฟันหลอ
“ลุงชดเล่าให้ฟังได้มั้ยคะ”
ลุงชดหันมองไปทางหลวงพ่อคล้ายขออนุญาต
“เล่าไปสิ”
มัทนาหันมองไปทางลุงชดที่ตั้งท่าเล่าอย่างคันปาก
ในอดีต เวลากลางวัน ที่บ้านของเชษฐ์ ขวดเหล้ากลิ้งตกบันไดมาแตกกระจาย แม่เชนเมาหนัก นอนพาดคาบันไดอยู่ เสียงเมาโวยวาย แผดเสียงลั่น
“ไอ้เชษฐ์ มาพากูขึ้นบ้านที”
เชนวัยเด็กราว 6-7 ขวบวิ่งออกมาดูก็ตกใจ
“แม่”
แม่ชี้หน้าด่า
“กูตกบันไดเพราะของเล่นมึงทิ้งเกะกะ มึงจะวางกับดักฆ่ากูรึไง ไอ้ลูกทรพี”
เชนเข้ามาช่วยประคองแม่พาขึ้นบันไดไปอย่างทุลักทุเล
“แม่มันขี้เหล้าเมายา เมาหัวราน้ำได้แทบทุกวัน ถ้าไม่เมาก็เข้าบ่อน” ลุงชดบอกมัทนา
บ่ายวันหนึ่ง เชนในวัยเด็กวิ่งมารับพ่อที่ท่าเรือ พ่อลงจากเรือประมงมาขึ้นฝั่ง ย่อตัวลงนั่งกอดลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“พ่อมันออกเรือหาปลา หาเงินได้เท่าไหร่ แม่มันก็ผลาญเกลี้ยง”
เวลาเย็น แม่ค้นตัวพ่อที่พยายามปัดป้อง เชนวัยเด็กนั่งกินข้าวอยู่มุมห้อง มองดูพ่อด้วยความสงสาร
“ฉันให้เธอไปหมดแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อ มันน้อยไปหน่อย”
“ฉันจ่ายค่าหนี้สินไปตั้งเยอะ”
“เอามาอีกซัก 500 ก็ยังดี แกเอาไปซุกซ่อนไว้ที่ไหน เอามาให้ฉันซะดีๆ”
แม่เจอเงินจนได้ แม่ดึงแบงค์ปึกบางๆ ออกมาจากที่พ่อเหน็บไว้หลังเอว มีประมาณ 6-7 ร้อย
“นี่ไงล่ะ จะซุกไว้ให้ใคร”
“ฉันจะซื้อเสื้อใหม่กะของเล่นให้ไอ้เชษฐ์มัน”
“โอ๊ย ตัวแค่นี้ จะใส่เสื้อแพงๆ ทำไม ลูกบ้านอื่นเค้าถอดเสื้อนุ่งกางเกงลิงตัวเดียววิ่งเล่นได้ทั้งวัน คิดว่าไอ้เชษฐ์มันเป็นลูกผู้ดีตกยากมาจากไหนเหรอเจ้าคะ”
เชนฟังแม่พูดก็สีหน้าจ๋อยๆ
“ของเล่นอีก จะซื้อมาให้มันเล่นทำไม มีเวลาว่างก็ช่วยงานสิ”
แม่เก็บเงินยัดยกทรง
“ฉันเอาหมดนี่ล่ะ กินกันยังกะยัดทะนาน เงินให้มาเคยพอที่ไหนล่ะ”
“ก็แม่กินเหล้าหมด” เชนพูดขึ้น
แม่ชี้หน้าด่า
“ไอ้เชษฐ์ ไอ้ปากหมา มึงอยากมีเรื่องกับกูใช่มั้ย”
แม่จะเดินเข้าไปเล่นงาน พ่อรีบขวาง เข้าไปกอดเชนเอาไว้
“เธอนัดเพื่อนเอาไว้ก็รีบไปเถอะ”
“ปกป้องกันดีนัก ไอ้ลูกสุดสวาทขาดใจ กูไม่ยุ่งก็ได้ เลี้ยงกันเอาเองแล้วกัน”
แม่ชี้หน้าด่าเชนแล้วเดินลงไปจากบ้าน
พ่อกอดลูกชายเอาไว้
“ทีหลังอย่าพูดกับแม่เค้าแบบนี้อีกนะ พ่อไม่อยู่ล่ะโดนแม่เค้าตีตายเลยรู้มั้ย”
“พ่อหาเงินมา แม่เอาไปเล่นไพ่ กินเหล้าหมดเลย”
“พ่อรู้ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของแม่เค้า ช่างเค้าเถอะ เค้าคงเบื่อ พ่อต้องออกเรือทีนานๆ”
เชนฟ้อง
“แม่เอาเงินไปแจกคนด้วย”
“แจกใคร”
เย็นวันหนึ่ง แม่เชนแต่งตัวสวย ซ่อนของบางอย่างไว้ด้านหลังเดินยิ้มแย้มมาหลังเวทีลิเก แม่พูดเสียงอ่อนหวาน
“พี่เพชรทอง พี่เพชรทองจ๋า”
พระเอกลิเกรูปหล่อที่กำลังแต่งหน้า แต่งตัวเตรียมแสดงแต่ยังไม่ครบเครื่องเดินออกมาหา
“นึกว่าเสียงหวานๆ ของใคร”
แม่เชนค้อนใส่
“คงมีสาวๆ มาเรียกหาทั้งวันสิท่า”
“ก็มีแต่ไม่ออกมา รอเสียงนี้เสียงเดียว”
แม่เชนเหยียดปากหมั่นไส้
“ปากหวานนัก มาใกล้ๆ หน่อยสิ มีของมาฝาก”
พระเอกลิเกทำไม่รู้ ปั้นหน้าหล่อเจ้าเสน่ห์
“อะไรเหรอครับ”
“วันนี้ฉันมาดูพี่แสดงไม่ได้ ผัวอยู่ เลยขอมาคล้องพวงมาลัยให้รางวัลไว้ก่อน...”
แม่เชนเอาพวงมาลัยเงินสดมีแบงค์ 20 - 50 และแบงค์ 100 ร้อยเป็นพวงมาลัยสลับกับดอกไม้โตที่ซ่อนไว้ข้างหลังมาคล้องขอให้ พระเอกลิเกไหว้แล้วก้มรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะหอมแก้มแม่เชนซ้ายทีขวาที
พ่อจูงมือเชนแอบมองอยู่ที่มุมอีกด้านของเวที
“พ่อไม่อยู่ แม่มาดูลิเกทุกคืน เอาเงินมาคล้องคอมันด้วย เชษฐ์ไม่ชอบเลย มันเงินของพ่อ” เชน สีหน้าโกรธแทน พ่อเชนโกรธจัดปนหึงหวงไม่แพ้กัน สายตาแข็ง ขบกรามจนขึ้นสัน
มัทนาสะเทือนใจกับการฟังเรื่องราว หลวงพ่อถอนใจออกมาด้วยความเวทนาสงสาร มัทนาอยากรู้เรื่องต่อไป
“แล้วพ่อของเชษฐ์ทำยังไงต่อคะลุง”
“เอ็งไม่ต้องใส่สีตีข่าวให้มากนักนะไอ้ชด แม่หนูนี่เค้าเป็นนักข่าวอยู่แล้ว”
ลุงชดยกมือไหว้
“ผมเล่าแต่เรื่องจริงที่ได้ฟังมาครับหลวงพ่อ ต่อหน้าหลวงพ่อผมไม่กล้าแต่งเรื่องโกหกหรอกครับ”
เชนที่แอบฟังอยู่น้ำตารื้นๆ ตาแดงๆ จำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ฝังใจ เขามีสีหน้าคิดย้อนถึงเรื่องราวต่อจากนั้นเอง
บ่ายวันหนึ่ง แม่เชนกำลังกวาดข้าวของใส่กระเป๋าเป็นการใหญ่ เชนเดินกลับขึ้นบ้านมายืนมอง
“แม่จะเก็บของไปไหน”
“ไม่ต้องมายุ่งกับกู มึงจะไปไหนก็ไป”
“แม่จะไปอยู่กับลิเก เชษฐ์ได้ยิน แม่คุยกับมัน”
แม่ชะงัก หันมาจ้องหน้าและตรงเข้าไปกระชากแขนเชน
“แส่แต่เด็กเลยนะมึง หุบปาก แล้วไปให้พ้น”
แม่เชนหอบกระเป๋าจะรีบลงไปจากบ้าน เชนร้องไห้ ขวางทาง กางแขน
“แม่จะทิ้งเชษฐ์กับพ่อไปจริงๆเหรอ”
แม่รำคาญ ด้วยความรีบเลยผลักเชนล้มไป
“เกะกะจริงโว้ย คนยิ่งรีบๆ อยู่”
แม่เชนรีบลงบันไดบ้านไป เชนรีบลุก วิ่งตาม ร้องไห้เรียก
“แม่ อย่าไปเลย แม่...”
พ่อเชนยกปลาขึ้นจากเรือมาลงที่ท่า เชนวิ่งร้องไห้ฟูมฟายมาหาพ่อ
“พ่อ แม่หนีไปแล้ว”
พ่อเชนหน้าตาช็อกตกใจมาก
พ่อเชนวิ่งกวดตามรถสองแถวอย่างสุดฝีเท้าแต่ไม่ทัน รถสองแถววิ่งห่างออกไป ภายในรถเห็นแม่เชนกับพระเอกลิเก นั่งจับมือกันแน่นมองมาทางพ่อเชน ด้วยสีหน้าโล่งอก เชนที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านหลังพ่อ
พ่อเดินมากอดลูกชายไว้
“อย่าไปเสียน้ำตาให้ผู้หญิงเลว มันไม่ใช่แม่แก จำเอาไว้เชษฐ์ แกไม่มีแม่เลวๆ อย่างมัน”
เชนร้องไห้กอดพ่อเอาไว้แน่น พ่อเชนก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจระคนโกรธแค้น
เชน น้ำตาท่วมตา รีบปาดออกก่อนมันจะไหลออกมา เขาจ้องมองไปที่มัทนา ไม่กระพริบตา
มัทนามีสีหน้าเห็นใจ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงนะคะลุงชด”
“ชีวิตจริงมันยิ่งกว่านิยายหนู”
หลวงพ่อสีหน้าหนักใจ
“ที่จริงเรื่องมันน่าจะจบลงแค่นี้ ถ้าต่างคนต่างไป ถือว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้ ไม่น่าต่อบาปต่อกรรมกันอีกเลย”
“ครับหลวงพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าพ่อเจ้าเชษฐ์มันจะกล้า”
ลุงชดถอนหายใจพลางส่ายหน้า
เย็นวันหนึ่ง พระเอกลิเกชู้รักของแม่เชนกำลังเตรียมตัวแสดงอยู่หลังเวที ทีมงานคนหนึ่งเดินมาบอก“พี่เพชร มีคนมาหา”
พระเอกลิเกหันกลับมาพร้อมถาม
“ใครวะ”
ไม่คาดคิด เด็กทีมงานถูกผลักออกไปให้พ้นทาง พ่อเชนจ้วงมีดแทงใส่พุงพระเอกลิเกไม่ยั้ง ทีมงานลิเกหลังเวที กรีดร้องด้วยความตกใจ หนีหลบกันวุ่นวาย พระเอกลิเกทรุดตายจมกองเลือด
แม่เชนกำลังจะขึ้นมาหลังเวที ตกใจมาก รีบหนีไปทันที
“เฮ๊ย จับตัวมันเอาไว้” ทีมงานคนที่สองบอก
ทีมงานผู้ชายเข้าไปรุมสกรัมพ่อเชน พ่อเชนไม่ได้หนีหรือต่อสู้ ช็อกกับสิ่งที่ทำไป
จบตอนที่ 8
อ่านต่อตอนที่ 9 เวลา 17.00น.