xs
xsm
sm
md
lg

มายาตวัน ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มายาตวัน ตอนที่ 7

ภายในห้องพัก มัทนาเลือกเสื้อผ้าในกระเป๋าไปมา ก่อนจะหยิบถุงกำมะหยี่ใส่ไข่มุกดำที่เกะกะ ซุกไว้ใต้สุดของกระเป๋า พลางบ่นพึมพำ

“ใส่ตัวไหนดีล่ะเนี่ย ชุดพี่วารีซื้อให้วันเกิด”
เธอพยายามรื้อเสื้อในกระเป๋าแต่ไม่เจอ
“ไม่มี”
เธอรีบลุกไปที่ตู้เสื้อผ้า มัทนาวิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้า กวาดตาไล่ดู
“ไม่มี”
มัทนานึกออก ตกใจยกมือขึ้นปิดปาก
“ส่งซัก ยังไม่ได้ไปเอาคืนเลย ตายแล้ว ใส่ชุดไหนดีเรา”
สีหน้ามัทนาใช้ความคิด ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้

เช้าก่อนวันเดินทางมาภูเก็ต ศกุนตลาเดินมาเคาะประตูห้องนอนมัทนาพร้อมกระโปรงผ้าพลิ้วกรอมเท้าสีเหลืองสดมีดอกไม้เล็กๆ สีขาวกะจายทั้งตัว บวกกับ เสื้อผ้าเนื้อลื่นสีครีม ดูอ่อนหวานพับถือติดมือมาด้วย
มัทนาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ โพกผ้าขนหนูพันผมเอาไว้ เดินมาเปิดประตูห้อง
“พี่เอาชุดมาให้”
มัทนามองชุดในมือแล้วเบ้ปาก
“ให้มัทใส่ไปเนี่ยนะ ไม่เอาหรอกพี่นก”
“พี่ไม่ได้ให้ใส่ไป แต่ให้ติดกระเป๋าเอาไปด้วย” ศกุนตลาเดินเข้าห้องไป มัทนาหันมองตาม หน้าตาไม่เห็นด้วย ศกุนตลาหันมาสอนน้อง
“เวลาจัดกระเป๋าไปต่างจังหวัด เตรียมกระโปรงดีๆ ไปซักตัว บางทีเราอาจต้องใช้ไปงาน ไปพบผู้ใหญ่ หรือต้องติดต่อธุระกระทันหัน ใส่กระโปรงมันไม่น่าเกลียด”
ศกุนตลาหันเดินไปทางกระเป๋าเดินทางมัทนาที่วางอยู่ข้างห้อง มัทนากอดอกมองตามพี่สาวพร้อมถอนใจ ศกุนตลาเดินไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้า พร้อมพูดต่อ
“ยีนส์มันดี แต่จะลุยเข้าทุกงาน ไม่ได้หรอก ยังไงเราก็เป็นผู้หญิง ถึงใส่แล้วจะช่วยให้เราเป็นกุลสตรีขึ้นมาไม่ได้ก็เถอะ”
มัทนาค้อนใส่พี่สาวให้ขวับใหญ่

มัทนารื้อกระเป๋าเสื้อผ้ากระจายอีกครั้งพร้อมบ่น
“มัวแต่บ่นเรา ลืมยัดมาให้รึเปล่าเนี่ย พี่นก... ไม่มี...” มัทนามองไปที่ช่องซิปที่ฝากระเป๋า
มัทนารูดซิปออกดูทันที แล้วยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจที่เจอ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้น ก่อนจะหยิบชุดออกมา มัทนาดูเบอร์โชว์ ก็ตกใจรีบกดรับ
“คุณปอน สงสัยมาถึงแล้ว … ค่ะคุณปอน”
“ฉันรออยู่ที่ล็อบบี้แล้วนะ”
“ค่ะ จะรีบลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ 5 นาทีค่ะ เอ่อ 10 นาทีค่ะ 15 นาทีดีกว่าค่ะ”
มัทนารีบวางมือถือลงที่กระเป๋าเสื้อผ้า เธอลนลานเดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเดินกลับมาที่เตียงพูดคนเดียวเสียงดัง
“ทำอะไรก่อนดีเนี่ย แต่งหน้าก่อน เอาหน้าสวยไว้ก่อน”
เธอเปลี่ยนใจ
“เฮ้ย ลองชุดก่อนดีกว่า ไม่เซลฟ์เลย”
เธอเดินไปที่กระเป๋าเสื้อผ้า เห็นมือถือยังไม่ได้กดตัดสายจากก็ตกใจร้องลั่น
“ว้าย ลืมตัดสาย”
เธอรีบกดตัดสายโทรศัพท์ทันที ทิ้งตัวนั่งกระแทกกับพื้น
“หมดกันฉัน” เธอยกมือขึ้นกุมหัว

ผ่านเวลาเล็กน้อย มัทนากวาดตามองหา
“มัทนา” เสียงที่ดังมาจากด้านหลัง เธอหันขวับก็เห็นเขตต์ตวันยืนอยู่อีกมุมของล็อบบี้ วันนี้เขาอยู่ในชุดที่แปลกตาไป เขาเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ซีดตัวเก่า เป็นครั้งแรกที่มัทนาเห็นเขาแต่งตัวแบบนี้เป็นครั้งแรกในช่วงที่เธอมาทำข่าวที่ภูเก็ต
เขตต์ตวันยิ้มๆ มองดูการแต่งตัวของมัทนาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของเขาทำให้เธอเขินๆ เล็กน้อย...มัทนาอยู่ในชุดหวานสุภาพที่พี่สาวเลือกให้ แต่สะพายเป้อันประจำมาด้วยกับรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง
“ทำไมวันนี้นุ่งยีนส์ได้คะ”
เขตต์ตวันย้อนถาม
“แล้วทำไมเธอนุ่งกระโปรงได้ล่ะ ทุกทีเห็นแต่นุ่งยีนส์ ยกเว้นตอนใส่เสื้อนอนกะเสื้อคลุม”
“ก็เคยแต่งแบบนี้อยู่หรอกค่ะ แต่คุณไม่เคยเห็น”
เขตต์ตวันยิ้มๆเอ็นดู
“สะพายเป้กะรองเท้าผ้าใบอีกตะหาก”
“ไม่มั่นจริงแต่งไม่ได้นะคะเนี่ย”
เขตต์ตวันยิ้มขำ
“ฉันมาทำข่าวนะคะ ไม่ได้มาเดินแบบ”
“เธอแต่งตัวแบบนี้แล้วน่ารักดีออก ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมพ่อแม่ของเธอถึงได้ยอมปล่อยให้ลูกสาวนุ่งแต่กางเกงเหมือนผู้ชาย ตะเวนท่อมๆ เป็นนักข่าวยังงี้อยู่ได้”
“เพราะพ่อกับแม่ตามใจน่ะสิคะ ท่านรู้ว่าลูกสาวรักที่จะเป็นแบบนี้ ท่านก็ไม่ขัดขวางหรอกค่ะ”
“ใช่ ไม่มีใครกล้าพอจะขวางเธอได้หรอกสาวน้อย นี่ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์เลยนะ”
มัทนาย่นจมูกไปมาเล็กน้อย ก่อนจะติชมกลับไปบ้าง มองตวันหัวจดเท้า
“คุณปอนแต่งตัวแบบนี้ก็ดูหนุ่มขึ้นเป็นกองนะคะ เท่กว่าเดิมตั้งเยอะ”
เขตต์ตวันยิ้ม ยักไหล่
“หิวรึยัง”
“ค่ะ”
“งั้นก็ตามมา”
เขตต์ตวันเดินนำไปพร้อมสวมแว่นตากันแดด มัทนากระชับเป้เดินตามไปติดๆ)

มัทนาเดินตามตวันไปตามชายหาด
“ร้านอยู่ไหนคะ ทำไมถึงเดินลงหาด”
“ตามมาเถอะน่ะ ฉันสั่งอาหารจากเชฟมือหนึ่งของภูเก็ตเอาไว้ให้แล้ว”
มัทนาเดินตามด้วยสีหน้าสงสัย

ชายหาดหน้าบ้านเขตต์ตวัน โต๊ะอาหารถูกจัดไว้อย่างน่ารักหน้าประตูทางออกจากบ้านตวัน เอกชัยเดินถือตระกร้าใบใหญ่ใส่อาหารเดินออกมาวางที่โต๊ะ พร้อมโบกมือทักทาย มัทนายิ้มแย้มชอบใจ
“เชฟใหญ่ออกมาต้อนรับแล้ว”
“ก็ไม่บอกแต่แรกว่า จะมาพามาทานข้าวที่บ้าน มัทจะได้ไม่ต้องแต่งตัวซะหวานขนาดนี้”
“ใครบอกว่าพามาทานข้าวบ้าน เราจะทานนอกบ้านตะหาก”
เอกชัยยิ้มแย้ม ดึงเก้าอี้ให้มัทนานั่ง
“เชิญครับสาวน้อย”
มัทนายิ้มแย้มเดินไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
เขตต์ตวันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตน
“ปิกนิคกันให้สนุกนะ” เอกชัยยิ้มแย้มจะเดินไป
“อ้าว คุณเอก ไม่ทานด้วยกันเหรอคะ”
“ก็จะสัมภาษณ์กันต่อให้เสร็จไม่ใช่เหรอ ฉันขอตัวดีกว่า เดี๋ยวปอนมันจะกระดาก ไม่กล้าชมฉันต่อหน้า”
“จะให้ชื่นชมเรื่องอะไรก่อนดีล่ะ” เขตต์ตวันทำหน้านึกๆ แล้วว่า
“นึกออกแล้ว เรื่องที่นายเป็นคนธรรมะธัมโม ชอบเดินจงกรมแถวชายหาดตอนบ่ายๆ ช่วงแหม่มมานอนอาบแดดดีมั้ย”
เอกชัยอายจนหน้าแดง

มัทนาขำกระเซ้า
“นกแก้วมีพันธุ์หูแดงด้วยเหรอคะ”
เอกชัยยกมือขึ้นปิดหูสองข้างเอาไว้ เขตต์ตวันแกล้งเพื่อนไม่เลิก
“อ้อ นึกออกแล้ว หรือว่าชมเรื่องที่นายห่วงใยเพื่อนมากๆ ดีน๊า”
เอกชัยหน้าตาตกใจ ชี้หน้าเพื่อน
“ไม่ต้องเล่าเลยนะไอ้ปอน”
“เล่าเลยค่ะคุณปอน มัทอยากรู้”
ตวันยิ้ม
“ตอนนั้นฉันไปถ่ายหนังที่เชียงใหม่”
เอกชัยเขินมากจะเดินไปปิดปากเพื่อน
“ไอ้ปอน”
เขตต์ตวันแกล้งเพื่อนลุกขึ้นยืนจะเล่าต่อ มัทนารีบลุกไปจับแขนเอกชัยดึงเอาไว้
“เล่าต่อเลยค่ะคุณปอน”
“เอกมันกลัวฉันจะนอนคนเดียวแล้วเหงา เลยตามไป แล้ว...”
เอกชัยชี้หน้าห้าม
“ไอ้ปอน”
“ไปเคาะประตูเข้าห้องนางเอก” เขตต์ตวันหัวเราะชอบใจ
“เนียนนะคุณเอกเนี่ย”
“ก็ฉันจำเลขห้องผิด”
เขตต์ตวันทำหน้าตาย
“แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด คืนนั้นฉันนอนคนเดียวยันเช้าเลย”
“ว้าย คุณเอกร้ายกาจ”
เขตต์ตวันขำๆ เพื่อนซี้ เอกชัยอายสู้หน้าไม่ไหว
“ท่าทางไม่ค่อยดีแล้ว ฉันต้องเข้าบ้านแล้วล่ะ”
เอกชัยชี้หน้าเขตต์ตวันก่อนรีบเดินกลับเข้าบ้านไป จนสะดุดบันไดเล็กน้อย ก่อนจะรีบ
เดินต่อเข้าไป
เขตต์ตวันและมัทนาขำๆ มองตามเอกชัยไป ก่อนจะหันมามองหน้ากัน
“เราจะขย้ำเหยื่อกันได้รึยังคะ หิวมาก”
“ท่าทางจะหิวจัด”
ทั้งคู่เดินกลับไปนั่งที่
“ที่สุดเลยค่ะ เพิ่งว่ายน้ำมา”
มัทนาเดินไปรื้อตะกร้าอาหาร
“ว้าว ไก่อบ หมูทอด มีข้าวเหนียวส้มตำด้วยค่ะ”
มัทนายกชามใส่ส้มตำที่ห่อพลาสติกมาอย่างดี
“ของโปรดผมเลยนะนั่น”
“จริงเหรอคะ...”
มัทนารีบวางชามลงแล้วเปิดเป้ หยิบสมุดโน้ตมาจดทันที
“คุณจะทานข้าวไปคุยเล่นไป หรือสัมภาษณ์ไปด้วยเลยคะ ฉันจะได้ตั้งอัดสัมภาษณ์ไว้เลย”
“กลัวปิดงานไม่เสร็จมากสินะ”
“ก็ด้วย แต่กลัวคุณชิ่งหนีไปอีกมากกว่า งั้นตั้งอัดไว้เลยดีกว่า”
“ตามสะดวกเธอเถอะ”

มัทนายิ้มชอบใจ ก่อนจะมีสีหน้าเกรงใจ
“ไม่เสียอรรถรสในการทานอาหารแน่นะคะ”
“ตามสบายเถอะแม่คุณ”
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนาอารมณ์ดี รื้อเป้ หยิบเครื่องอัดสัมภาษณ์มาเตรียมพร้อม เขตต์ตวันจับตามองมัทนาตลอดแล้วพูดลอยๆขึ้นมา
“ถ้าเธอกลับกรุงเทพไป ฉันคงเหงาเหมือนกันนะ”
มัทนาชะงักไป ช้อนตาขึ้นสบตากับเขตต์ตวัน มองกันนิ่งๆ อึดใจ ก่อนที่เขตต์ตวันลุกขึ้นไปรื้อตระกร้าอาหารพร้อมพูดลอยๆ
“สงสัยฉันต้องไปหาซื้อลูกแมวมาเลี้ยงซักตัวแล้ว”
เขาจัดอาหารไปเรื่อยๆ มัทนาชะงักไปที่โดนแซวซึ่งหน้า
“ต้องหาตัวอ้วนๆ ด้วยนะคะ ไม่งั้นไม่เหมือน”
เขตต์ตวันยิ้มๆ จัดอาหารไป มัทนาแอบลอบมองเขาอยู่เงียบๆ ลึกๆ ในใจก็รู้สึกโหวงเหวงและเหงาไม่แพ้กัน ถ้าจะต้องกลับไปกรุงเทพและไม่ได้เจอกับเขาอีก

เย็นต่อเนื่อง บริเวณโถงบ้าน ลลิสาเดินปึงปังกลับเข้าบ้านมา อารมณ์หงุดหงิดเจ็บใจมาก เยาะเดินเลียนท่าทางเจ้านาย หงุดหงิดตามเข้ามาติดๆ ชลบุษย์นั่งเล่นสมาร์ทโฟนรออยู่ เหลือบตามอง
“เป็นยังไงล่ะ โรแมนติกอย่างที่ฉันบอกมั้ย”
“มันน่าเจ็บใจจริงๆ คุณปอนไม่น่าไปเอาอกเอาใจมันออกนอกหน้าขนาดนั้นเลย คุณเอกก็อีกคน” ลลิสามีสีหน้าหมั่นไส้
“เอาใจกันออกนอกหน้า นังนั่นก็อ้อล้อจนน่าหมั่นไส้ เยาะทนไม่ได้เลยค่ะ”
เยาะทำสีหน้าหึงหวงไม่แพ้นายหญิง ลลิสาชายหางตามองเยาะที่เยอะเกิน
ชลบุษย์ยิ้มเย็นๆแบบทำใจได้
“เค้าเป็นนักข่าว ก็ต้องเอาอกเอาใจกันเป็นธรรมดา”
ชลบุษย์ลุกเดินมาหาแล้วพูดต่อ
“บางทีคุณปอนอาจจะติดใจก็ได้นะ ตกเป็นข่าวคราวก่อน ยอดขายเสื้อผ้าตวันพุ่งกระฉูด”
“ก็ขอให้เป็นแค่นั้นจริงๆ เถอะ”
“เธอระแวงอะไรเหรอลิซ่า”
ชลบุษย์ยิ้มเยาะอยู่ในที ลลิสาค้อนใส่
“จริงอย่างที่ฉันพูดเอาไว้ใช่มั้ย ยินดีต้อนรับน้องใหม่”
“ไม่มีทางหรอกย่ะ”
แต่กระนั้น ลลิสาก็แอบมีสีหน้ากังวล
“คุณปอนเกลียดนักข่าวยังกะอะไร ไม่มีทางรักพวกมันลงหรอก ก็แค่หลอกเอาไว้ใช้เท่านั้นแหละ”
เยาะรีบเอาใจ
“ใช่ค่ะ หลอกเอาไว้เขียนข่าวเชียร์ไงคะ คุณลิสาไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ”

ลลิสาได้แต่ถอนใจเพราะแอบกังวลอยู่ แม้ชลบุษย์ จะทำปากดีแต่ก็มีสีหน้าหึงหวงและกังวลใจเรื่องมัทนาไม่แพ้กัน

ชายหาดหน้าบ้านเขตต์ตวัน มัทนาหยิบถั่วฝักยาวมากัดเคี้ยวไปพร้อมจดตามที่อดีตพระเอกหนุ่มพูดทั้งที่ตั้งอัดเครื่องไว้แล้ว เขาสงสัย

“ตั้งอัดไว้แล้ว จะต้องจดโน้ตตามอีกทำไม”
มัทนาเงยหน้ามอง กลืนถั่วฝักยาวลงคอ
“เครื่องมือไฮเทคพวกนี้บางทีก็ไว้ใจไม่ได้หรอกค่ะ ต้องจดด้วยลายมือเราแบ็คอัพไว้ยังงี้แหละเซฟที่สุด...แหล่งข่าวยิ่งเอาใจยากๆอยู่”
มัทนาทำหน้าทะเล้นใส่เล็กน้อยก่อนงับถั่วฝักยาวกินเล่นต่อไปพร้อมก้มลงจดต่อ เขตต์ตวันยิ้มๆ ยกแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนจะเล่าเรื่องต่อ
“จริงๆแล้วฉันชอบทำงานด้านศิลปะมากนะ”
มัทนาเหลือบตามองและฟังอย่างตั้งใจ เขานึกถึงวัยหนุ่มไฟแรง ยิ้มอย่างมีความสุขขณะเล่าถึงความฝัน
“ฉันอยากเขียนภาพสี โดยเฉพาะภาพของธรรมชาติ”

ในอดีต เขตต์ตวันในวัยนักศึกษานั่งอยู่คนเดียวในมุมสวยของสวนสาธารณะ เขากำลังวาดภาพวิวธรรมชาติลงแสงสีแบบแรเงา...ภาพออกมาสวยดีทีเดียว เอกชัยมายืนมองดูเพื่อนอยู่ด้านหลังเงียบๆ
เอกชัยสีหน้าเห็นใจเพื่อน
“เรียนคณะที่แกอยากเรียนจริงๆ เถอะวะปอน”
เขตต์ตวันสีหน้าขรึมหยุดแรเงา หันมองหน้าเพื่อน
“ค่าใช้จ่ายมันสูงเกินไป”
“แหม มันก็ไม่ได้แพงมากเท่าไหร่นักหรอก กะแค่ค่าสี ค่ากระดาษ”
“แต่มันแพงเกินไปสำหรับเรา” เขตต์ตวันสวนทันที
เอกชัยชะงักไปเล็กน้อย เพราะสิ่งที่เพื่อนนั้นมันก็จริง สภาวะตอนนี้แค่หมุนให้พอใช้รายวันยังยาก เขตต์ตวันวางงานลงที่เก้าอี้ก่อนถอนใจแล้วลุกขึ้นมองหน้าเอกชัยก่อนพูดต่อ
“ไหนจะค่าเทอม ค่าห้องพัก ค่าอาหาร 3 ชีวิต ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดี ได้ทำงานตามที่ฝันเอาไว้หรอก ฉันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เราต้องเลือก”
เอกชัยสีหน้าเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกเพื่อน ตบบ่าค้างแล้วบีบแรงๆ ให้พลังใจเพื่อน เขตต์ตวันยิ้มให้กำลังใจตัวเอง
“บางทีได้เรียนอย่างที่ฝัน จบมาอาจจะไส้แห้ง วาดภาพขายแต่ไม่มีคนซื้อก็ได้ เราต้องเลี้ยงปากท้อง สู้เลือกเรียนคณะที่หางานทำได้หลากหลายดีกว่า อย่างเราเป็นมนุษย์เงินเดือนน่าจะเวิร์กสุด”
“แกแน่ใจนะปอน ถอดใจซะแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นเลย”
เขตต์ตวันยิ้มให้เพื่อน
“ฉันก็ไม่ได้ถอดใจซะหน่อย ทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือน ก็ไม่มีใครห้ามฉันวาดภาพขายเป็นงานอดิเรกนี่”
เอกชัยยิ้มให้กำลังใจเพื่อน
“ก็จริงของแก”
“งานศิลปะแบบงูๆปลาๆ ครูพักลักจำ อาจจะมีคนชอบก็ได้”
“แบบนี้เค้าเรียกว่างานศิลปะที่มาจากหัวใจโว้ย ฉันนี่ล่ะจะขอซื้อเป็นคนแรก”
เขตต์ตวันขำๆ ตบบ่าเอกชัย
“ขอบใจมาก”
“ซักวันแกจะต้องได้ทำตามความฝัน ไอ้ปอน เพื่อนคนนี้ล่ะ จะช่วยให้แกมีวันนั้นให้ได้”
เอกชัยสีหน้าจริงจังพูดจากหัวใจมุ่งมั่น จนแอบมีน้ำตารื้นๆ ขึ้นมา
เขตต์ตวันยิ้มตื้นตันใจ ดึงเพื่อนเข้ามากอดเอาไว้
“ขอบใจแกมาก”
เขตต์ตวันตบบ่าแรงๆ ซึ้งน้ำใจเพื่อนมาก

ภายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขตต์ตวันในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับนักศึกษาอื่นๆ
“ฉันตัดสินใจเรียนนิติศาสตร์ เพราะจบมาทำงานได้หลากหลายกว่า และอย่างน้อยที่สุดเราก็มีความรู้ด้านกฎหมายติดตัว ฉันเรียนกลางวัน ส่วนกลางคืน...” เขตต์ตวันบอกเล่าให้มัทนาฟัง

ในเวลากลางคืน เขตต์ตวันและเอกชัยกำลังเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ท่าทางยุ่งมาก ทำงานไม่ได้หยุด ลูกค้าแน่นร้าน
“...ก็ต้องไปทำงาน เสิร์ฟอาหารถึงตีสอง ทำงานเหมือนคนบ้า หาเงินแทบล้มประดาตาย ไหนจะค่าอาหารแต่ละมื้อ” เขตต์ตวันยังคงให้สัมภาษณ์บอกเล่าเรื่องราวชีวิตต่อไป

เมื่อถึงงวดจ่ายค่าเช่า เขตต์ตวันกำลังจ่ายเงินค่าเช่าห้องพักให้เจ้าของห้องที่หน้าประตูห้องพัก ป่านยืนมองอยู่ข้างๆ สีหน้าสงสารพี่ชาย... เมื่อเจ้าของห้องเดินจากไป เขายิ้มๆหยิบเงินที่เหลือในกระเป๋าเงินให้น้องสาวดู คงเหลือแค่120 บาท ป่านน้ำตาคลอสงสารพี่ชาย เข้าไปสวมกอดเอาไว้
“ค่าเล่าเรียนทั้งของฉันกับป่าน แล้วยังค่าเช่าห้องอีก”

ในเวลาเย็น เขตต์ตวันและเอกชัยช่วยกันเด็ดผักบุ้งรอบบึงข้างทุ่งใส่ถุงก๊อบแก๊บ
เขตต์ตวันตัดสินใจพูดขึ้นมา
“เฮ้ย เอก”
เอกชัยที่เก็บผักบุ้งอยู่ หันมอง
“อะไรวะ”
“ฉันอยากจะเลิกเรียนว่ะ”
เอกชัยชะงักไป
“ทำไมล่ะ”
“ฉันอยากออกมาหางานทำให้จริงจังไปเลย”
“ความรู้อย่างแกจะได้ค่าแรงซักเท่าไหร่กันวะ”
“ก็คงดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ล่ะ”
“แกคิดให้ยาวๆ หน่อยสิวะปอน ลำบากตอนนี้ อีกไม่กี่ปีเราก็จะสบายขึ้น”
“ฉันสงสารป่าน อยากให้ป่านมีชีวิตที่สบายกว่านี้ ได้มีอะไรอย่างที่อยากมีเหมือนเพื่อนๆบ้าง”
“ป่านเคยบอกแกยังงี้เหรอะ”
“เปล่า”
“แกคิดเองเออเองทั้งนั้น ป่านไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย”
“ไม่เรียกร้องไม่ใช่ว่าไม่อยากได้”
“คนเราอยากได้ไม่จบไม่สิ้นหรอกไอ้ปอน จำที่หลวงพ่อสอนไม่ได้รึไง ถ้าแกยังไม่เลิกความคิดเลิกเรียน ฉันจะไปนิมนต์หลวงพ่อขึ้นมาเทศนาแกถึงห้องเลยคอยดู”
“ฉันก็แค่ปรึกษาแกดูเฉยๆ”
เขขต์ตวันหันไปเก็บผักบุ้งต่อ
“แกคงเหนื่อยมาก ถึงได้ท้อ สู้สิวะไอ้ปอน อีกอึดใจเดียว”

“เออ เออ เรียนต่อก็ได้” เขตต์ตวันถอนใจเก็บผักบุ้งอีกกำมาใส่ถุง

ตอนหัวค่ำ เขตต์ตวันกำลังขยำผักบุ้งต้มกับเกลือคลุกให้เข้ากัน ทั้งเขตต์ตวัน เอกชัยและป่านนั่งล้อมวงเตรียมทานข้าวเย็น...เอกชัยตักข้าวแจก 3 จาน
“วันนี้มีแค่นี้แหละ จ่ายค่าเทอมป่านกับค่าห้อง หมดเกลี้ยงเลย แข็งใจทานไปหน่อยนะป่าน”
“ที่จริงไม่ต้องขยำเกลือก็ได้ แค่มือแกขยำก็เค็มพอดีแล้ว” เอกชัยบอก
“เกินไปไอ้เอก ฉันล้างมือสะอาดแล้วโว้ย”
ป่านสีหน้าซีเรียสขึ้นมา
“ป่านอยากจะเลิกเรียน”
เอกชัยและเขตต์ตวันหยุดกึก หันสบตากันก่อนจะหันมองไปทางป่าน
“พี่ปอนกับพี่เอกจะได้สบายขึ้น”
เอกชัยชักหงุดหงิด
“พอกันเลยสองคนพี่น้องจำที่หลวงพ่อสอนกันไม่ได้เลยรึไง การศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราถีบตัวเองให้สูงขึ้นกว่านี้ จะไม่มีใครมาดูถูกเราได้อีก”
ป่านดูจ๋อยๆไป
“พี่กับเอกยอมลำบากเพื่อป่านอยู่แล้ว ถ้าพี่กลัวลำบากจะพาป่านมาด้วยทำไม ป่านอย่าเสียสมองมากังวลเรื่องนี้เลย ป่านมีหน้าที่ตั้งใจเรียนให้ดีอย่างเดียวก็พอ”
“ใช่ อีกไม่กี่ปี พี่กับปอนก็จบปริญญาตรี ป่านก็จบม.6 ตอนนั้นเราก็สบายแล้ว ท่องเอาไว้ในใจ ชีวิตเราต้องดีขึ้น”
“ป่านแค่คิดว่า ถ้าประหยัดค่าเทอมค่าใช้จ่ายของป่าน เราจะได้มีเงินเหลือใช้สบายๆมั่ง”
เขตต์ตวันลูบหัวป่านอย่างเอ็นดู
“หลวงพ่อสอนเอาไว้ว่าเงินทองยิ่งใช้ยิ่งหมดเร็ว แต่วิชาความรู้ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน เพราะฉะนั้นเรามี โอกาส ก็ต้องขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวเอาไว้เยอะๆ”
“อย่าดีแต่สอนน้อง สอนตัวเองด้วย” เอกชัยแขวะ
เขตต์ตวันเหล่มองเอกชัยเล็กน้อย
“งั้นเราสามคนมาให้สัตย์สัญญาต่อหน้าผักบุ้งขยำเกลือจานนี้”
เอกชัยยกจานผักบุ้งสูงขึ้นตรงกลาง ป่านและเขตต์ตวันอมยิ้มขำๆ
“เราสามคนจะไม่มีความคิดเลิกเรียนอีกเด็ดขาด..สัญญาสิ”
ป่านยิ้มๆบอก
“ป่านให้สัญญาค่ะ”
“ฉันก็สัญญา”
เอกชัยยิ้มดีใจ สีหน้าจริงจัง มั่นใจ
“คอยดูเถอะห้องเช่าเล็กๆ กับผักบุ้งขยำเกลือนี่ล่ะ จะสร้างบัณฑิตที่ดีมีคุณภาพให้กับประเทศไทยอีก 3 คน”
ป่านและเขตต์ตวันขำๆ ท่าทีของเอกชัย เอกชัยชูจานผักบุ้งสูงขึ้น ฮึกเหิม
“ไชโย”
ชามเอียงผักบุ้งหกลงมาทั้งชาม ป่านร้องลั่น
“หมดกัน ไม่มีอะไรกินแล้ว”
เอกชัยยิ้มแหยๆ ชูจานเปล่าร้อง “ไชโย”
“ขอเตะให้หายหิวทีเถอะวะ”
เขตต์ตวันเจ็บใจไล่เตะ เอกชัยโดดหนีตัวลอยไปรอบห้อง ป่านหัวเราะชอบใจหายเครียดกับปัญหาปากท้องได้บ้าง

หัวค่ำวันหนึ่งที่ร้านอาหาร เขตต์ตวันกำลังเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะต่างๆ ง่วนอยู่ ลูกค้าคนหนึ่งยกมือเรียก“น้องๆ ข้าวเปล่าอีก2”
“ได้ครับ”
ลูกค้าคนที่ 2 บอก
“ขอจานเด็กชุดนึงนะน้อง”
“ได้ครับ”
เขตต์ตวันรีบเดินกลับไปทางครัว เอกชัยวิ่งเข้าร้านมา สีหน้าท่าทางดีใจมาก มองหาเขตต์ตวัน
“ไอ้ปอน”
“มีข่าวดีโว้ยไอ้ปอน”
เขตต์ตวันท่าทางรีบร้อนถาม
“รีบพูดมาเร็วๆ เลย งานเยอะ”
“ฉันได้ทุนเรียนฟรี จนจบเลยโว้ย”
เขตต์ตวันสีหน้าดีใจมาก
“จริงเหรอวะ”
“จริงสิวะ เราจะสบายแล้วไอ้ปอน”
เอกชัยโดดขี่หลังกอดเพื่อนด้วยความดีใจที่สุด
“ไอ้เอก หนัก...” เขตต์ตวันหัวเราะชอบใจไปด้วย

บริเวณชายหาดหน้าบ้าน เขตต์ตวันยิ้มๆ ขณะเล่าเรื่องราวมุมดีๆ ที่ผ่านมาในอดีต มัทนาเองฟังและยิ้มชื่นชม
“คุณเอกเก่งจังเลยนะคะ”
เขตต์ตวันเล่าด้วยสีหน้ายิ้มชื่นชมเพื่อน
“เอกเค้าเรียนเก่ง พอได้ทุน เราก็สบายขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ มันก็มากขึ้นตามไปด้วย”
“แล้วเป็นพนักงานเสิร์ฟกันจนเรียนจบเลยเหรอคะ”
“ฉันน่ะใช่ เรียนกฎหมายมันหนักมากอยู่แล้ว งานเสิร์ฟอาหารยังพอมีเวลาหลบมุมท่องหนังสือได้บ้าง ส่วนเอกได้งานพิเศษรับจ้างทำบุญชี สอนหนังสือเด็ก”
“พวกคุณสู้ชีวิตกันน่าดู ฉันเทียบไม่ติดเลย”
เขตต์ตวันยิ้มบาง
“มีงานอะไรเราทำทุกอย่างล่ะ หลายครั้งที่เรากอดคอกันอด แต่เอกเค้าแกร่งกว่าฉันเสมอ เป็นคนคอยกระตุ้นให้ฉันไม่ยอมแพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง” เขตต์ตวันยิ้มชื่นชมเพื่อน
มัทนาก็ยิ้มแย้มชื่นชมเอกชัย
“พอเรียนจบแล้วคุณปอนได้งานเลยมั้ยคะ”
“ก็พักใหญ่ กว่าจะได้งานก็เคยถูกหลอกจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
เขตต์ตวันสีหน้าเจ็บแค้นใจขึ้นมาแว่บนึง ก่อนรีบข้ามแล้วพูดต่อ
“โชคดีที่ยุพินช่วยเอาไว้”
ฟมัทนามีสีหน้าสนใจอยากรู้
“แต่ฉันขอไม่เล่าอีกแล้วกัน มันไม่ใช่เรื่องดีที่น่าจดจำอะไร”
“ค่ะ แล้วแต่คุณปอนสะดวก เล่าเรื่องที่คุณปอนมีความสุขอยากเล่าดีกว่า”
“งั้นก็ปิดการสัมภาณ์แค่นี้แล้วกัน”
มัทนาตกใจ
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“ก็ชีวิตฉันมันไม่มีเรื่องน่ารื่นรมย์ ที่นึกถึงแล้วมีความสุขนักหรอก”
มัทนาจ๋อย
“แหม...อย่ากระนั้นเลยค่ะ เล่าเฉพาะเรื่องที่เปิดเผยได้ ไม่ต้องถึงกับมีความสุขก็ได้ค่ะ”
เขตต์ตวันยิ้มขำ เอ็นดูกับท่าทีอยากได้ข่าวของมัทนา
“ไหลไปเรื่อย”

มัทนายิ้มเก้อที่ถูกจับได้ เขตต์ตวันมีสีหน้าย้อนนึกเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง

มายาตวัน ตอนที่ 7 (ต่อ)

หน้าบริษัททนายความแห่งหนึ่งในตอนสาย ผู้จัดการดาราเดินคุยกับทนายเจ้าของบริษัทออกมาจากห้องทำงาน
“ไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะครับ ผมจะเป็นธุระจัดการให้เอง”
“ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันค่อยโล่งใจหน่อย นอนไม่หลับมาหลายคืน”
ครั้นผู้จัดการดาราหันมองไปเห็นเขตต์ตวันที่กำลังเดินไปซีร็อกเอกสารก็ชะงัก
“มีอะไรรึเปล่าครับ” ทนายความถาม
“น้องผู้ชายที่เดินไปซีร็อกนั่นเป็นทนายของที่นี่ด้วยเหรอคะ”
“อ๋อ น้องใหม่ครับ เพิ่งจบ กำลังฝึกงานอยู่”
“หน้าตาดีนะคะ”
“ให้ผมเรียกมาคุยมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันขอเข้าไปคุยเองดีกว่า”
“ตามสบายครับ”
ผู้จัดการเดินยิ้มแย้มเข้าไปหาเขตต์ตวันตวันที่กำลังซีร็อกง่วนอยู่
“สวัสดีจ้ะ”
เขตต์ตวันเหลือบตามองตอบรับตามมารยาท
“สวัสดีครับ”
“ขอโทษนะ ขอพี่คุยด้วยหน่อยสิ”
“ได้ครับ”
“น้องชื่ออะไรจ๊ะ”
“ตวันครับ”
“ชื่อจริงล่ะจ๊ะ”
“เขตต์ตวันครับ”
“ชื่อเก๋ดีนะ”
“ขอบคุณครับ”
เขตต์ตวันเปลี่ยนกระดาษอีกชุดมาซีร็อก
“อยากเป็นดารามั้ย”
เขตต์ตวันเหลือบตามองขำ
“ผมเนี่ยนะครับ”
“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ พี่ทำงานในวงการบันเทิง เป็นผู้จัดการดารา พี่เห็นแววในตัวน้องนะ”
เขตต์ตวันยิ้มแหย
“ขอบคุณมากนะครับ แต่ผมไม่ถนัด แล้วก็ไม่สนใจด้วย”
ผู้จัดการยิ้มแห้งไปเล็กน้อย ผิดคาดที่โดนปฏิเสธ พนักงานตะโกนเรียกขัดขึ้นพอดี
“ตวัน โทรศัพท์”
เขตต์ตวันรีบตัดบท
“ขอบคุณพี่มากนะครับ แต่ผมไม่สนใจงานแบบนั้นจริงๆ”
“ไม่ลองจะรู้ได้ยังไงจ๊ะ น้องอาจจะมีพรสวรรค์ซ่อนอยู่โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้นะ”
เขตต์ตวันยิ้มเกรงใจ
“ไม่ดีกว่าครับ ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เขตต์ตวันยกมือไหว้แล้วเดินไปรับโทรศัพท์ที่โต๊ะ
ผู้จัดการรับไหว้แล้วมองตามตวันไป สีหน้าไม่ยอมแพ้จะต้องเปลี่ยนใจเขาให้ได้

ภายในห้องเช่า เขตต์ตวันและเอกชัยช่วยกันจัดอาหารเย็น มีกับข้าวง่ายๆ 2 อย่างที่ซื้ออาหารถุงมา ทั้งคู่คุยกันไป ป่านนั่งหน้าตาซึมเศร้า ดวงตาเลื่อนลอย อยู่ร่วมวงเงียบๆ
“เป็นฉันหน่อยไม่ได้”
“แกแสดงเป็นเหรอะ”
“จะยากอะไร ทุกอย่างฝึกฝนกันได้ทั้งนั้นแหละ เงินดีขนาดนั้น เอกชัยสู้ตาย”
“แต่ฉันไม่ชอบ ฉันแสดงเป็นคนอื่นไม่เป็น”
“ไม่มีใครเป็นอะไรมาตั้งแต่เกิดหรอก”
“ไม่เอาหรอก ฉันทำหน้าไม่ถูก”
“ป่านว่าไง อยากมีพี่ชายเป็นดารามั้ย”
ป่านไม่ตอบสนองอะไร ยังดูซึมเศร้าลุกไปนอนที่เตียง เขตต์ตวันและเอกชัยหันมองตามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ป่านจะเป็นยังงี้อีกนานมั้ยวะ”
เขตต์ตวันสีหน้าเจ็บแค้น แววตาอาฆาตมาก
“ไอ้สัตว์นรกนั่นต้องรับผิดชอบ”
มัทนายิงคำถามทันที
“น้องป่านเป็นอะไรเหรอคะ”
เขตต์ตวันหน้าแข็งกร้าวขึ้นมา
“ฉันจะเล่าเท่าที่อยากเล่า สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอะ”
มัทนาหน้าจ๋อยไป
“ขอโทษค่ะ คือเรื่องมันขาดตอนไปก็เลยสงสัย ตอนนั้นก็เห็นดีๆ สัญญาหน้าชามผักบุ้งคลุกเกลือว่าจะตั้งใจเรียน อยู่ๆทำไมน้องป่านถึงเป็นโรคซึมเศร้าไปได้ แล้วตกลงคุณป่านเสียชีวิตเพราะโรคอะไรกันแน่คะ เหมือนจะไม่ค่อยตรงกับที่คุณเคยเล่ามา” มัทนาสีหน้าติดใจสงสัย
เขตต์ตวันสีหน้าเครียด
“เธอไม่ต้องช่างสงสัยนักหรอกน่ะ ฉันเคยบอกไว้ยังไง ก็ยังงั้นล่ะ”
เขตต์ตวันไม่สู้ตา มัทนาฉีกยิ้มขี้เล่น ใจดีสู้เสือ
“ทบทวนอีกทีได้มั้ยคะ”
เขตต์ตวันหน้าดุ ไม่เล่นด้วย
“จะสัมภาษณ์ต่อมั้ย หรือว่าจบแค่นี้”
มัทนาตกใจ รีบพูดกลับลำทันที
“ต่อค่ะต่อ มัทหายสงสัยแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวไปดูย้อนหลังยูทู้ปเอาก็ได้...แหะ แหะ”
มัทนาแค่นขำแหย สำทับไปอีก เขตต์ตวันจ้องหน้า สายตาดุ อารมณ์ประมาณ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ มัทนาปั้นหน้าทำแบ๊ว แล้วรีบยิงคำถามต่อไปทันที
“แล้วไงต่อคะ ปฏิเสธเค้าไปแบบนั้น แล้วคุณได้เป็นดารายังไงคะ”

วันหนึ่ง เขตต์ตวันและเพื่อนพนักงานพักกลางวันเดินคุยกันออกมาจากบริษัท
“เราจะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำตำลึงแล้วกัน อร่อยสุดยอด”
เขตต์ตวันชะงักไปเมื่อเห็นผู้จัดการดาราคนเดิมดักรออยู่ ผู้จัดการยิ้มหวานให้ เขตต์ตวันปั้นยิ้มยกมือไหว้ตามมารยาท ผู้จัดการรับไหว้
“เดี๋ยวตามไป” เขตต์ตวันบอกเพื่อนๆ
เพื่อนๆ ต่างกระซิบกระซาบเมาท์เรื่องเขตต์ตวันที่จะได้เป็นดาราแล้ว
“คุณไม่เบื่อตามผมบ้างรึไง” เขตต์ตวันถาม
“ถ้าพี่เห็นใครออร่าจับขนาดนี้ พี่จะตามตื้อจนถึงที่สุด โดนด่าพี่ก็ยอม”
เขตต์ตวันขำๆ
“ผมไม่ด่าพี่หรอกครับ”
“พี่ดูแลดารามาหลายคนแล้ว มีชื่อเสียงพอตัวนะ”
“ผมไม่ค่อยได้สนใจวงการบันเทิงหรอกครับ”
“อย่าบอกนะว่าไม่เคยดูทีวี”
“ไม่มีเวลาดูครับ”
“ดูหนังล่ะ”
“แพงไปครับ”
“แล้วข่าวหน้าบันเทิงอะไรยังงี้ล่ะ”
“เพื่อนผมอ่านมากกว่า ผมไม่เหมาะกับงานสายพี่จริงๆ ครับ ผมรู้ตัว”

“แต่มันทำรายได้ให้เธอมหาศาลนะ ทำงานชั่วโมงเดียวดีกว่าทำงานที่บริษัทนี้ทั้งเดือน”

เขตต์ตวันชะงักไปเล็กน้อย เพราะสนใจเรื่องรายได้แต่ยังไม่ชอบอยู่ดี
“มันอาจจะดีแต่ไม่หมาะกับผม มันไม่ใช่สิ่งที่ผมฝันอยากจะทำ ขอบคุณพี่มากที่ยื่นโอกาสให้ผม แต่ผมทำไม่ได้หรอกครับ พี่จะเสียชื่อเพราะผมมากกว่า...ผมต้องรีบตามเพื่อนไปแล้วครับ” เขตต์ตวันพูดพลางตัดบทยกมือไหว้แล้วเดินหนี
ผู้จัดการมีสีหน้าเจ็บใจปนเสียดาย ฉุกคิดแล้วรีบหยิบนามบัตรออกมาและวิ่งตามไป
“เดี๋ยวตวัน”
เขตต์ตวันหยุดหันมอง
ผู้จัดการยื่นนามบัตรให้
“นี่นามบัตรพี่ ตวันเก็บเอาไว้ เผื่อวันนึงเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา”
ผู้จัดการยัดใส่กระเป๋าเสื้อ เขายิ้มมารยาท ยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ”
เขตต์ตวันรีบวิ่งตามเพื่อนไป จริงๆตั้งใจวิ่งหนีผู้จัดการมากกว่า

เย็นวันหนึ่ง เขตต์ตวันรีบร้อนวิ่งมาที่ห้องพัก เปิดประตูเข้าไปอย่างร้อนใจ
“ป่านเป็นยังไงมั่ง”
เอกชัยที่นั่งดูอาการป่านอยู่บนเตียงหันตอบเพื่อน
“อาการไม่ค่อยดีเลยว่ะ”
เขตต์ตวันเข้าไปนั่งดูอาการป่าน เอกชัยขยับที่ให้ เขตต์ตวันจับตัวน้องสาว
“มีไข้เหมือนกันนะ”
“กินยามาหลายขนานแล้วนะปอน ทำไมไม่หายขาดซะที คราวนี้ฉันว่าเป็นหนักกว่าตอนที่โดนไอ้เชษฐ์หรอกให้อัพยาอีกนะ” เอกชัยว่า
เขตต์ตวันสีหน้าโกรธเกลียด แววตาอาฆาตแค้นขึ้นมา
ก็แหงอยู่แล้วล่ะ โดนมัน”
เอกชัยรีบตัดบท
“พอๆ ปอน ไม่พูดถึงมันแล้ว”
เขตต์ตวันมองน้องสาวหน้าเครียดๆ สงสารน้องจับใจ ถอนใจออกมา
“จิตใจป่านบอบช้ำมาก มันเลยส่งผลกับร่างกายรุนแรงขนาดนี้”
เอกชัยพยักหน้าเห็นด้วย
“ใจฉันอยากพาป่านไปแอดมิท นอนรักษาให้หายขาดไปเลย”
เอกชัยรีบออกตัว
“ฉันเห็นด้วย แต่ฉันไม่มีเงินสำรองพอแล้วนะปอน”
“เงินเดือนฉันก็ยังไม่ออก”
เอกชัยสีหน้าฉุกคิด เดินไปที่โต๊ะวางของมุมห้อง เขตต์ตวันมองป่านด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่รู้ขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้า เค้าจะยอมรึเปล่า”
เอกชัยยื่นนามบัตรผู้จัดการดารามาตรงหน้า เขตต์ตวันมองที่นามบัตรก่อนเหลือบตามองเอกชัย
“ถ้าแกอยากให้ป่านได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด ก็โทรหาพี่เค้า”
เขตต์ตวันสีหน้าใช้ความคิดตัดสินใจ ค่อยๆ รับนามบัตรผู้จัดการดารามาจากมือเอกชัย

เวลากลางวัน วันรุ่งขึ้น ผู้จัดการดาราคนเก่งนั่งคุยกับเด็กหนุ่มสาวหน้าตาดีคู่หนึ่งที่ร้านอาหารกระจกริมถนน
“สองคนนี่เป็นแฟนกันรึเปล่าจ๊ะ”
เด็กสาวยิ้มเขิน
“ครับ”
เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้แฟนสาว ผู้จัดการไม่ยิ้มด้วยเพราะไม่เห็นด้วย
“อย่าเพิ่งรีบเป็นแฟนกันเลยได้ป่ะ”
เด็กหนุ่มสาวอึ้งปนงง ไม่เข้าใจ
“ให้แฟนคลับเค้าได้ฝันมั่งเหอะ เปิดตัวมาพร้อมกับแฟนเสี่ยงไป ถ้าคนเค้าชอบเธอไม่ชอบแฟนเธอ จะดึงกันลงเหวเปล่าๆ เป็นเพื่อนกันเพราะเป็นเด็กในสังกัดของพี่ เซฟสุด”
“ก็ได้ค่ะ” เด็กสาวว่า
ผู้จัดการยิ้มพอใจบอก
“ค่อยๆ ดูกระแสกันไปดีกว่านะ ไม่ต้องรีบร้อน”
ผู้จัดการเหลือบตามองออกไปนอกร้าน ดีใจมาก เพราะเห็นเขตต์ตวันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน กำลังจะข้ามมา
ผู้จัดการดีใจจนออกนอกหน้า
“ตวัน”
เด็กหนุ่มสาวสองคนหันมองตามออกไป
“เธอสองคนรอพี่แป๊บเดียวนะ”
ผู้จัดการรีบวิ่งออกไปจากร้าน

เขตต์ตวันยกมือไหว้พร้อมวิ่งข้ามถนนมาหาผู้จัดการดารา ผู้จัดการรับไหว้ยิ้มปลาบปลื้ม
“พี่ดีใจที่สุดเลยที่ตวันยอมเปลี่ยนใจ”
“น้องสาวผมไม่สบายมากครับพี่ ผมอยากได้เงินไปรักษาน้อง”
“พี่รับรองว่าน้องสาวตวันจะได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดเลยจ้ะ”
เขตต์ตวันดีใจมาก
“ขอบคุณครับพี่”
ผู้จัดการสีหน้ามั่นใจ
“คอยดูนะ พี่จะดันตวันให้แจ้งเกิด นับจากนี้ไป จะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเขตต์ตวัน”
เขตต์ตวันได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่ได้มีความสุขนักกับการตัดสินใจครั้งนี้

“ในที่สุดฉันก็ยอมเซ็นสัญญากับเค้า” เขตต์ตวันบอกมัทนา
มัทนาตั้งใจฟังเขตต์ตวันพร้อมจดตามไปอย่างไม่ให้ผิดพลาด เขายังเล่าไปด้วยสีหน้านิ่งขรึม
“ตอนนั้นฉันต้องการเงินมาก ป่านป่วยหนักขึ้นทุกวัน ฉันยอมทำทุกอย่างที่เค้าต้องการ แม้มันจะฝืนใจมากก็เถอะ”
มัทนาหยุดจดตามรับฟังด้วยสีหน้าเห็นใจ
“จริงๆแล้วเวลานั้นอย่าว่าแต่แสดงหนังเลย ต่อให้ฉันต้องเป็นคนขัดส้วมเช็ดรองเท้าให้เค้า ฉันก็ยอม ขอให้ได้เงินมาก็พอ”
มัทนามองเขตต์ตวันด้วยสีหน้าแววตาเห็นใจมาก จนน้ำตารื้นๆขึ้นมา เขตต์ตวันตาเริ่มแดง
“แต่มันก็ไม่ทัน...”

เขตต์ตวันเงียบไปอึดใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันสุดท้าย … ในเหตุการณ์ระหว่างที่เขาสวมรองเท้าให้น้องสาวก่อนจะพาออกไปเดินเล่นในสวนตามคำขอร้อง เขาไม่นึกว่าระหว่างนั้น … ป่านจะขาดใจตายบนเก้าอี้

อ่านต่อเวลา 17.00น.

เขตต์ตวันลุกจากเก้าอี้ทันทีหันหลังให้มัทนามองไปทางทะเล เธอมองตามเขาด้วยสีหน้าเศร้าๆ  เข้าใจในความรู้สึก
 
                หลังเหตุการณ์นั้น ในวันหนึ่ง เขตต์ตวันขณะเป็นดาราดังแล้วได้ขับรถให้เอกชัยนั่งมาจอดที่ลานวัดสวนป่า เด็กวัดกรูกันเข้ามาล้อมรถ เอกชัยลงนำจากรถมาป่าวประกาศ
                “พระเอกสุดฮอตขวัญใจมหาชน เขตต์ตวัน ครับทุกคน” 
                เอกชัยผายมือทั้งสองข้างไปรับทางเขตต์ตวันที่ยิ้มส่ายหน้ากับความเว่อร์ของเอกชัย ก่อนลงมาจากรถ เด็กวัดทุกคนกรูเข้าไปล้อมรอบ เขาทักทายยิ้มแย้มกับทุกคน  มีขอลายเซ็น มีให้อุ้มไปมา 
                “จากนั้นฉันก็แสดงหนัง เดินแบบ ถ่ายแฟชั่น ถ่ายโฆษณา ออกงานอีเวนต์ครึ่งหนึ่งของรายได้ ฉันรวบรวมเอามาถวายหลวงพ่อจรูญที่วัด”
 
                ผ่านเวลาซักครู่ เขตต์ตวันถวายซองใส่เงินวางบนพานให้ หลวงพ่อรับพานไว้อย่างปลื้มใจในความสำเร็จของลูกศิษย์ มีเอกชัยยิ้มแย้มปลาบปลื้มอยู่ข้างๆ เขตต์ตวันกราบหลวงพ่ออย่างอ่อนโยน
                “ฉันไม่เคยมีความสุขในวงการนี้เลย แต่มันเป็นอาชีพที่ให้ผลตอบแทนสูง สูงพอที่ฉันจะสร้างความฝันของฉันและของเด็กๆในวัดให้เป็นจริงขึ้นมาได้”
                “แล้วความฝันของคุณคืออะไรล่ะคะ”
                มัทนาหันหน้าถามตวัน ขณะที่ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ที่ชายหาด เบื้องหน้าเป็นน้ำทะเล เห็นปลายฟองคลื่นซัดเข้ามาพอเปียกเท้าสบายๆ เขตต์ตวันทอดสายตาไกล
                “ก็ได้ทำงานศิลปะไงล่ะ” เขตต์ตวันถอนใจออกมาบางๆแล้วพูดต่อ
                “ถึงฉันจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้การใช้แปรงกับพู่กัน แต่ฉันก็พอขีดๆเขียนๆ ออกแบบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง อย่างพวกเครื่องแต่งตัว เครื่องประดับ เสื้อผ้า...การออกแบบก็ถือเป็นศิลปะอย่างนึงเหมือนกัน”
                “คุณก็เลยสร้างแบรนด์ตวันขึ้นมาเพื่อให้คุณได้ทำงานศิลปะที่คุณรักและได้สานฝันของน้องป่านให้เป็นความจริง”
                เขตต์ตวันยิ้มอบอุ่น พร้อมพยักหน้ารับ
                “ไม่มีใครเคยรู้ว่าคุณคือจันทิรา”
                เขาพยักหน้ารับอีกครั้ง
                “ยกเว้นเอกชัยและพนักงานของบริษัท”
                มัทนาเสริมแบบแขวะเล็กๆ
                “กับนางแบบพิเศษๆ บางคน”
                เขตต์ตวันได้แต่ยิ้มๆไม่ตอบอะไร
                “ทุกคนรักษาความลับได้สุดยอดเลยนะคะ”
                “เพราะทุกคนรักฉัน แต่ที่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด ทุกคนรักบริษัทตวัน อยากเห็นบริษัทเจริญเติบโต”
                มัทนายิ้มปลื้มใจไปด้วย
                เขตต์ตวันสีหน้าแววตาเห็นความปลื้มใจซ่อนอยู่
                “ฉันไม่เคยลืมความรู้สึกวันเปิดตัวบริษัทตวัน กับคอลเล็คชั่น“ระบำนกยูง” เลยนะ”
                มัทนายิ้มแย้ม  สีหน้าปลาบปลื้มประทับใจเช่นกัน
                “ฉันก็ไม่เคยลืมค่ะ การได้ไปดูแฟชั่นโชว์เปิดตัวบริษัทคุณวันนั้น มันได้เปลี่ยนทัศนคติบางอย่างของมัทไปเลย”
 
 
                เขตต์ตวันมองมัทนาด้วยสีหน้าสงสัยอยากรู้ มัทนาย้อนนึกพร้อมเล่าถึงความประทับใจในครั้งนั้น
 
                วันหนึ่งในอดีต เวลากลางวัน มัทนาโวยวายเอาแต่ใจมาที่มุมหนึ่งของสยามสาร สาระวารีและมีคณาคอยปลอบให้กำลังใจ
                “มัททนไม่ไหวแล้ว มัทเหมือนทำบาป เพราะข่าวที่เราเขียนมันทำให้บ้านเค้าแตก” 
                “แต่ข่าวที่มัทเขียนไปก็ความจริงทั้งนั้น” มีคณาบอก
                “แต่ถ้าบอกอไม่สั่งให้มัทเขียน เรื่องนี้ก็จะเป็นความลับต่อไปไม่ใช่เหรอคะ”
                “แต่ไม่ตลอดไป” สาระวารีว่า
                มัทนาชะงักหันมองสาระวารี
                “คิดอีกแง่ ข่าวของมัทช่วยให้ผู้หญิงได้ตาสว่าง ดีกว่าถูกหลอกไปเรื่อยๆ” สาระวารีบอก
                “ตอบแบบนี้ ที่เค้าเรียกว่าแถใช่มั้ยคะ”
                สาระวารีหยิกหมับที่เอวมัทนาแล้วบิด มัทนาสีหน้างอนถอยหนี
                “โอ๊ย...แต่มัทไม่มีความสุขนี่พี่วารี  มัทไม่เหมาะกับข่าวสายบันเทิง มัทไม่ชอบ”
                “แล้วรู้ได้ยังไงว่ามัทเหมาะทำข่าวการเมือง”
                “ก็มัทชอบอะไรที่มันดูเป็นแก่นสาร มีสาระมากกว่าเรื่องคนนั้นปิ๊งคนนี้ เลิกกับคนนั้น คนนี้มือที่สาม อะไรก็ไม่รู้แหวะ...”
                สาระวารีแขวะน้อง
                “แหม...ก็เคยเป็นแฟนคลับดารามาก่อน บอกอเค้าก็เลยเห็นแวว”
                มัทนาตาเขียวใส่สาระวารี
                “นั่นมันอดีตแล้วพี่วารี”
                “พี่ว่ามัทอย่าเพิ่งใจร้อน ตีโพยตีพายไปเลยนะ ลองกลับไปนอนคิดทบทวนดูอีกทีดีกว่า” มีคณาบอก
                มัทนาสีหน้าเด็ดเดี่ยว จริงจัง
                “มัทคิดทบทวนรอบคอบแล้วค่ะพี่มี่ ถ้าบอกอไม่ให้มัทย้ายโต๊ะ มัทจะลาออก”
                “ ใครจะลาออกไปไหน”
                สาระวารีและมีคณาตกใจมากหันไปมองตามเสียง ไชยวัฒน์เดินผ่านมาพอดี หยุดฟัง
                “ผมได้ยินไม่ถนัดจะมีใครลาออกไปไหนเหรอ”
                สาระวารีปฏิเสธพัลวันเสียงแหลมเชียว แต่ไม่เนียนนัก
                “ไม่มีค่ะ ใครจะออกไปไหน ไม่มีหรอกค่ะ บอกอหูแว่วไปเองค่ะ”
                มัทนาสีหน้าจริงจัง ยังแรง จะพูด
                “มะ..”
                ยังไม่ทันจะออกเสียงสระอีก็โดนสาระวารีปิดปากซะก่อน
                สาระวารีตัดบท
                “เราไปทำงานต่อก่อนนะคะ”
                สาระวารีลากมัทนาที่ยื้อยุดไปจนได้ ไชยวัฒน์ได้ทำหน้างงๆ มีคณารีบชิ่งตามเพื่อนไปอีกคน
                “มี่ขอตัวนะคะบอกอ”
                ไชยวัฒน์คว้าแขนมีคณาขวับเอาไว้ เธอตกใจ กรอกตาไปมา 
                “จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน”
                มีคณายิ้มแหย ดันแว่นกระชับเข้าดั้งจมูก
                “ไปคุยกันที่ห้องผมแป๊บนึงนะ”
                มีคณายิ้มแหย
                “มี่ต้องรีบปิดต้นฉบับค่ะ”
                ไชยวัฒน์ไม่ฟัง กระชากมีคณาลากตัวปลิวไปทันที

สาระวารีล็อกแขนมัทนาไพล่หลังพาตัวมาถึงหน้าลิฟท์
                “พี่วารี มัทเจ็บ”
                สาระวารียิ้มเจื่อนรีบปล่อย
                “โทษที”
                มัทนาแขวะ
                “จะลักพาตัวมัทไปเรียกค่าไถ่เหรอคะ เจ็บกระดูกไปหมดแล้ว”
                “ถึงกระดูกเหรอจ๊ะ พี่เจอแต่ชั้นไขมัน”
                “พี่วารี”
                มัทนาหน้าดุใส่ สาระวารีรีบแก้ ทำมือประกอบ
                “บางๆ น้อยมากเลย”
                มัทนางอนใส่ กอดอกหันหลังให้ สาระวารียิ้มง้อ
                “ก็พี่เห็นว่ามัทกำลังร้อน ไปปะทะบอกอทันทียังงั้น มีแต่แตกหัก เชื่อพี่เหอะ บอกอแกจะงัดเหตุผลอะไรของแกก็ไม่รู้มาพูดจนเราเถียงไม่ออก พี่เจอบ่อย”  สาระวารีพูดพลางกดลิฟท์เรียกลง
                “ลาออกก็ดี แม่คงดีใจ”
                “แล้วไม่คิดถึงแก๊งสามทหารเสือสาวของเราเหรอ”
                มัทนาค้อนใส่อีกขวับ สาระวารีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
                “กว่าพี่จะขึ้นมาอยู่ในจุดที่บอกอไว้วางใจอย่างวันนี้ได้ ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองตั้งเท่าไหร่”
                มัทนาหันมาแขวะหน้าบึ้งเอาแต่ใจ
                “บอกอกลัวพี่วารีกัดเอามากกว่า”
                สาระวารีชะงักไปเล็กน้อย
                “อ้าว  เห็นพี่เป็นม๊ะหมาไปซะแล้ว”
                “บุคลิกหน่อมแน้มแจ่มใสอย่างมัท เค้าไม่ยอมฟังอยู่แล้วล่ะ”
                ลิฟท์เปิดพอดี สาระวารีล็อกคอมัทนาลากเข้าลิฟท์ไป
                “ไป”
                มัทนาแปลกใจ
                “จะพามัทไปไหน”
                “ไปสงบสติอารมณ์”
                ลิฟท์ปิดสนิทไป
 
                ภายในห้องไชยวัฒน์ เขามีสีหน้าผิดหวัง
                “อยากออกก็ออกไปสิ”
                มีคณาตกใจมาก
                “ใจเย็นๆก่อนค่ะบอกอ น้อยใจมัทเหรอคะ”
                “ผมไม่ชอบเด็กไม่อดทน ที่ผมเลือกมัทให้อยู่สายบันเทิงเพราะผมอยากเห็นความเปลี่ยน
แปลงของการนำเสนอข่าว มุมมองของเด็กรุ่นใหม่ ทำข่าวบันเทิงอย่างสร้างสรรค์ โอเค คนส่วนใหญ่ชอบเสพย์ข่าวฉาวๆ เราเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไม่ได้ แต่เราจะนำเสนอยังไงให้แตกต่าง”
                มีคณาแหยๆ จ๋อยๆแทนมัทนา
                “มี่เข้าใจผมใช่มั้ย”
                “ค่ะบอกอ งั้นมี่จะไปบอกน้องให้นะคะ” 
                มีคณาหน้าเจื่อนลุกขึ้น จะเดินออกไป
                “เดี๋ยว...”
                มีคณาตกใจ กระชับแว่นหันมอง
                “ผมฝากประเด็นข่าวไปให้มัททำด้วย ทำข่าวนี้ให้เสร็จก่อน แล้วจะออกก็ออกไป”
                ไชยวัฒน์สีหน้าน้อยใจปนงอน ค้นหาเอกสารไป มีคณาผงะ  จ๋อยสนิท เข่าอ่อน ค่อยๆ นั่งลง ถอนใจยาวออกมาไม่สบายใจนัก
 
                เวลาต่อเนื่อง มัทนาและสาระวารีมาทานไอศกรีมสงบสติอารมณ์กันอยู่... ไอศกรีมชามโตกลางโต๊ะ ทั้งคู่จ้วงตักพร้อมกัน
                “เล่ามา มีอะไรคับข้องใจ พูดมาให้หมด” สาระวารีพูดพลางตักไอศกรีมคำโตมากินต่อ
                มัทนาสีหน้าเซ็งๆบอก
                “พี่วารีคิดดู วันๆ เราต้องเขียนแต่เรื่องใครชอบใคร ใครคบใคร ใครเป็นแฟนกับใคร ใครเลิกกัน มันใช่เรื่องเหรอ”
                “บางคนเค้าก็แฮปปี้นะ” สาระวารีกินคำต่อไป
                “แต่ไม่ใช่มัท มันไม่จรรโลงใจ ดาราทำดี คนอ่านพาดหัวผ่านๆ แต่พอทำเรื่องฉาว ต่อหน้าไหนก็ตามอ่าน โพสต์ กันสนั่นเน็ต”
                “ก็ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าข่าวบันเทิง คนเค้าชอบอ่านคลายเครียด เมาท์มอยสนุกปากไป” สาระวารีตักกินคำต่อไป
                “แต่คนทำข่าวเครียด เอาความทุกข์คนอื่นมาหากิน...พักยกกินมั่ง จ้วงเอาจ้วงเอาเลยนะพี่”
                มัทนาจ้วงตักกินมั่ง สาระวารียิ้มๆ
                “ก็เราอยากระบายไม่ใช่เหรอะ”
                มัทนาค้อนใส่ กินคำต่อไป มีคณารีบร้อนเข้าร้านไอศกรีมมาหาสองสาว
                “มี่มาแล้ว” สาระวารีบอก
                มีคณารีบเดินมานั่งข้างมัทนา
                “ข่าวด่วนน้องรัก”
                มัทนาแย่งตอบ
                “บอกอรู้แล้วว่ามัทอยากย้ายแผนก”
                “ถูก”
                สาระวารีดักคอ
                “บอกอก็รู้แล้วว่ามัทจะขอลาออก”
                “ถูก”
                สาระวารีจ้องหน้าเพื่อนอย่างจับผิด
                “เธอบอกใช่มั้ยมี่”
                มีคณาหน้าแหยดันแว่นกระชับจมูก
                “ขอช้อนคันสิ” 
                มีคณาเอื้อมมือจะหยิบช้อนที่วางไว้ แต่สาระวารีแย่งช้อนไป
                “ตอบมาก่อน”
                “ก็ฉันถูกบีบให้พูดนี่นา พี่ขอโทษนะมัท”
                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช้าเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี”
                “ขอบใจจ้ะ” 
                มีคณาแย่งช้อนจากสาระวารีพร้อมทำหน้ายักษ์ใส่แล้วมาตักไอศกรีมทานมั่ง
                “แล้วบอกอว่าไง โกรธมัทมั้ย”
                “ก็ดูเคืองๆ อยู่ หาว่าไม่อดทน”
                “ก็คนมันไม่ชอบนี่นา”
                “บอกอบอกว่า ถ้ามัทอยากจะออกก็ขอให้ทำงานชิ้นสุดท้ายนี่ให้เสร็จก่อน”
                “งานอะไรคะ”
                “เปิดตัวบริษัทตวัน อยากให้เจาะประเด็นจันทิรา ดีไซน์เนอร์คนเก่งของตวัน ว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเขตต์ตวันจริงมั้ย”
                มัทนาวางช้อนกระแทกด้วยความหัวเสีย
                “เห็นมั้ยพี่วารี ผิดคำพูดมัทมั้ยล่ะ น่าเบื่อที่สุด มัทจะไปคุยกับบอกอให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลย ว่ามัทไม่ทำ”            มัทนาลุกพรวด เดินออกไปเลย มีคณาอึ้งปนตกใจ สาระวารีรีบลุกตามไป
                “มัท  ใจเย็นๆ น้อง” 
                สาระวารีหยุดเดินแล้วย้อนกลับมาที่โต๊ะ  ตักไอศกรีมกินอีกคำ
                “ยังไม่หายอยากเลย จ่ายตังค์ด้วยนะมี่” 
                มีคณาอึ้ง ยกมือขึ้นเท้าสะเอว หันมองตาม เจ็บใจปนหมั่นไส้

                “ดูมันสิ”

อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.

มายาตวัน ตอนที่ 7 (ต่อ)

เขตต์ตวันขำเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้
                “เธอนี่ก็แสบเอาเรื่องนะ”
                มัทนาเดินตามกลับมานั่งเหมือนกัน
                “แก๊งมัทแสบหมดล่ะค่ะ แสบคนละแบบ”
                “ฉันเชื่อ”
                มัทนาสีหน้าขรึมลง ดูจริงจัง
                “รู้อะไรมั้ยคะ  ฉันตั้งตัวเป็นแฟนคลับงานออกแบบของจันทิราตั้งแต่งานแรกเลย”
                เขตต์ตวันยิ้มขี้เล่น ลุกขึ้นยืน โค้งให้
                “ฉันพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้อวย”  
                เขตต์ตวันกระเซ้า
                “หลังจากงอนเลิกเป็นแฟนคลับฉัน ก็หลวมตัวมาเป็นแฟนคลับฉันต่ออีก”
                มัทนาแอบทิ้งค้อน
                “มัทเป็นแฟนคลับคุณจันทิราหรอกค่ะ”
                เขตต์ตวันยิ้มๆเอ็นดูแล้วยืนเท้าพนักเก้าอี้ฟังมัทนาเล่าอย่างอารมณ์ดี
                “ตอนที่คอลเล็กชั่นระบำนกยูงออกมา ฉันเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นานเท่าไหร่ บอกอมอบหมายให้ทำข่าวสังคมและบันเทิง”
                “เราก็คงมีความรู้สึกคล้ายๆกันตอนเริ่มทำงาน”
                มัทนาสีหน้าจริงจัง ไม่ชอบเอามากๆ
                “ใช่ค่ะ ฉันเกลียดจะแย่ มีแต่การปั้นหน้าเข้าหากัน หวังแต่ผลประโยชน์ เรื่องซุปซิปนินทาสารพัดจะงัดมาพูด”
                เขตต์ตวันพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมถอนใจออกมา
                “ฉันตั้งใจเอาไว้จริงๆนะคะว่าจะทำข่าวเปิดตัวบริษัทตะวันเป็นงานสุดท้าย ถ้าบอกอยังไม่ย้ายมัทไปทำงานอย่างอื่นมัทจะลาออกจริงๆ”
                “แล้วงานออกแบบของฉันไปเปลี่ยนทัศนคติของเธอยังไง ที่เล่ามามีแต่น้ำ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง”
มัทนงอนๆ ประชดกลับและเหยียดปากใส่
                “ก็เพราะมีคนเก็บผักบุ้งไปขยำเกลือกินหมดไงคะ”
                เขตต์ตวันขำๆ
                “โอเค โอเค เล่าต่อได้ อยากฟังต่อ” 
                เขตต์ตวันลากเก้าอี้มานั่ง ตั้งใจฟัง แอบแขวะ
                “ชักกระหายน้ำแล้ว”
                เขตต์ตวันแกล้งเอามือลูบคอ มัทนาค้อนใส่อีกขวับก่อนมีสีหน้านิ่งขรึมไปอย่างย้อนคิด  แต่มีแววตาเป็นประกายแห่งความประทับใจฉายมาให้ได้เห็น
 
                มัทนาหน้าตาบึ้งตึงเอาแต่ใจเดินฉับๆ มาหยุดที่หน้าห้องทำงานไชยวัฒน์เธอเคาะประตูห้องบ.ก.อยู่
                “ใคร”
                “มัทเองค่ะ”
                “เข้ามา”
                มัทนาเปิดประตูเข้าห้องไชยวัฒน์ไปก่อนจะปิดประตูสนิท สาระวารีจูงมือมีคณารีบวิ่งมาที่หน้าประตูห้องทำงานไชยวัฒน์ ต่างแอบแนบหูกับประตูห้องฟังการสนทนาภายในอย่างอยากรู้จัด
ไชยวัฒน์วางมือทั้ง 2 ข้างบนโต๊ะเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืน
                “ตกลง ถ้าเธอต้องการยังงั้นก็ตามใจ”
                มัทนาสีหน้าอึ้งปนงงเล็กน้อย
                “ง่ายๆแค่นี้ ไม่ยื้อ ไม่ห้ามเลยเหรอคะบอกอ”
                ไชยวัฒน์ยิ้มมองหน้ามัทนาพูดพร้อมส่ายหน้า
                “ไม่”
                มัทนาน้อยใจ
                “ใช่ซิ มัทมันเด็กใหม่ มัทมันไม่เก่ง ไม่จำเป็นต้องง้ออยู่แล้ว มัทจะไปฝ่ายบุคคลเขียนใบลาออกเดี๋ยวนี้เลย”
                มัทนาจะเดินออกไปจากห้อง หยุด เดินกลับมาพูดใส่หน้าบอกอ
                “แล้วเรื่องใต้สะดือของจันทิรากับตวัน บอกอก็ไปหานักข่าวที่ชอบหาของสกปรกตามใต้เตียงกินไปทำก็แล้วกัน”
                มัทนาสะบัดหน้าพรืด จะเดินออกไปจากห้อง
                ไชยวัฒน์พูดลอยขึ้นมา
                “นักข่าวที่เก่งต่อให้ต้องทำข่าวที่ไม่ถนัด  ยังไงผลงานก็โดดเด่นอยู่ดี”
                มัทนาหยุดกึกที่ประตูห้องหันมามองหน้าไชยวัฒน์
                “เธอต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้มัทนา เธอยังทำงานได้ไม่เท่าไหร่เลย ผลงานก็ทั่วไปไม่แตกต่างจากคนอื่นเท่าไหร่”
                มัทนาแอบมีสีหน้าจ๋อยๆ
                “ที่ฉันเลือกเธอให้ทำโต๊ะข่าวบันเทิงก็เพราะอยากเห็น มุมมองการนำเสนอข่าวของเด็กรุ่นใหม่อย่างเธอ ต้องการเห็นการนำเสนอของบันเทิงที่แตกต่าง บอกตามตรงว่าฉันผิดหวัง”
                มัทนาจ๋อยสนิท
                “โอเค อาจจะเป็นความผิดของฉันเองที่มองเธอผิดไป ใช้คนไม่ตรงกับงาน แต่ถ้าเธออยากย้ายโต๊ะก็ต้องแสดงฝีมือทำข่าวให้ทุกคนในกองบ.ก.ประจักษ์ซะก่อน”
                มัทนาคอตก เดินจ๋อยๆ กลับมานั่งรับฟัง ไชยวัฒน์มองตามพนักงานสาวก่อนพูดต่อ ไชยวัฒน์เปิดลิ้นชักพร้อมพูด
                “มีทั้งคนในคนนอกจ่อคิวอยากทำข่าวโต๊ะการเมืองให้ผมอีกเป็นตั้ง” 
                ไชยวัฒน์หยิบใบสมัคร ใบคำร้อง ตั้งใหญ่ออกมาโยนลงที่โต๊ะทำงาน มัทนาสะดุ้งตามเสียงกระแทกเล็กน้อย จับตามองตั้งใบสมัครผู้แข่งขันของตน
                “นี่ยังไม่รวมที่สมัครออนไลน์อยู่ในคอมฯผมอีกนะ”

อ่านต่อเวลา 17.00น.

มัทนานิ่งสนิทไป
                “ถ้าผมจะให้ตำแหน่งที่โต๊ะข่าวการเมืองกับมัท มันต้องไม่มีข้อกังขาในความสามารถ ต้องไม่มีคำถามมากมายตามมา ทุกคนควรจะรู้สึกว่ามัทเหมาะสมแล้ว เพราะมัทเป็นนักข่าวที่มุ่งมั่นกับงาน เอาจริง เอาจัง มีฝีมือ ผลงานโดดเด่นไม่แพ้ใคร...” ไชยวัฒน์หยุดพูดมองหน้ามัทนา
                “ได้ยินยังงี้แล้ว เธอมีอะไรจะพูดมั่งมั้ย”
                มัทนายิ้มแหย แกล้งปล่อยมุกกลบจ๋อย ทำเสียงแหบ
                “พูดไม่ออกค่ะ มันจุกอยู่ตรงนี้” 
                มัทนาชี้ที่คอหอยตัวเอง ไชยวัฒน์ยิ้มเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้
                “ตกลงข่าวบริษัทตวันจะให้ผมตามนักข่าวที่ชอบกินของสกปรกใต้เตียงมาทำ หรือ เธออยากจะพิสูจน์ตัวเองต่อล่ะ”
                มัทนาจุกเจ็บที่โดนบอกอทั้งสอน  ทั้งต้อน ทั้งแขวะจนเจ็บจุกไปหมด จ๋อยสนิท กลืนน้ำลายแทบ
ไม่ลงคอ
 
                มัทนาหน้าตาจ๋อยๆ เปิดประตูออกมาจากห้องบอกอ สาระวารีและมีคณาที่ยังแอบฟังอยู่หน้าประตูห้อง ตกใจ รีบปรับท่าทีทำเป็นมายืนรอคุยคุยงานกับบ.ก. แต่ไม่เนียนนัก ทำเป็นยกโทรศัพท์มือถือ มาปาดมือหน้าจอ เลือกฟังก์ชั่น พิมพ์เมนท์ไปมา มัทนาเหล่มองพี่ๆ ทั้งสองอย่างรู้ทัน
                สาระวารีตีหน้าตาย แขวะเล็กๆ
                “อ้าวตกลงว่าไงมัท จะลาออกเมื่อไหร่จ๊ะ”
                มีคณาแอบก้มหน้าอมยิ้ม มัทนาทำหน้าหน้างอนๆ
                “ไม่ต้องมาเยาะเย้ยกันเลย แอบฟังหมดแล้วนี่”
                มัทนาเดินหน้าตูม ปึงปังนำไปเลย มีคณาชักกังวล
                “น้องโกรธรึเปล่า”
                สาระวารีหยิกแขนเพื่อน
                “เพราะเธอนั่นแหละมัทเลยจับได้ ไม่เนียนเลย สมาร์ทโฟนก็ไม่ใช่ มาทำสไลด์กดเม้นท์ตามฉันทำไมยะ ซื้อใหม่ซะทีเถอะ ยัยป้า”
                สาระวารีรีบเดินตามมัทนาไป มีคณาค้อนให้ขวับแล้วรีบตามไปอีกคน
 
                เขตต์ตวันขำๆ วางมือบนหัวมัทนาขยี้เบาๆ อย่างเอ็นดู มัทนาย่นคอตามแรงกด ยิ้มเขินปนอายไปมาเล็กน้อย เขาถอนมือออกพร้อมพูด
                “แต่กว่างานออกแบบชิ้นนั้นจะออกมาให้เธอได้ดู พวกเราเหนื่อยและเครียดกันมากเลยนะ”          เขตต์ตวันสีหน้าอดย้อนนึกถึงวันเก่าไม่ได้ มัทนาเหลือบตาขึ้นมองเขตต์ตวันที่สีหน้าขรึมอีกครั้ง
                “บริษัทจะอยู่จะไปก็วัดกันที่งานแฟชั่นเปิดตัววันนั้นล่ะ” 
                เขตต์ตวันถอนใจออกมาเหมือนยังหนักใจวันนั้นไม่หาย มัทนาสีหน้าปลาบปลื้ม
                “แต่งานแฟชั่นโชว์คืนนั้นยังประทับใจมัทไม่รู้ลืมเลยนะคะ”
 
                เย็นวันหนึ่ง สาระวารีสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งกับกางเกงยีนส์ตัวเก๋าเดินก้าวมาหยุดที่โถงบริษัท สาระวารีและมีคณาที่นั่งทานผลไม้รอน้องรักอยู่ก็เงยหน้ามอง มัทนาสีหน้าอ้อนถาม
                “ไม่เป็นด้วยกันจริงๆ เหรอ”
                “พี่มีงานทั้งคู่เลย” มีคณาบอก
                “เจอบอกออบรมเข้าหน่อย ถึงกับเสียเซลฟ์เลยเหรอะ” สาระวารีถาม
                “ไม่ต้องเลยพี่วารี ไม่ต้องมาทับถมกันเลย”
                มีคณายิ้มแย้ม ลุกเดินมาหา
                “มัทเป็นคนเก่ง พี่มั่นใจว่ามัทต้องทำได้อยู่แล้ว”
                สาระวารีลุกมาหาพร้อมกล่องของขวัญเล็กๆ ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
                “อ้ะ”
                “อะไรคะ”
                สาระวารีทำหน้าตาย
                “ก็ของขวัญน่ะสิ เสร็จงานนี้แล้วจะออกเลยไม่ใช่เหรอะ เผื่อพี่ไปทำข่าวต่างจังหวัดไม่ได้เจอ”
                มัทนาสีหน้าเจ็บใจปนมันเขี้ยว
                “พี่วารีใจร้าย”
                มัทนาปาดมือจะหยิกบิดให้หนัก สาระวารีหลบทันวิ่งหนีไปรอบตัวมีคณา มัทนาวิ่งไล่จิกไม่เลิก มีคณาโดนลูกหลงไปมา
                สาระวารีปาของขวัญใส่ลงกลางหัวมัทนาอย่างถนัดถนี่ มัทนายิ่งเจ็บใจไล่ฟาดเป็นที่สนุกสนานของ
สามสาวในกองบ.ก.
 
                เวลาหัวค่ำ การเดินแฟชั่นของนางแบบประกอบเสียงดนตรีสนุกสนาน...แฟชั่นเซ็ตนี้ออกแนวผ้าเพนท์ รูปธรรมชาติสวยงาม มัทนาอยู่ในโซนสื่อมวลชน ข้างๆ คือนักข่าวรุ่นพี่ชื่อ กบ
                “ภาพที่เพนท์ในเนื้อผ้าสวยจังเลยเนอะพี่”
                “ดีไซน์เนอร์เค้าเป็นศิลปิน วาดเองหมดเลยนะ” กบบอก
                “จริงเหรอพี่กบ อยากสัมภาษณ์เค้าจังเลย”
                “ยาก พวกเราโดนปฏิเสธครบทุกเล่มแล้ว”
                มัทนาเสียหน้า รู้สึกเสียดายก่อนหันไปดูแฟชั่นโชว์ต่อ
 
                แฟชั่นเซ็ตสุดท้ายออกแนวป่าในวรรณคดี นางแบบอยู่ในชุดภาพเพนท์เป็นรูปนกยูงสวยงาม จังหวะเพลงก็มีกลิ่นอายแนวคนป่าหน่อยๆ..การเดินแบบของหมู่มวลนางแบบออกแนวเต้นรำเล็กน้อย ดูรื่นเริงสนุกสนาน มัทนายิ้มแย้มชอบใจ สนุกไปด้วยกับโชว์
                ชั่วอึดใจ หมู่มวลนกยูงก็ต้องหยุดเปิดทางให้กับชุดฟินาเล่ ดนตรีเปลี่ยน แสงสีเปลี่ยน...นางแบบในชุดราชินีนกยูง สง่างามสวยตระการโดดเด่นกว่านกยูงอื่นใดบนเวที เดินกรีดกรายออกมา แสดงแบบโดย ชลบุษย์ ชุดเพนท์ลายนกยูงสวยงาม มีหางนกยูงแผ่เป็นวงสวยสง่า
                คนดูชื่นชอบ ปรบมือกันเกรียวกราว สีหน้ามัทนาดูตื่นตะลึง ประทับใจมาก

                ชลบุษย์เดินสง่างาม ยิ้มแย้มกรีดกรายมาสุดรันเวย์  มัทนารีบตั้งกล้องถ่ายรูป รัวไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงปรบมือ

เสียงระเบิดสายรุ้งดังเปรี้ยงปร้าง...สายรุ้งสีเงินสีทองพุ่งกระจายเต็มเวทีพร้อมป้ายผ้าขนาดใหญ่
ถูกทิ้งลงกลางเวที...กลางป้ายเป็นภาพวาดเงาดำผู้หญิงสวยผมยาวสยาย มีประกายสีส้มของแสงอาทิตย์อยู่ด้านหลัง และมีชื่อแบรนด์ “ตวัน” เขียนประกบอย่างมีดีไซน์
นางแบบทุกคนหันไปปรบมือให้กับดีไซน์เนอร์ของโชว์ชุดนี้ มัทนาดูงงปนแปลกใจกับการเปิดตัวของดีไซน์เนอร์เช่นนี้

มัทนาเดินคุยกับเขตต์ตวันกลับเข้ามาที่สนามข้างบ้าน...มัทนาสะพายเป้มาด้วย
“หลังจากดูโชว์ระบำนกยูงของคุณจบ มันเปลี่ยนความคิดของมัททันทีเลยนะคะ”
เขตต์ตวันหยุดเดินนำ หันมองมาทางมัทนา เขากระเซ้า
“เข้าเรื่องได้ซะที”
เขตต์ตวันยิ้มแซว มัทนาหน้าตูม ทำงอนใส่
“เล่ามาสิ รอฟังอยู่”
มัทนาสีหน้าจริงจัง
“มัทตัดสินใจทำข่าวสายบันเทิงต่อไป จริงๆแล้วสิ่งที่เราเห็นว่ามีแต่เรื่องสกปรก มันก็มีศิลปะที่สวยงามซ่อนอยู่ มัทมองด้วยสายตาอคติเกินไป”
“ที่คิดว่าสกปรก อาจจะเป็นเพราะเธอเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีมาจากฉันก็ได้”
มัทนาชะงักไป มองหน้าตายของเขตต์ตวัน
“แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ”
เขตต์ตวันขำๆออกมา มัทนาขำตาม ยิ้มขำของเขาจางลงกลายเป็นยิ้มขอบคุณจากใจ
“ขอบคุณมากนะสาวน้อย เธอเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้ฉันเชื่อว่า ชื่นชมผลงานของจันทิราอย่างจริงใจ”
มัทนายิ้มเจ้าเล่ห์
“แล้วยังอนุญาตให้มัทเปิดเผยเรื่องคุณจันทิราอยู่รึเปล่าคะ”
เขตต์ตวันยิ้มเอ็นดู
“ก็ตามใจเธอสิ”
มัทนาดีใจมาก ยกมือไหว้
“ขอบคุณมากค่ะ”
เขตต์ตวันมองมัทนาหน้านิ่ง
“เสร็จงานแล้วนี่ เธอจะกลับกรุงเทพเลยรึเปล่า”
มัทนาชะงักไปเหมือนกัน ก่อนปั้นหน้ายิ้มตอบไป
“ก็คงพรุ่งนี้เลย ฉันอยากให้งานชิ้นนี้เสร็จออกมาเร็วๆ”
“จะตีพิมพ์เมื่อไหร่”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ ฉันคงต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด อาทิตย์นี้ไม่ทันก็คงเป็นอาทิตย์หน้าแหละค่ะ”
มัทนายิ้มมั่นใจให้ เขตต์ตวันจ้องหน้าบอก
“ฉันจะรออ่าน ฉันทำตามสัญญาที่ให้กับเธอแล้ว หวังว่าเธอคงรักษาสัญญานะสาวน้อย”
“ด้วยเกียรติของกระต่ายดำ”
มัทนายกสองมือต่อหูกระต่ายที่หัว เขตต์ตวันอดขำๆออกมาไม่ได้ มัทนาสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“งานชิ้นนี้คุณต้องไม่ผิดหวังแน่นอน เอายังงี้นะคะ ถ้าหนังสือออกเมื่อไหร่ ฉันจะส่งมาให้คุณทันทีเลย”
“เธอจะกลับพรุ่งนี้แล้ว ได้ซื้อของฝากไปให้ที่บ้านแล้วก็เพื่อนๆ พี่ๆ... แก๊งอะไรของเธอนะ”
“แก๊ง 3 ทหารเสือสาวค่ะ”
มัทนาทำท่าประกอบพร้อมตอนบอกชื่อแก๊ง เธอยก 3 นิ้วลากขวางผ่านตา ทำตาเฉี่ยวดุแล้วเต้นส่ายสะโพกแบบสาละวันเตี้ยลงอีกเล็กน้อย เขตต์ตวันเห็นแล้วก็ต้องขำออกมาอีก
“มีท่าประจำแก๊งด้วยเหรอะ”
มัทนาสีหน้าเสียดาย
“มัทน่ะอยากมี แต่พี่ๆ ไม่มีใครเอาด้วยซักคน”
“ก็สมควรอยู่หรอก แล้วตกลงซื้อของฝากรึยัง”
มัทนาหน้าแหยๆ
“ยังเลยค่ะ”
“ไปรอที่รถ เดี๋ยวพาไป”
“อุ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ เกรงใจ”
“ไม่ไปใช่มั้ย”
“ไปค่ะ” มัทนายิ้มแหยๆ
เขตต์ตวันยิ้มส่ายหน้า
“ไปรอที่รถเลย”
มัทนายิ้มแย้ม สะพายเป้เดินไปรอที่รถอย่างอารมณ์ดี เขตต์ตวันเดินฉีกไปเข้าบ้าน

ตวันเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมๆ กับเอกชัยที่เดินจิบเครื่องดื่มออกมาทางครัว
“อิ่มกันแล้วเหรอะ”
“อืม”
“เอาอะไรอีกมั้ย กาแฟ ผลไม้”
“ไม่แล้วล่ะ ให้เด็กออกไปเก็บของด้วย ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย”
เขตต์ตวันจะเดินไปหยิบของ เอกชัยขวางทาง สีหน้าสงสัย
“จะไปไหน”
“ออกไปซื้อของ”
เขตต์ตวันจะเดินเลี่ยง เอกชัยสีหน้าจับผิดตามมาขวาง
“กับใคร”
“มัทนา เค้าจะกลับพรุ่งนี้แล้ว ยังไม่ได้ซื้อของฝากเลย”
“แอะ ๆ”
“แอะอะไรของแก”
เอกชัยกระเซ้า
“เดททิ้งทวนว่างั้นเถอะ”
เขตต์ตวันจ้องหน้า
“มันไม่ใช่อย่างที่แกคิดหรอกน่า”
เอกชัยยิ้มๆ ทำ หน้าขี้เล่น
“รู้เหรอะว่าฉันคิดอะไรอยู่”
เขตต์ตวันลึกๆรู้สึกเขิน แต่เก็บอาการ แขวะเพื่อน
“เก็บสมองที่มีอยู่น้อยนิดของแกไปคิดเรื่องงานให้เป็นประโยชน์เถอะ”
เอกชัยยักไหล่ไม่แคร์ เขตต์ตวันไปต่อไม่ถูกเลย
“ลืมเลยจะเข้ามาเอาอะไร”
“เขินจนลืมเลยเหรอเพื่อน”
“ไอ้เอก ถ้าไม่อยากถูกเตะ หุบปาก...”
เขตต์ตวันสีหน้านึกๆ
“เอามือถือรึเปล่า”
เขตต์ตวันค่อยๆเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่โซฟาแล้วชี้หน้าเอกชัยก่อนรีบเดินออกไปจากบ้าน

เอกชัยมองตามเพื่อน ก่อนเดินไปทางห้องทำงาน

ลลิสาที่เดินลงบันไดมาทางด้านหลัง แอบฟังการสนทนาอยู่ สีหน้าหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด เยาะที่ตามหลังนายลงมาก็มีสีหน้าหึงหวงไปด้วย เยาะยุส่ง
“ตามไปสิคะคุณ ปล่อยให้ไปกันตัวต่อตัวไม่ได้นะคะ”
“ไปให้มันเย้ยเอาเหรอะ แกตามออกไปดูสิ ไปกันแค่สองคนจริงๆ รึเปล่า”
“ค่ะคุณ”
เยาะรีบตามออกไป ลลิสามีสีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้มาก

เขตต์ตวันและมัทนาต่างขึ้นไปนั่งรถ ปิดประตูพร้อมๆ กันก่อนที่รถของเขตต์ตวันจะขับแล่นออกไปจากบ้าน พอรถเลี้ยวก็เห็นชลบุษย์แอบมองมาจากทางสนามบ้าน จับตามองตาม สีหน้าอิจฉาปนหมั่นไส้
เยาะวิ่งตามรถไปเล็กน้อย ก่อนหันไปเห็นชลบุษย์ที่แอบมองอยู่
ชลบุษย์ไม่อยากเสวนากับเยาะจะเดินหนี แต่เยาะวิ่งไปขวางหน้า ชลบุษย์ถอนใจอย่างเซ็งๆ
“เมื่อกี้คุณปอนไปกับมัทนาแค่สองคนรึเปล่าคะคุณบุษย์”
“ไม่มีตารึไง”
“มีค่ะ แต่เห็นไม่ชัด”
“ฝากไปบอกเจ้านายแกด้วย เตรียมตัวตกกระป๋องไว้ได้เลย”
เยาะกวนหน้าตาย
“ตกไปอยู่กับคุณบุษย์ใช่มั้ยคะ”
ชลบุษย์โกรธจนปากสั่น แต่ไม่อยากลดตัวไปทะเลาะด้วย ถอนใจพรืดใส่แล้วเดินกลับไปทางสนามหลังบ้าน เยาะยิ้มสมน้ำหน้าก่อนรีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปรายงานลลิสา

ภายในร้านขายของ มัทนาเลือกซื้อของฝากทั้งน้ำพริกต่างๆ ปลาหมึก ขนมเปี๊ยะ และขนมของฝากขึ้นชื่อเต็มตระกร้า เขตต์ตวันยืนแจกลายเซ็นให้แม่ค้าอยู่ใกล้ๆ มีคนยกโทรศัพท์มือถือแอบถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ แต่เขตต์ตวันก็เฉยๆ ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไร
“คุณตวันไม่เล่นหนังอีกเหรอคะ”
“ไม่แล้วล่ะครับ”
“เล่นละครก็ได้ค่ะ ป้าอยากดูจะได้หายคิดถึง”
เขตต์ตวันยิ้มแย้ม
“งั้นผมจะแวะมาซื้อขนมบ่อยๆ แทนแล้วกันนะครับ”
“ได้เลยค่ะ”
มัทนาหันมามองเขต์ตวันที่คุยเป็นกันเองกับแม่ค้า ก็ยิ้มชอบใจ เขาคืนสมุดที่เซ็นชื่อให้แล้วเดินไปหามัทนา เขตต์ตวันกระเซ้า
“จะเหมาหมดร้านเลยรึเปล่า”
“กะอยู่เหมือนกันแหละค่ะ มีแต่ของน่าซื้อทั้งนั้นเลย จะถังแตกก็วันนี้แหละ กินฟรีมาซะนาน”
เขตต์ตวันยิ้มๆ มัทนาเลือกซื้อของฝากต่อไป
“นอกจากขนมของกินแล้วอยากได้อะไรอีกมั้ย”
มัทนามีสีหน้านึกๆ

ผ้าบาติกสีสันสวยงามหลากหลายแบบจัดโชว์ที่ร้านขายสไตล์บ้านอยู่อาศัย สายลมโชยทำให้ผ้าล้อลมปลิวเบาๆ มัทนายืนมองดูอยู่ สีหน้าแววตาปลาบปลื้ม เธอเดินเข้าไปเลือกดูผืนโน้นผืนนี้อย่างถูกใจ เขาเดินยิ้มๆ ตามหลังเข้ามา เธอจับผืนโน้น ดูผืนนี้
“สวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะคุณปอน”
“ฉันรับรองว่าผ้าบาติกแท้ ที่บริษัทสั่งเข้ากรุงเทพบ่อยๆ ลูกค้าต่างชาติชอบซื้อ”
มัทนาไปดูอีกผืน
“เลือกไม่ถูกเลย”
เขตต์ตวันเดินเข้าไปที่ผ้าบาติกที่โชว์อีกมุมที่มัทนายังไม่เห็น
“ฉันรู้จักกับเจ้าของร้านมานานมากแล้วนะ เคยไปฝึกเขียนลายผ้ากับแกด้วย”
มัทนาหันไปมองเขตต์ตวันเล่าอย่างสนใจ
“เอาไปใช้กับงานออกแบบระบำนกยูงด้วยใช่มั้ยคะ”
เขตต์ตวันพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบผ้าบาติกผืนหนึ่งมากางโชว์ ผ้าออกสีส้มอมแดงเรืองรองของพระอาทิตย์ยามอัสดง เงาสองหนุ่มสาวทอดยาวบนหาดทราย น้ำทะเลเข้มครึ้มทิ้งประกายแดดสุดท้ายเต้นระยิบระยับพร่างพราย
มัทนาดูอึ้งๆ ไป
“สวยจังเลยค่ะ”
“เหมาะกับเธอมากนะ ชอบมั้ย”
“มากค่ะ สงสัยจะแพงน่าดู”
มัทนาหน้าแหยลงเล็กน้อย
“เธอมากับใครล่ะ ได้ราคาพิเศษมากๆ อยู่แล้ว ลูกค้าประจำ” เขตต์ตวันยักคิ้วให้
มัทนาตาลุกวาว ยิ้มดีใจ
“ขอบคุณค่ะ งั้นมัทขอเลือกฝากสาวๆ ที่กรุงเทพซัก... 6-7 ผืนนะคะ”
มัทนารีบไปเลือกผ้าอย่างชอบใจ เขตต์ตวันมองตามยิ้มๆ ส่ายหน้าอย่างเอ็นดู

ผ่านเวลาเล็กน้อย เขตต์ตวันพามัทนามาทานกาแฟเย็นและเบเกอร์รี่ที่ร้านอาหารบรรยากาศริมเขาที่งดงามด้วยวิวธรรมชาติ แก้วใสมีดีไซน์ใส่กาแฟเย็น 2 แก้ววางคู่กันห่างกันเล็กน้อยที่โต๊ะนั่งเชิงเขามุมสวย เขตต์ตวันยื่นมือหยิบแก้วกาแฟเย็นไปดื่ม มัทนามองบรรยากาศอย่างชื่นชม สีหน้ายิ้มฝันๆ พูดลอยๆ ขึ้นมา
“ฉันคิดว่าฉันกำลังฝันไปนะคะ”
เขตต์ตวันวางแก้วกาแฟลงก่อนเหลือบตามองมัทนา
“ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้มานั่งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติสวยๆ ยังงี้”
มัทนามองวิวด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม เขตต์ตวันหันมองตรงไปที่วิวทิวทัศน์ข้างหน้า พร้อมๆ กับมัทนาแอบหันมามองหน้าเขาเงียบๆ มัทนาแอบพูดต่อในใจ
“กับคุณ”
เขตต์ตวันพูดพร้อมมองตรงไปข้างหน้า
“ธรรมชาติไม่ได้หนีหายไปไหนหรอก เธอเอาแต่ทำงานจนลืมมองมันเอง”
“ก็จริงค่ะ”
เขตต์ตวันหยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง ชำเลืองมองเห็นมัทนาห่อไหล่เล็กน้อยเหมือนรู้สึกหนาว
“หนาวเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ”
“กลับกันเลยมั้ย จะค่ำอยู่แล้ว”
มัทนาหน้าแหยไป
“อยู่อีกเดี๋ยวได้มั้ยคะ กลับกรุงเทพแล้วคงไม่มีโอกาส”
“โอเคครับ งั้นขอตัวซักครู่”
เขตต์ตวันลุกเดินออกไป มัทนาหันมองตามเขาไปเล็กน้อย หน้าซึมๆ ก่อนจะหันกลับไปมองวิวตรงหน้า บอกกับธรรมชาติเพื่อเตือนตัวเอง เบาๆ

“งานจบแล้วมัท ทุกอย่างจบแล้ว เตรียมตัวกลับไปเริ่มงานฝ่ายใหม่ได้”

อ่านต่อเวลา 17.00น.

มายาตวัน ตอนที่ 7 (ต่อ)

มัทนาถอนหายใจออกมา มัทนาเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟมาจิบ ทอดสายตามองดูวิวทิวทัศน์ไป ไม่คาดคิดผ้าบาติกผืนสวยที่ซื้อมาถูกคลุมไหล่ตนอย่างเบาๆ มัทนาอึ้งเล็กน้อย เหลือบตามอง
                “ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ก็คงกันลมได้บ้าง”
                มัทนายิ้มเขินก่อนกระชับผ้าบาติกห่มตัวเอาไว้ อบอุ่นอย่างประหลาดขึ้นมาทีเดียว
                “ขอบคุณค่ะ”
                “ขอโทษที่ถือวิสาสะไปหยิบมาให้”
                “ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจด้วยซ้ำ...คุณปอนมีธุระต้องรีบกลับรึเปล่าคะ  ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงคุณเอาไว้”
                “ไม่มีอะไรสำคัญหรอก วันนี้ฉันไม่อยากรีบ บรรยากาศดีๆ แบบนี้ อยากให้เวลาผ่านไปช้าๆ ด้วยซ้ำ” เขตต์ตวันพูดพลางนั่งลงชำเลืองมองหน้ามัทนา เธอเองก็ชำเลืองมองมาพอดีเหมือนกัน ทั้งคู่สบตากัน
                เขตต์ตวันยิ้มๆแล้วยกแก้วกาแฟนำขึ้นมารอชน มัทนายิ้มตอบแล้วรีบยกแก้วกาแฟขึ้นมาชนกับแก้วกาแฟของตวัน
                “ขอบคุณมากสำหรับเวลาหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้น ประสบการณ์ ชีวิตกับผลงานจากความตั้งใจของฉัน เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ อย่างน้อยก็เธอคนนึงล่ะ”
                มัทนายิ้มปลาบปลื้ม น้ำตารื้นๆ อย่างปลื้มใจ  วางแก้วกาแฟลง เขตต์ตวันมีสีหน้าซึ้งใจ มองมัทนา สายตาเป็นประกาย
                “ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตฉันน่าอยู่ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก”
                มัทนาน้ำตาเอ่อมากขึ้น
                “ขอบคุณคุณปอนมากเช่นกันค่ะ ที่...” 
                มัทนาพูดไม่ออกคอตีตันขึ้นมากระทันหัน ก่อนจะเสียงสั่น น้ำตาซึม
                “ที่ อดทนกับเด็กดื้อเอาแต่ ใจคนนี้ จนงานเสร็จ งานสัมภาษณ์คราวนี้คือผลงานที่จะเปลี่ยนชีวิต
การทำงานของมัทให้ดีขึ้น ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ” 
                มัทนาร้องไห้โฮออกมา แบบเด็กๆ ตัวสั่นสะท้าน เขตต์ตวันยิ้มด้วยความเอ็นดูและสงสารจนต้องวางแก้วแล้วลุกไปย่อตัวนั่งข้างๆ เก้าอี้มัทนาแล้วสวมกอดเด็กสาวเอาไว้อย่างถนุถนอม ปลอบโยนให้กำลังใจ
                “ไม่ร้องไห้สิสาวน้อย เธอทำดีแล้ว จำไว้นะเธอเป็นนักข่าวที่ดีและเก่ง อย่าทำให้ฉันผิดหวังเชียวนะ”
                มัทนายิ่งร้องไห้และสวมกอดเขตต์ตวันแน่นกระชับราวกับไม่อยากจะจากไปไหน ทั้งสองคนกอดปลอบโยนกันท่ามกลางธรรมชาติของหุบเขายามเย็นที่สวยงาม
 
                เวลาหัวค่ำ เขตต์ตวันขับรถเปิดประทุนพามัทนานั่งรับลมชมเกาะภูเก็ตยามค่ำคืน ทั้งคู่คุยกันไปเรื่อยๆ มียิ้มๆ ขำๆ ดูถูกคอกันมากมาย
 
                เขตต์ตวันมาส่งมัทนาถึงหน้าลิฟท์ กดเรียกลิฟท์ให้ มัทนามีสีหน้าเกรงใจ
                “ที่จริงพรุ่งนี้คุณไม่ต้องมารับมัทก็ได้ค่ะ ฉันเกรงใจ ไม่อยากรบกวน”
                เขตต์ตวันจ้องหน้ามัทนา  
                “ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก อะไรที่ฉันพูดออกไปแล้ว หมายความว่าฉันเต็มใจที่จะทำ ไม่ใช่พูดไปตามมารยาท แต่ถ้าเรื่องไหนฉันไม่อยากทำ ก็ไม่มีใครมาบังคับให้ฉันทำได้หรอก เข้าใจมั้ย”
                มัทนาพยักหน้ารับ ยิ้มปลื้มใจ
                “ขอบคุณค่ะ”
                ลิฟท์เปิดออก
                “ฝันดีนะมัทนา รีบอาบน้ำนอนซะ แล้วพรุ่งนี้ผมมารับ”
                มัทนายิ้มบางๆ ปนเขิน
                “ค่ะ”
                เขตต์ตวันพยักหน้ารับพร้อมยิ้มตอบ มัทนาเดินเข้าลิฟท์ไป เขายืนส่งอยู่หน้าลิฟท์ ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งๆ จนลิฟท์ปิดสนิท
                “เดี๋ยว”
                ลิฟท์ค่อยๆเปิดออกอีกครั้ง เขตต์ตวันที่ยืนอยู่หน้าลิฟท์รีบก้าวเข้ามากอดมัทนาเอาไว้ด้วยความรู้สึกคิดถึง ผูกพัน แล้วค่อยๆ บรรจงก้มลงหอมหน้าผากมัทนาอย่างถนุถนอม เสียงลิฟท์เตือนดังแทรกเข้ามา
                มัทนาสะดุ้งหลุดจากความคิดฟุ้งฝันเมื่อลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 8มัทนาบ่นพึมพำ
                “ไม่เห็นซึ้งเหมือนในหนังเลย” 
                มัทนาย่นจมูก สีหน้างอนๆ ก่อนเดินออกไปจากลิฟท์
 
                ในเวลาต่อมา เขตต์ตวันขับรถไป สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนกำลังตกอยู่ในความรัก เขาอารมณ์ดี เปิดเพลงในรถฟังไป
                มัทนาเดินยิ้มไม่หุบเหมือนคนกำลังมีความรัก เธอเข้าห้องพักมา ถอดเป้วางไว้ข้างตัวแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เตียง ยิ้มแย้มอย่างสุขใจ หยิบโทรศัพท์มือถือมาพิมพ์ข้อความผ่าน what’s app
                 “ขับรถดีๆ นะคะ” ก่อนจะตามไปด้วยรูปคนหน้ายิ้ม ตาเป็นรูปหัวใจดวงโต สำทับไปอีก
                เขตต์ตวันสีหน้าอารมณ์ดี ขับรถ แล้วเหลือบตาดูข้อความ เขายิ้มๆ ออกมา ก่อนขับรถกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกกระชุ่มกระชวยในใจอย่างบอกไม่ถูก
                มัทนาเลื่อนตัวลงนอน อมยิ้มไม่หุบ รู้สึกมีความสุขไม่แพ้กัน อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
 
                โรงแรมอโณทัยยามเช้า ภายในห้องพักมัทนา เธอตื่นนอนขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี ลุกลงจากเตียงไปที่กระเป๋าเสื้อผ้า  ตั้งท่าจะจัดกระเป๋า มัทนาขยับไปดูนาฬิกา บ่นพึมพำ
                “ยังเช้าอยู่เลย”
                มัทนาเดินไปเปิดม่านห้องพัก มองออกไป สีหน้าใช้ความคิด ยิ้มนึกสนุกออกมา
 
                มัทนาใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นกระโดดเข้าหาคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามา โครม! เธอเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายไปอย่างสนุกสนานอยู่คนเดียว มีสายตาแอบจับตามองมาที่มัทนาอย่างไม่วางตา มัทนาเล่นน้ำไปมาก่อนจะรู้ตัวเหมือนมีคนมองอยู่ มัทนาลุกขึ้นยืน มองกลับมาที่ชายหาด แต่ไม่เห็นใครที่รู้จัก
                มัทนาไม่ติดใจสงสัยอะไร โต้คลื่นน้ำทะเลเล่นทิ้งทวนของเธอต่อไป ก่อนกลับกรุงเทพ
 
                บริเวณล็อบบี้โรงแรม นักท่องเที่ยวหญิงชาวไทยแอบกระซิบกระซาบแล้วมองไปทางเขตต์ตวันที่ยืนสวมแว่นดำอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ
                “คุณมัทนาไปเล่นน้ำทะเลได้พักใหญ่แล้วนะคะ” พนักงานต้อนรับบอก
                “เหรอครับ”
                เขตต์ตวันก้มดูนาฬิกาข้อมือ ผู้หญิงคนหนึ่งจะแอบใช้มือถือถ่ายรูปเขตต์ตวันเอาไว้ ผู้หญิงอีกคนเตือนเพื่อน
                “ไปถ่ายเค้าทำไม ไม่ขอเค้าก่อน เดี๋ยวเค้าก็ด่าเอาหรอก”
                มัทนาเดินเข้ามาเห็นพอดี

                “คุณปอน”

มัทนารีบเดินไปหาเขตต์ตวัน หน้าแหยๆ เกรงใจ

                “คุณปอนมารอนานรึยังคะ”
                “เพิ่งมาถึงนี่ล่ะ”
                มัทนาหน้าแหยๆบอก
                “มัทไปเล่นน้ำทิ้งทวนมาน่ะค่ะ”
                “ไม่ต้องบอกก็รู้ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำขนาดนี้”
                มัทนายิ้มๆ กวาดตามองไปรอบๆ
                “คุณเอกล่ะคะ รออยู่ที่รถเหรอ”
                “วนไปซื้อของเดี๋ยวคงมา เธอขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
                มัทนาเป็นห่วง
                “คุณปอนจะรอที่ไหนล่ะคะ วันนี้นักท่องเที่ยวคนไทยเยอะซะด้วย คุณอึดอัดตายเลย”
                เขตต์ตวันได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ มัทนารู้สึกแย่ ที่ตนเหลวไหลไปเล่นน้ำ
                “เป็นความผิดของมัทเอง เอางี้ คุณปอนขึ้นไปรอในห้องมัทก็แล้วกัน” มัทนาตัดสินใจ
                “จะดีเหรอ”
                “ดีแน่นอนค่ะ ถึงจะรกหน่อยแต่ก็ดีกว่ายืนอยู่เป็นเป้าสายตาตรงนี้แน่ๆ”
                เขตต์ตวันกวาดตามองไปก็เห็นหลายสายตาที่กระจายอยู่ทั่วล็อบบี้ เหล่ๆ มองมาทางตนตลอด พวกเขารีบหลบสายตาเมื่อเขากวาดตามองไป
                “เอางี้ เธอขึ้นไปก่อน เดี๋ยวฉันค่อยตามขึ้นไป จะได้ไม่น่าเกลียด”
                “ก็ได้ค่ะ”
                พนักงานต้อนรับพูดแทรกขึ้นมา
                “คุณมัทนาคะ”
                “คะ”
                “รูปที่สั่งอัดเอาไว้ได้แล้วนะคะ ดิฉันให้คนเอาไปวางไว้บนห้องให้แล้วค่ะ”
                “ขอบคุณมากค่ะ...” มัทนายิ้มให้พนักงานก่อนบอกกับเขตต์ตวัน
                “เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
                มัทนาเดินเร็วก้มหน้าก้มตาไปทางลิฟท์
                เขตต์ตวันทำเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ กางขึ้นมาปิดหน้าอ่านไป
 
                ภายในห้องพัก มัทนาวิ่งเก็บของที่กระจายอยู่ทั่วห้องมาใส่กระเป๋าเดินทาง เธอวิ่งไปเก็บขยะทิ้งถังผงให้หมด มัทนาบ่นพึมพำ
                “หมดกัน ห้องนอนหญิงสาว รกยิ่งกว่ารังหนู”
                มัทนากวาดตามองไปรอบๆ ห้องเพื่อดูความเรียบร้อย เห็นซองรูปสีน้ำตาลบนโต๊ะเครื่องแป้ง 
มัทนาจะเดินไปดู แต่มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้นก่อน เธอสะดุ้งเฮือก
                “ฉันเอง” เสียงเขตต์ตวันดังเข้ามา
                มัทนาตะโกนตอบออกไป
                “ค่ะ รอเดี๋ยวค่ะ”
                พลันสายตามัทนาเหลือบไปแว๊บๆ เห็นเสื้อชั้นในตากผึ่งแอร์อยู่ เธอตกใจมาก
                “ว๊าย ปลาหมึก”
                มัทนารีบวิ่งไปคว้ามาขยำซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้ววิ่งไปพับฝากระเป๋าเดินทางปิดงับลงมา
                “ได้แค่นี้แหละ” มัทนายกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้าแรงๆ ราวกับจะขูดความหน้าบางทิ้งไป แล้วไปฝืนยิ้มเปิดประตูห้อง ฉีกยิ้มรับเขตต์ตวัน             
                “เชิญค่ะ”
                เขตต์ตวันช่วยปิดประตูห้องก่อนจะเดินเข้าห้องมา มัทนาฝืนยิ้ม
                “ห้องรกหน่อยนะคะ”
                “ไม่เป็นไรครับ”
                มัทนาดูอายรีบเดินอย่างเขินๆ ไปปัดเก้าอี้นั่งเล่นมุมห้อง เธอปัดเก้าอี้ไปมา แหยปนอาย
                “ตัวนี้ พอนั่งได้อยู่ค่ะ ฉันขอเวลาอาบน้ำแป๊บเดียว”
                “ตามสบายเถอะ แต่รักษาเวลาด้วย เดี๋ยวจะตกเครื่อง”
                “มัทวิ่งผ่านน้ำแป๊บเดียวค่ะ แช่น้ำเกลือมาแล้ว ฆ่าเชื้อโรคหมดเกลี้ยง”  (ขำเขินๆ)
                เขตต์ตวันยิ้มๆ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ตามที่สาวน้อยแนะนำ
                มัทนารีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดที่เตรียมไว้ออกมา แล้วรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ นึกได้ หันกลับมาบอก
                “รูปถ่ายอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดดูได้เลยนะคะ”
                เขตต์ตวันพยักหน้ารับ มัทนาฉีกยิ้มกลบเขินแล้วรีบเข้าห้องน้ำปิดประตูห้องไป
 
                มัทนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองหน้าตัวเองที่หน้ากระจกในห้องน้ำ สีหน้าเสียใจปนอาย
                “หมดกันมัทนา สาวน้อยจอมซกม๊ก”
                มัทนาทำท่าเบะจะร้องไห้ เดินไปปิดฝาชักโครกนั่งตั้งสติก่อนยกมือขึ้นปิดหน้า
                “รู้งี้ทำตามที่แม่สอน ฝึกให้เป็นนิสัยซะก็ดี...อายจังเลย”
                เขตต์ตวันจะเดินไปหยิบซองใส่รูปถ่ายมาเปิดดู อดไม่ได้ที่จะกวาดตามองไปรอบห้อง เขาเห็นเศษกระดาษกระจายอยู่เหนือหัวเตียง กระเป๋าเสื้อผ้าที่ปิดไว้ลวกๆ เสื้อผ้าข้าวของปลิ้นกระจายพ้นออกมานอกกระเป๋า เขตต์ตวันที่ยิ้มเอ็นดู
                “ห้องรกหน่อยนะคะ ไม่คิดว่าจะมีแขกเข้ามา”
                “ฉันว่าใครได้เธอเป็นแฟน ต้องอดทนและเงินหนาพอจะจ้างแม่บ้านนะ”
                มัทนากรี๊ดแบบไม่ออกเสียง กำมือ กระทืบเท้าไปมาอยู่ที่ชักโครก
                “กดชักโครกฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่าเรา” 

                มัทนาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ยกมือขึ้นปิดหน้าสนิท

เขตต์ตวันเดินมาพับผ้าบาติกผืนที่ซื้อมาเมื่อวานที่กองขยุกอยู่ปลายเตียงให้เรียบร้อยพร้อมพูดพึมพำ เขาพูดพึมพำ พับผ้าบาติกไปอย่างเอ็นดู

“เหมือนเด็กๆ เล่นสนุกไม่รู้จักเวลา”
หลังพับผ้าบาติกวางไว้แล้วก็หันเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง... เห็นซองใส่รูปวางอยู่ที่โต๊ะ ท่ามกลางขวดโลชั่น กระปุกแป้ง หวี เศษสตางค์ แก้วน้ำ เกลื่อนโต๊ะ เขตต์ตวันช่วยจัดให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งลงหยิบซองดังกล่าวขึ้นมาดู ข้อความจ่าหน้าซองเอาไว้ว่า “ข้อมูลประกอบข่าวที่คุณต้องการ” ไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์หรือสิ่งอื่นใดที่บ่งบอกถึงที่มา เขตต์ตวันมีสีหน้าสงสัย กวาดตามองหาไม่มีซองอื่นแล้ว
“รูปถ่ายอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดดูได้เลยนะคะ”
เขตต์ตวันค่อยๆ เปิดซองดังกล่าวออกดู

มัทนารีบแต่งชุดสำหรับเดินทางกลับเรียบร้อย เร่งเป่าผมแบบแรงสุดจนเกือบแห้งสนิท เธอตะโกนบอกออกไป
“เสร็จแล้วค่ะ”
มัทนาหันซ้ายหันขวาเก็บรวบรวมของใช้ส่วนตัวที่ต้องเอากลับกรุงเทพออกไปจนหมด

มัทนารีบร้อนออกมาจากห้องน้ำ เอาของทั้งหมดไปกองบนเตียงยังไม่ทันหันมองทางตวัน
“ขอเก็บของอีก 5 นาทีนะคะ”
มัทนาง่วนเก็บของไป เอะใจที่เขตต์ตวันเงียบผิดสังเกต มัทนาหันไปมอง ก็ตกใจวูบ ตัวเย็นวาบด้วยความกลัวอย่างบอกไม่ถูก เขตต์ตวันหน้าเครียดโกรธจัด ดวงตาลุกวาวเหมือนสัตว์ป่าถูกล่าจนจนตรอก จ้องเขม็งมาทางมัทนา มือเขตต์ตวันเกร็งกำภาพถ่ายหลายสิบใบไว้ในมือ พูดเสียงกระโชกใส่ อย่างมีอำนาจ น่ากลัว
“นี่น่ะเหรอะคำสัญญาของเธอ”
มัทนาหน้าตาเหรอหราด้วยความงง
“อะไรกันคะ”
เขตต์ตวันเดินเข้าหาด้วยความโกรธ
“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอะ”
มัทนาผงะถอยหนีไปเล็กน้อย เขตต์ตวันจ้องหน้า ด้วยสายตาผิดหวัง ขู่ตะคอกราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ฉันนึกว่าเธอจะดีกว่านักข่าวคนอื่น จริงๆ แล้วเลวทรามยิ่งกว่า”
มัทนางงชนิดมืดแปดด้านไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่คาดคิด มือแข็งๆ อีกข้างของเขาปาดเข้าบีบคอเธอ เพียงเกร็งมือบีบเบาๆ เธอก็กรอกตาไปมาด้วยความหวาดกลัว มัทนาพยายามจะแกะมือเขตต์ตวันออก แต่ไม่สำเร็จ
“ปล่อยฉันก่อนได้มั้ย คุณพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
เขตต์ตวันสีหน้าแววตาโกรธขึ้ง
“ฉันมันโง่เองที่หลงไปเชื่อหน้าสวยๆ ใครมันจะไปรู้ว่าข้างในมันเน่าเฟะ มีแต่ความหลอกลวงเธอทำกับฉันยังงี้ ฉันฆ่าเธอได้นะ”
มัทนาน้ำตาคลอขึ้นมาด้วยความกดดัน
“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณฉันงงไปหมดแล้ว”
เขตต์ตวันพุ่งภาพถ่ายปึกนึงในอีกมือมาประชิดหน้ามัทนา
“ภาพถ่ายพวกนี้ไง”
เขตต์ตวันสีหน้าท่าทางโกรธจัดจนเผลอบีบคอมัทนาแรงขึ้น มัทนาหายใจไม่ออก
“คุณบ้าไปแล้ว ปล่อยฉันนะ ฉันหายใจไม่ออก”
เขตต์ตวันโกรธจนคุมสติไม่อยู่ จ้องหน้ามัทนาอย่างเจ็บแค้น
“สะใจมากใช่มั้ยที่ได้รู้ได้เห็นทุกอย่างสมใจอยาก กำลังหัวเราะเยาะฉันอยู่ในใจล่ะสิ ไอ้หน้าโง่ตัวนี้มันช่างหลอกง่ายซะเหลือเกิน”
มัทนาชักอึดอัด หายใจไม่ออก ไอสำลักออกมา เขตต์ตวันประชดประชัน
“ผลงานชิ้นโบว์แดง ขุดคุ้ยความอัปยศของไอ้เขตต์ตวันชนิดไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน สมใจเธอ
แล้วใช่มั้ย”
มัทนาจะทนไม่ไหวแล้ว น้ำตาไหลออกมา น้ำตาอุ่นๆ ของมัทนาหยดลงมือที่แข็งกร้าวของตะวัน
ที่บีบคอเธออยู่ น้ำตาหยดนั้น ทำให้เขตต์ตวันค่อยได้สติกลับมา รีบปล่อยมือ แววตาลดความแข็งกร้าว
ลงบ้าง มัทนาเข่าอ่อนแทบจะหมดแรง ต้องเดินไปนั่งพักที่เตียง ยกมือขึ้นจับกุมคอตัวเองเล็กน้อย มัทนาน้ำตาคลอๆ
“ฟังฉันซักนิดได้มั้ยคะ”
“ไม่จำเป็น ฉันไม่อยากโดนเธอหลอกซ้ำซาก”
มัทนาน้ำตาร่วงผลอย เสียใจและอัดอั้น
“ฉันไม่เคยแต่งเรื่องหลอกคุณ”
เขตต์ตวันตัดบททันที
“พอเถอะ ฉันฟังเธอจนซึ้งใจพอแล้ว”
มัทนารู้สึกเจ็บแปลบ ปาดน้ำตาที่จะไหลต่อเนื่อง เขาแดกดันอีก
“เอาเลยซิ ได้สิ่งที่เธอต้องการแล้วนี่คุณนักข่าว เชิญเขียนชีวิตฉันให้สารเลวตามใจชอบไปเลย”
เขตต์ตวันปารูปในมือกระจายใส่หน้ามัทนา

“จำเอาไว้ เรื่องนี้ฉันไม่ยอมยกโทษให้เธอแน่”

เขตต์ตวันเดินฉับๆ ออกไปจากห้อง ปิดประตูห้องโครม มัทนาสะดุ้งเฮือก น้ำตาท่วมตา งงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น เธอค่อยๆ รวมความกล้าเหลือบตามองรูปถ่ายที่กระจายอยู่รอบๆ ตัว ทั้งบนเตียงและที่พื้น

แต่ละรูปเป็นภาพอนาจาร ไม่มีความเป็นศิลปะแม้แต่น้อย เลวร้ายโจ่งแจ้ง เป็นภาพชายหญิงโป๊เปลือยในกริยาน่าเกลียด ผู้หญิงสวยมีซ้ำหน้ากันบ้างแต่ผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลย มัทนาแสดงอาการตกใจปนขยะแขยง ลุกพรวดออกจากเตียง ถอยกรูดไปชิดมุมห้อง งงไปหมดว่า รูปพวกนี้มาอยู่ในห้องตนได้ยังไง
มัทนาขณะมีสีหน้าตกใจปนงง ก็เห็นกระดาษปริ้นท์ข้อความแผ่นหนึ่งตกอยู่กับพื้น
มัทนาสีหน้าสงสัย เดินเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
“การดำเนินชีวิตของเขตต์ตวันเกี่ยวพันกับการค้าประเวณีมาโดยตลอด นับตั้งแต่แม่ น้องสาว
เมียลับการก่อตั้งบริษัทตวัน ทำขึ้นมาเพื่อเป็นฉากบังหน้า”
มัทนาลดกระดาษแผ่นนั้นลง ข้อความที่ตนอ่านมาเมื่อครู่ดังก้องขึ้นในหัวอีกครั้ง
“แท้ที่จริงแล้ว นางแบบทุกคนของตวัน ก็ไม่ต่างอะไรจากโสเภณีชั้นสูง ภาพเหล่านี้คงเป็นพยานได้เป็นอย่างดี”

มัทนาค่อยๆ รวมความกล้า เดินไปดูรูปแต่ละใบอีกครั้ง...มัทนาเดินไปย่อตัวลงนั่งกับพื้น เก็บรูปหนึ่งขึ้นมาแข็งใจดู ทนไม่ไหว พลิกหลังรูปไปซะ แต่คาดไม่ถึงกลับเจอข้อความบางอย่างเขียนไว้หลังรูป...เป็นชื่อของผู้หญิงในภาพ
“อัจจิมา”
มัทนาฉุกใจคิด คว้ารูปใกล้มือมาพลิกหลังรูปดูอีก
“เดือนเด่น”
มัทนาหยิบรูปอีกหลายในพลิกดู
“แพรวนภา ...”
มัทนาพึมพำ หน้าเครียด
“นางแบบของตะวันจริงๆ ด้วย”
มัทนามองไปที่รูปตรงหน้า เห็นยังเป็นเด็กสาว อายุยังไม่ถึง 20 ดี ดูเด็กกว่าทุกคน มัทนาหยิบรูปนั้นมาพลิกดูด้านหลังก็ตกใจแทบช็อก
“จันทิรา”
มัทนามืออ่อน ปล่อยรูปหลุดมือไป พร้อมยกมือขึ้นกุมหน้าปิดจมูกและปากด้วยความตกใจ

โทรศัพท์บนโต๊ะที่ห้องทำงานไชยวัฒน์ดังต่อเนื่อง แต่ไม่มีคนรับสาย ไชยวัฒน์ไม่อยู่ในห้อง..เสียงเรียกเงียบไป เสียงโทรศัพท์มือถือไชยวัฒน์ดังต่อเนื่องขึ้นมา โทรศัพท์มือถือของไชยวัฒน์ถูกทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงานเช่นกัน เจ้าตัวไม่อยู่ในห้อง

มัทนาวางโทรศัพท์มือถือลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมนั่งลงสีหน้าเครียดๆ บ่นพึมพำ
“บอกอไม่มีวันลงรูปภาพแบบนั้นในหนังสือเค้าเด็ดขาด... ใครส่งมากันแน่”
มัทนาสีหน้าเคร่งเครียด หนักใจ

บริเวณลานจอดรถ เอกชัยนั่งฟังเพลงรออยู่ในรถ เขตต์ตวันเดินหน้าบึ้งตึงตรงมาที่รถ เอกชัยรีบลงจากรถไปรับเพื่อน สีหน้ายิ้มแย้ม
“มัทล่ะ”
ขาดคำ เขตต์ตวันก็ผลักอกเอกชัยเต็มแรงด้วยความโกรธพลุ่งพล่าน จนเพื่อนหงายไปกระแทกกับรถ เอกชัยโวยวายใส่
“ผลักฉันทำไมวะ”
เขตต์ตวันชี้หน้าเพื่อน
“เพราะแกคนเดียวไอ้เอก แกชักศึกเข้าบ้าน”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็แม่นักข่าวคนดีของแกนั่นไง พวกเราถูกมันหลอก โดนต้มจนเละเทะ”
เอกชัยงง
“อะไรของแก ฉันงงไปหมดแล้ว”
“เด็กนั่นมีรูปอุบาทว์ของนางแบบเราเต็มไปหมด”
“แล้วไปเอามาจากไหน”
“ฉันไม่รู้ แต่ที่ฉันเห็นกับตาคือบทความของมัน มันเขียนแฉฉันอย่างเลวทราม เอาความจริงกับเรื่องแต่งขึ้นผสมกันมั่วไปหมด จุดประสงค์คือการประจาน ฆ่าฉันอย่างเลือดเย็นที่สุด”
“ไม่มีทาง มัทไม่มีทางทำกับพวกเราแบบนี้”
เขตต์ตวันจ้องหน้าเอกชัยสีหน้าไม่พอใจมาก โกรธจนขบกรามขึ้นสัน
“ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันซักอย่าง”
ไม่สิ้นคำเอกชัย เขตต์ตวันก็สวนหมัดเข้าหน้าเอกชัยจั๋งๆ จนล้มหงายไปกับพื้น
“เลิกปกป้องเด็กนั่นซะที หายโง่ได้แล้วไอ้เอก”
เขตต์ตวันจะเดินไปขึ้นรถ เอกชัยเจ็บใจปนหมั่นไส้ตามไปกระชากไหล่ พอเขตต์ตวันหันมาก็ชกหน้าสวนเข้าให้บ้าง จนผงะไปตามแรงกระแทกกับรถ
“แกนั่นล่ะ เลิกคลุ้มคลั่งซะที แกกำลังตกเป็นเหยื่อมัน รู้ตัวมั้ยไอ้ปอน”
เขตต์ตวันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนผลักอกเอกชัยดันออกไป เขตต์ตวันขึ้นรถขับออกตัวแรงออกไปทันที เอกชัยมองตามเพื่อนไปด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้ปอน จะไปไหน โอ๊ย...”

เอกชัยยกมือขึ้นประคบหน้าด้วยความเจ็บมาก ก่อนจะฉุกใจคิดถึงมัทนาด้วยความเป็นห่วง และวิ่งกลับเข้าไปทางโรงแรม

จบตอนที่ 7

อ่านต่อตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น