ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 20
มหาดเล็กยืนจับม้าก้มหน้านิ่งเหมือนมีความผิดอยู่หน้าเรือน มังตรากับโชอั้วเดินคลอเคลียกันลงเรือนมาอย่างมีความสุข โชอั้วถือตราอาญาสิทธิ์เล่นอย่างภูมิใจ
“นับแต่นี้เพลาไปที่ไหนผู้คนจะได้ยำเกรงข้าพเจ้าบ้าง”
“ที่นี้ก็เลิกคิดกลับแปรได้แล้วนะ”
“พระองค์ก็อย่าหายไปนาน หมั่นมาหาข้าพเจ้าบ้าง” มังตราหอมแก้ม
“อยากมาทุกวันใจจะขาด แต่…”
มังตราสะดุด เมื่อเห็นนันทวดียืนอยู่กับจะเด็ดและเหล่านางข้าหลวง
“เป็นเช่นนี้เองถึงหมั่นออกมาเยี่ยมจะเด็ดนัก นี่หรือกลัวจะเด็ดจะอยู่ไม่สบาย เป็นใจกันดีเหลือเกิน”
นันทวดีตรงเข้าทุ่มข้าวของที่อยู่ใกล้ๆ ระเนระนาดระบายอารมณ์ มังตรารีบเข้าห้าม
“อย่า นันทวดี อย่า พี่ท่านช่วยด้วยซิ”
โชอั้วยืนมองแอบชอบใจ นันทวดีหยุดโกรธหันมาจ้องจะเด็ด โชอั้วยิ้มเยาะสะบัดออกไป จะเด็ดหันไปมองหน้านันทวดี นันทวดีจ้องจะเอาเรื่อง จะเด็ดหน้าเสีย
“ท่านทำข้าพเจ้าได้ลงนะจะเด็ด ท่านชักนำสตรีอื่นมาสู่พระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไร ท่านเอาข้าพเจ้าไปวางไว้ที่ไหน”
จะเด็ดรู้สึกผิด ลงคุกเข่ากับพื้น
“ราชบัลลังก์พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ จะยังคงมีพระมเหสีพระนามนันทวดีประทับอยู่เหนือสตรีอื่นในแผ่นดินนี้เสมอ เหตุแห่งโชอั้วก็เป็นเพียงนางเมืองออก ที่นำมาเป็นสนมบริจาริกาตามประเพณีโบราณฉะนั้นพระมเหสีจะถือข้อพระเจ้าอยู่หัวชุบเลี้ยงสตรีอื่น เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเป็นความผิด จะชอบแล้วหรือ”
“การเป็นพระมเหสีต้องอดทนทรมานปานนี้นี่เอง ท่านถึงอยากให้เราเป็นนัก” นันทวดีบอกอย่างน้อยใจ
“ข้าพเจ้าไม่เคยลืมคำ ยังคงยึดมั่นที่จะค้ำจุนบัลลังก์ผู้ที่ข้าพเจ้ารักด้วยชีวิตเสมอ”
“เพลานี้เรารู้ขีดสุดของตำแหน่งพระมเหสีแล้ว ขอให้ท่านจงภูมิใจในตัวเรา”
นันทวดีเสด็จออกทันที นางข้าหลวงรีบตาม จะเด็ดยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม มังตราโล่งอก
“ผู้หญิง ไม่เข้าใจจริงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
“ต่อไปนี้แม้พระมเหสีจะไม่ถือการโชอั้วแล้ว แต่ขอพระองค์จงระวังอย่าให้ท้ายโชอั้วจนเหลิงเป็นอันขาด”
“ก็แค่ผู้หญิง ปรนเปรอรักให้อิ่มก็หมดพิษสง”
จะเด็ดลุกมองตามอย่างหนักใจ
ในกุฏิมหาเถร มหาเถรนั่งคุยกับจะเด็ดสองคน ท่าทางจริงจัง
“นี่ท่านคิดจะให้อาตมาไปเป็นประธาน อภิเษกท่านกับพระราชธิดากรุงแปรต่อพระพักตร์พระเจ้านรบดีเชียวหรือ ท่านเอาอะไรคิด ฮะ”
“การนี้หากได้พระคุณเจ้าผู้ครองพุทธจักรตองอูไปแทนพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ พระเจ้าแปรจะทรงปลาบปลื้มกว่าพระเจ้าตองอูเสด็จเองเสียอีก จะไหว้กราบก็ไม่ต้องคำนึงถึงวัยเพราะครองสมณะเพศประเสริฐอยู่แล้ว”
“แล้วผู้อื่นไม่คิดว่าเราเป็นใจจะไปงานอภิเษกแก่ท่านถึงแปรหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องกามตัณหาของท่าน อย่าเอาอาตมาเข้าไปยุ่งเลย”
“พระคุณเจ้า ข้าพเจ้ามิได้เอาการนี้เป็นข้องสำคัญกว่าบ้านเมืองเลยพระคุณเจ้าได้เลี้ยงดูพร่ำสอนข้าพเจ้ามาแต่ยังแบเบาะ ต้องรู้ใจข้าพเจ้าดี ข้อสำคัญกุศโลบายของการนี้ก็คือ หากทิ้งไว้เนินนานหงสาวดีเข้าประชิดแปรได้ เราคงเสียแคว้นแปรแก่มันแน่ ข้าพเจ้าต้องการผูกกรุงแปรให้ติดมั่นกับกรุงตองอูให้แน่นไว้ขอพระคุณเจ้าไปกรุงแปรกับข้าพเจ้าในครั้งนี้เถิด การจะได้สำเร็จ”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เอา พระก็จะขอทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองบ้าง หากพระเจ้าอยู่หัวทรงอนุญาตก็มารับอาตมาไปก็แล้วกัน แต่การเช่นนี้มิควรให้เหล่าสตรีที่คิดการแต่ในเรือนรู้เรื่อง จะทำให้เสียการเมืองใหญ่ได้”
“เรื่องนี้ข้าพเจ้าจะกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวเป็นการส่วนพระองค์เอง”
มหาเถรมองจะเด็ดอย่างชื่นชม
“ท่านแม่ทัพวางแผนซ่อนกลจนคนรุ่นอาตมาคิดตามไม่ทันเสียแล้ว”
มหาเถรมองจะเด็ดมีอะไรที่เราไม่เข้าใจจนเย็นวาบไปทั้งตัว
ท้องพระโรง จะเด็ดในชุดแม่ทัพเข้าเฝ้ามังตราอยู่กับทหาร 2-3 คน มังตรายื่นสาส์นให้
“นี่คือหนังสือยืนยันว่าเราอนุญาตให้ท่านเข้าการอภิเษกกับตะละแม่เมืองแปรได้ พระเจ้าแปรก็คงจะคลายโกรธยอมให้ท่านเข้าเมือง” จะเด็ดรับมา “หากผู้ใดแพร่งพรายให้พระพี่นางหรือพระ พันปีเรารู้เราจะเอาโทษมันถึงตาย”
“ข้าพเจ้าจะนำแผ่นดินหงสาวดีมาถวาย เฉลิมพระเกียรติให้พระองค์เป็นจักรพรรดิแห่งพุกามประเทศให้จงได้”
“ขอให้เดินทางสวัสดีมัชัย”
จะเด็ดและทหารติดตามถวายคารวะสูงสุด
จันทรานั่งทำงานอยู่กับเลาชีที่ระเบียงตำหนัก จะเด็ดเดินเข้ามาทรุดลงนั่งที่บันไดอย่างเหนื่อยอ่อน จันทราจึงรินน้ำมาส่งให้
“พี่ท่านมีการอันใดเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวหรือวันนี้”
“เออ ฝ่ายสอดแนมแจ้งมาว่า เพลานี้กรุงหงสาวดีกำลังจะหาทางเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแปรอยู่ ซึ่งหากแปรหันไปคืนดีกับหงสาวดีก็หมายว่าต้องรุกขึ้นมาตีตองอูของเราเป็นแน่ สงครามก็คงไม่สิ้นสุด”
“พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่าอย่างไร”
“ให้ข้าพเจ้ายกทัพไปรั้งแปรไว้”
จันทราใจหาย เลาชีสงสารจึงเอ่ยปากแทน
“นี่ลูกต้องไปรบทัพจับศึกอีกแล้วหรือ”
“การนี้เป็นการปรามมิให้เกิดศึกดอกแม่ท่าน เพลานี้บนแผ่นดินแปรไม่มีทหารตองอูเดินย่ำให้ผู้คนเห็นเลย พระเจ้าแปรอาจเกิดฮึกเหิมขึ้นมาได้ จะเป็นภัยแก่ตองอูในมื้อหน้า”
“แล้วทำไมต้องเป็นลูก ไม่ได้ทำศึกให้เลือดตกสักหยดให้ผู้อื่นไปแทนเถอะ ทหารแปรผู้อื่นไม่มีฝีมือแล้วหรือไร ลูกเพิ่งแต่งงานไม่ถึงเดือน”
“แม่ท่านเป็นผู้สอนให้ข้าพเจ้าสนองคุณแผ่นดินตองอู อย่าเห็นแก่ทุกข์ ไฉนเพลานี้มาบอกให้ข้าพเจ้าเรียกหาความสุขเข้าตัวเล่า” เลาชี เงียบ “กลศึก ผู้ใดชิงความได้เปรียบก่อนคือผู้ชนะ” จะเด็ดกุมมือจันทราไว้ “น้องท่านประสูติแต่ราชวงศ์เมงกะยินโย มีเลือดขัตติยะตองอูเข้มข้นจนล้นมาสู่ข้าพเจ้า ไฉนจะมาหวงข้าพเจ้าไว้ในอ้อมกอดท่านแต่เพียงผู้เดียวเล่า ให้ข้าพเจ้าไปแผ่พระบารมีพระเจ้าตองอูเถอะนะ”
จันทราพยายามกลั้นร้องไห้ จะเด็ดสงสารมากจึงเอามือลูบพระเกศาแล้วดึงเข้ามากอดอย่างเข้าใจ
พัศดีกำลังคุมนักโทษซ่อมถนนอยู่ บริเวณป้อมสิงห์มีพ่อค้าต่างๆ นำสินค้าใส่เกวียนและฬ่อมาค้าขายมากมาย จอลุกับสมทะจูงฬ่อต่างสินค้าเดินมาในกลุ่มเหล่านี้ด้วย แล้วทั้งคู่ก็หยุดมองพวกนักโทษที่พัศดีคุมมาซ่อมทาง จึงเดินเข้ามาหา
“ท่านทั้งสองมาจากแคว้นไหน” พัศดีถาม
“เรามาจากกรุงแปร ยังไม่เคยมาค้าขายที่กรุงตองอูเลย ขอแจ้งข้าพเจ้าเอาบุญเถิด จะนำผ้าแพรเนื้อดีจากอินเดียมาขายจะไปตลาดไหนดี”
“แพรเนื้อดีราคาแพงอย่างนี้ต้องตลาดข้างวังหลวง เพราะพวกนางในราชสำนักจะออกมาซื้อของที่นั่นประจำ”
“ขอบใจนะ”
นักโทษเอะอะขึ้น นักโทษคนหนึ่งวิ่งหนี พัศดีช่วยกันจับ การไล่ล่าจับนักโทษดูโกลาหล สุดท้ายนักโทษคนนั้นโดนจับได้ ถูกพัศดีซ้อมปางตาย
“อ้ายสันดานโจรพวกนี้ คราวหลังจะเอามันออกมาทำงานข้างนอกต้องล่ามตีนมันด้วย เอากลับไปขังคุกมืด ห้ามให้ข้าวมันกินสิบวัน”
ผู้คุมลากนักโทษคนนั้นออกไป นักโทษอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกล่ามอย่างแข็งแรงสวนมา จอลุกับสมทะยืนมองนักโทษที่เดินผ่านหน้าไปทีละคน ไขลูมีหนวดเครารุงรัง ถูกล่ามโซ่ตรวนที่คอ เท้า มืออย่างแน่นหนา เดินผ่านไป
ต่างคนต่างมองหน้ากัน
จอลุกับสมทะกำลังขายผ้าอยู่ ผู้คนมาเดินซื้อของเต็มถนนเห็นขบวนสีวิกาโชอั้วมาแต่ไกล คหบดีหญิงที่กำลังซื้อผ้าของจอลุอยู่รีบหนี
“ขบวนพระสนมมา หลบเร็วๆ”
“ทำไมต้องหลบ” จอลุถามอย่างแปลกใจ
“นางเป็นคนแปรขี้โอ่ เราไม่ชอบ”
“นางชื่อโชอั้วหรือเปล่า”
“นั่นแหละๆ ไป”
คหบดีหญิงรีบดึงผู้ที่มาด้วยออกไป จอลุกับสมทะมองหน้ากันชอบใจ รีบยกหีบผ้าไปนั่งขวางถนนรอจนขบวนมาใกล้
“ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าผ้ามาจากกรุงแปร ปรารถนาจะได้เฝ้าพระสนมเอกเพื่อถวายผ้าแพรเนื้อดีที่สุดแก่พระนาง”
โชอั้วแง้มม่านออกมาดู
“ท่านว่า ท่านเป็นคนที่ใดนะ”
“คนแปร พระนาง”
โชอั้วแปลกใจ จอลุกับสมทะรีบยกกำปั่นผ้าไปเปิดให้โชอั้วดู โชอั้วถึงกับตะลึงเพราะในหีบมีตราประจำพระองค์ของสอพินยาวางอยู่บนแพร โชอั้วรีบปิดหีบแล้วทำเป็นพอใจ
“ผ้าของท่านเนื้อดีสีสวย เราอยากได้อีก พรุ่งนี้ท่านนำไปให้เราเลือกที่เรือนด้วย ถามชาวเมืองผู้ใดก็ได้ ทุกคนรู้จักเราดี”
โชอั้วปิดม่านแล้วขบวนเดินต่อไป จอลุกับสมทะดีใจ
ที่หมู่บ้านกระเหรี่ยง ลูกปอละเตียง ลูกตองสา กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ในโรงตีดาบ จะเด็ดกับจาเลงกาโบนั่งดูลูกอยู่และคุยกันไปด้วย กันทิมาแอบดูอยู่ ไม่กล้าเขามาหาจะเด็ดทั้งๆ ที่คิดถึงมาก
“ข้าพเจ้าต้องขออภัยพี่ท่าน ที่จำเป็นต้องขอให้พี่ท่านตามไปกรุงแปรด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านกำลังมีความสุขอยู่กับลูกเมีย”
“การใดท่านขอร้องข้าพเจ้ามิเคยขัด ด้วยมั่นว่าสิ่งใดที่ท่านทำย่อมเป็นประโยชน์แก่แผ่นดินเสมอ”
“ท่านนี้มิได้เป็นเพื่อนตายข้าพเจ้าอย่างเดียว ยังเป็นเหมือนพี่ชายในสายเลือดเดียวกันด้วย ข้าพเจ้าจะจดจำจนหมดลมหายใจ”
ปอละเตียงนำตองสาเข้ามาพบจะเด็ด ตองสาลงกราบจะเด็ด จะเด็ดรีบจับไว้ไม่ให้ลงกราบ กันทิมารีบหลบไป
“อย่าทำความเคารพข้าพเจ้าสูงถึงเพียงนั้นเลย แม่นางคือวีระสตรีตองอู โดยชั้นยศนั้นข้าพเจ้าเทียบกับแม่นางยังต่ำกว่าอีกชั้นหนึ่งเพราะข้าพเจ้าทำการยังต้องพึ่งกองทหาร หากแต่ท่านมีเพียงชีวิตและสติของตัวเองเท่านั้นใช้ทำการกู้ตองอู”
“แม่ปอละเตียงแจ้งว่าท่านจะไปทำศึกแก่หงสาวดีอีกหรือ”
“มิใช่การศึกดอก เพียงยกกองทัพไปเพื่อให้แปรกับตองอูมีความสัมพันธ์อันมั่นคง เป็นการปรามไม่ให้หงสาวดีกำเริบขึ้นมาถึงตองอูได้ท่านคงเป็นห่วงสอพินยาซินะ”
“หามิได้ สายสวาทข้าพเจ้ากับท่านอุปราชสอพินยานั้นสิ้นเยื้อกันแล้ว แต่ลูกนั้นอย่างไรเลือดเขาก็มีเลือดหงสาอยู่ครึ่งหนึ่ง เกรงแต่เมื่อเขาโตขึ้นจะทำอย่างไรให้เขารักตองอูยิ่งกว่าหงสาวดีต่างหาก”
“ขอท่านอย่าระแวงลูกของตัวเองเลย เลือดในกายมนุษย์นั้นเตือนให้สำนึกเครือญาติจริง แต่แผ่นดินเกิดมาตุภูมิตายคือเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต หากคนตองอูเลี้ยงดูเขาให้สุขสบายไฉนเขาจะลืมแผ่นดินแม่เขาได้ ขอน้องท่านจงเลี้ยงเขาให้ดีอย่างคนตองอูเถิด โตขึ้นเขาก็จะหมดเยื้อใยกับหงสาวดีเอง”
“ข้าพเจ้านี้มีเลือดหงสาอยู่เต็มกาย แต่ต้องซมซานมาพึ่งแผ่นดินตองอูเอาชีวิตรอด ถึงเพลานี้ข้าพเจ้าคิดแล้วว่าจะสอนลูกให้ยึดแผ่นดินตองอูเป็นที่ฝังกาย ไม่คิดย้อนถึงหงสาวดีอีก” ปอละเตียงบอก
“แล้วเมื่อไหร่หงสาวดีกับตองอูจะเลิกเป็นศัตรูกันเสียที”
“แล้งหน้า ข้าพเจ้าได้ถวายสัตย์กับพระเจ้าหงสาวดีแล้วว่าจะนำทัพไปประชิดกำแพงหงสาวดี หากข้าพเจ้าชนะ หงสาวดีกับตองอูจะได้รวมแผ่นดินกันเสียที พุกามประเทศก็จะกลับมารุ่งเรืองเป็นสุวรรณภูมิเดียวกันอีกครั้ง”
อ่านต่อหน้า 2
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 20 (ต่อ)
กันทิมาเดินหงุดหงิดเข้ามาในโรงตีดาบ สักครู่จะเด็ดเดินเข้ามา กันทิมาตกใจ
“เหตุไฉนเห็นข้าพเจ้าเหมือนเห็นเสือเล่า ข้าพเจ้าเองต่างหากที่เห็นท่านแล้วควรเหมือนเห็นเสือมากกว่า”
“ข้าพเจ้าไปทำอะไรให้ท่านกลัวปานนั้น”
“ก็ ท่านเป็นสายให้ตะละแม่จันทรานะซิ นี่คงแอบมาสืบนำข่าวไปแจ้งถวายละซิ”
“ที่นี่บ้านข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะมาเมื่อใดก็ได้ คนทำผิดมักคิดระแวงผู้อื่นเสมอ” จะเด็ดรั้งกันทิมาเข้ามากอด กันทิมาตกใจทั้งตีทั้งผลักจะเด็ดให้ปล่อยแต่จะเด็ดไม่ยอมปล่อย “ปล่อยข้าพเจ้านะ ปล่อย”
“ข้าพเจ้ากอดท่านนาคะตะเชโบต่างหาก ไม่ได้เจอท่านนาคะที่มีคุณต่อชีวิตข้าพเจ้านานแล้ว ขอกอดให้สำนึกบุณคุณบ้าง”
“ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นนาคะแล้ว ปล่อย” จะเด็ดยอมปล่อย
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไม่มีคุณกับข้าพเจ้าอีกแล้วซิ ถ้าท่านคือแม่กันทิมา ท่านก็คือหัวขโมยที่ลักม้าข้าพเจ้า”
“แล้วแต่จะคิด”
“และห้ามนำข่าวใดที่ไม่สมบูรณ์ ไปแจ้งถวายให้ตะละแม่จันทราเกิดระคายพระยุคลบาท ไม่เช่นนั้น...”
“ท่านจะทำอะไรได้ ทำผิดแล้วจะบังคับผู้อื่นช่วยปิดด้วย ข้าพเจ้าไม่ช่วยคนชั่วดอก”
กันทิมาจะไปจะเด็ดคว้ามือไว้ ดึงมาหอมแก้มทันที กันทิมาตกใจ ไม่ทันปกป้อง
“หากท่านว่าข้าพเจ้าชั่ว ข้าพเจ้าก็ทำชั่วกับท่านด้วย จงไปแจ้งแก่ตะละแม่เถิดว่าข้าพเจ้าทำอะไรท่านบ้าง และข้าพเจ้าก็จะรับว่าจริงหากตะละแม่จะลงโทษ ข้าพเจ้าก็จะขอสารภาพว่าข้าพเจ้านี้ตกเป็นหนี้บุญคุณแม่กันทิมาจนสุดจะสนองตอบด้วยสิ่งใด นอกจากความรักและภักดี”
กันทิมายิ่งอาย ไม่อาจอยู่ต่อคำได้จึงรีบวิ่งออกไป จะเด็ดมองตามอย่างพอใจ
จาเลงกาโบ เนงบา สีอ่องคุมกองทหารและเกวียนอยู่เต็มลานวัดกุโสดอ จะเด็ดพามหาเถรเดินลงมาจากกุฎิ มีเณรถือย่ามตามมาส่งขึ้นเกวียน ทุกคนทรุดลงกราบ มหาเถรหันกลับมามองวัดอย่างใจหาย
“ตั้งแต่ครองจีวรละอาวุธมาครองบรรพชิต หาหนทางสงบให้แก่ชีวิต ข้าไม่เคยห่างวัดกุโสดอเลย หากไม่คิดจะทำให้ราษฎรในแผ่นดินตองอูที่ข้ารักได้พบกับความสงบ ข้าจะไม่ยอมไปไหนให้ห่างพระอารามนี้เด็ดขาด”
จะเด็ดรู้สำนึก ยกมือไว้ มหาเถรมองจะเด็ดเพียงแวบเดียว แล้วขึ้นเกวียนไป เณรตามขึ้นเกวียนไปด้วย
จะเด็ดรีบไปขึ้นม้า มองเนงบากับสีอ่อง
“ฝากตองอูด้วย แล้วข้าพเจ้าจะรีบกลับมา”
จะเด็ดยกมือไหว้ลาเนงบากับสีอ่อง เนงบากับสีอ่องพยักหน้าให้ แล้วยกมือรับไหว้
“เคลื่อนขบวนได้”
ขบวนเคลื่อนนำเกวียนมหาเถรออกไป เนงบา สีอ่องและพระลูกวัดยืนส่ง
โชอั้วนั่งอยู่บนแท่นในเรือนรับรอง จอลุกับสมทะนั่งอยู่กับพื้นมีผ้าแพรอย่างดีวางอยู่ตรงหน้า
“ข้าพเจ้าได้เห็นท่านไขลูแล้วเพลานี้ยังมีชีวิตอยู่ ถูกจองจำเป็นนักโทษเชลย มักถูกเกณฑ์ให้ออกมาทำงานหนักนอกโรงจำอยู่เสมอ หากไม่คิดช่วยคงสิ้นใจสักวันหนึ่งแน่”
“เราจะช่วยได้อย่างไร กำลังเราก็เป็นแค่ผู้หญิง”
“ระนางเป็นผู้มีบารมี จงหาทางพบท่านไขลูแล้วแจ้งว่าพระอุปราชสอพินยาส่งข้าพเจ้ามาถึงตองอู ท่านไขลูคงคิดการให้ว่าจะมีแผนอย่างไร”
“การคงไม่ง่ายนักดอก แต่เราจะลองดู”
“พระนางอย่ารอช้าเป็นอันขาด ด้วยเพลานี้แม่ทัพบุเรงนองได้นำทัพไปสู่แปรแล้ว อีกไม่นานคงเกิดศึกระหว่างแปรกับหงสาวดีเป็นแน่”
โชอั้ว นิ่งเงียบ
ที่ป้อมสิงห์ชานกรุงตองอู พัศดีกำลังคุมนักโทษซ่อมทางอยู่ ในจำนวนนักโทษที่ทำงานมีไขลูรวมอยู่ด้วย ขบวนสีวิกาโชอั้วเดินมาหยุดที่หน้าพัศดี พัศดีรีบคุกเข่าลง โชอั้วแง้มม่านออกมา
“เราได้ข่าวมาว่ากองท่านเป็นผู้คุมเชลยจากหงสาวดีอย่างนั้นใช่ไม๊”
“เป็นรับสั่งให้คุมอย่างเข้มงวดที่สุด”
“เราอยากเห็นหน้าเชลย ไอ้คนที่ประหารท่านขุนพลตองหวุ่นญีนักว่าหน้าตามันเหี้ยมโหดปานใด ตามมาให้เราดูหน้ามันหน่อยซิ”
“ท่านแม่ทัพบุเรงนองสั่งการไว้ว่าห้ามผู้ใดเข้าใกล้มันพระนาง”
“เพลานี้ท่านบุเรงนองไม่ได้อยู่ในตองอูแล้วท่านจะกลัวทำไม ไปตามมันมาเดี๋ยวนี้ หรือเจ้าอยากลดตำแหน่ง”
โชอั้วชูตราอาญาสิทธิ์ที่มังตราให้ให้พัศดีดู พัศดีไม่กล้าขัดรีบไปลากตัวไขลูมา ไขลูเดินมาหยุดมองโชอั้วแล้ว ยิ้มออกมาเพราะจำโชอั้วได้ โชอั้วยิ้มเยาะ แล้วถ่มล้ำลายใส่หน้าไขลู
“ถุย นี่หรือนักรบแห่งหงสาวดี สุดท้ายก็ถูกใช้เยี่ยงควาย วิชาดาบที่เรียนมาต้องเอามาจับฆ้อนทุบหิน ชีวิตเจ้าต้องมาตายบนแผ่นดินตองอูเสียแล้ว น่าเวทนาแท้ๆ ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็จงหาทางบอกข้ามา บางทีข้าอาจจะกราบทูลพระเจ้าตองอูให้เจ้าได้ ถุย”
โชอั้วถ่มน้ำลายใส่อีกทีแล้วปิดม่านให้ขบวนเดินต่อไป ไขลูมองตามคิดอะไรได้บางอย่าง พัศดีหัวเราะแล้วมาลากให้ไปทำงานต่อ
“แม่นางเป็นคนแปรแท้ๆ ยังแค้นเจ้าได้ขนาดนี้ มิน่าพระเจ้ามังตราถึงได้ยกให้เป็นพระสนมเอก”
ไขลูถูกลากไป แต่สีหน้านั้นเริ่มรู้แล้วว่าโชอั้วให้สัญญาณบางอย่าง
ไขลูและนักโทษอื่นๆ ถูกคุมตัวเข้ามาในคุก ไขลูถูกผลักเข้าไปในที่จองจำตัวเอง ร่วมกับนักโทษอื่นอีก 2-3 คน
ในห้องขังเดียวกัน ไขลูครุ่นคิดถึงการกระทำของโชอั้ว...โชอั้วยิ้มเยาะ แล้วถ่มล้ำลายใส่หน้าไขลู
“ถุย นี่หรือนักรบแห่งหงสาวดี สุดท้ายก็ถูกใช้เยี่ยงควาย วิชาดาบที่เรียนมาต้องเอามาจับฆ้อนทุบหิน ชีวิตเจ้าต้องมาตายบนแผ่นดินตองอูเสียแล้ว น่าเวทนาแท้ๆ ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็จงหาทางบอกข้ามา บางทีข้าอาจจะกราบทูลพระเจ้าตองอูให้เจ้าได้ ถุย”
โชอั้วถ่มน้ำลายใส่อีกทีแล้วปิดม่านให้ขบวนเดินต่อไป
ไขลูยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ยิ้มอย่างพอใจ
วันต่อมาที่ป้อมสิงห์ชานกรุงตองอู ไขลูกำลังใช้ฆ้อนทุบหินอยู่ พัศดีมาคุมตัวกระชากออกไป ระหว่างนั้นขบวนสีวิกาของโชอั้วรออยู่ แต่มีทหารนันทวดียืนมองอยู่อย่างสงสัย
“ขอบน้ำใจท่านพัศดีมาก ข้าพเจ้านอนในเรือนท่านตองหวุ่นญีมาหลายคืน ผีท่านตองหวุ่นญีมาเข้าฝันข้าพเจ้าจนไม่ได้หลับได้นอน เพราะรู้ว่าไอ้เชลยหงสาวดีมันยังมีชีวิตอยู่ ไฉนคนตองอูจึงมีน้ำใจประเสริฐอย่างนี้ ไว้ชีวิตแม้แต่ศัตรูที่สังหารแม่ทัพตัว ถุย เสนียด” โชอั้วทำท่าจะถุยน้ำลายใส่ ไขลูสะดุ้งหลบ แต่โชอั้วหันไปถุยทางอื่นแทน “ข้าพเจ้าระลึกถึงความเหนื่อยยากพวกท่านที่ต้องมาคุมไอ้เชลยพวกนี้จึงให้พวกชาววิเสททำอาหารมาให้ เชิญท่านไปรับอาหารจากพวกนางเถิด” เหล่ากลุ่มนางในเชิญอาหารมาให้พัศดี พัศดีระรี้ระริกทำอะไรไม่ถูก “ท่านจะให้ชาวนางวิเสทของข้าพเจ้านำอาหารไปวางไว้ตรงไหนดี”
“ทางๆ นี้ มาทางนี้เถิด”
พัศดีรีบเดินนำเหล่านางในออกไป
“ข้าพเจ้าขอโทษที่ทำกับท่าน” โชอั้วบอกไขลูก หลังจากทุกคนไปกันหมดแล้ว
“ไม่มีเวลาดอก รีบบอกมาว่าแม่นางมีอะไร”
“พระอนุชาสอพินยาส่งคนมาให้ช่วยท่าน ขอให้ท่านคิดแผนบอกข้าพเจ้ามา” ไขลูคิดอย่างเร็ว
“ให้คนกลับไปบอกพระอนุชาว่าทำทีเป็นส่งราชทูตมาของแลกเปลี่ยนตัวข้าพเจ้าโดยเร็ว ทหารตองอูที่หงสาวดีจับตัวไว้เมื่อครั้งตีค่ายจีสะเบงจะได้ประโยชน์ก็คราวนี้”
“แล้ว”
“ยังคิดไม่ออก หลังจากนั้นเราจะวางแผนหนีเอง”
พัศดีเดินนำเหล่านางข้าหลวงกลับมาอย่างเบิกบาน
“ข้าพเจ้าเป็นพระคุณยิ่งที่พระนางโปรดประทานอาหารให้แก่พวกเรา”
“ขอพวกท่านจงคุมขังไอ้เชลยพวกนี้ให้หนัก ผีท่านตองหวุ่นญีจะได้ไม่มากวนข้าพเจ้าอีก”
โชอั้วปิดม่าน แล้วขบวนสีวิกาก็เคลื่อนออกไป พัศดีมองตามอย่างชอบใจ
“ไอ้เชลยพวกนี้เป็นประโยชน์ดีอยู่ ตรงทำให้กูได้อิ่มท้อง” ไขลูกำลังคิดเพลินๆ จึงโดนพัศดีถีบไปไม่รู้ตัว “ไป ไปทำงานต่อไอ้เชลย”
มังตราเสด็จออกมาจากหลังท้องพระโรง มหาดเล็กหมอบเฝ้าอยู่
“ไปจัดเตรียมม้าให้เราที เราจะไปเรือนตองหวุ่นญี”
มหาดเล็กผู้หนึ่งคลานออกไป นันทวดีเสด็จสวนเข้ามาพร้อมกับนางข้าหลวง มังตรามองเก้อๆ
“ข้าพเจ้ามิได้มาห้ามพระองค์เสด็จยังเรือนท่านขุนพลดอก แต่อยากจะมากราบทูลพระองค์ว่าเพลานี้ แม่นางแปรคนโปรดนั้นไปวางอำนาจหยาบคายกับเชลยหงสาวดีในที่กลางชุมชน พระองค์รับสั่งให้นางไปทำการแทนหรือ”
“เปล่า ไม่เคยสั่ง นางไปทำกับผู้ใด”
“นายกองดาบไขลู นางเป็นคนแปรหาใช่คนตองอู ทำไมถึงเจ็บแค้นแทนคนตองอูได้ขนาดนั้น”
“อาจเป็นเพราะว่า…”
“คิดว่าตัวเองได้กลืนสายเลือดตองอูเข้าไปทั่วร่างแล้วกระมัง ถึงได้ยกตนขึ้นข่มเชลยอวดฐานันดร หากไม่ใช่กิจของพระองค์รับสั่งแล้วควรจะห้ามนาง อย่าใช่ตำแหน่งนางสนมคนโปรดไปข่มผู้ใด แม้ผู้นั้นจะเป็นเพียงแค่เชลย”
“เราจะเตือนนางให้”
มังตราทำหน้าเจื่อนๆ นันทวดีหันหลังกลับทันที
คืนนั้นในห้องนอนโชอั้ว โชอั้วเปิดกำปั่นหยิบตราอาญาสิทธิ์ที่มังตราให้เอาไปคืนมังตราที่นอนอยู่บนพระแท่น
“เอาของพระองค์คืนไป ถ้าหากคิดว่าข้าพเจ้าใช้อาญาสิทธิ์ที่พระองค์มอบให้ไม่สมควร จากนี้พระองค์ก็ไม่ต้องเสด็จมาที่นี่ข้าพเจ้าจะขอกลับไปอยู่เมืองแปร ไปเป็นคนแปรตามชาติกำเนิด ไม่ขอเป็นคนตองอูอีกต่อไป”
มังตราดึงโชอั้วเข้ามากอดอย่างเอาใจ
“ไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย เพียงแต่อยากเตือนว่าที่ที่เชลยอยู่ไม่สมควรที่พระสนมจะเสด็จไปต่างหาก ไอ้พวกนั้นมันห่างผู้หญิงมานานเห็นพวกนางในไปป้วนเปี้ยนใกล้ๆ มันจะยิ่งกว่าช้างพลายตกมัน”
“ท่านหึงข้าพเจ้าหรือ” โชอั้วทำออดอ้อน มังตราหอมแก้มฟอดใหญ่
“ยิ่งกว่าหึงอีกนะ”
มังตราจับโชอั้วลงนอนแล้วเอาผ้าคลุมโปง โชอั้วดิ้นโวยวายตามประสาหญิง
อ่านต่อหน้า 3
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 20 (ต่อ)
วันต่อมา ตะคะญี เนงบา สีอ่องและทหารกำลังฝึกวิชาดาบกันอยู่ที่สนามประลองยุทธ์
ตะคะญีดวลดาบกับเนงบาอย่างมีชั้นเชิง สุดท้ายเนงบาเสียทีล้มลง สีอ่องปรบมือดีใจ
“ยอดจริงๆ ครู เพลงดาบครูแม้แต่ศิษย์ในสำนักยังโค่นไม่ลง พละกำลังครูก็ยังแข็งแกร่ง ยากที่ทหารหนุ่มจะเอาชนะได้”
“เพลงดาบนั้นยังพอสู้ได้ แต่พละกำลังนี่ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว หากแต่เนงบามันบ้าบิ่นไม่รู้จักออมแรงต่างหาก ข้าจึงเอาชนะได้”
ทหารนันทวดีควบม้าเข้ามาหาตะคะญี
“ท่านครู มีดำรัสจากแม่อยู่หัวนันทวดีมาแจ้งแก่ครูท่านว่า หากว่างจากการทหารอยากให้ครูท่านมั่นไปตรวจตราแถวป้องสิงห์ที่เหล่านักโทษฉกรรจ์ไปทำงานบ้าง พระนางอยากให้บริเวณนั้นรักษากฎระเบียบให้มั่นคงด้วย”
“ได้ เราจะไปตรวจการณ์ให้”
ทหารนันทวดีควบม้าออกไป
“มันอย่างไรกัน แม่อยู่หัวนันทวดีไม่เคยทรงยุ่งราชการทหารเลย” สีอ่องบอกอย่างแปลกใจ ตะคะญียืนคิด แปลกใจเหมือนกัน
“งั้นเดี๋ยวเราชำระกายแล้วข้าพเจ้าขอไปด้วย” เนงบาบอก
ที่ป้อมสิงห์ ไขลูกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ เนงบากับตะคะญีและกองทหารขี่ม้าผ่านนักโทษที่ทำงานอยู่
เนงบาหันไปมองเห็นไขลูที่ยืนจ้องอยู่จึงชักม้าเข้าไปใกล้ๆ
“ว่าไง ไอ้เชลย ไม่มีลักษณะของครูดาบหงสาวดีเลยนะพวก”
ไขลูโกรธจัดหมายจะวิ่งเข้าหาเนงบาแต่สะดุดตรวนล้มลงอย่างหมดท่า เนงบาหัวเราะชอบใจ
“หากกูไม่ตีตรวนพวกมึงอย่าหมายจะมีหัวอยู่ติดบ่า ถุย ไอ้กระเหรี่ยงขี้โอ่”
เนงบาโกรธ โดดลงจากหลังม้า
“พัศดี ทุบตรวนมันออก ข้าจะร่ายเพลงดาบกับไอ้หงสาปากดีนี่ให้ดู รับรองไม่เกินห้าเพลงดาบเลือดหัวมันต้องกระฉูดแน่”
“ไม่เอาเนงบา เนงบา” ตะคะญีร้องห้าม ผู้คุมไม่มีใครกล้าทำตาม เนงบาจึงหันไปหยิบค้อนขึ้นมาทุบเอง ตะคะญีต้องลงจากหลังม้ามาฉุดเนงบาไว้ “เนงบาหยุด ข้าบอกให้หยุด”
ตะคะญีเข้ามาดึงฆ้อนโยนทิ้ง เนงบาจึงสงบ ตะคะญีจับเนงบาให้ขึ้นม้า ไขลูจ้องด้วยความโกรธแค้น คว้าก้อนหินได้ขว้างเข้าใส่ตะคะญี ด้วยความไวตะคะญีเอาฝักดาบขึ้นบัง ก้อนหินจึงโดนฝักดาบแทน
“พวกมึงก็แค่พวกคนดอนอยู่ป่า หากไอ้จะเด็ดไม่ชุบเลี้ยงยกย่องไหนจะชะโงกหัวขึ้นได้อย่างกิ่งก่า ตะคะญีครูดาบก็แค่คนป่า ถ้าอยากมีชื่อเป็นครูดาบของบุเรงนองก็จงมาสู้กับกูตัวต่อตัว พิสูจน์ให้พวกมึงได้เห็นว่าสมกับที่ได้กราบตีนไม๊ ว่าแต่ครูมึงจะกล้าหรือเปล่า”
ตะคะญีโกรธจัด ดึงดาบจากทหารขว้างไป ดาบลอยคว้างบนอากาศก่อนจะปักลงพื้นตรงหน้าไขลู ไขลูมองตะคะญีอย่างท้าทาย
“นั่นดาบมึง บุเรงนองแม่ทัพตองอูนั้น นับกูเป็นครูก็เพราะต้องการให้เกียรติยกย่องคนป่าโดยกุศโลบาย แท้จริงที่ชนะทุกศึกได้เพราะฉลาดกว่าพวกมึงต่างหาก แต่ถ้ามึงอยากจะวัดเพลงดาบกูก็เชิญหยิบดาบขึ้นมา กูจะไม่ทำมึงถึงตายดอก”
ตะคะญีพยักหน้าให้พัศดีไปถอดสลัก พัศดีเอาลิ่มกับค้อนจะเข้าไปตอกให้ไขลู ไขลูถอยหนี
“พวกมึงคิดเอาเปรียบกู กูอยู่ในคุกมาแรมปีอดมื้อกินมื้อ ไหนจะมีแรงสู้กับพวกมึงเพลานี้ได้”
“ก็ดี กูก็อยากจะได้รู้เพลงดาบที่เป็นของหงสาวดีแท้ๆ กูจะให้มึงพักและปรนเปรออาหารอย่างดีสัก 7 วัน ครบกำหนดเมื่อไหร่ มึงกับกูจะได้แสดงเพลงดาบให้ทหารพวกนี้ได้ดูเป็นขวัญตา หากมึงพลาดกูขอเป็นแค่ผู้ชนะ แต่ถ้ากูพลาดขอมึงตัดหัวกูไปได้เลย”
เนงบาและทุกคนนิ่งเงียบฟัง
“มึงช่างเจ้าคารม ฟังไม่ดีก็นึกว่าเสมอกัน ที่แท้ก็ยังเอาเปรียบกูอยู่ดี”
“เอ๊ะไอ้นี่ มึงจะเอาอย่างไรอีก”
“พวกมึงฝึกอาวุธกันอยู่ทุกวัน กูได้แต่จับฆ้อนทุบหิน แค่มาจับดาบซ้อมเจ็ดวันจะเสมอสู้พวกมึงได้อย่างไร”
“เอาเถอะ เพื่อพิสูจน์ให้หมดสิ้นความ กูขอสาบาน นับจากวันนี้ไปถึงวันนัด กูจะไม่ขอเอามือจับดาบซ้อมใดใดเลย”
ตะคะญีเอาดาบไหว้จบหัวแล้วโยนให้เนงบาไป เนงบาเริ่มใจไม่ดีแต่ไม่แสดงออก ตะคะญีกระโดดขึ้นม้าควบออกไป
ไขลูมองตามอย่างดีใจที่ตะคะญีหลงกลอุบายตน
อ่านต่อหน้า 4
ผู้ชนะสิบทิศ ตอนที่ 20 (ต่อ)
ที่สนามประลองยุทธ์ สีอ่องกำลังซ้อมทหารม้าขว้างเป้าอยู่
ตะคะญีนั่งม้ามากับเนงบาและเนงบาถือดาบตะคะญี ทั้งคู่สีหน้าเคร่งขรึม ตะคะญีขี่ม้าไปรอบๆ สนาม สีอ่องมองอย่างแปลกใจ
“พ่อครูเป็นอะไร”
“เป็นเพราะข้าเอง”
“ไปหาเรื่องใครมาอีกล่ะ เจ้านี่ยังไง เมื่อไหร่จะเลิกอารมณ์ร้อนเสียที ชอบทำให้ผู้อื่นกลุ้มใจอยู่ร่ำไป”
“แต่คราวนี้พ่อครูเป็นคนทำให้ข้ากลุ้มใจเอง” สีอ่องหัวเราะชอบใจ
“ดี รู้จักกลุ้มใจเองเสียบ้าง”
“พ่อครูจะดวลดาบกับไอ้ไขลู” สีอ่องหุบยิ้มทันที
“ไอ้ไขลูที่ถูกจับเป็นเชลยอยู่นะหรือไปเปลืองตัวกับมันทำไม”
“พ่อครูได้ลั่นวาจาสาบานต่อหน้าทหารไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจได้”
ตะคะญีควบม้าเข้ามาหยุดที่เนงบากับสีอ่อง
“เจ้าจงเก็บดาบข้าไว้ให้ดี แรม 1 ค่ำ ก่อนเพลข้าจะมาพบไขลูมันที่นี่”
“พ่อครูจะไปไหน”
“ข้าจะกลับไปอยู่บ้านเพื่อทำสมาธิถือศีลบูชาครู ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”
ตะคะญีควบม้าออกไป
“แกว่าพ่อครูจะสู้ไอ้ตะเลงชั่วนั้นได้หรือ”
“ฝีมือพ่อครูนั้นมีอยู่มากพวกเรารู้ดี แต่เรี่ยวแรงครูคงสู้ไขลูมันไม่ได้ ไอ้นั่นแม้มันจะถูกจองจำเป็นเชลยอยู่แต่เรี่ยวแรงมันมหาศาล ข้าเห็นมาแล้ว และครูท่านได้ประกาศแจ้งไปว่าหากเพลี้ยงพล้ำให้ไขลูมันก็ให้ตัดหัวครูไปได้เลย”
สีอ่องตกใจขึ้นไปอีก
“อย่างนี้ครูท่านพลาดเสียแล้ว ไม่ว่าแพ้หรือชนะไอ้ไขลูมีแต่จะกำไร คนโทษอย่างมันอย่างไรก็ตายอยู่แล้ว แต่ตองอูซิ หากแพ้เราจะเสียพ่อครูไป เราต้องหาทางยุติการประลองนี้”
“มีผู้เดียวที่จะหาทางระงับได้ ต้องไปตามท่านบุเรงนองกลับมาให้ทันแรมค่ำนี้ สีอ่องข้าไหว้ล่ะ” เนงบายกมือไหว้ “วานเจ้าไปตามท่านบุเรงนองที่แปรมาที ข้าไม่กล้าไปสู้หน้าท่านแม่ทัพจริงๆ”
สีอ่องนิ่งอึ้ง หนักใจจนพูดไม่ออก
ช่วงเย็นผู้คุมกำลังต้อนนักโทษเข้าโรงจำ แต่ไขลูหยุดไม่ยอมเดินต่อผู้คุมพยายามผลักให้เดิน
“มีอะไร ทำไมไม่เดินไป”
“ต่อนี้ไปข้าคือคู่ต่อสู้ของขุนพลตองอู พวกเจ้าจะต้องจัดที่ซ้อมอาวุธและเตรียมอาหารให้ข้าอย่างดี ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต้องไปดวลเพลงดาบกับขุนพลนายเจ้า ตามที่สาบาน”
ผู้คุมต่างมองหน้ากัน
“มึงจะกำเริบเกินคนคุกเสียแล้ว ไป เข้าไปอยู่ข้างในโน้น ที่ตรงนั้นจึงจะเหมาะกับมึง”
ผู้คุมผลักไขลูเข้าไปแล้วไขกุญแจเดินออกไป ไขลูแค้นมาก ตะโกนไล่หลัง
“มึงมันก็แค่พัศดีชั้นต่ำ ข่มเหงได้แต่คนถูกตรวนไม่มีอาวุธสู้ กูนี้ครูดาบหงสาวดีทหารเอก เคยบัญชาการทัพมาแล้ว มึงไม่มีวันคุมกูได้นานดอก ไอ้พัศดีไพร่”
ไม่มีผู้คุมคนไหนสนใจ ไขลูนั่งวิตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรต่อ
วันต่อมาสีอ่องควบม้ามุ่งเดินทางไปเมืองแปรกับทหารติดตาม 2 นาย ข้ามเนินเขาไปอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งที่หมู่บ้านกระเหรี่ยง ตะคะญีนุ่งขาวห่มขาวสยายผมนั่งสมาธิอยู่หน้าแท่นศาลนัตและแท่นบูชาครูดาบ เมียยกอาหารมาวางข้างๆ อย่างเกรงใจแล้วออกไปเงียบๆ ปอละเตียงอุ้มลูกมากับกันทิมาในชุดนางข้าหลวงมองอยู่ห่างๆ
“แม่ พ่อเขาเป็นอะไร บอกแม่บ้างหรือเปล่า”
เมียตะคะญีส่ายหน้าเดินจากไป
“ข้าเคยเห็นพ่อทำอย่างนี้ครั้งหนึ่งเมื่อตอนเด็กๆ ครั้งนั้นมีนักดาบต่างสำนักมาท้าพ่อดวลเพลงดาบ” กันทิมาบอก
“แต่เพลานี้พ่อท่านอายุขัยมากแล้วจะออกไปสู้กับใครไหว”
กันทิมาก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
ที่พักแรมระหว่างทางตองอู - แปร แท่นบูชาพระพุทธรูป มหาเถรกำลังกราบพระอยู่ แล้วจึงหันมาทางจะเด็ด จาเลงกาโบ มีสีอ่องนั่งกลุ้มใจเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอยู่ด้วย
“ตะคะญีเพื่อนเราทำการครั้งนี้ สมควรทหารตองอูรุ่นหลานจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง สมเป็นชายชาติทหารแล้ว” มหาเถรบอก
“แต่การนี้ไม่ใช่สมรภูมิรบสู้กันไปก็ตายเปล่า ไม่เป็นคุณแก่แผ่นดินเลย”
“ชีวิตไขลูมันก็แค่นักโทษชั้นเลว ครูท่านเป็นถึงปลัดทัพจะเอาตัวไปแลก ดูไม่สมกัน”
“เจ้าทั้งสองความคิดแค่ทารกไม่ควรหมิ่นความคิดนักรบผู้เฒ่า ตะคะญีเป็นนักรบน้ำใจเสือ การจะลองเชิงกับผู้ใดใช่จะเห็นว่าตัวขี้ขลาด”
“หมายความว่าพระคุณเจ้าเห็นด้วย ที่จะให้พ่อครูปลัดทัพปะทะดาบกับไขลู”
จาเลงกาโบนั่งฟังอยู่เงียบๆ
“ข้าหมายถึงว่าตะคะญีทำการครั้งนี้เพราะถือตนว่าเป็นถึงแม่ทัพตองอู หากปล่อยให้เชลยมาหมิ่นฝีมือ จะเหลือบารมีให้ทหารครั่นคร้ามได้อย่างไร การจะเอาชีวิตรอดต้องขอยือมือผู้อื่นที่รู้ทางกัน ท่านเป็นแม่ทัพตองอู จงหาทางปกป้องชีวิตขุนพลของท่านไม่ให้เสียศักดิ์ศรีเถิด”
“ข้าพเจ้าขอฝากชีวิตพ่อให้น้องท่านช่วยแก้ ส่วนกรุงแปรนี้ข้าพเจ้าจะรักษาไว้ยิ่งชีวิต” จาเลงกาโบบอก
จะเด็ดตัดสินใจไม่ถูก มหาเถรมองอย่างเข้าใจ
“ตะคะญีนี้มีบุญคุณต่อตองอู และเป็นครูดาบเจ้า ถ้าอยากสนองคุณก็จงกลับไปหาทางแก้”
จะเด็ดมองตาจาเลงกาโบอย่างเข้าใจ จึงตัดสินใจขยับเข้ามากราบมหาเถร
“ข้าพเจ้าเหมือนมีบาป นิมนต์พระคุณเจ้าให้มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เพื่อให้ตัวได้สุขสมหวังแล้วก็ทอดทิ้งพระคุณเจ้าไป เสร็จการนี้แล้วข้าพเจ้าจะรีบกลับมาปรนิบัติพระคุณเจ้าอย่างเดิม”
จะเด็ดก้มกราบลงที่ตักมหาเถร มหาเถรเอามือลูบหัวเบาๆ ยิ้มให้อย่างเอ็นดู
อ่านต่อตอนที่ 21