xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 20

วันต่อมาที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป เทเรซ่ากำลังแต่งตัวให้จ้าวซัน ที่ใส่สูทหรูเข้ารูป จัดปกเสื้อให้

“นี่เราจะเป็นฉินเย่ว์กรุ๊ปโฉมใหม่แล้วใช่ไหมคะ”
บราลีจูงผิงอันที่แต่งหน้าทำผมเริ่ด ในชุดราตรีเรียบสีดำ เกาะอก เห็นสร้อยจ้าวไทไทที่ประดับรอบคอ ดูผิงอันกลายเป็นอีกคนไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
“เป็นยังไงล่ะคะ น้องสาวของพี่”
“ผิงอัน”
“หนูดูพอใช้ได้ไหมคะ”
“โอ...คุณชาย ดิฉันขอถอนคำพูดค่ะ”
“ตรงไหน”
“ดิฉันชักจะเชื่อจริงๆ แล้วว่า เราจะมีความหวังใหม่แล้ว”
“เรามาลงมือทำงานกันเถอะค่ะ”
ผิงอันโพสท์ท่าถ่ายรูปทั้งภาพเดี่ยวและภาพคู่กับจ้าวซัน บราลีดูภาพเหล่านั้น ชูนิ้ว ให้กำลังใจทั้งสองคน

วันต่อมาที่ห้องทำงานจ้าวซัน การ์ดเชิญที่เป็นรูปจ้าวซันกับผิงอันถูกวางลงบนโต๊ะ รูปที่อยู่ในการ์ดเป็นภาพผิงอัน โชว์สร้อยเพชรของไทไทที่อยู่บนคอแบบเต็มๆ และจ้าวซันยืนประกบเยื้องหลัง แล้ววางมือแตะแขนข้างๆ เหมือนประคอง กึ่งหนุนหลัง เหมือนจะแนะนำในทีว่านี่คือเด็กของผม ผู้กองเหลียงมองหน้ายิ้มเย็น
“สารภาพมาดีกว่าจ้าวซัน ว่าคุณกำลังจะทำอะไร”
“คุณหนูผิงอันสวมสร้อยเส้นนี้ ซึ่งคุณเหม่ยอิงเคยจับจองเอาไว้ แล้วมีคุณยืนประคองขนาดนี้ มันคือแมสเสจที่คุณต้องการส่งถึงใคร”
“ก็ส่งถึงกรรมการบอร์ดของทุกบริษัท นักลงทุน ลูกค้า พนักงานต่างๆ ว่าบริษัทเราไม่ได้อยู่ในสภาพง่อนแง่นอย่างที่มีข่าวซุบซิบกัน”
“คุณกำลังวางกับดักต่างหาก จ้าวซัน”
“จะทำอะไร ช่วยปรึกษากันบ้างนะครับ จะได้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ”
“ผมปรึกษาอยู่แล้ว ถึงได้ส่งการ์ดไปเชิญผู้กองไงครับ”
ผู้กองเหลียงยื่นมือมา จ้าวซันจับมือ ทั้งสองสบตากัน เอาจริง

การ์ดแบบเดียวกันนั้นอยู่ในมือเหม่ยอิงเหมือนกัน เหม่ยอิงมือสั่น แล้วในที่สุดก็ร้องไห้โฮออกมา แล้วขว้างการ์ดนั้นลงพื้น แล้วเหยียบๆๆ
“อิผิงอัน มันใส่สร้อยเส้นนั้น ทำไมๆๆ”
เกาเฟยรีบเข้ามาจับมือไว้
“คุณหนูใหญ่ ใจเย็นๆ ครับ”
“ทีตอนชั้นเอามาใส่ ทุกคนพากันต่อว่า ห้ามปราม ทั้งพี่ใหญ่ แม่ ทุกคน บอกว่ามันจะทำให้ชั้นมีอันเป็นไปต่างๆ นานา แต่นี่พี่ใหญ่เอามาให้นังผิงอันใส่ออกหน้าออกตา แล้วเอามาทำเป็นการ์ดงานบริษัทนี่นะ มันแปลว่าอะไร”
พันหงปิงเก็บมาดู ทำหน้าตื่นเต้น
“ว้าวๆ ดูเผินๆ นึกว่าเป็นการ์ดแต่งงานเลยนะเนี่ย”
“ไม่จริง”
“พันหงปิง หุบปากไปเลยไป คุณหนูอย่าไปสนใจเลยครับ น่าสมเพชจะตาย คุณหนูผิงอันดูหน้าก็รู้ว่าสติปัญญาด้อยมาก”
เหม่ยอิงมีสีหน้าดีขึ้นมานิด
“ใช่ ทั้งโง่ ทั้งขี้เหร่ พี่ใหญ่คิดอะไร ถึงทรยศกับชั้น พี่ใหญ่ไม่ยุติธรรม พี่ใหญ่รักมันมากกว่าชั้นได้ไง”
“ใครรักใครมากกว่าคุณหนูใหญ่ ก็แสดงว่ารสนิยมแย่มาก”
“ชั้นคิดว่าพี่ใหญ่คงวางแผนจะให้อิผิงอันเป็นทายาทมาแต่แรกแล้ว เพราะมันตามใจพี่ใหญ่ มันประจบอี๋อ๋อ สนับสนุนให้พี่ใหญ่รักกับอินังบราลีไงล่ะ มันเป็นพวกเดียวกัน มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ชั้นเป็นก้าวขวางคอพวกมันไง พวกมันถึงอยากกำจัดชั้นไปให้ออกนอกกลุ่ม”
เกาเฟยแย่งไปดูอีกที
“หึๆ ขอเชิญไปงานมี้ตติ้งแนะนำตัวทายาทสาวทางธุรกิจของบริษัทในเครือตระกูลจ้าว” เกาเฟยเงยมา หัวเราะ “ฮะๆ สร้างภาพชัดๆ คุณหนูผิงอันไม่มีทางจะทำการทำงานอะไรได้จริงหรอก”
“มี้ตติ้งแนะนำตัวทายาทสาวเหรอ น่าสนุกดีเหมือนกันนะ”
เหม่ยอิงหน้าตากระเหี้ยนกระหือ

ช่วงกลางคืนที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ เสียงเพลงเปียโนพริ้งพราวหรูหรา ที่งานเลี้ยงคอกเทลในบริษัท ภายในห้องประชุมใหญ่ มีแขกเหรื่อในงานมากมาย ทุกคนแต่งตัวหรูหรา มีตำรวจนอกเครื่องแบบคอยยืนสังเกตการณ์ และมีนักข่าวยืนถ่ายรูปเป็นกลุ่มๆ ที่มุมหนึ่งมีนักข่าวสาวสังคมซุบซิบยืนรายงานข่าวอยู่กับตากล้อง
“เอานะๆ พร้อมยัง. เดี๋ยวนับเอง...ห้า...สี่... สาม และนี่ก็เป็นบรรยากาศวันเปิดตัว “ไท้เผ่ง” คนใหม่ของบริษัทจ้าวฉินเย่ว์นะคะ ตามที่เราคาดการณ์กันไว้ว่าน่าจะเป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลจ้าว...จ้าวเหม่ยอิง”
“คัท”
“โทษๆๆ จำสลับทุกที ผิงอันใช่ไหม ในหัวคิดแต่เหม่ยอิงๆ”
ที่ห้องเล็กๆ สำหรับแต่งตัว บราลีกำลังช่วยผิงอันแต่งตัวและดูความเรียบร้อยขั้นสุดท้าย สร้อยของจ้าวไทไทที่อยู่บนคอผิงอันดูสวยมาก ผิงอันแต่งตัวสวยและดูเปรี้ยวกว่า สดใสกว่าวันถ่ายรูป จ้าวซันยิ้มมองดูอยู่ห่างๆ แววตาทึ่ง ปลาบปลื้มมากๆ
“พี่ชาย อย่ายิ้มแบบนี้สิคะ”
ผิงอันหมุนรอบตัวและดูเงาตัวเองในกระจก
“เจ้าพี่อย่าไปแกล้งผิงอันสิ”
“โดนเพื่อนล้อแน่เลย”
“พี่ไม่ได้เชิญพวกเพื่อนๆ เรามาสักหน่อย”
“แต่มันก็ต้องมีข่าว มีรูปลงหนังสือ ออกทีวี โอ๊ย...ไม่เอาแล้ว”
“จะกลัวทำไม เราน่ะสวยยิ่งกว่าดาราหนังอีก คนต้องคลั่งกันทั้งฮ่องกงเกาลูนมาเก๊า”
“ตายดีกว่า”
ผิงอันเดินหนีไปนั่งอีกทาง บราลีเดินเข้าไปตีจ้าวซันที่แขนเบาๆ
“เจ้าพี่! พอเลยค่ะ ผิงอันยิ่งตื่นเต้นอยู่” บราลีเดินเข้าไปหาผิงอัน นั่งลงใกล้ๆ จับมือผิงอันไว้ “ผิงอันฟังพี่ จำที่เราซ้อมกันมาแล้วได้ใช่ไหมว่าต้องพูดอะไรบ้าง”
“ภาษาแมนดารินก็พอได้ แต่ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยมั่นใจเลยอะ”
“ผิงอันพูดได้ พี่ฟังมาหลายรอบแล้ว มั่นใจๆ”
ผิงอันถอนหายใจประหม่า
“งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวพี่กับพี่ชายใหญ่จะไปยืนที่ประตูทางเข้าตรงข้ามเวทีนะ เวลาที่ผิงอันพูดก็มองไปที่พี่กับพี่ชายใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วกัน ไม่ต้องหันไปมองใคร โอเคไหม” ผิงอันพยักหน้าหงึกๆ “มาพี่กอดทีนึง” ผิงอันกับบราลีลุกขึ้นมากอดกัน “สู้ๆ”

จ้าวซันเดินมาหา ลูบหัวผิงอันเบาๆ
“บ้านเรา มีความหวังอยู่ที่น้องนะ ผิงอัน น้องต้องสู้สิ”
ผิงอันยิ้มขึ้นมาได้
“ค่ะ สู้ค่ะ หนูก็เป็นน้องสาวของพี่ และก็มีเลือดตระกูลจ้าวอยู่เต็มตัว”
ซ่างกวานซิงเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามา
“จวนจะได้เวลาแล้วนะครับ”
ทั้งหมดหันไปมอง จ้าวซันยิ้มพยักหน้าให้ผิงอัน ผิงอันยิ้มพยักหน้าตาม บราลียิ้มให้ ผิงอันหันหลังเดินตามซ่างกวานซิงออกนอกประตูไป สีหน้ามุ่งมั่น
จ้าวซันเดินออกมาบนดาดฟ้าแล้วก็ทำหน้าสมใจที่เห็นตำรวจทั้งสามคนที่อยู่นอกเครื่องแบบ ยืนกินกาแฟคนละแก้ว กับแซนด์วิชรออยู่ จ้าวซันเห็นจ่าหมงจึงเดินเข้าไปหา
“จ่าหมง หายแล้วหรือครับ”
“จ้าวซัน จำได้ด้วยว่าผมบาดเจ็บ”
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะครับ”
“นี่ไง เสน่ห์ของจ้าวซัน เขาใส่ใจคนทุกคน”
“ไม่เอาน่า ผู้กอง ผมจริงจังนะ”
“ผมก็จริงจัง คุณชายตั้งใจจะให้ตึกชั้นนี้ เป็นสมรภูมิใช่ไหม”
“หวังว่าจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่ผมจะทำให้คนที่ต้องการตัวผม ตามผมออกมาที่ตรงนี้ ไม่ให้แขกในงานต้องมีอันตราย”
“เมื่อคุณชายกับพวกที่ไล่ล่าคุณชายตามออกมาแล้ว เราจะปิดประตูนั้น”
“ใช่ และตำรวจต้องพร้อมที่จะเข้ามาผสมโรงทันที เมื่อผมให้สัญญาณ”
“ได้ พวกเราจะร่วมกันปิดประตูตีแมว”
ทุกคนสบตากัน กระตือรือร้น

ผิงอันกำลังยืนที่ฉากหน้างานที่เป็นวอลเปเปอร์สัญลักษณ์ฉินเย่ว์กรุ๊ป ให้ช่างภาพหลายคนรุมถ่ายรูปเดี่ยว
ช่างภาพบางคนซูมเข้าไปเน้นที่สร้อยเพชร บราลีและเทเรซ่ายืนดูอยู่ด้านนึง
“คุณหนูผิงอันโตเป็นสาวแล้วจริงๆ”
“ผิงอันจะเป็นผู้นำของตระกูลจ้าวเหมือนที่จ้าวไทไทได้เคยกล่าวไว้จริงๆ เร็วกว่าที่คิดซะอีก”
“เหรอคะ จ้าวไทไทเคยบอกคุณหรือคะ”
“ใช่ค่ะ จ้าวไทไทเคยบอกว่าให้ชั้นช่วยดูแลผิงอันด้วย แล้วตอนนี้ชั้นก็กำลังดูแลผิงอันจริงๆ ด้วยสิ”
“มาดามของเรา หยั่งรู้อนาคตจริงๆ”
ช่างภาพบางคนหันมาเห็นบราลี พวกช่างภาพ นักข่าว กระซิบกระซาบกัน
“เชิญคุณด้วยค่ะ คุณภีมะมนตรี” นักข่าวคนหนึ่งบอกกับบราลี
“คุณเป็นคู่หมั้นของจ้าวซัน ก็นับเป็นสุภาพสตรีตระกูลจ้าวเช่นกัน ขอเชิญร่วมถ่ายภาพกับคุณหนูผิงอันด้วยสิคะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ เชิญคุณบราลีถ่ายภาพกับคุณหนูเถอะค่ะ” เทเรซ่าบอก
ช่างภาพพากันเชิญบราลี บราลียิ้ม แล้วไปยืนคู่ผิงอัน
“พี่บรี ดีจังเลย ฮิๆ หนูไม่ต้องยืนเด๋อคนเดียวแล้ว”
ผิงอันกอดแขนบราลี ช่างภาพรุมถ่ายรูป
“คุณจ้าวเหม่ยอิง เวลานี้อยู่ที่ไหนคะ” นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้นมา บราลี ผิงอัน อึ้ง
“ที่ลือกันว่าจ้าวเหม่ยอิงทำเรื่องทุจริตหลายอย่างกับทางบริษัท เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
ผิงอันอึกอัก หน้าถอดสี
“เอ่อ คือ...”
เทเรซ่าเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาขัดจังหวะ
“ขอโทษนะคะ อย่าเพิ่งสัมภาษณ์เวลานี้นะคะ ประเดี๋ยวทางเราก็จะตอบทุกอย่างที่สื่ออยากทราบอย่างละเอียดในงานนะคะ ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ”
ฉินเจียงควงซูหลิงเข้ามา ทั้งสองมาพบผิงอัน บราลีกำลังถูกรุมถ่ายโดยกองทัพช่างภาพ ซูหลิงตื่นๆ ฉินเจียงมองด้วยความไม่ชอบใจ
“โอ้โห ดังกันใหญ่แล้ว แม่สาวๆ พวกนั้น ดูผิงอันสิ ในที่สุดมันก็ได้ครอบครองเพชรของจ้าวไทไท ไม่ได้นะ! ที่จริง คุณก็มีสิทธิ์เหมือนกันนะซูหลิง” ฉินเจียงบอก
“อะไรคะ”
“คุณก็เป็นมาดามตระกูลจ้าวแท้ๆ คนนึงนี่นา มานี่เร็ว” ฉินเจียงรีบจูงซูหลิงแหวกเข้าไป “ไฮ...เฮลโหลว ทุกคนกำลังสนุกกันใหญ่เลยนะ ว้าว...ผิงอันน้องพี่ เธอสวยมากๆ สวยจนพี่จำแทบไม่ได้”
ช่างภาพทุกคนหันมาสนใจ
“ฮ้า...จ้าวฉินเจียง”
ทุกคนได้ยินหันมา
“จ้าวฉินเจียงจริงๆ ด้วย“
“คุณชายรอง”
“นี่ภรรยาผมครับ ซูหลิง จ้าวซูหลิงเธอกำลังมีทายาทให้ตระกูลจ้าวนะครับ”
“จริงเหรอ กี่เดือนแล้วครับ / ทราบหรือยังครับ ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย / ไม่ทราบว่าตั้งชื่อให้คุณหนูตระกูลจ้าวหรือยังคะ”
นักข่าวถามเซ็งแซ่ ช่างภาพหันมารุมถ่ายซูหลิงกันพึ่บพั่บ ฉินเจียงยิ้มสมใจ ซูหลิงยิ้มเจื่อนๆ แหยๆ เทเรซ่า
ส่ายหัวขำๆ
“เรื่องจอมขโมยซีนเนี่ย คุณชายรองไม่เป็นรองใครเล้ย”

ห้องคอนโทรลของหัวหน้ารปภ. จ้าวซันและพวกตำรวจกำลังดูจอมอนิเตอร์กล้องcctv มุมต่างๆ ในงาน ผู้กองเหลียงชี้ให้ดูคนต่างๆ ที่ปะปนกับแขกในจอพวกนั้น
“นี่คือพวกตำรวจนอกเครื่องแบบของเรา นี่ก็ใช่ๆๆ”
ซ่างกวานซิงชี้ให้ดูผู้ชายที่ใส่แว่นบ้าง สวมหมวกบังหน้าบ้าง ที่เดินเข้าประตูมา สองสามคน ที่อยู่ในจอต่างๆ
“ดูคนพวกนี้สิครับ ท่าทางไม่น่าจะใช่แขกที่ได้รับเชิญมานะครับ”
“จะให้ทางการ์ดไปสกัดไว้ไหมครับ”
“ไม่ต้อง ให้พวกมันเข้ามาเลย แล้วให้ลูกน้องของผู้กองเหลียงจับตาไว้ ประกบเป็นรายตัวไปเลย ไหวไหมครับ”
“จัดไปครับ” จ่าหมงพูด ว.ที่ติดเครื่องที่หูและปกเสื้อ “ว.2 ทราบแล้วเปลี่ยน ได้ยินที่ผมพูดไหม ทุกคน”
ในจอมอนิเตอร์ต่างๆ เห็นพวกคนที่เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ พากันหัน ก้มบ้าง เอียงหน้าบ้าง กระซิบตอบว.ที่เป็นเฮดเซ็ท ติดข้างหู บ้างเงยมาทำมือเป็นสัญญาณโอเคกับกล้อง ผู้กองเหลียงมองจอมอนิเตอร์พวกนั้น หน้าตาพอใจ หันมาสบตาจ้าวซัน
“พวกมันมากันจริงๆ ด้วย งานนี้จัดขึ้นมาไม่เสียเปล่าจริงๆ”
“เยี่ยมไปเลย หวังว่าไอ้เกาเฟยก็คงไม่พลาดนะ”
“อยากแก้แค้นหรือไง เต๋อเป่า” เต๋อเป่ายิ้ม
“ใจเย็นๆ อย่านึกว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามคาด อาจมีหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ อย่าประมาทเด็ดขาด”
ทุกคนรับฟัง

อากงกับพวกเพื่อนๆ ที่ใส่สูท ดูเหมือนเถ้าแก่ กำลังหัวเราะ ชี้หน้า ทักทาย จับมือกัน
“ไม่เจอซะนาน คิดถึงทุกคนนะ ยังไหวกันอยู่หรือเปล่า”
ทุกคนหัวเราะ กอดกัน ตบหลังไหล่กัน ทันใดประตูเปิดพรวดเข้ามา ทุกคนหันไป ชักปืนกัน พึ่บๆๆ คนที่เข้ามาคือภูสินทรและพวกคีรีรัฐ ใส่สูท
“อากง อะไรกัน คนพวกนี้”
“คุณเมืองเทพ” อากงหันมาบอกพวกเถ้าแก่ “ไม่มีอะไรๆๆ พวกเดียวกันๆๆ”
พวกแก๊งค์อากงเก็บปืน
“ขอโทษครับ ที่ทำให้เส้นกระตุก”
“คุณเมืองเทพ คุณชายบอกว่าให้พวกเราอยู่กันในนี้ก่อน แล้วคุณชายจะเป็นคนให้สัญญาณเองว่าจะให้ออกไปตอนไหน”
“ครับ โอ้โห นี่มาจากแผ่นดินใหญ่กันหรือครับ ยินดีครับๆๆ ที่จะได้ร่วมงานกัน”
ภูสินทรจับมือกับทุกคน ก้มหัวคารวะ

ฉินเจียงกำลังให้สัมภาษณ์ นักข่าว ช่างภาพ รุมกัน เทเรซ่ายืนดูแลระวังฉินเจียงอยู่และรับรองแขกไปพลาง
“โอ้ว...ตัวผมเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับธุรกิจของครอบครัวแล้วครับ จนกว่าผมจะเคลียร์ตัวเองจากคดีที่ผมเป็นจำเลยอยู่ให้จบ ตอนนี้ผมก็ดูแลกิจการให้ภรรยาครับ เราทำร้านขายของเก่ากัน ก็เป็นร้านเล็กๆ ช่วยกันสองคนผัวเมียน่ะครับ”
อีกด้าน บราลี ผิงอัน ซูหลิง ยืนคุยกัน
“คุณซูหลิงก็ยังไม่เห็นอยู่ดีนะคะว่าท้อง ดูสิ ต้นแขนก็เล็ก เหมือนน้ำหนักไม่ขึ้นเลย”
“แต่ชุดนี้ต้องเป็นแบบปล่อยๆ แล้วค่ะ ชุดที่เข้ารูปมากๆ ใส่ไม่ได้แล้ว เอวใหญ่ขึ้นหลายนิ้ว”
“พี่ชายใหญ่หายไปไหนคะ พี่บรี”
“ไม่ทราบสิจ๊ะ หายไปนานแล้วด้วย พี่ไปตามดีกว่า”
“รู้สึกหิวน้ำจังค่ะ” ซูหลิงยอกแล้วอยู่ๆ ก็มีอาการหน้ามืด “โอ๊ะ”
“อ้าว คุณซูหลิง มานั่งพักก่อนนะคะ” บราลีประคองซูหลิงมานั่งมุมนึง ที่มีโซฟาขนาดใหญ่ “คุณซูหลิง ไหวไหมคะ เดี๋ยวดิฉันไปหาน้ำมาให้นะ”
“สงสัยท้องว่างน่ะค่ะ มัวแต่แต่งตัว คลื่นไส้จัง”
“งั้นเดี๋ยวไปหาอะไรมาให้รองท้องนะคะ”
“พี่บรี หนูตื่นเต้นจัง รู้สึกปวดห้องน้ำยังไงไม่รู้” ผิงอันบอก
“อ้าว”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปเองได้ พี่บรีดูแลพี่ซูหลิงเถอะ”
ผิงอันรีบไป บราลีมองตาม ห่วงๆ แต่ก็ห่วงซูหลิง
“รอแป๊บนึงนะคะ”
บราลีเดินไปที่โต๊ะค็อกเทล หยิบจานอาหาร มาเลือกอาหารสำหรับซูหลิง ซูหลิงเปิดกระเป๋าหยิบพัดแบบคลี่ออกได้ สวยงาม มาพัดๆ ให้ตัวเอง

ในห้องน้ำหญิงมีสุภาพสตรีคนนึงในชุดราตรียืนล้างมืออยู่อย่างบรรจง ส่องกระจก ดูแลหน้าตา ประตูห้องน้ำห้องนึงเปิดออกมา สุภาพสตรีอีกคนเดินออกมา ล้างมือข้างๆ คนแรก ยิ้มให้กัน แล้วเดินไปหยิบกระดาษเช็ดมือ แล้วทั้งสองเดินออกไปด้วยกัน
ภายในห้องน้ำตอนนี้ไม่มีใคร แล้วมีเสียงชักโครกจากด้านใน ประตูห้องน้ำห้องนึงเปิดออก ผิงอันก้าวออกมา แล้วมาดูเงาตัวเองในกระจก ดูหน้าตาตัวเอง ส่องดูความเรียบร้อยแล้วเปิดน้ำ ล้างมือ ก้มหน้าก้มตา ล้างมือ
ทันใดประตูห้องน้ำด้านในเปิด เท้าในรองเท้าส้นสูงสวยๆ ก้าวออกมา ผิงอันดูเงาในกระจกแล้วเห็นใครบางคนก้าวมายืนซ้อนหลัง ผิงอันเงยขึ้นเห็นเงาคนที่ยืนอยู่ก็ผงะ ตกใจ เพราะเป็นเหม่ยอิงนั่นเอง เหม่ยอิงแต่งตัวสวยงามเลอเลิศเหมือนเคย มายืนข้างๆ เปิดกระเป๋า หยิบลิปสติกมาทา ผิงอันช็อค ทำอะไรไม่ถูก

บราลีเอาอาหารและเครื่องดื่มมาให้ซูหลิง
“โอ๊ย ขอบคุณมากค่ะ คุณบรี โธ่...ดิฉันเลยต้องมารบกวนคุณเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดื่มน้ำหวานๆ ก่อนนะคะ เผื่อน้ำตาลในเลือดต่ำจะได้ช่วยได้”
ฉินเจียงเดินมากับเทเรซ่า พูดจากระซิบกระซาบ

“คุณต้องจัดการให้ซูหลิงได้ขึ้นเวทีไปให้สัมภาษณ์ด้วย ถ้าพี่ใหญ่พีอาร์ให้ยัยซายหมุยได้ ชั้นก็พีอาร์โฆษณาลูกของชั้นได้เหมือนกัน นี่มันคืองานโฆษณาชวนเชื่อ เราก็รู้อยู่แก่ใจกันทุกคนว่ายัยซายหมุยมันทำอะไรเป็นซะที่ไหน เพราะฉะนั้นชั้นก็ต้องการจะโฆษณาถึงลูกในท้องของเมียชั้นว่าอาจจะเป็นผู้ชายก็ได้ สังคมจะต้องรู้ ว่าทายาทตระกูลจ้าวตัวจริงยังมีอีกคน เข้าใจไหม”

ทั้งสองเดินมาถึงโซฟาเห็นซูหลิงกำลังดื่มน้ำ และบราลีใช้พัดคลี่อันสวยของซูหลิง กำลังพัดให้อย่างตั้งใจ
“คุณซูหลิงไม่สบายหรือเปล่าคะ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ที่รัก เดี๋ยวคุณต้องขึ้นเวทีไปให้สัมภาษณ์กับซายหมุยด้วยนะ” ฉินเจียงบอก
“สัมภาษณ์ทำไมคะ สัมภาษณ์เรื่องอะไร ชั้นไม่เอาหรอก คุณอยากพูดอะไร คุณก็ขึ้นไปพูดเองสิ”
“ผมจะขึ้นไปทำไม ผมไม่ต้องการชิงเด่นกับพี่ชายใหญ่หรอก คุณสิ คุณต้องขึ้น ไปแสดงตัวว่าคุณก็คือสะใภ้ตระกูลจ้าวคนนึง”
“แต่ว่า”
“ขึ้นสิคะคุณซูหลิง คุณสวยมากเลยนะคะ วันนี้คุณชายใหญ่ต้องพอใจค่ะ เพราะภาพสะใภ้ตระกูลจ้าวทำให้สังคมเห็นว่า ครอบครัวนี้เป็นปึกแผ่น มั่นคงและสามัคคีกัน น่าจะเป็นภาพที่ดีของธุรกิจนะคะ”
“นั่นสิๆ คุณนี่ฉลาดจริงๆ บรี สมแล้วที่เป็นคู่ใจของพี่ชายใหญ่” ฉินเจียงประจบเต็มที่ แย่งพัดจากบราลี ไปพัดให้ซูหลิง เทเรซ่ามอง ถอนใจ
บราลีมองภาพสองผัวเมียที่ดูรักกันอย่างชื่นชม แล้วไม่วายชะเง้อ
“เอ๊...จ้าวซันไปไหนนะ”

ในห้องน้ำ ผิงอันยืนตกตะลึง เหม่ยอิงปิดน้ำแล้วเดินไปกดล็อกประตูห้องน้ำหลัก แล้วหันมายิ้มหวาน
“น้องสาวตัวน้อยของพี่ โตเป็นสาวแล้วจริงๆ ด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายัยเพิ้งอย่างเธอ แต่งองค์ทรงเครื่องแล้วจะสวยขนาดนี้” เหม่ยอิงหัวเราะเสียงหวานใส ผิงอันกลัว ขนหัวลุก หน้าเผือด ปากสั่น พูดไม่ออก เหม่ยอิงเปิดชายกระโปรงสั้น มีปืนเล็กๆ พกอยู่ หยิบปืนออกมา “ไม่ต้องกลัวพี่นะ ผิงอัน เราเป็นสองพี่น้องที่รักกันออกจะตาย รักกันๆๆ ฮิๆๆ”
เหม่ยอิงเดินเข้ามาใกล้ ในที่สุด มาหยุดเผชิญหน้า ผิงอันมอง สยอง เหม่ยอิงลูบผม จับแก้มผิงอัน ในที่สุดมือมาหยุดที่สร้อยจ้าวไทไท
“แต่ของสิ่งนี้ มันไม่เหมาะกับน้องจริงๆ นะ ผิงอัน อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยเธอจำไม่ได้เหรอว่านี่มันเป็นของมีอาถรรพณ์ ใครที่บัญบารมีไม่ถึง ขืนเอามาสวมใส่ แล้วจะต้องมีอันเป็นไปยังไงล่ะ แบบนี้น้องไม่กลัวเหรอ เพราะน้ำหน้าอย่างน้อง มันต่ำต้อย ไร้ค่าหาความคู่ควรกับมันไม่ได้เลย”
เหม่ยอิงเข้ามา จับตัวผิงอัน ให้หันมองกระจก
“ดูกระจกสิน้องรัก อ๊า...โชคดี ที่มีกระจก น้องจะได้ชะโงกดูเงาหัวตัวเองไว้บ้าง ว่าน้องน่ะมันเทียบกะพี่ไม่ได้เลยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“พี่...พี่ใหญ่... พี่ใหญ่...สบายดีหรือคะ”
“ต๊าย เพิ่งพูดออกมาได้เหรอซายหมุย ชั้นสบายดี สบายมากๆ เลยล่ะ”
“หนูเป็นห่วงพี่นะคะ แม่ก็ห่วง พี่ใหญ่ก็ห่วง”
“เหรอคะ ว้าย...ซาบซึ้งเป็นบ้าเลย ฮะๆๆ” เหม่ยอิงหัวเราะแบบจี้สุดขีด ผิงอันมอง สยอง
“พี่เหม่ยอิง พี่อยากคุยกับพี่ใหญ่สองต่อสองไหมคะ หนูจะโทรเรียกให้พี่ใหญ่มาหาที่นี่” ผิงอันเปิดกระเป๋าถือ “เราจะคุยกันแค่พี่ๆ น้องๆ ถ้าพี่เหม่ยอิงอยากได้อะไร...”
เหม่ยอิงตาดุเหี้ยมทันที
“ชั้นจะอยากได้อะไรเหรอ ชั้นจะไม่ขอพวกแกหรอก ไม่มีอะไรที่ได้มาด้วยการร้องขอ” เหม่ยอิงจี้ปืนมา “แต่มันจะได้ด้วยการต่อสู้ บีบบังคับต่างหากล่ะ นี่ไงฉันจะสอนให้ แล้วแกจำไว้นะ ถอดสร้อยเส้นนั้นออกมา ถอด...เร็ว” ผิงอันรีบถอด แต่ไม่ถนัด ถอดไม่ออก “นังโง่เอ๊ย...แกมันก็แค่หุ่นเชิดของพี่ชายใหญ่นั่นแหละ มานี่”
เหม่ยอิงวางปืนลงที่ข้างอ่างล้างหน้า เข้ามาถอดสร้อยเอง ผิงอันตัวแข็ง ยืนให้ถอด แต่ตาค่อยๆ มองไปที่ปืน

ภายในงาน พนักงานบริกรจัดเลี้ยงที่สั่งมานอกสถานที่ช่วยกันลำเลียงอาหารมาวางเสริมเพิ่มเติมในงาน สมุนพันหงปิง ถือถาด แต่งชุดพนักงาน เดินมาจัดวางที่โต๊ะ เพิ่มเติมของที่พร่องไป แต่มีความมั่วๆ ชนของล้มลง มือของเกาเฟยยื่นมาช่วยประคองของนั้น
“ระวังหน่อยเพื่อน เดี๋ยวจะซวยกันหมดหรอก”
เกาเฟยอยู่ในชุดพนักงานเสิร์ฟ ย้อมผมสีบลอนด์ ใส่แว่นกลมใส ดูลุคเปลี่ยนไป
“ช่วยหน่อยสิ ทำเป็นซะที่ไหน”
“ได้เลย”
เกาเฟยช่วยสมุนจัดเรียงอาหารคอกเทลบนโต๊ะ ตาชำเลืองมองรอบๆ จึงเห็นหมวดจางกับอเล็กซ์ ยืนจิบเครื่องดื่ม คุยกันที่ข้างแจกันดอกไม้ใหญ่ เกาเฟยกระซิบกับสมุน
“ที่ตำแหน่งบ่ายสอง เห็นสองคนนั่นไหม”
สมุนมองตามแล้วตกใจ
“ตำรวจนี่หว่า”
“ไอ้อเล็กซ์ กะไอ้หมวดจาง คู่ปรับชั้นทั้งนั้น”
สมุนมองไปอีกทาง
“นั่นก็ด้วย”
จ่าหมงเดินดูนั่นนี่ไปมา เหล่สาวบ้าง
“จ่าหมง นึกว่าตายแล้วซะอีก”
“ตำรวจเพียบแบบนี้ จะไหวเหรอ”
“ไอ้จ้าวซัน มันจัดงานนี้มาล่อซื้อพวกเรา มันคงนึกว่าจะควบคุมทุกอย่างไว้ในอุ้งมือของมันได้สินะ ฝันไปละมันลืมแล้วหรือไง ว่าชั้นก็รู้ทางหนีทีไล่ไอ้ตึกหลังนี้ดี ไม่น้อยไปกว่ามันเลย”
“แต่ยังไง ชั้นก็ไม่ชอบตำรวจอยู่ดี เห็นแล้วผื่นขึ้น แน่ะ ชักจะคันๆ ละ” สมุนเกาแขน
“ไอ้บ้า ทำตัวดีๆ หน่อย คนดูแลอาหาร มาเกาแกรกๆ ได้ไง จะอ้วก”
เกาเฟยส่ายหัว มองแบบสมเพช แล้วยกถาดเครื่องดื่มเดินไป

เกาเฟยเดินถือถาดเครื่องดื่มอยู่ภายในงาน สายตาคอยชำเลืองและสังเกตตามมุมต่างๆ เกาเฟยเดินผ่านแขกภายในงานที่กำลังเดินมาหยิบเครื่องดื่มไปหน้าตาเฉย เพราะไม่ได้มอง
“อ้าว...น้อง”

“ขอประทานโทษครับ”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 20 (ต่อ)

เกาเฟยรีบหันกลับมาและเดินถือถาดเครื่องดื่มไปให้ แต่ตายังสอดส่ายไปทั่วๆ งาน แขกหยิบแก้วเครื่องดื่มไป ส่ายหน้าหน้าไม่พอใจนัก แล้วเดินออกไป เกาเฟยรีบหันหลังกลับจนเกือบไปชนฉินเจียงที่เดินมาจากด้านหลัง

“เฮ้ย” ทั้งคู่จ้องหน้ากันสักพัก เกาเฟยพยายามทำใจดีสู้เสือ มองฉินเจียง ฉินเจียงมองโกรธ แววตาดุดัน “จะชนแล้วไหมล่ะ ดูทางบ้างสิวะ เอามาสองแก้ว”
ฉินเจียงจำเกาเฟยไม่ได้ หยิบเครื่องดื่มสองแก้วแล้วรีบเดินหันหลังกลับไปอย่างอารมณ์เสีย เกาเฟยยิ้มที่มุมปาก มองหลังฉินเจียงที่เดินไปสักพัก แล้วค่อยๆ เดินตามไปช้าๆ
เกาเฟยเห็นภาพฉินเจียงส่งแก้วน้ำให้ซูหลิง แล้วเอาหลังมือแตะที่หน้าผากซูหลิง ทำนองว่ามีไข้หรือเปล่า ซูหลิงส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร แล้วยกน้ำขึ้นจิบ ฉินเจียงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ เกาเฟยยิ้มสะใจ หันหลังกลับ ทำเนียนเป็นพนักงานเสิร์ฟต่อ

เทเรซ่าและซ่างกวานซิงกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังซักซ้อมและทบทวนกำหนดการของงานอยู่
“โอเค ตกลงตามนี้เลยนะ ห้ามพลาดเลยสักวินาทีเดียว”
เจ้าหน้าที่พยักหน้ารับคำ เทเรซ่ายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ถอนหายใจเหนื่อยอ่อน
“อีกสิบห้านาที งั้นฉันไปดูคุณผิงอันก่อน”
เทเรซ่ากำลังจะเดินไป บราลีเดินเข้ามาหาพอดี ท่าทางร้อนรนพอสมควร
“เห็นคุณชายจ้าวซันไหมคะ”
“ก็มองหาอยู่เหมือนกันค่ะ”
“จะโทตาม ก็กลัวจะไปรบกวนท่าน เดี๋ยวจะโดนหาว่าเซ้าซี้อีก”
“นั่นน่ะสิคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงมาที่นี่เพราะท่านคงอยากจะเช็ครายละเอียดทุกส่วนให้พร้อม”
เทเรซ่ามองไปรอบๆ หาจ้าวซันเช่นกัน แล้วผงะ อึ้งไป พูดไม่ออก บราลีงง มองตามเทเรซ่าไปแล้วช็อกเมื่อเห็นเหม่ยอิงซึ่งตอนนี้เป็นคนใส่เพชรเส้นนั้นแล้ว เหม่ยอิงควงผิงอันออกมาจากด้านใน เดินไปยิ้มหวาน ทักทายผู้คนแถวนั้น ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างมองเหม่ยอิง พากันประหลาดใจ จับกลุ่มนินทาไปต่างต่างนานา
สักพักเหม่ยอิงมองเห็นผู้กองเหลียงและหมวดจางที่ยืนหันหลังจิ้มอาหารคอกเทลกินอยู่อีกทาง เหม่ยอิงพาผิงอันเดินตรงเข้าไปหาผู้กองเหลียงอย่างท้าทาย แต่ผู้กองเหลียงไม่ได้มองมาทางเหม่ยอิง หมวดจางหันมาเห็นพอดี ตะลึง
“ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะคะ” เหม่ยอิงทักเสียงดัง ผู้กองเหลียงหันหน้ามาตามเสียง เห็นเป็นเหม่ยอิง สำลักอาหารในคอ “เห็นหน้าดิฉันแล้วนี่ถึงกับ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เลยเหรอคะ”
“คะ...คุณเหม่ยอิง”
เหม่ยอิงหันไปหาหมวดจาง
“ค่ะ ดิฉันเอง” หมวดจางอึ้ง เหวอ ผู้กองเหลียงรีบพยายามกลืนอาหารลงคออย่างยากลำบาก “เป็นอะไรไปคะไม่สบายหรือเปล่า หน้าดูซีดเผือดชอบกล”
“ทำไม คือ...คุณมาได้ยังไง”
“กล้า” มาได้ยังไงน่ะหรือคะ ฉันก็มารายงานตัวยังไงล่ะ หึ”
ผิงอันมองเหม่ยอิงอย่างทึ่งในความใจถึง แล้วผิดหวังที่พวกตำรวจไม่ทำอะไรเลย เหม่ยอิงยิ้มให้ผู้กองเหลียงอย่างท้าทาย และหันหลังเดินจูงผิงอันออกไป เหม่ยอิงหันกลับมา
“ขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ ไม่อยากรบกวนเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่”
ผู้กองเหลียงยืนอึ้ง มองตามเหม่ยอิงไป
บราลีและเทเรซ่าเห็นเหม่ยอิงกับผิงอันกำลังจะเดินผละออกจากผู้กองเหลียงไป บราลีมีสีหน้าเยือกเย็น กำมือแน่น ขยับทำท่าจะเดินเข้าไปหา เทเรซ่ารีบมาคว้าแขนบราลีไว้
“คุณบรี อย่าไปเสี่ยงเลยค่ะ ให้ตำรวจเขาจัดการดีกว่า”
“ตำรวจที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ทั้งสองคนนั่นเหรอคะ ฉันจะไปพาผิงอันกลับมา”
บราลีเดินหลุดจากมือของเทเรซ่าและรีบเดินตรงไปทางเหม่ยอิงทันที

บราลีรีบเดินหลบผู้คนไปด้านข้างเวทีทางที่เหม่ยอิงยืนอยู่เพื่อที่จะพยายามเอาตัวผิงอันออกมา เหม่ยอิงปรายตาเห็นบราลีที่กำลังเข้ามาใกล้ จึงรีบเบี่ยงเอาตัวเองมาบังผิงอันไว้ แล้วผลักผิงอันไปอีกทางไม่ให้บราลีเข้าถึงได้ง่ายๆ อย่างเนียนๆ ผิงอันงง มองหน้าเหม่ยอิง
“นังตัวดี คราวนี้ชั้นไม่ให้มันรอดแน่”
“พี่เหม่ยอิง พี่ไม่กลัวหรือ ไม่มีใครเขาปล่อยให้พี่ทำอะไรตามใจชอบได้หรอกนะคะ”
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า ไอ้คนพวกนี้ มันไม่กล้าทำอะไรให้พวกลูกค้า นักลงทุนพวกนี้ตื่นตกใจหรอก ฮะๆๆ”
“พี่อย่าทำอะไรพี่บรีนะ หนูขอ”
เหม่ยอิงเห็นนักข่าวและช่างภาพหลายคนเตรียมตั้งกล้องอยู่หน้าเวที เหม่ยอิงคิดอะไรได้จึงพาผิงอันเดินเข้าไป
“ใกล้เวลาแถลงข่าวแล้วสิ นัดคิวอะไรกันเหรอ ฉันไม่สนหรอกนะ กำหนดการทั้งหมดของงานนี้ ต่อจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนกำหนดเอง มาทางนี้”
“พี่เหม่ยอิง หนูกลัวแทนพี่นะ หนูไม่ได้กลัวสำหรับตัวเองแล้ว”
เหม่ยอิงไม่สน ไม่ฟัง เข้าไปพูดดีกับพวกนักข่าว
“ขอโทษนะคะ ช่วยเว้นทางเดินตรงกลางไว้หน่อยได้ไหมคะ”
กลุ่มนักข่าวหันมามองทางที่มาของเสียง เหม่ยอิงโพสท์ท่าแบบเชิด สวย แต่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่พยายามตั้งใจจนเกินไป
“หา...คุณเหม่ยอิงนี่”
“คุณเหม่ยอิงจริงด้วยๆ”
กลุ่มนักข่าวเริ่มอื้ออึง
“เร็วสิ มาเก็บภาพทางนี้ก่อน เร็วๆ”
นักข่าวหลายคนย้ายที่ตั้งกล้องและพากันกรูเข้ามาถ่ายรูปเหม่ยอิง แสงแฟลชวูบวาบ ไมโครโฟน และเครื่องบันทึกเสียงของนักข่าวต่างยื่นมาตรงหน้าเหม่ยอิง ผิงอันโดนเหม่ยอิงกอดแทบจะเหมือนล็อกคอติดตัวไว้แน่น บราลีชะเง้อมองผิงอันด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษนะคะ เดี๋ยวงานจะเริ่มแล้ว ไว้สัมภาษณ์ทีหลังดีไหมคะ”
“ช่วงนี้คุณเหม่ยอิงหายไปอยู่ไหนมาคะ”
“แล้วข่าวลือที่ว่าคุณมีอาการป่วยทางจิต เอ่อ...หมายถึงไม่สบายน่ะ จริงหรือเปล่าคะ”
“เขาพูดกันว่าคุณเป็นต้นเหตุที่ทำให้สื้อฉวนเกือบจะล้มละลาย คุณคิดว่าไงครับ”

“ความสัมพันธ์ของสี่พี่น้องตระกูลจ้าวล่ะคะ”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 20 (ต่อ)

นักข่าวพากันยิงคำถาม เหม่ยอิงหันหน้ายิ้มกับทุกคำถามโดยไม่ออกอาการโกรธหรือหงุดหงิดแม้แต่น้อย
“ขอตอบสั้นๆ ก่อนแล้วกันนะคะ เพราะว่าเดี๋ยวจะไม่ทันกำหนดการงานนี้จริงๆ คือระยะนี้ดิฉันไปคุมโรงงานที่กำลังเปิดใหม่ที่เสิ่นเจิ้นด้วยตัวเองตลอด จนไม่มีเวลาออกงานสังคมที่ไหนเลย นิสัยเสียน่ะค่ะ คือไม่ค่อยไว้ใจลูกน้องต้องลงมือไปทำเอง จริงๆ ก็อย่างที่รู้กันว่าสถานการณ์ของบริษัทเราช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก เราสี่คนก็เลยต้องช่วยๆ กันดูแล ใครว่างพอที่จะทำอะไรได้ก็ทำ”
“แล้วเรื่องคดีล่ะคะ”
“คดีอะไรค่ะ ดิฉันไม่ทราบเลยค่ะ ต้องขอโทษด้วย เดี๋ยวดิฉันฝากเบอร์ทนายของบริษัทไว้ให้แล้วกันนะค่ะ”
“เสียใจไหมครับที่จะไม่ได้เป็นไท้เผ่ง”
“ปฏิเสธว่าพี่น้องไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหมค่ะ”
“พอแค่นี้ก่อนดีกว่านะคะ คือจริงๆ เราก็โตๆ กันแล้ว หมายถึงพวกเราสี่คนน่ะคะ ก็คงไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ แล้ว ตอนนี้มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ตระกูลจ้าวเหมือนกัน ใครจะเป็นไท้เผ่งก็ไม่สำคัญ” ผิงอันมองหน้าเหม่ยอิง ช็อกในความตอแหลได้เป็นตุเป็นตะ เหม่ยอิงหันไปมองหน้าบราลีจังๆ แล้วยิ้มให้อย่างมีชั้นเชิง “งานจะเริ่มแล้ว ถ้าจะถ่ายรูปดิฉันกับน้องสาวช่วยกรุณาหลบไปทางนี้ดีกว่าไหมคะ”
เหม่ยอิงลากผิงอันไปถ่ายรูปคู่ด้วยกันที่ด้านข้างของเวทีอีกข้างหนึ่ง เหม่ยอิงยืนหันหน้าไปหาบราลี มองตาไม่กระพริบ และยิ้มอย่างท้าทาย
บราลีเห็นแสงแฟลชฉายวูบวาบใส่หน้าเหม่ยอิงที่จ้องมายังตน มองดูแล้วน่ากลัว สร้อยที่คอเหม่ยอิง วูบวาบ แพรวพราว
“สร้อยเส้นนั้น เธอปล้นไปได้แล้ว”
บราลีพึมพำออกมาเบา

ซูหลิงนั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอก เอามือกุมขมับ แก้วเครื่องดื่มที่ฉินเจียงเอามาหมดเกลี้ยงและวางอยู่บนโต๊ะทั้งสองแก้ว ฉินเจียงนั่งลงข้างๆ โอบซูหลิงให้มาซบและเอาแขนอ้อมไปแตะแก้มซูหลิงด้วยความเป็นห่วง
“ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างหรือยัง คุณหน้าซีดมากเลยนะ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“เอาอะไรอีกไหม เค้กไหม”
ฉินเจียงลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ อิ่มแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นน่ะค่ะ ขอนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นี่สักพักนึงก่อน”
“ไม่เอาสิ แล้วผมจะทิ้งคุณไว้คนเดียวได้ยังไง”
ฉินเจียงยื่นมือมาให้ซูหลิง ทำนองว่าจะฉุดให้ลุกแล้วเดินไปด้วยกัน ทันใดนั้นก็มีนักข่าวคนหนึ่งกับตากล้องวิ่งตาลีตาเหลือกเข้าไปในงาน
“เร็วๆ สิ ตามมาเร็วๆ เข้า ไม่ทันแล้วเนี่ย”
ฉินเจียงหันไปมอง แปลกใจเล็กน้อย มองนาฬิกา
“สงสัยงานจะเริ่มแล้ว เอ๊ะ...มันยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่เหรอ”
สักพักก็มีแขกในงานสองสามคนรีบเดินเข้าไปในห้องจัดงานอย่างรวดเร็ว คุยกันเสียงดัง
“เร็วๆๆ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ขอฉันไปดูหน้าหน่อยเถอะ”
“กล้ามาได้ยังไงก็ไม่รู้นะ มีข่าวลือขนาดนี้แล้ว”
“พวกคุณรู้จักจ้าวเหม่ยอิงน้อยเกินไป”
ฉินเจียงมองตามสามคนนั้นที่เข้าไปในงาน แล้วหันกลับมาพูดกับซูหลิง
“เหม่ยอิง? คุณได้ยินเหมือนผมไหม”
“คุณเหม่ยอิงมางานนี้เหรอคะ”
“เป็นไปไม่ได้”
ฉินเจียงรีบเดินเข้าไปในห้องจัดงานทันที ซูหลิงลุกขึ้นมองตามด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที รีบเอามือกุมขมับ ซูหลิงทรงตัวต่อไม่ไหว ทรุดลงไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม

ที่ห้องเล็กๆ สำหรับสูบบุหรี่ด้านนอก ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์ยืนถกกันอยู่หน้าดำคร่ำเครียด
“เป็นผมเมื่อกี้ผมจับไปแล้ว คุณปล่อยไปได้ยังไง คนร้ายยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ”
“เรามองกันคนล่ะมุมอเล็กซ์ คุณไม่เข้าใจผม เราจะให้แขกของงานนี้แตกตื่นไม่ได้”
“ไม่มีตำรวจประเทศไหนเข้าใจคุณหรอก ผู้ต้องหาเดินให้มาจับถึงที่แต่ก็ปล่อยไปซะ เจริญ...วงการตำรวจเจริญแน่ คราวนี้คุณไปชี้แจงกับผู้ใหญ่เองนะ ผมไม่เกี่ยว”
“แต่ตอนนี้คนของเราก็กำลังจับตาดูคุณเหม่ยอิงอยู่ทุกฝีก้าว ไม่มีวันที่เธอจะหนีออกไปจากที่นี่ได้”
“จับตาเหรอ จับทำไม ก็ไปจับตัวเขามาเลยสิ เอาไหม ผมไปด้วย ไปจับเหม่ยอิงเข้าคุกด้วยกันเลยตอนนี้”
“ได้”
“ไป”
อเล็กซ์เดินนำเข้าไปในงาน
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้” อเล็กซ์งง หันกลับมามองหน้าผู้กองเหลียง “รอให้งานเลิกก่อนได้ไหม แค่นี้บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ก็มีปัญหามาพอแล้ว หุ้นตกเละเทะ ถ้างานนี้พัง เราจะทำให้เขาหายนะมากขึ้นไปอีก”
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณไม่ใช่ตำรวจ เป็นพนักงานในบริษัทนี้เหมือนกันเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วจะต้องไปแคร์ทำไม”
“ถ้ามีฆาตกรคนหนึ่งหนีเข้าไปในตลาด ผู้กองจะยิงกราดทั้งตลาดเลยใช่ไหม”
อเล็กซ์ส่ายหน้า
“เราทำงานร่วมกันไม่ได้จริงๆ”
หมวดจางวิ่งกระหืดกระหอบมาจากด้านนอก
“ผมหาจ้าวซันไม่เจอเหมือนกันครับ ไม่รู้หายไปไหน ในงานก็ไม่มี ด้านหลังเวทีก็ไม่อยู่”
“เอาแล้วไง ความหายนะมันเริ่มตั้งเค้ามาแล้วไง”

สีหน้าผู้กองเหลียงกลุ้มใจสุดๆ

เทเรซ่า ซ่างกว่านซิง กำลังปรึกษากันอยู่ข้างเวที
“เพลงนี้จบแล้ว จะให้คุณหนูขึ้นเลยหรือเปล่าครับ”
ซ่างกว่านซิงถามเทเรซ่า เหม่ยอิงจูงมือผิงอันมาเผชิญหน้า เทเรซ่าตกใจ
“ชั้นจะขึ้นเดี๋ยวนี้ ขอไมค์เพิ่มอีกตัวด้วย”
เหม่ยอิงบอกซ่างกว่านซิง ซ่างกว่านซิงทำหน้างงๆ
“ครับ”
ซ่างกว่านซิงส่งไมค์ให้เหม่ยอิง เหม่ยอิงยื่นให้ผิงอัน
“เธอใช้อันนี้” เสียงเพลงจบลง นักเปียโนลุกขึ้นคำนับ “ได้เวลาแสดงละครกันแล้ว ไป”
เหม่ยอิงบอกผิงอัน เทเรซ่าเข้าขวาง
“ขึ้นไปไม่ได้นะคะ เอ่อ...งานนี้คุณไม่เกี่ยว”
“คุณเหม่ยอิงครับ คืองานนี้เป็นงานแนะนำคุณหนูเล็ก เพราะฉะนั้นกรุณารอทางนั้นก่อนดีไหมครับ” ซ่างกว่านซิงผายมือไปด้านข้างเวที
“ไม่ งานแนะนำตัวซายหมุย คนแนะนำมันต้องเป็นฉันสิ ฉันคนเดียวเท่านั้น”
บราลีรีบมาหา ผิงอันหันไปเห็น
“พี่บรี”
เหม่ยอิงมองบราลี เยือกเย็น วางสง่า แล้วหันมาโอบผิงอันมาชิดตัว เหม่ยอิงกระซิบสั่งผิงอัน
“รีบขึ้นไปสิ”
ผิงอันมองบราลี ขอความช่วยเหลือ บราลีพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้ขึ้นไปและให้กำลังใจผิงอันด้วยแววตา
เหม่ยอิงเดินนำผิงอันขึ้นมาบนเวที ผู้คนภายในห้องจัดงานฮือฮา เสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชวูบวาบเต็มไปหมด
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านค่ะ ก่อนอื่นดิฉัน “จ้าวเหม่ยอิง” ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่งานวันนี้อาจจะขลุกขลักไปบ้าง”
ข้างเวทีเทเรซ่า ซ่างกว่านซิง บราลีนั่งไม่ติด ยืนลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ดูเค้าจิตแข็งจริงๆ ไม่มีความหวั่นไหวอะไรเลย”
“เค้าน่ากลัวมาก”
“คุณชายไปไหน”
“คุณชาย คงกำลังสังเกตการณ์อยู่ ตรงไหนแน่ๆ”
บราลีมองเหม่ยอิงที่กำลังแถลงข่าวอยู่บนเวทีและผิงอันมองลงมาตาละห้อย

ภาพบนเวทีที่มีเหม่ยอิงและผิงอันยืนอยู่จากมอนิเตอร์ในห้องรปภ.จ้าวซันยืนหน้าเครียดอยู่ตรงกลางห้องคอนโทรล ข้างๆ รายล้อมไปด้วยจ่าหมง หัวหน้ารปภ. อากง นักเลงเก่าและคนของภูสินทรบางส่วน
“ผิดแผนแล้ว เราจะเอาไงดีครับ”
“ผมพลาดละ ผมไม่นึกว่าเขาจะกล้าออกโรงเอง นึกว่าจะส่งแต่ไอ้พวกผู้ชายมาจัดการผม แต่เขามาแบบเปิดเผยอย่างนี้ แสดงว่าเขาจะแลกแล้ว เขาใจเด็ดมากที่กล้าเอาตัวมาอยู่ในที่แจ้ง”
“จ้าวเหม่ยอิงทำได้ทุกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้ถือไพ่เหนือเราก็แปลว่าเขาคิดคว่ำกระดาน ล้างไพ่ เอาให้มันเละเป็นโจ๊กไปทุกฝ่าย”
“ต้องแยกผิงอันออกมา แล้วพาบรีกับผิงอันไปให้พ้นอันตราย ไปอยู่ในห้องทำงานผมก่อนก็ได้” จ้าวซันมองภาพเหม่ยอิงและผิงอันบนเวทีอีกครั้ง “ทุกคนรออยู่ที่นี่ก่อน เรายังทำตามแผนเดิม ตอนนี้ห้ามลงมือทำอะไรโดย
พลการทั้งนั้น” ทุกคนพยักหน้ารับคำ จ้าวซันรีบเดินออกไป หันกลับมากำชับทุกคนอีกที “จับตาพวกคนแปลกปลอมที่เราหมายหัวไว้ให้ดี แต่ถ้ามันเริ่มทำอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็...”
“ไม่ต้องห่วงครับ มีพวกตำรวจบางส่วนคอยตามประกบอยู่แล้ว”
“หวังว่าคืนนี้เราจะยังเป็นคนคุมเกมอยู่นะ”
จ้าวซันรีบเดินออกจากประตูห้องคอนโทรลไป

บนเวทีเหม่ยอิงกำลังเดินไปกอดผิงอัน
“มาน้องรักให้พี่กอดทีนึง”
เหม่ยอิงอ้าแขนรอ ผิงอันไม่ขยับ เหม่ยอิงจึงเดินเข้าไปกอด ผิงอันยืนตัวแข็งนิ่ง เหม่ยอิงหันมองกล้องค้างท่ากอดผิงอันไว้ นักข่าวพากันถ่ายรูปกระหน่ำ เทเรซ่าส่ายหน้า หันมองหน้าบราลี
“เรารักกันมากค่ะ สนิทกัน มีเรื่องอะไรผิงอันก็จะเดินมาปรึกษาฉันก่อนเป็นคนแรกเสมอ ใช่ไหมจ๊ะ”
เหม่ยอิงคลายกอดจากผิงอัน ผิงอันหันกลับไปพยักหน้าช้าๆ ยิ้มแหยๆ เหม่ยอิงลูบหัวผิงอันด้วยความเอ็นดู
“นางเอกงิ้วชีวิตสะเทือนใจชัดๆ” ซ่างกว่านซิงบอก
“ฉันก็คอยสอนผิงอันตลอดทั้งเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องธุรกิจ รวมถึงเรื่องการเตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศ ผิงอันเพิ่งเรียนจบแค่ระดับไฮสคูลเท่านั้นเอง”
แขกผู้มีเกียรติฟัง สนใจ พวกตำรวจ เดินแทรกไปมุงหน้าเวที บราลีถอนหายใจ รู้สึกว่าแย่แล้ว
ขณะนั้นจ้าวซันกำลังลัดเลาะมาจากประตูทางเข้า แขกไปมุงสนใจกันแต่ที่เวทีหมดแล้ว มีช่างภาพวีดีโอคนนึง กำลังถ่ายภาพงานรวมๆ อยู่ ใช้ขาตั้งกล้อง ใส่หมวกแก๊ปแบบเอาปีกหมวกหันไปข้างหลัง จ้าวซันเข้าไปแตะแขนช่างภาพนั้น ช่างภาพหันมา
บนเวทีเหม่ยอิงหัวเราะสดใส
“ถึงแม้น้องสาวของดิฉันจะยังเรียนไม่จบ แต่เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจมากค่ะ เรียกว่าเป็นอัจฉริยะก็ว่าได้”
จ้าวซันสวมหมวกแก๊ปเอาปีกบังหน้าและถือกล้องวิดีโอนั้นบังหน้า เดินลิ่วจะไปที่เวที ทันใดนั้นก็มีเสียงฮือฮาจากแขกผู้มาร่วมงาน จ้าวซันหยุดมองขึ้นไปบนเวทีเห็นฉินเจียงกำลังเดินขึ้นไปจากเวทีด้านขวา เทเรซ่ากับซ่างกว่านซิงพยายามห้ามแต่ไม่ทัน
“คุณชายรองค่ะ”
ฉินเจียงเดินไปชี้หน้าเหม่ยอิง
“อีหน้าด้าน”

ฉินเจียงเดินไปคว้าไมค์จากมือผิงอัน เหม่ยอิงตะลึงเล็กน้อย แขกภายในงานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เกาเฟยที่ปลอมเป็นเด็กเสิร์ฟค่อยๆ เดินเลียบๆ เคียงๆ ไปหน้าเวทีฝั่งขวา
“ตำรวจอยู่ไหนครับ ช่วยขึ้นมาจับผู้หญิงเสียสติคนนี้หน่อย”
อเล็กซ์ขยับตัว ค่อยเดินไปหน้าเวที ผู้กองเหลียงเหลือบมองและรีบสั่งหมวดจาง
“ไปบอกอเล็กซ์ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้”
จ้าวซันรีบเดินเข้าไป ตั้งใจจะเข้าไปแยกตัวผิงอันมาก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น
“ฉินเจียง แกไม่รู้หรือไง ว่าผิงอันอยู่ในอันตราย” จ้าวซันบ่นออกมาเบาๆ
“ท่านแขกผู้มีเกียรติคะ นี่คือคุณชายรองของตระกูลจ้าว จ้าวฉินเจียงขอเสียงปรบมือด้วยค่ะ” เหม่ยอิงบอกผ่านไมค์
“ไม่ต้องตบ ตบทำไม” ฉินเจียงบอก พวกแขกงง ซุบซิบ มองหน้ากัน
“พี่คนนี้ก็เป็นคนดีมาก ถึงตอนนี้จะยังมีเรื่องคดีติดตัวอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังทุ่มเทให้กับการทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่”
ฉินเจียงลดไมค์ลง หันไปพูดกับเหม่ยอิง
“ใครเชิญแกมา ที่นี่ไม่มีที่ให้แกยืนอีกต่อไปแล้ว”
“พี่กำลังจะเป็นคนทำให้งานนี้ล่มเองนะ” เหม่ยอิงยิ้มท้าทาย
“ล่มก็ไม่เป็นไร ฉันจะทำ และผู้หญิงคนนี้ครับ...” ฉินเจียงถือไมค์เดินไปพูดกับแขกในงาน “จ้าวเหม่ยอิง น้องสาวคนละแม่กับผม เป็นคนจิตวิปริต จ้องจะฮุบสมบัติทั้งหมดของตระกูลจ้าวเป็นของตัวเอง แต่พอพลาดก็เลยวางแผนจะทำลายทุกอย่าง ข่าวลือทั้งหมดที่พวกคุณได้ยินเป็นเรื่องจริงครับ”
นักข่าวฮือฮา แขกในงานซุบซิบกัน หมวดจางไปสะกิดบอกอเล็กซ์ว่าให้รอก่อน
“อยากจะให้ฉันแนะนำพี่ ให้แขกรู้จักดีขึ้นกว่าเมื่อกี้บ้างไหมล่ะ”
เหม่ยอิงเดินไปประจันหน้ากับฉินเจียงอย่างไม่เกรงกลัว ฉินเจียงจ้องกลับ ผิงอันไม่รู้จะทำยังไง มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย เทเรซ่ากับซ่างกว่านซิงร้อนรนอยู่ข้างเวที เอามือกุมขมับ ผิงอันหันไปมองเห็นบราลี ที่พยายามส่งสัญญาณให้ถอยออกมาจากเหม่ยอิง เหม่ยอิงชำเลืองไปเห็นพอดี เอามือคว้าแขนผิงอันไว้แล้วดึงมาข้างตัว ฉินเจียงเห็นจับแขนผิงอันแล้วดึงมาเหมือนกัน จึงเกิดการแย่งเหมือนชักคะเย่อ
“โอ๊ยย” ผิงอันร้องออกมา
บราลีก้าวขึ้นเวทีไป แต่เทเรซ่ากับซ่างกว่านซิงเข้ามาห้ามไว้

จ้าวซันซึ่งทำทีเป็นกำลังถ่ายวีดีโอค่อยๆ เคลื่อนตัวเองไปทางฝั่งซ้ายของเวที พร้อมกับแกล้งถ่ายวีดีโอ จ้าวซันทำเนียนเป็นช่างภาพมาด้านข้างของเวที เมื่อได้จังหวะไม่มีใครสังเกตเห็น จ้าวซันหลบหายเข้าไปด้านหลังเวทีทันที
“สร้อยที่ใส่อยู่ตอนนี้ ทุกคนคงจำได้ดีนะครับ เหม่ยอิงขโมยมาครับ ไม่มียางอายเอาซะเลย ถอดออกมาซะ”
ฉินเจียงบอก เหม่ยอิงอึ้ง เริ่มโกรธ แต่ยังพยายามเก็บอาการ เกาเฟยเกาะติดข้างเวที จ้องเขม็ง ลุ้น
“จริงๆ สร้อยนี้เป็นสมบัติของตระกูลจ้าว ชั้นเป็นลูกสาวคนแรกของเต้ มันก็ย่อมต้องเป็นของชั้นอยู่แล้วนะคะท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน”
“ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่ทายาทตระกูลจ้าวอีกต่อไป เพราะ...เขา...เขา...”
อยู่ๆ ฉินเจียงก็เริ่มรู้สึกมึนหัวเพราะโดนยาในเครื่องดื่มมาก่อน เริ่มเซ เกาเฟยเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ้มดีใจ
ผิงอันแปลกใจหันไปมอง เหม่ยอิงสบตากับเกาเฟย แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้ม รู้ สะใจ
“สงสัยวันนี้จ้าวฉินเจียงคงดื่มมากไปหน่อย ขอประทานโทษทุกท่านด้วยนะคะ เมื่อกี้พี่ชายรองคงเมามากน่ะค่ะ เราอย่าไปถือคนบ้าอย่าว่าไปคนเมาเลยแล้วกันนะคะ”
“อ๊า” ฉินเจียงเซไปทางหน้าเวที มืออ่อนแรง
ฉินเจียงปล่อยไมค์ในมือตกลงพื้น เสียงดังก้องไปทั้งห้อง
“ว้าย”
เกาเฟยในคราบพนักงานเสิร์ฟเดินขึ้นมา สบตากับเหม่ยอิงเล็กน้อย พยักหน้าให้กัน แล้วค่อยๆ ประคองฉินเจียงลงเวทีไป พวกตำรวจมองหน้ากัน
“บ๋อยคนนั้น”
“ทำไมเหรอ”
ผู้กองเหลียงถามหมวดจาง ผิงอันก้มลงเก็บไมค์ที่ตกที่พื้น
“น้ำ...น้ำดื่ม...ซูหลิง” ฉินเจียงพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่ดื่มน้ำกับซูหลิง “ซูหลิง แย่แล้ว”
“ถ้าไม่อยากตาย อยู่เฉยๆ อย่าเอะอะ” เกาเฟยกระซิบบอกแล้วรีบล็อกคอฉินเจียงพาออกไป
ข้างเวทีบราลี เทเรซ่า ซ่านกว่านซิงมองตามฉินเจียงด้วยความเป็นห่วง
“คุณชายรองเป็นอะไรไป”
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเข้าสู่ช่วงพิธีการกันต่อเลยดีกว่าค่ะ” เหม่ยอิงล็อกคอผิงอันมากอดไว้
“เจ้าพี่ไปไหนเนี่ย”
บราลีกระวนกระวาย มองหาจ้าวซันในงาน
“ผิงอัน ทำไมน้องไม่พูดจาอะไรบ้างล่ะ น้องสวยมากเลยนะคะคืนนี้ ใช่ไหมคะท่านแขกผู้มีเกียรติ”
“ผิงอันแย่แล้ว” บราลีร้อนใจ
“ทำอะไรล่ะคะ”
“ดอกไม้ล่ะเทเรซ่า ช่อดอกไม้อยู่ที่ไหน”
“ช่อดอกไม้อะไรคะ”
“ก็ที่จะให้ผิงอันไง รีบไปเอามาเร็ว”
“หา จะขึ้นไปให้ตอนนี้เลยเหรอครับ”
“ใช่”

ซูหลิงเดินมึนๆ มา ค่อยๆ เปิดประตูห้องพักของด้านหลังเพื่อหาที่นอน
“โทษนะคะ มีใครอยู่ไหมคะ” ซูหลิงชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีใครอยู่ในห้องหรือเปล่า แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปแถวโซฟา “ขอนอนหน่อยเถอะนะ ไม่ไหวแล้ว”
ซูหลิงนอนพักบนโซฟาเอามือก่ายหน้าผาก สักพักซูหลิงได้ยินเสียงดังเอะอะจากด้านนอกเหมือนมีคนเดินอยู่หน้าประตูหลายคน ซูหลิงรีบลุกขึ้นนั่ง เพราะกลัวว่าจะมีคนเข้ามาในห้อง ซูหลิงหันมองไปที่ประตู มีเสียงพูดกันอยู่ด้านนอกจึงค่อยๆ ลุกไปดูอย่างมึนๆ
ซูหลิงเอื้อมมือจะไปบิดลูกบิดประตูเพื่อเปิดออกดู แต่แล้วเปลี่ยนใจมองที่ตาแมวของประตูแทน ซูหลิงมองผ่านตาแมวเห็นพวกคนเสิร์ฟปลอมๆ ท่าทางไม่น่าไว้วางใจหลายคนกำลังคุยอะไรกันบางอย่าง ได้ยินไม่ถนัด สักพักพันหงปิงที่แต่งตัวเป็นชุดเชฟสีขาว มีหมวก เดินพาพวกชายชุดพนักงานเสิร์ฟขาวหลายคนเข้ามา ทุกคนมีปืน ทั้งหมดยืนอยู่หน้าประตู ซูหลิงตกใจหน้าซีด
“พร้อมแล้วใช่ไหม” พวกสมุนต่างพยักหน้ารับคำ “หาที่ซ่อนตัวอยู่แถวนี้ก่อน แล้วรอฟังคำสั่ง อีกไม่เกินสิบนาที วีวิวร็อกเดอะเวิร์ลด์”
ทั้งหมดจับมือรวมพลังกัน แต่แล้วจู่ๆ พันหงปิงหันกลับมามองที่ประตูที่ซูหลิงแอบมองอยู่ ซูหลิงรีบก้มตัวหลบลงไป จากนั้นซูหลิงค่อยๆ กึ่งย่องกึ่งคลานไปหยิบมือถือในกระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะข้างโซฟา ซูหลิงลนลานกดโทรศัพท์ รัวๆ กดผิดกดถูก พร้อมกับมองที่ประตูอยู่ตลอดเวลา พร้อมเดินหาที่ซ่อน
“ฉินเจียงทำอะไรอยู่ รับสักทีสิ”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 20 (ต่อ)

เกาเฟยลากคอฉินเจียงที่ยังไม่ค่อยได้สติไปตามทางเล็กๆ ของแผนกแม่บ้าน-สต๊าฟ เสียงโทรศัพท์ของฉินเจียงดังขึ้นตลอดทาง ฉินเจียงพยายามดิ้น แต่ยังคงมึนๆ พยายามหลับตาปี๋เพื่อเรียกสติกลับคืนมา

“ปล่อย บอกให้ปล่อย”
เกาเฟยลากฉินเจียงมาถึงห้องเก็บของเล็กๆ ด้านใน
“ปล่อยแน่ ไป” เกาเฟยโยนฉินเจียงลงไปบนพื้น ฉินเจียงเซไปโดนข้าวของกระจัดกระจาย และล้มไปข้างๆ ถังน้ำที่มีไม้ถูพื้นเสียบไว้อยู่ “ดีแล้ว กองอยู่ตรงนั้นแหละ แกมันก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ เกะกะไม่เข้าเรื่อง คนเขาอุตส่าห์วางแผนมาดีๆ เกือบจะทำให้เสียเรื่องแล้วไหมล่ะ”
โทรศัพท์ยังดังไม่หยุด ฉินเจียงพยายามเรียกสติกลับคืนมาแล้วค่อยๆ ล้วงมือลงไปหยิบในกระเป๋ากางเกง ฉินเจียงเห็นชื่อบนโทรศัพท์เป็นซูหลิงจึงรีบกดรับ
“อยู่ไหน ช่วยฉันด้วย ช่วยด้วยๆ”
“อะไรนะ พูดดังๆ ซูหลิง ไม่ได้ยินเลย เธออยู่ไหน เหวยๆๆ”
เกาเฟยเดินมากระชากโทรศัพท์มือถือจากฉินเจียง
“หนวกหูเว้ย”
เกาเฟยหย่อนโทรศัพท์ลงในถังน้ำใกล้ๆ
“เฮ้ย”
เกาเฟยหัวเราะเสียงดังสะใจ แล้วหันไปตบหัวฉินเจียง
“ทำไม ไอ้ลูกเต่า แกชอบด่าชั้นหยาบๆ คายๆ ดีนัก ตอนนี้ชั้นด่าแกว่าไอ้ลูกเต่า เจ็บไหมวะ”
เกาเฟยหัวเราะสะใจแล้วหันหลังเดินไป ฉินเจียงจากที่นั่งเหยียดขาอยู่ก็ยืดเท้าไปถีบที่ข้อพับเกาเฟย เกาเฟยเซเกือบเสียหลักล้ม โกรธหันกลับมาหมายจะกระทืบฉินเจียง ฉินเจียงมีสติไม่เต็มร้อย เห็นเกาเฟยเป็นภาพซ้อน กระทืบลงมา ฉินเจียงกลิ้งตัวหลบมั่วๆ แต่ดันพ้น แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เซเอง หัวทิ่ม ล้มไปเจอกองไม้ถูพื้น ถัง อุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ เกาเฟยหัวเราะชอบใจ เยาะเย้ย
ฉินเจียงพยายามเบิกตา คว้าไม้ถูพื้นมา หันไปตั้งท่าสู้ เกาเฟยส่ายหัว สมเพช กระโจนเข้าไปเตะๆๆ ฉินเจียงใช้ไม้ถูพื้นฟาดไปมา และป้องกันตัว น้ำจากไม้ถูพื้นสะบัดโดนหน้าตาเกาเฟย เกาเฟยยิ่งฉุน เอามือขึ้นเช็ด
“ไอ้โสโครกเอ๊ย”
ฉินเจียงถอยไปตั้งหลัก หันไปมองที่ประตูเพื่อจะหาวิ่งหนี พยายามหลับตาปี๋เรียกสติอีกครั้ง เกาเฟยเดินไปยกถังน้ำขึ้นมา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากน้ำ แล้วเขวี้ยงใส่หน้าฉินเจียงอย่างแรง
“ของแกเอาไป”
ฉินเจียงเบือนหน้าหลบและใช้มือปัดออก เกาเฟยยกถังน้ำสาดใส่ฉินเจียงทั้งถัง ตัวเปียกโชก ฉินเจียงหันกลับมา หน้าโกรธสุดขีด กัดฟันกรอด ฉินเจียงมองดูเกาเฟยภาพที่เป็นเชิงซ้อน ค่อยๆ ชัดขึ้น ฉินเจียงยืนพิงผนัง สะบัดหน้า รู้สึกสติแจ่มขึ้น เอามือลูบน้ำจากหน้าและผม เกาเฟยไม่สนใจหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในงาน ฉินจียงมองตามไป เห็นภาพเกาเฟยที่เดินห่างออกไปชัดเจน ฉินเจียงค่อยๆ ยืนจนตัวตรงด้วยตัวเอง ไม่พิงฝา เกาเฟยจะพ้นเข้าไปข้างในอยู่แล้ว ฉินเจียงตะโกนตามไป
“ไอ้เกาเฟย ไอ้เรฟูจี” เกาเฟยชะงัก “ไอ้เรฟูจีลืมกำพืด ไอ้คนทิ้งบ้านทิ้งเมือง ไอ้คนไม่มีรากเหง้า” เกาเฟยหันมา ตัวสั่น “ขอบใจมากที่ช่วยเรียกสติฉันกลับคืนมา”
ฉินเจียงหันคว้าไม้ถูพื้น วิ่งพุ่งเข้าไปเอาด้ามไม้ถูพื้นโจมตี เกาเฟยแค้น พยายามเอาคืนและปัดป้องเท่าที่จะทำได้
“ถ้าวันนี้ฆ่าแกไม่ได้ ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าฉินเจียงอีกต่อไป”
ฉินเจียงรุกอย่างบ้าระห่ำ และโจมตีเกาเฟยเป็นชุด

จ้าวซันโผล่มาจากหลังเวที มีดอกไม้ยื่นมาให้ตรงหน้าบราลีทันที บราลีตกใจ หันไปเห็นเป็นจ้าวซัน
“รับไปเร็ว”
“เจ้าพี่ หายไปไหนมา”
“อย่าเพิ่งซักตอนนี้ รีบไปแยกผิงอันออกมาก่อน” จ้าวซันเอากล้องขึ้นมาปิดหน้าตามเดิม “พร้อมนะ ขึ้นไปด้วยกัน”
จ้าวซันจูงมือบราลีเพื่อจะเดินขึ้นเวทีไป
“เดี๋ยวๆๆ แล้วจะต้องทำอะไร”
“ตามน้ำไปก่อน”
เทเรซ่าและซ่างกว่านซิงมองหน้ากัน มองตาม ลุ้น
บนเวทีเหม่ยอิงยังคงพูดอยู่อย่างต่อเนื่อง
“ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้เป็นไท้เผ่งอย่างเป็นทางการ แต่การบริหารงานในบริษัทเราทั้งหมดนั้น รองมาจากพี่ใหญ่ คุณชายจ้าวซันแล้วก็คือดิฉัน แล้วทุกคนก็คงจะทราบ เรื่องที่จ้าวซันเป็นเพียงลูกบุญธรรมของเต้”
เหม่ยอิงหันไปเห็นบราลีขึ้นมา อึ้งไปชั่วขณะ จ้าวซันทำตัวเป็นตากล้อง เดินตามถ่ายไปข้างหลังบราลี ผู้กองเหลียงมองๆ เห็นว่าเป็นจ้าวซัน กระซิบพูดว.ที่ติดข้างหู พวกตำรวจเริ่มเคลื่อนไหวและจับตามองดูรอบๆ งานอย่างเห็นได้ชัด ผู้กองเหลียงเดินตามมาสบทบกับอเล็กซ์และหมวดจาง
จ้าวซันโผล่หน้ามาจากหลังกล้อง ทำสัญญาณบอกให้บราลีเอาดอกไม้ไปให้เดี๋ยวนี้ บราลีมองๆ แล้วตัดสินใจ
“คุณเหม่ยอิงคะ ช่วยรับดอกไม้ด้วยค่ะ”
บราลียื่นดอกไม้ให้เหม่ยอิง แต่ตัวไม่เข้าไปใกล้ เหม่ยอิงชะงัก มองมาทางคนดู คนดูมอง งงๆ สนใจ เหม่ยอิงแสยะปาก เชิด และก้าวออกมารับอย่างเสียไม่ได้ จ้าวซันถือโอกาสเข้ามาแทรกระหว่างเหม่ยอิงกับผิงอันและเอาหลังเบียดผิงอันออกไปให้ห่างจากเหม่ยอิง แล้วทำเป็นถ่ายภาพการรับดอกไม้ของเหม่ยอิงกับบราลี
ผิงอันถอยไป จึงเห็นว่าคนถือกล้องนั้นคือจ้าวซัน ผิงอันดีใจมากแต่รีบเก็บอาการ ผิงอันรีบหนีลงจากเวทีทางขอบเวทีนั่นเอง โดยมีเทเรซ่า ซ่างกวานซิงเข้ามาช่วยรับ จ้าวซันพยักหน้าให้บราลี บราลีถอยออกไป ปล่อยดอกไม้ให้เหม่ยอิงถือซึ่งมันช่อใหญ่มีน้ำหนักไม่น้อย ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์พยักหน้ากัน และเริ่มขยับไปข้างเวที จ้าวซันทำเป็นถือกล้องวนมาตรงหน้าเหม่ยอิง เอาหลังกันให้บราลีห่างออกไปจากเหม่ยอิง บ
ราลีถอยๆ ไปตรงบันไดทางลง แต่ก็ยังห่วงจ้าวซัน ไม่อยากทิ้งจ้าวซันไว้ตรงนั้น เหม่ยอิงสงสัยหันมาก็พบว่าผิงอันหายไปแล้ว หันไปอีกทางก็เห็นบราลีกำลังจะลงเวที เหม่ยอิงตกใจว่าเสียท่าแล้ว ปล่อยตัวประกันหลุดไปแล้ว จึงตัดสินใจรีบตามบราลี จ้าวซันรีบถือกล้อง ก้าวมาขวาง
“เอ๊ะ ไอ้ตากล้องนี่ จะถ่ายอะไรนักหนา”
เหม่ยอิงเอาดอกไม้ตี แล้วผลักจ้าวซัน ล้วงปืนที่ขาอ่อนออกมา จ้าวซันคว้าข้อมือเหม่ยอิงไว้และเอาตัวบังหน้าเวที ลากเหม่ยอิงให้เดินลงด้านหลังเวทีไปด้วยกัน เทเรซ่ารีบถือไมค์ขึ้นมาขัดตาทัพ
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ขออภัยด้วยนะคะที่มีการผิดคิวเกิดขึ้นนิดหน่อย เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาดูข้อมูลเรื่องผลประกอบการประจำไตรมาศที่สองของปีนี้ได้เลยค่ะ โดยคุณจ้าวผิงอันจะเป็นผู้บรรยายด้วยตัวเองค่ะ”
จอบาร์โกห้อยลงมา ภาพสไลด์ปรากฏขึ้น พวกแขกงงๆ ผิงอันรวบรวมสติ ก้าวขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ ทุกท่าน ดิฉัน จ้าวผิงอัน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ก่อนอื่นเรามาดูผลประกอบการ...”

จ้าวซันลากเหม่ยอิงลงมาหลังเวทีจนได้ในที่สุด บนเวทีผิงอันยังคงพูดต่อไป
“อย่างที่ทุกคนทราบนะคะ ว่าครอบครัวของเรามีปัญหาภายในหลายอย่าง แต่การบริหารธุรกิจของพี่ชายใหญ่...มาสเตอร์จ้าวซัน”
แขกทั้งหลายเริ่มหันมาฟังกันอีกครั้ง เหม่ยอิงพยายามดิ้นออก แต่จ้าวซันจับไว้แน่นขึ้น ถอดหมวกออก ส่งกล้องให้ทีมเวทีไป เทเรซ่าและซ่างกว่านซิงรีบเดินตาม บราลีจะตามไปด้วย
“ทุกคนอยู่ดูแลผิงอันก่อน ผมจะคุยกับเหม่ยอิงเอง” จ้าวซันหันไปบอกบราลี
“ปล่อยน้องเดี๋ยวนี้”
เหม่ยอิงบอกเสียงดัง บราลียังไม่ยอมไป มองตามดูแลจ้าวซัน ผิงอันที่กำลังพูดอยู่บนเวทีหันไปมองทางด้านหลัง เริ่มมั่นใจมากขึ้น แล้วหันกลับมายิ้มแย้มพูดต่อ แบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูสวย บุคลิกดี และมีเสน่ห์น่าสนใจ พวกแขก และช่างภาพเข้ามาดู ถ่ายภาพกัน พวกตำรวจรีบเข้าไปด้านหลังเพื่อสมทบกับจ้าวซัน ผู้กองเหลียงหันมามองผิงอันอย่างห่วงๆ แล้วตัดสินใจ สั่งการทางว.
“จ่าหมง คุณมาอารักขาคุณหนูผิงอันด่วน”
จ่าหมงแหวกคนมาหน้าเวที
“รับทราบครับ”
ผิงอันยิ้มให้แขกในงาน มั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดังนั้น แม้ว่าเราอาจจะขัดแย้งกัน แต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจเลย ข้อพิสูจน์ ก็คือผลประกอบการณ์ของบริษัทในเครือเราทั้งหมดของไตรมาสที่สอง ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกดังนี้ค่ะ”
ซ่างกวานซิง เทเรซ่า ยืนเฝ้าผิงอัน

จ้าวซันรีบเปิดประตูดาดฟ้าและพยายามดันเหม่ยอิงออกจากประตูไป เหม่ยอิงและจ้าวซันเดินพ้นประตูมา จึงเห็นผู้กองเหลียง หมวดจาง อเล็กซ์ที่มาถึงก่อน ยืนรออยู่ เหม่ยอิงเห็น หยุดดิ้น มองจ้องหน้าจ้าวซัน น้ำตารื้น
“น้องจำไม่ได้แล้วว่าพี่เคยโอบกอดน้อง หรือสัมผัสตัวน้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ น่าขำนะคะที่น้องเคยทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกัน แต่มันไม่ใช่แบบนี้” เหม่ยอิงก้มมองมือจ้าวซันที่โอบไหล่อยู่อีกครั้ง จ้าวซันค่อยๆ คลายมือออกช้าๆ เริ่มเห็นใจเหม่ยอิง “น้องจะจำใส่หัวไว้ว่า นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่จะกอดน้อง”
“ไม่จริง พี่กอดน้องได้เสมอ”
เหม่ยอิงยิ้ม แต่ตาเศร้า มองจ้าวซันอย่างไร้ความหมาย
บนเวทีผิงอันยังคงพูดต่อไป
“ธุรกิจเรียลเอสเตท...พวกเราเข้าไปสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับชนชั้นกลาง และระดับชนชั้นนำที่เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู และกวางโจว ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องชาวจีนแผ่นดินใหญ่”
บราลียืนข้างเวทีมองผิงอันด้วยความชื่นชม แต่ก็ยังไม่วายหันไปดูที่หลังเวทีด้วยความเป็นห่วงจ้าวซัน
“ธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอาหาร เราได้ร่วมมือกับนักธุรกิจจากประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหลายประเทศ ซึ่งกำลังผนึกรวมกันเป็น AEC” พนักงานเสิร์ฟที่เป็นสมุนพันหงปิงเริ่มมารวมตัวกัน หน้าเครียด “และนี้ คือภาพของสินค้าอาหารใหม่ๆ ของเรา ที่กำลังได้รับความสนใจในตลาดโลก”
ผิงอันยิ้ม สง่า สมุนพันหงปิงคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วเดินไปหลบข้างเสาโทรบอกพันหงปิง
“ลูกพี่ครับ คุณหนูเหม่ยอิงแย่แล้วนะครับ”

ที่ห้องเก็บของ ฉินเจียงและเกาเฟยยังสู้กันอยู่ ฉินเจียงได้เปรียบเพราะมีด้ามไม้ถูพื้นอยู่ในมือ เกาเฟยพยายามตั้งรับอย่างสุดกำลังและพยายามหาอะไรแถวนั้นมาเป็นเครื่องทุ่นแรง
“ไอ้ขี้โกง แน่จริงอย่าใช้ไม้สิวะ”
“ไม่มีกติกาสำหรับคนเลวหรอกเว้ย”
“มันก็เลวไม่ต่างกันหรอกวะ”
ฉินเจียงหยุด มองหน้า แล้วโยนไม้ทิ้ง
“ก็ได้”
“คิดจะกลับใจเป็นคนดีเหมือนพี่ชาย...ถุย” ทั้งคู่ตั้งท่ามวยต่อสู้กัน “คนเลวยังไงมันก็เลวอยู่วันยันค่ำ มันฝังอยู่ในสันดานแล้วเว้ย”
“สันดานแกคนเดียวแล้วกัน”
ฉินเจียงกำลังจะรุกเข้าไปต่อยเกาเฟย ทันใดนั้นก็มีด้ามไม้ถูพื้นที่ฉินเจียงเพิ่งเหวี่ยงทิ้งไปฟาดมาที่หัวฉินเจียงอย่างแรง ฉินเจียงลงไปกองสลบอยู่กับพื้น เลือดไหลออกจากหัว พันหงปิงกับพวกสองคนเดินมา
“มัวทำบ้าอะไรอยู่วะ คุณหนูของแกโดนตำรวจสอยไปแล้วนะเว้ย”
“เฮ้ย”
“เออ!”
“ไปช่วยกันสิ เร็วเข้า”
พันหงปิงและสมุนยืนนิ่งมองหน้า
“ไม่ เสียเวลา รีบไปทำตามแผนของเราได้แล้ว”
พวกสมุนวิ่งนำออกไป พันหงปิงตาม เกาเฟยรีบตามพันหงปิงไป ก้าวข้ามฉินเจียงไปเหมือนเป็นเศษอะไรที่ไร้ค่า

เหม่ยอิงผละออกมาจากจ้าวซัน ถอยออกไปห่างๆ เชิดหน้าหยิ่ง ผู้กองเหลียง อเล็กซ์ หมวดจางมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำยังไงดี เทเรซ่าและซ่างกว่านซิงมอง อึ้งๆ
“ขอบคุณนะคะสำหรับอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่น ขอบคุณสำหรับความรัก ความปรารถนาดี ขอบคุณการฆ่าที่อ่อนโยนและนุ่มนวลที่สุด”
“เหม่ยอิง เธอฟังพี่บ้าง”
“ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมาและได้มาเป็นพี่น้องกัน ฉันมีความสุขมาก แต่วันนี้ฉันเสียใจมากที่สุดที่พี่มาหลอกฉัน”
“หลอก พี่หลอกอะไร”
“ก็ทั้งหมดนี้มันเป็นกับดักที่พี่คิดขึ้นมาไม่ใช่เหรอ”
“เปล่าเลย ไม่มีกับดักอะไรทั้งนั้น”

“ไม่มีกับดักแล้วไอ้คนพวกนี้มันเป็นใคร มันจะมาลากคอน้องเข้าไปในคุกไม่ใช่เหรอ”

เหม่ยอิงชี้หน้ากราด
“เธอสร้างกับดักของเธอขึ้นมาเองต่างหาก”
“เหรอ ฉันคงบ้าไปแล้วที่ทำอย่างนั้น”
“คิดดูดีๆ สิ”
“โง่...น้องมันโง่เอง โง่ตั้งแต่วันแรกที่เจอพี่” เหม่ยอิงมองไปทางอื่น คิดถึงอดีตน้ำตาไหล “เจ็บใจตัวเองจริงๆ คิดว่าเป็นคนฉลาดไปทุกเรื่อง แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงได้โง่นักก็ไม่รู้ โง่ที่ไปรักคนอย่างพี่...อีโง่เอ๊ย”
เหม่ยอิงเอาปืนที่พันไว้ที่ขาออกมา เล็งไปทางจ้าวซัน ตำรวจสามคนตกใจ รีบขยับและควักปืนออกมาเล็งไปที่เหม่ยอิง
“น้องแพ้แล้ว น้องฉลาดสู้พี่ชายใหญ่ไม่ได้จริงๆ ลาก่อน”
เหม่ยอิงหันปืนกลับเล็งไปที่ศรีษะตัวเอง ทุกคนช็อก
“เหม่ยอิงอย่า อย่าทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้นนะ”
“ก็น้องมันบ้าไง บ้าที่ไปรักคนอย่างพี่”
จ้าวซันหันไป ตะโกนอีกทาง
“อย่า ผิงอัน!”
เหม่ยอิงตกใจ หันไป ทันใดจ้าวซันกระโดดชาร์จ เหม่ยอิงล้มลง จ้าวซันทับอยู่ ทั้งสองกอดปล้ำแย่งปืนกันไปมา
พวกตำรวจลุ้น อยากเข้ามาช่วย แต่รอดูจังหวะ ทันใดนั้นไฟในห้องก็ดับลง เสียงปืนดังขึ้นมาหนึ่งนัด เสียงเทเรซ่าร้องลั่น

บราลี ผิงอัน แขกในงานทุกคนตกใจที่ไฟดับ เทเรซ่าร้องด้วยความตกใจ ซ่างกวานซิงจับตัวไว้ บรรดาแขกแตกตื่น
“ใครยิงใคร”
บราลีรีบเข้าถึงตัวผิงอัน
“ผิงอัน มาทางนี้”
จ่าหมงชักปืนออกมา เข้ามาดูแลผิงอัน
“คุณบรี คุณหนูเล็ก ทางนี้ครับ คุณชายจ้าวซันจัดที่ปลอดภัยไว้แล้ว”
ทันใดนั้นไฟสำรองเปิดขึ้น พันหงปิงในชุดเชฟแต่มีหน้ากากเป็นพวกยอดมนุษย์ ไอ้มดแดงต่างๆ ปิดหน้า เกาเฟยซึ่งใส่หน้ากากเช่นกัน และทีมในชุดเด็กเสิร์ฟกับหน้ากากทั้งหมด เดินเข้ามาพร้อมอาวุธสงคราม พันหงปิงยิงปืนชุดนึงขึ้นเพดาน ชันดาเลียร์หล่นลงมากระจาย พวกแขกไฮโซร้องลั่น
จ่าหมงพาผิงอันและบราลีให้หมอบลงใต้โต๊ะที่ใกล้ที่สุด พันหงปิงวิ่งขึ้นเวทีเอาไมโครโฟนมาพูด
“ไฮ เฮลโหลว สวัสดีครับ แขกไฮโซนักลงทุนทุกท่าน พวกท่านทุกคน เป็นคนรวย มีเงินเหลือกินเหลือใช้ใช่ไหมครับ การที่สังคมเรามีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากๆ มันไม่ดีนะครับ ผมจึงมีทางออกให้ท่านได้มีโอกาสช่วยกัน บริจาคค่าอาหารกลางคืนให้พวกเราหน่อย” ทุกคนตื่น ตกใจ งง “บางท่านไม่พกเงินสดใช่ไหมครับ ไม่เป็นไรครับ เช็คเราก็ไม่รับเช่นกัน แต่ทุกท่านล้วนสวมเครื่องเพชร ทอง นาฬิกา รวมทั้งกระเป๋าแบรนด์เนมมากันทั้งนั้น กรุณามองไปข้างๆ ท่านนะครับ เพราะสต๊าฟของผม ได้ออกเดินรับบริจาคจากท่านแล้ว”
พวกสมุนบางคนที่อยู่ใกล้โต๊ะ คว่ำถาดอาหาร เทของลงบนโต๊ะ แล้วเอาถาดมาเดินเรี่ยรายไประหว่างผู้คนพวกแขกต่างพากันช็อก
“กรุณาถอด แล้ววางของท่านมาให้สต๊อฟของผมซะดีๆ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายครับ คนฉลาด ควรยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาชีวิตนะครับ ยังไงซะของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ หากไม่ตาย พวกท่านย่อมหาใหม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้วดังนั้นอย่าขัดขืนให้เสียเวลา เพราะพวกเราเอาจริงครับ ไม่ได้ล้อเล่น”
สมุนคนนึงยืนอยู่ข้างคุณนายที่ดูไฮโซ แต่งเพชรผสมมุก เดินไปตรงหน้า สมุนอีกคนที่ถือปืน เข้าไปประกบ คุณผู้ชายที่ทางเป็นสามีตาลุก รีบเข้ามาขวาง สมุนที่ถือปืน เอาพานท้ายปืนเหวี่ยงฟาดหน้า คุณผู้ชายคว่ำลง เลือดอาบ
ทุกคนร้องด้วยความตกใจ
สมุนที่ถือถาด เอาถาดกระทุ้งแขนคุณนาย
“ถอด ถอดมาให้หมด” คุณนายตัวสั่น ถอดสร้อย ตุ้มหู ใส่ถาดให้ “ยัง! ยังไม่หมด เอาแหวนด้วย”
คุณนายรีบถอดแหวนให้มือสั่น

พวกคุณนายพากันถอดของให้พวกพันหงปิง พันหงปิงเดี่ยวไมโครโฟนพล่ามบนเวที ภาพต่างๆ นั้นอยู่ในจอมอนิเตอร์ cctv อากงเลิ่กลั่กมองหน้าภูสินทร
“เอาไงดี คุณเมืองเทพ ทำไมไอ้พันหงปิงมันเล่นไม้นี้ล่ะ นี่มันคงอับจนจนถึงที่สุดแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ อากง นี่มันแต่มุกของมันที่จะยั่วยุให้จ้าวซันปรากฏตัวมาเล่นกับมันต่างหาก”
ภูสินทรร้อนใจ หันมาสบตากับสมุนจากคีรัฐ
“เอาไงดี” อากงถาม
“คุณชายให้เรารอคำสั่งจากท่านคนเดียว”
ทั้งสองเครียด

บนดาดฟ้า จ้าวซันจับเหม่ยอิงกดไว้ เสียงพันหงปิงพูดผ่านไมค์ดังขึ้นมา
“อ้าว...อย่าช้าครับ อย่าช้า ไม่ต้องรีบครับ ใจเย็นๆ รับรองว่าเราจะไปรับของจากมือของท่านทุกคน”
ทุกคนฟังพันหงปิงพูด อเล็กซ์ได้สติเข้ามาช่วยดึงปืนไปจากเหม่ยอิง เหม่ยอิงหัวเราะเสียสติ จ้าวซันประคองให้เหม่ยอิงลุกขึ้น เหม่ยอิงยังหัวเราะไม่หยุด
“อะไรกันเนี่ย บริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ป ตกต่ำถึงขนาดปล่อยให้โจรกระจอกเข้ามาปล้นแขกร่วมงานได้แล้วหรือ นี่เหรอ งานที่จัดขึ้นมาเพื่อกอบกู้หน้าตาของบริษัท มันน่าจะออกมาตรงกันข้ามนะเนี่ย”
“ไม่ใช่หรอกเหม่ยอิง งานนี้พี่ไม่ได้จัดขึ้น เพื่อกอบกู้หน้าตาอะไรของบริษัทสักนิด”
“แล้วพี่จัดเพื่อ”
“เพื่อให้ได้ตัวน้องกลับมาไงล่ะ แล้วสำหรับไอ้คนเลวพวกนั้น พี่ก็มีของเตรียมไว้สมนาคุณพวกมันเหมือนกัน”
ทันใด เสียงพูดว.มาหาผู้กองเหลียง
“ว่าไง จ่าหมง...อืมๆๆ โอเคๆๆ” ผู้กองเหลียงหันมาหาจ้าวซัน “คุณชายครับ จ่าหมงบอกว่าตอนนี้คุณบราลีกับคุณหนูผิงอันอยู่ในที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้วครับ”
“โอเค ปิดประตู ตีแมว”
จ้าวซันหยิบมือถือมากดส่งสัญญาณ เหม่ยอิงตกใจ ว่าอะไรกัน

โทรศัพท์ในมือเทเรซ่าที่คลานๆ แถวหลังเวที มีสัญญาณไลน์ขึ้น
“คุณหนูเล็กกะคุณบราลีออกไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
เทเรซ่าบอกกับซ่างกวานซิงที่หมอบอยู่ใกล้ๆ กัน เทเรซ่าคว้าไมค์ไร้สายอันนึงมา ขณะนั้นพวกสมุนพันหงปิง พากันปลดของจากบรรดาแขกในงานอย่างเมามัน เทเรซ่า ซ่างกวานซิง รีบพากันคลานมุดไปใต้เวที
ทันใดนั้นอากงและพวกโผล่มาเงียบกริบ อากงย่องๆๆ มาหลังสมุนพันหงปิงที่กำลังปลดเพชรของคุณนายคนนึงเพลิน คนที่กำลังโดนปลดเห็นหน้าอากงรีบหลับตาลง ไม่มอง อากงใช้อาวุธมีดโกนปาดคอ สมุนคนนั้นเลือดพุ่งใส่หน้าคุณนายเพชร แล้วตัวสมุนร่วงเงียบ คุณนายช็อก
สมุนอากงคนนึงเข้าไปใช้มีด แทงเข้าสีข้างพวกสมุนพันหงปิงที่กำลังปลดของคนเพลินๆ ทำให้คนพวกนั้นร่วงเงียบ สมุนอากงอีกคนเข้าไปรัดคอสมุนพันหงปิง พวกถืออาวุธสงคราม อาวุธร่วง ล้มลงตาย ไม่ทันยิง
ระหว่างนั้นภูสินทรคลานลอดไปหลังเวทีโผล่มา
“จ้าวซัน คุณชายจ้าวซัน อยู่ไหน ออกมาสิ”
“คุณหนูเหม่ยอิง ใครเอาตัวคุณหนูไปก็มาคอยรับศพไอ้พวกแขกไฮโซในงานนี้ด้วยก็แล้วกัน” เกาเฟยยิงปืนขึ้นใส่ชันดาเลียร์ ชันดาเลียร์อีกอัน ร่วงกระจาย
เทเรซ่าหันไปเห็นภูสินทร คว้าไมค์ที่ข้างตัวมากดเปิด
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติคะ ทุกคน...หมอบเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ทันใดภูสินทรและพวกโผล่มา แล้วยิงพันหงปิงและเกาเฟย พวกแขกพากันลงหมอบกันหมด ตำรวจนอกเครื่องแบบลงมือยิงพวกสมุนที่ถืออาวุธสงคราม พันหงปิง เกาเฟย ต่างโดนยิง ล้มลง ภูสินทรจะเข้าไปซ้ำ เกาเฟย พันหงปิง ไม่ตอบแพ้ กลิ้งตัวหนีและยิงสู้
พวกแขกร้องกรี๊ดๆๆ บ้างวิ่ง ล้มลุกคลุกคลานหนี เกาเฟยกระดืบๆ หาทางหนีทีไล่ ทันใดมีมือมาจับเท้า
“เกาเฟยๆ พา...พาชั้นหนีที ช่วยด้วย อย่าให้ชั้นตายที่นี่”
พันหงปิงบอกทั้งที่เลือดออกปาก
“ปล่อย ลำพังกูก็หนีไม่รอดแล้ว ปล่อย ไอ้โง่ เพราะมึงโง่ไง ชั้นถึงต้องเสียคุณหนูใหญ่ให้ไอ้จ้าวซันมันไปจนได้”
“จ้าวซัน...มัน...เล่นกู...เจ็บหนักมาก...ถ้ากูรอด...กู...จะ...เอาชีวิตมันให้ถึงที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้น...เราต้องรอด...เพื่อ...ฆ่าจ้าวซัน เพื่อช่วยคุณหนูใหญ่”
“มึงต้องมีทางหนีสิ มึงก็เข้านอกออกใน บริษัทนี้มาหลายปี ไม่ใช่เหรอ”
ภูสินทรเดินตามยิง ทั้งสองหลบไปตามหลังโต๊ะ เก้าอี้ คลานๆๆ พอดีเกาเฟยมองไปเห็นประตูห้องทำงานนึง เปิดอยู่ เกาเฟยลากคอพานหงปิงมุดๆๆ ไปจนถึงประตูนั้น ภูสินทรตามยิง
ทั้งสองผลุบเข้าประตูนั้นไปได้แล้วกระชากประตูปิดลง ใส่กลอน ภูสินทรมาถึงพบว่าประตูปิดใส่หน้า ภูสินทรมองๆ แล้วตัดสินใจยิงประตู ภูสินทรยิงอยู่สักพัก ลูกน้องมาช่วยยิงแล้วถีบประตูนั้นเข้าไป
ภูสินทร ลูกน้อง เข้าไปในห้องนั้นแล้วชะงัก เพราะบนพื้นมีกองเลือด ชุดเชฟ และหน้ากาก 2 ชุด กองวางรวมกันอยู่ แต่ไม่มีคน มองไปหลังห้องนั้นมีประตูอีกบานเปิดค้างอยู่ ภูสินทรตามออกไปเจอทางเดินแคบๆ เปิดออกไป สู่ทางเดินหลักที่มีประตูเปิดไปสู่บันไดหนีไฟ ภูสินทรเปิดออกไปทางบันไดหนีไฟ ชะโงกไปดู ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนึงตามมา
“คนร้ายหนีไปทางบันไดหนีไป จัดการสกัดด่วน”
ภูสินทรยืนหอบ จ้าวซันวิ่งเขามาสมทบ
“มันหนีไปได้เหรอ”
“น่าจะเป็นพันหงปิงกับเกาเฟยครับ แต่มันถูกยิงอาการสาหัสทั้งคู่ครับ”
“ผมให้คนสกัดพวกมันแล้วครับ ไม่น่าจะรอด”
จ้าวซันเซ็ง ทำหน้าประมาณ ฝันไปสิ
ที่คีรีรัฐ ศิขรนโรดมอยู่ในห้องทำงานกำลังดูข่าวจ้าวซันจากคอมพิวเตอร์ ภาพในจอคอมพิวเตอร์เป็นรูปจ้าวซันจากในงาน เนื้อข่าวเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมรูปพันหงปิง เกาเฟย มิถิลาก็ดูอยู่กับศิขรนโรดมด้วย ศิขรนโรดมลุกขึ้นอย่างร้อนใจ
“บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ถูกปล้นอย่างอุกอาจ สถานการณ์ทางธุรกิจก็มีปัญหาหลายด้าน สันนิษฐานว่ามีสาเหตุมาจากปัญหาภายในตระกูลจ้าว เพราะอย่างนี้เอง จ้าวซันถึงไม่สามารถจะไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ครอบครัวนั้นเขาดีกับเจ้าพี่แน่หรือ”
“แต่ครอบครัวนั้น ก็คือครอบครัวของจ้าวซันนะเพคะ”
“ครอบครัวเราตังหาก คือครอบครัวจ้าวซัน เวลาเรามีเรื่องยุ่งยาก เจ้าพี่มาช่วยเราได้ แต่เวลาเจ้าพี่มีเรื่องเรากลับไร้ประโยชน์”
มิถิลามอง อยากพูดอะไรมากมาย แต่ต้องเงียบไว้

มิถิลายืนมองศิขรนโรดมที่ยืนเหม่อซึมอยู่อีกด้านนึง
“เจ้าหลวงคงไม่อยากแต่งงานแล้วล่ะ อยากจะไปฮ่องกง หาเจ้าพี่ ไปช่วยเจ้าพี่”
“ใจเย็นๆ มิถิลา อย่าใช้อารมณ์แสนงอนแบบเพศหญิง ที่คิดแต่เรื่องเอาชนะ” อสุนีปลอบน้องสาว
“เจ้าหลวงทรงติดเจ้าพี่ของพระองค์เกินไป ตั้งแต่เล็กจนโต ทรงคิดแต่ว่าชีวิตของพระองค์ขึ้นอยู่กับเจ้าพี่น่านปิง”
“หน้าที่ของเจ้าคือกล่อมให้เจ้าหลวงทรงปล่อยวาง และเข้าพิธีอภิเษก เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว ประเทศชาติจะได้เดินไปข้างหน้าอย่างปกติสุขเสียที”
มิถิลาอึ้ง

วันต่อมาที่ฮ่องกง จ้าวซันลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นบราลีนั่งจ้องมองอยู่ข้างๆ บราลียิ้ม
“กี่โมงแล้ว”
จ้าวซันจะลุก บราลีเอามือวางบนอก กดไว้
“พักผ่อนเถอะค่ะ พี่เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ตื่นสายๆ บ้างก็ได้”
จ้าวซันจับมือบราลีมาจูบ
“น้องก็เหมือนกัน เสี่ยงอันตรายเหลือเกิน แต่ไม่เคยกลัวอะไรเลย ขอบใจมากที่ช่วยพี่ ช่วยน้องๆ ของพี่ทุกคน”
“น้องจะให้พี่เสี่ยงอยู่คนเดียวได้ยังไง”
“ม่านฟ้า”
“น้องรักพี่ น้องสงสารพี่จังเลย นี่พี่สู้อยู่ลำพัง ตัวคนเดียวในหมู่คนแปลกหน้าทั้งนั้น”
“ถ้าไม่มีน้อง” จ้าวซันยิ้ม ดึงบราลีมากอด “แต่ตอนนี้ พี่มีน้องอยู่ข้างๆ พี่ก็ไม่ใช่คนตัวคนเดียวอีกต่อไป”
“อยากหยุดเวลาจัง”
“นั่นสิ ตอนนี้กำลังสบายเลย”
“เวลาที่สบายๆ เหมือนจะสั้นกว่าเวทีที่ยากๆ นะคะ”
“พี่สัญญาว่าจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และจะพาน้องออกไปจากเรื่องยุ่งๆ ยากๆ ให้เร็วที่สุด”
“พี่ต้องสัญญา ว่าพี่จะปลอดภัย”
“น้องก็เหมือนกัน ต้องสัญญาว่าจะระวังตัวตลอดเวลา”
“น้องบอกน้องเตือนอะไร พี่ก็ต้องเชื่อฟังนะคะ”
“เชื่อฟังเลยหรือ...ฮึ?”
“ใช่ ฮึ?”
“มากไปละนะ ฮึ?”

ทั้งสองเอาหน้าผากมาชนกัน ทำหน้าดื้อๆ ท้าทายกันไปมา

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 20 (ต่อ)

ผู้กองเหลียง หมวดจางและจ่าหมงแวะมาหาจ้าวซันที่บ้านสี่ฤดู จ้าวซันพูดกับทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผมจะรับผิดชอบเรื่องเหม่ยอิงให้ดีทีสุด”
“ผมเชื่อว่าคุณชายตั้งใจอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงคุณชายต้องระวังตัวไว้ให้มาก”
“ผมเข้าใจ”
“น้องสาวของคุณชาย คุณชายย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นยังไง”
“ผมทราบ แต่ผมจะปล่อยให้เขาเผชิญชะตากรรมไปตามลำพังก็ไม่ได้ ผมเองก็มีส่วนทำให้เขาเป็นแบบนี้”
“คุณเป็นคนจับเขาเอง แล้วก็เป็นคนประกันเขาเอง ถ้าเขาหนี หรือทำอะไรร้ายแรงอีก คุณก็คงต้องรับผลเองเต็มๆ ล่ะ”
“ผมหวังว่าองค์ชายจะมีความสามารถสั่งสอนให้คุณเหม่ยอิงกลับเนื้อกลับตัวได้ ส่วนพวกผมถ้าล่าไอ้พันหงปิงกับไอ้เกาเฟยไม่ได้คราวนี้คงโดนเด้งยกทีม”
ผู้กองเหลียงบอก ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้าใจ

เต๋าเป่าดูแลบีบนวดอากงมือนึง อีกมืออาหลี่ทาถูนวดน้ำมันให้ จ้าวซันเดินเข้ามา แล้วยิ้ม อากงลุกขึ้นมากอดจ้าวซัน
“เพื่อนๆ อากง ไม่มีใครบาดเจ็บ หรือเป็นอันตราย ใช่ไหมครับ”
“ไม่มี มีแต่ฟกช้ำดำเขียวแบบกงนี่แหละนานนมเต็มทีที่ไม่ได้มีกิจกรรมแบบนี้ พวกคนแก่กระชุ่มกระชวยกันมาก เหมือนสมัยผาดโผนไปในยุทธจักรเคียงข้างเต้ของคุณชาย”
“ไอ้พันหงปิงมันแน่นอนจริงๆ รวบรวมเซียนๆ ที่เป็นภัยสังคมทั้งโขยงมาเป็นลูกน้องได้”
“มองในแง่ดี เหตุการณ์เมื่อคืนพวกผู้ร้ายฮ่องกงโดนเก็บไปหลายตัวในงานเดียวทรัพย์สินของแขกในงานก็เก็บมาได้ครบ”
“นั่นมันแค่ผลพลอยได้ แต่คนที่ฉันลงทุนทำทุกอย่าง และเอาทุกคนมาเสี่ยงเพื่อช่วยเขาเนี่ยสิ เขาจะคิดได้ไหม”
ทุกคนหนักใจ

ที่หน้าห้องนอนเหม่ยอิงมีมุมนั่งเล็กๆ อากงกำลังรินกาแฟแจกจ่าหมงและตำรวจอีกคน ที่นั่งกินซาลาเปากัน
“อ่า กินเยอะๆๆ ไม่ต้องประหยัด มีให้เติมไม่อั้นนะ คุณตำหรวด”
แม่สี่ประคองถาดอาหารเช้าเบาๆ มา
“ขออนุญาต เอาอาหารเช้าไปให้ลูกหน่อย ได้ไหม”
อากงหันมา รีบรับถาดไป
“คุณนายที่สี่ปล่อยเถอะ ผมจัดการเอง”
“ทำไม ชั้นเข้าไปไม่เหรอ อากงคิดว่าชั้นจะทำอะไร แอบเอาปืน เอามีด เอาโทรศัพท์มือถือเข้าไปให้ลูกหรือ มาค้นตัวเลยสิ มา”
จ้าวซันก้าวมา ยืนดูอย่างหนักใจ
“แม่สี่ครับ” แม่สี่หันมาเห็นจ้าวซัน เศร้า เคืองๆ “แม่สี่ ผมพยายามทำทุกอย่างให้เหม่ยอิงกลับมานะครับ แม่สี่ต้องช่วยผมนะครับ ถ้าแม่สี่รักเหม่ยอิงจริง”
“ชั้นเป็นแม่เค้า คลอดเค้าออกมาเอง ทำไมชั้นจะไม่รัก คุณชายใหญ่ต่างหากที่ไม่เคยรักเหม่ยอิงเลย”
แม่สี่ปล่อยถาดให้กง แล้วเดินเชิดๆ จากไป จ้าวซันอึ้ง เพลียใจ

ภายในห้อง เหม่ยอิงนั่งซึมอยู่ที่เตียง เหม่ยอิงหันมามองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าจ้าวซันคือคนที่ถือถาดอาหารเข้ามา เหม่ยอิงมองด้วยสายตาเยือกเย็น จ้าวซันจัดที่ที่โต๊ะข้างเตียง ว่างถาดอาหารลงอย่างดี
“น้องนอนหลับไหม พี่ว่าคนเราได้กลับมานอนบนเตียงของตัวเอง ใต้ชายคาบ้านเกิด น้องน่าจะหลับสบายกว่าที่อื่นๆ นะ”
“น้องไม่มีวันนอนหลับสบายอีกต่อไปแล้วละมังคะ ในชีวิตนี้”
“เหม่ยอิง พี่รักน้องนะ”
“รัก? พี่ชายใหญ่กล้าพูดคำว่ารักกับน้อง”
“เพราะพี่รักน้องจริงๆ พี่รักฉินเจียง พี่รักผิงอัน ไม่รักใครมากน้อยกว่ากัน ถ้าพี่ทำอะไรให้น้องคนไหนได้ พี่จะรีบทำเสมอ”
“รักเท่าๆ กับรักฉินเจียง กับซายหมุย” เหม่ยอิงหัวเราะใส่หน้าจ้าวซัน “น่าชื่นใจจัง ดีใจจริงจริ๊ง”
“พี่พูดจริงๆ ให้พูดอีกกี่ที พี่ก็จะพูดเหมือนเดิม”
“พี่ต้องการอะไรจากน้อง”
“ต้องการให้น้องให้ความร่วมมือกับพี่ พี่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้น้องกลับมาเป็นจ้าวเหม่ยอิง ลูกสาวคนโตที่น่าชื่นชม น่าภาคภูมิใจของตระกูลจ้าว มาเป็นคนดีในสังคมตามเดิม ปัญหาทุกอย่างในโลกแก้ไขได้หมด ถ้าเราตั้งใจที่จะแก้”
“จริงเหรอคะ”
“จริง ขอแค่น้องทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่พี่บอก ตามที่ทนายของเราจะแนะนำ”
“น้องจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
“น้องต้องทำ น้องคือผู้ต้องหาหลายคดี และพี่ก็ประกันน้องออกมาเพื่อสู้คดี น้องเป็นผู้หญิง พี่ไม่ต้องการให้น้องไปอยู่ในกรงขังปะปนกับพวกอาชญากร เพราะมันมีแต่ที่จะทำให้น้องแย่ลง ไม่ใช่ดีขึ้น ถ้าเต้ยังอยู่ เต้ก็ต้องทำแบบนี้”
“โดยเอาน้องมาขังไว้ซะเอง ไม่ให้มีโทรศัพท์ ที่จะติดต่อกับใครเลย”
“น้องต้องไม่ติดต่อ ไม่ร่วมมือกับคนพวกนั้นอีก พี่มีหน้าที่ควบคุมน้อง ถ้าพี่ควบคุมไม่ได้ พี่ก็จะผิดต่อเต้ เป็นลูกอกตัญญู เต้อุตส่าห์ไว้ใจให้พี่ดูแลน้องๆ แต่พี่กลับทำพลาด ทำให้ทุกคนเดินไปในทางชั่ว พี่ยอมให้ตัวเองเป็นคนล้มเหลวแบบนั้นไม่ได้”

เหม่ยอิงเชิด นิ่ง น้ำตาคลอด จ้าวซันหน้าตาดุ

ซูหลิงใส่ยาให้ที่หัวฉินเจียงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นบ้านสี่ฤดู
“ไอ้เกาเฟย! ผมนี่แหละจะเป็นคนฆ่ามันด้วยมือผมเอง”
ฉินเจียงบอกอย่างโมโห
“อย่าเลยค่ะ คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะฉินเจียง คุณเป็นพ่อคนแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเค้าเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยาที่มันใส่ลงในน้ำที่เสิร์ฟแขกในงานมันไม่ใช่ยาพิษ ไม่งั้นเราตายกันไปแล้วนะคะ”
“ผมไม่กลัวมันหรอกนะ ไอ้พวกชั่ว มันก็ดีแต่ลอบกัด”
ผิงอันซึ่งตอนนี้แต่งตัวสวยเก๋ทันสมัยแต่น่ารักๆ ทรงผมก็เปลี่ยนเหมือนคนละคน พูดขึ้นมาบ้าง
“พี่ซูหลิง พี่พักผ่อนเถอะค่ะ นี่ค่ะยาบำรุง แม่ใหญ่ให้เอามาให้ดื่มซะเดี๋ยวนี้เลย”
“เหรอคะ จริงเหรอ” ซูหลิงถามอย่างตื่นเต้น
“จริงค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ซูหลิงรีบรับไปดื่ม
“อยู่บ้านนี้ ก็ต้องทำแบบนี้ แม่ใหญ่สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ บอกให้ทำเดี๋ยวนี้ ก็ต้องเดี๋ยวนี้ ใครจะโอ้เอ้ไม่ได้”
“แหม...พี่รองคะ แม่ใหญ่ไม่ได้ให้ทำเรื่องอะไรที่ยากลำยากซะหน่อย แค่ให้กินยา เพราะหวังดีต่อสะใภ้กับหลานนะคะ”
“ก็นี่ไง ซูหลิงเขาก็ว่าง่ายจะตาย เขาคงอยู่รวมกะกงสีไปแบบนี้ได้โดยไม่อึดอัดใจจนเกินไปหรอก”
“อึดอัดยังไงก็ต้องทนค่ะ ศัตรูของเรายังลอยนวลอยู่แล้วมันก็อาจจะทำร้ายพวกเราคนใดคนนึงได้ทุกเมื่อ เราเจอเรื่องเลวร้ายกันมาพอแล้ว เราแตกแยกกันไม่ได้อีกแล้ว เราต้องรวมกันไว้ให้ดี ก่อนที่ครอบครัวของเราจะไม่เหลืออะไรอีก” ผิงอันพูดด้วยหน้าตาจริงจัง เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ฉินเจียงมองอย่างนึกทึ่ง

บราลีจัดวางของไหว้ พวกผลไม้ต่างๆ แล้วจุดธูปไหว้รูปเต้ นั่งลงอธิษฐานจริงจัง จ้าวซันเดินเข้ามาเห็น ชะงัก หยุดดูด้วยสายตาอ่อนโยน บราลีไหว้เสร็จ ลุกขึ้น หันมาเห็นจ้าวซันก็ยิ้มให้
“ทำหน้าที่แทนอากงน่ะค่ะ วันนี้แกมีหลายสิ่งต้องทำ”
“อยากรู้จัง ว่าน้องอธิษฐานอะไร”
“ขอให้เต้ท่านคุ้มครองพี่ เป็นข้อที่1 และข้อที่2 ขอให้เหม่ยอิงคิดได้แล้วกลับตัวกลับใจเป็นคนดีค่ะ”
“รู้สึกว่าน้องกำลังหัดทำหน้าที่ลูกสะใภ้ของเต้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
“นั่นสิคะ น้องกลายเป็นสมาชิกในครอบครัวใหญ่ของคนจีนไปแล้ว”
“คนตระกูลจ้าวมาอยู่รวมกันในบ้านสี่ฤดูครบแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี”
“เหมือนช่วงคริสต์มาสหรือตรุษจีนเลยค่ะ”
“ถ้าพี่ทำให้น้องๆ ที่นี่รักกัน ช่วยเหลือกัน ดูแลกันเองได้ พี่ก็จะหมดหน้าที่จากตระกูลจ้าว”
“คุณชายจ้าวซัน ช่างมีภารกิจมากมาย แต่ละอย่างก็ล้วนแต่ยากๆ ทั้งนั้น”
จ้าวซันเข้ามาเชยคางบราลี
“รอพี่อีกนิดนะ ม่านฟ้า อีกนิดเดียวเท่านั้น ตอนนี้ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปได้ด้วยดี อีกไม่นานเมื่อพี่ทำหน้าที่ที่ได้สัญญาไว้กับเต้เสร็จสิ้นลง เราก็จะได้มีชีวิตของเราซะที”
“ค่ะ รอค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน

ที่ห้องไทไท อาม่าโดนถาดขว้างเกือบโดนหัว จึงต้องรีบหลบเซไป ไทไทตาขวาง ขว้างของบนโต๊ะไม่หยุด
“เอามันออกไป เอาอีเหม่ยอิงออกไป ชั้นไม่ให้มันมาเหยียบบ้านนี้อีกแล้ว ใครเอามันมา ชั้นไม่ยอมๆ”
“จ้าวไทไทขา แล้วถ้าไม่ให้คุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่แล้วจะให้เค้าไปอยู่ที่ไหนคะ”
“ไปอยู่ในนรกไง ที่ของมัน ต้องเป็นนรกเท่านั้น”
อากงรีบวิ่งเข้ามา โดนจานรองร่อนมาตรงหน้า อากงหลบได้แบบเฉียดฉิว
“อ๊าก...จานบิน”
“เอาเหม่ยอิงออกไป ให้มันไปอยู่ในคุก ไม่ให้มันมาหายใจอากาศบ้านช้านนน...ชั้นไม่ยอม”
ทุกคนหน้าซีด

บราลีถือกระเป๋าเอกสารวิ่งตามจ้าวซันออกมา
“ต้องไปจริงๆ หรือคะ ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้หรอก คนที่บริษัท เค้าก็อยากเห็นหน้าเรา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเหมือนกัน ที่ตึกก็มีอะไรเสียหาย ต้องซ่อมแซมเยอะพี่ควรไปดูเอง”
ทันใด อากงวิ่งเข้ามา หอบแฮ่กๆ
“คุณชายๆ โอ๊ย...ไปจัดการที อากงเอาไม่อยู่แล้ว”
“หา อะไรอีกล่ะ”

บราลีงง

ขณะนั้นไทไทกำลังตีอาม่าไปมา
“แกนั่นและ ตัวดี แกมันนกสองหัว ไปรับใช้อีแม่ลูกบ้านนั้นเลย ไปเลย ไม่ต้องมารับใช้ชั้นหรอก ไป๊”
“แม่ใหญ่คะ อิฉันเจ็บแล้ว อิฉันกลัวแล้ว พอเถอะค่ะ”
จ้าวซันวิ่งเข้ามา มีบราลี ตามติด จ้าวซันเข้าไปขวาง พยายามกันอาม่าไว้
“แม่ใหญ่ครับ ผมขอร้องล่ะพอเถอะครับ”
ไทไทหันมามองหน้า
“จ้าวซัน”
อยู่ๆ ไทไทตบผัวะมาเต็มหน้าจ้าวซัน จ้าวซันผงะไป บราลีตกใจ เข้าขวาง จับมือไทไทไว้
“จ้าวไทไทคะ อย่าทำคุณชายค่ะ”
ไทไทรู้ตัว ชะงัก มองหน้าบราลี
“เธออย่ามาขวาง ให้ชั้นตีมัน ชั้นต้องตีมันให้ตาย”
“แม่ใหญ่ ผมทำอะไรผิด”
“ผิดสิ ทำไมไม่ผิด ทำอะไรตามอำเภอใจเกินไปแล้ว เคยปรึกษากันบ้างไหม”
“เรื่องอะไรครับ”
ไทไทชี้หน้าจ้าวซัน
“แก...แกทำทุกอย่างผิดพลาดหมด นังจ้าวเหม่ยอิง ตามชะตากรรมของมัน มันต้องตายในคุก เวลานี้มันต้องอยู่ที่นั่น แต่แก...แกไปเอามันมาเข้าบ้าน แกทำให้ทุกอย่างผิดแผนของฟ้าดิน”
“ผมทำเพื่อเต้”
“ทำเพื่อเต้เหรอ เต้ตายไปแล้ว นอนอยู่ในหลุม คนที่ต้องเผชิญกับปัญหาคือคนเป็นไม่ใช่คนที่ตายแล้ว คือชั้น คือพวกแก ไม่ใช่เต้ของแก”
“แม่ใหญ่ครับ ให้โอกาสเหม่ยอิงบ้าง ผมจำได้ดีว่าเต้รักเหม่ยอิงมาก เหม่ยอิงก็เก่งสมใจเต้ทุกอย่าง แต่พอดีเขาเป็นผู้หญิง ทำให้เขาต้องเสียโอกาสไป”
“หยุดพูด เต้ของแกนั่นแหละ ที่เป็นคนแรก ที่ไปให้ท้ายมัน มันเลยกลายเป็นคนแบบนี้ คนอย่างเหม่ยอิง มันไม่มีวาสนาหรอก เพราะมันเป็นคนเลว มันจะนำมรณะมาให้ทุกคน มันไปถึงไหนก็นำความพินาศไปถึงนั้น แกต้องเอามันไปทิ้ง ทิ้งข้างถนน ทิ้งทะเลอะไรก็ได้”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ”
“แม่ใหญ่ ผมขอร้องล่ะ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด บ้านของเรามันควรจะอบอุ่น อยู่แล้วมีความสุข ทุกคนรักกัน ดูแลกันสิครับ เราอย่าใจร้ายกับใครเลยนะครับ ผมขอนะครับ ผมกราบล่ะ”
จ้าวซันนั่งลง ไหว้กับตักไทไท
“แกคิดผิดแล้ว จ้าวซัน แกคิดผิดแล้ว”
ไทไทพึมพำ ทุกคนอึ้ง

จ่าหมงเฝ้าเหม่ยอิงอยู่หน้าห้อง คืนนั้นแม่สี่จะขอพบเหม่ยอิง จ่าหมงจึงต้องตรวจตัวแม่สี่
“เอ้า...ดู ไม่มีมีด มีปืน ไม่มีอะไรทั้งนั้น โทรศัพท์ก็ไม่มี”
“เชิญครับ”
จ่าหมงหลีกทางให้ แม่สี่เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป จ่าหมงและตำรวจอีกคน ตามเข้าไป เหม่ยอิงนั่งกอดเข่าบนเตียง ดูทีวี ไม่สนใจใครทั้งสิ้น
“อะไรกันเนี่ย พวกคุณตามเข้ามาทำไม” แม่สี่หันไปถามจ่าหมงอย่างไม่พอใจ
“ต้องตามครับ เป็นคำสั่งครับ”
“ใครสั่ง”
“คุณชายจ้าวซัน และผู้บังคับบัญชาผม สั่งครับผม”
“นี่มันบ้านชั้น แล้วนี่ก็ลูกสาวชั้น ชั้นต้องการพูดกับลูกเป็นการส่วนตัว”
“ก็พูดคุยเลยครับ แต่เราจะอยู่ที่นี่”
แม่สี่อึ้ง แล้วในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา
“ทำไมต้องบีบคั้นกันอย่างนี้ ทำไมต้องรังแกกันด้วย ชั้นก็แค่คนแก่ๆ คนนึง แล้วนี่ก็ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง ใจร้ายๆ เหลือเกิน ฮือๆๆ” จ่าหมงและตำรวจมองหน้ากันซีดๆ เหม่ยอิงไม่หันมามองแม้แต่น้อย แม่สี่ร้องไห้มากขึ้น “นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมชีวิตชั้นต้องอาภัพแบบนี้ด้วย ทำไมต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายอย่างนี้ ไม่มีใครสงสารชั้นเลยเหรอ ชั้นรักลูก อยากแค่คุยความในใจกับลูกบ้างแค่นี้ก็ไม่ได้ ฮือๆๆ”
ตำรวจอึ้งๆ แล้วในที่สุด จ่าหมงก็หันมา
“คุณนายครับ อย่าร้องไห้เลยครับ”
ตำรวจก้มหัวให้ แล้วเดินออกไป แม่สี่เช็ดน้ำตา มองมาที่เหม่ยอิง เหม่ยอิงหันมา ยิ้มแสยะ ทำหน้าดูถูก
“นี่สินะ ที่เรียกว่าใช้น้ำตาเป็นอาวุธ ได้ผลจริงๆ ด้วย”

แม่สี่เสียใจ ร้องไห้ออกมาอีก

อีกด้านหนึ่งที่พักลับของพันหงปิง เกาเฟยซึ่งถอดเสื้อมีผ้าคาดพันหัว ยกมีดขึ้น จ้วงลงไป เกาเฟยมีสีหน้า
เจ็บปวด มือเกาเฟยควักลงไปในต้นขาด้านข้างของตัวเอง กางเกงเกาเฟยถูกตัดขาออกแล้วแหวกถึงจุดๆ นั้น
“อ๊าก”
มือเกาเฟยหยิบลูกตะกั่วเล็กๆ ออกมา ลูกตะกั่วพร้อมเลือด กระทบพื้น กลิ้งหลุนๆ ไป เกาเฟยหงายตัวนอน หายใจหอบๆๆ แล้วหลับตาลง ทันใดนั้นมีเสียงครางฮือๆๆ โอยๆๆ มา เกาเฟยลืมตาขึ้นมาใหม่ หันไป
บนเตียงโทรมๆ ที่ทำจากลังไม้วางต่อๆ กัน มีผ้าห่มเก่าๆ ปู พันหงปิงนอนซีด
“ช่วย...ด้วย...ช่วย...ด้วย” เกาเฟยแสยะ “เกาเฟย...เกาเฟย แกอยู่ตรงนั้นใช่ไหม” เกาเฟยกัดฟัน ลุกขึ้น เดินเขยกๆ ไป เกาะข้างเตียง “ช่วย...ช่วยชั้นด้วย...ชั้น...กำลังจะตาย”
“ชั้นนึกว่าแกตายไปแล้วซะอีก”
“ยัง...ยัง...แก...ช่วยชั้นที”
“บอกตรงๆ นะพันหงปิง คงไม่มีใครช่วยแกได้หรอก ในตัวแกมีกระสุนพรุนไปหมดแบบนี้”
พันหงปิงยื่นมือมาจับแขนเกาเฟยไว้แน่น
“แกช่วยได้ ผ่า...ผ่ากระสุนออก แบบที่...แก...ผ่าให้ตัวเอง”
“ขืนผ่า แกก็ต้องตายเร็วขึ้น เพราะมันคงเข้าจุดสำคัญแกทั้งนั้น แกนอนตายไปเงียบๆ อย่างสงบจะดีกว่า หลับตาซะพันหงปิง สวดมนตร์ให้พระเจ้ามารับวิญญาณซะดีกว่า แต่แกคงตกนรกมากกว่าขึ้นสวรรค์นะ เพราะแกค้าอาวุธให้คนเค้าเอาไปฆ่ากันมามาก ผลกรรมเลยให้แกต้องมาตาย เพราะลูกปืนเต็มตัวแบบนี้ไง” เกาเฟยหัวเราะ พันหงปิงกัดฟัน หายใจเบาๆ เกาเฟยเดินไปดูมุมต่างๆ เปิดลังดู เห็นระเบิดเป็นกล่องๆ “โอ้โห...พันหงปิง หลุมลับๆ ของแกนี่มันขุมทรัพย์ชัดๆ ระเบิดอะไรบ้างนี่ น้อยหน่าก็มี ไดนาไมท์ ระเบิดควัน ประทัดยักษ์ ยังกะแกแป็นนางพญาผึ้ง แล้วระเบิดพวกนี้เป็นตัวอ่อนของผึ้งก็ไม่ปาน นี่ถ้าใครซักคนจุดไฟขึ้นในรูนี้ เกาลูนคงเหมือนมีงานเฉลิมฉลองไปทั้งฝั่งเลยนะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอฉันเหอะนะ”
เกาเฟยนั่งลง เลือกระเบิดชนิดต่างๆ ออกมาจากลัง เรียงกันเป็นแถว
“อย่า อย่ายุ่งกะของๆ กู อ๊าก”
พันหงปิงหมดสติไป

แม่สี่นั่งร้องไห้ที่มุมนึงของเตียงเหม่ยอิงไม่ยอมหยุด เหม่ยอิงมองอย่างเหยียดๆ
“ชีวิตนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต หนูยังเห็นน้ำตาแม่มาไม่มากพออีกเหรอ”
แม่สี่หันมามอง เช็ดน้ำตาจนแห้ง
“เหม่ยอิง พอเถอะ หยุดทำร้ายตัวเองซะที”
“แม่พูดอะไร”
“ทุกครั้ง ที่ลูกพูดจาทำร้ายคนอื่น ลูกรู้ตัวไหมว่าลูกก็ทำร้ายตัวเองไปด้วย”
“เฮอะ”
“ลูกยอมแพ้ซะเถอะเหม่ยอิง อย่าดิ้นรนอีกเลย”
“ก็หนูแพ้แล้วไง หนูกำลังแพ้อยู่เนี่ย แม่นี่เลอะเทอะ พูดอะไรไม่รู้เรื่องซักอย่าง ออกไปได้แล้ว หนูจะนอน” แม่สี่ลุกขึ้น
“ทำตามที่จ้าวซันบอก หยุดคิดอะไรเองไม่ต้องวางแผนอะไรทั้งนั้น”
“ทำตามที่จ้าวซันบอก ต่อให้ทำดียังไงหนูก็ต้องติดคุกอยู่ดี”
“ติดคุกก็มีวันออกนะลูก ยิ่งทำตัวดีๆ ไม่นานก็พ้นโทษ”
“ไม่ หนูจะไม่ยอมติดคุกเด็ดขาด ให้หนูตายซะดีกว่า”
“ไม่นะ ลูก ลูกต้องไม่ตายนะ ลูกต้องไม่คิดสั้น”
“แม่ หนูไม่โง่ขนาดนั้นหรอกนะ หนูจะให้พี่ใหญ่ช่วยให้หนูหนีไปจากฮ่องกง”
“อะไรนะ จ้าวซันน่ะเหรอ”
“พี่ชายใหญ่จัดการได้อยู่แล้ว”
“ถ้าหนูหนีไป เค้าก็จะตกที่นั่งลำบากนะลูก”
“ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ เขาพูดเอง แล้วหนูก็จะบอกว่าปัญหาทุกอย่าง แก้ไขได้ด้วยเงินไงล่ะแม่ เค้าให้หนูไปไหนก็ได้ ประเทศไหนก็ได้ มีที่เยอะแยะไปที่หนูจะอยู่ได้อย่างดี อย่างสบายด้วย ขอให้มีเงินเท่านั้น แม่ไปบอกเค้าเลยว่า ถ้าพี่ใหญ่รักเต้จริง รักหนูจริง เขาต้องช่วยหนูได้อยู่แล้วล่ะ”

เหม่ยอิงบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

จบตอนที่ 20

อ่านต่อตอน ที่ 21 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น