xs
xsm
sm
md
lg

รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 9

ตี๋เล็กซิ่งรถไปตามถนนอย่างรวดเร็วโดยมีมณีมันตราซ้อนท้ายอยู่ มณีมันตรามองไปทางข้างหลัง

เห็นอิทธิฤทธิ์ ธรรม์และชนมนวิ่งไล่ตามมาอยู่ไกลๆ
“พี่ธรรม์นี่ ! ไอ้โรคจิต ! แกหลอกชั้น !จอดเดี๋ยวนี้นะ”
มณีมันตราทั้งตบตี ทั้งจิกดึงทึ้งผมตี๋เล็กจนตี๋เล็กเริ่มคุมรถไม่ได้
“โอ๊ยๆๆๆ จอดก็ได้จอดแล้ว จอดแล้ว”
ตี๋เล็กกำเบรกแต่มอเตอร์ไซค์ไม่ยอมหยุด
ตี๋เล็กร้องลั่น “เฮ้ย ! เบรกแตก!”
“อะไรนะ!”
“ช่วยด้วย!! เบรกแตก!”
อิทธิฤทธิ์ ชนมนและธรรม์วิ่งกวดไม่หยุดแล้วก็ต้องชะงักอย่างตกใจ
“มันจะมาโชว์พาวอะไรตอนนี้ !” อิทธิฤทธิ์ว่า
“ชั้นว่าไม่ใช่...” ธรรม์บอก
อิทธิฤทธิ์ ธรรม์และชนมนมองไปที่รถตี๋เล็กอย่างทำอะไรไม่ถูก ตี๋เล็กเบรกมอเตอร์ไซค์ไม่อยู่ รถของเขาจึงแล่นซิกแซกไปมาบนถนนอย่างน่าหวาดเสียว
“อ๊ากๆๆ ช่วยด้วย” ตี๋เล็กร้อง
“หยุดรถ ! หยุดเดี๋ยวนี้ !! กรี๊ด” มณีมันตราเสียงดังด้วยความกลัวสุดๆ
รถตี๋เล็กแล่นไถลพรวดไปข้างหน้าอย่างหยุดไม่อยู่
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ตกใจ “มาย่า !!”
ชนมนก็ตกใจ “ตายแล้ว”
รถตี๋เล็กคว่ำแอ้งแม้งอยู่ข้างถนนโดยที่มณีมันตราไม่บาดเจ็บมาก ตี๋เล็กกับมณีมันตราล้มตามรถและกระเด็นไปนอนอยู่ที่กองทรายข้างถนน อิทธิฤทธิ์กับธรรม์วิ่งมาจนถึงที่เกิดเหตุ โดยมีชนมนวิ่งรั้งท้าย มณีมันตราโขยกเขยกลุกขึ้นมาได้ อิทธิฤทธิ์กับธรรม์วิ่งมาถึงตัวมณีมันตราพร้อมกัน มณีมันตราโผเข้ากอดธรรม์ไว้อย่างตกใจกลัวจนตัวสั่น
“พี่ธรรม์ !”
อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราอย่างนิ่งอึ้งที่เธอเลือกไปหาธรรม์
“พี่ธรรม์...” มณีมันตราร้องไห้
“ย่าไม่เป็นไรนะ”
“ย่านึกว่า..ย่าต้องตายแน่ๆ”
“ย่าไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่นี่แล้ว”
ชนมนวิ่งอย่างเหนื่อยหอบตามมา
“รีบพาย่าไปโรงพยาบาลดีกว่า แล้วตกลงไอ้โรคจิตมันเป็นใคร?!”
ทุกคนเพิ่งนึกได้จึงหันไปมองตี๋เล็กที่กำลังตะเกียกตะกายคลานไปหามอเตอร์ไซค์
“ลูกพ่อ..ลูกพ่อต้องไม่ตาย !” ตี๋เล็กคร่ำครวญ
อิทธิฤทธิ์เข้าไปกระชากตัวตี๋เล็กขึ้นมา ชนมนเข้าไปช่วยกระชากหน้ากากของตี๋เล็กออก
“ไอ้ตี๋เล็ก !!”
ตี๋เล็กหน้าเหยเกอย่างรู้สึกกลัวและรู้สึกผิด
“แก! แกเกือบทำมณีมันตราตาย!” ธรรม์โกรธ
ธรรม์โกรธจัดจึงรี่เข้าชกตี๋เล็กจนหน้าหงายล้มลงไปกับพื้น
“พี่ธรรม์ !” มณีมันตราไปดึงธรรม์ไว้ไม่ให้ตามไปซ้ำตี๋เล็ก
มณีมันตรากอดแขนธรรม์ไว้ ธรรม์ดึงมณีมันตรามากอดปลอบใจอีกครั้ง อิทธิฤทธิ์ชะงักมองธรรม์กับมณีมันตรา ส่วนชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างแปลกใจที่เขาไม่อาละวาดใส่ธรรม์

อิทธิพลมองแฟ้มประวัติของนฤดีอย่างชั่งใจและคิดหนัก ถนอมถือถ้วยกาแฟมาวางไว้ให้แล้วยืนรอลุ้นพร้อมให้ความมั่นใจว่าอิทธิพลทำในสิ่งที่ถูกต้อง อิทธิพลมองนาฬิกาแล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรไปนิวยอร์ค เสียงกดรับโทรศัพท์จากทางด้านนฤดี
อิทธิพลรีบพูด “นฤดี..นี่ผมเอง..อิทธิพล”
เสียงวางสายฉับลงไปทันทีแล้วกลายเป็นเสียงสายขาด
อิทธิพลพูดกับถนอม “เค้าไม่ยอมรับสายชั้น”
“โธ่เอ๊ย..ทำไมคุณผู้หญิงถึงใจแข็งอย่างนี้”
“ไม่ใช่ใจแข็ง..ใจดำต่างหาก” อิทธิพลว่า

ถนอมมองอิทธิพลอย่างเห็นใจและเข้าใจ

ตี๋เล็กกอดลูบคลำและเอาแขนเสื้อเช็ดมอเตอร์ไซค์ของตัวเองอย่างอ่อนโยน

“ทำใจดีๆไว้ ลูกพ่อ..เดี๋ยวเราก็ได้กลับบ้านเราแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ ชนมน ธรรม์และมณีมันตรามองตี๋เล็กเป็นตาเดียว
“จับมันส่งตำรวจก็แล้วกัน” ชนมนเสนอ
อิทธิฤทธิ์พูด “ก็นี่ไง ตำรวจยืนอยู่นี่ จับมันไปเลยซิ”
“เราต้องจับมันส่งให้ตำรวจท้องที่จัดการ” ธรรม์ว่า
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าเรื่องถึงตำรวจ ย่าได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่” มณีมันตราตัดใจ “ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ ย่าก็ปลอดภัยแล้ว ย่าไม่เอาเรื่อง”
“ไม่ได้! มันทำกับย่าถึงขนาดนี้ ไม่เอาเรื่องได้ยังไง!”
“แต่นายต้องคิดถึงชื่อเสียงของย่าเค้าด้วยนะ อิท ! ถ้ามีข่าวมณีมันตราถูกผู้ชายฉุดเข้าป่า ย่าจะต้องเสียหายแค่ไหน เราต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” ธรรม์บอก
อิทธิฤทธิ์เข้าไปฉุดตี๋เล็กให้ลุกขึ้นแล้วกระชากคอเสื้อให้เข้ามาใกล้ตัวอย่างแรง
“งั้นก็ต้องปิดปากไอ้นี่เป็นคนแรก ฆ่ามันหมกป่าซะ”
ตี๋เล็กตาเหลือก “เฮ้ย ชั้นไม่ได้คิดทำอะไรน้องมณีมันตรานะ ชั้นแค่อยากขี่มอไซด์มีน้องเค้าซ้อนท้ายเท่านั้น เหมือนในหนังยังไงล่ะ คนอย่างแกไม่เข้าใจคนที่มีความรักหรอก”
“ต่อไปนี้แกห้ามยุ่งกับมณีมันตราอีก รับปากมา!”
“ไม่! ชั้นรักน้องมณีมันตรา ไงก็ไม่รับปาก คนมันรักอ่ะ” ตี๋เล็กบอก
ธรรม์เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังอิทธิฤทธิ์ ตี๋เล็กมองธรรม์อย่างเกรงกลัว
“งั้นเราคงต้องไปคุยกับพ่อแม่นาย” ธรรม์บอก
ตี๋เล็กตกใจกว่าโดนฆ่าอีก “อย่านะ!! อย่า อาป๊ารู้เรื่องนี้ไม่ได้นะ”
ธรรม์ดุ “ได้ งั้นนายห้ามมายุ่งกับมณีมันตราอีก รับปากมา”
“ครับๆ ต่อไปผมจะไม่ยุ่งกับน้องมณีมันตราอีก”
อิทธิฤทธิ์ปล่อยมือจากตี๋เล็กอย่างเซ็งที่ธรรม์ได้เป็นพระเอกอีกครั้งเพราะบีบให้ตี๋เล็กรับปากได้ ธรรม์จับไหล่ตี๋เล็กไว้เบาๆ แต่ตี๋เล็กก็สะดุ้งเฮือกเพราะกลัวโดนต่อยอีก
“สัญญาของลูกผู้ชาย ! ห้ามคืนคำเด็ดขาด!” ธรรม์บอก
“ครับๆ ผมไม่คืนคำแน่ๆ”
อิทธิฤทธิ์มองมณีมันตราที่ยิ้มอย่างภูมิใจในตัวธรรม์ อิทธิฤทธิ์เดินออกไปทันที ชนมนเริ่มเป็นห่วง

อิทธิฤทธิ์เดินเร็วมาทางสวนป่าเพื่อจะกลับเข้ารีสอร์ท สีหน้าของเขานิ่งขรึม ชนมนเดินไล่ตามมาจนทันอิทธิฤทธิ์
“รอกันด้วยซิ”
ชนมนเดินตามอิทธิฤทธิ์ที่ยังนิ่งเงียบและดูไม่ออกว่าคิดอะไร
ชนมนชวนคุยแก้เก้อ “ที่แท้ไอ้โรคจิตที่ตามรังควาญมาย่ามาตลอดก็เป็นตี๋เล็กนี่เองตี๋เล็กนี่มันบ้าเนอะ แค่อยากให้มาย่าซ้อนท้ายมอไซด์ ถึงกับต้องใช้วิธีลักพาตัว”
อิทธิฤทธิ์ยังนิ่งเงียบเพราะประมวลความรู้สึกของตัวเองที่มีกับมณีมันตราอยู่
ชนมนทนไม่ไหว “นี่นายอิท ! ตกลงนายกับมณีมันตรานี่มันยังไงกันแน่ หา!”
อิทธิฤทธิ์ชะงักกึกแล้วหยุดหันไปมอง ชนมนมองตามก็เห็นธรรม์ประคองมณีมันตราเดินตามมา อิทธิฤทธิ์เดินอาดๆกลับย้อนกลับไปหาธรรม์กับมณีมันตราด้วยท่าทางเอาเรื่อง ชนมนรีบตามไป
อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “ดูแลมณีมันตราดีๆด้วยล่ะ ถ้านายทำให้มณีมันตราเสียใจ นายไม่ตายดีแน่ !” อิทธิฤทธิ์พูดกับมณีมันตรา “ชั้นเข้าใจแล้ว..เข้าใจแล้วจริงๆชั้นเป็นได้แค่เพื่อนของเธอ ไม่ว่ายังไง เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน”
ธรรม์กับชนมนยืนงงอยู่เพราะนึกว่ามณีมันตรากับอิทธิฤทธิ์ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว
อิทธิฤทธิ์เสียงดัง “ไม่ต้องทำงง ไป !”
อิทธิฤทธิ์ลากชนมนติดมือไปอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อเพราะแค่อยากให้ชนมนไปเป็นเพื่อน
“เฮ้ย ! ไม่ต้องลาก !”

ชนมนถูกอิทธิฤทธิ์ลากตัวปลิวไป ธรรม์กับมณีมันตรามองหน้ากันอย่างงงๆ และเก้อเขิน

อิทธิฤทธิ์ลากตัวชนมนมาลิ่วๆออกจากทางสวนป่า

“นายอิท ! นายอิท ! ปล่อยชั้น ปล่อย!”
ชนมนสะบัดแขนออกจากอิทธิฤทธิ์ได้ในที่สุด
“ลากชั้นมาทำไมเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน !”
“อ้าว”
อิทธิฤทธิ์เดินหาที่นั่งแล้วพึมพำ “ในที่สุดไอ้ธรรม์มันก็ชนะชั้นจนได้”
ชนมนนิ่งคิดปะติดปะต่อเรื่องได้ก่อนจะตามมานั่ง “เรื่องมาย่าน่ะเหรอ”
อิทธิฤทธิ์นิ่งและเริ่มยอมรับ
“นายต่างหากที่ชนะ ! นายยอมรับความจริงอย่างลูกผู้ชาย นายได้ชนะใจตัวเองแล้ว นายอิทธิฤทธิ์ “
อิทธิฤทธิ์หันมาก้มลงเอาหัวซบไหล่ชนมนไว้ด้วยทำท่าอ่อนแอเหมือนหมูหวาน ชนมนนิ่งเพราะตกใจจนตัวแข็งแต่ผลักอิทธิฤทธิ์ออกไปไม่ลง
“เฮ้ย!”
“ทำไมมาย่าเลือกไอ้ธรรม์...ไม่เลือกชั้น?” อิทธิฤทธิ์ถาม
“มาย่าคงเห็นนายเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว เป็นเพื่อนกันไม่มีวันจะตัดขาดจากกัน ดีกว่าเป็นแฟนกันอีก แล้วเรื่องของความรักน่ะ มันบังคับใจกันไม่ได้...นายคงเสียใจมากล่ะซิ” ชนมนสงสารอิทธิฤทธิ์มาก
“เสียใจนิดหน่อย แต่เสียฟอร์มมากกว่า จัดฉากเหนื่อยแทบตาย แต่มาเจ๊งไม่เป็นท่าอย่างนี้ มันเสียหน้าจริงๆ”
ชนมนหมดความสงสารในทันที เธอผลักหัวอิทธิฤทธิ์ออกไป
“เสียหน้า ! แค่เสียหน้างั้นเหรอ แล้วเรื่องจัดฉากบอกรักน่ะ ฝีมือชั้นทั้งนั้น ชั้นเหนื่อยแทบตาย ชั้นบอกนายแล้วว่าเรื่องรักเอาไว้ทีหลัง”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นจะพยายามลืมเรื่องมาย่า ตอนนี้ชั้นมีเป้าหมายใหม่แล้ว”
อิทธิฤทธิ์จ้องมองชนมนจนเธอรู้สึกเขิน
“อะไรมันจะเร็วขนาดนี้ นายเพิ่งอกหักรักคุดมาหมาดๆ..ใคร..ใครเป็นเป้าหมายใหม่ของนาย”
“ผู้หญิงที่ทำให้ชั้นเป็นคนดีขึ้นยังไงล่ะ ผู้หญิงที่ทำให้ชั้นตั้งใจเรียนตั้งใจสอบให้ผ่าน ผู้หญิงที่ทำให้ชั้นยังมีความหวังในชีวิต”
ชนมนจ้องมองอิทธิฤทธิ์อย่างใจระทึกๆและลุ้นๆ
อิทธิฤทธิ์พูดออกมา “แม่ของชั้น...ชั้นจะต้องสอบให้ผ่านและไปเจอแม่ให้ได้ ! ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นเป้าหมายที่ชั้นตั้งไว้แต่แรกแล้ว ชั้นมามัวยุ่งกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ต่อไปเธอต้องติวชั้นให้หนักเลยนะ ชั้นจะต้องสอบให้ได้”
อิทธิฤทธิ์ตบไหล่ชนมนแล้วเดินออกไป ชนมนยืนเหวอๆ เพราะไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี

ธรรม์ประคองมณีมันตราเดินเข้ามา ต่างคนต่างมองกันไปคนละทางเพราะไม่กล้าสบตากัน
“ย่า..ย่าได้ยินแล้วใช่มั้ย อิทเค้าบอกให้พี่คอยดูแลย่า..อย่าให้ย่าต้องเสียใจ”
“พี่ธรรม์ต้องให้อิทอนุญาตก่อนเหรอคะ”
“พี่ไม่อยากให้อิทต้องเสียใจเพราะพี่”
“แต่ทำให้ย่าเสียใจได้?”
“ย่าต้องเข้าใจนะ คุณพ่อของอิทมีบุญคุณต่อพี่แค่ไหน ทุกวันนี้ที่อิทไม่มีความสุขส่วนนึงก็เป็นเพราะพี่ พี่ไม่สามารถทำลายความสุขของอิทได้อีก”
“อิทเค้าคิดว่าเค้ารักย่า จริงๆแล้วอิทไม่ได้รักย่าหรอกค่ะ พี่ธรรม์ คนอย่างอิท ถ้ารักใครจริงๆ เค้าไม่ปล่อยมือไปง่ายๆหรอก อิทเค้าไม่เหมือนใครบางคน”
“ย่า..พี่ไม่ใช่คนโรแมนติค พี่ทำอย่างอิทไม่เป็น”
“พี่ธรรม์..พี่ธรรม์เห็นย่ากับอิทเมื่อวานเหรอคะ แล้วทำไมไม่ถามย่า”
“คนอย่างพี่ ถ้ารักใครจริงๆ แล้ว ไม่ว่าเค้าจะไปรักใคร ไม่ว่าเค้าจะไปทำอะไร ถ้าเค้ามีความสุข พี่จะยอมปล่อยเค้าไป พี่ยอมเจ็บเองดีกว่าทำให้คนที่พี่รักต้องเจ็บ”
มณีมันตรายิ้มอย่างมีความสุข “พี่ธรรม์..”
มณีมันตรามองธรรม์อย่างซาบซึ้งและเข้าใจ ธรรม์ดึงมณีมันตรามากอดไว้ด้วยความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อบอุ่นเหลือเกิน

มณีมันตราเศร้าสะเทือนใจผิดกับก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเธออยู่กับโอเจบนเนินขณะกำลังถ่ายฉากจบของหนังที่ซึ้งกินใจ
“ลาก่อนค่ะ โทนี่ ลาก่อน”
มณีมันตราหันหลังเดินจากมา โอเจวิ่งเข้าไปกอดมณีมันตราจากด้านหลัง
“คาจิมา! (อย่าไป)”
มณีมันตราหยุดนิ่งข่มใจทำใจแข็งไม่ยอมหันไปมองโอเจ
“ผมรักคุณ..คุณวีรินทร์..ซารังเฮโย”

มณีมันตราน้ำตาไหลพรากๆอย่างปวดใจ โอเจพยายามสุดๆ เพื่อจะร้องไห้แข่งแต่ก็ร้องไม่ออกจึงได้แต่ตีหน้าเศร้า

ธรรม์ยืนมองจอมอนิเตอร์อย่างทึ่งกับมณีมันตราที่เพิ่งผ่านพ้นเรื่องตี๋เล็กมาแต่ยังทำงานต่อได้ สตีฟอินจนน้ำตาเล็ด
 
เมนี่มองจอมิเตอร์อย่างไม่เข้าใจตัวละครในหนังเลย
“รักเค้าก็บอกรักไป ทำไมต้องทำเป็นไม่รักด้วย” เมนี่โพล่งออกมา
“ก็อาชีพบอดี้การ์ดน่ะจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ วีรินทร์ก็เลยไม่อยากให้โทนี่เสียใจทีหลังยังไงล่ะ” สตีฟบอก
“เออ ก็จริงเนอะ”
ธรรม์มองมาที่สตีฟเพราะได้ยินสิ่งที่พูดแล้วก็หันไปมองมณีมันตรา

มณีมันตราเช็ดน้ำตาแล้วปลดมือโอเจออกก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับโอเจ
“คุณไม่ได้รักชั้นหรอกค่ะ โทนี่ คุณแค่เหงา อยากมีใครซักคนเท่านั้น ชั้นเป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ..คุณไปตามหาคนที่คุณรักจริงๆ เถอะค่ะ”
มณีมันตราหันหลังเดินจากมา โอเจทรุดตัวลงคุกเข่าลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง มณีมันตราเดินจากมาโดยน้ำตาไหลไม่หยุด มณีมันตราเดินไกลจากโอเจมาเรื่อยๆ
มณีมันตราหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองโอเจ โอเจเงยหน้ามองมณีมันตรา ทั้งสองสบตากันชั่วอึดใจแล้วทั้งคู่ก็โผเข้ามากอดกันแน่น เหมือนจะไม่ให้อีกฝ่ายจากไปไหนอีกเลย

สตีฟกับเมนี่เช็ดน้ำตากันป้อยๆอย่างอินมาก ผู้ช่วยและสต๊าฟยืนซึ้งไปด้วย
สตีฟได้สติ “คัต! It’s a wrap ! ปิดกล้อง! ปิดกล้องได้ซะที”
ทีมงานทุกคนร้องไชโยโห่ร้องกรี๊ดกร๊าด

มณีมันตราเดินกลับเข้ามายกมือไหว้ทีมงานทุกคน ช่างกล้อง ช่างไฟ พรอพส์ ช่างหน้า ช่างผม ฯลฯมาตลอดทาง โอเจที่เดินตามหลังแรกๆทำหยิ่งแล้วก็ยกมือไหว้ประดิษฐ์แบบแข็งๆตามมณีมันตรา
“ขอบคุณค่ะ, ขอบคุณนะคะ, ขอบคุณมากค่ะ, ขอบคุณค่ะพี่ๆทุกคน”
“ขอบคุณครับๆขอบคุณ คัมซาฮัมนีดา Thank you very much”
สตีฟลุกขึ้นปรบมือให้มณีมันตรา ทีมงานทุกคนปรบมือตาม โอเจโค้งรับเสียงปรบมือแต่ก็ต้องโค้งเก้อเมื่อสตีฟเดินตรงไปหามณีมันตราคนเดียว
“ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยมที่สุด ! มาย่า ! เธอเป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดเท่าที่ชั้นเคยร่วมงานมา ! ชั้นดีใจจริงๆที่ได้เธอมาเป็นนางเอกของชั้น”
มณีมันตรายกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ คุณสตีฟ”
“เธอฟังชั้นไว้นะ เธอจะต้องเป็นนักแสดงที่มีอนาคตไปไกลอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด”
เมนี่เดินเข้าไปหาโอเจที่มองมณีมันตราด้วยความอิจฉา
“ดีมาก โอเจ รู้จักอ่อนน้อมอย่างเมื่อกี้น่ะดี คนไทยชอบ มีอะไรก็ยกมือไหว้ไว้ก่อนเลย ทำอะไรคนก็โกรธไม่ลง แต่ยิ้มอีกซักนิดก็จะดีนะ” เมนี่บอก
โอเจแขวะ “ผมแอคติ้งไม่เก่งเหมือนมาย่า ทำได้เท่าที่ทำแหละ”
เมนี่ไม่รู้ว่าโอเจแขวะ “มาย่านี่แอคติ้งชนะเลิศจริงๆ นี่ขนาดเพิ่งไปเจอไอ้โรคจิตมา ยังมาถ่ายหนังยังกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ไอ้โรคจิต?”
“ไม่ต้องกลัว หมวดธรรม์จับมันส่งตำรวจท้องที่ไปแล้ว มันมาป้วนเปี้ยนเมื่อเช้านี้ แต่พวกน้องๆเค้าจับตัวไว้ได้ ก็เป็นพวกบ้าดารานี่แหละ เป็นอันจบเรื่อง นี่นะถ้าพี่เมนี่เป็นน้องมาย่าคงประสาทกิน ทำงานไม่ได้ไปหลายวัน”
เมนี่เดินออกไปสั่งงานต่อ
“เอ้าๆ อย่ามัวยืนเมาธ์ เก็บข้าวของเร็วๆเข้า”
โอเจมองมณีมันตราอย่างทึ่งมากยิ่งขึ้นและนี่เป็นจุดเปลี่ยนให้โอเจอยากเป็นนักแสดงที่ดีมากกว่าเป็นดารา
“สุดยอด เธอทำได้ยังไงเนี่ย !” โอเจโพล่งออกมา
ช่างผมช่างหน้าและฝ่ายเสื้อผ้ารุมเพื่อแปลงร่างมณีมันตรากลับเหมือนเดิม มณีมันตรายิ้มหวานแล้วยกมือไหว้ทีมงานที่เดินผ่านไป มณีมันตราส่งยิ้มไปไกลถึงธรรม์ที่ยืนอยู่ห่างๆ ทั้งสองสบตากัน

รถตู้ของบริษัทแล่นมาตามถนน บรรยากาศในรถต่างกับตอนขามาโดยสิ้นเชิง โอเจนั่งง่วนท่องบทเรื่องต่อไปอยู่ที่ท้ายรถ เมนี่นั่งข้างคนขับโดยเช็คคิวในไอแพดไปด้วย
เมนี่หันขวับมาเช็คมณีมันตราที่นั่งอยู่กับธรรม์ มณีมันตรากับธรรม์ที่สบตากันอยู่รีบทำเมินกันทันที
อิทธิฤทธิ์แบมือไปทางชนมนโดยไม่หันหน้าไป ชนมนวางหนังสือกฎหมายใส่มืออิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ก้มหน้าท่องหนังสือแต่บางครั้งก็เหลือบมองมณีมันตรากับธรรม์เป็นพักๆ
 
ชนมนนั่งจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์จนทำให้เขาฮึดแล้วก้มหน้าท่องหนังสือต่อ
 
อ่านต่อหน้า 2

รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ชูชัยกับชินพัฒน์กำลังเก็บของจะปิดร้าน ชนมนเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาแล้วรีๆรอๆมองชูชัย
 
“พ่อ..”
“พี่ชนซมซานกลับมาแล้ว พ่อ”
ชูชัยหันไปมองลูกสาว ชนมนยิ้มแหยๆ แล้วรีบยกมือไหว้
“หนูขอโทษนะ พ่อ ที่ทำให้เป็นห่วง”
“ไม่มีใครเป็นห่วงพี่ชนหรอก แต่คนที่ต้องเป็นห่วงคือลุงชูนี่”
“ไอ้ชิน ! อย่าพูดมาก” ชูชัยว่า
ชนมนรีบวางกระเป๋าแล้วตรงไปหาชูชัย “พ่อเป็นอะไรเหรอ”
ชินพัฒน์รีบบอก “เป็นลม ! เห็นแมนๆอย่างนี้นะ อยู่ๆก็หน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ดีนะที่ผมอยู่ด้วย ไม่งั้นก็ล้มลงไปหัวฟาดพื้น เส้นสมองอาจแตก อาจจะเป็นอัมพฤกษ์หรือถึงอัมพาตได้”
“นี่แช่งหรือเป็นห่วง?” ชูชัยว่า
“เป็นห่วงซิ พ่อ เราต้องนึกภาพที่มันร้ายแรงที่สุดไว้ก่อน พ่อจะได้รู้จักดูแลตัวเอง” ชินพัฒน์ฟ้องชนมน “ยาเบาหวานของพ่อหมด แต่ไม่ยอมบอก”
“ทำไมล่ะ พ่อ”
ชินพัฒน์ตอบให้แทน “มันเปลืองเงิน”
“ไม่ได้นะ พ่อ เราไปหาหมอตอนนี้เลย ไป”
ชินพัฒน์ตอบแทนชูชัยอีก “ไม่ไป ! แก่แล้ว ไปหาหมอก็เท่านั้น”
“ไอ้ชิน !” ชูชัยพูดกับชนมน “พ่อไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่หน้ามืดไปครั้งเดียวเอง อย่าไปฟังไอ้หมูอ้วนตื่นตูมมันเลย”
“ไม่ได้ ! พ่อต้องไปหาหมอกับหนูเดี๋ยวนี้เลย หนูไปกดเงินก่อน”
ชนมนรีบเดินออกไปอย่างร้อนใจ
ชนมนด่าตัวเอง “บ้าจริงๆ ! มัวไปช่วยคนอื่นจนลืมพ่อตัวเอง”
ชนมนเดินออกไปอย่างไม่สบายใจ

ถนอมถือวอลกี้ทอลค์กี้เร่งรีบเดินเข้ามา
“ วอ1 วอ2 สกัดคุณอิทไว้ก่อน เปลี่ยน สกัดคุณอิทไว้ก่อน อ้าว ! ไม่ทันการแล้ว”
ถนอมเห็นอิทธิฤทธิ์ยืนทำหน้าเซ็งใส่พ่ออยู่
อิทธิพลดุ “ไอ้อิท !”
อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ท่วมหัว “ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก อย่าเพิ่งด่ากันตอนนี้คนกำลังอกหัก !” อิทธิฤทธิ์อ้างเพื่อหาเรื่องให้ธรรม์
“ใครทำคุณอิทของป้าอกหักคะ” ถนอมถาม
“ไปถามกันเอาเอง”
อิทธิฤทธิ์บุ้ยใบ้ไปทางธรรม์ที่ถือกระเป๋าเดินทางเดินเข้ามา อิทธิฤทธิ์ฉวยโอกาสที่อิทธิพลกับถนอมกำลังมึนงงอยู่เดินออกไปทันที ธรรม์ชะงักเมื่อถูกอิทธิพลกับถนอมหันมาจ้องมอง
“คุณธรรม์ทำคุณอิทอกหักหรือคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ถนอมถาม
อิทธิฤทธิ์ตะโกนมา “ก็เรื่องมาย่าไงล่ะ ป้าหนอม”
ถนอมเข้าใจเรื่องอย่างเร็วเพราะรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ชอบมณีมันตราอยู่
ถนอมเข้าข้างอิทธิฤทธิ์ “คุณธรรม์กับคุณมาย่า? โธ่ คุณธรรม์นะ คุณธรรม์”
“ไหนว่าไปช่วยหนูมาย่าจากแฟนคลับโรคจิต” อิทธิพลถาม
ธรรม์อึกอัก “ผมไปช่วยมณีมันตราจริงๆครับ คุณพ่อ ไอ้โรคจิตมันตามไปถึงที่กองถ่ายแล้วเราก็จับตัวมันได้ ผมไปเพราะเป็นห่วงทั้งมณีมันตราแล้วก็ห่วงอิทเค้าด้วย”
อิทธิฤทธิ์แอบโผล่หน้ามามองธรรม์อย่างสะใจที่ได้แกล้งธรรม์ส่งท้าย ธรรม์เหลือบไปเห็นอิทธิฤทธิ์ที่ชูสองนิ้วให้สู้ๆ อย่างเยาะเย้ย แล้วอิทธิฤทธิ์ก็หดหัวกลับไป
“แล้วเรื่องคุณธรรม์กับคุณมณีมันตรา มันเป็นยังไงกันแน่คะ คุณอิทบอกว่าอกหักเพราะคุณธรรม์ ช่วยอธิบายให้ป้าฟังซักนิดได้มั้ยคะ ถนอมสงสัย
“ชั้นไม่ว่าหรอกนะ ถ้าแกจะมีแฟน แกโตแล้ว แต่คิดให้ดีว่า เวลานี้ใช่เวลาที่เหมาะจะคิดเรื่องนี้หรือเปล่า เรากำลังทำคดีสำคัญอยู่”อิทธิพลว่า 


ธรรม์ยังยืนนิ่งงงงันตอบอะไรไม่ถูกเพราะถูกรุมโดนไม่ทันได้ตั้งตัว

อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาในห้องแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงหน้าธรรม์ที่อึ้งๆ
 
เขาโยนกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนเตียงแล้วยืนนิ่งอยู่กลางห้องที่บรรยากาศเงียบเหงา อิทธิฤทธิ์มองรูปถ่ายคู่ของตัวเองกับมณีมันตราแล้วก็ต้องตัดใจ
อิทธิฤทธิ์เปิดลิ้นชักหยิบรูปแม่ที่เคยได้จากโต๊ะทำงานของอิทธิพลขึ้นมาดู เขาทรุดตัวลงนั่งที่มุมห้องแล้วจ้องมองรูปนฤดีนิ่ง
“มณีมันตราทิ้งผมไปมีแฟนแล้ว ตอนนี้ผมก็เหลือแม่อยู่คนเดียวแล้วนะ”
หมูหวานเข้ามาป้วนเปี้ยนนัวเนียใกล้ๆ อิทธิฤทธิ์คว้าตัวหมูหวานขึ้นมาอุ้มแล้วนอนลงบนเตียง
“แล้วก็แกด้วย..เจ้าหมูหวาน”
อิทธิฤทธิ์มองไปที่หัวเตียงซึ่งมีแว่นหักๆของชนมนวางอยู่
“แล้วก็เธอด้วย..หรือเปล่า”
อิทธิฤทธิ์ใส่แว่นแล้วทบทวนความรู้สึกตัวเองกับชนมนด้วยความสับสนไปหมด

เช้าวันใหม่ที่มหาวิทยาลัย อิทธิฤทธิ์เดินนำชนมนมาในห้องสมุดเพื่อค้นหาหนังสือกฎหมายเอาไปทำรายงาน

ธรรม์เดินเตร่รออยู่หน้าร้านหนังสือในศูนย์การค้าใหญ่ เสียงมือถือส่งสัญญาณว่ามีข้อความมาว่า ”มองมาที่ 12 นาฬิกาค่ะ หมวด” ธรรม์เงยหน้าขึ้นมองไปอีกฟากฝั่งตรงหน้าก็เห็นมณีมันตราที่รวบผมจุกใส่แว่นกันแดดขนาดใหญ่แอบโบกมือให้ ธรรม์โบกมือตอบอย่างขำๆ ก่อนจะมองซ้ายแลขวาแล้วรีบตรงไปหามณีมันตรา

อิทธิฤทธิ์เลือกหยิบหนังสือกฎหมายมาแล้วส่งให้ชนมนถือ ก่อนจะเดินไปแล้วหยิบเลือกไปเรื่อยๆแล้วส่งให้ชนมนไม่หยุด ชนมนคอยเลือกออกแล้วเอาหนังสือเก็บไว้ที่เดิม อิทธิฤทธิ์เลือกหนังสือต่อไปอย่างมุ่งมั่น พอหันมาอีกทีก็เห็นชนมนถือหนังสือเป็นตั้งเกือบท่วมหัว อิทธิฤทธิ์รีบไปช่วยชนมนถือหนังสือทันที

ธรรม์กับมณีมันตราเดินเล่นในศูนย์การค้า โดยเลือกซื้อของในร้านเล็กๆ นั่งกินไอศครีมในร้านที่ไม่มีคน ธรรม์กับมณีมันตราเดินออกจากร้านโน้นเข้าร้านนี้ ผู้คนเริ่มมองมณีมันตรา มณีมันตรากับธรรม์รีบแยกกันแล้วหันหลังเลือกดูของไป พอผู้คนเดินผ่านไป ทั้งสองก็มาเดินคู่กันใหม่อย่างมีความสุข

อิทธิฤทธิ์คร่ำเคร่งพิมพ์รายงานด้วยโน้ตบุ๊กโดยมีหนังสือกฎหมายวางกองเต็มโต๊ะ ชนมนนั่งคัดเลือกหนังสือให้อยู่ข้างๆ พลางเหลือบมองดูอิทธิฤทธิ์เป็นพักๆ
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ ถนอมเอาขนมกับน้ำหวานเข้ามาให้ อิทธิฤทธิ์ไม่กินแต่ตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ ชนมนกินขนมเองพลางขีดเส้นใต้ตัวอย่างคดีแล้วส่งให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์รับเอกสารจากชนมนโดยไม่มอง ถนอมเอาแก้วน้ำหวานมาเปลี่ยนให้
“คุณอิทของป้าหนอม...”
ถนอมมองอิทธิฤทธิ์อย่างปลาบปลื้มเพราะเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ถนอมแอบเอามือถือถ่ายรูปไว้เดินออก
“อิท..พักบ้างเถอะ” ชนมนบอก
“ไม่ ! ชั้นจะต้องทำรายงานให้เสร็จในวันนี้! และต้องได้เอด้วย”
“นายทำดีแล้ว ..แต่ก็ใจร้อน อย่ามั่นใจเกินไป”
“ชั้นมั่นใจว่า ชั้นจะต้องได้เอ ไม่งั้นไอ้ที่ชั้นพยายามมาทั้งหมด ก็ไม่มีความหมาย”
ชนมนพึมพำ “รู้จักคำว่า พอดีๆ บ้างมั้ยเนี่ย”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์แล้วก็เริ่มหนักใจ

ธรรม์กับมณีมันตราเดินมาที่มุมสวยของห้างสรรพสินค้าซึ่งมีคนถ่ายรูปอยู่ไม่กี่คน มณีมันตรายกมือถือขึ้นแล้วยื่นหน้าไปติดกับหน้าธรรม์เพื่อถ่ายรูปคู่กัน ธรรม์มองไปรอบๆอย่างระวัง มณีมันตรากับธรรม์ยิ้มแล้วกดถ่ายรูปอีกหลายรูป มณีมันตราลองถอดแว่นดำออก มณีมันตรากับธรรม์ถ่ายรูปด้วยกันต่ออย่างสนุกและลืมตัว
วัยรุ่นคนหนึ่งพูดขึ้น “นั่นมาย่าใช่มั้ย”
กลุ่มวัยรุ่น 4-5 คนเดินเข้ามาดูมณีมันตราให้ชัดๆ
“มาย่าจริงๆด้วย”
“ขอถ่ายรูปหน่อยๆ”
มณีมันตรารีบใส่แว่นดำทันที
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ จำคนผิดแล้ว”
“ไปเถอะ ย่า”
ธรรม์ดึงตัวมณีมันตราเดินหนีกลุ่มวัยรุ่นไปทันที วัยรุ่นรีบตาม
“พี่ธรรม์จะเรียกชื่อย่าทำไม?”
“แล้วย่าเรียกชื่อตัวเองทำไมล่ะ?” ธรรม์ย้อน
มณีมันตรากับธรรม์โพล่งออกมาพร้อมกัน “ซวยแล้ว!”
ธรรม์จับมือมณีมันตราวิ่งหนีออกมาได้ก็รีบหลบมุมซ่อนตัวไว้ กลุ่มวัยรุ่นวิ่งผ่านเลยไป มณีมันตรากับธรรม์มองหน้ากันแล้วหัวเราะขำ
“มีใครถ่ายรูปย่าไว้หรือเปล่า” ธรรม์ถาม
“นั่นน่ะสิ ถ้ามีรูปหลุดไปล่ะก็ เป็นเรื่องแน่ พี่เมนี่ได้บ่นจนย่าหูชาแน่ๆ พี่เมนี่ ! ย่าลืมพี่เมนี่ซะสนิทเลย”

มณีมันตราหันมามองธรรม์แล้วยิ้มแหยๆที่ต้องไปแล้ว

รถของธรรม์แล่นมาและกำลังจะมาจอดที่หน้าบ้านมณีมันตรา
 
รถเมนี่แล่นเข้ามาอีกทางแล้วจอดก่อนที่รถธรรม์จะไปถึง ธรรม์เบรกเอี๊ยดทันที มณีมันตราหัวแทบจะโขกกับคอนโซลรถ
“รถพี่เมนี่ !”
“ก็ใช่น่ะซิ” ธรรม์บอก
มณีมันตราก้มลงหลบลงต่ำทันที ธรรม์รีบเข้าเกียร์ถอยหลัง เมนี่ลงจากรถพร้อมกับคุยมือถืออย่างวุ่นวาย
“รับค่ะ งานดึกแค่ไหน กี่ชั่วโมง น้องมาย่ารับหมดค่ะ น้องไม่ได้สวยแก่นแสนซนอย่างเดียวนะคะ น้องอึดเป็นที่หนึ่งเลยล่ะค่ะ เคยวิ่งรอกรับเจ็ดงานวันเดียวก็ทำได้มาแล้ว”
เสียงรถธรรม์ถอยหลังดังขึ้น เมนี่หันไปมองทันที
“รถใครคุ้นๆ”
รถธรรม์แล่นถอยหลังแล้วเลี้ยวออกไปทันที
เมนี่คุยมือถือต่อ “อ้อ ! คนคุ้นเคยกัน อย่าต่อรองค่าตัวเลยนะคะ น้องมาย่ากำลังได้โกอินเตอร์ ค่าตัวแค่นี้ถือว่าคุ้มค่าที่สุด ยิ่งตอนนี้มีข่าวกับโอเจ รับรองนักข่าวไปกันตรึม ! พี่เมนี่เอาหัวเป็นประกัน”
เมนี่เขม่นมองไปทางที่รถธรรม์แล่นออกไปอีกครั้ง

เมนี่นั่งจิบกาแฟพลางอ่านสคริปท์งานวันเลี้ยงปิดกล้องอยู่ มณีมันตราเดินเหงื่อท่วมตัวเข้ามา เมนี่เงยหน้าขึ้นมอง
“ไปไหนมาคะ น้องมาย่า”
“ไปวิ่งออกกำลังกายมาน่ะค่ะ”
เมนี่มองขึ้นๆลงๆ “ใส่ชุดนี้ไปวิ่งเหรอคะ เยอะไปหรือเปล่าคะ เอาล่ะ นั่งลงๆ พี่เอาสคริปท์วันเลี้ยงปิดกล้องมาให้ดู”
มณีมันตรานั่งลงอย่างเหนื่อยเพราะเดินมาไกลมาก
“อีเมล์มาก็ได้นี่คะ ทำไมต้องนัดเจอกันด้วย”
“พี่เมนี่ต้องมาบรีฟงานด้วยตัวเองค่ะ เอามือถือมาค่ะ พี่จะลงเวลาทำงานให้”
มณีมันตราส่งมือถือให้อย่างไม่ทันคิด
“พี่จะตั้งเตือนทุกสองวันนะคะ งานเลี้ยงปิดกล้องครั้งนี้สำคัญมาก เราจะจัดยิ่งใหญ่อลังการเป็นงานราตรีสโมสรเบาๆ” เมนี่กดมือถือของมณีมันตราไปแล้วชะงัก “นี่อะไรคะ น้องมาย่า”
มณีมันตราพูดเบาๆ “รูปพี่ธรรม์ !” แล้วเธอก็พูดดังขึ้น “ย่าอธิบายได้นะคะ”
เมนี่ชูมือถือของมณีมันตราให้ดูซึ่งเป็นรูปมณีมันตราน่ารักๆถือดอกไม้ที่เป็นวอลเปเปอร์ของมือถือ
“พี่สั่งแล้วใช่มั้ยคะว่า รูปวอลเปเปอร์ต้องเป็นรูปน้องมณีมันตราถือถุงขนมโตชิโร่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับบริษัท เดี๋ยวพี่เซ็ทให้ใหม่”
“เดี๋ยวหนูทำเองดีกว่าค่ะ”
“ไม่ต้อง ! พี่ทำให้”
“พี่เมนี่คะ ได้ยินมาว่าโพสรูปหนูกับสินค้าลงเน็ตทีได้ครั้งห้าหมื่นจริงหรือเปล่าคะ”
เมนีโกหก “ไม่จริงค่ะ”
มณีมันตราอาศัยช่วงที่เมนี่ตกใจรีบดึงมือถือกลับมาทันที
“ได้ห้าหมื่นที่ไหนกันคะ ที่พี่โพสรูปหนูกับถุงโตชิโร่นั่นน่ะ ถือเป็นของแถมให้ลูกค้า แล้วน้องมณีมันตราอย่าถ่ายรูปกับสินค้าที่เราไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์มั่วๆนะคะ พี่ไม่อยากให้ลูกค้าขุ่นเคืองใจ”
“ค่า หนูระวังตัวอยู่แล้ว”
“แล้วอีกเรื่องนะคะ สำคัญมาก! ตอนนี้อย่าเพิ่งไปกิ๊กกั๊กกับใครนะคะ เดี๋ยวคนจะคิดว่าน้องมณีมันตรากับโอเจเป็นเรื่องรักโปรโมท”
“ก็มันเป็นรักโปรโมทจริงๆ”
เมนี่ไม่ฟัง “น้องมณีมันตราไม่ควรจะมีข่าวกับผู้ชายคนไหนเลย นอกจากข่าวที่พี่จัดให้ น้องมณีมันตราไม่โง่ คงรู้นะคะว่าต้องทำตัวยังไง”
มณีมันตราลำบากใจเมื่อคิดถึงความสัมพันธ์กับธรรม์ที่เพิ่งเริ่มต้น

ตุลากำลังตรวจงานอยู่ที่โต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นอิทธิฤทธิ์ที่ยืนหัวยุ่งหน้าโทรมตาคล้ำ
อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ “หวัดดีครับ ‘จารย์”
ตุลาแก้คำ “อาจารย์”
“ครับๆ หวัดดีครับ อาจารย์ ผมเอารายงานมาส่งครับ”
“เป็นไปได้ยังไง ส่งก่อนเวลา”
อิทธิฤทธิ์ดึงรายงานเล่มหนาปึ๊กออกจากกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะ ตุลาเอื้อมไปหยิบ อิทธิฤทธิ์จับรายงานไว้อย่างไม่แน่ใจนัก ตุลาดึงรายงานมาแต่อิทธิฤทธิ์ยังยื้อไว้
“ตกลงจะส่งหรือไม่ส่ง”
อิทธิฤทธิ์ตัดใจ “ส่งครับ รายงานนี่ ผมตั้งใจเขียนอย่างสุดชีวิตเลยนะครับ”
“ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เดี๋ยวผลออกมา เราก็จะรู้เอง คุณจำได้มั้ยว่า เราตกลงกันไว้ว่ายังไง?”
“รายงานของผมต้องได้เอ ผมถึงจะมีสิทธิ์เข้าสอบใหม่”

อิทธิฤทธิ์มองรายงานในมือของตุลาซึ่งเป็นด่านแรกที่เขาต้องผ่านไป

เสียงชินพัฒน์ดังขึ้น
 
“ไม่มีทาง ! เข้าสอบใหม่ไม่ได้แน่”
ชินพัฒน์กำลังจ้วงกินไอศครีมสลับกับกินขนมฝอยทองอยู่ ขณะที่ชนมนกำลังจัดยาแก้เบาหวานส่งให้ชูชัยอยู่
“อย่ามาแช่งกัน” ชนมนว่า
“ไม่ได้แช่ง ! พี่อิทไม่มีทางทำรายงานได้เออยู่แล้ว”
“แต่ชั้นเป็นคนช่วยหาข้อมูล ชั้นรู้ว่าทำรายงานแบบไหนถึงได้เอ”
“ไอ้ชินพูดถูก” ชูชัยโพล่งออกมา
“ใช่มั้ยล่ะ พ่อ ผมน่ะมองคนขาด”
“ที่อาจารย์ตุลาตั้งเงื่อนไขให้ไอ้เด็กแว้นนั่นทำรายงานให้ได้เอ เพราะรู้ว่ามันทำไม่ได้อยู่แล้ว นี่เป็นการแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ดีที่สุด” ชูชัยบอก
“แก้ปัญหาอะไร พ่อ” ชนมนถาม
“แก้ปัญหาที่ต้องยอมให้มันกลับมาสอบใหม่น่ะซิ อาจารย์เค้าไม่ได้เต็มใจให้มันกลับมาสอบใหม่ ไอ้เด็กไร้อนาคตแบบนั้น”
“อาจารย์ตุลาไม่ใช่คนแบบนั้น อาจารย์ให้โอกาสครั้งที่สองกับอิทเพื่อที่จะได้แก้ตัวใหม่”
“หรืออาจารย์เค้าอาจจะตัดโอกาสไอ้เด็กนักซิ่งก็ได้ ไอ้คนอย่างนี้มันต้องได้รับบทเรียนหนักๆ มันถึงจะหลาบจำ” ชูชัยพูดกับชินพัฒน์ “เฮ้ย ไปกินไกลๆ ไป”
ชูชัยหยิบยาแก้เบาหวานมากิน ชินพัฒน์ยังคงกินขนมหวานอย่างเพลิดเพลินยั่วพ่อต่อไป
“แล้วนี่หนูจะรู้ได้ยังไงว่า อาจารย์เค้าจะให้โอกาสหรือว่าตัดโอกาสนายอิท”
ชูชัยมองชนมนที่ดูจะห่วงอิทธิฤทธิ์มากเกินไป

อิทธิฤทธิ์ผุดลุกผุดนั่งอย่างกระวนกระวายพลางมองนาฬิกาอย่างว้าวุ่นใจเรื่องผลของรายงาน อิทธิพลเดินออกมาโดยกำลังจะไปทำงาน ถนอมเดินตามมาส่ง อิทธิฤทธิ์ปราดเข้าไปหาพ่อทันที
“พ่อติดต่อแม่ได้หรือยัง”
“ถามทำไม”
อิทธิฤทธิ์ไม่มั่นใจ “เดี๋ยวผมจะไปพบอาจารย์ตุลา เรื่องรายงานไง พ่อ ผมต้องได้เอแน่ นี่ก็เท่ากับผมมาได้ครึ่งทางแล้ว แค่สอบให้ได้เออีกตัว”
“ไว้ให้สอบให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยมาว่ากัน”
ถนอมเป็นกังวลเพราะรู้ว่าอิทธิพลกำลังลำบากใจ
“คุณอิทสบายใจได้ค่ะ คุณพ่อไม่มีวันผิดคำพูดแน่ๆค่ะ”
“ผมก็หวังไว้ว่าอย่างนั้น ผมแค่อยากเตือนความจำพ่อเท่านั้นแหละ กลัวจะทำแกล้งลืม ผมไปฟังผลก่อนล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ทำรีรอโดยหวังว่าอิทธิพลจะให้กำลังใจบ้าง
ถนอมพูดแทน “โชคดีนะคะ คุณอิท หรือว่าต้องพูดว่าโชคเอคะ”
อิทธิฤทธิ์น้อยใจ “อวยพรซักคำก็ไม่มี”
อิทธิฤทธิ์มองอิทธิพลอย่างเซ็งแล้วผละออกไป อิทธิพลไม่ทันสังเกตลูกเพราะมัวแต่คิดเรื่องนฤดี
“เห็นทีคุณท่านต้องพยายามอีกครั้งแล้วล่ะค่ะ”
อิทธิพลนิ่งเครียด

ตุลาดันรายงานส่งคืนให้อิทธิฤทธิ์ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ตุลาหน้าตาเรียบเฉย อิทธิฤทธิ์ลุ้นผลว่าเป็นยังไง
“อาจารย์ตรวจรายงานของผมแล้วใช่มั้ยครับ..เป็นยังไงบ้างครับ”
“เปิดดูเองซิ”
“อาจารย์บอกมาดีกว่าครับ”
“ชนมนยืนยันว่า คุณทำรายงานนี้ด้วยตัวคุณเอง ถ้าอย่างนั้นสำหรับคะแนนความตั้งใจ ผมให้เอ ส่วนเรื่องเนื้อหาของรายงาน” ตุลาแกล้งถอนใจ
อิทธิฤทธิ์คอตก “ผมจะไม่ได้เข้าสอบใหม่หรือครับ”
“กล้าๆหน่อย เปิดดูเอาเอง อะไรกัน ทีซิ่งรถล่ะกล้า ไม่เคยกลัวตาย แค่เปิดดูเกรดแค่นี้ทำเป็นกลัว แต่คุณก็...ทำได้ดีเกินกว่าที่ผมคาดไว้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนที่มีผลการเรียนร่อแร่เข้าขั้นโคม่ามาตลอดสี่ปี จะได้ทำได้ถึงขนาดนี้”
“ถึงผมจะได้บี..ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
อิทธิฤทธิ์เปิดปกรายงาน หน้าถัดไปมีตัวอักษร A เขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดง อิทธิฤทธิ์อึ้งมึนด้วยความดีใจ เขาเงยหน้ามองตุลาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เอ! ผมได้เอ ! อาจารย์หลอกผมซะสนิท”
“ยินดีด้วยนะ คุณผ่านด่านแรกแล้ว ตอนนี้ก็เหลืออีกด่านเดียว”
“ขอบคุณมากครับ’จารย์”
“อาจารย์”
“คร้าบบบ อาจารย์”

อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้แล้วไหว้อีกก่อนจะคว้ารายงานวิ่งออกไป ตุลาแอบยิ้มอย่างมีเมตตา
 
อ่านต่อหน้า 3

รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

อิทธิพลกำลังคุยโทรศัพท์กับนฤดี

“อย่าเพิ่งวาง อย่าวางโทรศัพท์ใส่ผมอีก ! ผมต้องการคำตอบจากคุณ” อิทธิพลนิ่งฟังเครียดๆ “ไม่ ! ผมรอไม่ได้ ผมต้องการคำตอบวันนี้ นฤดี..คุณนั่นแหละฟังผม”
อิทธิฤทธิ์เปิดประตูผลัวะเข้ามาด้วยความลิงโลด
“พ่อ ! พ่อดูนี่..รายงานชิ้นแรกในชีวิตของผม”
อิทธิพลปิดหูโทรศัพท์ “ออกไปก่อน ไม่เห็นหรือว่า ชั้นคุยโทรศัพท์อยู่”
“คุยกับใคร สำคัญกว่าผมงั้นเหรอ”
“ใช่ สำคัญกว่าแก !” อิทธิพลคุยโทรศัพท์ต่อ “คุณไม่มีทางเลือก”
“ใครๆก็สำคัญกว่าผมทั้งนั้น แม้แต่ไอ้ลูกน้องของพ่อก็ยังสำคัญกว่า”
อิทธิฤทธิ์เดินออกจากห้องไปอย่างโกรธและน้อยใจ อิทธิพลที่ยังติดพันกับโทรศัพท์อยู่ทรุดตัวนั่งอย่างอ่อนแรง
“ฤดี..ทำไม? ผมทำเรื่องเลวร้ายจนคุณยกโทษให้ไม่ได้เลยเหรอ ทำไมต้องไปลงกับคนอื่น ถ้าคุณจะโกรธจะเกลียด ก็ขอให้โกรธเกลียดผมคนเดียวผมขอรับผิดไว้คนเดียว ขออย่างเดียว..ขอให้เราได้เจอคุณอีกซักครั้ง”
อิทธิพลได้รับคำปฏิเสธจากนฤดี เขาจึงค่อยๆวางโทรศัพท์ลงอย่างหมดแรง

ถนอมกับแดงกำลังตรวจเช็คเตาแก๊สอย่างแหยงๆกลัวๆ
“ชั้นได้กลิ่นแก๊สจริงๆนะ” ถนอมทำจมูกฟุดฟิด
“แต่หนูไม่เห็นได้กลิ่นเลย” แดงว่า
“แกไม่ได้กลิ่น แต่ชั้นได้ ตายล่ะ ถ้าแก๊สรั่ว ก็แย่เลย อันตรายๆ แกรีบโทรเรียกช่างมาดูเดี๋ยวนี้เลย ไป”
“เราลองทดสอบก่อนดีกว่านะคะ ป้าหนอม”
“ทดสอบยังไง หา”
อิทธิฤทธิ์รีบเดินเข้ามาพร้อมๆกับแดงที่หยิบไฟแช็ทขึ้นมาจุด
“ป้าหนอม รายงานผมได้เอ…”
“ว้าย ! ตายแล้ว ! แกจะบ้าเหรอ นังแดง ! คุณอิท ! ออกไปค่ะ ออกไปก่อน เดี๋ยวแก๊สระเบิด ออกไปเดี๋ยวนี้” ถนอมโวยวาย
“ผมได้เอแล้วนะ ป้าหนอม” อิทธิฤทธิ์พูด
“ได้อะไรตอนนี้ไม่สำคัญหรอกค่ะ เราต้องเอาชีวิตรอดก่อน”
ถนอมผลักอิทธิฤทธิ์ให้ออกไป
“ป้าหนอมคะ แก๊สไม่ได้รั่วจริงๆด้วย หนูเจอต้นเหตุของกลิ่นแล้ว กะปิจิ้มมะม่วงของหนูเองค่ะ หนูลืมซุกไว้ตรงนี้”
แดงชูถุงน้ำจิ้มกะปิให้ดู
“นังแดง ! แกเกือบทำชั้นหัวใจวาย” ถนอมนึกได้ก็หันไปหาอิทธิฤทธิ์ “เมื่อกี้คุณอิทพูดว่าอะไรนะคะ คุณอิทได้อะไรมาใหม่หรือคะ”
ถนอมเห็นอิทธิฤทธิ์เดินออกจากครัวไปอย่างเงียบๆ

หมูหวานนั่งอยู่บนรายงาน อิทธิฤทธิ์นั่งเอาเท้าพาดโต๊ะอย่างเซ็งชีวิต
“สงสัยมีแต่แกเท่านั้นที่ดีใจกับชั้น”
อิทธิฤทธิ์อุ้มหมูหวานขึ้นมากอด
“แกนี่มันเพื่อนซี้ชั้นจริงๆ” อิทธิฤทธิ์นึกได้ “เพื่อนซี้”
อิทธิฤทธิ์กอดหมูหวานแล้วนิ่งคิดถึงชนมน

ชนมนขี่จักรยานข้ามสะพานไปแล้วก็ต้องขี่จักรยานย้อนกลับมา ชนมนหยุดจักรยานแล้วชะงักมองอิทธิฤทธิ์ที่นั่งห้อยเท้าอยู่ที่ราวสะพาน โดยมีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ใกล้ๆ ชนมนรีบจอดจักรยานแล้วเดินไปหาอิทธิฤทธิ์ทันที
“ทำไมใจตรงกันอย่างนี้ เออ..ชั้นกำลังไปหานายพอดี..ดีใจด้วยนะ ชั้นรู้จากอาจารย์ตุลาแล้ว ! ท่านผู้การรู้หรือยัง”
“รู้เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่รายงานของนายได้เอน่ะซิ”
“ใครจะสนเรื่องรายงานงี่เง่าของชั้น”
“ทุกคนห่วงนายกันทั้งนั้น ทั้งคุณพ่อของนาย ป้าหนอม พี่ธรรม์ มณีมันตรา”
"ทุกคนห่วงว่าชั้นจะทำให้พ่อเสียชื่อต่างหาก เวลาชั้นทำเรื่องเลวๆก็รุมด่ากันจัง ทีทำเรื่องดีๆ ไม่เห็นมีใครสนใจ ไม่มีใครถามถึงผลรายงานของชั้นซักคน”
“ไม่จริง ! ถ้าท่านผู้การไม่สนใจนาย ท่านไม่จ้างชั้นมาติวนายหรอก”
“ถ้าสนจริง ทำไมไม่ฟังชั้น ไม่เคยให้กำลังใจกัน มีแต่บังคับให้ทำตามคำสั่ง แล้วคนที่เธอบอกว่าห่วงชั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ ทำไมชั้นถึงต้องมายืนอยู่ที่นี่คนเดียว”
“มีชั้นนี่ยังไง ชั้นยืนอยู่กับนาย..นายล่ะเห็นชั้นบ้างมั้ย”
“เห็นซิ ชั้นถึงได้มาหาเธอไงล่ะ ชั้นรู้ว่า เธอต้องเข้าใจชั้น”
“คิดถึงแม่อีกล่ะซิ”
“แม่ชั้นคงไม่เหมือนพ่อใช่มั้ย แม่ชั้นจะต้องรักชั้นเป็นห่วงชั้นใช่มั้ย แม่ไม่ต้องรักชั้นมากก็ได้..แค่ยังเห็นชั้นเป็นลูกก็พอ..อย่าทำเหมือนชั้นเป็นแค่ตัวอะไรตัวนึงในบ้าน...ที่ไม่มีค่าอะไรเลย”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างเห็นใจที่มีปมกับพ่อ อิทธิฤทธิ์นิ่งเงียบหงอยเหงาอย่างคนขาดความรัก แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชนมนน้ำตาคลอ อิทธิฤทธิ์เหนี่ยวคอชนมนมากอดคอไว้อย่างเพื่อนที่รู้ใจกัน

ชินพัฒน์เงยหน้าแล้วเลี้ยงลูกบอลที่วางบนหน้าผากไม่ให้ตกลงพื้น ชนมนเดินนำพาอิทธิฤทธิ์เข้ามา ชนมนย่องเข้าไปใกล้ชินพัฒน์เพราะอยากแกล้งให้น้องตกใจ
ชนมนเสียงดังใส่ “เล่นไรอยู่ !”
ชินพัฒน์ยังคงประคองลูกบอลที่หน้าผากเอาไว้ได้
ชินพัฒน์หัวเราะใส่ “ฮ่าๆๆ แค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก ผมระดับไหนแล้ว”
ชินพัฒน์ขยับหัวนิดหน่อยเพื่อให้ลูกบอลไหลลงมาใส่มืออย่างงดงาม
อิทธิฤทธิ์ชม “เก่งเหมือนกันนี่เรา”
ชินพัฒน์เพิ่งเห็นอิทธิฤทธิ์ “โอ๊ะๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็พี่อิทนักบิดนี่เอง พี่ชนหนีตามพี่ไปเมื่อวันก่อนโน้นๆนี่” ชินพัฒน์ตะโกนฟ้องทันที “พ่อ !!! มีคนมาขอมอบตัว พ่อ”
ดสียงชูชัยดังขึ้น “ไม่ต้องตะโกน”
ทุกคนหันไปมองชูชัยเป็นตาเดียว ชูชัยเดินถือมีดกับหินลับมีดติดมือมาด้วย
ชินพัฒน์รีบใส่ไฟ “พ่อๆ นี่ยังไงล่ะ พี่อิทนักซิ่งที่..” ชินพัฒน์พาชนมนหนีไป
ชนมนรีบขัด “นี่อิทธิฤทธิ์ รุ่นน้องที่หนูไปติวให้จ๊ะ พ่อ”
อิทธิฤทธิ์จ้องชูชัยอย่างจำหน้าได้ แล้วก็ตกใจที่เคยเกือบขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนเขาวันที่มารับชนมนไปเพชรบูรณ์
อิทธิทธิ์นึกถึงตอนที่เขาหาว่าชูชัยเมาจนขี่รถจักรยานมากินเลน
ชนมนกระทุ้งศอกใส่ทำให้สติของอิทธิฤทธิ์กลับมา “นายอิท นี่พ่อชั้น !”
“หวัดดีครับ คุณลุง”

อิทธิฤทธิ์ยกมือไหว้ชูชัยอย่างเกรงๆ ชูชัยยังคงยืนลับมีดพลางจ้องอิทธิฤทธิ์จนเขาขนหัวลุก

ชูชัยผัดข้าวผัดเสียงดังโช้งเช้งจากการเคาะกระทะ ไฟลุกพรึ่บขึ้นท่วมกระทะอย่างน่าเกรงขาม
 
อิทธิฤทธิ์ดูดน้ำเปล่าพลางมองชูชัยที่กำลังผัดข้าวผัดหน้านิ่งๆ อย่างกลัวๆ เกรงๆ ชนมนเอาขวดน้ำมาเทเติมใส่แก้วให้ในขณะที่มีขวดน้ำเปล่าวางอยู่แล้วสองขวด
“นี่นายหิวน้ำมากเลยเหรอ แล้วนี่เป็นอะไร เหงื่อแตกพลั่กๆ” ชนมนถาม
อิทธิฤทธิ์หวั่นใจ “ก่อนที่จะมาเปิดร้านข้าวผัดนี่ พ่อเธอเคยทำอะไรมาก่อน”
ชนมนกับอิทธิฤทธิ์หันไปมองชูชัยที่ผัดข้าวเสร็จแล้วถือจานข้าวผัดไปเสิร์ฟลูกค้าโต๊ะห่างออกไป
“นายถามทำไม พ่อชั้นก็ทำดุไปอย่างนั้นแหละ ที่จริงใจดีจะตาย” ชนมนรีบเรียกพ่อเพื่อแสดงให้เห็นว่าพ่อของเธอใจดีแค่ไหน “พ่อ !”
ชูชัยเดินเข้ามาใกล้
“วันนี้หนูขอเลี้ยงข้าวผัดอิทนะ พ่อ ฉลองที่เค้าทำรายงานได้เอ พ่อจะแสดงฝีมือผัดข้าวผัดซักหน่อยมั้ย” ชนมนยิ้มประจบ
ชูชัยพูดเสียงแข็ง “ไม่ล่ะ ยืนผัดมาหลายชั่วโมงแล้ว ว่าจะพักซักหน่อย”
ชนมนเสียหน้า “งั้นหนูทำเองก็ได้”
“ไม่ต้อง แกคุยธุระกับรุ่นน้องไป” ชูชัยตะโกนเรียก “ไอ้ชิน !”
ชนมนรู้ทัน “ไม่ดีมั้ง พ่อ !”
ชินพัฒน์ออกมาจากใต้โต๊ะ โดยที่หยิบไม้ลูกชิ้นที่ตกอยู่ที่พื้นมาปัดๆเป่าๆ พอเป็นพิธี
“มีไร พ่อ?!”
“ผัดข้าวผัดมาจาน” ชูชัยสั่ง
ชูชัยพยักหน้าไปทางอิทธิฤทธิ์เพื่อให้รู้ว่าผัดให้ใคร ชินพัฒน์ยิ้มอย่างร้ายกาจด้วยท่าทางคันไม้คันมือมาก
“ได้เลย พ่อ!”
ชินพัฒน์กินลูกชิ้นรวดเดียวหมดไม้แล้วโยนไม้ใส่ถังขยะก่อนจะวิ่งไปที่เตาพลางเอามือเช็ดตูดไป
ชูชัยพูดกับอิทธิฤทธิ์ “ระหว่างที่รอข้าวผัด เราก็คุยฆ่าเวลากันไป ชั้นอยากเจอนายมานานแล้ว”
ชูชัยมองอิทธิฤทธิ์ด้วยสายตาพิฆาต อิทธิฤทธิ์หวั่นมากขึ้น ส่วนชนมนเริ่มหวั่นใจขึ้นมาบ้าง

ชินพัฒน์เทน้ำมันพืชแล้วโยนกระเทียมสับพร้อมเนื้อหมูลงในกระทะ
ชินพัฒน์ทำเสียงประกอบไปด้วย “ตู้มมม... ชิ่ววว... ป้ามๆๆ”
ชินพัฒน์ผัดโช้งเช้งๆ อย่างท่าดีเพราะเลียนแบบชูชัยได้เป๊ะๆ แล้วก็เพิ่งเอะใจจึงก้มดูที่เตา
“อ้าว ลืมเปิดเตา”
ชินพัฒน์หาที่จุดไฟเตาแก๊สออกมายิงใส่เตา เขายิงอยู่พักกว่าจะจุดไฟติด

อิทธิฤทธิ์นั่งไม่ติด เขารู้สึกร้อนๆหนาวๆ และคอยมองชนมนไว้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ชูชัยนั่งกอดอกจับจ้องมองอิทธิฤทธ์อย่างนิ่งคิดพิจารณา
“ชั้นรู้สึกว่า ตั้งแต่ชนต้องไปสอนหนังสือนาย ก็มีแต่เรื่อง”
ชนมนแก้ตัวให้ “มีเรื่องอะไรกัน พ่อ”
“ก็คนที่ลากตัวแกหายไปสองวันไม่ใช่นายคนนี้หรอกเหรอ” ชูชัยว่า
“นั่นก็เพราะเกิดเรื่องกับมณีมันตรา ไม่ใช่เพราะอิท” ชนมนบอก
“แล้วที่แกเจ็บตัวกลับบ้านทุกวันล่ะ”
“มันเป็นเรื่องสุดวิสัยน่ะ พ่อ อิทเค้าก็ไม่อยากให้หนูเจ็บตัว”
“ชั้นพูดเอง เธอไม่ต้องแก้ตัวให้ชั้นหรอก”
“ชนแก่กว่าไม่ใช่เรอะ ทำไมไม่เรียกพี่” ชูชัยถาม
อิทธิฤทธิ์ตอบ “แก่กว่าแค่ปีเดียวเอง”
“ชนแก่กว่า เป็นรุ่นพี่ของนาย ยังไงก็ต้องเรียกเค้าว่า พี่ ทำไมเหรอ เรียกพี่ไม่ได้มีปัญหาอะไร?”
ชูชัยจับจ้องไปในดวงตาของอิทธิฤทธิ์อย่างบีบคั้น

ธรรม์ในชุดนอกเครื่องแบบยืนดักจับคนขายยาบ้าอยู่ บ๊วยที่ใส่หมวกแก๊บ สวมแว่นดำกอดกระเป๋าใส่ยาบ้าเดินผ่านธรรม์ไปอย่างชำนาญทาง ธรรมม์ค่อยๆ สะกดรอยตามไป

ชินพัฒน์ถือขวดซีอิ๊วไว้มือหนึ่ง ขณะที่อีกมือหนึ่งถือขวดน้ำปลากระหน่ำเทใส่ลงในกระทะ ชินพัฒน์ตักน้ำตาลพูนช้อนสาดใส่กระทะอีกสามสี่ช้อนแล้วผัดข้าวผัดต่ออย่างเมามัน ชินพัฒน์ผัดข้าวผัดไปอย่างภูมิใจกับฝีมือตัวเองมาก

ชูชัยยังหน้าเข้มเค้นเอาเรื่องอิทธิฤทธิ์อยู่ ชนมนเริ่มเห็นว่าสถานการณ์ชักไม่ดีแล้ว
“ว่ายังไง ตอบคำถามมาได้หรือยัง” ชูชัยถาม
อิทธิฤทธิ์ดึงขวดน้ำจากชนมนมาเทใส่แก้วถ่วงเวลาก่อนพลางปาดเหงื่อ
“คือ..คือ ผมไม่ชินน่ะครับ ผมไม่ได้เรียกชนว่าพี่ตั้งแต่แรก”
“งั้นก็เรียกซะ เรียกให้ชินปากตั้งแต่วันนี้” ชูชัยว่า
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อ หนูไม่ถือ” ชนมนบอก
“แต่พ่อถือ ! เป็นรุ่นน้องอย่าริอ่านมาเทียบรุ่นพี่ รุ่นน้องที่ไม่ยอมเรียกรุ่นพี่ว่าพี่น่ะ แสดงว่า “คิดไม่ซื่อ”อยู่”
อิทธิฤทธิ์สะดุ้งเฮือกเพราะถูกแทงใจดำ ชนมนมองอิทธิฤทธิ์แบบยังคงตีความที่พ่อพูดได้ไม่ชัดนัก ชินพัฒน์ยกจานข้าวผัดมาวางบนโต๊ะปังขัดจังหวะ
“มาแล้วครับ ข้าวผัดพิฆาต รสชาติเด็ดดวง ไม่อร่อย ! ให้เตะเลย”
ข้าวผัดสีดำๆ ด่างๆ มีไอฉุยแลดูไม่น่าว่าจะกินได้วางบนโต๊ะ
ชูชัยเชือดนิ่มๆ “กินสิ อย่าให้คนทำเสียน้ำใจ”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนจ้องมองข้าวผัดของชินพัฒน์อย่างกินไม่ลงจริงๆ อิทธิฤทธิ์เงยหน้าขึ้นเห็นชูชัยมองอยู่
“ครับๆ ทานแล้วครับ ขอบใจนะ ชิน”
อิทธิฤทธิ์ตักข้าวผัดแล้วกล้ำกลืนกินเข้าไปแล้วก็ชะงักได้แต่อมไว้ในปากไม่กล้าเคี้ยวไม่กล้ากลืนต่อ ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างลุ้นๆ และรู้สึกพะอืดพะอมไปด้วย อิทธิฤทธิ์ฝืนเคี้ยวแล้วกลืนลงไปอย่างยากเย็น
“อร่อยใช่มั้ยล่ะ รับรองว่าพี่อิทจะต้องไม่เคยกินข้าวผัดที่ไหนอร่อยเท่าข้าวผัดจานนี้ ผมจะบอกให้นะ การผัดข้าวเป็นศิลปะอย่างนึง ไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้” ชินพัฒน์คุย
“พอ ! ไม่ต้องโม้มาก อร่อยอย่างไอ้ชินว่าหรือเปล่า” ชูชัยถาม
“เออ..ครับ..รสชาติแบบนี้ ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลยครับ” อิทธิฤทธิ์บอก
“อร่อยก็กินให้หมด !” ชูชัยบอก
อิทธิฤทธิ์กล้ำกลืนฝืนทนตักกินอีก ชนมนเห็นแล้วก็สงสารต้องรีบหยิบช้อนขึ้นมา
“ดูอร่อยน่ากินจริงๆ ขอชิมหน่อยนะ”
ชนมนตักกินอย่างกล้ำกลืน เธอหันไปมองชินพัฒน์ที่ยืนยิ้มภูมิใจ ชนมนเข็ดเขี้ยวอยากตบกะโหลกน้องชายนัก
“เป็นไงล่ะ อร่อยจนเกินห้ามใจ งั้นเดี๋ยวผมไปผัดเพิ่มให้อีกจาน”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนพูดพร้อมกัน “ไม่ต้อง”
ชินพัฒน์เดินลิ่วๆ ออกไปแล้วอย่างมั่นใจมาก
“จานเดียวก็เกินพอแล้ว” ชนมนพึมพำ “อร่อยจนน่าเตะคนผัด”
อิทธิฤทธิ์พูดกับชนมน “ทำอะไรน่ะ”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่ตักข้าวผิดกินต่อ
ชนมนย้อนถาม “ขอกินด้วยคนไม่ได้หรือไง”
ชนมนยังตักกินต่อไป อิทธิฤทธิ์มองชนมนนิ่งแบบเริ่มเข้าใจและซาบซึ้งที่ชนมนเข้ามาช่วย
“มาแย่งชั้นกินได้ยัง !” อิทธิฤทธิ์ดึงจานมาจะกินคนเดียว
“ก็ชั้นจะกินด้วย !”
อิทธิฤทธิ์กับชนมนแย่งกันตักข้าวผัดกินจนสุดท้ายก็ก้มหัวชนกันแล้วช่วยกันตักกินข้าวผัดให้หมดอย่างรวดเร็ว
อิทธิฤทธิ์กับชนมนกินอย่างทุกข์ทรมานแล้วเงยหน้ามองกัน แล้วทั้งสองก็อดขำกับตัวเองไม่ได้ อิทธิฤทธิ์เผลอเอามือไปขยี้หัวชนมนอย่างเอ็นดูและข้ามรุ่นมาก
“ขอบใจนะ”
ชนมนรีบปัดมืออกเพราะเขิน “เฮ้ย ! นายอิท !”
ทั้งสองชะงักเมื่อนึกได้ว่าชูชัยยังปักหลักอยู่ตรงนั้น ทั้งสองหันไปมองชูชัยแล้วต้องยิ้มแหยๆ
 
ชูชัยจับตาดูกิริยาที่สนิทสนมของคนทั้งสองอย่างเก็บอารมณ์ไม่ชอบใจไว้

ชนมนเดินออกมาส่งอิทธิฤทธิ์ที่หน้าบ้าน
 
“ขอโทษด้วยนะ นายอุตส่าห์ทำรายงานจนได้เอ น่าจะได้ฉลองดีๆหน่อย”
“ฉลองกันแบบนี้ ก็สนุกดี ดีกว่าที่ชั้นต้องนั่งกินข้าวที่บ้านคนเดียว” อิทธิฤทธิ์บอก
“ถ้าอยากมีเพื่อนกินข้าวอีก ก็มาหาชั้นที่นี่ได้ทุกเมื่อ”
อิทธิฤทธิ์ทำฟอร์ม “ชั้นไม่ได้มาหาเธอซักหน่อย ก็แค่บังเอิญผ่านมา”
“แค่บังเอิญงั้นเหรอ สมแล้วที่พ่อไม่ผัดข้าวผัดให้กิน ข้าวผัดร้านลุงชูอร่อยจนมีคนเข้าคิวรอเปิดร้านทุกวัน ไม่เชื่อไปถามพี่ธรรม์ได้”
“ไอ้ธรรม์ได้กินข้าวผัดฝีมือลุงชูแล้วเหรอ”
“ได้อยู่แล้ว พี่ธรรม์ได้กินข้าวผัดจานพิเศษกว่าใครด้วย คนอย่างนายไม่มีโอกาสได้กินแน่ ไม่คู่ควร”
อิทธิฤทธิ์พูดจริงจังเกิน “แล้วซักวันชั้นจะทำให้พ่อเธอผัดข้าวผัดให้ชั้นกิน”
“นี่นายรู้ใช่มั้ยว่า ชั้นพูดเล่น ไม่มีข้าวผัดจานพิเศษ แล้วใครมาร้านนี้ก็ได้กินข้าวผัดฝีมือลุงชูทุกคน”
“ยกเว้นชั้น!”
“นายก็ทำตัวดีๆหน่อย อย่ากวนให้มากนัก แล้วหัดเรียกชั้นว่าพี่ซะ พ่อจะได้เห็นว่านายมีสัมมาคารวะ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
อิทธิฤทธิ์สวนทันที “เรียกไม่ได้!”
“ทำไม” ชนมนถาม
“ไม่รู้! ชั้นกลับล่ะ ขอบใจสำหรับวันนี้นะ”
อิทธิฤทธิ์รีบตัดบทแล้วเดินออกไปอย่างขัดเขิน ชนมนมองตามแบบแอบโล่งใจดีใจที่อิทธิฤทธิ์ไม่เรียกเธอว่าพี่ ชูชัยเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังชนมน
“ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องให้ไอ้หมอนี่มาที่นี่อีก พ่อไม่ชอบหน้ามัน” ชูชัยว่า
ชนมนหันไปมองชูชัยทางด้านหลังแล้วจะอ้าปากแก้ตัวให้อิทธิฤทธิ์แต่ชูชัยก็เดินกลับเข้าร้านไปแล้ว
“พ่อเคยชอบหน้าใครบ้าง!” ชนมนเปรย
ชนมนมองตามชูชัยไปอย่างเซ็งๆ

มณีมันตรากำลังลองชุดสำหรับใส่ไปงานปิดกล้องหนังบอดี้การ์ดฯ สไตล์ลิสต์กำลังจัดเตรียมชุดให้
ขณะที่เมนี่คอยถ่ายรูปให้มณีมันตราเป็นระยะๆ ด้วยไอแพด
“ชุดนี้จืดไปหน่อย เปลี่ยนๆ ค่ะ งานเลี้ยงปิดกล้องของเรา นางเอกต้องสวยโดดเด้งกว่าทุกคนในงาน” เมนี่บอก
“นี่ชุดที่ยี่สิบแล้วนะคะ พี่เมนี่”
“ต่อให้ต้องลองร้อยชุดก็ต้องลองค่ะ ร้านเสื้อส่งมาให้ใส่ฟรีๆ เป็นสิบๆแบรนด์ เราไม่ใส่ออกงาน ก็ใส่ถ่ายรูปโพสลงแฟนเพจก็ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ได้เสื้อผ้าฟรีๆอีก เอ้า คุณติ๊ก เร็วๆเข้า ช่วยๆกันดูซิว่า น้องมาย่าควรใส่ชุดไหนดี เดี๋ยวชั้นต้องไปแคสติ้งเด็กใหม่อีก”
มณีมันตราคิดได้ “พี่เมนี่คะ รบกวนถ่ายรูปให้หนูด้วย”
มณีมันตรารีบไปหยิบมือถือจากกระเป๋าส่งให้เมนี่

ธรรม์ยังคงสะกดรอยตามบ๊วยอยู่ บ๊วยหยุดก้มลงผูกเชือกรองเท้า ธรรม์ชะงักหลบเข้ามุม เสียงโทรศัพท์เป็นระบบสั่นดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามาติดต่อกันเป็นสิบครั้ง
มือถือของธรรม์มีเป็นข้อความจากมณีมันตรามาว่า “ช่วยเลือกชุดให้ทีซิคะ ผู้หมวด ;) ”
“ไม่ใช่เวลานี้..มณีมันตรา”
ธรรม์เก็บมือถืออย่างไม่สนใจจะเปิดอ่านต่อ พอชะโงกมองไปอีกครั้งบ๊วยก็หายไปแล้ว
ธรรม์เซ็ง “โธ่เว้ย !”
ธรรม์รีบเร่งเดินออกมามองหาบ๊วยอย่างร้อนใจ แล้วหางตาก็เป็นชายคนในชุดคล้ายบ๊วยหายเข้าซอยไป
ธรรม์ดีใจเพราะนึกว่าเป็นบ๊วย เขารีบตามชายคนนั้นไป ชายคนนั้นกอดอะไรบางอย่างเอาไว้แล้วหันซ้ายหันขวาตลอดเวลา ชายคนนั้นหันมาเห็นธรรม์เดินตามมาด้านหลังก็วิ่งหนีไป ธรรม์รีบไล่กวดตามไปทันที ธรรม์วิ่งไล่จนทันกระชากคอเสื้อชายคนนั้นให้หันกลับมาแล้วรีบชูตราตำรวจให้ดู
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“ผมไม่ได้ทำผิดอะไร จับผมในข้อหาอะไร”
“ยังมีหน้ามาถาม ข้อหาอะไร? ก็ยาบ้าในกระเป๋าแกน่ะซิ เปิดกระเป๋า”
“ยาบ้าอะไรครับ พี่?”
ชายคนนั้นเปิดกระเป๋าแหวกให้ธรรม์ดู ธรรม์มองเข้าไปในกระเป๋าแล้วต้องมีอึ้งไป
“มีแต่แผ่นหนังโป๊ ถ้าพี่จะจับผม ก็ต้องไปจับพวกที่ขายในตลาดนัดด้วย ขายกันเป็นสิบๆแผง มีทั้งหนังโป๊ ดีวีดีเถื่อน กระเป๋าหลุยส์ปลอม”
บ๊วยโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนแล้วถอดแว่นดำออกมองไปที่ธรรม์อย่างพอใจแล้วรีบหลบไป
“พอๆ ! ไม่ต้องพูดต่อ !” ธรรม์
เสียงสัญญาณจากมือถือสั่นขึ้นมาอีก ธรรม์หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดปิดทิ้งไปอย่างอารมณ์เสีย

มณีมันตราในชุดสวยนั่งหงอยมองมือถือในมือ
“ส่งไปเป็นสิบรูป..ทำไมพี่ธรรม์ไม่ตอบอะไรมาเลย”
มณีมันตราเลื่อนเปิดรูปตัวเองในชุดสวยราวสิบรูปที่ส่งไปให้ธรรม์ดู เมนี่ถือชุดสวยหนึ่งชุดเข้ามาหามณีมันตรา
“เราเลือกชุดได้แล้วนะคะ น้องมณีมันตรา”
“งั้นหนูกลับได้แล้วใช่มั้ยคะ”
“ยังค่ะ ยังกลับไม่ได้ เราเลือกชุดที่เข้ารอบสุดท้ายได้สิบชุดแล้วล่ะ”
สไตล์ลิสต์หอบชุดสวยมาเต็มอ้อมแขนเข้ามา มีคนถือชุดอีกห้าชุดตามหลังมา
“มาค่ะ มาเริ่มลองชุดกันใหม่อีกครั้ง อุ๊ย สนุกเหมือนกันนะเนี่ย เหมือนประกวดนางงามรอบสุดท้ายเลย เราไม่ต้องรีบแล้วนะคะ พี่เมนี่เลื่อนนัดไปเป็นพรุ่งนี้แล้วเปลี่ยนชุดเลยค่ะ เดี๋ยวจะให้ช่างผมช่างหน้ามาลองแต่งหน้าด้วยนะคะ”
ช่างหน้าช่างผมเดินตามเข้ามา
“ค่ะ ยังไงก็ได้”
“ไม่เสียเวลามากหรอกค่ะ แค่สี่ห้าชั่วโมงเอง”
มณีมันตราเซ็งหนักขึ้นไปอีกแต่ก็อดทนฝืนยิ้มให้เมนี่จัดแจงทาบชุดกับตัวและช่างผมลองเกล้าผม ช่างแต่งหน้าเริ่มเช็ดหน้าทำความสะอาดหน้า
 
ทุกคนทำราวกับมณีมันตราเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิต

อิทธิพลเดินคุยโทรศัพท์มือถือออกมาจากในบ้าน
 
“ผมขอบคุณอาจารย์มาก ที่ให้โอกาสกับนายอิทอีกครั้ง แล้วนี่อีกนานมั้ย กว่าจะสอบซัมเมอร์”

อิทธิพลนิ่งฟังคำตอบจากตุลาแล้วคำนวณเวลาไป
“ถ้าอีกสองอาทิตย์สอบ แล้วจะรู้ผลสอบเมื่อไหร่..ถ้ารู้ผลเร็วอย่างนี้” อิทธิพลพึมพำกับตัวเอง “งั้นก็มีเวลาสองอาทิตย์กว่าๆ” อิทธฺพลรีบดึงสติกลับมาคุยต่อ “ว่าไงนะ อาจารย์ผมก็ห่วงเรื่องผลสอบอยู่เหมือนกัน อาจารย์พูดเรื่องอะไร..รายงานอะไร”
อิทธิพลเดินมาหยุดกึกอยู่ตรงโต๊ะที่อิทธิฤทธิ์ทิ้งรายงานไว้ก่อนหน้านี้ อิทธิพลเปิดรายงานออกดูเห็นว่ารายงานของลูกชายได้เอจึงค่อยเข้าใจว่าลูกพยายามจะบอกเรื่องนี้
“ผมรู้แล้ว อย่างนี้ก็น่าจะพอมีหวังใช่มั้ย ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะ”
อิทธิพลกดปิดมือถือแล้วหยิบรายงานบนโต๊ะขึ้นมาเปิดดู อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาจะมาเอารายงานไปเก็บแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นพ่อเปิดดูรายงานอยู่ อิทธิพลเงยหน้ามองลูกชาย อิทธิฤทธิ์ถึงจะดีใจที่พ่อได้เห็นผลของรายงานแล้วแต่ทำเป็นไม่แยแส อิทธิฤทธิ์เดินออกไปอย่างท่าเยอะ

อิทธิพลถือรายงานตามเข้ามา อิทธิฤทธิ์ยังทำลีลาเดินหนีพ่อจะขึ้นข้างบน
“เดี๋ยว ! อย่าเพิ่งไป”
อิทธิฤทธิ์หยุดเดินแล้วค่อยๆหันหน้ามาหาพ่ออย่างเหนือกว่าและรอฟังคำชม
“นี่รายงานของแกไม่ใช่เหรอ เอาไปเก็บที่ไหนก็ไป โตแล้ว ยังจะต้องให้ป้าหนอมตามเก็บข้าวของให้อีก”
อิทธิฤทธิ์รับรายงานคืนมาอย่างเจ็บจี๊ดและเริ่มโกรธกรุ่นๆอีก
“พ่อไม่เห็นหรือไงว่า..”
“เห็นแล้ว..แล้วแกล่ะเห็นหรือเปล่าว่า ถ้าแกมีความพยายามมากพอ ไม่ว่าเรื่องยากแค่ไหน แกก็สามารถทำได้”
“นี่ชมแล้วใช่มั้ยเนี่ย”
อิทธิพลไม่สนใจฟังคำเหน็บ “เรียนจบแล้ว น่าจะลองไปสอบเข้าตำรวจดู”
อิทธิฤทธิ์รวดเร็วแบบไม่ต้องคิด “ไม่!”
“หัดคิดก่อนพูด นี่ชั้นพูดอะไร แกเป็นต้องตอบ ”ไม่” ไว้ก่อน
“เรื่องนี้ไม่ต้องคิด ยังไงผมก็ไม่เป็นตำรวจแน่ ไอ้ธรรม์ก็เป็นตำรวจสมใจพ่อแล้วนี่ทำไมยังอยากให้ผมไปเป็นตำรวจอีก”
“ก็เพราะแกเป็นลูกชั้น...”
อิทธิพลเดินออกไปหันหลังให้อิทธิฤทธิ์และยิ้มพอใจที่ลูกทำรายงานได้เอ
อิทธิพลพึมพำ “ไม่เลว..เห็นเกๆอย่างนี้ยังได้เอมาได้”
อิทธิฤทธิ์แผดเสียง “พ่อ ! ยังไงผมก็ไม่เป็นตำรวจเหมือนพ่อแน่”
อิทธิพลยังคงเดินต่อไปไม่หันกลับมา,ทิ้งภาพที่อิทธิฤทธิ์มองตาม,ยังฮึดฮัดใส่พ่อแต่ไม่แรงเหมือนเคย”

หมูหวานนั่งตาแป๋วอยู่ อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หมูหวาน
“หมูหวาน ...แกว่า..พ่ออยากให้ชั้นเป็นตำรวจจริงๆ หรือเปล่า”
อิทธิฤทธิ์อุ้มหมูหวานมากอดไว้
“แสดงว่าพ่อมั่นใจในตัวชั้นแล้วใช่มั้ย”
อิทธิฤทธิ์หันไปมองรายงานที่วางอยู่บนหัวเตียงและมีแว่นตาหักๆของชนมนวางทับอยู่
อิทธิฤทธิ์ยิ้มและพยักหน้าชมตัวเอง “เป็นไงล่ะ ชั้นนี่เจ๋งจริงๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อิทธิฤทธิ์รีบเอาหมูหวานไปใส่ตะกร้า อิทธิฤทธิ์กระโดดลงนอนบนเตียงแล้วหันหลังให้ประตูทำงอนใส่ถนอมทันที ถนอมเปิดประตูเข้ามาพร้อมจานใส่คัพเค๊ก 5-6 ชิ้น
“คุณอิทคะ ป้าเข้าไปนะคะ ป้าดีใจด้วยนะคะ คุณอิท”
อิทธิฤทธิ์ยังหันหลังให้ “มีเรื่องอะไรให้ดีใจ”
“ป้าขอโทษนะคะ ป้ามัวแต่ยุ่งๆเลยไม่ทันฟังคุณอิท อย่างอนป้าเลยนะ งอนคนแก่นี่บาปนะ รู้มั้ย โธ่ คุณอิทยังโกรธป้าอีกเหรอคะ”
อิทธิฤทธิ์ยอมลุกขึ้นนั่งหันมาหาถนอม ถนอมยื่นจานคัพเค้กที่ตกแต่งด้วยครีมเป็นรูปตัวเอและรูปนิ้วโป้งที่แสดงว่าสุดยอดมาก
อิทธิฤทธิ์ยิ้มออกมา “ไม่โกรธแล้วก็ได้..”
ถนอมวางจานคัพเค้กลงแล้วดึงอิทธิฤทธ์มากอด รู้ว่าเด็กคนนี้ขาดความอบอุ่นแค่ไหน
“ป้าดีใจกับคุณอิทด้วยจริงๆ”
อิทธิฤทธิ์ผละออกจากถนอม “ป้าหนอมก็..ผมไม่ใช่เด็กๆแล้ว”
อิทธิฤทธิ์หันไปคว้าคัพเค้กมากิน
“นี่แค่น้ำจิ้มนะคะ รอให้คุณอิทสอบเสร็จ ป้าจะจัดงานฉลองใหญ่ให้เลย”
“ไม่ต้องหรอก ป้าหนอม แค่ต่อไปเรื่องผมต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”
“คุณอิทก็เป็นที่หนึ่งในใจของป้ามาตลอดนะคะ”
“แต่สำหรับพ่อ ผมเป็นที่สองรองจากไอ้ธรรม์มาตลอด แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่สนแล้ว ผมเอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่า ครั้งนี้ผมทำรายงานได้เอ ครั้งหน้าผมต้องสอบได้เอด้วยเหมือนกัน ใกล้ความจริงแล้วนะ ป้าหนอม ผมกำลังจะได้เจอหน้าแม่แล้ว”
“ค่ะ ใกล้ความจริงขึ้นทุกทีแล้ว”
ถนอมมองอิทธิฤทธิ์ด้วยความหวาดหวั่นว่านฤดีจะตกลงยังไงเรื่องนี้

ณ ซอยบ้านชนมนในตอนเช้า ชนมนกับชูชัยช่วยจัดโต๊ะเช็ดโต๊ะในร้านอยู่ ชินพัฒน์ในชุดนักบอลถือลูกบอลกำลังจะวิ่งปรู๊ดออกไปนอกบ้าน
ชูชัยถาม “จะไปไหน”
“ไปว่ายน้ำมั้ง ...ไปเตะบอลสิครับ” ชินพัฒน์โชว์ลูกบอล “นี่เห็นมั้ย นี่เรียกว่า “ลูกบอล” มีเอาไว้เตะ”
“ชั้นกลัวว่าแกจะไปเป็นลูกบอลให้เค้าเตะซะมากกว่า”
“อะโด่ อย่ามาดูถูกกัน เดี๋ยวโชว์ให้ดู จับตาดูให้ดีๆ”
ชินพัฒน์เอาลูกบอลวางที่พื้นแล้วสับขาหลอกวนไปวนมารอบลูกฟุตบอล
“อะชึบ อะชึบ เป็นไงครับ ฟุตเวิร์คขั้นเทพ”
ขาชินพัฒน์ไปพันกับลูกบอลก่อนจะเหยียบไถลล้มลง
“ห่วยขั้นเทพน่ะสิ ...ไม่ต้องไป อยู่ช่วยงานที่ร้าน”
“นี่ไม่เข้าใจกันเลยใช่มั้ย ผมเป็นนักกีฬาก็ต้องหมั่นฝึกซ้อม คอยแต่จะใช้งานผมอย่างนี้ เมื่อไหร่ผมจะพาบอลไทยไปบอลโลกได้”
“นี่คงอ่านการ์ตูนมากไป แค่ผัดข้าวผัดยังไม่ได้เรื่องเลย เลิกเพ้อเจ้อแล้วมาช่วยชั้นพาครัวไทยไปครัวโลกดีกว่า”
ชินพัฒน์ทำรันทด “พ่อไม่เซ้นซิทีฟ พ่อไม่เข้าใจชิน ไม่มีใครเข้าใจชิน”
ชินพัฒน์ถือลูกบอลทำท่าเสียใจอย่างยิ่งจะเดินเข้าบ้านแต่กลับวิ่งหนีออกจากร้านไป
“เฮ้ย ไอ้ชิน... แน่ะ ดูมันทำเนียน”

ชูชัยกับชนมนยืนมองชินวิ่งหนีตุ๊บๆออกไปอย่างอ่อนใจ
 
อ่านต่อหน้า 4

รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 9 (ต่อ)

ชินพัฒน์วิ่งตาลีตาเหลือกมาถึงสนามฟุตบอล ชินพัฒน์ชะงักมองไปที่สนามฟุตบอล เขาลืมตาโพลงอย่างโกรธในทีแรก

“เฮ้ย ใครมาเล่นแทนชั้น”
อิทธิฤทธิ์กำลังโหม่งรับลูกอย่างเท่
“โหย ! เก่งว่ะ”
อิทธิฤทธิ์รับลูกบอลมาอย่างคล่องแคล่ว เขาเลี้ยงลูกหลบฝ่ายตรงข้ามได้มาถึงใกล้ประตู อิทธิฤทธิ์ซัลโวเตะลูกบอลเข้าประตูอย่างงดงาม ชินพัฒน์ถึงได้เห็นอิทธิฤทธิ์อย่างชัดๆในวินาทีนี้
ชินพัฒน์ทึ่ง “พี่อิท !”
อิทธิฤทธิ์หันมาโบกมือให้ชินพัฒน์ แล้วเขาก็กวักมือเรียกชินพัฒน์ให้เข้ามาเตะบอลด้วย ชินพัฒน์รีบซอยเท้าวอร์มร่างกายทันทีแล้ววิ่งเข้าไปแตะมือเปลี่ยนตัวกับเพื่อน อิทธิฤทธิ์เตะบอลกับชินพัฒน์อย่างจริงจังและสนุกสนาน ชินพัฒน์เตะพลาดจนตัวเองล้ม อิทธิฤทธิ์ช่วยพยุงขึ้น แล้วอิทธิฤทธิ์ก็ส่งลูกให้ชินพัฒน์เตะเข้าประตูไป ทั้งสองวิ่งกระโดดเอาอกชนกัน
ชินพัฒน์เตรียมเตะลูกโทษ อิทธิฤทธิ์พยักหน้าให้กำลังใจแล้วส่งสัญญาณมือให้เตะไปทางซ้าย ชินพัฒน์เล็งแล้ววิ่งไปเตะบอลเข้าประตู ลูกทีมกระโดดดีใจที่ชนะเข้าไปล้อมรอบชินพัฒน์ ชินพัฒน์เดินอาดๆ เข้าไปหาแล้วยกมือไฮโฟว์กับอิทธิฤทธิ์ ทั้งสองจับมือกันมั่นอย่างแมนๆ

มณีมันตราใส่แว่นดำอันโต เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะที่น่าจะลับตาที่สุดพลางมองมือถือในมือ
“ทำไมยังไม่มานะ”
ลูกค้าหญิงโต๊ะห่างออกไปสะกิดเพื่อนให้หันไปดูมณีมันตรา
“ใช่มาย่าหรือเปล่า”
“ไม่น่าใช่นะ เป็นซุปตาร์ ไม่น่ามากินข้าวคนเดียว”
มณีมันตรารีบหยิบเมนูเล่มใหญ่ขึ้นมาบังหน้าไว้ แล้วรีบกดมือถือหาธรรม์แต่ธรรม์ปิดเครื่อง
“ให้ฝากข้อความอีกแล้ว” มณีมันตราพูดใส่มือถือ “พี่ธรรม์คะ ลืมนัดของเราหรือเปล่า ย่ารออยู่นะคะ รีบมาเร็วๆหรือว่าจะให้ย่าไปหาก็ได้นะคะ”
มณีมันตรากดปิดมือถือแล้วลืมตัวลดเมนูเล่มใหญ่ลง แล้วก็ต้องชะงักกึก ไฮโซชายดูรวยและกร่างนั่งมองมามีลูกน้องใส่ชุดซาฟารีแบบบอดี้การ์ดนั่งอยู่ด้วย ไฮโซชายหันไปกระซิบกับลูกน้องพลางมองมณีมันตราแบบไม่ได้คลาดสายตา
มณีมันตรารู้สึกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ไฮโซชายคนนั้นมองมาอย่างจำได้และยิ้มเหมือนเห็นเหยื่อ มณีมันตราหยิบเงินสองร้อยบาทวางบนโต๊ะเป็นค่ากาแฟแก้วเดียวที่สั่งมา มณีมันตราเก็บมือถือและหนังสือที่อ่านฆ่าเวลายัดใส่กระเป๋าแล้วรีบเดินออกทันที ไฮโซชายพยักหน้าให้ลูกน้อง ลูกน้องรีบตามมณีมันตราออกไปอย่างรู้ใจ

มณีมันตรารีบเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยความโล่งใจ ลูกน้องตามมาจนเกือบถึงลิฟต์
“รอด้วยครับ !”
มณีมันตราตกใจรีบกดลิฟต์ปิด ลูกน้องโผเข้ามาจะเอามือกั้นประตูลิฟต์ไว้
ลูกน้องพูดดุดัน “บอกว่าให้รอ !”
มณีมันตรากดลิฟต์ให้ปิดอีกหลายครั้งด้วยความตกใจ ประตูลิฟต์ปิดก่อนที่ลูกน้องจะมากั้นประตูได้ทัน มณีมันตรายืนตกใจกลัวอยู่ในลิฟต์เรื่องที่ชายคนนั้นดูไม่น่าไว้ใจน่าจะเป็นจริง

มณีมันตรารีบเดินมาจากทางลิฟต์ด้วยความรวดเร็ว เธอหยิบกุญแจรถออกมาทันที อารามกลัวจนทำกุญแจรถหล่นลงพื้นลูกน้องโผล่มาจากบันไดกลางลานจอดรถมาดักหน้ามณีมันตราไว้ได้ทัน
“จะรีบไปไหนล่ะครับ คุณมณีมันตรา !”
มณีมันตราตกใจมากที่ลูกน้องจำได้จริงๆ เธอรีบวิ่งหนีออกไป ลูกน้องสาวเท้าตามไปอย่างใจเย็น
มณีมันตรารีบร้อนวิ่งไปจนเท้าพลิกรองเท้าส้นสูงหักแล้วล้มลง ลูกน้องเดินตามมาทันส่งมือให้ มณีมันตราโขยกเขยกลุกขึ้นเองแล้วตัดสินใจเผชิญหน้ากับลูกน้อง
“ตามมานี่ ! ต้องการอะไร !”
“ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณหรอก แต่นายของผมต้องการ..นายผมอยากนัด “กินข้าว” กับคุณซักมื้อ พรุ่งนี้เป็นไง”
“ชั้นไม่รู้จักนายของแก !”
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ..ไม่ต้องห่วง นายผมจ่ายไม่อั้น ไม่ว่าราคาสูงเท่าไหร่ นายก็สู้ไหว เท่านี้พอมั้ย”
ลูกน้องเขียนตัวเลขบนนามบัตรให้ส่งให้มณีมันตราที่รับมาอย่างงงๆ
“นี่แกคิดว่า...”
“อย่าทำเหมือนไม่เคยหน่อยน่า ที่มานั่งรอน่ะ ไม่ใช่มารออาเสี่ยหรือนายแบงก์หรอกเหรอ เค้าจ่ายเท่าไหร่ นายผมจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า นายผมทั้งหนุ่มทั้งเงินหนา ดีกว่าอาเสี่ยหนังเหี่ยวตั้งเยอะ” ลูกน้องยิ้มขำ “ฝันของนายจะเป็นจริงก็คราวนี้แหละ”
ลูกน้องมองมณีมันตราหัวจนเท้าอย่างดูถูกแล้วเดินออกไป มณีมันตรายืนนิ่งเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เธอรู้สึกทั้งเจ็บตัวทั้งเจ็บใจจึงได้แต่ขยำนามบัตรทิ้ง

ธรรม์กับตำรวจนอกเครื่องแบบนั่งซุ่มจับคนส่งยาบ้าอยู่ในรถ บ๊วยใส่หมวกใส่แว่นดำกอดกระเป๋าใส่ยาบ้าใบเดิมแล้วเดินเข้ามาพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาคนซื้อยา ธรรม์จะพุ่งลงจากรถแต่ตำรวจคนนั้นดึงตัวเขาไว้
“รอให้มันส่งยาก่อน เมื่อวานก็พลาดไปหนนึงแล้วนะ หมวด” ตำรวจเตือน
“ผมรู้แล้ว คราวนี้ผมจะไม่ให้มันคลาดสายตาเด็ดขาด”
บ๊วยเดินไปเตร่ที่มุมลับตาคน คนซื้อยาเดินเข้ามาหยุดข้างบ๊วยพลางแอบส่งซองเงินให้ ธรรม์กับตำรวจสะกดรอยตามมาแล้วหลบเข้ามุม ทั้งสองหันมองหน้ากันเมื่อเห็นว่าซื้อขายยากันแล้ว ธรรม์โผล่พรวดเข้าไปก่อน บ๊วยเห็นธรรม์ก่อนที่ธรรม์จะประกาศตัวว่าเป็นตำรวจ
“เฮ้ย ! ตำรวจ !” บ๊วยตกใจ
บ๊วยโยนกระเป๋าใส่ยาบ้าให้คนซื้อยาแล้วเผ่นหนีทันที คนซื้อยาเผ่นไปอีกทาง
“มันรู้ได้ยังไง?”
“ผมจับไอ้แว่นดำเอง ! จ่าตามอีกคนไป” ธรรม์บอก
ธรรม์วิ่งกวดไล่บ๊วย ตำรวจอีกคนวิ่งไล่ตามคนซื้อยา
บ๊วยวิ่งหนีธรรม์ “ทำไมต้องเป็นกูทุกที !”
ธรรม์วิ่งพุ่งเข้าไปถึงตัวบ๊วยได้ก็กระชากคอเสื้อเขาไว้ บ๊วยสะบัดตัวอย่างสุดชีวิตจนหลุดจากธรรม์ได้ รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาโฉบใกล้บ๊วย พอรถชะลอตัว บ๊วยกระโดดขึ้นซ้อนท้ายอย่างเร็ว ธรรม์คว้าตัวบ๊วยไม่ทันจึงมีแต่แว่นดำที่กระเด็นหล่นมาที่เท้าของธรรม์ บ๊วยเกาะซ้อนท้ายหลบหน้าอยู่หลังคนขี่
ธรรม์หัวเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “โธ่เว้ย ! ทำไมเป็นอย่างนี้วะ”
คนซื้อยาถูกใส่กุญแจมือ ตำรวจคุมตัวพามาที่ธรรม์
“รอดอีกหรือครับ” ตำรวจถาม
“ผมกำลังจะได้ตัวมันแล้ว ! ผมต้องจับตัวไอ้นี่ให้ได้ มันเป็นลูกน้องของเก่งกาจมันเป็นเบาะแสเดียวที่จะสาวไปถึงนายของมัน”
“ใจเย็นๆนะครับ หมวด มันไม่โชคดีรอดไปได้ทุกครั้งหรอก คราวหน้าเราต้องจับมันได้แน่ หมวดกลับไปบ้านได้แล้วล่ะครับ คนที่บ้านรอแย่”
ธรรม์นึกได้ “วันนี้วันอะไรนะ จ่า”
“วันศุกร์ครับ หมวด”
ธรรม์ยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือแล้วต้องตกใจ
“บ่ายสองแล้ว...มณีมันตรา!”

ธรรม์รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดเครื่อง เขากดติดต่อหามณีมันตราทันที

อิทธิฤทธิ์ ชินพัฒน์ และเด็กๆ ส่งบอลกันไปมาดูเล่นๆ ไม่จริงจังเหมือนก่อนหน้านี้
 
ชนมนขี่จักรยานมาตามชินพัฒน์ เธอหยุดดูและเห็นอิทธิฤทธิ์โชว์เดาะบอลไปมาๆอวดเด็กๆอยู่ สุดท้ายอิทธิฤทธิ์เตะบอลไปให้ชินพัฒน์รับไปเลี้ยงลูกต่อ
“เอาล่ะ ไปพักได้ เดี๋ยวค่อยมาแข่งกันต่อ”
ชินพัฒน์เตะบอลส่งไปให้อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์รับลูกไว้ได้ทันควัน เขาเหยียบลูกบอลไว้
“พี่อิทนี่ก็เก่งใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย”
“คนเรามันก็ต้องมีดีกันบ้างล่ะ ชั้นเป็นคนมีพรสวรรค์เรื่องกีฬา เล่นได้ทุกอย่างและเก่งทุกอย่างด้วย”
“คนเรา..ไม่มีใครชม ก็ชมตัวเองได้” ชินพัฒน์ว่า
“ถ้าไม่มีคนเข้าใจให้กำลังใจเรา เราก็ต้องให้กำลังใจตัวเอง ถึงคนอื่นบอกว่าเราทำไม่ได้ ถ้าเรามีความพยายามมากพอ ไม่ว่าเรื่องยากแค่ไหน เราก็สามารถทำได้” อิทธิฤทธิ์ชะงักกึกเมื่อนึกได้ว่าพูดตามที่พ่อสอนมาเป๊ะๆ “จำใครมาวะ”
ชินพัฒน์พยักหน้ารับและรู้สึกว่าอิทธิฤทธิ์เข้าใจหัวอกลูกผู้ชายด้วยกัน
“งั้นถ้าผมพยายามมากๆ ผมก็เป็นนักฟุตบอลได้ใช่มั้ย พี่อิท”
“ได้ซิ ! ขอให้พยายามจริงเถอะ แล้วต้องสู้อย่าได้ถอยเป็นอันขาด และที่สำคัญที่สุดคือการฝึกซ้อม”
เด็กคนนั้นตะโกนมา “ไอ้ชิน ไอติมมาแล้ว กินป่าว? วันนี้พี่อิทเลี้ยงไม่อั้น”
ชินพัฒน์ไม่อยู่ฟังอิทธิฤทธิ์พูดจบก็วิ่งไปหาเพื่อนๆทันที
“กินดิ รอด้วย”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มขำชินพัฒน์จอมตะกละ เขาหันกลับมาก็พบว่าชนมนยืนมองมา
“นายไม่ควรให้ความหวังกับชิน นายก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
อิทธิฤทธิ์มองชนมนอย่างไม่เห็นด้วย

ชินพัฒน์กินไอศครีมกับกลุ่มเด็กเล่นบอล เขากินไปเขี่ยบอลไป ชนมนเดินตรงรี่เข้าไปหาชินพัฒน์ อิทธิฤทธิ์เดินตามไล่หลังมาเคลียร์เรื่องที่คุยค้างอยู่
“ทำไมชินจะเป็นนักบอลไม่ได้”
“ดูก็รู้ ไม่เห็นต้องบอกเลย”
ชินพัฒน์กำลังกินไอศครีมอย่างเอร็ดอร่อยพลางเล่นไล่เตะตูดเพื่อนแต่ก็วิ่งไล่ไม่ทัน
“ของอย่างนี้มันฝึกกันได้ มันอยู่ที่ใจสู้หรือเปล่า แล้วเธอกับพ่อก็ควรจะส่งเสริมด้วย เด็กชอบเล่นกีฬาไม่ดีหรือไง ดีกว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่น”
“เราก็ให้ชินเล่น ไม่ได้ห้ามนี่ แต่เราไม่ให้ความหวังลมๆแล้งๆกับเด็กว่า แค่เตะบอลเป็นจะได้เป็นนักบอลทีมชาติ ชินมันไม่เคยได้ติดเป็นนักบอลตัวโรงเรียน ตัวสำรองเค้าก็ยังไม่ให้เป็นด้วยซ้ำ เชื่อเถอะอีกซักพักมันก็เบื่อ ไปเล่นอย่างอื่นต่อ”
“แต่ดูชินเค้าจริงจังนะ เค้าอยากเป็นนักบอลจริงๆ” อิทธิฤทธิ์
“นายจะรู้ดีกว่าชั้นได้ยังไง ชั้นขอร้องเลย นายอย่ามายุยงส่งเสริมน้องชั้น ชั้นไม่อยากให้ไอ้ชินเป็นเด็กมีปัญหาเหมือนนาย”
อิทธิฤทธิ์เริ่มโกรธ “นี่เธอไม่เคยเห็นชั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากเป็น”เด็กมีปัญหา”ใช่มั้ย”
ชนมนเลยตามเลย “ใช่ ! นายมันเด็กมีปัญหา เด็กดีๆใครเค้าจะโกงข้อสอบกัน นายทำตัวเองไม่พอ ยังมาทำให้ชีวิตชั้นต้องปั่นป่วนไปด้วย ทำให้ชั้นต้องลำบากมาเป็นติวเตอร์ของนาย”
“เป็นติวเตอร์ให้ชั้นนี่มันลำบากนักงั้นเหรอ”
“ใช่! ทั้งลำบากทั้งเหนื่อย ชั้นติวเด็กสิบคนยังไม่เท่าติวนายคนเดียว แต่ไม่เป็นไรอีกสองอาทิตย์ การติวของเราก็จะจบลงแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องเจอกันอีก”
“เออดี ! ชั้นก็ไม่อยากเจอเธอเหมือนกันแหละ ! ชั้นสอบเสร็จเมื่อไหร่ เราต่างคนต่างไป”
“เออดี! ต่างคนต่างไป” ชนมนแผดเสียง “ไอ้ชิน กลับบ้าน”
ชินพัฒน์หันมามองตามเสียง
“ไม่กลับ...” ชินพัฒน์หยุดชะงักแล้วมองอย่างแปลกใจ
ชินพัฒน์เห็นชนมนกับอิทธิฤทธิ์ยืนหน้าบึ้งทั้งสองคนจนเขาไม่กล้าหือกับชนมนอีก
ชนมนเอ่ยถาม “จะกลับไม่กลับ”
“กลับครับ พี่ กลับๆ”
ชนมนเดินนำออกไป ชินพัฒนืคว้าลูกบอลแล้วรีบตามพี่สาวไปก่อนจะแอบโบกมือลาอิทธิฤทธิ์
“ไปก่อนนะ พี่อิท แล้วเจอกัน”
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดังให้ชนมนได้ยิน “คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ”
ชนมนเดินลิ่วๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน ชินพัฒน์วิ่งตามแทบไม่ทัน
อิทธิฤทธิ์ตะโกนตาม “อีกหน่อยเราก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องเจอกันอีกต่อไป”
อิทธิฤทธิ์ยืนมองตามชนมนอย่างโกรธและน้อยใจ

อิทธิฤทธิ์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเสียอารมณ์ ส่วนเจ๋งกำลังล้างรถเช็ดรถให้ลูกค้าอยู่
“หายไปนานเลยนะ พี่อิท”
“เออ มันยุ่งๆ”
“เรื่องสอบใช่มั้ย อีกเดี๋ยวก็สอบเสร็จแล้วล่ะ พี่ สอบเสร็จเรียนจบ พี่ก็จะได้เป็นอิสระเหมือนเดิม”
“สอบเสร็จ..เรียนจบ..เป็นอิสระ..ไม่ต้องเจอกันอีก”
“พี่อิทเป็นอะไรหรือเปล่า? ดูแปลกๆไป”
“เออ..ปรึกษาหน่อยดิ” อิทธิฤทธิ์รีบออกตัว “แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของชั้นนะ เป็นเรื่องของเพื่อน เอ่อ... เพื่อนของเพื่อน แล้วก็ของเพื่อนอีกทีนึง”
“เอาเป็นว่าสมมติว่าชื่อนายอ.ล่ะกัน” เจ๋งบอก
“เออๆ นายอ.รู้จักผู้หญิงอยู่คนนึง อายุมากกว่าปีสองปี แรกๆเกลียดขี้หน้ากันมาก แต่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วยแล้วเหมือนมีเพื่อนที่รู้ใจเลยว่ะ อย่างนี้แสดงว่าอะไรวะ”
“แสดงว่าชอบเค้าล่ะดิ” เจ๋งว่า
“เฮ้ย ไม่ได้ชอบ ใครจะไปชอบลง”
“ตกลงนี่มันเรื่องของใครนะ”
“ของเพื่อน เออ..เพื่อนของเพื่อน แล้วก็ของเพื่อนอีกที..เค้าควรทำยังไงดีวะ อีกไม่นานเค้าก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว ก็ดันมาทะเลาะกันอีก แล้วจะรู้ได้ไงว่า ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร”
“ผมว่าพี่รู้คำตอบแล้วล่ะ แต่พี่ไม่กล้ารับความจริงเอง”

อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งไป

มณีมันตรานั่งอ่านหนังสือไปทายานวดข้อเท้าที่พลิกไป ธรรม์ถือช่อดอกไม้เดินเข้ามาเงียบๆ

“ย่า...”
มณีมันตราเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองธรรม์อย่างเย็นชา
มณีมันตราพูดเสียงเรียบๆ “เรานัดกันตอนเที่ยงที่ร้านอาหารไม่ใช่เหรอคะ นี่กี่โมงแล้วคะเนี่ย
อ้อ..สี่โมงเย็นแล้ว”
“พี่ขอโทษจริงๆ พี่มัวแต่ทำงาน”
“พี่ธรรม์ไม่ได้งานยุ่งคนเดียว ย่าเองทั้งทำงานทั้งเรียน แต่ย่าไม่เคยลืมทิ้งใครให้รอเก้ออยู่คนเดียว พี่ธรรม์รู้มั้ยว่า วันนี้ย่าไปเจออะไรมา”
ธรรม์ไม่ทันฟัง “เอาเป็นว่าพี่ขอโทษแล้วกันนะ พี่กำลังทำคดีสำคัญอยู่ ใจพี่ก็เลยจดจ่ออยู่กับคดีจนลืมเรื่องอื่นไป ย่าต้องเข้าใจนะ คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับพ่อ”
มณีมันตราตัดบทไม่ฟัง “ลืม ! เหตุผลของพี่ธรรม์มีแค่นี้เองหรือคะ เพราะว่าย่าไม่มีความสำคัญพอใช่มั้ยล่ะ ถ้าติดคดีสำคัญก็ไม่ต้องมานัดเจอกันตั้งแต่ทีแรก ทำให้ย่าต้องไปนั่งตากหน้าให้คนอื่นเค้ามอง แล้วไม่ใช่แค่ถูกมองเท่านั้น”
“โธ่ ย่า ย่าเป็นดารา คนก็ต้องมอง อย่างมากก็เจอพวกแฟนคลับบ้าๆ อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ พี่ก็ขอโทษแล้ว เรามานัดกันใหม่ก็ได้”
“ไม่ต้องนัดแล้วล่ะค่ะ ครั้งนี้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”
มณีมันตราคว้ากระเป๋าเดินออกไป
“ย่าจะไปไหน”
มณีมันตราชะงักหันมามอง “ไปหาเพื่อนที่เห็นความสำคัญของย่า ถ้างานของพี่ธรรม์สำคัญ
กว่าย่า ก็ไปทำงานเถอะค่ะ รอให้พี่ธรรม์ว่างจริงๆแล้วค่อยคุยกัน หรือไม่ต้องมาเจอกันเลยก็ได้”
มณีมันตราเดินออกไป ธรรม์ค่อยๆวางช่อดอกไม้ลงอย่างเหนื่อยใจ

อิทธิฤทธิ์ถือช้อนไอศครีมค้างอยู่หลังจากรับรู้เรื่องที่มณีมันตราไปเจอไฮโซหื่นกามมา มณีมันตราตักไอศครีมกินไปอย่างทำใจได้แล้วเรื่องถูกชวน”กินข้าว”
“เฮ้ย ! มีเรื่องหยั่งงี้ด้วยเหรอ บอกมาเลยๆ ไอ้ไฮโซบ้ากามนั่นมันเป็นใคร”
“ไม่บอก ! เดี๋ยวเธอได้ไปเอาเรื่องมัน แล้วเรื่องนี้รู้ไว้แค่สองคนก็พอนะ ไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง”
“ได้ไง บอกไอ้ธรรม์มันดิ ให้มันจับเข้าคุกไปเลย”
“พี่ธรรม์เค้าสนใจที่ไหน คนอะไรทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด หาว่าชั้นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถูกไอ้ไฮโซนั่นดูถูกยังไม่โกรธเท่านี้เลย”
“ตกลงทะเลาะกับไอ้ธรรม์ก็เลยนึกถึงชั้นงั้นสิ”
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไปคุยกับพี่ชน พี่เค้าก็ต้องเข้าข้างพี่ธรรม์แน่ ชั้นเคยว่าเธอว่า ไม่มีใครคบ ที่จริงชั้นก็ไม่มีเพื่อนเหมือนกัน เวลามีเรื่องอะไรไม่รู้จะคุยกับใคร นอกจากคุยกับเธอ เธอยังดีนะที่มีหมูหวาน”
“เฮ้ย ชั้นไม่บ้านั่งคุยกับแมวหรอก ! นี่ย่า..ฟังนะ ไอ้ธรรม์มันบ้างานเหมือนพ่อ เธอก็ทนๆมันหน่อยล่ะกัน มีอะไรก็ไปคุยกันให้รู้เรื่อง”
“ชั้นไม่มีวันจะไปพูดกับพี่ธรรม์ก่อน ไม่ต้องเจอกัน ไม่ต้องพูดกันไปเลย เฮ้ย ไม่ได้สิมีงานเลี้ยงปิดกล้อง บริษัทต้องเชิญพี่ธรรม์แน่ๆ”
อิทธิฤทธิ์ตัดสินใจอย่างกะทันหัน “จะกลัวอะไร ชั้นจะไปงานกับเธอด้วย”
“จะดีเหรอ”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มอย่างนึกสนุก “ดีสิ ! ชักจะสนุกแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มกับแผนการของตัวเอง

ธรรม์เดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางเซ็ง ถนอมกำลังถือสูทที่คลุมพลาสติคจากร้านขึ้นไปชั้นบนอิทธิฤทธิ์ลงมารับชุดสูทจากถนอมก่อนด้วยท่าทางเริงร่า
“รวดเร็วทันใจจริงๆ ขอบคุณครับ ป้าหนอม”
อิทธิฤทธิ์หอมถนอมฟอดใหญ่
“อุ๊ย อะไรกันคะ คุณอิท”
“ผมก็อยากขอบคุณป้าหนอมที่ช่วยหาสูทให้ผมได้ทันเวลา ป้าหนอมคอยดูข่าวในทีวีนะ ดูว่าผมหล่อสมกับมณีมันตราหรือเปล่า”
ธรรม์ชะงักมองอิทธิฤทธิ์
“หมายความว่าไง” ธรรม์ถาม
“ทำไมต้องให้อธิบาย ชั้นก็จะเป็นคู่ควงของมาย่าในงานเลี้ยงปิดกล้องพรุ่งนี้น่ะสิ”
“ย่าไม่ได้บอกยกเลิกนัด”
“ทำไม่ต้องบอก กับนายแค่หายหัวไปเฉยๆก็ถือเป็นการยกเลิกนัดแล้ว”
“นี่นายอิท ปัญหาของชั้นกับมาย่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย”
“อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ คุณมาย่าก็ตกลงเป็นแฟนกับคุณธรรม์ไปแล้ว อย่าให้ผู้หญิงคนเดียวมาทำให้พี่น้องทะเลาะกันเลยนะคะ” ถนอมบอก
“ผมไม่เคยเห็นมันเป็นพี่ !” อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “ชั้นให้โอกาสนายแล้ว แต่นายทำพลาดเอง ชั้นจะทวงผู้หญิงของชั้นคืน” อิทธิ์ฤทธิ์ยั่วให้ธรรม์โกรธ
“แล้วนายเอาชนไปไว้ที่ไหน” ธรรม์ถาม
อิทธิฤทธิ์โกรธเสียเอง “ชนเกี่ยวอะไรด้วย นี่นายคิดจะทำอะไร ไอ้ธรรม์”

ธรรม์กับอิทธิฤทธิ์ประจันหน้ากัน ธรรม์เริ่มไม่ยอมลงให้น้องชาย

ตี๋เล็กใส่แว่นสีชาแนววินเทจพร้อมกับเสียงดนตรีอินโทร “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” ตี๋เล็กแต่งเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เต็มยศ มีหมวก มีผ้าคล้องคอ

“นี่มันโจวเหวินฟะหรืออาตี๋เล็กของม้ากันแน่เนี่ย หล่อจริงๆ งานเลี้ยงปิดกล้องพรุ่งนี้จะต้องมีคนมาทาบทามให้ไปเป็นพระเอกแน่ๆเลย” อาม้าบอก
ตี๋เล็กเขิน “ม้าก็พูดเกินไป ผมไม่ได้หล่อขนาดนั้นหรอก”
“ใช่ พูดเกินไปจริงๆ ลื้อเป็นแค่ตัวประกอบ เห็นในหนังตัวเล็กเท่าเม็ดก๊วยจี๊ แล้วจะไปทำไมฮะ ไอ้งานเลี้ยงปิดกล้องอะไรเนี่ย จบแล้วก็แล้วกันไปสิ” อาป๊าว่า
“ตี๋เล็กไปแทนอั๊ว ไปในฐานะสปอนเซอร์รายใหญ่ จ่ายเงินไปตั้งเยอะ ก็ต้องเอาให้คุ้มสิ พรุ่งนี้มีนักข่าวมาทำข่าวทุกสำนัก ไม่ไปงานนี้ แล้วจะมีงานไหนได้ออกสื่อเยอะเท่านี้อีก”
“หนังสือแปลกแต่จริงก็เจ๊งไปแล้ว อั๊วจะคอยดูว่าจะมีนักข่าวคนไหนสนใจมันบ้าง”
ตี๋เล็กยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมไม่ต้องการให้นักข่าวคนไหนมาสนใจหรอก ผมขอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แค่ขอให้เธอหันมามองผมเท่านั้น...น้องมาย่าของผม”
ตี๋เล็กยิ้มกริ่มเพ้อฝันยังไม่ยอมเลิกราจากมณีมันตราง่ายๆ

ร้านเสื้อหรูแบรนด์ดังหลายช็อทหลายมุม ชุดประดับคริสตัลระยิบระยับ ชุดประดับขนนกฟูฟ่อง ชุดลูกไม้อ่อนหวาน ชนมนเดินเข้ามาในร้านเสื้อหรู ธรรม์เดินมาเคียงข้าง ชนมนมองไปรอบๆอย่างไม่แน่ใจ
“พี่ธรรม์คะ ชนขอถอนตัวได้มั้ยคะ ถ้าไปงานเลี้ยงกับพี่ธรรม์ แล้วต้องแต่งเยอะแบบนี้ ชนไม่เอาดีกว่า”
“ไม่ต้องห่วงว่าพี่จะต้องเสียเงินเยอะหรอกนะ ร้านนี้เค้าเป็นสปอนเซอร์ของงานเลี้ยงปิดกล้องคืนนี้”
“แล้วเค้าจะให้ชนยืมชุดไปใส่เหรอคะ ชนไม่ใช่ดาราไม่ใช่คนสำคัญ”
“แต่ชนเป็นน้องของหมวดธรรม์..พี่ทำงานให้บริษัทหนังคุ้มจนเกินคุ้ม แค่ช่วยเรื่องเสื้อผ้าแค่นี้เรื่องเล็ก แล้วชนก็เลิกคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่สำคัญซักที คืนนี้ชนจะรู้ว่า ชนสำคัญกับใครบางคนแค่ไหน”
“มีอีกเรื่อง...ชนใส่ส้นสูงไม่เป็น..”
ธรรม์ยิ้มอย่างเอ็นดูชนมน

อิทธิฤทธิ์กำลังหวีผมแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เขาคว้าสูททักซิโด้มาใส่แล้วพยักหน้าให้หมูหวาน
“หล่อกว่าไอ้ธรรม์ใช่มั้ยล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกด้วยความมั่นใจ

ธรรม์ยืนอยู่หน้ากระจก เขาคว้าสูทมาใส่แล้วติดกระดุมก่อนจะยืนส่องกระจกหน้าเคร่งเอาจริง

ชนมนนอนให้ช่างแต่งหน้าแต่งหน้าให้ ชนมนอึดอัดไม่สบายตัว

มณีมันตรานั่งเฉยให้ช่างแต่งหน้าให้ด้วยท่าทางสบายๆ เพราะถูกแต่งหน้ามานับร้อยครั้งแล้ว มณีมันตราแต่งหน้าเสร็จก็ยกมือไหว้ขอบคุณช่างทำผมช่างแต่งหน้า สไตลลิสต์ถือชุดตรงเข้ามาหาทันที มณีมันตรารับชุดมาถือทาบไว้กับตัวมองดูกระจกอีกครั้ง

ชนมนเลือกชุดหรูหลายสิบชุดแบบเร็วๆ เวลาผ่านไป ชุดราตรียาวที่เท้าของชนมนซึ่งสวมใส่รองเท้าส้นสูงแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเงอะงะ

บริเวณทางเข้างาน ผู้คนเดินเข้ามาและมีนักข่าวกับช่างภาพมากมาย ดาราตัวประกอบยืนให้ถ่ายรูปหน้าแบ๊คดรอปแล้วเดินเข้างาน สตีฟกับสุวิชเดินมายืนให้ถ่ายรูป โอเจในชุดสูทหล่อเดินควงเมนี่เข้ามา กลุ่มนักข่าวกรูกันไปหาโอเจ สตีฟกับสุวิชยืนเด๋ออยู่พักหนึ่ง สตีฟกับสุวิชได้สติแล้วค่อยเดินเข้าไปในงาน
“คุณโอเจคะ ทำไมไม่มาพร้อมน้องมณีมันตราคะ”
“ทำไมถึงควงพี่เมนี่แทนน้องมณีมันตราล่ะครับ”
โอเจกับเมนี่มองหน้ากันเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าควงแขนเดินเข้ามางานด้วยกัน โอเจรีบผละจากเมนี่ทันที
“เอ๊ย ! ผมไม่ได้ควงพี่เมนี่”
“คุณกับน้องมณีมันตราเลิกกันแล้วหรือคะ”
“ยังไม่เลิกค่ะ เราไม่เคยบอกว่า โอเจกับน้องมณีมันตราเป็นแฟนกันนะคะ แล้วจะพูดว่าเลิกกันได้ยังไง ไม่ใช่เป็นแฟน แต่ก็ไม่ใช่เป็นเพื่อนกัน ขอเรียกว่า น้องมณีมันตรากับโอเจกำลังอยู่ในช่วง”คุย”กันอยู่แล้วกันนะคะ” เมนี่หัวเราะแบบมีนัย
“ท่าทางน้องมณีมันตราคงเลิก”คุย”กับคุณโอเจแล้วมั้งคะ”
ทุกคนหันไปมองทางเข้างาน เห็นมณีมันตราในชุดสวยเดินควงอิทธิฤทธิ์ในชุดสูทหล่อเข้ามา
นักข่าวพูดขึ้น “นั่นลูกชายผู้การอิทธิพลนี่”
เมนี่และโอเจยืนงง กลุ่มนักข่าวพุ่งเข้าไปกระหน่ำถ่ายรูปอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราถี่ยิบ
“ฮัลโหลๆ ไม่สัมภาษณ์ต่อแล้วเหรอ” โอเจพูดกับเมนี่ “ผมบอกแล้ว ผมขอเข้างานเป็นคนสุดท้าย ดูซิ มณีมันตราแย่งซีนไปหมด”
“ตอนนี้เรื่องแย่งซีนไม่ใช่ปัญหาแล้ว” เมนี่บอก
“ทำไมถึงไม่มากับคุณโอเจล่ะคะ น้องมณีมันตรา มีปัญหากันหรือเปล่า” นักข่าวถาม
“น้องมณีมันตรารู้จักน้องอิทตั้งแต่เมื่อไหร่”
“วันนี้หนูขอให้สัมภาษณ์เรื่องหนังอย่างเดียวนะคะ ขอโทษจริงๆ ผู้ใหญ่สั่งมาน่ะค่ะ”
อิทธิฤทธิ์เห็นชนมน “เฮ้ย !”
มณีมันตราหันไปมองตามสายตาของอิทธิฤทธิ์ ธรรม์ในชุดสูทควงชนมนในชุดสวยเดินเข้ามา อิทธิฤทธิ์จ้องเขม็งเมื่อเห็นธรรม์จูงมือชนมนที่ใส่ส้นสูงเดินเข้ามา
มณีมันตรานิ่งอึ้งไปเพราะพูดต่อไม่ออก ธรรม์พาชนมนเดินหลีกกลุ่มนักข่าวจะเข้างานไปเงียบๆ
อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตราไปขวางทางธรรม์ไว้ อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราจ้องหน้าธรรม์แล้วหันไปมองชนมน ชนมนนิ่งอึ้งด้วยความอึดอัดใจเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้ ทั้งสี่คนยืนประจันหน้ากัน อิทธิฤทธิ์จ้องตาชนมน
 
ธรรม์จ้องตามณีมันตราแบบเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างปะทะกันในบริเวณนี้ โอเจกับเมนี่เห็นแล้วก็อึ้งและงงว่าเกิดอะไรขึ้น
 
อ่านต่อตอนที่ 10
กำลังโหลดความคิดเห็น