xs
xsm
sm
md
lg

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 1

ในบรรยากาศยามเช้าอันแสนสดใส เมื่อทอดสายตามองจากมุมสูงลงมา แลเห็นโรงเรียนตั้งอยู่บนยอดเขา ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจี ธงชาติปลิวไสวไปตามแรงลม โรงเรียนแห่งนี้หลังคาเป็นเพิงมุงจาก ฝาห้องเรียนทำขึ้นจากขอนต้นมะพร้าวค้ำเรียงกันอย่างแน่นหนา บรรจุโต๊ะ เก้าอี้ นักเรียนได้ประมาณ 15 ที่นั่ง

จีรณะชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อคม ผิวสีแทน ใส่เสื้อกล้าม ทับด้วยเสื้อตัวนอกเป็นแจ็กเก็ตฟิลด์ เขาสวมกางเกงยีนส์ที่ปลายขาถูกเก็บในรองเท้าบู้ท จีรณะเป็นครูอาสาสมัครของบรรดาเด็กๆ ชายหญิงเผ่าละหู่ วัยราว 8 ขวบ 13 คน และกำลังยืนอยู่หน้าชั้น บนกระดานดำ เขียนข้างบนว่า วันปิดเทอม ส่วนบรรทัดต่อมาเขียนว่า
ข้อ 1 ดูแลทำการบ้านและอ่านหนังสือ
ข้อ 2 ดูแลช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านและงานไร่นา
ข้อ 3 ดูแลรักษาสุขภาพ และความสะอาดร่างกาย
จีรณะเอ่ยกับเด็กๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นักเรียนครับ วันนี้เราเจอกันเป็นวันสุดท้ายแล้ว เจอกันใหม่เทอมหน้านะครับ อย่าลืมดูแลสามข้อต่อไปนี้...”
พลางจีรณะหันไปชี้ข้อความบนกระดานดำ อ่านนำเด็กๆ “ข้อหนึ่ง...”
จากนั้นก็มีเสียงเด็กๆ อ่านตามกันเซ็งแซ่
ในจังหวะที่จีรณะหันกลับมาหาเหล่านักเรียนนั้น ก็มีเสียงปืนดังระรัวติดๆ กัน 5-6 นัด กระสุนเจาะเข้ากระดานดำ กระจุยกระจาย เด็กๆ ตื่นตระหนกร้องไห้ระงม จีรณะตะโกนบอก
“ทิ้งร่ม...นักเรียนหมอบ เข้าที่กำบัง”
จากกิริยาอาการ ดูออกว่า เด็กๆ เหล่านี้คุ้นชิน และถูกฝึกมาอย่างดี ต่างพากันทิ้งตัวราบกับพื้นคืบคลานไปแอบข้างฝาห้องเรียนขอนมะพร้าว ลูกปืนยิงกระหน่ำเข้ามากระจุยกระจาย
จีรณะตะแคงโต๊ะครูดันไปจนชิดผนังห้อง แล้วดึงปืนเอ็มสิบหกที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะมายิงสวนออกไป ชายหนุ่มเล็งส่ายไปมาทีละนัดแบบหวังผล
“นักเรียน ไม่ต้องกลัว หมอบนิ่งๆ เอาไว้”
จีรณะเล็งยิงไปมา แล้วพุ่งออกขอบข้างฝาห้องไป


ตรงลานหน้าห้องเรียนเวลานั้น พวกโจร 4 คนกระจายอยู่บนเนิน ระดมยิงใส่จีรณะไม่ยั้ง ชายหนุ่มกลิ้งไปหมอบหลังกระสอบบังเกอร์ ยิงสวนออกไป
จังหวะนี้ แหวน ซึ่งอยู่ในชุด ตชด. ครึ่งท่อน กดนักเรียนอีกห้องให้หมอบหลบกระสุนเช่นกัน
“ทิ้งร่ม หมอบติดพื้น เหมือนซ้อม เหมือนซ้อม...” แหวนกำชับเสียงเข้ม
ครูลัดดา ในชุด ตชด. ยศสิบตำรวจเอก กลิ้งตัวออกมานอกห้อง ยิงใส่โจร จีรณะหันไปเห็น จึงตะโกนบอก
“ครูลัดดามาหาผม เดี๋ยวเด็กโดนลูกหลง ผมจะยิงคุ้มกันให้”
พลางจีรณะผลักบังคับไกเป็นยิงชุด กราดยิงใส่กลุ่มโจร ลัดดาลุกวิ่งพุ่งเข้ามาแอบกับจีรณะ
หัวหน้าโจรร้องตะโกนบอกพรรคพวกมัน “เผา เผาโรงเรียนให้ได้”

จ่าตุ๋ยขับรถจี๊ปไม่มีหลังคาลุยเข้ามาฝุ่นตลบในจังหวะนี้พอดี มีผู้กองเกียรติก้องยืนเอาตัวพิงคานรถ ยิงใส่โจร เหล่าโจรหนีขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ พวกมันหนีพลางยิงพลางออกไป
จีรณะวิ่งไปแล้วกระโดดขึ้นรถจี๊ป ที่จ่าตุ๋ยขับตามเหล่าโจรไป ลัดดา และแหวน มองตาม เด็กๆ สองห้องราวๆ 30 คน ค่อยๆ พากันโผล่ออกมาหาสองคน

รถจี๊ปที่มีจ่าตุ๋ยขับกำลังไล่ล่า มอเตอร์ไซค์เหล่าโจรที่หนีพลางยิงสกัดพลาง จีรณะ กับ เกียรติก้อง ยิงโต้ตอบไป กระสุนเฉี่ยวโดนต้นไม้ริมถนน
ต่อมา พวกโจรขี่มอเตอร์ไซค์ลุยผ่านลำธารแล้วแยกกันไปซ้าย ขวาอย่างละ 2 คัน จ่าตุ๋ย เบรกรถจี๊ป ถามหน้าตื่น
“ตามคันไหน ผู้กอง”
เกียรติก้องนิ่งคิด สบตาจีรณะ
“มันอาจจะล่อเรามาซุ่มโจมตีก็ได้” จีรณะตั้งข้อสังเกต
“ถ้างั้นไม่ต้องตาม กลับโรงเรียนเถอะ ห่วงเด็กๆ” เกียรติก้องว่า

ตชด. ในเครื่องแบบ 6 คน ยืนกระจายตัวระแวดระวังอยู่ตามมุมต่างๆ ของลานโรงเรียน ขณะ รถจี๊ปจ่าตุ๋ยขับเข้ามาจอด ตชด. 1 ทำความเคารพผู้กอง
“เด็กๆ ปลอดภัยทุกคนนะ” เกียรติก้องถาม
“ครับผม แต่ท่าทางจะขวัญกระเจิง”
จีรณะเหลียวมองไป เห็นเด็กๆ หลายคนร้องไห้อย่างขวัญเสีย บางคนก็กอดลัดดา กะ แหวน ไม่ยอมปล่อย จีรณะกับผู้กองรีบเดินเข้าหา
เด็กๆ หันมาเห็น ร้องเรียก “ฮือๆๆ ลิหม่าป๊ะ” ลิหม่าป๊ะ แปลว่าครู
เด็กๆ วิ่งไปกอดจีรณะกับเกียรติก้อง
“ไหน ใครบ้างนะที่เคยบอกครูจีว่าโตขึ้นอยากเป็นตำรวจ”
เด็กๆ ผู้ชายยกมือทั้งน้ำตาจีรณะยิ้ม “แล้วขี้แยกันอย่างนี้ จะจับผู้ร้ายได้หรือเนี่ย”
เด็กผู้ชายชื่อจะงอร์ปาดน้ำตาบอก “แต่ผู้ร้ายมีปืน”
“ตำรวจไม่ได้จับผู้ร้ายด้วยปืน แต่ใช้ความกล้าหาญเข้าต่อสู้ ถ้าเรากล้าหาญไม่อ่อนแอ เราก็จะไม่ถูกใครรังแก” จีรณะ
เกียรติก้องยิ้ม “ไหน ใครที่กล้าหาญไม่ร้องไห้บ้าง ขอดูมือหน่อยสิ”
เด็กๆ ชายหญิงแย่งกันยกมือ ลืมเรื่องผู้ร้ายไปเลย
“ผมๆๆ” / “หนูๆๆ”
พวกครูลัดดา ครูแหวน ยืนยิ้มด้วยความเอ็นดู

สองหนุ่มแยกตัวออกมาตรงมุมหนึ่งในโรงเรียนแล้ว ผู้กองเกียรติก้องหันมาหาจีรณะ
“ไอ้พวกตัดไม้มันคงมาถล่มแก้แค้นที่เรากวดขันจับกุมพวกมัน”
“คืนนี้ฉันเดินเวรยามเฝ้าโรงเรียนเอง”
เกียรติก้องปราม “ไอ้จี แกมันแค่ครูอาสา แกมาช่วยชั้นสอนหนังสือก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
“ครูอาสามีหน้าที่สอนหนังสืออย่างเดียว โดยไม่ต้องดูแลความปลอดภัยของเด็กหรือไงวะ”
“พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้วแกควรกลับไปดูแลคนที่บ้านบ้าง เขารอแกอยู่นะ ฉันเป็นครูใหญ่ฉันจะอยู่เฝ้าโรงเรียนเอง”
จีรณะนึกถึงน้องสาว จึงคล้อยตาม พยักหน้ารับ
อาโปพุ่งเข้ามาจับไหล่จีรณะถอยเซไป อาโปหน้าตื่นมองสำรวจร่างกายจีรณะลูบแขนลูบตัวไปมา
“อะไรกันอาโป”
อาโปสะพายหน้าไม้เล็กๆ พูดสำเนียงชาวเหนือ “นาย นายเจ็บตรงไหนรึเปล่า ยิงกันได้ยินไปถึงไร่ ปู๊นกระบอกลูกดอกเล็กๆคว่ำลงกับพื้น ไม่ต้องกลัวนะนาย อาโปมาช่วยนายแล้ว”
“มาช่วยชั้นแล้วไหนอาวุธของอาโปล่ะ”
อาโปชูหน้าไม้ “นี่ไง”
“มีลูกดอกกี่ลูก”
อาโปเลิ่กลั่กควานมือคว้ากระบอกลูกดอกเอามาดู เหลือแต่กระบอก
เกียรติก้องหัวเราะขำอาโป จีรณะจับหัวอาโปโยกเขย่าเบาๆ แต่ใจหวนคิดถึงน้องสาวขึ้นมาจับใจจึงหันมาทางผู้กอง
“ฉันไปเก็บเสื้อผ้าก่อน”

จีรณะเดินไปทันที อาโปตาโตงุนงงว่าเขาจะไปไหน

เวลาเดียวกันนั้น อัปสรโสภิต หรือ โสภิต ขับรถเข้ามาจอดหน้ามินิมาร์ทในตัวเมือง หล่อนลงจากรถถอดแว่นตาเก็บใส่กระเป๋าสะพาย โสภิตเมียงมองเข้าไปในร้าน ครุ่นคิดถึงของที่จะซื้อ

จังหวะนี้รถของบุญมี ดุ่ย และไทร ขับตามมาจอดห่างออกไป พวกมันทั้ง 3 ล้วนเป็นลูกหนี้ของ ลูกสาวแม่เลี้ยงอมรา มารดาของหล่อน สามคนเอาหมวกไหมพรมมาใส่อำพราง เตรียมกระสอบผ้า ไทรนั้นถือเชือกในมือ สายตามองมุ่งร้ายตรงเข้าหาโสภิต
โสภิตเดินเข้ามินิมาร์ทไป อย่างสบายๆ ไม่รู้ตัวว่าความซวยกำลังมาเยือน พวกบุญมีชะงักรอจังหวะ

ต่อมาไม่นานนัก บนเคาน์เตอร์เห็นมีถุงใส่ผลไม้กระป๋อง สองถุงใหญ่กับถุงใส่ขนมขบเคี้ยวหลากหลายถุงใหญ่ โสภิตแง้มปากถุงขนมดู เจ๊หน้าตาเขี้ยวเค็ม เจ้าของร้านกดแป้นเครื่องคิดเลขเปิดช่องทอนเงิน หยิบเงินทอนสองร้อยห้าสิบกับใบเสร็จส่งให้
โสภิตเอื้อมมือจะไปรับเงิน มือที่จับกระเป๋าสะพายเบียดถุงขนมหล่นกับพื้น
“อุ๊ย...ตายจริง ซุ่มซ่ามจังเลย”
โสภิตก้มลงเก็บถุงขนมกับพื้นที่หล่นกระจาย
เจ๊เขี้ยวจอมเจ้าเล่ห์เขี่ยเงินซ่อนใต้เครื่องคิดเลขหมับ พอโสภิตลุกถือถุงขนม เจ๊รีบส่งถุงผลไม้กระป๋องให้โสภิตรีบรับถุงมาถือ
“ขอบคุณค่ะ” โสภิตเดินจะออกประตูมินิมาร์ท
โดยไม่รู้ว่าที่หน้ามินิมาร์ท บุญมี ดุ่ย และไทร เตรียมพร้อมจับตัวโสภิต
โสภิตชะงักหยุด เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์
“ขอโทษค่ะ ชั้นยังไม่ได้รับเงินทอน”
“คุณเอาไปแล้ว” เจ๊ตอแหลเนียนๆ
โสภิตนิ่งคิด ยิ้มบางๆ “ขอเงินทอนด้วยค่ะ”
“คุณเก็บเอาไปแล้ว อย่ามามั่ว ไม่เชื่อถามเด็กดูก็ได้”
พลางเจ๊ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่เด็ก ซึ่งเลิ่กลั่กอยู่
โสภิตวางถุงบนเคาน์เตอร์ หยิบโทรศัพท์ออกมาถือ
“ดิชั้นเพิ่งกดเงินจากเครื่องเอทีเอ็มธนาคารมา มีทั้งภาพจากเครื่องโทรทัศน์วงจรปิด มีทั้งจำนวนเงินและเวลาที่กดธนาคารก็คงมีหมายเลขธนบัตรที่ดิชั้นกดมา จะให้เรียกตำรวจมาตรวจสอบกันชัดๆ ที่นี่ดีมั้ยค่ะ”
เจอคนจริงอย่างอัปสรโสภิตเข้า เจ๊เลิ่กลั่ก ตาหลุกหลิก แล้วเขี่ยเงินทอนกับใบเสร็จออกมาจากใต้เครื่องคิดเงิน ส่งให้โสภิต
“เอ๊ะ มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ก็ส่งให้คุณกับมือแล้วนี่ เอาไปๆ”
โสภิตรับเงิน ยิ้มขำๆ

โสภิตเดินออกประตูมา บุญมี ดุ่ย และไทรที่ลงมาแอบอยู่ ใกล้ๆ ขยับจะเข้าจับตัว เด็กพนักงานเดินถือถุงใส่ที่โสภิตซื้อตามออกมา สามวายร้ายชะงักเก้อ
เด็กเอาถุงไปใส่รถให้ โสภิตให้เงินทิปเด็กไปห้าสิบบาท เด็กไหว้ขอบคุณ
โสภิตขึ้นรถขับออกไป บุญมี ดุ่ย และไทร ขึ้นรถขับออกไปหน้าเครียด

ไม่นานต่อมาจีรณะสะพายเป้ออกจากเพิงบ้านพักครู มาผูกกับรถมอเตอร์ไซค์วิบาก อาโปร้อนใจตามติด
“นายจะไปไหน”
ผู้กองเกียรติก้องยืนกวาดใบไม้เงยหน้ามอง
“โรงเรียนปิดเทอมแล้ว ชั้นจะกลับบ้าน”
อาโปดื้อเกาะมอเตอร์ไซด์แน่น
“อาโปไปด้วย นายอยู่ไหน อาโปจะอยู่ที่นั่น”
จีรณะครุ่นคิด แกล้งยิ้ม “ก็ได้ อาโปไปขออนุญาตพ่อก่อน เขียนเป็นจดหมาย ให้แม่กับพ่อ เซ็นชื่อ หรือปั๊มลายมือมาด้วยนะ”
อาโปยิ้มแป้น “ถ้าอาโปทำตามแล้วนายจะยอมให้อาโปไปอยู่กับนายนะ”
“คำไหนคำนั้น”
อาโปวิ่งตื้อออกไป จีรณะรีบไปที่รถมอเตอร์ไซด์ขึ้นคร่อม เกียรติก้องเดินเข้าไปหา
“แกไม่น่าไปโกหกเด็ก เขาจะผิดหวัง” เกียรติก้องว่า
“หรือแกอยากให้ฉันพาเขาไปอยู่ด้วยจริงๆ จะมูพ่ออาโปก็ยังป่วยอยู่ ส่วนแม่ก็เลี้ยงหมูหาของป่าอยู่คนเดียว อาโปควรอยู่ช่วยแม่ทำงานนะดีแล้ว”
“แต่ก็ควรพูดตรงไปตรงมา อาโปทั้งรักและไว้ใจแกมากที่สุด อย่าทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของลูกศิษย์”
จีรณะตบบ่าเพื่อน แกล้งหยอก “คุณครูใหญ่ครับ อาโปจะอยู่กับโลกสีขาวอย่างเดียวไม่ได้ ความผิดหวังก็เป็นอีกบทเรียนที่เขาต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความรัก”
ผู้กองอึ้ง “แกรู้”
“ฉันไม่ได้ตาบอดนี่หว่า ไปเว้ย รับหน้าแทนด้วยละกัน”
จีรณะบึ่งรถออกไป เกียรติก้องตะโกนไล่หลัง “ระวังตัวด้วยนะเว้ย ถ้าฝนตกก็หาที่หลบฝนก่อน อย่าตะบึงฝ่าไป เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ”

ส่วนโสภิตพูดมือถือ ด้วย Bluetoothไปขับรถไป “นายชีพบอกแม่ด้วยนะว่าฉันกลับจากกรุงเทพฯ ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าต้องผ่าตัดแม่รู้แล้วใช่มั้ย” หล่อนนิ่งฟัง “โทร.ตามพี่ยศหรือยัง” น้ำเสียงเข้มขึ้น “ถึงทำงานอยู่ก็ต้องมาถึงก่อนแม่เข้าห้องผ่าตัด”
โสภิตตัดสาย กดมือถือเป็นเบอร์ด่วน “พี่พวง มาเอากระเป๋าเสื้อผ้าฉันกลับบ้าน คืนนี้ฉันจะเฝ้าแม่” หล่อนพูดอย่างคล่องแคล่ว น้ำเสียงเรียบ เป็นงานเป็นการ “แล้วเตรียมอาหารที่กากน้อย ย่อยง่าย รสชาติอ่อนๆ มื้อเช้า 7 โมงมื้อกลางวันเที่ยงตรง มื้อเย็น 6 โมง ถึงโรงพยาบาลอาหารต้องอุ่นให้ร้อน ห้ามเย็นชืด แล้วอย่าลืมแม่ไม่ชอบผักชี”
โสภิตมองไปข้างหน้า เบรกแทบไม่ทันเพราะมีรถกระบะของบุญมีที่ขับตามมาขับปาดหน้าแล้วหยุดขวางถนน
บุญมี ดุ่ย และไทร รีบลงจากรถพุ่งเข้าหาโสภิต โสภิตจะกดล็อกประตู บุญมีกระชากประตูรถโสภิตเปิด แล้วรีบโปะยาสลบโสภิต โสภิตปัดป้องดิ้นรน ดุ่ยเปิดประตูรถอีกด้านจับแขนโสภิต
บุญมีโปะยาสลบสำเร็จ ดุ่ยเอากระเป๋าสะพายคล้องหัวโสภิต
โสภิตหมดสติ ดุ่ยรีบเอาถุงผ้าคลุมหัวโสภิต รีบอุ้มร่างโสภิตวางท้ายรถกระบะ เอากระสอบข้าวคลุมร่างโสภิต แล้วนั่งประกบ

บุญมีรีบขึ้นรถ ขับออกไป

ฟากจีรณะขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนอันร่มรื่น เขาขี่เข้าโค้ง 2-3 มุม แล้วเห็นรถกระบะข้างหน้าที่มีบุญมีเป็นคนขับ ดุ่ย กะไทร นั่งขรึมอยู่ในรถ เปิดหมวกไหมพรมไว้ที่หน้าผาก

จังหวะนั้นโสภิตที่สลบได้สติ ปัดกระสอบไปมา อาการงัวเงีย พยายามลุกขึ้น ปัดกระสอบข้าวปลิวไป ดุ่ย ไทร รีบช่วยกันจับ
จีรณะตกใจ ดุ่ย กะไทร รีบดึงไอ้โม่งพรางหน้า โสภิตดิ้นรนเต็มที่ บุญมีขับรถอยู่ตกใจ หันไปมองด้านข้าง จีรณะเร่งเครื่องขึ้นมาเปิดกระจกหมวกกันน็อก แต่มองเห็นบุญมีไม่ชัดเพราะกระจกติดฟิล์มมืด
จีรณะตะโกนขึ้น “หยุดรถ”
บุญมีเห็นหน้าจีรณะก็พึมพำ “คุณจี”
บุญมีตกใจพอกันเร่งเครื่องหนีอย่างเร็ว เลี้ยวโค้งหายไป บุญมีอาศัยจังหวะที่จีรณะยังตามไม่ทันรีบเบรกรถ เหลียวไปข้างหลัง
“ทิ้งมันลงรถ เร็ว”
โสภิตเลิ่กลั่ก ดุ่ยงง “อ้าวทำไมละลูกพี่”
“บอกให้ทำก็ทำเถอะน่า”
ดุ่ย ไทร หิ้วปีกโสภิต โยนลงจากรถ โสแน่นิ่งอยู่กลางถนน จากนั้นบุญมีเร่งเครื่องหนีไป จีรณะบิดคันเร่งผ่านโค้งมาอย่างเร็วแรงจึงไม่ทันได้เห็นโสภิต
โสภิตพยุงตัวนั่ง รถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้าหา โสภิตกรีดร้องคิดว่าต้องโดนชนแน่ ช็อกเป็นลมไปก่อน
จีรณะเบรกรถทันแบบเฉียดฉิว รีบวิ่งไปหาโสภิต ผ้ายังคลุมหน้าอยู่ กระดุมเสื้อหลุดจากรังดุม เหลือตรงลิ้นปี่เม็ดเดียว

ครู่ต่อมาจีรณะยืนพูดโทรศัพท์มือถือ เหลียวมองซ้าย ขวา เห็นโสภิต นอนหนุนเป้เสื้อผ้าของเขาอยู่
สักพักจีรณะเดินเข้ามาหาโสภิต คุกเข่าข้างๆ มองหน้า เอามือแตะแก้มโสภิต ตีเบาๆ เรียกสติ
“คุณ คุณครับ คุณๆ”
จีรณะพบว่ากระดุมเสื้อหลุด จึงกลัดกระดุมเสื้อให้ จากข้างล่างขึ้นมา พอจะกลัดเม็ดบนตรงหน้าอก โสภิตลืมตาตื่นเอี้ยวตัวเตะจีรณะกระเด็นไป
จีรณะเจ็บบ่นกับตัวเอง “อูย ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”
โสภิตวิ่งหนีไปสองสามก้าวแล้วเซ มึนหัว เอามือแตะขมับเข่าทรุด
จีรณะลุกเดินมาหาช้าๆ แกล้งพูดอำ “ถนนเส้นนี้นานๆ จะมีรถผ่านมาสักคัน คุณจะไปไหนได้”
โสภิตพูดดีๆ ขณะที่จีรณะยืนค้ำหัวอยู่ “ถ้าต้องการเงิน ก็เอาไปเลย แต่ขอร้องนะอย่าทำร้ายฉัน” พลางโสภิตยื่นกระเป๋าสะพายให้
“ผมไม่อยากได้เงิน”
โสภิตเข้าใจผิดว่าเขาอยากได้ตัวหล่อน
“คุณใจเย็นๆ นะคะ อย่าทำอะไรวู่วาม ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้วางแผนล่วงหน้า แต่ทำเพราะอาจจะมีอารมณ์ขึ้นมาตามธรรมชาติของผู้ชาย ฉันเข้าใจ” โสภิตพยายามหว่านล้อม
จีรณะฟังอย่างสนใจตีหน้าขรึม “แล้วไง”
“ฉันอยากให้คุณคิดให้รอบคอบ คุณอาจมีความสุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่หลังจากนั้นคุณต้องเจอกับความลำบากอีกมากมาย”
จีรณะอยากรู้ต่อว่าโสภิตจะโน้มน้าวผู้ร้ายยังไง
“เช่นอะไรบ้างคุณ” เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ ตั้งใจฟัง
“ก็เช่นโดนตามล่าจากตำรวจ ต้องคอยหนีหัวซุกหัวซุน บ้านช่องไม่ได้อยู่ กว่าคดีจะหมดอายุความก็ไม่ต่ำกว่าสิบปี ตอนนั้นคุณจะทำงานอะไร ไปอยู่ที่ไหน แล้วถ้าหนีไม่รอด คุณก็ต้องติดคุก”
จีรณะแกล้งตีหน้าตาย “แค่นี้เองหรือ”
โสภิตตกใจที่จีรณะไม่กลัว เลยโพล่งออกไป “สุดท้ายคุณอาจติดโรคจากฉัน”
คราวนี้จีรณะตกใจ “โรค”
โสภิตจ้องปืนที่เหน็บเอวจีรณะ ก่อนบอก “ฉันเป็นเอดส์”
จีรณะเกือบขำออกมา แต่กลั้นไว้ โสภิตคิดว่าจีรณะไม่เชื่อ
“ฉันพูดจริงนะ เพิ่งตรวจพบเลือดบวกวันนี้เอง ถ้าคุณอยากเห็นหลักฐาน ก็ลองเปิดกระเป๋าดูก็ได้”
โสภิตส่งให้อีกครั้ง จีรณะอมยิ้มรับกระเป๋าไปก้มหน้าแกล้งเปิด โสภิตรีบชักปืนของจีรณะ ลุกยืนจ่อขู่
“ยกมือขึ้น”
จีรณะลุกยืนถอยห่าง ยกมือขึ้นแต่โดยดี
“ถอยไป ไม่งั้นฉันยิง”
โสภิตเงอะงะ มือสั่น จีรณะอดขำไม่ได้ “คุณยังไม่ได้ขึ้นนก”
“ฉันรู้หรอกน่า ฉันเคยเรียน”
โสภิตรีบขึ้นนก จีรณะมองนิ้วโสภิตยังไม่ได้อยู่ในที่ลั่นไก
“นิ้วคุณยังไม่สอดเข้าไปในไกปืน แล้วจะยิงได้ยังไงกัน”
โสภิตหน้าตาตื่นทำตาม ส่ายปากกระบอกไปมาเพราะควบคุมมือที่สั่นไม่ได้
จีรณะเซ็งยื่นมือออกไป “มา ผมช่วยสอนดีกว่า”
โสภิตร้องลั่น “อ๊าย...อย่าเข้ามานะ ไอ้คนชั่ว”
โสภิตหลับตาปี๋จะยิงมั่ว แต่จีรณะไวกว่าใช้มือหนึ่งจับข้อมือโสภิต แล้วยกปืนชี้ขึ้นฟ้าช้าๆ อีกมือจับเอวโสภิตหมุนให้หันหลังมาพิงอกตัวเอง อยู่ในลักษณะจีรณะโอบเอวโสภิตจากด้านหลัง อีกมือจับมือโสภิตที่มีปืนชี้ขึ้นฟ้าเสียงปืนดัง เปรี้ยง!
โสภิตช็อกปืนอยู่ในมือจีรณะ “ปืนมันใช้ไม่ง่ายเหมือนทาลิปสติกนะคุณ ถ้าใช้ไม่เป็น อย่าริลองจะดีกว่า”
เสียงไซเรนดัง รถตำรวจวิ่งมาจอด จีรณะลดปืนลงคลายมือจากเอว โสภิตสะบัดหนี วิ่งไปหาจ่าทองกับดาบม้วน
“ช่วยด้วยค่ะ ไอ้หมอนี่จะข่มขืนฉัน”

โสภิตชี้ไปทางจีรณะอย่างมั่นใจ

ทุกคนอยู่ตรงหน้าโต๊ะสิบเวร บนโรงพักอีกไม่นานต่อมา ดาบม้วนซักโสภิต

“คุณแน่ใจหรือว่าผู้ชายคนนี้เป็นหนึ่งในพวกโจรเรียกค่าไถ่หนำซ้ำยังคิดกระทำมิดีมิร้ายกับคุณ”
โสภิตมองไปยังจีรณะที่นั่งห่างไปสองเมตร “ใช่ค่ะ คนนี้แหละไม่ผิดตัว”
จ่าทองที่ยืนอยู่มองจีรณะ ข้างๆ มีน้าน้าบัวหอม หญิงวัยกลางคนอาชีพขายกาแฟโบราณหิ้วถุงใส่แก้วกาแฟกระดาษมาสองแก้ว สายพิณ สาวแก่ ครูเก่าอาชีพขายของชำ วางถุงใส่น้ำมันพืชกับน้ำตาลถุงละ 1 กิโลบนโต๊ะจ่าทอง ตามองที่จีรณะ ส่วนอีกมุมชาวบ้าน 5 คน ที่นั่งรอ จ้องเขม็งไปที่จีรณะเป็นตาเดียว ชายหนุ่มหน้านิ่ง
โสภิตเชิดหน้าใส่จีรณะ “เค้ากับพวกโปะยาสลบ ฉุดฉันขึ้นรถแล้วก็พยายามจะข่มขืนฉัน”
ชาวบ้านทุกคนอึ้ง บัวหอมอุทานลั่น “ข่มขืน!”
ตามด้วยสายพิณ “คุณจีเนี่ยนะ”
“ใช่ นายคนนี้แหละ ฉันขอแจ้งความเอาผิดให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ไปทำร้ายผู้หญิงคนอื่นได้อีก”
ทุกคนมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกัน
โสภิตงง ลุกยืน “ขำอะไรกันคะ”
ดาบม้วนลุกยืน เสียงดังใส่ไม่เกรงใจ
“ขำที่มันเป็นไปไม่ได้ คุณจีที่คุณกล่าวหาอยู่นี่ เป็นลูกของครูเจือ ครูเจือเป็นที่เคารพนับถือของคนที่นี่ ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ รวมถึงผมด้วย”
จีรณะนั่งกอดอกขรึม
“ผมก็ลูกศิษย์ครูเจือ” จ่าทองว่า
บัวหอมบอก “ลูกๆ เฮาก็ลูกศิษย์ครูเจือ”
สายพิณเสริม “เฮาก็ลูกน้องเก่าครูเจือ”
ชาวบ้าน 1 บอก “ฉันด้วย”
ชาวบ้าน 2 บอกอีก “ฉันก็เหมือนกัน”
ชาวบ้านรับกันเป็นทอดๆ โสภิตใจเย็นสู้
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนนี่คะ พ่อก็ส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก”
จ่าทองเดินเข้ามา “คุณจี เค้าทำงานอนุรักษ์ป่า ทำวิจัยมีผลงานมากมาย จนได้รางวัลบุคคลตัวอย่างจากท่านผู้ว่า”
“แถมยังมีจิตอาสา ไปช่วยสอนหนังสือให้เด็กชาวเขา ที่โรงเรียนตชด. บนดอยอีก คุณจำคนผิดแล้วละ” ดาบม้วนบอก
โสภิตไม่ยอมแพ้ “แต่เขาพูดว่าไม่ต้องการเงิน แล้วยังคิดจะถอดเสื้อฉันด้วย”
จีรณะหันมา “ผมขอย้ำว่าคุณจินตนาการไปเองทั้งนั้น”
ดาบม้วนเสริม “ใช่ คุณจีเป็นพลเมืองดีช่วยโทร.แจ้งตำรวจด้วยซ้ำ”
สายพิณมาชี้หน้าโสภิต “ปรักปรำคนดีๆ แบบนี้ต้องฟ้องหมิ่นประมาท”
บัวหอมเข้ามาด่ากราด “มันน้อยไป ดูตามรูปการแล้ว มันต้องเอาโต้ด” บัวหอมหมายถึงเอาโทษ “มากกว่านี้ เธอต้องสร้างเรื่องเอาเองเพื่อเรียกเงินคุณจีแน่ อ้าย จับเลย เชื่อเมีย”
ชาวบ้านเข้ามารุมว่า “ใช่ๆ” เซ็งแซ่ โสภิตจ๋อย จีรณะลุกยืน
“ไม่ดีกว่าครับ มันเป็นการเข้าใจผิด ผมไม่ถือสา ดาบม้วนครับถ้าหมดเรื่องแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
จ่าทองรีบเข้าไปสมทบ ท่าทีนอบน้อม “ขอโทษนะคุณจีที่ทำให้เสียเวลา ไปครับผมไปส่งหน้าสถานี”
บัวหอมขัด “บ่ต้องๆ น้าเอง เดี๋ยวน้าจะฮื้อกินกาแฟ ไป”
“เฮาไปต้วย บ่ป๊ะกันเมินคิดทึ้ง คิดถึง” สายพิณว่า
โสภิตไม่ยอม “อย่าเพิ่งไป พวกคุณรุมหัวกันเข้าข้างคนผิด ที่แท้ก็รู้จักกันดี”
โสภิตหยิบบัตรประชาชนวางแรงๆ บนโต๊ะหน้าดาบม้วน
“ฉันขอแจ้งความทั้งนายคนนี้ รวมทั้งฟ้องเอาผิดกับดาบและจ่า ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
ดาบม้วนหยิบบัตรมาดู “ตามใจครับ จะเอาอย่างนั้นก็ได้”
แต่แล้วดาบม้วนตาโต เมื่อเห็นนามสกุลโสภิต “อัปสรโสภิต เจริญโภคทรัพย์”
ดาบม้วนลุกพรวดร้องดังลั่น “คุณเป็นอะไรกับแม่เลี้ยงอมรา”
บัวหอม สายพิณ และชาวบ้านตะลึง อุทานพร้อมกัน
“แม่เลี้ยงอมรา!”

เวลานั้นแม่เลี้ยงอมรานอนบนเตียงในโรงพยาบาล มีสายน้ำเกลือ ครอบปากจมูกด้วยถ้วยให้ออกซิเจน ในมือแม่เลี้ยงถือสัญญาเงินกู้เป็นปึก ท่าทางโกรธสุดขีด ดึงทถ้วยครอบสายออกซิเจนออก แผดเสียงดังทั้งที่หอบ
“อะไรนะ หนี้ทั้งหมดเนี่ย ยังตามดอกไม่ได้เลยสักรายหรือ”
แม่เลี้ยงเปิดดูทีละใบ “อย่างนี้มันต้องยึด มีบ้านยึดบ้าน มีที่ยึดที่ ไม่มีทั้งบ้านทั้งที่ก็ยึดข้าวของมันอย่าให้เหลือแม้แต่กางเกงในสักตัว”
ชีพนั่งเก้าอี้ข้างเตียง มีกระเป๋าเอกสารวางบนตัก หลักฐานการกู้ยืมเต็มกระเป๋า มือถือเครื่องคิดเลข กระดาษบันทึกและปากกา ชีพรับคำแข็งขัน
“ครับแม่เลี้ยง”
“รายต่อไป ว่ามา”

อมราครอบถ้วยออกซิเจนกลับเหมือนเดิม ชีพรีบเปิดหลักฐานเงินกู้ปึกต่อไป

อ่านต่อหน้า 2

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ส่วนที่โรงพัก ทุกคนจ้องโสภิตเป็นตาเดียว รอฟังระทึก

“ใช่ แม่เลี้ยงอมราคือแม่ฉันเอง” โสภิตย้ำ
บัวหอม กะสายพิณที่จูงแขนจีรณะมาตรงใกล้ประตูทางลงโรงพัก รีบปล่อยมือถอยห่างออกทันที เหมือนจีรณะเป็นของน่ารังเกียจ
“น้าไปเก็บชามก๋วยเตี๋ยวก่อนดีกว่า”
บัวหอมรีบกลับไปที่โต๊ะจ่าทอง
“เอ่อ พี่ก็ไม่สะดวกไปส่งคุณจีแล้วนะคะ”
สายพิณบอกจากนั้นรีบตามบัวหอมไป ชาวบ้านคนอื่นรีบไปที่โต๊ะแจ้งความก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองโสภิต กลัวโดนจำหน้าได้
จีรณะงุนงงว่าทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด จ่าทองเลิ่กลั่กมองโสภิตที่จ้องตาเขม็ง จ่าทองรีบจับแขนจีรณะไว้
“คุณจียังไปไม่ได้นะครับ คงต้องอยู่ก่อน”
“ทำไมละครับจ่าทอง”
จ่าทองมองหน้าดาบม้วน กระอักกระอ่วนพูดไม่ออกทั้งคู่

ส่วนเหตุการณ์ที่ห้องคนป่วยในโรงพยาบาล ชีพรายงานต่อ
“ผู้ใหญ่พล ใช้คืนทั้งต้น ทั้งดอก ตอนสิ้นเดือนพอดี แสนเจ็ดถ้วน”
อมราตาลอยหลุกหลิก คิดเลข 5 วินาที แล้วดึงที่ให้ออกซิเจนออก
“จะถ้วนได้ยังไง ยืมไปสองปี ใช้คืนตอนสิ้นเดือนที่แล้ว ช้า ออกจากปากจมูกไปสิบเอ็ดวันคิดร้อยละห้าต่อวัน ค่าปรับ”
ชีพจดยิกๆ “เรียบร้อยครับ ผมจะให้คุณยศตรวจดูอีกที”
อมราดึงที่ให้ออกซิจนออกจากปากจมูก
“ช่วงที่ชั้นผ่าตัด มีไอ้พวกถึงเวลาใช้หนี้สิบเจ็ดราย โฉนดขาดจำนองกับเราอีกสี่แปลง อย่าลืมซะล่ะ”
ชีพแง้มเอกสารรายชื่อ “ครับๆกาหัวชื่อเอาไว้แล้วครับ” พลางเอียงหัวเอานิ้วไล่ตามรายชื่อในกระดาษ
“ใส่ดอกจัน แล้วขีดเส้นใต้ไว้เน้นๆ ชัดๆ ด้วย”
ชีพทำตาม อมรามองไปที่ประตู “เอ...ไหนยัยภิตว่าจะมาถึงแล้ว ทำไมมันนานนักล่ะ”
จิตราน้องสาวของจีรณะในชุดพยาบาลเปิดประตูเข้ามา
“ร่างกายพร้อมดีนะคะแม่เลี้ยง เดี๋ยวบุรุษพยาบาลจะมาย้ายแม่เลี้ยงไปห้องผ่าตัดค่ะ คุณหมอที่จะทำบายพาสให้แม่เลี้ยงพร้อมแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวๆ ขอสั่งงาน เคลียร์งานอีกสิบห้านาทีนะหนู”
“ค่ะ แม่เลี้ยง”
เสียงโทรศัพท์ชีพดัง จิตราเดินออกจากเตียงไปที่ประตูแล้วออกไป ชีพรับสาย
“ว่าไง...” ชีพฟัง 5 วินาทีร้อง “เฮ้ย”
ชีพหน้าตื่นกดวางสาย
อมราสงสัย “โวยวายอะไรของแก ชีพ”
“คุณยศกำลังจะยกหนี้ให้ลูกหนี้ครับ”
แม่เลี้ยงดีดตัวลุกพรวดตาโต

ที่สุดจีรณะถูกจ่าทองดันเข้าห้องขัง ล็อคกุญแจจีรณะงงหนัก
“เดี๋ยวจ่า นี่มันอะไร ผมไม่ผิด ทำไมมาจับผม”
จ่าทองเปลี่ยนท่าที “ผู้ร้ายก็พูดแบบนี้ทุกคน”
จีรณะมอง จ่าทอง ดาบม้วน บัวหอม และสายพิณ ทุกคนเปลี่ยนท่าทีหน้ามือเป็นหลังเท้าสิ้น
“ไอ้หมอนั่น มันสมควรติดคุกแล้วละคะ ดูสิ ผู้หญิงตัวน้อยๆบอบบางแบบนี้ มันยังคิดร้ายได้ลงคอ เลวแต๊ๆ” สายพิณว่า
บัวหอมสอพลอตาม “ถ้าน้าฮู้ว่าคุณเป็นลูกสาวแม่เลี้ยง น้ากับชาวบ้านคงรุมตื๊บมันน่วมไปแล้ว” พลางจับมือประจบประแจงโสภิตสุดๆ “โถแม่คุณ คงตกใจขนาด”
ดาบม้วนเอ่ยขึ้นเซ็งๆ “ผมก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าคนเรามันจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้เร็วขนาดนี้” ปรายตามองบัวหอมเมียตัวเอง
จ่าทอง บัวหอม สายพิณจ๋อย
บัวหอมกระซิบถามเบาๆ “หรือแกอยากตายไอ้แก่”
จีรณะเอ่ยขึ้น “จ่า ดาบ ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ทำ”
โสภิตหันไปมองจีรณะ ยิ้มเย้ยอย่างผู้ชนะ แล้วเดินออก ทุกคนตามแหนไปเป็นพรวน
“เดี๋ยวซิ มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
ดาบม้วนหันมามอง ทำท่าชู้ว์ปาก จีรณะงงๆ

ไม่นานต่อมา เห็นหมอเดินนำผู้ช่วยพยาบาลที่เข็นรถมาที่หน้าห้อง โสภิตตามมาติดๆ จิตราหน้าตื่นผลักประตูห้องผู้ป่วยออกมา
“คนไข้หายไปค่ะ แม่เลี้ยงอมราหายไปค่ะ”
หมองง “หายไปได้ยังไง คุณดูแลอยู่ไม่ใช่เหรอ”
โสภิตตกใจ “อะไรนะคะ คุณแม่หาย คุณดูแลคนไข้ภาษาอะไรกันคนทั้งคนจะหายไปเฉยๆได้ยังไงกัน เช็คดูละเอียดแล้วหรือ”
จิตราจ๋อย “ขอโทษจริงๆ ค่ะ เมื่อกี้ก็ยังคุยกันอยู่เลย”
โสภิตฉุน “แล้วจะรออะไร รีบๆไปตามหาคุณแม่กันสิคะ ป่านนี้จะไปหมดสติฟุบอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
“ค่ะๆ”
จิตราหน้าเจื่อนรีบวิ่งไปกับผู้ช่วยพยาบาล

ด้านจีรณะนเดินงุ่นง่านในห้องขัง จ่าทองเข้ามาไขประตู
“ออกมาได้แล้ว คุณจี”

จีรณะมองฉงน ไม่เข้าใจว่าเล่นอะไรกัน

สามคนนั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินข้างโรงพัก จีรณะเครียดมากถามเสียงขุ่น

“ดาบม้วนกับจ่าทองเป็นอะไรไป แค่เห็นนามสกุลแม่เลี้ยงก็ลนลานเอาผมเข้าตะรางซะอย่างนั้น”
จ่าทองบอก “ก็นังแม่เลี้ยงนั่นมันธรรมดาซะที่ไหนระดับเจ้าแม่เชียวนะ”
“เจ้าแม่ เจ้าแม่อะไร” จีรณะฉงน
“เจ้าแม่เงินกู้ คนบ้านเราเป็นหนี้แกทั้งนั้นแหละคุณจีเอ๊ย ยัยแม่เลี้ยงเค้าให้กู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยมหาโหด แต่ไม่มีใครกล้าหือ ดาบม้วนเมาทำปืนหลวงหาย ยังต้องไปกู้เงินแกมาชดใช้หลวงเลย”
ดาบม้วนมองหน้าจ่าทอง“แล้วแกดีกว่าชั้นตรงไหนไอ้ทอง กู้แม่เลี้ยงมาใช้หนี้บอล หมื่นห้าดอกร้อยยี่ต่อเดือน แกใช้เค้าหมดรึยัง”
“เบาซิดาบ พูดอะไรเกรงใจเครื่องแบบมั่ง”
จีรณะแปลกใจ “กฎหมายเค้ากำหนดไม่ให้เกินร้อยละสิบห้าต่อปี ทำไมไม่มีใครแจ้งความ”
จ่าทองหยัน “เฮอะ” พลางมองซ้ายมองขวา “ผู้กำกับยังเป็นหนี้แกเลยคุณจี”
“อย่างนี้มันไม่ถูก ความยุติธรรม ความถูกต้องมันต้องมี ลูกหนี้ก็เป็นคน ไม่ใช่ทาส คนไทยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันทุกคน”
ดาบม้วนเสริม “ยกเว้นคนจน ไม่งั้นภูเขาทั้งลูก เกาะทั้งเกาะ มันจะกลายเป็นรีสอร์ทไปได้ยังไง ของคนรวยทั้งนั้น คนจนมีสิทธิ์ที่ไหน”
จีรณะครุ่นคิด จำได้ลางๆ
“เพราะเราไม่ต่อสู้เพื่อสิทธิของเรามากกว่า ไหน จ่ากับดาบ เล่าเรื่องแม่เลี้ยงให้ผมฟังอย่างละเอียดได้มั้ย ผมไปทำวิจัยซะนาน เลือนๆจำหน้าจำตาไม่ได้แล้ว รู้สึกว่า เค้าไม่ได้มีลูกสาวคนเดียวนี่”
“ใช่ๆ มีสามคน ที่มีเรื่องกับคุณจีเป็นลูกสาวคนเล็ก คนโตเป็นผู้หญิงไปเรียนเมืองนอกได้ข่าวว่าได้ผัวเป็นฝรั่งไปแล้ว คนกลางเป็นผู้ชายชื่อยศ” จ่าทองบอก

ยศที่จ่าทองพูดถึง กำลังจูบแก้มสมทรงที่นั่งตักยศบนโซฟารับแขกในร้านเสริมสวย สมทรงทำปัดป้องผลักไส ยศหันไปหยิบใบสัญญาเงินกู้ยื่นให้สมทรง
“ความรักของพี่มีคุณค่าเหนือกว่าราคาค่าของเงิน รับไปสิจ๊ะสัญญาเงินกู้ของเธอ ฉีกมันทิ้งซะ อย่าให้มันเป็นอุปสรรครักของเรา”
สมทรงดี๊ด๊า จีบนิ้วสองมือเตรียมฉีกสัญญา”
มือแม่เลี้ยงอมราเข้ามาคว้าสัญญาดึงไป ยศ สมทรง ตกใจตาค้าง
แม่เลี้ยงชุดคนไข้ ยืนจังก้าอยู่หน้าชีพที่ถือถุงน้ำเกลือชูเอาไว้
กาบที่โทร.ไปบอกชีพ ยืนหลบหน้าหลบตาอยู่ข้างชีพ “ชั้นให้แกมาเก็บดอก ดันมายกหนี้ให้มัน ดีนะไอ้กาบมันโทร.ไปบอกก่อน”
ยศหน้าดุ ชี้หน้ากาบ “ไอ้ปากหมา”
แม่เลี้ยงตีมือยศกระเด็น ยศจ๋อยก้มหน้าก้มตา
“แกนั่นแหละ ตายศ ผู้หญิงคนไหนให้ท่าเข้าหน่อยเป็นไม่ได้”
อมราเหลือบดูสัญญาในมือ “เธอก็อีกคน จ่ายมาเลยทั้งต้นทั้งดอก นี่เลยมาห้าวันบอกดอกอีกร้อยละสิบ ข้อหายั่วยวนลูกชายชั้น”
สมทรงเชิดหน้า ลุกไปเปิดลิ้นชัก หยิบกระดาษบันทึกข้อความออกมาสะบัดโบก
“สายไปแล้วจ้ะแม่เลี้ยง พี่ยศยกหนี้ให้หนูหมดแล้ว ยืนยันว่ารับเงินไปหมดแล้วด้วย มีลายมือชื่อพี่ยศลงบันทึกประจำวันแล้วก็ถ่ายสำเนาเอาไว้เรียบร้อย”
อมรากระชากกระดาษจากมือสมทรงไปอ่านดู แม่เลี้ยงตาค้าง
“เงิน เงินของชั้น”
ขาดคำแม่เลี้ยงอมราหงายเงิบเป็นลมสิ้นสติ ชีพ กาบ เข้าประคอง

แม่เลี้ยงอมราถูกนำส่งโรงพยาบาลด่วน นอนให้น้ำเกลือ ออกซิเจนบนเตียงพยาบาล ผู้ช่วยฯ ชาย เข็นเตียงมาตามทาง ยศเกาะขอบเตียงตามเร่งรีบ แม่เลี้ยงยกถ้วยให้ออกซิเจนออกจากปากจมูก ด่าหอบๆ
“แกมันลูกล้าง ลูกผลาญ เงินมันหายากแค่ไหนแกรู้มั้ยกว่าชั้นจะเก็บดอกได้แต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็นแกมันไม่เคยลำบากเหมือนชั้น ไม่รู้จักค่าของเงินลูกอย่างแกมันน่าตัดหางปล่อยวัดซะ”
แม่เลี้ยงหอบเหนื่อย พยาบาลบอก “หยุดพูดเถอะค่ะ เดี๋ยวจะช็อก”
“ช็อกก็ดี จะได้ทุ่นค่ายาสลบ เวลาเก็บเงินอย่าชาร์จมามั่วๆ นะ”
โสภิตวิ่งเข้ามาอีกทาง “แม่ แม่คะ”
อมราลุกพรวดเหลียวหาโสภิต “ภิต ยัยภิตลูกแม่ หยุด...หยุดเข็นเตียงเดี๋ยวนี้”
แม่เลี้ยงหอบถี่จับแขนโสภิต
“แม่คะ อย่าเพิ่งพูดอะไร เข้าไปหาหมอก่อนนะคะ”
“พรุ่งนี้เที่ยง ครบกำหนดไถ่ถอนไร่ชาของนายกล่ำ ถ้ามันไม่มีเงินให้ไอ้ชีพยึดไร่มัน...เลย”

ขาดคำอมราหงายหลังหมดสติ พยาบาลผู้ช่วยเข็นรถเข้าห้องผ่าตัดไป

โสภิตหน้าเครียดเข้ามานั่งเก้าอี้ ยศเร่งเดินตามเข้ามานั่งด้วย

“กลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ ปิดเทอมแล้วเหรอ”
จิตราเข้ามาชะงักนิ่งฟัง “ภิตเรียนจบแล้ว” หล่อนเซ็งนิดๆ ที่พี่ชายจำไม่ได้ “ภิตจะกลับมาอยู่บ้าน พี่ยศนั่นแหละไปทำงานหรือไปสร้างวีรกรรมอะไรมาอีกแม่ถึงได้กลับโรงพยาบาลมาในสภาพนี้”
จิตรามองมาพอดี สบตายศจังๆ ยศชะงักเท้า อึกอักกลัวจิตรารู้เรื่องผู้หญิงรีบหันมาเบรกน้องสาว ตั้งใจให้จิตราได้ยิน “ก็ไปทำงานให้แม่นั่นแหละ ลูกหนี้เยอะ ยุ่งจะตายกล่าวหาพี่มั่วๆ”
จิตราเดินเข้ามา “คุณอับสร โสภิตคะ ช่วยไปเซ็นเอกสารด้วยค่ะ”
โสภิตเดินตามจิตราออกไป ยศมองตาม

บ้านของจิตราและจีรณะเป็นบ้านไม้ทรงไทยล้านนา มีกาแลประดับตรงหน้าบ้าน บ้านอยู่ติดกับคลอง ต้นไม้ยืนต้นเขียวขจี บรรยากาศยามเย็นเช่นนี้ร่มรื่นเย็นสบาย
จิตราเดินงอนๆ ช้าๆ ผ่านสวน แมกไม้ร่มรื่น เห็นบ้านเป็นยศเดินหน้ากรุ้มกริ่มตาม จิตราหยุด
“ส่งจิตแค่นี้ก็พอค่ะ”
“งอนอะไรพี่อีกล่ะ พี่ไปทำธุระให้แม่แค่สามวันเอง”
“แต่พี่ยศไม่ได้ติดต่อจิตมาอาทิตย์กว่าแล้ว”
ยศรีบกอดจิตรา “พี่ขอโทษจริงๆ อย่าโกรธพี่เลยนะทีหลังพี่ไม่ทำอีกแล้ว”
จิตราเคลิ้มคำหวานแต่ได้สติรีบผลักยศออกไป แต่ยศไม่ยอมพยายามกอดหอม
“ยอมพี่ไม่ได้หรือ คืนนี้ขอพี่ค้างที่นี่นะจ๊ะ จิตจ๋า”
จิตรารั้งยศไว้ “อย่าดีกว่าค่ะ เราควรทำให้ถูกธรรมเนียมก่อน”
ยศเซ็ง “ทำไมล่ะ เราคบกันมาเกือบปีแล้วนะ จิตไม่ไว้ใจพี่ กลัวพี่ไม่รับผิดชอบหรือ”
จิตรายังไม่ทันตอบ เห็นจีรณะอยู่ใต้ถุนบ้าน กำลังถอดเสื้อแจ๊กเก็ตฟิลด์แขวนที่เก้าอี้ เอาปืนวางบนโต๊ะ จิตราจุ๊ปากใส่ยศพูดเบาๆ
“พี่จีกลับมาบ้าน พี่ยศกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
“ไม่อยากเปิดตัวพี่หรือ ระดับพี่น่ะ ใครๆ ก็อยากนับญาตินะจ๊ะ” หนุ่มจอมเจ้าชู้ว่า
จิตราลังเล “พี่จีไม่รู้ว่าจิตคบกับพี่ เดี๋ยวจิตโดนดุ ให้จิตเกริ่นให้พี่จีรู้ก่อนดีกว่า แล้วค่อยนัดกินข้าวกัน”
ยศรีบเห็นด้วยไม่อยากรู้จักเหมือนกัน ยศจับคาง “จิตรอบคอบเสมอ งั้นพี่กลับไปดูแม่ก่อนนะ”
ยศรีบหอมแก้มจิตรา แล้วรีบเดินไป จิตรามองตามยศไป ลูบแก้มเขินๆ พอจิตราหันกลับเดินเข้าบ้าน จีรณะเดินออกมาเจอพอดี สองคนสบตากัน
“จิตรา ยัยจิต”
“พี่จี”
พี่น้องวิ่งเข้ากอดกัน ได้ยินเสียงรถยศวิ่งไป
“ใครมาส่งจิตหรือ”
จิตราลังเล แต่ไม่กล้าบอก “เออ เพื่อนที่โรงพยาบาลค่ะ ชื่อจ๋า”
จีรณะพยักหน้ายิ้มให้น้องสาว

คืนนั้นจีรณะก้มกราบพระเสร็จ หันมาอีกมุมเป็นรูปครูเจือติดบั้งชั้นโทกับที่เก็บกระดูก มีหมวกกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ วางบนตั่งสูงหนึ่งฟุต ชายหนุ่มก้มไหว้รูปพ่อ จิตรานั่งข้างๆ
จีรณะหันมาหาจิตรา “ช่วงปิดเทอมนี้ พี่จะกลับมาอยู่บ้าน ต้องทำงานวิจัยเรื่องไม้พะยูงให้บริษัทเอกชน เค้าให้ทุนกับสมัชชารักษาป่าที่พี่เป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้อยู่”
“ใครคงสงสัยนะ ว่าพี่จีจบวนศาสตร์ได้เกียรตินิยมมา ทำไมไม่ไปทำงานในบริษัทไม่ก็เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย คงจะได้เงินเดือนดีกว่าทำวิจัยหลายเท่า”
จีรณะยิ้มบางๆ แล้วมองรูปครูเจือ หวนนึกถึงความหลัง

วันนั้นในอดีต ครูเจือในเครื่องแบบข้าราชการครู มีเด็กชายจีรณะตอนอายุ 10 ขวบนั่งข้างครูเจือติดประตูรถสองแถวด้านซ้ายตรงกลางเป็นป้าแก่ๆ ลุงคนขับ หันมายิ้มให้ครูเจือกับจีรณะ
เห็นนักเรียนเต็มหลังรถสองแถว
รถเข้าโค้ง เด็กแว้นขี่รถมอเตอร์ไซค์แข่งกันมาสองคัน ล้ำเส้นแบ่งถนนพุ่งเข้าหารถสองแถว
สีหน้าครูเจือ จีรณะ ป้าแก่ ลุงคนขับ ตกใจสุดขีด ลุงคนขับหักพวงมาลัยหลบเสียงเบรกดังเอี๊ยด รถเด็กแว้นเฉียดหน้ารถ ดังโครม ภาพทุกอย่างดับมืดลง
รถสองแถวคว่ำตะแคงซ้าย ควันเริ่มกระจาย ฝุ่นจางๆ เด็กนักเรียนบาดเจ็บครึ่งรถ หัวแตก เลือดเลอะเสื้อ คลานบ้าง ประคองกันบ้าง ออกจากตัวรถ
ครูเจือ ประคองจีรณะ รีบเดินขาเจ็บกะเพลก มาท้ายรถ กับ ลุงคนขับที่เลือดกลบหน้า ครูเจือประคองจีไปอยู่กับกลุ่มเด็กนักเรียนห่างจากท้ายรถสิบเมตร เปลวไฟเริ่มลุกตรงระหว่างหัวรถกับแถวที่นั่ง
ครูเจือกับลุงคนขับวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กบาดเจ็บออกมาชุลมุนวุ่นวาย ไฟลามมาทางท้ายรถ“นักเรียนๆ ลุงช่วยดูหน่อยเด็กออกมาครบรึยัง”
ครูเจือ ลุงคนขับ ชะเง้อชะแง้ มองหาเด็ก ฝ่าเปลวไฟ เสียงเด็กผู้หญิงดังมา
“ครูขาๆ ช่วยหนูด้วย ร้อนๆ”
ครูเจือตกใจ รีบวิ่งเข้าไป ครูเจืออุ้มเด็กออกมาเหลืออีกสามเมตรจะพ้นรถ เท้าครูเจือตกไปในรูลึกครึ่งแข้งระหว่างเบาะข้างรถที่ตะแคงข้างกับทางระบายน้ำข้างถนน ครูเจือพยายามดึงขาออกไม่สำเร็จ เด็กร้องไห้ ลุงคนขับพุ่งเข้ามา
ลุงคนขับเร่ง “เร็วครู ถังน้ำมันจะระเบิดแล้ว”
ครูเจือสั่ง “รับเด็กไป พาเด็กๆ หลบไปเร็ว”
ครูเจือส่งเด็กให้คนขับ จีรณะโผล่เข้ามา เลือดไหลจากหัวไปเป็นทาง ไฟโหมแรงขึ้น ครูเจือบอกลูกชาย
“จี รีบหนีไปลูก รถจะระเบิดแล้ว ไปเร็วลูกรีบไป”
คนขับอุ้มเด็ก รีบจับข้อมือจีรณะดึงไป จีรณะขืนตัวจะไปหาครูเจือ ครูเอื้อมมือลูบหัวจีรณะ ลูบแก้ม มองสบตา “เป็นคนดีนะลูก”
ครูเจือหันไปสบตาคนขับ พร้อมกับผลักจีรณะกระเด็นไป

คนขับจับข้อมือฉุดพาจีรณะพุ่งออกจากรถสุดฝีเท้า รถระเบิดบึ้มดังสนั่นหวั่นไหว

จีรณะดึงความคิดตัวเองกลับมา มองรูปครูเจือ ยิ้มอย่างภูมิใจ แล้วหันมามองจิตรา

“พ่อของเราเป็นครู เงินเดือนนิดเดียวก็จริง แต่พ่อทำเพื่อคนอื่นได้ตั้งมากมาย ทำมาตลอดชีวิตของพ่อ พี่จะเดินตามรอยของพ่อ”
จิตรายิ้มเศร้า “แต่จิตคงทำไม่ได้อย่างพ่อกับพี่จีหรอกจ้ะ”
“ใครบอก อาชีพของจิตนั่นแหละ ช่วยคนได้มหาศาลกว่าพี่เสียอีก พ่อคงภูมิใจในตัวเธอมาก” เขามองรูปพ่อยิ้มถาม “ใช่มั้ยครับพ่อ”
จิตตรายิ้มกับรูปพ่อ จีรณะโอบไหล่น้องสาว

ขณะเดียวกันที่โถงกลางในคุ้มอมรา เอื้องนั่งซับน้ำตาบนพื้น พวงนั่งเชิดบนเก้าอี้ บนพื้นมีโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ พัดลม ตู้เย็นวาง อยู่ เป็นของที่อยู่ในสภาพใหม่
“จะไห้ไปยะหยัง ได้มาอยู่บ้าน อยู่คุ้มใหญ่โต มีของกินดีๆ บ่ดีใจก๊ะ” พวงว่า
เอื้องส่ายหน้า “เฮาอยากปิ๊กบ้าน พ่อแม่บ่มีเงินใช้หนี้ แม่เลี้ยงยะหยังบังคับหนูฮื้อมาทำงานใช้หนี้ด้วย ใจฮ้าย”
“อู้หยังบ่ฮู้จักคิด เฮาเป็นลูกต้องกตัญญูฮู้คุณพ่อแม่สิ หรือว่าอยากให้พ่อกับแม่บ่มีที่ซุกหัวนอน ถูกยึดบ้านยึดไร่ยึดนา”
โสภิตเดินลากกระเป๋าเดินทางมีล้อใบใหญ่เข้ามาพอดี พวงเห็นรีบลุกเข้าไปหา
“ป้าพวง”
โสภิตรีบไหว้ พวงเข้าไปกอด “คุณภิต คุณภิตปิ๊กมาแล้วเหรอเจ้า พวงคิดถึงคุณภิตจ้าดนัก”
โสภิตมองข้าวของบนพื้นสบตากับเอื้อง พวงบอก
“ไหว้คุณภิตซิ เปิ้นเป็นลูกสาวคนเล็กของแม่เลี้ยง”
เอื้องยกมือไหว้โสภิต “เด็กเอื้อง เอ้อ...เพิ่งเข้ามายะงานที่นี่เจ้า”
เอื้องรีบเข้าไปอ้อนวอนโสภิต “ปี้สาวคนสวยใจดี๊ดี ช่วยเอื้องด้วยนะเจ้า เอื้องบ่อยากเป็นคนใช้ หื้อเอื้องเมีย” เอื้องหมายถึงกลับ “บ้านเถอะ เอื้องจะไปยะงานหาเงินมา ใช้แม่เลี้ยงเน้อ”
“นี่แก ปล่อยนะ ตัวไปจับไม้จับมือคุณภิตได้จะใด” พวงดุใหญ่
“ไม่เป็นไร เอื้องเป็นหนี้เท่าไหร่”
“แม่อู้ว่ารวมดอกเป็นสองแสนเจ้า” เอื้องบอก
“แรงงานขั้นต่ำ ตอนนี้วันละสามร้อย หักค่ากินค่าอยู่ เหลือวันละห้าสิบบาทอย่างมาก ต้องผ่อนไม่ต่ำกว่าสิบปีรวมดอกเข้าไปอีก ใช้ยังไงก็ไม่หมดหรอก”
เอื้องนับทั้งมือทั้งเท้ายังคิดไม่ทัน “มาทำงานที่นี่ดีแล้วอย่างน้อยก็กินอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวช่วยเอากระเป๋าฉันไปไว้บนห้องด้วยนะ”
โสภิตเดินขึ้นห้องไปเลย
“ป้า ใช้หนี้วันละห้าสิบบาทนี่กว่าจะใช้หมดสองแสนเป็นสิบปีเลยเหรอ คิดจะใดอ่ะ” เอื้องงงๆอยู่อย่างนั้น

“ถามไผบ่ถาม เชื่อคุณภิตแล้วกันเรื่องคิดเงินคิดทองเธอเก่งที่สุด” พวงบอก

เช้าวันต่อมา จีรณะขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้านบุญมี ลงจากรถเมียงมองไปมายิ้มน้อยๆ
จีรณะเดินไปแล้วชะงักเหลียวมอง มีกิ่งไม้ถูกสุมๆ บังรถกระบะเอาไว้ จีรณะเข้าไปเมียงมอง ดึงกิ่งไม้ใบหญ้าออก หน้าเครียดจำรถกระบะได้ ภาพตอนเจอกันผุดขึ้นแว้บๆ
เสียงทะลายมะพร้าวถูกโยนบนพื้นดิน จีรณะหันไป บุญมีโยนมีดพร้าวลงบนทะลายมะพร้าว
หันมาสบตากันนิ่ง บุญมีหันกลับวิ่งหนี จีรณะวิ่งตาม
“เดี๋ยว น้ามี..”
จีรณะวิ่งไปทัน จับแขนบุญมีไว้ บุญมีหันกลับต่อย จีรณะหลบ บุญมีต่อยอีกหมัด จีรณะก้มพุ่งรวบตัวบุญมี ล้มลงกับพื้น บุญมีดิ้นไปมา จีรณะขึ้นคร่อม เอาเข่ากดแขนบุญมีเอาไว้
“ปล่อย ปล่อยน้าไอ้จี”
“ผมปล่อยน้ามีอยู่แล้ว แต่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
สองคนสบตากัน หอบเหนื่อยทั้งคู่

จีรณะกับบุญมี อยู่ตรงชานบ้าน
“น้ามีเอาพวกไปฉุดลูกสาวแม่เลี้ยงมาเพื่อล้างหนี้อย่างนี้ มัน...” จีรณะยืนพิงเสาบ้าน “ไม่ถูกนะครับ ผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งศีลธรรมด้วย เราไปยืม” บุญมีนั่งกอดเข่าหน้าเครียดจัด “เงินเค้ามาก็ควรจะใช้หนี้เค้า”
“แล้วจะให้น้าทำยังไง น้าไปกู้ยืมมันสองหมื่นกว่าๆ ซื้อเครื่องปั๊มน้ำเข้านาอยู่ๆมรสุมเข้า น้ำท่วมดินจากเขาถล่มนาล่ม ผิดนัดชำระหนี้ไปสองเดือน มันเอาดอกเบี้ยทบเงินต้นบ้าบออะไรก็ไม่รู้ หนี้กลายเป็นเกือบแสน”
“ทำไมไม่แจ้งความล่ะครับ”
“จะไปสู้ความกับมันได้ยังไง เราอยากได้เงินก็เซ็นชื่อไป มันไปเขียนสัญญาว่ายังไงก็ไม่รู้ ขึ้นศาลก็แพ้มันทุกราย พวกมันมาขู่จะยึดรถ ยึดบ้านยึดนา เอ็งจะให้น้ายอมมันเหรอ”

บุญมีสะอื้นในลำคอ แค้นใจความจน จีรณะหน้าเครียด

อ่านต่อหน้า 3

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)

อีกฟากหนึ่ง เส่ง และกาบ เดินนำ โสภิตกับชีพมาห่างๆ ชีพสะพายกระเป๋าถือสมุดบัญชีเล่มเล็กติดตัวตลอด พวกพ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้านในตลาดสด เห็น เส่งกะกาบ ต่างหลบฉาก หลบหน้าหลบตา

โสภิตพยายามยิ้มให้ชาวบ้าน จนเห็นผิดสังเกตจึงกระซิบถามชีพ
“ทำไมชาวบ้านร้านตลาดเค้ามองเราแปลกๆนายชีพ”
“ไม่แปลกหรอกครับ ตอนไปขอยืมเงินก็ทำหน้าทำตาน่าสงสาร พอได้เงินไปแล้วเห็นเราทำอย่างกับเห็นผี”
ข้าววิ่งถือกระจาดก้นลึกใส่มะพร้าวเผา ข้าวหลาม ข้าวต้มมัด หนีกาบ กะ เส่ง ที่วิ่งไล่สวนกลับมาอีกทางของแผงตลาด ชาวบ้านหลบกันแตกตื่น เส่งเตะขาข้าวล้มข้าวของกระจาย กาบตบหัวข้าว
“ถ้าไม่จ่ายเอาของมาทั้งหมด”
กาบเก็บข้าวของใส่กระจาด ข้าวเข้ายื้อย่างชุลมุน
โสภิตตะโกนขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้ นายกาบ นายเส่ง”
กาบกะเส่ง ชะงัก แต่ยังจับข้าวเอาไว้ โสภิตหน้าเสียหันมาหาชีพ ทั้งสงสัย ทั้งโมโห
“ทำไมต้องทำขนาดนี้”
ชีพยิ้มกวนๆ “ก็แค่สั่งสอนครับ ยายของไอ้เด็กนี่เป็นผีพนัน ติดเหล้าด้วยพอไม่มีก็มากู้เงินแม่เลี้ยง”
ข้าวโต้ “ยายไม่สบายต่างหากไม่ได้ติดเหล้า ติดพนัน”
“อย่าไปฟังมันคุณภิต ยายมันหลบหน้าหนีหนี้ ให้หลานมาพูดขอความเห็นใจ ให้เราสงสาร ทำอย่างนี้เป็นประจำ” ชีพบอก
โสภิตสั่ง “ปล่อยเด็กคนนี้ไปก่อนก็แล้วกัน สัญญาเงินกู้เป็นยังไงชั้นจะพิจารณาดูอีกที”
กาบคว้าถุงพลาสติกใส่เงินในกระเป๋าเสื้อเด็กออกมา
“ตามกฎของแม่เลี้ยง เงินต้นไม่ใช้ ดอกเบี้ยไม่ส่ง ต้องตัดดอกรายวัน”
เด็กแย่งเงินกับกาบไปมา เส่งช่วยจับเด็ก เด็กกัดมือกาบที่ถือถุงเงิน กาบร้องปล่อยถุงเงินให้เด็ก มือจีรณะเข้ามาจับข้อมือกาบ เส่งพุ่งเข้าต่อยจีรณะกระเด็นไปที่แผงขายของ เส่งเข้าซ้ำจีรณะศอกกลับ เส่งโงนเงน
จีรณะชกหมัดตรง เส่งทรุดไปกอดกับกาบ ชีพขยับจะเข้าหา เด็กเก็บของไปยืนหลบหลังจีรณะ
“นักเลงจริง เค้าไม่รุมเด็กกันหรอก หรือตอนอยู่บ้านพวกแกชอบกระทืบลูกหลานในบ้านเป็นงานอดิเรก”
โสภิตจำได้ “นาย”
ชีพชักปืน “มึงไม่เกี่ยวถอยไป ไม่งั้นกูยิง”
จีรณะสบตาชีพนิ่งๆ เดินเข้าหาชีพช้าๆ จนตัวชนกับปืน
“ชั้นเชื่อในกฎหมายไทย ใครฆ่าคนตายต้องถูกประหารชีวิตหรือไม่ก็ติดคุกตลอดชีวิต โดยเฉพาะกลางตลาด พยานเพียบ”
โสภิตหันมา “เก็บปืนก่อนชีพ”
ชีพจำเป็นต้องเหน็บปืนกลับมองหน้าจีรณะ
โสภิตบอกต่อ “ตอนแรกชั้นก็เชื่อกฎหมาย แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว เพราะถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์คุณควรจะอยู่ในคุก”
จีรณะหันมาทางโสภิต “ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ตำรวจไม่มีพยานหลักฐานอะไรที่จะเอาผิดผมได้ คุณกับแม่คุณต่างหากที่ต้องถูกดำเนินคดี”
โสภิตโมโห “ฉันกับแม่ทำผิดอะไรไม่ทราบ”

สองคนอยู่ตรงโต๊ะสนามในคุ้มอมรา
“แม่เลี้ยงคิดดอกเบี้ยเงินกู้กับชาวบ้านแบบนี้มันเกินไป”
จีรณะส่งเอกสารสิบกว่าแผ่นวางตรงหน้าโสภิต หล่อนทำหน้าสงสัย หยิบสัญญามาดูผ่านๆสองสามใบ โสภิตวางสัญญาทั้งหมดตรงหน้าจีรณะ ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดเล็กๆ
จีรณะยิ้มน้อยๆ อย่างมีชัย
“คุณแม่คิดเงินผิดจริงๆ ด้วย นอกจากต้องหักดอกเบี้ยล่วงหน้าแล้ว ต้องคิดค่าจัดทำเอกสารอีกรายละสี่พัน ที่แม่ไม่บวกเข้า”
จีรณะหน้าเสีย โมโหไปด้วย “ต้องถือว่าเป็นบุญแล้ว”
จีรณะเก็บเอกสารเก็บใส่ซอง “ผมจะแจ้งความแม่เลี้ยง ข้อหาฉ้อโกง หลอกลวงชาวบ้านให้เซ็นชื่อรับหนี้เกินความจริงที่กู้ยืมกัน”
“ไม่จริง ใครจะทำอย่างนั้นได้ คุณอย่ามากล่าวหาแม่ชั้นลอยๆทุกอย่างเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ในสัญญาก็ระบุอยู่ชัดๆ”
“แม่เลี้ยงฉ้อฉล ทำสัญญาสองฉบับ ฉบับหนึ่งซ่อนเอาไว้ อีกฉบับเอาไว้บังคับลูกหนี้ ใจดำ ทำนาบนหลังคน”
“คุณพูดเกินไป คุณแม่ช่วยเหลือชาวบ้านแท้ๆถ้าพวกเค้าขยันประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เล่นหวย กินเหล้าเมายา ก็คงไม่เป็นหนี้กันหรอก”
“คุณมันเกิดบนกองเงิน กองทอง ไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนาเค้าปากกัดตีนถีบกันแค่ไหน”
“เรื่องความเข้าใจเห็นใจมันก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่คุณมาพูดกับฉันเรื่องกฎหมายไม่ใช่เหรอ”
“ได้ รอให้แม่คุณออกจากโรงพยาบาล แล้วเรามาสู้กัน เรื่องนี้ไม่จบแน่”
จีรณะลุกหยิบซองเอกสารเดินออกไป โสภิตมองตามสีหน้าครุ่นคิด
พวกเอื้องแอบดู พวงสงสัย “ไผกันเจ้า มาด่าแม่เลี้ยงฉอดๆ”
“เอื้องว่าเปิ้นอู้ถูกแล้ว แม่เลี้ยงสมควรถูกจับติดคุก”
พวงโมโห “นังเอื้อง”

ที่โรงพยาบาลในห้องคนป่วยเวลานั้น อมราดูดน้ำแล้วสำลัก ไอ เจ็บแผล เอามือแตะอกเบาๆ จิตราส่งแก้วน้ำ ประคองหลอดป้อนอมรา
“ค่อยๆจิบนะคะ”
เสร็จแล้วซับปากให้ จิตราจะหันไปวางแก้ว อมราแตะมือจิตรา จิตราชะงักหันกลับไปหาอมรา
“คะ”
“หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
“จิตราค่ะ”
“หนูนี่น่ารักดีนะ เอาใจใส่คนไข้ หน้าตาผิวพรรณก็ดี มีแฟนรึยังจ๊ะ”
จิตราอ้ำอึ้ง อ้อมแอ้ม “เอ้อ...คือมี มีแล้วค่ะ”
“ดูสิ...ถามแค่นี้อาย ไม่มีจริตมารยา ผู้ชายคนนั้นช่างโชคดีจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์จิตราดัง จิตราหยิบมาดู เป็นรูปยศที่จอ
จิตราสะดุ้ง “ขอ...ขอโทษนะคะ แม่เลี้ยง”
จิตรารีบออกห้องไป สวนกับโสภิตหิ้วกล่องใส่อาหารเข้ามาวางที่โต๊ะ โสภิตหน้าเครียด ครุ่นคิด อมรามองสังเกต
“เป็นอะไรไปภิต หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”
โสภิตเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งข้างเตียงอมรา “แม่คะที่เราออกเงินกู้มีการให้ลูกหนี้เซ็นชื่อรับสภาพหนี้เกินความจริงบ้างรึเปล่าคะ”
อมราอึ้ง โบกมือปฏิเสธ “ไม่มี ไม่จริง ใครบอกภิตอย่างนั้นไปฟังใครมา”
“แล้วเรื่องดอกเบี้ย เราคิดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มันผิดกฎหมายนะคะ”
“โถลูก ก็เกินกันบ้างนิดๆหน่อยๆเราไม่ใช่สถาบันการเงินนี่เราไม่เช็คเครดิตบูโร ลูกหนี้ไม่ต้องไปหาคนค้ำประกันอยากได้เงินก็ได้ทันที เราเสี่ยงกับการชักดาบสูงมากนะลูกถ้าชาวบ้านไม่พอใจเงื่อนไขของเราก็ไปหากู้ที่อื่น เราไม่ได้บังคับ จริงมั้ยจ๊ะ”
โสภิตนิ่งคิดเห็นด้วย “ก็จริงนะคะ”
“ใคร ใครมันมาพูดให้ภิตเขว หรือมีลูกหนี้มาข่มขู่ จะได้ให้ไอ้ชีพไปจัดการ”
“ไม่มีค่ะแม่ เดี๋ยวภิตไปล้างมือก่อนนะคะ จะได้จัดอาหารให้แม่”
โสภิตวางกล่องอาหาร เดินไปเข้าห้องน้ำ
ชีพเปิดประตูเข้ามา เดินกระซิบใกล้ๆ อมรา แม่เลี้ยงโกรธ
“มันกล้าดียังไง มันเป็นใคร”
“เป็นพวกเอ็นจีโอ อยู่กับพวกสมัชชารักษาป่า เพิ่งลงจากดอยมาครับ แม่เลี้ยง”
อมรากับชีพพูดเสียงเบาลง “พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไปจัดการซะให้เรียบร้อย”
“เอาถึงตายหรือพิการครับ” ชีพถาม
“ปัญญาอ่อนหรือยังไง ภาพลักษณ์ของชั้นทำธุรกิจช่วยคน อย่าเอาคุกตะรางมาให้ชั้น สั่งสอนให้มันหลาบจำแค่ให้นอนหยอดน้ำข้าวต้มก็พอ อย่าให้มันกล้ามาสอดเรื่องชาวบ้านอีก”
โสภิตออกมา เจอชีพพอดี “ไปได้แล้ว” อมราบอกชีพ
“มีอะไรหรือเปล่าคะแม่”
“มันมารายงานเรื่องเก็บดอก ไม่มีอะไร”

ด้านยศขับรถเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมจิตราอ่านป้ายแล้วตกใจ
“พี่ยศ ทำไมพาจิตเลี้ยวเข้ามาที่นี่คะ ไหนบอกว่าจะไปกินข้าว
“ไม่เอาน่าจิต เราเป็นแฟนกัน เรารักกัน เราก็ควรแสดงความรักต่อกันบ้างสิจ๊ะ”
“ไม่นะคะ เลี้ยวออกไปเถอะค่ะ จิตขอร้อง”
ยศไม่พอใจ เบรกรถเอี๊ยด “จิตไม่รักพี่ใช่มั้ย”
“พี่ยศอย่าเอาเรื่องนี้มาพิสูจน์ความรักของจิตเลยนะคะ”
“แต่เรื่องนี้มันก็สำคัญกับผู้ชาย สำหรับพี่มันไม่ใช่ความใคร่แต่มันเป็นความรักที่ทำให้เราผูกพันกันมากขึ้น”
“ผูกพันกันในขณะที่พี่ยศไม่เคยพาจิตไปบ้านเลยสักครั้ง หรือแม้แต่แนะนำจิตกับแม่ของพี่ จิตอึดอัดไม่อยากปิดบังแม่เลี้ยงอีกแล้วนะคะ”
ยศจับมือจิตรามากุม “ถ้าจิตไม่เชื่อใจพี่ ไม่มั่นใจในตัวพี่ พี่จะพิสูจน์ให้จิตเห็นว่าพี่รักจิตจริง”

ยศขับรถออกจากโฮเต็ล เพื่อพาจิตราไปพิสูจน์ความรัก!

เย็นจวนค่ำขณะที่จีรณะขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนสายเปลี่ยว จู่ๆรถกระบะพุ่งจากข้างทาง มาจอดขวางถนน จีรณะเบรกรถกะทันหัน มอเตอร์ไซค์คว่ำ เขากระเด็นกระดอนไปตามถนน

จีรณะพยายามยันตัวลุก ถูกชีพตี ด้วยไม้หน้าสามที่สีข้าง จีรณะกระเด็นไป เส่ง ตรงเข้าเหยียบอก
ชีพก้มขู่ “ถ้าไม่อยากตาย อย่ายุ่งเรื่องของแม่เลี้ยง”
ทั้งหมดขึ้นรถขับออกไป รถโสภิตแล่นมาทางนี้พอดี หล่อนเห็นจีรณะนอนอยู่ รีบชะลอรถเบนเข้าข้างทางจอด โสภิตลงจากรถ เดินปรี่เข้าไปดู จีรณะกับโสภิต สบตากันอย่างตื่นตะลึง จีรณะลุกขึ้นยืนจับสีข้างที่ถูกตีหน้าตาเจ็บปวด
“นายเจ็บมากรึเปล่า ให้ชั้นพาไปโรงพยาบาลมั้ย”
จีรณะหันขวับ จ้องตาโสภิต พูดยิ้มๆ “อย่ามาเล่นละคร”
“นายหมายความว่ายังไง นี่ชั้นหวังดีนะ ฉันจะขับผ่านไปเลยก็ได้”
“ไม่ต้องทำมาเป็นพลเมืองดีประสบเหตุ ฝากไปบอกแม่เลี้ยงด้วยก็แล้วกัน เลิกใช้วิธีรุนแรงได้แล้ว โดยเฉพาะกับพวกลูกหนี้ ถ้าพวกเค้าหลังชนฝาเมื่อไหร่ เอาคืนกับพวกคุณบ้าง ฉุดคุณไปฆ่า หรือไม่ก็ข่มขืนแล้วฆ่า จะหาว่าผมไม่เตือน ครั้งที่แล้วคุณโชคดีที่เจอผม”
“นาย นายยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าคราวก่อนเป็นฝีมือนาย”
จีรณะไม่ตอบยกรถมอเตอร์ไซค์ ติดเครื่องขับออกไป โสภิตมองตามเครียดจัด

เช้าวันใหม่ จีรณะถอดเสื้อ จิตราทายาให้ตรงรอยช้ำ “นี่มันเหมือนรอยถูกตีเลยนะคะ รถล้มจริงเหรอพี่จี”
“ก็จริงซิ โอยๆๆ เบาๆ”
“ไปเอ็กซเรย์หน่อยดีมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอก แค่ช้ำ ไม่บวม แปลว่าไม่หัก เป็นพยาบาลไม่รู้เหรอ”
“แค่พยาบาลไม่ใช่หมอซะหน่อย”
มือถือจีรณะดัง “ฮัลโหล ว่าไงไอ้ก้อง” เขาตกใจมาก “ห๊ะ อาโปหนีลงมาจากดอย”

อาโปเงยเห็นหน้ามองตึกอาคารพาณิชย์ในเมือง หมุนดูรอบตัว ดู ซ้ายแลขวา อย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนเดินตามฟุตบาทเมียงมองผู้คน
อาโปจะข้ามถนน เหลือบไปเจอสาววัยรุ่น แต่งตัวจ๊าบๆ อาโปตาม
พีรพงษ์ขับรถพุ่งเข้ามาจะชนอาโป จีรณะจับตัวอาโปกระชากเข้ามากอด ย่ามหรือเป้หวายของอาโปกระแทกมุมหน้ารถพีรพงษ์
พีรพงษ์เบรกหยุดรถ เดินลงจากรถวิ่งไปดูหน้ารถจีรณะปล่อยตัวอาโป สบตากันงงๆ
พีรพงษ์เข้ามาชี้หน้าอาโป “ข้ามถนนภาษาอะไรวะ ดูสิรถชั้นเป็นรอยหมดเลย ใครจะรับผิดชอบ”
จีรณะฉุน “คุณควรจะขอโทษเด็กคนนี้มากกว่า นี่มันเขตชุมชน ทำไมต้องขับรถเร็วขนาดนี้”
พีรพงษ์กอดอก เอาหลังพิงรถ “ชั้นจะขับยังไงก็ได้ ถนนในอำเภอนี้พ่อชั้นสร้างทุกสายพ่อชั้นเลือกตั้งสี่ครั้งเข้าสภาทุกครั้ง ชื่อคุณวุฒิ รู้จักมั้ย”
“ถนนนี้สร้างจากภาษีของประชาชน คะแนนเสียงที่พ่อคุณได้คือเสียงจากประชาชน เด็กคนนี้คือประชาชนของประเทศนี้คุณควรจะให้เกียรติเธอ จำเอาไว้”
พีรพงษ์มองอาโปหัวจรดเท้า จีรณะจูงอาโปเดินหนีไป
“เฮ้ย เด็กดอย จะไปไหนกัน ค่าซ่อมสีรถใครจะจ่าย”
จีรณะหยุดพูดดังๆ คนแถวนั้นเริ่มหยุดฟัง “ไปแจ้งความสิ ผมจะได้เรียกนักข่าวไปโรงพัก ลูกส.ส.ขับรถเฉี่ยวเด็กดอยเรียกร้องค่าทำสีรถ”
จีรณะจูงอาโปไป พีรพงษ์มองตามอย่างเคียดแค้น แต่อายคนรีบขับรถไป

ตึกแถวสำนักงานแห่งนี้ ติดป้าย “สำนักงานสมัชชารักษาป่า” จีรณะเดินเข้ามาในนั้น ตรงไปที่โต๊ะทำงานของเขา
“เธอนั่งเล่นอยู่แถวนี้แหละ รอฉันเคลียร์งานสักเดี๋ยว แล้วเราขึ้นดอยด้วยกัน”
อาโปที่เดินตามเข้ามาตาลุกดีใจ “นายจะกลับไปอยู่บนดอยหรือ”
“ฉันจะไปส่งเธอ”
อาโปไวเหมือนลิงวิ่งจู๊ดไปที่ประตู จีรณะพูดต่อ “ถ้าคิดจะหนี ก็ไม่ต้องมาเจอหน้ากัน ไม่ต้องมาคุยกันอีก”
อาโปชะงักกึกหันกลับมา “นายใจร้าย”
จีรณะนั่งลงทำงาน “ฉันใจร้ายกับเด็กดื้อ”
อาโปวิ่งมาเกาะโต๊ะ “แล้วถ้าอาโปจะทำงานหาเงินอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน นายจะไล่อาโปอีกมั้ย”
จีรณะเงยหน้า “แต่จะมูยังไม่แข็งแรง”
“ก็เพราะพ่อทำไม่ไหว เงินเราก็ไม่เหลือ อาโปถึงต้องลงมาหางานทำส่งไปให้พ่อไงนาย พ่อกับแม่ก็เห็นด้วยกับอาโป นายให้อาโปทำงานช่วยนายนะ”
จีรณะครุ่นคิด

ไม่นานนัก สายพิณมองอาโปอย่างสำรวจพินิจพิเคราะห์ “ขายของได้แน่นะ คิดเงินเป็นหรือเปล่า”
อาโปยิ้มแป้น “สบาย อาโปจบม.6 มาได้สามเดือนแล้ว สอบได้ที่หนึ่งทุกเทอม นายเป็นครูสอนอาโปเอง นายรับรองได้จ้ะ”
สายพิณมองจีรณะเป็นเชิงถาม จีรณะตอบหน้าตาย “ครับ เขาสอบได้ที่หนึ่งจริงๆ จากนักเรียนทั้งห้อง 2 คน”
สายพิณเซ็ง แต่อาโปกลับฉีกยิ้มภูมิใจ “ก็คนอื่นๆ อยู่ไกล ต้องนั่งมอไซค์ตั้ง 6 ชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียนเลยเหลือเพื่อนมาเรียนแค่ 2 คน แต่อีกคนตอนสอบไม่มาสอบอาโปสอบคนเดียวเลยได้ที่หนึ่ง”
สายพิณเซ็งหนักกว่าเก่า จีรณะอมยิ้มขำในความซื่อของอาโป
“เขาเป็นเด็กดีครับพี่”
อาโปยิ้มดีใจที่จีรณะชม สายพิณบ่นๆ “ดีหรือบ่ดี ก็บ่ฮู้ แต่ถ้าคุณจีลูกครูเจือรับประกันละก็ พี่โอเค”
“ขอบคุณมากครับพี่” จีรณะยิ้ม
“เอาเสื้อผ้ามาเลยหรือเปล่า จะได้พาไปผ่อห้องพัก”
“เอามาจ้ะ”
อาโปหันไปยิ้มให้จีรณะเป็นเชิงขอบคุณ จีรณะยิ้มตอบ

ฟากพีรพงษ์มาเยี่ยมแม่เลี้ยงอมรา กำลังยื่นกระเช้าให้ อมราแค่ยื่นมือแตะพอเป็นมารยาท จิตราที่ยืนข้างๆ รับกระเช้าไปวางบนโต๊ะไม่กล้ามองหน้าพีรพงษ์
“ฝากขอบคุณท่านสส.ด้วยนะจ๊ะ ตั้งแต่ไปรับตำแหน่งเลขาธิการรัฐมนตรีช่วยฯ ก็ไม่ได้พบกันเลย”
“พ่องานยุ่งมากครับแม่เลี้ยง มีแต่คนใหญ่คนโตวิ่งเข้าหา ส่วนผมก็ต้องควบคุมกิจการรับเหมาทั้งหมดทางนี้อยู่คนเดียว”
อมราสัพยอก “เรียกว่ากำลังดวงขึ้นไม่แพ้พ่อ”
แม่เลี้ยงหันไปทางจิตรา “คนนี้แหละที่ป้าเคยจองตัวไว้ให้โสภิตลูกสาวคนเล็ก”
จิตรายิ้มเจื่อนๆ “แต่ตอนนี้พ่อพงษ์ออกจะเนื้อหอม คงลืมน้องไปแล้วมั้ง”
“ตั้งแต่น้องภิตไปอยู่โรงเรียนประจำ ผมก็ไม่เคยเจอกับน้องอีกเลย ได้ข่าวว่าน้องกลับมาอยู่บ้านแล้วหรือครับ”
“กลับมา 2-3 วันแล้ว เสียดายจังเขาเพิ่งออกไปทำธุระให้ป้าไม่งั้นคงได้เจอกันแล้ว” อมราพูดแล้วไอแค่กๆ จิตรารีบยกแก้วน้ำ แต่โดนพีรพงษ์แย่งแก้วไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วเอาใจป้อนน้ำให้แม่เลี้ยง

ภาพชีวิตผู้คนในชุมชนห้องแถวกำลังดำเนินกันไปตามปกติ จู่ๆ มีชาวบ้านวิ่งหน้าตื่นตะโกนลั่น ดังเป็นทอดๆ
“แม่เลี้ยงมาๆๆๆ”
ทุกคนพอได้ยินชื่อแม่เลี้ยงอมราต่างก็ขี้หดตดหายกันหมด แตกกระเจิงไปหลบซ่อนตัวอย่างกับผึ้งแตกรัง
พ่อค้าหมูหลบใต้เขียงหมู แม่ค้ารถเข็นลูกชิ้นปิ้งเข็นหนี แต่แม่ค้ารถเข็นผลไม้กำที่เข็นแน่นไม่ยอมหนี สีหน้าแค้น
ร้านรวงต่างๆ ที่เป็นบ้าน แต่ละคูหา ปิดประตูกันอย่างเร่งรีบพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
บัวหอม สายพิณ กับลูกค้าที่นั่งกินอยู่ในร้านหนานเทืองแตกตื่น
“เอาจะใดดีล่ะน้าบัว” สายพิณหารือ
“หนีสิวะ อีง่าว”
บัวหอมและลูกค้าแตกตื่นวิ่งกันไปคนละทิศละทาง
สายพิณวิ่งกลับไปร้านตัวเอง หนานเทืองเดินหยิบของหลังร้านสวนออกมา โดนบัวหอมชนกระเด็น
“เฮ้ย มีอะไรวะ อะหยังปะล้ำปะเหลือ”
“เฮาปวดท้อง ไผถามถึงเฮา หนานเทืองอู้ไปว่าบ่ฮู้บ่หันเน้อ”
“บ่หันได้จะใด ตัวยังกะตึก”

สายพิณวิ่งเข้ามา สั่งรัวๆ “อาโป ฟังหื้อดีนะ ถ้าแม่เลี้ยงมาถามหาพี่ ให้อู้ว่าบ่อยู่ บินไปประเทศนอก”
สายพิณวิ่งปู๊ดเข้าร้านไปหลบอาโปงง “ใครคือแม่เลี้ยงหรือพี่”
เท้าของโสภิตเดินมาหยุดตรงหน้าร้านสายพิณพอดี อาโปหันไปมอง
โสภิตกวาดตามองไปทั่ว ทั้งตลาดเงียบกริบไร้ผู้คน เหมือนตลาดร้าง ชีพกับเส่งเดินขึ้นมายืนข้างโสภิต

โสภิตนึกถึงคำสอนของแม่ก่อนหน้านี้

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในสวนหย่อมโรงพยาบาล โสภิตเข็นรถให้แม่เลี้ยงอมรามาช้าๆ

“พี่ชายเรามันไม่เอาไหน ส่วนยัยพิมพี่สาวเรา ตั้งแต่มันไปมีผัวฝรั่ง แม่ก็ไม่หวังพึ่งมันแล้ว เหลือแต่ภิตคนเดียวนี้แหละที่แม่พึ่งได้ ภิตจบบัญชีมาเรียนรู้งานไม่ยากหรอก”
โสภิตจอดรถเข็นใต้ต้นไม้ ตรงโต๊ะหินอ่อน “ตกลงค่ะ ภิตจะช่วยแม่ แต่แม่ต้องรับปากกับภิต ห้ามทำร้ายลูกหนี้เหมือนพวกออกเงินกู้โหดๆเค้าทำกัน”
“แม่ไม่เคยทำอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ขู่ ลูกภิตไม่รู้อะไร พวกลูกหนี้มันเล่ห์เหลี่ยมจัด ลูกเล่นเยอะ”

โสภิตดึงตัวเองกลับมา เสียงแม่เลี้ยงอมราดังขึ้นมาอีก
“เวลามันเงินขาดมือ มันก็เห็นเราเป็นนางฟ้า แต่พอถึงเวลาใช้หนี้มันก็หาว่าเราเป็นปีศาจ ใจดีกับมันไปมันก็ไม่เห็นเราดีหรอก”
โสภิตก้าวเท้ากำลังจะเดินต่อ มีแตงโมผ่าซีกไม่ใหญ่นักลอยมากระแทกข้างแก้มโสภิตจังๆ น้ำและเนื้อแตงโมเปื้อนแก้มโสภิต ชีพโมโห “เฮ้ย ใครวะ”
แม่ค้าขายผลไม้เจ้าของผลงาน แอบหลังรถเข็นผลไม้ สีหน้าแค้นๆ
“สมน้ำหน้ามัน อีพวกหน้าเลือด”
ชีพจะเดินไปดูตรงรถเข็น โสภิตห้ามไว้ “ไปเถอะ ยังมีงานต้องรีบทำ”
อาโปวิ่งมาหา “เดี๋ยวก่อนพี่สาว”
โสภิตหันไปมอง อาโปยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เย็บด้วยมือแบบชาวเขาให้โสภิต
“อาโปให้ หน้าเลอะๆ ไม่สวยนะ”
ชีพกระชากมา “ของสกปรก เอาไปให้พ้น”
ชีพจะปาทิ้ง โสภิตดึงผ้าไว้จ้องชีพตาดุ ชีพยอมปล่อยมือ โสภิตไม่ยิ้มแต่พูดเสียงอ่อนโยน
“ขอบใจนะ มันสวยมากเลย ฉันชอบ”
โสภิตไป อาโปยิ้มสดใส สายพิณรีบย่องเข้ามาดึงอาโป
“ปิ๊กมานี่ อู๊ย ไปอู้กับเปิ้นทำไม เดี๋ยวก็เลยพากันซวยหมด”
อาโปงงๆ โสภิตมองไปที่รถเข็นขายกาแฟของบัวหอมที่จอดอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวหนานเทือง

โสภิตเดินตรงเข้ามาที่ร้านหนานเทือง มองๆ หนานเทืองยิ้มให้
“คุณบัวหอม ขายของอยู่ร้านนี้ใช่มั้ยจ๊ะ”
บัวหอมแอบหลังร้าน โบกมือบอกหนานว่าอย่าบอก
“เอ่อ เมื่อกี๊ยังอยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้วจ้ะ”
โสภิตมองที่รถเข็น “กาแฟยังชงค้างไว้ แสดงว่าเดี๋ยวคงมา งั้นฉันขอนั่งรอในนี้ก็แล้วกัน”
บัวหอมโบกให้หนานเทืองปฏิเสธหนานเทือง “กลัวคุณจะรอนาน นังบัวหอมมันท้องเสียหนัก”
โสภิตมองไปหลังร้าน บัวหอมหลบวูบ ชีพก็เห็น
“เดี๋ยวผมไปดูหลังร้านให้ครับ”
“ไม่ต้องหรอก วันหลังเรามาใหม่ก็ได้”
โสภิตพยักหน้าให้ชีพ แล้วพากันเดินหลุดไป บัวหอมย่องออกมา
“ธัมโม สังโฆ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม”
“วันนี้หนีพ้น วันหน้าก็ต้องป๊ะกัน จะหนีไปได้สักกี่หนกัน นังบัวหอม”
“หนีได้บ่ได้ก็ต้องหนี หนานเทืองบ่ได้เคยเป็นหนี้ บ่ฮู้จิตใจหมู่เฮาหรอก”
โสภิตโผล่มาข้างหลัง “แต่การหนี ไม่ใช่การแก้ปัญหานะคะ เป็นหนี้ก็ต้องใช้”
“ก็มันบ่มี บ่มี เข้าใจก่อ อู้บ่ฮู้ฟังเลยหนานเอ๊ย”
หนานเทืองพยักพเยิด “เป็นจะใด คอเคล็ดเหรอ”
บัวหอมหันไปเห็นโสภิต ชีพ กาบ และเส่ง ก็เข่าอ่อน

โสภิตอยู่กับบัวหอมในมือมีสัญญา หนานเทืองมองๆ มาจากร้าน บัวหอมฟูมฟาย เศร้าสุดๆ
“ช่วยอู้กับแม่เลี้ยงให้ผัดผ่อนออกไปแหมนะเจ้า ตอนนี้ของมันขึ้นราคา ขายกาแฟบ่ได้กำไฮเลย”
โสภิตหน้านิ่ง พูดเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องจ่ายก็ได้ค่ะ”
บัวหอมเปลี่ยนอารมณ์ดีใจสุดขีด“อู้แต้ก๊ะ แม่พระของบัวหอม แม่หญิงน้ำใจจ้าดงาม”
บัวหอมดึงมือโสภิตมากุม โสภิตพูดเสียงเรียบ
“ฉันจะคิดดอกทบต้นไปแล้วกัน ดอกร้อยละ 20 บวกกับค่าปรับที่จ่ายช้าเกินกำหนดไปอีก 15 วัน ก็เป็นเงิน...”
ชีพส่งเครื่องคิดเลขให้ โสภิตไม่รับ คิดในใจอย่างเร็ว มีเสียงติ๊งเมื่อคำนวณเสร็จ
“8,400 ที่คุณต้องจ่ายเฉพาะดอกเดือนหน้านะคะ”
บัวหอมปล่อยมือโสภิต “ฮ้า มันมากไปหรือเปล่า ธนาคารเขายังบ่คิดซับคิดซ้อนหลายชั้นขนาดนี้”
เสียงแม่เลี้ยงดังก้องในหูอีก “อย่าไปทำให้มันรู้ว่าเรากลัวมันเด็ดขาด มันจะยิ่งไม่จ่าย”
โสภิตลุกยืน “ถ้างั้นก็ไปกู้ธนาคารสิคะ สิ้นเดือนฉันจะมาใหม่”
โสภิตเดินหนีไปชีพกับเส่งตาม
“ดูมันนะ หนานเทือง โหดเหมือนแม่บ่มีผิดเพี้ยน ขอให้นังแม่เลี้ยงบ่ได้ออกจากโรงพยาบาล ให้มันเป็นทั้งโรคหัวใจ มะเร็ง ไตวาย ตับแข็ง...ตายอนาถ” บัวหอมด่าไล่หลัง
“เป็นหนี้ก็กรรมหนักอยู่แล้ว แช่งเขาบาปเข้าไปอีก”
“แช่งคนชั่ว บ่บาปหรอกหนานเทือง”
หนานเทืองส่ายหน้า บัวหอมนึกได้ “ฮู้ละ เฮาต้องฟ้องคุณจี หนานเทืองขอยืมโทรศัพท์หน่อย มือถือของเฮามันโดนตัด” แล้วรีบกดโทร.ไป

อีกฟากหนึ่งบนชานเรือนลุงคำปัน ชายชราแก้ห่อผ้าเช็ดหน้ามีเงิน แบงค์ย่อยอยู่ราวๆ ห้าร้อยกว่าบาท ค่อยๆ ส่งให้โสภิตที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
คำปันไอแค่กๆตลอดเวลา “ฤดูนี้มันเก็บเกี่ยวได้น้อย ลุงก็ไม่ค่อยสบาย หักค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลงก็เหลือแค่นี้แหละ”
โสภิตมองเงินมองหน้าคำปัน แล้วเหลียวมองไปในไร่นาของคำปัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ผ่อนผันไปก่อน ชั้นจะดูอีกทีว่าจะทำอะไรได้บ้าง ที่ทางลุงก็ไม่ใช่น้อยๆ อาจจะแบ่งให้คนอื่นเช่า หรือให้เค้าเหมาเพาะปลูกเก็บเกี่ยวไปเลย ลุงจะได้มีรายได้บ้าง”
โสภิตลุก “ไม่ได้นะครับ คุณภิต”
ชีพดูเอกสารสองสามใบในมือ “แม่เลี้ยงสั่งมา ว่ารายนี้ถ้าขาดส่งดอกเบี้ยเกินหกเดือน เราก็ยึดที่ได้เลย เพราะมันเลยเวลามานานมากแล้ว”
คำปันยกมือไหว้โสภิตปลกๆ “อย่ายึดเลยหนู ถ้าไม่มีที่ทางลุงจะไปทำมาหากินอะไรได้”
“อย่าใจอ่อนนะครับ คุณภิต”
โสภิตพยายามใจแข็ง ทำหน้านิ่ง “ชั้นให้เวลาลุงรื้อถอนบ้าน โยกย้ายออกจากที่หนึ่งอาทิตย์นะจ๊ะ”

รถแล่นตามถนนทางออกท้องนา โสภิตนั่งมาด้านหลังรถเก๋ง สีหน้ากังวลเรื่องลุงคำปัน
“ลุงคำปัน แกไม่รู้หนังสือจริงหรือนายชีพ”
ชีพนั่งข้างเส่งคนขับ หันมาตอบ “ชาวไร่ ชาวนาพวกนี้ ก็เหมือนกันหมดแหละครับ คนมันไม่มีการศึกษา ถึงได้จนอยู่อย่างนี้”
โสภิตตัดสินใจ “ช่วยหยุดรถให้ฉันที”
“คุณภิตจะไปไหนหรือครับ ผมไปส่งได้”
“ไปทำงานกันต่อเถอะ ฉันมีธุระส่วนตัว”

เส่งจอดรถงงๆ

โสภิตเดินผ่านท้องนาเพื่อตรงไปยังบ้านลุงคำปันเพื่อให้โอกาสประนอมหนี้ ระหว่างเดินผ่านกองฟาง ก็มีมือคนกระชากแขนจนโสภิตเซตาม

“ว้าย!”
โสภิตปะทะอกกว้าง พอเงยหน้ามองเห็นจีรณะ ก็ตกใจคิดว่าจะโดนทำร้าย
“ปล่อยฉันนะ จะทำอะไร คิดจะฆ่าล้างหนี้หรือ ช่วยด้วยๆๆ”
จีรณะก็ตกใจที่โสภิตเข้าใจผิด พยายามปิดปากโสภิตไม่ให้ร้อง
“ไม่ใช่ คุณจะร้องเอะอะไปทำไมเล่า เงียบ เรามาคุยกันดีๆ ทำไมต้องถึงกับยึดที่ลุงคำปันด้วย คุณก็เห็นว่าแกลำบากขนาดไหน”
โสภิตกลัวมาก กัดมือจีรณะที่ปิดปากอยู่ “โอ๊ย”
โสภิตผลักไม้ไผ่หลายอันที่วางพิงกองฟางอยู่ใส่จีรณะอีกดอก
“ตอนแรก ฉันคิดว่าจะมาประนีประนอมหนี้ให้ แต่ลุงแกมีคนหัวหมออย่างนายคอยเป็นกุนซือ ฉันเลยเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะยึดที่ลุงคำปันพรุ่งนี้เลย”
โสภิตวิ่งหนี จีรณะเห็นรังแตนรังใหญ่ตรงต้นไม้เบื้องหน้าหล่อน
“หยุด รังแตน”
โสภิตชะงักเห็นรังแตนอยู่ตรงหน้า ยืนตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก
“ทำยังไงล่ะ”
แตนบินออกมาหึ่งๆ จีรณะบอก “วิ่งสิคุณ”
จีรณะพุ่งเข้าจับตัวภิต พาวิ่งไปที่ริมคลองใกล้ตัว แตนบินตามมาเป็นกลุ่ม
“โดดๆ”
โสภิตขัดขืน “ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือไง ว้าย”
จีรณะผลักโสภิตตกคลอง ตัวเองกระโดดตามเสียงดังตูม

จีรณะโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำ มองหาโสภิต พบพื้นน้ำว่างเปล่าจีรณะตกใจคิดว่าโสภิตจมน้ำ “คุณโสภิต คุณอยู่ไหน คุณๆ”
จีรณะรีบดำผุดดำว่ายหาโสภิตในน้ำก็ไม่เห็น จีรณะโผล่หัวขึ้นมาใกล้ฝั่ง เห็นโสภิตยืนหน้าบึ้งตัวเปียกอยู่บนฝั่งแล้ว จีรณะลูบหน้าไม่เชื่อสายตา
“คุณ ว่ายขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็นานพอที่จะเห็นคุณดำน้ำหาฉัน ทำไม รู้สึกสำนึกผิดที่คิดจะจับฉันถ่วงน้ำงั้นหรือ คงกลัวบาปละสิ”
จีรณะไม่พอใจ “ทำไมไม่บอกว่าคุณอยู่นี่ หลอกให้คนตกใจมันสนุกนักหรือ”
“คุณผลักฉันตกน้ำก่อน ฉันตอบโต้แค่นี้นับว่ายังน้อยไป”
“ผมช่วยคุณต่างหาก คุณนี่ชอบมองคนในแง่ร้ายอยู่เรื่อย”
“ฉันไม่ใช่คนที่โดนหลอกง่ายๆ เหมือนคุณหรอกนะ ถ้าคุณตามคนไม่ทัน ก็อย่าคิดออกหน้าช่วยใคร เพราะขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย”
โสภิตจ้ำอ้าวหนีไป จีรณะปีนขึ้นมาบนฝั่ง
“ยัยอุตพิด”

ยศคุยมือถืออยู่ในคุ้มอมรา “เดี๋ยวพี่ไปรับนะจิต แล้วเจอกัน”
ยศตัดสายเดินร่าเริงออกไป แต่ชะงักถอยหนีท่าทีน่าขัน เพราะกลัวแม่ขึ้นสมอง
“เย้ย แม่ กลับมาอยู่บ้านได้แล้วหรือครับ”
ยศเห็นแม่เลี้ยงนั่งรถเข็น ยังไม่ค่อยแข็งแรงดีเพราะเพิ่งผ่าตัด พวงเข็นเข้ามา
“แม่ห่วงบ้าน แล้วนี่แกจะออกไปไหนตายศ”
“เออ ผม จะออกไปหาเพื่อน”
“ไม่ต้องไป แกไปเอาพวกโฉนดของพวกลูกหนี้ ที่ฉันเคยให้แกเก็บไว้มาคืนให้หมด ต่อไปแกไม่ต้องยุ่งแล้ว ฉันจะหางานอื่นให้แกทำแทน”
ยศโล่งใจเพราะไม่อยากทำ “ดีเลยแม่ ผมก็ไม่อยากทำเหมือนกัน”
อรมาจ้องหน้าลูกแสบ “พูดอีกทีสิ”
พวงเสนอหน้าแทน ปกป้องยศ “แม่เลี้ยงเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้า”
อมราด่า “อย่าเพิ่งสอด” แล้วหันมาทางยศ “เงินที่แกยืมไป ฉันคิดดอกเพิ่มเป็นร้อยละ10”
พวงร้อง “ฮ้า คนกันเองนะเจ้า”
“เพิ่มเป็นร้อยละ 20 แล้วก็ไล่แกออกด้วย นังพวง”
พวงรีบปิดปากแน่น เอื้องแอบปากเบ้ปาก เกลียดแม่เลี้ยงสุดๆ
อมราหันขวับไปทางยศ จนยศสะดุ้ง
“ผมจะรีบไปเอาโฉนดให้แม่เดี๋ยวนี้” ยศรีบไป

แม่เลี้ยงอมราก้มหน้าก้มตาเปิดๆ โฉนดสายสิบฉบับ ตรวจดูความเรียบร้อย
ยศถือโอกาสย่องๆ ก้าวออกทีละก้าว “อุ๊ยต๊าย โฉนดแปลงไหนเนี่ย ใส่กรอบกำมะหยี่ซะหรูเลิศเชียว สงสัยจะเป็นที่ราคาแพง ไหนดูสิของใคร”
แม่เลี้ยงเลื่อนนิ้วอ่านทีละตัว “ใบสำคัญการสมรส แสดงว่า นายยศ เจริญโภคทรัพย์ กับนางสาวจิตรา ทวีวิเศษ”
พออ่านจบอมราตกใจ ร้องลั่นบ้าน “ไอ้ยศ นี่แกแอบไปจดทะเบียนมาหรือ”
ยศที่กำลังย่องๆไปถึงประตู สะดุ้งโหยงหันขวับกลับมา หน้าตาแตกตื่นประมาณตายแน่แล้วตรู
“ไม่จริงนะแม่ แม่เอาอะไรที่ไหนมาพูด”
อมราปาทะเบียนลงพื้น “ก็นี่ไงทะเบียนสมรส คาตาฉันอยู่นี่”
ยศยิ่งช็อกเข้าไปอีกวิ่งไปหยิบดู “มันมาอยู่นี่ได้ไง”เขามองโฉนดด้วยสีหน้าตกใจ
นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตอนนั้นบนโต๊ะทำงานยศรกมาก ยศรวบโฉนดอย่างเร่งรีบ มีทะเบียนสมรสที่วางอยู่ใกล้กันติดมาด้วย

ยศหน้าถอดสี เข่าทรุด คุกเข่า ทำท่าจะร้องไห้ “แม่คร้าบ แม่จะจะใจเย็นๆ กะ...ก่อนนะครับ”
อมราหายใจลึกๆ ควบคุมอารมณ์โกรธ กระดิกนิ้วเรียกลูก เสียงเย็นน่ากลัว
“ลูกรักของแม่ มาใกล้ๆแม่สิ”
ยศเดินตัวลีบเข้าไปคุกเข่าข้างๆ รถเข็น แม่เลี้ยงลูบหัวลูกช้าๆ ยศสยอง
“สมบัติของแม่ แม่เหนื่อยยากหามาแทบเลือดตากระเด็น จะให้นังผู้หญิงหน้าไหนมาชุบมือเปิบไปง่ายๆ ไม่มีวันซะหรอก”
แม่เลี้ยงแผดเสียงแสบแก้วหู โมโหลูกสุดๆ “บอกฉันมามันเป็นใคร อยู่ที่ไหน”
ยศกระเด้งถอยห่าง ยกทะเบียนสมรสบังไว้ “แม่อย่าตีผมนะ ผมบอกแล้ว”
พวงช่วยบังยศไว้ “อย่านะเจ้า แม่เลี้ยงใจเย็นๆ ก่อน คุณยศเป็นลูกชายแม่เลี้ยงนะเจ้า”
“แกกล้าขวางฉันเหรอ นังพวง”
พวงกลัว ถอยออก “บ่กล้าเจ้า”
ยศถือโอกาสวิ่งหนีไปหน้าด้านๆ “ไอ้ยศๆ”
พวงโล่งอก อมราคำราม

“มันคิดลองดีกับฉันเหรอ ได้”

อ่านต่อหน้า 4

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ส่วนโสภิตตัวเพิ่งหมาดๆ น้ำ ยืนแอบเมียงมองอยู่ที่ประตูมองหาแม่ เห็นไม่มีใครจะย่องเข้าบ้านเจอพวงพอดี

“ว้าย คุณภิต จะใดตัวเปียกแบบนั้นล่ะเจ้า”
“ฝนมันตกน่ะ” พวงทำหน้างงๆ มองฟ้า ไม่มีฝนสักเม็ด “แม่ล่ะ”
“ไปโรงพยาบาลเจ้า”
โสภิตตกใจ “โรงพยาบาล แม่เป็นอะไรเหรอ”
“แม่เลี้ยงบ่เป็นอะหยังหรอกเจ้า แต่คุณยศซิเจ้า เปิ้นก่อเรื่องอีกแล้ว”
โสภิตเครียด

ส่วนแม่เลี้ยงอมราพาตัวเองมาอยู่ในห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลขาเดินนำ มีกาบเข็นรถพาแม่เลี้ยงเข้าห้อง เลขาออกไป
ผอ.นั่งที่โต๊ะทำงาน รีบลุกยืนรับ แม่เลี้ยงอมราเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็นทรงอำนาจ
“ดิฉันมีเรื่องเกี่ยวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของผอ. มารายงานให้ทราบค่ะ”
ผอ.ตั้งใจฟัง

จิตราออกเวรแล้ว เตรียมตัวกลับบ้าน ยืนรอยศมารับหลังจากนัดกันแล้ว จิตราดูนาฬิกาข้อมือ กดโทร.หายศ เห็นชื่อยศหน้าจอ พอกดไป แต่มือถือปิด
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเสียงที่ท่านเรียก”
จ๋า เพื่อนพยาบาลวิ่งออกมาตาม “จิต” จิตราหันไปหา “ผอ.ต้องการพบเธอด่วน”
จิตราแปลกใจ มองไปข้างหน้าเห็นแม่เลี้ยงอมรานั่งรถเข็นที่กาบเข็นออกมาประจันหน้ากับจิตราจังๆ
อมรามองจิตราอย่างเกลียดชัง จิตรายังไม่รู้ตัวยิ้มแย้มยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะแม่เลี้ยง มาพบคุณหมอหรือคะ”
“เธอนี่มันตีสองหน้าได้เก่งจริงๆ ฉันขอยอมรับ แต่ระหว่างฉันกับเธอ กระดูกมันคนละเบอร์กัน แม่เด็กน้อย”
อมราโบกมือให้พวงเข็นรถไป จ๋ายืนเซ่อ จิตรายืนตัวแข็ง
“มันเรื่องอะไรอ่ะจิต เธอไปมีเรื่องอะไรกับแม่เลี้ยง”
จิตรารู้เรื่องแต่ไม่ตอบก้มหน้าเดินไปพบผอ.

ไม่นานต่อมาประตูห้องผอ.เปิด จิตราเดินซึมออกมาจากห้อง โดนเล่นงานไปแล้ว จิตราวิ่งร้องไห้ออกมา พวกเพื่อนพยาบาลกรูกันเข้ามารวมกลุ่มรุมมองจิตราที่วิ่งไป ต่างมองหน้ากันงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

กลับถึงบ้านจิตราส่งข้อความหายศพูดไปด้วย “ผอ.จะไล่จิตออก ถ้ามีปัญหากับแม่เลี้ยง จิตจะทำยังไงดี โทรหาจิตด้วย” แล้วกดส่งทันที
จีรณะผลักประตูเข้ามา จิตราตกใจรีบสอดมือถือใต้ผ้าห่ม จีรณะแกล้งเดินเข้าไปเปิดผ้าห่ม หยิบมือถือขึ้นมา จิตราเสียงหลง
“อย่าดูนะคะ”
จีรณะแกล้งตีหน้าขรึม “แอบคุยกับแฟนหรือ มันเป็นใคร”
จิตราหน้าซีด จีรณะยิ้มออกมา “พี่แซวเล่นน่ะ เรื่องส่วนตัวของจิต พี่ไม่ก้าวก่ายหรอกน่า”
จิตรายิ่งไม่กล้าบอก เพราะมีปัญหาอยู่ ไม่กล้าสบตาพี่ชาย “จิตยังไม่มีหรอกค่ะ”
“ถึงมีพี่ก็ไม่ว่า พี่เชื่อใจน้องสาวของพี่ จิตเป็นเด็กดีมาตลอดไม่เคยทำให้พ่อเจือหรือพี่ชายคนนี้เสียใจเลยสักครั้ง”
จิตรา หยั่งเชิง “ถ้าจิตทำให้พี่ผิดหวังละคะ พี่จีจะโกรธจิตมั้ย”
“โกรธ แต่โกรธตัวเองนะที่ดูแลน้องไม่ดี”
จิตราซึ้งใจกอดคอพี่ชาย จีรณะดันออก “มีอะไรหรือเปล่า สีหน้าจิตไม่ดีเลยนะ”
จิตรารีบส่ายหน้า “จิตเข้าเวรดึกค่ะ นอนน้อยติดๆ กันมาหลายคืนแล้ว พี่จีไปทานข้าวเถอะค่ะ จิตขอนอนพักหน่อยนะคะ”
จีรณะพยักหน้า “ดูแลตัวเองบ้างนะจิต อย่าทำงานเกินตัว”
จิตราฝืนยิ้มพอจีรณะออกไปปิดประตูลง จิตราร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น

ทางด้านยศมาหลบมุมอยู่ในสวนสาธารณะ นั่งกุมหัวเครียด เสียงมือถือดัง ยศสะดุ้งโหยงหยิบดู เห็นชื่อจิตรา ยศรีบกดปิดมือไม้สั่น
โสภิตเรียก “พี่ยศ”
ยศขวัญผวาทำโทรศัพท์หลุดมือ แล้วหันไปเห็น “ยัยภิต หัวใจเกือบวายนึกว่าแม่”
“หนีปัญหาแบบนี้ ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยนะคะ”
“แล้วจะให้เสนอหน้าไปให้แม่ฆ่าเหรอ”
โสภิตยืนมองอยู่ เดินเข้ามานั่งด้วย “แต่นี่มันเรื่องใหญ่ พี่ยศไปจดทะเบียนกับเขา มันผูกพันกันทางกฎหมาย ทรัพย์สินของพี่ก็ต้องเป็นของเค้าครึ่งหนึ่ง ฝ่ายเราเสียเปรียบ แม่ต้องโกรธอยู่แล้ว”
ยศยัดมือถือใส่มือโสภิต “ภิตโทร.ไปบอกเลิกให้พี่ที เขาเป็นคนหัวอ่อนพูดไม่ยากหรอก”
โสภิตวางมือถือ ลุกยืน “ภิตไม่เอาด้วยหรอก อะไรๆก็ให้ภิตออกหน้าแทนทุกเรื่องกี่ครั้งแล้วที่พี่ยศให้ภิตทำแบบนี้”
“นั่นมันสมัยเด็ก ผ่านมาตั้งนาน อุตส่าห์จำ เอาน่าภิต ช่วยพี่อีกทีนะ อีกครั้งเดียว”
“ไม่ ช่วยงานแม่ภิตปวดหัวพอแล้ว พี่ยศไปเคลียร์เองเถอะ เรื่องนี้ภิตไม่ยุ่ง”
กาบเข็นแม่เลี้ยงเข้ามา มีเส่งมาด้วย “ใช่เรื่องนี้ แกไม่ต้องยุ่ง ใครผูกคนนั้นต้องแก้”
ยศสยองเข่าอ่อน “แม่...มาได้ยังไง ยัยภิต ไหนเธอว่าจะไม่บอกแม่ว่าพี่อยู่ที่นี่”
“ไม่ต้องไปโทษยัยภิต ฉันรู้สันดานแกถึงได้แอบตามยัยภิตมา....กาบ เส่งลากมันกลับไป”
เส่งกับกาบล็อคตัวยศคนละข้าง ลากไป โสภิตขอร้อง “แม่ ภิตว่าใจเย็นๆดีกว่านะคะ”
“ไม่ต้องกลัว ยังไงมันก็เป็นลูก ฉันไม่ฆ่ามันหรอก”
เสียงแม่เลี้ยงอมราเย็นเยียบจับขั้วกระดูก

จีรณะเข้าสำนักงานสมัชชา แต่เช้า เขากำลังคุยโทรศัพท์รุ่นพี่เอ็นจีโอ
“พี่ชาญครับ ผมอยากได้เบอร์ติดต่อของทนายอาสา พอดีว่ามีชาวบ้านเดือดร้อนจะถูกยึดที่อย่างไม่เป็นธรรม ครับพี่ขอบคุณมาก”
จีรณะจดอย่างเร็ว มีถุงใส่หญ้าปักกิ่งวางตรงหน้าจีรณะ พอเงยหน้ามองเห็นผู้กองเกียรติก้องยืนยิ้มอยู่
“หญ้าปักกิ่ง ต้มน้ำแล้วดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพ ฉันปลูกเองกับมือ”
จีรณะตัดสาย “ฉันไม่ได้อยากได้”
“ฉันไม่ได้ให้แก เอามาฝากด.ญ.จิตรา”
“ไอ้บ้า น้องฉันเป็นนางสาวแล้วโว้ย”
“แต่ก็เด็กในสายตาฉัน เอาไปให้ที”
“ดีเลย เมื่อวานเขาบ่นๆว่าเพลียๆเพราะนอนน้อย
ผู้กองหนุ่มลืมตัวแสดงความห่วงใยนอกหน้า “ฉันบอกแล้วว่าแกไม่ควรทิ้งเขาอยู่ตัวคนเดียว”
“ทิ้งที่ไหนกัน ก็คอยๆดูอยู่”
“ก็ควรดูให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย”
จีรณะแปลกใจมองหน้าเกียรติก้อง ผู้กองรู้สึกตัวรีบกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วแต่แกแล้วกัน ฉันออกไปทำธุระก่อนดีกว่า”
เกียรติก้องจะไป จีรณะรีบถาม “แล้วแกลงจากดอยมาทำไม อย่าบอกนะว่าเอาของมาขายอีก”
ผู้กองยิ้มเจื่อนๆ จีรณะหน้าบึ้ง

สองหนุ่มอยู่ที่ร้านมอเตอร์ไซค์มือสอง เกียรติก้องรับเงินจากเฮียเจ้าของร้าน เฮียลากมอเตอร์ไซค์ไปจอดอีกมุม
เกียรติเดินออกมาหา จีรณะยืนรออยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์ตัวเองอยู่ นับๆ เงิน
“แกกะจะขายของจนหมดบ้านเลยหรือไง”
“ช่างมันเถอะ เสียดายทำไม ของนอกกาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้”
จีรณะมองรองเท้าทหารที่ผู้กองใส่ หัวรองเท้าเป็นรูจนนิ้วโป้งโผล่ยื่นออกมาอย่างชัดเจน เกียรติก้องรีบหุบนิ้วโป้งกลับเข้าไป
“แล้วคราวนี้เอาเงินไปช่วยพ่อแม่นักเรียนคนไหน”
“พ่อของจะงอ กู้เงินนอกระบบมา พอไม่มีเงินจ่ายดอก เจ้าหนี้ก็จะมายึดม้า ยึดล่อไป ฉันก็เลยจะจ่ายดอกจ่ายต้นให้มันหมดหนี้กันไป”
จีรณะทึ่ง “เดี๋ยวนี้มันไปปล่อยเงินกู้กันถึงบนดอยเลยหรือ”
“เห็นพ่อของจะงอเรียกว่าแม่เลี้ยงนี่แหละ จำชื่อไม่ได้”

จีรณะอึ้งคาดไม่ถึง “แม่เลี้ยงอมราอีกแล้วหรือ”

ฟากจิตราเดินออกมาพร้อมอุปกรณ์วัดความดัน ท่าทางซึมๆเศร้าๆ เดินเหม่อ เสียงมือถือเข้าจิตรารีบหยิบดู ดีใจรีบกดรับ

“พี่ยศ จิตนึกว่าพี่จะไม่อยากคุยกับจิตแล้ว”
ยศโทร.มาจากคุ้มอมรา
“พี่คิดถึงจิตนะ อยากคุยด้วยมากๆ ออกมาเจอกับพี่ตอนนี้เลยได้มั้ยจ๊ะ...เจอกันที่ร้านเดิม”
ยศตัดสาย ยศมองไปที่โซฟาอีกตัว อมรานั่งรับรู้อยู่ด้วย
“ทำได้ดีมาก” อมรากดมือถือ “ฮัลโหล หนูนิตยาเหรอจ๊ะ”
แม่เลี้ยงมองไปทางยศ

ยศนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในร้านอาหาร เหลียวล่อกแล่กไปมา ผุดลุกผุดนั่ง โสภิตเข้ามานั่งมองเซ็งก็เซ็ง เห็นใจก็เห็นใจ
“ภิต ให้พี่หนีไปไหนก็ได้นะภิตนะ พี่ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ”
“อย่าหนีปัญหาพี่ยศ แม่อุตส่าห์ช่วยแก้ปัญหาให้แล้ว พี่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ให้ได้”
“แม่เค้าจะทำยังไงกับจิตเหรอ”
โสภิตส่ายหน้า “ภิตก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ยศทนไม่ไหว “ไม่ได้ เกิดแม่ทำอะไรรุนแรง พี่แย่แน่ พี่ไปดีกว่า”
“พี่ยศ”
นิตยาเดินเข้ามาชนกันยศรีบประคอง “ขอโทษครับ”
นิตยาด่า “ตาบอดเหรอคุณ”
ยศตะลึงความสวย ส่วนนิตยาเซ็งๆ “ถ้าจะบอดก็เพราะความสวยของคุณนี่แหละครับ”
“ตายศ”
อมราเดินเข้ามา “ยัยภิต นี่หนูนิตยา ลูกสาวท่านผู้ว่า หนูนิด นี่ไงจ๊ะ ตายศของป้า”
นิตยามองแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานทันที “พี่ยศนั่นเอง”
นิตยาไหว้ ยศรับไหว้ โสภิตมองหมั่นไส้พี่ กระซิบถามแม่
“แม่พาคนอื่นมาทำไมคะ ก็ไหนว่าจะตกลงกันเงียบๆ”
“เดี๋ยวก็รู้”
ยศกุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้ให้นิตยา นิตยาชม้อยตาขอบคุณ
“กินกันไป คุยกันไปนะ หนูๆ เอาอาหารออกมาเลย” แม่เลี้ยงบอกกับเด็กเสิร์ฟ

จิตราเดินเข้าร้านมา มองหา ชะงักมองหน้าทุกคนตกใจตาโต โสภิตมองแม่ มองจิตรา มองนิตยา สงสัยแม่จะเล่นแผนไหน
อมรายิ้มดีใจ “อ้าวหนูจิตรา บังเอิญจังเลย มาได้ยังไง ดีใจจริงๆ ชอบกินอาหารจีนที่นี่เหมือนกันเหรอจ๊ะ”
แม่เลี้ยงเข้าไปฉุด “คือว่า ดิฉัน”
นิตยางง “เอ๊ะ ใครกันคะ”
ยศตะลึงอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก หลบตาวูบ อมราบอก “จิตราเป็นพยาบาลพิเศษของป้าเอง ตอนป้าอยู่โรงพยาบาล หนูเค้าปรนนิบัติบริการป้าดีมากๆ นี่ถ้าไม่มีลูกสาวก็จะขอมาเป็นลูกบุญธรรมเลย”
โสภิตมองแม่ อย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะทำได้
“เหรอคะ แหมสวยๆแบบนี้ คนไข้หนุ่มๆ คงติดใจกันเป็นแถว”
ยศสั่นไปหมด ปัดของตก เหงื่อแตก จิตราตัวชา หูอื้อ
โสภิตสงสารจิตรา “แล้ววันนี้คุณจิตราไม่มีเวรที่โรงพยาบาลเหรอคะ”
จิตราอึกอัก “คือ จิต”
แม่เลี้ยงขัดขึ้น “ไหนๆเจอกันแล้วก็ กินข้าวด้วยก่อน คนกันเองทั้งนั้น จิตรา คุณหนูนิตยาเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านผู้ว่า กำลังจะแต่งงานกับตายศเร็วๆนี้”
นิตยายิ้มให้จิตรา จิตราซีดเผือดมองยศเป็นเชิงถาม ยศอ้ำอึ้ง โสภิตสงสารสุด อึดอัด
“ตายศเงียบอยู่ทำไม ไหนว่าจะเชิญหนูจิตรามาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้หนูนิตยาไม่ใช่เหรอW
“เอ่อ ครับ เชิญด้วย”
ยศสบตาจิตรา จิตราชอกช้ำสุดประมาณ “ยินดีด้วยค่ะ พี่ยศ”
“วันก่อนชั้นรายงานท่าน ผ.อ. ว่าหนูทำงานดีมาก ท่านเรียกไปชมแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
“ขอโทษทุกคนค่ะ พอดีต้องกลับไปดูคนไข้ ขอตัวก่อนนะคะ”
อมรารีบลุกไปจับต้นแขนจิตราหมับ “ชั้นไปส่งนะจ๊ะ จิตรา”
แม่เลี้ยงอมรายิ้มเยือกเย็นใจดีจูงจิตราออกไป นิตยายิ้มน้อยๆ ให้ยศกับโสภิต มองเหตุการณ์พอจะเข้าใจ แต่แกล้งไม่รู้เรื่อง
นิตยาหันมาพูดกับยศ “แปลกนะคะ เข้ามาในร้านอาหารแต่ไม่กินอะไร แล้วมาทำไมไม่รู้”
ยศเลิ่กลั่ก โสภิตลุกออกไปทางจิตรา “ภิตไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ”

แม่เลี้ยงอมรายืนจ้องจิตราอยู่หน้าร้านอาหาร จิตราซับน้ำตาสะอื้น
“พรุ่งนี้เจอกันที่อำเภอเก้าโมงเช้า คงรู้นะว่าชั้นนัดเธอไปทำอะไร ถ้าพูดกันง่ายๆ ชั้นจะมีค่าทำขวัญให้ อย่าเบี้ยวล่ะ ไม่งั้นเธอเดือดร้อนแน่”
อมรากลับเข้าไป จิตราเซไปพิงข้างฝาร้านร้องไห้ โสภิตเข้ามายื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“ขอบคุณค่ะ”
“ชั้นไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ขอแนะนำคุณด้วยความหวังดีถ้าแม่ชั้นไม่ชอบคุณ เรื่องของคุณกับพี่ยศไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆยอมถอยเถอะค่ะ สู้กับแม่ชั้น คุณไม่มีวันชนะได้หรอกมีแต่จะเจ็บกว่านี้”
โสภิตเดินจากไป จิตราร้องไห้

จิตรากลับมาบ้าน มองทะเบียนสมรสอย่างอาลัยอาวรณ์ ภาพตอนจิตรากับยศไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอผุดขึ้นมาในห้วงคิด
เวลานั้นยศนั่งต่อหน้านายทะเบียนเซ็นชื่อในทะเบียนพร้อมกัน ยศหันมาจับมือจิตรา จิตรายิ้มอย่างมีความสุข
จิตราเอาทะเบียนสมรสแนบอก ร้องไห้ปานจะขาดใจ เสียงแม่เลี้ยงดังขึ้นในหูหัว
“คุณนิตยาเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านผู้ว่าฯ กำลังจะแต่งงานกับพ่อยศเร็วๆนี้”
จิตรายิ่งเจ็บปวด เอาทะเบียนสมรสแนบอก ร้องไห้ปานจะขาดใจ
สุดท้ายจิตราพับทะเบียนสมรสเอากรรไกรตัดไปตัดมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงหล่นบนผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ โปรยเศษทะเบียนสมรสทั่วหน้าต่าง กระจัดกระจายพร้อมผ้าเช็ดหน้าปลิวว่อน
จิตรายิ่งเจ็บปวด จนขาดสติ ค่อยๆ หยิบยานอนหลับออกมาจากลิ้นชักกล่องใหญ่ เพ่งมองขวดยา น้ำตาซึม

ส่วนจีรณะหิ้วหญ้าปักกิ่งเข้าบ้านมา ผู้กองเกียรติก้องตามหลังหยุดที่ประตู มองรองเท้าพยาบาลของจิตรา
“จิตกลับมาแล้ว คงกำลังทำกับข้าวอยู่ วันนี้พวกลุงคำปันจะมากินข้าวด้วย เราจะหารือกันเรื่องทนาย”
“ความจริงฉันไปนอนพักที่วัดก็ได้ เกรงใจน้องแก”
“แกค้างที่นี่ดีแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะได้ไปส่งแกขึ้นดอยได้ง่ายๆ”
จีรณะเดินเข้าห้องรับแขก “ดูสิว่าใครมาเยี่ยม”
จิตราทุรนทุราย ปัดแก้วน้ำหล่นแตก
เสียงดังเพล้งได้ยินมาถึงห้องรับแขก จีรณะกับผู้กองตกใจ มองหน้ากัน จีรณะรีบวิ่งขึ้นข้างบน

ประตูห้องจิตราปิดแน่น จีรณะทุบประตู “จิต ๆๆๆ จิตเป็นอะไร เปิดประตูให้พี่ที”
“ดูท่าไม่ดีแล้ว พังเข้าไปเลยดีกว่าไอ้จี”
จีรณะกระแทกประตู เกียรติก้องช่วยอีกแรง ประตูเปิด สองหนุ่มเห็นจิตรานอนหมดสติ จีรณะแทบช็อก
“จิตๆ”

จีรณะและเกียรติก้องนำตัวจิตราส่งโรงพยาบาล จิตราอยู่ในห้องฉุกเฉิน จีรณะรอหน้าห้องเครียดจัดห่วงน้อง ผู้กองหันมาถามอย่างเป็นห่วง
“น้องแกมีปัญหาอะไรถึงต้องใช้ยานอนหลับ”
จีรณะคิดๆ “จิตเคยพูดว่า ถ้าเขาทำให้ฉันผิดหวัง ฉันจะโกรธเขามั้ยหรือว่าจิตตั้งใจคิดสั้น”
ดาบม้วนกับจ่าทองรีบร้อนเข้ามา“ผมไปดูที่เกิดเหตุให้แล้ว นอกจากขวดยานอนหลับที่หล่นอยู่ในห้องเราเจอเศษกระดาษกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นหญ้าข้างบ้าน ที่พอเก็บมาอ่านได้ก็คือ...”
ดาบม้วนส่งเศษกระดาษแปะเทปใสให้ จีรณะรับมาดู ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก โชคดีที่นามสกุลยศไม่ชัด จีรณะเลยไม่รู้ว่าเป็นลูกแม่เลี้ยงอมรา
เกียรติก้องยังเห็นไม่ถนัดร้องถาม “ใบอะไรไอ้จี”
“ใบสำคัญการสมรส”

ผู้กองตะลึง จีรณะหน้าเครียด

ตอนเช้าวันต่อมา แม่เลี้ยงอมราอยู่ห้องโถงคฤหาสน์ใหญ่ในคุ้มมองใบสมรสอีกใบอย่าง แค้นใจ โสภิตเดินเข้ามา

“ภิตว่าทำแบบนี้ มันเกินไปนะคะแม่”
“จิตรามีนิสัยชอบหลอกผู้ชายรวยๆ ไอ้ชีพมันไปสืบประวัติมาให้หมดแล้ว มันทำแบบนี้มาหลายราย พอหลอกให้ผู้ชายจดทะเบียนได้ ก็จะหาเรื่องหย่าเพื่อขอแบ่งสมบัติ”
โสภิตท้วง “ภิตเห็นเขาเรียบร้อยออกจะตายไป ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“หงิมๆอย่างนี้ไงผู้ชายเลยหลงเชื่อ ถ้าเป็นผู้หญิงดีๆใครจะบ้าไปจดทะเบียนโดยที่ครอบครัวฝ่ายชายเค้าไม่รับรู้ แสดงว่ามันมีแผนสูง เราครอบครัวเดียวกันต้องช่วยกันนะลูก”
โสภิตยังนิ่งอยู่ แม่เลี้ยงงัดไม้ตาย “ถ้าไม่อยากช่วยก็ไม่เป็นไร ก็ปล่อยให้แม่เครียด แล้วหัวใจวายตายไปเลย ลูกคนโตก็ทิ้งแม่ คนรองก็ดีแต่หาเรื่อง”
แม่เลี้ยงหันหลังแกล้งงอน โสภิตถามเสียงอ่อนลง “แม่จะให้ภิตทำอะไรล่ะคะ”

จิตราฟื้นแล้ว นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ สายตาเหม่อลอย น้ำตาไหลจากปลายหางตา จีรณะสงสาร หยิบทิชชู่ซับน้ำตาให้น้องสาว
“ทำไมต้องทำร้ายตัวเองขนาดนี้ จิตรา เกิดอะไรขึ้น”
“เค้าขอหย่ากับจิตพรุ่งนี้เช้า เค้าไม่อยากเห็นหน้าจิตอีกแล้วจิต...รัก...เค้า...จิต..รัก...”
จิตราร้องไห้สะอึกสะอื้น จีรณะแตะแก้มน้อง แค้นใจแทน

โสภิตกับยศเดินเข้ามาในที่ว่าการอำเภอ เจ้าหน้าที่รีบลุกยืนต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณยศ ตัวแทนฝ่ายหญิงมารออยู่นานแล้ว”
จีรณะที่นั่งหันหลังให้หันมา โสภิตกับจีรณะตกใจทั้งคู่ จีรณะเลื่อนสายตามองยศ จ้องเขม็ง
“คุณชื่อยศใช่มั้ย”
ยศกลัวรีบหลบหลังน้องสาวทันที

จิตราอยู่ในชุดคนไข้อาการดีขึ้นแล้ว วิ่งโซเซมาที่ประตูลิฟต์ พยายามกดลิฟต์อย่างเร่งรีบประตูลิฟต์เปิด ผู้กองเกียรติก้องอยู่ข้างในรีบออกมา
“จิต จะไปไหน จิตยังไม่หายดีนะจ๊ะ”
จิตราเขย่าแขนผู้กอง “พี่จีไปที่อำเภอ จิตกลัวพี่จีจะทำร้ายพี่ยศ จิตต้องรีบไปห้าม”
เกียรติก้องจับจิตราไว้ “ไม่หรอก จีมันไม่ชอบต่อยตีกับใคร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ”
จิตราเซ เกียรติก้องรีบประคอง “เห็นมั้ย จิตยังไม่หายดี กลับห้องเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้จีมันต้องห่วงจิตมากกว่านี้

ส่วนโสภิตงุนงง “คุณจิตราละคะทำไมไม่มา”
จีรณะเข้าใจผิดคิดว่าสองพี่น้องเป็นแฟนกัน
“คุณเองก็สวยพอตัว ไม่น่าคิดสั้นแย่งคนที่เขามีเจ้าของแล้ว”
“พูดให้ดี โสภิตเป็นน้องสาวผม” ยศโมโห
“นายก็เป็นชู้รักคนใหม่ละสิ”
“ผมเป็นพี่ชายของจิตรา คุณต้องการเจรจาอะไร คุยกับผม”
โสภิตอึ้งไป “พูดอย่างนี้เหมือนจะไม่ยอมหย่า”
ยศทำปากดี อวดเก่ง “หรือคิดจะเรียกร้องเงิน จิตเคยเล่าว่าคุณเป็นเอ็นจีโอ” ยศมองจีรณะหัวจรดเท้า “ลำพังแค่เงินวิจัย คงไม่พอยาไส้มั้ง”
จีรณะไม่ได้มาเพื่อเรียกร้องเอาเงิน “ผมแค่ต้องการให้คุณไปขอโทษ และคุยจบสวยๆ กับน้องสาวผม แต่ถ้าคุณเสียเงินแล้วสบายใจ ผมก็ยินดีสนอง” จีรณะหันมาทางโสภิต พูดเน้นทุกคำ “จ่าย 10 ล้าน แล้วน้องผมจะยอมหย่าให้”
ยศตาเหลือก “สิบล้าน”
โสภิตควักซองเงินออกมาจากกระเป๋า
นึกถึงตอนที่แม่ขอร้องให้โสภิตช่วย อมรายื่นซองเงินให้ “เยียวยาจิตใจสัก 3 พันก็คงพอ เรื่องมันจะได้จบง่ายๆ”
โสภิตรับมา มองซองเงินรู้สึกว่าน้อยเกินไป แต่ไม่กล้าขัดแม่

โสภิตวางซองเงินแรงๆ “แม่ฉันให้มา 3 หมื่น เป็นค่าทำขวัญ” โสภิตเอาเงินส่วนตัวเพิ่งเข้าไป
จีรณะหยิบซองเงิน ดึงเงินออกมาเป็นแบงก์พันล้วนๆ
“3 หมื่นนี่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับคนหาเช้ากินค่ำ”
จีรณะยิ้มมีแผน มองไปที่กลุ่มชาวบ้านกำลังนั่งรอติดต่องานราชการ แต่งกายเหมือนพวกชาวไร่ชาวนา

จีรณะแจกเงินของโสภิตให้ชาวบ้านทุกคนในที่ว่าการอำเภอ ทุกคนรับมาอย่างตื่นเต้นดีใจ ยกมือไหว้ท่วมหัว
โสภิตเดินเข้ามาโวยวาย“นั่นมันเงินฉัน”
จีรณะพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน “คุณโสภิตเป็นคนใจบุญ อยากแจกเงินให้พวกเราได้เอาไปใช้กัน ไม่ต้องเกรงใจนะครับ เพราะเงินพวกนี้ก็เป็นเงินที่ขูดรีดมาจากลูกหนี้ทั้งนั้น”
ชาวบ้านจ้องโสภิตเป็นตาเดียว โสภิตโมโห
“ใครกล้าเอาเงินไป เท่ากับจงใจเป็นปฏิปักษ์กับแม่เลี้ยง”
ชาวบ้านกลัวรีบเอาเงินส่งคืนโสภิต ยศรีบดึงจากมือของชาวบ้านแทน
จีรณะเห็นบารมีของแม่เลี้ยงไม่ธรรมดาเลย โสภิตหันมายิ้มเยาะ พูดดังๆให้ชาวบ้านได้ยิน
“ผู้ชายคนนี้ชอบทำตัวเป็นคนดีบังหน้า คอยเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพวกคุณ แต่ธาตุแท้ของเขาก็ต้องการขายน้องกิน”
ชาวบ้านซุบซิบกันขรม จีรณะเดินเข้าไปพูดใกล้ๆ กับโสภิต ลดเสียงเบาลง
“ผมขอเตือนว่า เงินสิบล้านถ้าจ่ายช้า ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นทุกวันนะครับ คุณเองก็น่าจะรู้ดีกว่าผม”
โสภิตกระซิบ “หน้าไม่อาย”
จีรณะมองหน้ายศ “คำนี้เหมาะกับผู้ชายที่คิดหลอกกินฟรีผู้หญิงมากกว่า”
“คนเรารักกันก็เลิกกันได้ ถ้ามันยากที่ประคับประคองกันต่อไป สำหรับพี่ชายฉันเขามีเหตุผลที่ต้องเลือกแม่ ส่วนน้องคุณก็ควรตัดใจ คนเราไม่ตายเพราะขาดความรักหรอก”
จีรณะโกรธจัดตะคอกใส่หน้าโสภิต “น้องผมนี่แหละที่ฆ่าตัวตายเพราะความรัก พวกคุณนี่มันเลือดเย็นจนสุดจะบรรยายจริงๆ” เขาจ้องโสภิตอย่างเข่นเขี้ยว เคียดแค้น “ผมจะรอดูวันที่คุณขาดใจตายเพราะโดนผู้ชายเขี่ยทิ้ง”
“นาย” โสภิตโกรธจัด
ทั้งสองจ้องหน้ากัน จีรณะเดินออกไป ยศด่าเยาะเย้ยตามหลัง
“ช่วยไม่ได้เว้ย น้องแกมารักฉันเอง แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้เงินจากฉันแม้แต่บาทเดียว”
“พอแล้วพี่ยศ”

ยศได้สติเห็นชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่มองกันมาแบบเกลียดชัง

ภายในห้องคนไข้เวลานี้ จิตรานั่งซึม น้ำตาไหลรินอยู่ในนนั้น มีเกียรติก้องคอยปลอบ

“จิตทำให้พี่จีผิดหวัง ทำให้พ่อต้องเสียชื่อเสียง แทนที่จิตจะห่วงพี่จี จิตกลับนึกถึงแต่เรื่องตัวเอง จิตมันเลวพี่ก้อง”
ผู้กองหันไปปลอบจิตรา “มันไม่เกี่ยวกับดีเลวหรอก คิดซะว่ามันเป็นความโชคร้ายของเรา คิดให้น้อยก็ทุกข์น้อยลงนะ”
จีรณะเปิดประตูเข้ามา จิตราถามอย่างร้อนใจ “พี่จี ได้เจอเขามั้ยคะ”
เกียรติก้องเห็นจิตราห่วงยศ ก็น้อยใจวูบหนึ่ง “ไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงใช่มั้ย”
“ก็เกือบไป พวกนั้นจะเอาเงินปิดปากเราแต่ฉันไม่รับ”
“เขามาหย่ากับจิตจริงๆ หรือ” จิตราส่ายหน้าร้องไห้ “ไม่จริงอ่ะ ไม่จริง”
จีรณะเข้าไปกอดน้อง “จิตต้องตัดใจ สู้กับความจริง ทำใจได้เมื่อไหร่ พี่จะพาจิตไปหย่ากับเขา จิตจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้”
จิตรากอดพี่ชายร้องไห้สะอึกสะอื้น เกียรติก้องเศร้า

ส่วนที่คุ้มอมรา แม่เลี้ยงอมราแผดเสียงย้อนถามพอได้ฟังจบ
“คุณพระคุณเจ้า มันเรียกเงินตั้งสิบล้านเลยหรือ พี่ชายมันเป็นใคร กล้าดียังไงมาต่อรองกับแม่”
โสภิตยืนคู่กับยศ “เขาชื่อ จีรณะค่ะ เป็นคนที่เคยขัดขวางการทวงหนี้ของนายชีพไงคะ ได้ยินมาว่าพ่อเขาเป็นคนดีศรีจังหวัดด้วย”
แม่เลี้ยงคิดๆว่าใคร “ลูกครูเจือหรือ มิน่ามันถึงกร่างนัก”
“แม่รู้จักครูเจือด้วยหรือคะ”
“มันคือคนที่ทำให้ตายศอับอายต้องลาออกจากโรงเรียน” แม่เลี้ยงหันมาตวาดลูกชาย “ตอนที่แกโกงสอบตอนเด็กๆไง”
“ชอบแส่เรื่องชาวบ้านทั้งพ่อทั้งลูก” ยศด่า
“ก็เพราะแกนั่นแหละชอบหาเรื่องเข้าบ้าน เห็นหรือยัง นังจิตราคบแกก็เพราะเงิน แกฟังชั้นให้ดีผู้หญิงที่แกจะแต่งงานด้วยคือหนูนิตยาเท่านั้นแล้วรีบไปจัดการให้นังจิตรายอมหย่ากับแกให้ได้ ไม่อย่างนั้นชั้นจะตัดแกออกจากกองมรดกแล้วก็ไสหัวออกไปจากบ้านชั้นได้เลย”
ยศหูตาเหลือก รีบออกไป “ครับแม่”
โสภิตเอ่ยขึ้น “เรื่องการหย่า เราต่อรองให้เหลือสักแสนนึงดีมั้ยคะ”
อมราตกใจ “ไม่ได้ เงินแสนมันหายากแค่ไหนรู้มั้ยลูก ต้องตามเก็บดอกเบี้ยกี่ราย ต้องรอตามเงินต้นกี่ปี”
“แล้วถ้าคุณจิตราเสียใจจนฆ่าตัวตายจริงๆ ละคะ”
“อย่าไปเชื่อ พี่ชายมันคิดโก่งราคาค่าตัวให้น้องมัน นี่ยัยภิตแม่เคยสอนแล้วไงว่า อย่าเชื่อใครง่ายๆ อีก”
โสภิตอึ้งไปอมรากล่อมต่อเสียงอ่อนลง “คนสมัยนี้มันไม่จริงใจกันหรอก มันต้องการแค่เงินของเรา”

ขณะเดียวกันจ่าทอง และดาบม้วนในชุดตำรวจนำทีมมามอบกระเช้าผลไม้เยี่ยมจิตรา จีรณะเป็นคนรับแทนที่หน้าห้อง
“น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเรา ชาวตำบลบ้านทุ่งทองครับผมขอให้หนูจิตราหายวันหายคืน”
“ขอบคุณทุกคนนะครับ ที่เสียเวลามากัน”
บัวหอมบอกทันที “โอ๊ย เสียเวลาอะหยังกัน สมัยน้าผ่าตัดลำไส้ ก็มีครูเจือนี่แหละคอยวิ่งเต้นหาเงินมาจ่ายค่าหมอ ค่ายา บ่ได้ครูเจือ น้าคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก”
สายพิณลดเสียงลงมาถามจีรณะ “ได้ข่าวว่า หนูจิตรากินยาฆ่าตัวตายประชดรักจริงหรือ”
บุญมีโมโห “ไอ้เลวนั่นมันเป็นใคร น้าจะไปสั่งสอนมันให้ แค่คุณจีบอกมาคำเดียว”
จ่าทองปราม “ให้มันเบาๆหน่อยน้าบุญมี เห็นหัวตำรวจอย่างฉันหน่อย”
“จ่ากับดาบเขามีงานเยอะอยู่แล้วอย่าไปเพิ่มงานให้เขาเลยครับน้ามี” จีรณะว่า
จ๋าเปิดประตูออกมา “คนป่วยตื่นแล้วค่ะ ใครจะเข้าเยี่ยมก็เชิญนะคะ”
พวกจ่าทอง ดาบม้วนทยอยเข้าห้องไปเยี่ยม อาโปถาม “นาย พี่จิตกินยาตายจริงเหรอ น้าพิณบอกว่า พี่จิตเสียใจเพราะผู้ชาย ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร ทำไมมันถึงใจร้าย ทำคนดีดีอย่างพี่จิต”
จีรณะเอ็ด “นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“อาโปไม่ใช่เด็ก ผู้หญิงที่หมู่บ้านอาโปก็เคยผูกคอตายเพราะถูกคนเมืองหลอก”
จีรณะดุ “พอแล้วอาโป ถ้าไม่อยากให้พี่จิตเสียใจมากกว่านี้ก็อย่าพูดเรื่องนี้อีก รู้มั้ย”
“ก็ได้”
จีรณะมองไประยะไกล เห็นผู้หญิงคล้ายโสภิตยืนหลบมุมอยู่ โสภิตเองก็เห็นเขา หล่อนตกใจรีบผลุบหายไป
จีรณะสงสัย “รอฉันอยู่ตรงนี้นะ” แล้วสาวเท้าตามไป

โสภิตเร่งฝีเท้าเดินออกไปทางระเบียง มองไปด้านหลังจากหางตาเห็นจีรณะตามมา โสภิตกลัวออกวิ่ง แต่ชนกับพีรพงษ์ที่หิ้วของเยี่ยม ตั้งใจมาเยี่ยมอมรา ต่างคนต่างจำกันไม่ได้
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
พีรพงษ์ปิ๊งความสวยของโสภิตจังๆ “ระวังอุบัติเหตุนะครับ มันเกิดขึ้นได้เสมอ”
โสภิตรีบมองไปข้างหลัง พีรพงษ์มองตามเห็นจีรณะเดินตรงมา
“คุณวิ่งหนีเขามาหรือครับ ต้องการให้ผมช่วยมั้ย” พีรพงษ์สงสัย
“เออ คือ ไม่เป็นไรค่ะ”
จีรณะเดินมาถึงพอดี พูดเสียงนุ่มนวลยิ้มๆ “ไม่เอาน่าภิต อย่าทำตัวเป็นคนสวยแสนงอนหน่อยเลย คนรักกัน ค่อยๆพูดจากันด้วยเหตุผลสิจ๊ะมาจ้ะ เราไปปรึกษาหารือกันสองต่อสองดีกว่า”
โสภิตงง จีรณะโอบไหล่แกล้งแสดงความเป็นเจ้าของ โสภิตได้สติผลักอกจีรณะ
“บ้าหรือเปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับนาย”
พีรพงษ์ต้องการอวดสาว รีบยืนบังโสภิต แล้วผลักอกจีรณะอย่างแรงจนเซถอยไปหน่อยหนึ่ง
“ผู้หญิงเขาไม่สน อย่าตื๊อดีกว่า มันทุเรศ”
จีรณะมองวงจรปิด “ระวังนะครับ ตรงนี้มีวงจรปิด คุณทำอะไรก่อนผมก็ได้เปรียบ”
พีรพงษ์โมโหไม่สนชกใส่จีรณะก่อน จีรณะหลบซ้ายหลบขวาอย่างง่ายดาย แล้วคว้าถังขยะที่เป็นอลูมิเนียมยกขึ้นมารับหมัดของพีรพงษ์ พีรพงษ์ชกเข้าใส่ถังขยะเต็มๆ เจ็บมือสุดๆ ตัวงอ
พีรพงษ์ร้อง “โอ๊ย!”

จีรณะคว้าข้อมือโสภิตที่ยืนตกใจอยู่ลากตัวออกไปทันที

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น