สามี ตอนที่ 1
บนท้องถนนของกรุงเทพฯ...ราพณ์ ลิ้มวัฒนาถาวรกุล ขับรถมาตามถนน จนมาจอดติดไฟแดง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขากดรับผ่านสปีกเกอร์โฟน
“ฮัลโหล”
เสียงธีรพัฒน์ เพื่อนสนิทของราพณ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมหรู ดังมาจากปลายสาย
“ไอ้ราพณ์”
ธีรพัฒน์ยืนคุยโทรศัพท์มือถือรออยู่ด้านหน้าโรงแรม พลางมองนาฬิกาอย่างกระวนกระวาย ด้านหลังมีกลุ่มนักข่าวกำลังทยอยกันเข้าไปในโรงแรม
“แกอยู่ไหน นี่มันจะได้เวลาแถลงข่าวแล้วนะ แกจี้ฉันทุกวันว่าอยากมารู้จักคุณหญิง แล้วป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีก คุณหญิงให้เวลาแถลงข่าวแค่ชั่วโมงเดียวนะเว้ย”
รถขับเข้ามาเทียบด้านข้างๆ ราพณ์หันมองเห็นว่าเป็น หม่อมราชวงศ์รสิกา ประกาศเกียรติ ที่เพื่อนกำลังพูดถึง ขับรถอยู่ ราพณ์มองอย่างดีใจ
“คุณหญิง...”
“ไอ้ราพณ์ ได้ยินที่ฉันพูดไหม”
ราพณ์ตัดบท
“ไอ้ธี อีกสองไฟแดงถึง โอเคนะ”
“เออ... แกมาถึงก็ขึ้นไปชั้นยี่สิบห้าเลยนะ”
ธีรพัฒน์เดินเข้าตึก สวนกับวศินที่เดินกดมือถือออกมา
“คุณหญิงทำไมยังมาไม่ถึงอีกนะ”
วศินบ่นเดินออกมารอรสิกาด้านหน้า
รสิกามองไฟแดงอย่างกระวนกระวายใจ เสียงมือถือดัง เธอกดสมอลทอล์ครับสาย
“ศินถึงแล้วใช่ไหมคะ อ้ายใกล้จะถึงแล้วค่ะศินอีกสองไฟแดงค่ะ”
“อ้ายรีบมานะครับ นักข่าวมากันเยอะแล้วครับ”
รสิการ้อนใจ
“ค่ะ อ้ายจะรีบไปให้เร็วที่สุดค่ะ”
สัญญาณไฟเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียว รสิกาเหยียบคันเร่ง ออกรถทันที ราพณ์มองยิ้มๆ แล้วเหยียบคันเร่งตามไปด้วยความเร็ว
รถรสิกาวิ่งเข้ามาในที่จอดรถ เธอเห็นที่จอดว่างอยู่ขยับรถเดินหน้าจะถอยเข้าเปิดไฟคู่ แล้วตั้งท่าขยับจะเข้าจอด ราพณ์ที่ขับตามเข้ามาเห็นจังหวะของรสิกาที่เหยียบเบรกขยับจะถอยรถเข้าจอด เขาตัดสินใจเร่งเครื่องเข้าไปจอด รสิกาที่กำลังเหยียบคันเร่งตกใจแทบจะกระทืบเบรก
“อะไรเนี่ย”
รสิกาโมโหเปิดประตูก้าวฉับๆ ไปที่ข้างประตูคนขับจะกระชากประตูเปิดแต่ติดล็อค เธอเคาะกระจกปึ้กๆ ราพณ์ยิ้มพอใจ เปิดประตูก้าวลงจากรถประจันหน้า
“คุณไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังจะเข้าจอด”
ราพณ์มองรสิกา เขาค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดออกมองหน้าหญิงสาว สายตาเขาวิบวับยิ้มอย่างอารมณ์ดีมาก
“เห็นครับ...แต่ว่าคุณ...ช้า...ผมรีบ”
“รีบยังไงคุณต้องรอ เพราะมันคือมารยาทของคนขับรถที่ดี”
“คุณขับช้าเกินไป แต่...ผู้หญิงขับรถก็เป็นธรรมดาล่ะครับ” ราพณ์กวนๆ
รสิกาฉุนกึก
“ประโยคที่คุณใช้ ฉันแปลได้ว่าคุณกำลังพูดว่าผู้หญิงไร้ประสิทธิภาพในการขับรถ ฉันอาจจะผิดที่ช้า แต่คุณผิดที่ไม่มีมารยาท”
“ครับ...” ราพณ์ยิ้มกวน “แล้วยังไงต่อครับ”
“หะ”
รสิกาจี๊ดกับท่าทางที่ไม่ยี่หระของเขา เธอพยายามข่มอารมณ์ เสียงมือถือดังขึ้น รสิกามองถอนใจหงุดหงิดพลางกดรับ
“อ้ายมาถึงแล้วค่ะ ห้านาทีนะคะ”
รสิกามองราพณ์อย่างไม่พอใจ จะไป
“คุณยังไม่ได้ขอโทษผมเลยนะ”
รสิกาชะงักหันกลับมาไม่อยากเชื่อหู
“อะไรนะ”
“ก็คุณทำให้ผมเสียเวลาฟังคุณอยู่ตั้งนาน ทั้งที่ผมรีบ ตามมารยาท คุณควรขอโทษผม เข้าใจใช่ไหมครับ”
“ขอโทษ ที่คุณมาปาดแย่งที่จอดรถฉันงั้นเหรอ”
“ครับ...” ราพณ์ยิ้ม
รสิการู้สึกจี๊ดมากจะถึงขีดสุด
“ต่อมผิดชอบชั่วดีของคุณคงฝ่อ แต่ฉันไม่”
“ผมก็คิดว่าคุณหญิงจะเป็นคนบ้าจี้...”
รสิกาชะงักมองหน้า
“คุณรู้จักฉันเหรอ”
“คุณหญิงรสิกา แห่งวังประกาศเกียรติ ผมต้องถวายบังคมไหม”
“คุณมัน...”
รสิกาเห็นราพณ์ยิ้มกวนประสาท อยากจะด่ารุนแรงแต่ทำไม่ได้
“พูดมาสิครับ ผมรอฟังอยู่”
ราพณ์ยิ้มกว้างเริ่มสนุก แต่ยังไม่ทันจะได้เล่นต่อ เสียงมือถือเขาดังขึ้น ราพณ์กดรับ
“ฉันกำลังจะขึ้นไป” ราพณ์เหลือบมองรสิกา “เอาอย่างนี้ ผมจะถอยรถออกให้คุณจอดแทนดีไหม”
“ไม่จำเป็น”
พนักงานโรงแรมวิ่งเข้ามา
“รบกวนขยับรถได้ไหมครับ รถคุณผู้หญิงขวางทางอยู่น่ะครับ”
รสิกาส่งกุญแจให้
“ช่วยเอาไปจอดให้ด้วยนะคะ แล้วฝากกุญแจไว้ที่ฟร้อนท์ ขอบคุณมาก”
รสิกาจะไปไม่สนใจ ราพณ์พูดไล่หลังไป
“แล้วพบกันนะครับ”
รสิกาฉุน อดไม่ได้หันมาเล่นงาน
“ฉันไม่คิดว่าชาตินี้เราจะ...”
ราพณ์ยิ้มพูดแทรกแอบกวนนิด ๆ
“แต่ผมคิดนะ”
รสิกาโกรธที่โดนยอกย้อน ราพณ์เดินเข้าไปในโรงแรม ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
รสิกามองตามตามขวางโกรธเอามากๆ
ขณะที่ราพณ์กำลังจะเดินเข้าลิฟท์ เสียงเจ้าสัวเรียว บิดาของเขาดังขึ้น
“ราพณ์”
ราพณ์ชะงักหันมองเห็นเจ้าสัวเรียว เดินมากับไพศาล เพื่อนนักธุรกิจ โดยนที เลขาเจ้าสัวเรียวเดินตามหลังมา
“ป๊า...สวัสดีครับ อากู๋ไพศาล”
ไพศาลยิ้มแย้ม
“ตอนนี้เปิดคอนโดหลายโครงการ ยอดจองถล่มทลายเลยใช่ไหม”
“ก็กำไรนิดหน่อยน่ะครับ เครื่องดื่มของอากู๋ตอนนี้ก็ตีตลาดทางยุโรปได้แล้วนี่ครับ ถ้าความนิยมยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆขนาดนี้ อีกหน่อยอากู๋คงล้มเจ้าถิ่นได้แน่”
ไพศาลหัวเราะพอใจ
“ไม่ธรรมดาจริงๆ คิดว่าจะสนใจแต่ข้อมูลธุรกิจตัวเอง นี่คงศึกษารอบด้านเลยล่ะสิ”
“ป๊าสอนผมเสมอว่าเราไม่ควรเป็นน้ำเต็มแก้วศึกษาหาความรู้เสมอ เรื่องของธุรกิจก็ต้องตามข่าวจากธุรกิจหลายๆ แบบ วิเคราะห์ได้ประเมินเป็น”
เจ้าสัวเรียวภูมิใจมากที่ราพณ์จำคำสอนได้
“เพราะถ้าจะเป็นผู้บริหาร มันต้องรู้รอบด้าน จะได้อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น”
“ดีแล้ว เชื่อป๊าลื้อไม่มีอับจน”
เจ้าสัวเรียวหัวเราะอย่างภูมิใจ
“แล้วนี่ลื้อมาที่นี่ทำไม นัดลูกค้าหรือไง”
“คุณหญิงรสิกา มาเป็นมัณฑนากรให้ไอ้ธีครับป๊า”
“คุณหญิงรสิกา...”
เจ้าสัวเรียวยิ้มๆคิดหาเรื่องสนุกๆ แกล้งรสิกา
“ผมไปก่อนนะครับ” ราพณ์ขอตัว
เจ้าสัวเรียวหันไปบอกนที
“คุณหญิงรสิกาลงมาเมื่อไหร่บอกฉันด้วย”
“ผมจะไปเช็กให้ครับ”
นทีเดินแยกไป
นักข่าวยืนรออยู่หน้าห้อง บริกรเข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มเป็นน้ำมะตูมต้อนรับ เสียงสุรีย์ส่องดังขึ้น
“ฉันอยากได้ไวน์”
ทุกคนหันมอง สุรีย์ส่องในชุดแบรนด์เนมหรู กำลังยืนเอาเรื่องกับบริกร
“คือ เครื่องดื่มที่ทางโรงแรมเตรียมไว้เป็นน้ำมะตูมอย่างเดียวน่ะครับ”
“ถ้าฉันอยากได้ไวน์ ฉันต้องได้ ฉันจะดื่มไวน์”
บริกรหน้าเสีย ไม่รู้จะทำยังไง นักข่าวพากันหันมอง นักข่าวคนหนึ่งนินทากับเพื่อน
“คุณสุรีย์ส่องเป็นเจ้าของหนังสือแท้ๆ ไม่รู้จะมาทำไม”
“ชอบเปิดตัวไงแก งานไหนมีนักข่าวล่ะเธอชอบ หาเรื่องให้ตัวเองมีข่าวประจำ”
สุรีย์ส่องยังจะเอาให้ได้
“ไปเอามาสิ”
บริกรยังนิ่งเพราะไม่รู้จะทำยังไง นักข่าวมองแบบเซ็งๆ สุรีย์ส่องจะโวยจิกให้ได้ดังใจ แต่เสียงของธีรพัฒน์ดังเข้ามาซะก่อน
“สวัสดีครับทุกท่าน ขอบคุณนะครับที่ทุกท่านให้เกียรติมาในวันนี้ เชิญทางนี้ครับ”
ธีรพัฒน์เดินนำไปที่ประตูห้องสูท สุรีย์ส่องสิ้นความสนใจทันทีตามธีรพัฒน์ไป นักข่าวตามไป...ธีรพัฒน์เดินนำนักข่าวเข้ามาในห้อง สุรีย์ส่องกับกลุ่มนักข่าวตามเข้ามา บรรยากาศในห้องสวีทโรงแรมหรูถูกตกแต่งในคอนเซ็ปท์ของความเป็นไทย ทั้งลายผ้าม่าน และลวดลายบนผ้าคลุมโซฟาส่วนที่เป็นผ้าทั้งหมดของห้อง ถูกออกแบบผสมผสานด้วยผ้าไหมเนื้อดีสีเงินมันวาว ผสมผสานกับลายผ้าไทยที่แม้จะมีสัดส่วนที่เล็กน้อยแต่ดูเหมาะเจาะลงตัว ไม่ดูยัดเยียดความเป็นไทยจนเลี่ยนแต่กลับทำให้ลวดลายของผ้าไทยส่งให้ห้องดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นักข่าวจากหลายสำนักพิมพ์ต่างพากันถ่ายรูปอย่างชื่นชมกับผลงานการตกแต่งที่ได้เห็น ธีรพัฒน์อธิบาย
“เราได้ทำการรีโนเวทห้องนี้เพื่อต้อนรับเจ้าหญิงคาร่า ประธานมูลนิธิเพื่อเด็กด้อยโอกาสทั่วโลก”
สุรีย์ส่องมองๆอย่างถูกใจ ขยับเข้ามาถาม
“พอจะอธิบายคอนเซ็ปท์ ในการตกแต่งครั้งนี้ได้ไหมคะ”
“ผมขอให้เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบงานครั้งนี้ดีกว่าครับ”
ธีรพัฒน์ผายมือไปทางประตู รสิกาก้าวเข้ามายืนที่ประตู มีวศินที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าก้าวตามมาเคียงข้าง
“หม่อมราชวงศ์รสิกา ประกาศเกียรติ อินทีเรียดีไซน์ผู้รับผิดชอบงานในครั้งนี้ครับ”
นักข่าวตะลึงในความสวย พากันถ่ายรูปรสิกาที่ยกมือไหว้อย่างไม่ถือตนนัก
“สวัสดีค่ะ”
“เมื่อปีก่อนผลงานการตกแต่งเรือนหอของท่านประธานาธิบดีทำให้ คุณหญิงดังมากในอเมริกา มีข่าวว่าคุณหญิงจะไม่กลับเมืองไทย” นักข่าวถาม
“อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขเหมือนอยู่บ้านหรอกค่ะ” รสิกายิ้มแย้ม
“ทั้งที่เวลาค่อนข้างสั้น แต่คุณหญิงก็ให้เกียรติทางโรงแรมสร้างสรรค์งานออกมาได้เป็นที่น่าพอใจมาก” ธีรพัฒน์ชม
นักข่าวต่างพากันถ่ายรูป รสิกาที่ดูสวย สง่า วศินที่ยืนเคียงข้างพลอยยืดนิดๆ อย่างภูมิใจ
“สำหรับคอนเซ็ปท์ในการตกแต่งครั้งนี้นะคะ...”
รสิกาเดินนำนักข่าวไปตามมุมต่าง ๆ อธิบาย สุรีย์ส่องมองรสิกาด้วยความริษยา
นักข่าวถ่ายรูปภายในห้องตามมุมต่างๆ ราพณ์ก้าวเข้ามาในห้องอยู่ด้านหลังกลุ่มนักข่าว เขามองไปที่รสิกาอย่างสนใจ รสิกาอธิบาย
“ดิฉันอยากให้มีกลิ่นอายความเป็นไทย ที่ผสมผสานกับรูปแบบโมเดิร์น จึงเลือกใช้ผ้าไทย”
สุรีย์ส่องโพล่งออกมาเลย เสียงราวกับแนะนำด้วยความหวังดีมาก
“เชยนะหญิงอ้าย งานครั้งนี้เราต้อนรับระดับเจ้าหญิงนะจ๊ะ ตกแต่งแบบนี้มันจะดูล้าหลังหรือเปล่า เขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว เดี๋ยวต่างชาติจะคิดว่าเรายังขี่ควายแทนรถไม่แย่เหรอ เดี๋ยวนี้มันควรจะเป็นแบบลายผ้าจากปารีส มิลาน...แบบนั้นน่าจะดูให้เกียรติเจ้าหญิงมากกว่านะจ๊ะ”
สุรีย์ส่องมองอย่างเหยียดหยันรสิกามากๆ
นักข่าวมองหน้ากันอย่างรู้กันว่า สุรีย์ส่องสร้างเรื่องอีกแล้ว รสิกายิ้มเย็น
“คุณสุรีย์ส่องถือสัญชาติอะไรอยู่คะ”
สุรีย์ส่องงง แต่ปากไวย้อนไปก่อน
“สัญชาติไทยสิจ๊ะ ถามงะ...” สุรีย์ส่องจะพูดว่าโง่ แต่นึกได้พลิกทัน “งงๆ”
รสิกามองหน้า
“ถ้าคนไทยที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมยังคิดว่าความเป็นไทยของเรามันเป็นเรื่องเชยและล้าหลังล่ะก็ แสดงว่าคน ๆ นั้นกำลังลืมรากเหง้าของตัวเอง แต่” รสิกามองสุรีย์ส่องหัวจรดเท้าช้าๆ ยิ้ม “การแต่งกายก็
บ่งบอกแล้วจ๊ะ ว่าคุณสุคิดยังไงกับความเป็นไทย”
สุรีย์ส่องหน้าชา นักข่าวคนพากันตบมือชอบใจ บางคนถึงกับหลุดหัวเราะออกมา นักข่าวบอกรสิกา
“ผมขอถ่ายรูปคุณหญิงหน่อยนะครับ”
“ยินดีค่ะ” รสิกายิ้มรับ
นักข่าวขยับเข้ามาจะหามุมถ่ายพยายามบอกให้รสิกาขยับจัดท่า รสิกาก็ให้ความร่วมมือแต่ช่างภาพยังไม่พอใจจะขยับเข้ามาเพื่อจัดท่าให้ แต่ก่อนที่มือจะถึงตัว วศินปัดมือนักข่าวออกทันที
“โอ้ย อะไรกันคุณ” นักข่าวโวยวาย
วศินสีหน้าตำหนิ
“การจาบจ้วงถึงเนื้อถึงตัว มันคงไม่ใช่มารยาทที่ดีนักนะครับ”
ช่างภาพมองหน้า วศินมองข่มแบบเป็นองครักษ์พิทักษ์รสิกามาก บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นทันที รสิกาพยายามคลายบรรยากาศ
“ไม่เป็นไรค่ะวศิน” รสิกาหันไปพูดกับนักข่าวอย่างอ่อนโยน “รบกวนอธิบายอ้ายอีกทีนะคะว่าอยากให้ยืนแบบไหน”
นักข่าวต่างมองวศินที่ยังยืนทำหน้ากวนประสาทอย่างไม่พอใจ บรรยากาศคุกรุ่นมาก รสิกามองเข้าใจ
“วศินคะ อ้ายขอกาแฟสักแก้วให้อ้ายนะคะ”
วศินรู้ว่ารสิกาจะกันออกไป
“อ้ายครับ”
“นะคะวศิน”
“ผมทำเพื่ออ้ายนะครับ” วศินมองตัดพ้อแล้วออกไปเลย
สุรีย์ส่องมองตามวศินแล้วเดินตามออกไป รสิกามองตามรู้ว่าวศินไม่พอใจอยากจะตามแต่นักข่าวเรียกให้ถ่ายรูป เธอต้องขยับยืนโพสท์ให้นักข่าวถ่ายตามที่ต้องการ
วศินจะเดินไปตรงโต๊ะที่จัดเครื่องดื่ม อาหารว่าง มีผู้จัดการกับพนักงานเสิร์ฟช่วยกันดูแลอยู่ สุรีย์ส่องรีบตามมา
“วศินคะ”
วศินหันกลับมาเห็นเป็นสุรีย์ส่อง หยุดคุยอย่างเสียไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับคุณสุ”
“สุมีเรื่องจะแนะนำศินน่ะค่ะ ศินเองก็เก่งเรื่องออกแบบไม่แพ้อ้าย ทำไมต้องมาเดินตามต้อย ๆ อย่างกับคนรับใช้ของอ้าย”
วศินหน้าตึง
“พูดให้ถูกนะครับคุณสุ ผมตามดูแลคุณหญิงในฐานะคนรัก ไม่ใช่คนรับใช้”
“ถ้าศินไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอก พฤติกรรมศินมันดูจะตามหวงเจ้าของขนาดนั้น”
วศินโกรธ แต่พยายามเก็บที่สุด
“คุณมาทำข่าวคุณหญิงไม่ใช่เหรอครับ อยู่ตรงนี้คงไม่ได้ข่าวอะไร ขอตัวนะครับ”
วศินจะไป สุรีย์ส่องคว้ามือไว้
“ลองอยู่กับสุ ศินจะรู้ว่าดีกว่าอยู่กับอ้ายมาก”
วศินมองนิ่ง สุรีย์ส่องมองท้าทาย
ราพณ์ขยับเข้ามายืนข้างธีรพัฒน์ ราพณ์มองที่รสิกา
“อยากเจอไม่ใช่เหรอ...คุณหญิงรสิกา ประกาศเกียรติ ฉันแนะนำให้คุณหญิงรู้จักแกดีไหม” ธีรพัฒน์บอก
“ไม่ต้องหรอก รู้จักกันแล้ว” ราพณ์ยิ้ม
ธีรพัฒน์แปลกใจ
“เอ้า...ตอนไหนวะ แกบ่นกับฉันมาเป็นปีว่าอยากรู้จักคุณหญิง ฉันถึงลากแกมางานนี้ แล้วทำไม...”
ราพณ์เปลี่ยนเรื่อง
“แล้วคนที่ทำตัวเป็นบอดี้การ์ดเมื่อกี้ใคร”
“วศิน ผู้ช่วยคุณหญิงแต่ควบตำแหน่งแฟนด้วย เข้าใกล้เกินครึ่งเมตรมันจะเห่าไม่เลี้ยงเลย”
ราพณ์มองธีรพัฒน์ยิ้ม ๆ
“แกโดนมาแล้วงั้นสิ”
ธีรพัฒน์พยักหน้ารับแบบเซ็งๆ นิดหน่อย แล้วเข้าไปช่วยรสิการับนักข่าว
“เราจัดเครื่องดื่ม อาหารว่างไว้ทางด้านนอก เชิญทุกท่านร่วมรับประทานอาหารว่างนะครับ”
รสิกาได้โอกาสปลีกตัวออกไปตามวศิน ราพณ์เดินตามไปเนียนๆ
วศินเห็นรสิกาเดินเข้ามาในระยะที่ได้ยิน เขาดึงมือสุรีย์ส่องออก
“ศิน” สุรีย์ส่องไม่พอใจ
“คุณก็รู้ว่าผมมีคุณหญิงอยู่แล้ว อย่าพยายามเลยครับ”
“สุมีเท่ากับอ้ายทุกอย่าง”
วศินสวนทันที
“ไม่เท่าหรอกครับ อย่างน้อยคุณหญิงก็ไม่เคยต้องไล่ตามตื้อใครอย่างที่คุณกำลังทำ และที่คุณต้องรู้คือ...ผมเลือกคุณหญิงแล้ว คำตอบนี้พอไหมครับ”
สุรีย์ส่องโกรธ หันกลับมาไม่ทันมองชนกับพนักงานที่ถือถาดกาแฟเข้ามา กาแฟหกรดใส่ตัว เธอร้อนด้วย อายด้วย โกรธมาก
“แกทำชุดฉันเลอะ”
พนักงานตกใจ ผู้จัดการที่จัดเครื่องดื่มอยู่รีบเข้ามา
“ขอประทานโทษด้วยนะครับ ทางเราจะซักแห้งให้นะครับ”
“ไม่ต้อง” สุรีย์ส่อง มองทางพนักงานโกรธมาก “ฉันต้องการให้ไล่พนักงานคนนี้ ออก”
พนักงานตกใจกลัวโดนไล่ออก
“แต่คุณผู้หญิงเป็นฝ่ายชนผมนะครับ”
สุรีย์ส่องโกรธจัดที่มาบอกว่าตัวเองผิด เสียหน้า
“ไล่มันออก ไม่งั้นฉันจะเอาเรื่องพวกคุณ”
ทุกคนตะลึง พนักงานอึ้ง ผู้จัดการหนักใจ
“ทางเราคงทำไม่ได้ เพราะมันจะดูเป็นการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ”
“ถ้าฉัน สุรีย์ส่อง ประกาศเกียรติสั่งต้องทำได้ นามสกุลฉันคงทำให้คิดได้ใช่ไหมว่าคุณจะเลือกรักษาลูกค้าระดับวีไอพีอย่างฉัน หรือพวกพนักงาน ระดับต่ำ”
ผู้จัดการลำบากใจ ทันใดนั้นเสียง รสิกาดังขัดขึ้น
“ไม่ต้องไล่ใครออกทั้งนั้น”
ทุกคนหันไปมองรสิกาที่ก้าวเข้ามา
“ถ้ามีคนต้องไป คงต้องเป็นเธอ”
สุรีย์ส่องไม่พอใจ
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่ายุ่ง”
“เธอเอานามสกุลฉันไปแอบอ้าง อวดเบ่ง ฉันคงยอมไม่ได้” รสิกาหันไปบอกพนักงานคนนั้น “ไปเถอะ ไม่มีใครเอาเรื่องคุณทั้งนั้น”
รสิกาพูดกับสุรีย์ส่องเบาๆ
“แล้วช่วยจำให้แม่นหน่อยนะสุรีย์ส่อง ว่าคุณลุงประสิทธิ์เป็นแค่บุตรบุญธรรมของท่านปู่ เข้าใจใช่ไหมว่าเธอไม่ได้มีเลือดของประกาศเกียรติแม้แต่หยดเดียว เลิกใช้นามสกุลของตระกูลฉันเสริมบารมีให้ตัวเองทั้งที่ไม่มีสิทธิ์สักที”
สุรีย์ส่องโกรธมาก
“หญิงอ้าย”
นักข่าวที่เริ่มขยับเข้ามามองอย่างสนใจ รสิกาพูดเน้นๆ
“ที่ถูกคือ คุณหญิงอ้ายนะคะ...คุณสุรีย์ส่อง กรุณาเรียกให้ถูกต้องด้วย”
นักข่าวยิ้มขำ สุรีย์ส่องโกรธที่เสียหน้า สะบัดหน้าเดินออกไป พนักงานไหว้รสิกา
“ขอบคุณมากนะครับ”
รสิกายิ้ม นักข่าวถ่ายรูปจังหวะที่พนักงานยกมือไหว้ไว้ ราพณ์มองรสิกาอย่างประทับใจ
รสิกาก้าวออกจากลิฟท์พร้อมกับวศิน เสียงมือถือดัง เธอกดรับสาย
“ค่ะ หม่อมแม่...กลับไปที่วังด่วนเหรอคะ...แต่ว่า...งานอะไรคะ...เอ่อ...อ้ายจะรีบกลับไปนะคะ สวัสดีค่ะ” รสิกาวางสายหันมาหาวศิน “ศินคะ อ้ายฝากดูทางนี้ด้วยนะคะ”
“ครับ ขับรถดีๆ นะครับ”
รสิกาจะหันกลับไปเพื่อเดินไปลานจอดรถ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเจ้าสัวเรียวเดินมาหา พร้อมนที
“สวัสดี คุณหญิงรสิกา” เจ้าสัวเรียวทักทาย
รสิกามองอย่างเกลียดชัง เพราะเจ้าสัวเรียวเป็นคนรักใหม่ของหม่อมรัตนาวลี มารดาของเธอ วศินซึ่งรู้สถานการณ์ดีรีบบอก
“คุณหญิงไปกันเถอะครับ”
รสิกาจะไปตามที่วศินบอกแต่ชะงัก เมื่อเจ้าสัวเรียวพูดขึ้น
“พูดด้วยแล้วไม่พูดด้วยเขาเรียกว่าไม่มีมารยาทนะคุณหญิง”
รสิกาหันขวับมา เจ้าสัวเรียวหยันๆ
“ใช่ไหมนที”
เจ้าสัวเรียวเห็นรสิกามองจะกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งยิ้ม
“ใช่ไหม”
นทียิ้มซื่อรับมุก
“ใช่ครับเจ้าสัว”
รสิกาคอแข็ง มองตรงไปข้างหน้าอย่างพยายามเก็บกดข่มความเกลียด
“คุณต้องการอะไร”
สายตาเจ้าสัวเรียว เห็นรสิกากำมือแน่น ก็เข้าใจความรู้สึก เพราะรู้ว่าเข้าใจผิดว่าเขาทำร้าย หม่อมเจ้าชัยประกาศบิดาของเธอ แต่เขาไม่ถือสาอยากจะญาติดีเพราะเป็นลูกของรัตนาวลี คนที่ตัวเองรัก
“ก็พูดคุยกันอย่างเป็นมิตร อย่างน้อยผมกับหม่อมวลี เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
รสิกาโกรธ
“อย่าพูดจาตีเสมอหม่อมแม่ของฉัน วรรณะของเรามันต่างกัน”
“ผมก็ระดับเจ้าสัว ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะคุณหญิง”
“บรรดาศักดิ์ที่ใช้เงินซื้อ หรือจะมีคุณค่าสู้เลือดสีน้ำเงินของท่านพ่อได้”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม ไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องเลย
“ผมมีธุรกิจต้องทำจะได้มีเงินมาซื้อบรรดาศักดิ์เพิ่ม ขอตัวก่อนนะคุณหญิง”
เจ้าสัวเรียวเดินไปเลย นทีตามไป รสิกามองตามอย่างหงุดหงิด วศินเตือนสติ
“คุณหญิงใจเย็นๆ นะครับ”
“คนแบบนั้นไม่มีค่าให้อ้ายต้องอารมณ์เสียหรอกค่ะ อ้ายไปก่อนนะคะ”
รสิกาเดินไปทันที วศินมองตามอย่างเป็นห่วง
สามี ตอนที่ 1 (ต่อ)
รสิกาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูรั้ววังประกาศเกียรติ ลุงธรรม คนสวนรีบมาเปิดประตูรั้วให้ รสิกาขับรถเข้าไปด้านในมาจอดรถที่หน้าตึก แม่นมกับแหววและคนรับใช้เก่าแก่อีกสามคนมายืนรอรับ
“คุณหญิงกลับมาแล้ว” แหววจะถลาเข้าไป
แม่นมปราม
“แหวว”
แหววเบรกค้าง แม่นมเดินมาหยิกที่สีข้าง
“โอ้ยๆ คุณนมขา แหววเจ็บนะคะ”
“ฉันจะหยิกจนกว่าหล่อนจะเลิกทำกิริยาม้าดีดกะโหลกกับคุณหญิง ทำตัวเหมือนไม่ได้รับการอบรม ไปช่วยรับกระเป๋าคุณหญิง”
แหววเข้าไปหารสิกาแบบสโลว์มากท่าทางกวนประสาท แม่นมตามไปหยิกใหญ่เลย
“กวนประสาทฉันเหรอ”
“โอ้ยๆ คุณหญิงขาช่วยแหววด้วยค่า”
รสิกาลงจากรถมองยิ้มๆ
“นมจ๋า...”
“นมจะหยิกสั่งสอนแม่แหววให้เนื้อหลุดเลย”
“วัยพี่แหววจับเฉยๆ เนื้อก็หลุดติดมือแล้วล่ะจ๊ะนม” รสิกายิ้ม แซว
“คุณหญิงคะ เนื้อแหววไม่ได้ยุ่ยเละเหมือนพวกป้าๆ ยายๆนะคะ”
กลุ่มป้าๆมองแบบพาลมาถึงได้ไงเนี่ย
“แม่แหวว”
รสิกาขำ เสียงรัตนาวลีดังเข้ามา
“ทะเลาะอะไรกันอีกจ๊ะนม”
ทุกคนหันไปมองรัตนาวลีที่เดินออกมา คนรับใช้พากันขยับย่อลงอัตโนมัติ
“อบรมแม่แหววค่ะหม่อม ไม่ปรามเดี๋ยวจะกลายเป็นไม้แก่ดัดยาก”
“ก็ไม่ต้องดัดค่ะนม ฟาดเลย อ้ายสนับสนุน” รสิกายุขำๆ
แหววหน้าเหวอ
“คุณหญิงอย่าส่งเสริมคุณนมแบบนั้นสิคะ แหววก็ตายพอดี”
รสิกายิ้มขำ
“หม่อมแม่บอกให้อ้ายรีบกลับมาว่ามีงาน งานอะไรเหรอคะ”
“ไปแต่งตัวสวย ๆ นะลูกนะ ไปถึงงานก็รู้เอง”
“เซอร์ไพรส์เหรอคะ” รสิกาแปลกใจ
“นมจ๊ะ...ดูแลให้ด้วยนะ”
แม่นมสบตากับรัตนาวลีรู้สึกลำบากใจ รู้ว่าถ้ารสิการู้เป็นเรื่องแน่
“ค่ะ...”
“หม่อมแม่คะ...” รสิกาชะงักเพราะแม่นมยึดมือไว้ “นมจ๊ะ อ้ายขอคุยกับหม่อมแม่
ก่อนนะจ๊ะ”
“ไปแต่งตัวกันนะคะ...” แม่นมยิ้มต้อน “คนดีของนม”
รสิกาเจอคำนี้ต้องยอมทุกที แม่นมพารสิกาออกไป รัตนาวลีมองตามอย่างหนักใจ
รสิกาแต่งตัวอยู่ในห้องนอน แม่นมอยู่ด้านหลังกำลังเก็บชุดอื่น ที่ไม่ใช้เข้าตู้ให้เรียบร้อย
“วันนี้อ้ายเจอแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งเจ้าสัวเรียว แล้วยังสุรีย์ส่องอีก เมื่อไหร่สุรีย์ส่องจะยอมรับความจริงสักที ว่าเขาไม่มีสิทธิ์จะเอาชื่อเสียงของประกาศเกียรติไปแอบอ้าง”
“ชื่อเสียงเป็นสิ่งสมมติจะเก็บมาคิดให้ปวดหัวทำไมคะ”
“แต่มันเป็นสิ่งที่ที่ท่านปู่ ท่านพ่อสร้างสมมานะคะ”
“ถือก็หนัก วางก็เบานะคะคุณหญิง”
“แต่อ้ายทนไม่ได้ค่ะ อ้ายจะไม่ยอมให้ใครมาทำลาย จะรักษามันไว้ด้วยชีวิตของอ้าย”
แม่นมแอบมองรสิกาอย่างหนักใจ...รสิกาแต่งตัวชุดราตรีสวยงามเสร็จเรียบร้อยหันกลับมาเห็นแม่นมยื่นกล่องเครื่องประดับให้ ในกล่องมีเครื่องประดับสร้อยเพชร เป็นมรดกตกทอดมารุ่นต่อรุ่น
“หม่อมให้คุณหญิงใส่เครื่องประดับชุดนี้ค่ะ” แม่นมบอก
“เครื่องประดับของท่านย่าเลยเหรอจ๊ะ ปกติจะให้ใส่ไปงานสำคัญๆ”
แม่นมหลบตา
“งานนี้ก็คงสำคัญน่ะค่ะ”
รสิกาสงสัย
“อ้ายถามว่างานอะไร หม่อมแม่ก็ไม่ยอมบอก ทำไมจะต้องให้เต่งตัวเต็มยศขนาดนี้”
แม่นมรู้ว่าทำไม แต่ไม่อยากให้รู้ตอนนี้ก็เลี่ยงไป
“คุณหญิงไว้ทุกข์ให้ท่านชายมาสองปี พอออกทุกข์ก็ทำแต่งาน หม่อมท่านคงอยากให้คุณหญิงได้สังสรรค์บ้างน่ะค่ะ”
“อ้ายไม่เห็นอยากไปเลย อยากอยู่ทำงานมากกว่า”
แม่นมกลัวรสิกาเปลี่ยนใจ
“ไปเถอะค่ะ...ไปเป็นเพื่อนหม่อมท่านออกงานแทนท่านพ่อนะคะ”
รสิกามองภาพ หม่อมเจ้าชัยประกาศที่วางอยู่หัวเตียงอย่างคิดหนัก แม่นมเสียงหวาน
“นะคะคนดีของนม”
รสิกายอมให้แม่นมใส่สร้อยแต่โดยดี
ทางเข้าด้านหน้าสถานที่จัดงาน ถูกจัดไว้สวยงามด้วยดอกไม้ มีแผ่นป้ายสีแดงเขียนด้วยตัวอักษรสีทองเป็นคำมงคล รัตนาวลีในชุดราตรีสวยงามเดินนำรสิกาเข้าไปที่หน้างาน รสิกาชะงักที่เห็นแผ่นป้ายสีแดงที่เป็นตัวอักษรจีนคำว่า ซิ่ว ติดอยู่ รัตนาวลีรู้สึกว่ารสิกาไม่เดินจึงหันมากลัวลูกสาวจะไม่ยอมเข้า
“ไปสิจ๊ะอ้าย คนเข้าไปในงานกันหมดแล้ว”
“หม่อมแม่คะ ใครเป็นเจ้าภาพงานนี้คะ”
รัตนาวลีมองตามสายตารสิกาเห็นป้ายภาษาจีน รัตนาวลีอ้ำอึ้งจะพูด พอดีกับที่ รุ้งราย กับระริน ลูกสาวเจ้าสัวเรียว เดินออกมาจากงาน พอเห็นรัตนาวลีก็รีบเข้ามาหา
“หม่อมวลี มาทันเวลาพอดี ระรินพาหม่อมไปทีนะ” รุ้งรายยกมือไหว้
รัตนาวลีหันมาหารสิกา
“เข้าไปในงานก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ตามไป”
“เดี๋ยวสิคะหม่อมแม่จะไปไหน”
รัตนาวลีไม่ตอบเดินตามระรินไปเลย รสิกายืนงงว่านี่มันอะไรกัน รุ้งรายเข้ามาหารสิกา มองยิ้ม ๆ จนรสิกาแปลกใจ รุ้งรายเลยเปลี่ยนท่าที
“สวัสดีค่ะ คุณหญิงรสิกา เชิญทางนี้ค่ะ”
“เดี๋ยวค่ะ ใครเป็นเจ้าภาพงานนี้คะ”
รุ้งรายตอบไปอย่างอื่น
“งานกำลังจะเริ่มแล้ว เชิญค่ะ”
รุ้งรายเดินนำไป รสิกาเดินตามเข้าไปในงานอย่างเริ่มหงุดหงิด
รุ้งราย เดินนำรสิกาเข้ามาในงาน เสียงปรบมือรอบตัวดังขึ้น รสิกามองไปรอบๆ เห็นแขกต่างใส่ชุดโทนแดง ทอง สดใส กู๋พงษ์ น้องชายเจ้าสัวเรียว ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการในงาน ประกาศผ่านไมค์
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมในฐานะน้องชายดีใจแทนเจ้าสัวเรียวยิ่งนัก ที่ได้เห็นมิตรภาพและความอบอุ่นในงานแซยิดของเจ้าสัวเรียว เพื่อเป็นเกียรติให้กับมิตรภาพที่ทุกท่านมอบให้ เรียนเชิญ
เจ้าสัวเรียวบนเวทีครับ”
รสิกาชะงักมองไป เห็นมีลูกท้อที่เป็นแป้งปั้นเลียนแบบตั้งวางสูงประดับบนเวที เจ้าสัวเรียวในชุดสูทดูดี เดินเข้ามาที่กลางเวทีมองไปรอบๆ
“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ เกือบ 60 ปีที่ผ่านมา เพราะได้รับมิตรภาพที่ดีจากทุกท่านทำให้ผมและครอบครัวก้าวมายืนที่จุดนี้”
ลูกสาวของเจ้าสัวเรียวคือ รังรอง รุ้งราย และ ระริน เดินขึ้นมาบนเวที ตามมาด้วยชาญชัย สามีของรังรอง
“เพื่อนร่วมวงการ ญาติพี่น้อง พนักงานทุกคน ขอให้ทุกท่านรับการคารวะจากผมและลูก ๆ ของผมทุกคน”
เจ้าสัวเรียวและลูก ๆ ต่างก้มหัวอย่างให้เกียรติกับแขก ทุกคนในงานปรบมือ ขณะเดียวกัน สุรีย์ส่องในชุดสวยยืนกำกับตากล้องให้ถ่ายรูป
“เก็บภาพครอบครัวเจ้าสัวเรียวให้ครบทุกคนนะ เผื่อให้ฉันเลือกจัดหน้าด้วย” สรีย์ส่องชะงัก สายตาเหลือบไปเห็นรสิกายืนอยู่ “ยัยอ้าย...มาได้ยังไง”
รสิกามองเจ้าสัวเรียวอย่างเกลียดชัง เธอจะหันหลังกลับออกไปแต่ต้องชะงักที่ได้ยินประโยคต่อมา
“และในวันที่น่ายินดีเช่นนี้ ผมขอเชิญหม่อมรัตนาวลีบนเวทีครับ”
รสิกาหันกลับมา เห็นรัตนาวลีเดินมายืนเคียงข้างเจ้าสัวเรียวบนเวที
“ผมเชื่อว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต ทุกคนต่างหวังว่าจะมีคู่คิด เพื่อนร่วมชีวิตที่จะดูแลกันและกันตลอดไป และไม่ง่ายนักที่จะได้เจอคนๆ นั้น แต่เป็นความโชคดีของผมที่วันนี้หม่อมรัตนาวลีให้เกียรติมาเป็นคู่ชีวิตของผม นับจากนี้ครอบครัวลิ้มวัฒนาถาวรกุล และประกาศเกียรติจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
รสิกาตะลึง ทุกคนในงานต่างพากันฮือฮา สุรีย์ส่องสั่งตากล้อง
“เก็บภาพคู่หลายๆ ภาพ”
สุรีย์ส่องยิ้มพอใจจะได้มีเรื่องไปเล่นงานรสิกา ชาญชัยตกใจหันไปหารังรองคุยด้วยเสียงที่เบาพอแค่ได้ยินกันสองคน
“ป๊าคุณจะแต่งงาน ทำไมคุณไม่ห้าม”
“มันเป็นความสุขของป๊านะคะคุณ”
“โง่จริง เพิ่มคน ส่วนแบ่งก็ยิ่งน้อย”
รังรองมองชาญชัยอย่างน้อยใจ บนเวทีเจ้าสัวเรียวถามเบาๆ กับรัตนาวลี
“คุณหญิงล่ะครับ”
หม่อมรัตนาวลีมองไปทางรสิกาที่ยืนอยู่ตรงทางออกอย่างไม่แน่ใจนัก
“เจ้าสัวคะ...ฉันว่า...”
รัตนาวลีจะพูดว่าอย่าเลยค่ะ เจ้าสัวเรียวยิ้มปลอบใจ
“ต่อหน้าคนเยอะ คุณหญิงคงไม่กล้าหรอกครับ...”
เจ้าสัวเรียวหันไปพูดผ่านไมค์
“นอกจากครอบครัวลิ้มวัฒนาถาวรกุลจะร่วมยินดีในวันนี้ ผมดีใจนะครับที่คุณหญิงรสิกามาร่วมแสดงความยินดีกับเราด้วย เชิญคุณหญิงบนเวทีครับ”
ทุกคนหันมองไปทางรสิกาด้วยความสนใจ รสิการู้ว่าโดนบีบให้ยอมรับงานแต่งครั้งนี้ เธอตั้งสติแล้วตัดสินใจเดินไปที่เวที ระหว่างทางหยิบแก้วเครื่องดื่มจากบริกรที่ถือถาดเตรียมเสิร์ฟถือแก้วเดินขึ้นไปบนเวที สายตาของเธอมองตาแม่ดูนิ่งจนรัตนาวลีรู้สึกกลัวใจนัก รสิกาเดินขึ้นมายืนประจันหน้ากับเจ้าสัวเรียว
“ยินดีนะครับคุณหญิง ที่เราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน”
รัตนาวลีมองลุ้นมากแปลกใจที่เห็นรสิกายิ้มเย็น แล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นตรงหน้า เจ้าสัวเรียวจะชน แต่รสิกาปล่อยมือให้แก้วตกลงพื้นแตกกระจายเพล้ง ทุกคนตะลึง เจ้าสัวเรียวกับรัตนาวลีอึ้ง รสิกามองอย่างไม่หลบสายตา ประกาศความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน รุ้งรายโกรธ พูดเสียงแค่พอได้ยินกันบนเวที
“เสียมารยาท”
สุรีย์ส่องและแขกในงานมองอย่างลุ้นๆ ว่าจะมีเรื่อง รุ้งรายกับพี่น้องทำท่าจะก้าวเข้าหารสิกา เจ้าสัวเรียวปรามเสียงเบาแต่หนักแน่น
“รุ้งราย...”
“ป๊าคะ เขา...”
เจ้าสัวเรียวมองด้วยสายตาปรามเข้มๆ หนักแน่น รุ้งรายชะงักมองเจ้าสัวเรียวเห็นสายตาปรามก็ชะงักยกมือห้ามพี่น้องคนอื่นๆ ทุกคนเชื่อฟัง รู้หน้าที่ ถอยกลับไปที่เดิม
“หญิงอ้าย...” รัตนาวลีอึ้ง
รสิกาพูดกับรัตนาวลีแค่ได้ยินบนเวที
“กลับวังกับอ้ายนะคะหม่อมแม่”
“หม่อมวลี”
เจ้าสัวเรียวมองแบบขอให้รัตนาวลีอย่ากลัวเพราะความรักลูก รสิกาเสียใจกับท่าทีของแม่ที่ดูลังเล รสิกาตัดสินใจหันกลับหลังหันเดินลงจากเวที รัตนาวลีลำบากใจมองเจ้าสัวเรียว
“ขอโทษนะคะ”
เจ้าสัวเรียวยิ้มพยักหน้าน้อยๆว่าไม่ต้องห่วง รัตนาวลีเดินตามรสิกาไป
รสิกาเดินผ่านแขกที่ยืนอยู่ก้าวไปตามทางหน้าเชิด เก็บความรู้สึกเหมือนไม่สะดุ้งสะเทือนใด ๆ กับสายตาทุกคน เธอเดินเกือบจะถึงประตูทางออก จู่ๆ เสียงกลองก็รัวดังลั่น ทันใดนั้นประตูถูกเปิดออกพร้อมกับที่กลุ่มเชิดสิงโตก็แห่เข้ามาในงานจำนวน 4 คู่
สิงโตถูกเชิดมาขวางทาง รสิกาจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ตัวสิงโตอีกสามตัวกลับมาล้อมแล้ววิ่งวนอยู่รอบตัวจนเธอตกในวงล้อม รสิกาพยายามจะหาทางออกแต่ติดอยู่ในวงล้อม เธองุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นพยายามจะถอยหนีจนเสียหลักจะล้ม แต่มีอ้อมกอดของราพณ์เข้ามารวบไว้ รสิกาตกใจหันมองเห็นหน้าราพณ์อยู่ในระยะใกล้
“ขับรถประมาท เดินก็ยังไม่ระวังอีกเหรอครับ”
รสิกาตกใจ จำได้
“คุณ”
“ผมบอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกัน”ราพณ์ยิ้มกวนประสาท “คุณหญิงรสิกา”
“นี่คุณเป็นใครกันแน่”
“ผมราพณ์ ลิ้มวัฒนาถาวรกุล ลูกชายคนโตของเจ้าสัวเรียว”
รสิกาฟังแล้วอึ้ง คิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“แสดงว่าคุณจงใจขับรถชนรถฉัน”
ราพณ์ยิ้มรับอย่างไม่ยี่หระ
“จะดองกับผู้ดี ก็ต้องทำความคุ้นเคยกันหน่อย”
“ฉันไม่มีวันยอมให้หม่อมแม่ แต่งกับพ่อของคุณ”
“หม่อมเลือกใครคุณก็เห็นแล้วนี่” ราพณ์ยิ้มเย้ย
รสิกาพยายามจะผลักเขาออก แต่ตัวเธอก็ยังยืนไม่อยู่ สิงโตคลายออกจนทำให้ทุกคนเห็นราพณ์ที่กอดรสิกาแขกในงานตกใจกับภาพที่เห็น
“แขกคงคิดว่าลูกๆ กำลังสานสัมพันธ์อันดีต่อกัน”
ราพณ์ยิ้มยั่วกวนโมโหสุดๆ
รสิกาได้สติว่าตัวเองอยู่ในสภาพไม่เหมาะสม โกรธมาก เธอผลักเขาออก รัตนาวลีจะเข้ามาหาแต่ยังไม่ทันขยับ รสิกาก็ตบหน้าราพณ์ เพี๊ยะ ท่ามกลางสายตาของคนทั้งงาน
“หยาบคาย”
กลุ่มเจ้าสัวเรียว รุ้งรายและพี่น้องรีบลงมาจากเวที แสงแฟลชวูบวาบจากนักข่าวที่มาร่วมงาน รสิกาได้สติสะบัดหน้าเดินออกไปทันที
“หญิงอ้าย”
รัตนาวลีตกใจ รีบตามไป ราพณ์ตามออกไปพร้อมด้วยกลุ่มเจ้าสัวเรียว
ราพณ์จะไปทางลานจอดรถ เจ้าสัวเรียวเรียกไว้
“ราพณ์”
ราพณ์ชะงักหันมามอง
“ลื้อพูดอะไรคุณหญิงถึงได้ระเบิดใส่ลื้อแบบนั้น” เจ้าสัวเรียวสงสัย
ราพณ์ตอบเลี่ยงไป
“เจ๊รอง เฮียชาญชัย รุ้ง พี่ฝากดูแลแขกด้วยนะ...ทุกคนช่วยกันนะ”
ทุกคนพยักหน้ารับ ราพณ์รีบตามรสิกาไป เจ้าสัวเรียวตามไปอีกคน สุรีย์ส่องออกมากับช่างภาพ
“เร็วๆ เดี๋ยวไม่ทัน”
สุรีย์ส่องจะตามไป รุ้งรายเห็นสุรีย์ส่องกับตากล้องก็เข้าขวางไว้ทันที สุรีย์ส่องไม่ถูกกับรุ้งรายอย่างรุนแรง เพราะประสิทธิ์ พ่อของสุรีย์ส่องเป็นคู่แข่งทางการค้า แต่ตัวสุรีย์ส่องมีกิจการเป็นการทำนิตยสารเพื่ออัพตัวเองให้เป็นที่รู้จักในสังคมตลอดเวลา และก็ใช้ข่าวคอยดิสเครดิตคนอื่นด้วยเช่นกัน
“เธอมาขวางฉันไว้ทำไม” สุรีย์ส่องไม่พอใจ
“เธอมาร่วมงาน เจ้าภาพอย่างฉันต้องดูแลเธออย่าใกล้ชิดสิ”
สุรีย์ส่องสะบัดเสียงใส่
“ฉันจะกลับแล้ว”
สุรีย์ส่องจะไป รังรองขวาง
“คงไม่ได้”
ระรินขวางด้วย
“เสียใจด้วยนะคะ”
รุ้งรายจ้องหน้า
“เธอต้องอยู่ที่นี่จนกว่าป๊ากับเฮียราพณ์จะกลับเข้ามา”
“กลัวเรื่องเน่าๆ ของพวกเธอจะฉาวโฉ่หรือไง” สุรีย์ส่องเย้ย
รุ้งรายไม่ได้กลัวสักนิด
“เธอนี่มันสมชื่อ สุรีย์สอดจริงๆ”
“ฉันชื่อ สุรีย์ส่อง” สุรีย์ส่องฉุนกึก
รุ้งรายยิ้มเหยียด
“สุรีย์สอดน่ะถูกแล้ว สอด แส่ เสี้ยม และเสพของเน่าไว้เลี้ยงชีวิต”
สุรีย์ส่องโกรธ แต่รู้ว่าสู้ไม่ได้
“ถอยไป”
สุรีย์ส่องไม่ยอมจะไปให้ได้ รุ้งรายตะโกน
“การ์ด”
กลุ่มบอดี้การ์ดของเจ้าสัวเรียวเข้ามาขวาง สุรีย์ส่องกับตากล้องไว้ ทุกคนหน้าตาเอาจริงว่าถ้ายังขืนจะต้องใช้ความรุนแรงแน่ สุรีย์ส่องมองรุ้งรายอย่างแค้นๆ รุ้งรายมองแบบก็ลองดู
รสิกาเดินมาที่รถ รัตนาวลีรีบตามมา
“หญิงอ้าย”
รสิกาไม่หยุดจะเปิดประตูขึ้นรถ รัตนาวลีมาจับข้อมือยั้งไว้ดึงเบาๆ ให้รสิกาหันมา
“ฟังแม่อธิบายก่อนนะลูก”
รสิกาเจ็บปวดเสียใจ
“ยังต้องอธิบายอะไรอีกคะ ในเมื่อการกระทำของหม่อมแม่ก็ชัดเจนขนาดนี้”
รัตนาวลีชะงักอึ้ง
“แม่...”
รสิกาตัดบท
“หม่อมแม่จะลืมท่านพ่อ อ้ายไม่ว่า แต่ทำไมหม่อมแม่ต้องแต่งงานกับคนที่ท่านพ่อเกลียดที่สุดอย่างเขา”
“อ้ายต้องฟังแม่...”
“หม่อมแม่พาอ้ายมาวันนี้ เพื่อจะใช้สังคมบีบให้อ้ายยอมรับ การแต่งงานของท่านแม่กับเขาใช่ไหมคะ ไม่คิดเลยว่าหม่อมแม่จะร่วมมือกับคนอื่นทำลายหัวใจของอ้าย ทำไมหม่อมแม่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีเกียรติยศของท่านพ่อด้วยการแต่งงานกับคนขี้โกงอย่างไม่ละอาย”
ราพณ์กับเจ้าสัวเรียวเดินมาถึง ต่างก็ชะงะก ที่เห็นรัตนาวลีโกรธกับคำพูดของรสิกาจนลืมตัว ตบหน้ารสิกา เพี๊ยะ รสิกาช็อค ยิ่งเห็นเจ้าสัวเรียวยิ่งโกรธ
“หม่อมแม่ตบอ้าย” รสิกาชี้ไปที่เจ้าสัวเรียวอย่างเจ็บแค้น “ยอมลดตัวลงต่ำ เพราะผู้ชายคนนี้เหรอคะ”
รัตนาวลีตวาด
“อย่าพูดก้าวร้าวเจ้าสัวแบบนั้นนะอ้าย”
รสิกาอึ้งเสียใจเดินออกไปที่ด้านหน้าโรงแรม รัตนาวลีตาม รสิกาโบกเรียกแท็กซี่แล้วขึ้นรถแท็กซี่ไปทันที แท็กซี่ขับออกไป
“อ้าย...” รัตนาวลีมองตามอย่างเสียใจ
เจ้าสัวเรียวเข้ามาหา รัตนาวลีน้ำตาร่วง
“ผมขอโทษนะหม่อมวลี ผมไม่น่า...”
“ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นแบบนี้ค่ะ”
ราพณ์ยืนมองเหตุการณ์อย่างอึ้งๆ
ราพณ์เดินกลับเข้ามาในโรงแรมอย่างคิดหนัก รุ้งรายเข้ามา
“เฮีย...ป๊ากับหม่อมเป็นยังไงบ้าง”
ราพณ์หนักใจ
“งานนี้หม่อมคงเจองานหนัก”
“ก็ลูกสาวร้ายใช่ย่อย คงรับพวกเราไม่ได้มั้ง สายตาดูก็รู้ว่ารังเกียจเราแค่ไหน หักหน้าพวกเราขนาดนั้น”
“ป๊าเลือกหม่อมแล้ว...”
“รุ้งไม่พูดเรื่องที่ป๊าไม่สบายใจอยู่แล้ว แต่ทุกคน...”
ราพณ์หน้าเครียด
“บอกทุกคนให้ไปรอที่บ้านนะ เฮียเปลี่ยนเสื้อแล้วจะรีบตามไป”
“ค่ะ”
รุ้งรายแยกไป ราพณ์จะเดินแยกไปที่ห้องพักที่เปิดไว้แต่งตัว แต่ต้องชะงักที่เห็นสุรีย์ส่องก้าวมาขวางไว้
“สวัสดีค่ะคุณราพณ์ สุอยากจะขอสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีพ...เรื่องข่าวที่น่ายินดีของเจ้าสัว”
ราพณ์ไม่พูดเรื่องครอบครัว
“ผมไม่สะดวกครับ”
ราพณ์จะไป
“เดี๋ยวสิคะ” สุรีย์ส่องคว้ามือราพณ์ไว้ “สุเป็นหลานของหม่อมรัตนาวลี แสดงว่าเราก็กำลังจะเป็นญาติกัน สุก็สมควรจะได้ข่าวนี้ก่อนใครไม่ใช่เหรอคะ ข่าวดีๆ แบบนี้”
ทันใดนั้นเสียงรุ้งรายดังขัดขึ้นทันที
“คุณสุรีย์สอด ณ ประกาศเกียรติเคยทำข่าวดีๆ กับคนอื่นเป็นด้วยเหรอคะ”
รุ้งรายเข้ามาตามด้วยระริน รุ้งรายหันไปบอกราพณ์
“เฮียไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ รุ้งจะคุยกับคุณสุรีย์สอดเอง”
ราพณ์แยกไป สุรีย์ส่องจะตามแต่รุ้งรายกับระรินมาขวาง
“เธอกำลังหมิ่นประมาทฉัน” สุรีย์ส่องไม่พอใจ
ระรินยิ้มหยัน
“ใครๆ เขาก็รู้กันว่าเนื้อหาเศษเล็บแม็กกาซีนของคุณน่ะ มีแต่ข่าวเหม็นๆ”
“นิตยสารของสุรีย์สอด ชื่อเซเล็บไม่ใช่เหรอจ๊ะระริน” รุ้งรายเสริม
“เศษเล็บน่ะถูกแล้วค่ะเจ้ เกรดหนังสือ โลมาก” ระรินเหยียดหยัน
สุรีย์ส่องขึ้นเลย โดนด่าโลไม่ได้
“พวกแกอยากฉาวโฉ่ใช่ไหม”
ระรินจุ๊ปาก
“จุ๊ ๆ เป็นผู้ดีนี่เขาต้องก้าวร้าว กดขี่ขนาดนี้เหรอเจ้”
รุ้งรายจ้องหน้า
“ของแท้น่ะมันต้องนุ่มนวล พวกผู้ดีแมสคอทก็อย่างนี้ล่ะ”
สุรีย์ส่องชะงัก ระรินหันมาถาม
“อะไรของเจ้ผู้ดีแมสคอท”
รุ้งรายเบ้หน้า
“ก็พวกผู้ดีแต่เปลือก เนื้อแท้ก็โลโปรไฟล์ แต่สวมหัวแมสคอทว่าฉันน่ะผู้ดี๊ ผู้ดี”
“แก” สุรีย์ส่องเจ็บจี๊ด
รุ้งรายจ้องหน้าท่าทางเอาจริง
“ถ้าเธอจะสอด แส่เรื่องหม่อมวลีกับป๊าฉันล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
รุ้งรายกับสุรีย์ส่องประจันหน้ากันแบบไม่มีใครยอมใคร รุ้งรายกับระรินออกไปทันที สุรีย์ส่องมองตาม
“คิดเหรอว่าฉันจะกลัว”
สุรีย์ส่องมองตาม ไม่ยอมแพ้จะเล่นงานรัตนาวลีกับรสิกาให้ได้
ในคฤหาสน์...ราพณ์เดินมาหาเจ้าสัวเรียวที่ยืนคิดเครียดๆอยู่
“ทำไมคุณหญิง ถึงได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเราล่ะครับป๊า”
เจ้าสัวเรียวตอบเลี่ยงๆ
“ก็คงหวงแม่ล่ะมั้ง กลัวโดนแย่งความรัก”
“ผมว่าไม่ใช่ ผมดูอาการเขาไม่ได้หวงแม่ แต่มันดูโกรธแค้นมากกว่านะครับป๊า ผมว่ามันต้องมากกว่าเรื่องแต่งงาน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับป๊า”
เจ้าสัวเรียวถอนใจเบาๆ
“อย่าไปสนใจเลย”
ราพณ์รู้ว่าเจ้าสัวเรียวไม่อยากพูดถึง
“ป๊าไม่อยากให้พวกแก โกรธเกลียดคุณหญิงเรื่องวันนี้”
“ไม่หรอกครับ แค่เสียดาย คิดว่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่รู้จัก กลายเป็นศัตรูกันซะนี่”
เจ้าสัวเรียวชะงักมองลูกชายที่หลุดพูดความรู้สึกตัวเองออกมา ราพณ์รู้สึกตัวว่าโดนมองพอสบตาพ่อก็รู้ว่าหลุดอาการ
“ผมขอไปเคลียร์เรื่องข่าวก่อนนะครับ”
ราพณ์เดินแยกไป เจ้าสัวเรียวมองตามอย่างสนใจในอาการของลูกชาย
รัตนาวลีอยู่ที่คฤหาสน์เจ้าสัวเรียว คุยโทรศัพท์มือถืออย่างกังวล
“หญิงอ้ายยังไม่กลับอีกเหรอ ถ้ากลับมาที่วังเมื่อไหร่รีบโทรบอกฉันนะ อีกสักพักฉันจะกลับไป”
รัตนาวลีวางสาย มองออกไปด้านนอกอย่างไม่สบายใจพยายามกดโทรศัพท์โทรหารสิกา แต่ไม่ยอมรับสาย
“อ้าย รับโทรศัพท์สิลูก” รัตนาวลีร้อนใจ
ขณะเดียวกันบนภูเขาทองยามค่ำคืน...รสิกาอยู่บนนั้น มือถือในมือดังขึ้น เธอมองชื่อที่หน้าจอแล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างพยายามเฉยชา
รสิกาก้มกราบพระสามครั้งแล้วนั่งมองพระพุทธรูปอย่างคนไร้ที่พึ่ง
สามี ตอนที่ 1 (ต่อ)
รัตนาวลีเดินมองโทรศัพท์ในมือ ถอนใจที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ขณะเดียวกันนั้นเธอได้ยินเสียงรังรองดังขึ้น
“เรื่องป๊าจะแต่งงาน ทบทวนใหม่ได้ไหมคะ”
เสียงระรินดังตามมา
“นะคะป๊า”
รัตนาวลีมองตามเสียงที่ดังมาจากห้องนั่งเล่น เธอเดินไปที่หน้าห้องมองเข้าไปข้างใน เห็นกู๋พงษ์ รังรอง และระริน พยายามเกลี้ยกล่อม ราพณ์กับรุ้งรายยืนห่างออกมา
“อาคุณหญิงทำไม่ถูก อีทำแก้วแตกในงานมงคลของลื้อ มันเป็นลางร้าย ไม่ต่างกับแช่งให้ชีวิตแต่งงานอาเฮียต้องแตกสลาย” กู๋พงษ์บอกอย่างไม่พอใจ
“รินไม่ชอบที่เขาก้าวร้าวกับป๊าแบบนั้น”
รังรองยังโกรธไม่หาย
“ป๊าคะ เขาไม่ให้ความเคารพป๊าเลย รองไม่อยากญาติดีกับคุณหญิงนั่น”
เจ้าสัวเรียวเสียงเรียบแต่ดุในที
“อย่าใช้คำจิกเรียกคนอื่นว่านั่น นี่อย่างไม่ให้เกียรติแบบนั้น ใครได้ยินเข้าจะบอกว่าป๊าไม่สั่งสอนลูก”
“รองขอโทษค่ะ” รังรองหน้าเสีย
“ถ้าเริ่มต้นไม่ดีแบบนี้ ป๊าน่าจะลองทบทวนเรื่องแต่งงานอีกทีนะครับ” ชาญชัยยุยง
ลูกคนอื่นๆ ยกเว้นราพณ์กับรุ้งรายต่างพากันขอร้องเสียงเซ็งแซ่ ราพณ์พูดขึ้น
“พอได้แล้ว”
ทุกคนชะงัก
“ทุกคนไม่เคารพการตัดสินใจของป๊างั้นเหรอ”
ทุกคนหน้าเสีย กู๋พงษ์เสียงอ่อย
“อั๊วไม่ได้คิดแบบนั้น แค่เป็นห่วงป๊าลื้อ”
“พวกเราห่วงป๊านะคะเฮีย” ระรินจ๋อยๆ
ชาญชัยบีบแขนรังรอง ส่งสายตาว่าให้พูด
“ป๊าลองทบทวนอีกทีได้ไหมคะ”
ราพณ์ขัดขึ้น
“มันเป็นความสุขของป๊า เราในฐานะที่เป็นลูกควรจะยินดี”
ทุกคนเงียบ เจ้าสัวเรียวหน้านิ่งน้ำเสียงจริงจัง
“ป๊าจะแต่งงานกับหม่อมรัตนาวลี พวกลื้อมีหน้าที่เตรียมตัวร่วมฉลองงานแต่งของป๊า แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
ทุกคนอึ้ง ลูกคนอื่นๆ ต่างพากันจะลุกออก รังรองขัดขึ้น
“รองกลัวเหลือเกินว่าหม่อมรัตนาวลีจะทำให้ครอบครัวเราต้องวุ่นวาย”
“เจ้รังรอง...” ราพณ์ปรามเสียงเข้ม
รังรอง กับชาญชัยแยกไป คนละประตูกับที่รัตนาวลียืนอยู่ เจ้าสัวเรียวหันไปหากู๋พงษ์
“อาพงษ์ อั๊วขอบใจลื้อมาก”
“พี่น้องต้องรักและช่วยเหลือกัน อากงสอนพวกเราเสมอ เฮียเหนื่อยมามาก อั๊วอยากเห็นเฮียมีความสุขสักที”
“ขอบใจมาก ระรินไปส่งอากู๋ที่รถที”
“ค่ะ ป๊า”
ระรินเข้าไปเกาะแขนกู๋พงษ์อย่างสนิทสนม ช่วยกันประคองออกไป รัตนาวลีก้าวเข้ามา เจ้าสัวเรียวหันไปถาม
“หม่อมวลี คุณหญิงเป็นยังไงบ้างครับ”
รัตนาวลีสีหน้าเป็นทุกข์ ส่ายหน้าเป็นการบอกว่ายังไม่ได้ข่าว ราพณ์มองรัตนาวลีอย่างเห็นใจ เขาพึมพำกับตัวเอง
“ดื้ออย่างนั้นจะไปอยู่ที่ไหนนะ”
รสิกาขยับเข้ามายืนอยู่ที่ขอบกำแพงด้านบนภูเขาทองมองไปรอบๆ ก่อนจะมองลงไปเบื้องล่างเห็นกรุงเทพยามราตรี
“ท่านพ่อ...”
ภาพในอดีตแว่บเข้ามา...หม่อมเจ้าชัยประกาศ อ้าแขนให้รสิกาโผเข้ากอด หม่อมเจ้าชัยประกาศอุ้มรสิกาขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ภาพกรุงเทพเบื้องหน้า
“อ้ายเห็นไหมเราอยู่เหนือทุกคนเลย”
“เห็นคนข้างล่างเล็กนิดเดียวเลยค่ะท่านพ่อ”
“พ่อทำให้อ้ายยืนอยู่บนจุดที่สูงด้วยนามสกุลประกาศเกียรติ อ้ายมีเลือดสีน้ำเงินของพ่อ พ่อรักอ้ายกับหม่อมแม่ของลูกมาก มากกว่าชีวิตของพ่อ...แบมือสิอ้าย”
รสิกาแบมือ หม่อมเจ้าชัยประกาศวางมืออีกข้างที่ว่างบนมือของรสิกา
“เกียรติยศและศักดิ์ศรีของพ่ออยู่ในมืออ้ายนะลูก อ้ายต้องช่วยหม่อมแม่รักษามันไว้ด้วยชีวิตของอ้ายนะลูก”
“ค่ะ ท่านพ่อ”
“อ้ายรักพ่อไหมลูก”
“อ้ายรักท่านพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ”
รสิกาเข้ากอดพ่อ
รสิกาวัยมหาวิทยาลัยปี 1 กอดพ่อที่สภาพดูซีดเซียวย่ำแย่ เพราะอาการของมะเร็งเริ่มลุกลาม
“ท่านพ่อต้องไม่เป็นอะไรนะคะ ท่านพ่อต้องอยู่กับอ้ายตลอดไป”
“พ่ออยากอยู่เพื่ออ้าย แต่พ่อไม่มีกำลังแล้ว พ่อไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วเงิน ความหวัง...เพราะนายเรียว มันทำให้พ่อหมดตัว...พ่อแพ้แล้วอ้าย แพ้ให้กับคนฉ้อฉลอย่างมัน”
รสิกาใจหาย
“ท่านพ่อไม่ได้แพ้นะคะ ท่านพ่อของอ้ายเก่งที่สุด”
“อ้าย...วังประกาศเกียรติคือสมบัติ คือความภาคภูมิใจของสกุล อ้ายต้องรักษามันไว้ให้ได้นะลูก อย่าให้ใครมาทำลายประกาศเกียรติของเราได้”
รสิกาโดนฝังหัวเหมือนโดนสะกดจิต
“ค่ะ อ้ายสัญญาค่ะ อ้ายจะรักษาวังประกาศเกียรติไว้ด้วยชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาทำลาย”
รสิกามุ่งมั่นจะทำให้ได้
เมื่อนึกถึงอดีต รสิกาน้ำตาร่วง
“ท่านพ่อขา อ้ายขอโทษ”
รสิกาปล่อยให้น้ำตารินไหลด้วยความอัดอั้นตันใจ
รัตนาวลียืนเหม่อมองไปด้านนอกอย่างคนคิดหนัก เจ้าสัวเรียวเดินมาหา
“หม่อมวลี...”
“เจ้าสัวคะ ฉันลองคิดดูแล้วเรื่องการแต่งงานของเรา...”
เจ้าสัวเรียวสวนทันที
“หม่อมวลี...ผมรอวันนี้มายี่สิบกว่าปี อย่าทำลายความหวังของผมเลยนะ”
“ฉันสับสนจริงๆ ค่ะ ฉันไม่อยากทำร้ายจิตใจลูก แต่ก็ไม่อยากทำลายน้ำใจคุณ ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้หญิงอ้ายเข้าใจเรา ฉันไม่เคยทำให้หญิงอ้ายเชื่อฟังและเข้าใจฉันได้เลย ท่านชายชนะฉันเสมอ”
วังประกาศเกียรติในอดีต...รสิกานั่งอยู่กับรัตนาวลีที่กำลังถักผ้าพันคอ รสิกาเห็นภาพเรียวในหนังสือพิมพ์ธุรกิจ เธอชี้ที่ภาพ
“นายเรียว...คนไม่ดี”
รัตนาวลีหันไปหารสิกาที่ยังพูดซ้ำ ๆ
“อ้าย...ไม่ควรเรียกผู้ใหญ่อย่างนั้นนะลูก มันไม่สมควร”
“ท่านพ่อบอกให้เรียกแบบนี้นี่คะ”
รัตนาวลีอึ้ง แล้วพยายามจะอธิบาย
“อ้าย...ฟังแม่นะ”
ทันใดนั้นเสียง หม่อมเจ้าชัยประกาศดังขึ้น
“อ้าย...”
รัตนาวลีชะงัก หม่อมเจ้าชัยประกาศเข้ามา
“ดูอะไรอยู่เหรอลูก”
“นายเรียว...คนไม่ดีค่ะท่านพ่อ”
รัตนาวลีหันไปหาสามี
“ท่านชายคะ...วลีว่าอ้ายพูดแบบนี้ไม่น่ารักนะคะ”
“อ้ายเรียกแบบนั้นก็สมควรแล้ว ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องให้เกียรติผู้ชายที่มันคิดจะแย่งภรรยาคนอื่น”
“ท่านชายเข้าใจผิดนะคะ...คุณเรียวเขา...”
หม่อมเจ้าชัยประกาศดุเสียงเข้ม
“นายเรียว”
รัตนาวลีสะดุ้ง หม่อมเจ้าชัยประกาศมองตาแข็งกร้าว
“อย่าให้ฉันได้ยินเธอยกมันมาตีเสมอฉันอีก”
รัตนาวลีสลดลง
“ค่ะ อ้าย...ไปทานข้าวกับแม่นะลูก”
หม่อมเจ้าชัยประกาศอ้าแขน
“อ้ายจะไปกับแม่ หรือว่าจะมากับพ่อ”
รสิกามองๆ แล้วตัดสินใจเข้ากอดพ่อ หม่อมเจ้าชัยประกาศกอดรสิกาแต่ตามองรัตนาวลีราวกับประกาศชัยชนะ
“อ้ายจะไปกับฉัน”
หม่อมเจ้าชัยประกาศอุ้มรสิกาขึ้นแล้วขยับไปหารัตนาวลี
“อ้ายน่ารักสมเป็นลูกพ่อจริงๆ...ลูกของพ่อ ต้องเชื่อฟังพ่อนะครับ”
รัตนาวลีมองชัยประกาศพูดกรอกหูรสิกาอย่างไม่สบายใจ
รัตนาวลีถอนใจ
“เขาระแวงและตั้งกรอบความคิดของเขาให้กับลูก กรอบที่ฉันไม่เคยทำลายมันได้เลย อ้ายไม่เคยฟังฉัน”
เจ้าสัวเรียวมองอย่างคิด ๆ
“หม่อมวลี...ถ้าคุณกลับคำตอนนี้ล่ะก็ ต่อจากนี้ไปคำพูดของคุณจะไม่มีความหมายกับคุณหญิงอีกเลย เพราะเขารู้ว่าเขามีความรักที่คุณมีต่อเขาเป็นอำนาจต่อรองในมือ”
รัตนาวลีท้อ
“ฉันเจ็บที่เห็นลูกเสียใจ แล้วยังเรื่องวังประกาศเกียรติอีก”
เจ้าสัวเรียววางมือบนมือรัตนาวลี
“ผมสัญญากับคุณแล้วว่าจะรักษาวังไว้ให้คุณ ผมจะซื้อวังเป็นของขวัญวันแต่งงานของเรา วางใจผมนะครับ ผมจะดูแลคุณและลูกของคุณให้มีความสุขนะ เชื่อผม”
รัตนาวลีมองอย่างรู้สึกอบอุ่นใจที่เจ้าสัวเรียวเข้ามาดูแล ในยามที่ชีวิตผันแปร ราพณ์เข้ามา
“ป๊าครับ...”
“พวกนักข่าว...”
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ เมื่อเราขอร้อง เขาก็ได้รับความร่วมมือดีครับ”
รัตนาวลีหน้าเศร้า
“ขอโทษนะคะ ที่ฉันทำให้คุณเรียวต้องเดือดร้อน”
“ก็ผมหาเรื่องเองนี่ ถ้าผมไม่มัดมือชกให้คุณหญิงยอมรับเรื่องของเรา ต่อหน้าแขกในงาน ก็คงไม่มีเรื่องแบบนี้”
รัตนาวลีหันไปหาราพณ์
“ขอโทษนะคุณราพณ์”
“อย่าคิดมากเลยครับหม่อม เรื่องเล็กน้อย พวกเรายินดีที่ป๊าจะได้อยู่กับคนที่ป๊ารัก ป๊ารักใครเราทุกคนจะรักด้วย”
เจ้าสัวเรียวหัวเราะอย่างพอใจ
“ลูกผมใช้ได้ไหมหม่อมวลี”
รัตนาวลียิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
ราพณ์ยิ้มอย่างยินดี รัตนาวลีมองเจ้าสัวเรียวอย่างไตร่ตรอง
“ฉันจะคุยกับหญิงอ้ายให้เขาเข้าใจ”
รสิกาเดินเข้ามาในตึก แม่นมกับแหววรีบเข้ามารับหน้า
“คุณหญิงหายไปไหนมาคะ หม่อมท่านโทรมาถามตลอดเลย”
“หม่อมแม่ยังไม่กลับมาใช่ไหมคะนม”
แหววแทรกขึ้น
“แต่มีแขกไม่ได้รับเชิญมาค่ะ”
แม่นมหันไปดุ
“ยัยแหวว”
เสียงประสิทธิ์ดังมา
“คนรับใช้ที่วังนี้ไม่ให้เกียรติแขกเอาซะเลย”
รสิกาหันไปเห็นประสิทธิ์ที่เดินออกมา
“หญิงอ้ายควรจะอบรมคนรับใช้ให้ดีกว่านี้นะ”
“คุณลุง สวัสดีค่ะ มามืดค่ำแบบนี้คุณลุงคงมีธุระด่วน”
ประสิทธิ์มองด้วยสายตาจิกทวงอย่างวางอำนาจมาก
“ยอดเงินที่ท่านชาย...พ่อของหญิงอ้ายหยิบยืมเงินจากลุงไปทำธุรกิจที่ล้มเหลวนับไม่ถ้วน”
รสิกาเชิดหน้าขึ้นนิด ๆ ทั้งที่ใจเจ็บ ประสิทธิ์มองอย่างหมั่นไส้ที่รสิกาไม่มีสลดซะบ้างเลย ประสิทธิ์ยิ้มเยาะ
“จนถึงวันที่ท่านชายเสียชีวิต ทั้งหมดก็แปดสิบล้านบาท”
ทุกคนอึ้ง
“ลุงต้องการเงินทั้งหมดภายในสองเดือน”
แม่นมตะลึง
“แปดสิบล้านในสองเดือน”
รสิกาไม่อยากพูดขอร้องแต่จำต้องต่อรอง
“ระยะเวลามันน้อยเกินไป อ้ายต้องการเวลาค่ะ”
“ถ้าไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด ก็ต้องชดใช้ด้วยวังประกาศเกียรติ”
รสิกาฉุนกึก
“วังประกาศเกียรติเป็นของท่านพ่อ คุณลุงก็ทราบว่ามันสำคัญกับความรู้สึกของอ้ายมากแค่ไหน”
ประสิทธิ์มองสะใจ
“แลกกับที่หญิงอ้ายทำให้ยัยสุต้องอับอายต่อหน้านักข่าววันนี้ ถ้าลุงไม่ได้เงินภายในเวลาที่กำหนด ลุงคงต้องฟ้องศาล”
รสิกาโกรธ
“มันไม่เกินไปเหรอคะ แค่เรื่องของเด็ก ๆ ทะเลาะกัน แล้วเราก็เป็นญาติกันทำแบบนี้มันเหมือนคนฉวยโอกาส”
“หญิงอ้ายหักหน้าลูกของลุงต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น ยังกล้าพูดว่าเราเป็นญาติกันอีกเหรอ”
รสิกาไม่คิดว่าผิด
“เป็นเพราะสุรีย์ส่องเอาชื่อประกาศเกียรติไปอวดอ้าง ทำเรื่องไม่เหมาะสมทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ ถ้าท่านพ่อยังอยู่จะต้องโกรธมาก”
ประสิทธิ์โกรธ
“เย่อหยิ่ง จองหอง เหมือนพ่อไม่มีผิด คนอย่างพ่อของอ้ายเป็นยังไง ลุงรู้เช่นเห็นชาติดี” ประสิทธิ์มองรสิกาอย่างกดดัน “ ลูกไม้หล่นใต้ต้นอย่างอ้าย อย่ามานับญาติกันให้เสื่อมเกียรติของหญิงอ้ายจะดีกว่า”
รสิกาโกรธแต่ยังยิ้มคุมสติ
“ถ้าคุณลุงคิดได้แบบนั้น อ้ายก็ยินดีค่ะ”
ประสิทธิ์ยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม
“ภายในสองเดือนถ้าลุงไม่ได้เงินแปดสิบล้านคืน หญิงอ้ายเตรียมรับหมายศาลได้เลย”
รสิกาตะลึงกับคำพูดของประสิทธิ์ ทันใดนั้นเสียงรัตนาวลีดังขึ้น
“หนึ่งอาทิตย์ค่ะ”
ทุกคนหันมองตามเสียง รัตนาวลีเดินเข้ามาประจันหน้ากับประสิทธ์
“ภายในหนึ่งอาทิตย์ ฉันจะคืนเงินทั้งหมดให้ คุณเตรียมรอรับได้เลย”
ประสิทธิ์ยิ้มเยาะ
“หม่อมวลี...รู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา”
“ค่ะ หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ แหวว...ส่งแขก”
การส่งแขกถ้าให้แม่นมส่งจะสุภาพให้เกียรติ แต่ถ้าเป็นแหววหมายถึงไล่แขก แหววรู้เลยว่าเรียกให้ส่งหมายถึงให้เล่นซะ
“หาทางออกไม่เจอใช่ไหมคะ...ประตูอยู่ทางนี้ค่ะ เชิญค่ะ”
ประสิทธิ์มองไม่พอใจ
“รีบกลับเถอะค่ะคุณ เดี๋ยวแหววต้องทำความสะอาดปัดกวาดอัปมงคลอีก”
ประสิทธิ์โกรธมาก
“ไร้มารยาท ฉันเป็นพี่ของท่านชายนะ”
รัตนาวลีแทรกทันที
“อย่านับญาติให้เสื่อมเกียรติดิฉันกับอ้าย คำนี้คุณเป็นคนพูดเองนะคะ”
ประสิทธิ์มองอย่างอาฆาต
“รัตนาวลี”
รัตนาวลียิ้ม
“หม่อมรัตนาวลีค่ะ”
“เหอะ...คางคกขึ้นวอ ทั้งที่กำพืดก็แค่ลูกสาวพ่อค้า”
“แต่วันนี้ฉันเป็นถึงหม่อม แล้วคุณล่ะคะ คุณประสิทธิ์...ลูกแท้ๆ ก็ไม่ใช่ ยศศักดิ์ที่ต้องการก็ไม่เคยมีใครมอบให้ เจ็บใจมากใช่ไหมคะ ถึงต้องใช้วิธีการสกปรกแบบนี้”
เสียงหัวเราะเบาๆ อย่างพยายามกลั้นของแหววทำให้ประสิทธิ์หันไปมอง แม่นมหยิกแหวว แต่สายตาแม่นมมองอย่างสมเพชมาก ประสิทธิ์กำมือแน่นโกรธมาก
“ถ้าฉันไม่ได้เงิน วังนี้จะต้องถูกยึด”
ประสิทธิ์มองว่ารัตนาวลีจะกลัวไหมแต่ รัตนาวลีเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว
“คุณจะไม่มีวันได้ครอบครองวังนี้...ประตูอยู่ทางโน้นค่ะ”
ประสิทธิ์มองอย่างสุดแค้นออกไปอย่างหัวเสีย รัตนาวลีสั่งแม่นมกับแหวว
“นมกับแหววไปดูความเรียบร้อยทีนะ”
รสิกาหันมาหารัตนาวลี
“หม่อมแม่จะเอาเงินมาจากไหนคะตั้งแปดสิบล้าน ในเมื่อตอนนี้รายได้มีมาจากเงินเดือนของอ้ายคนเดียว แล้วมันก็พอแค่สำหรับดูแลคนในวังและเก็บสำรองยามฉุกเฉิน แล้ว...”
รัตนาวลีจับต้นแขนบีบเบาๆจ้องหน้ารสิกา
“อ้าย...แม่จัดการเรื่องนี้ได้”
“ทำไมแม่ถึงมั่นใจนัก”
รัตนาวลีไม่ตอบเดินขึ้นห้องนอน รสิกาคิด ๆ แล้วนึกได้
“ไม่จริงนะ...หม่อมแม่”
รสิการีบตามขึ้นไป แม่นมมองตามเครียด
รสิกาเข้ามาในห้องนอนแม่ ไม่โวยแต่ต่อต้านอยู่ภายใน
“ถ้าหม่อมแม่คิดจะทำแบบนั้นจริง อ้ายรับไม่ได้ค่ะ”
“ไม่ว่าอ้ายจะรับได้หรือไม่ แม่ก็ต้องแต่งงานกับเจ้าสัว”
“ทั้งที่การกระทำของหม่อมแม่ จะทำลายเกียรติของท่านพ่อกับอ้ายเหรอคะ”
“ที่แม่แต่งเพราะต้องการรักษาเกียรติ และวังของท่านพ่อไว้ เจ้าสัวเรียวจะยอมจ่ายเงินแปดสิบล้านใช้หนี้แทนเรา”
รสิกาอึ้ง
“หม่อมแม่ทราบไหมคะมันเท่ากับเรากำลังขายตัวให้กับเจ้าสัว หม่อมแม่กำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเอง อ้ายรู้สึกอับอายเหลือเกินที่หม่อมแม่คิดแบบนี้”
รัตนาวลีเจ็บแต่ต้องให้รสิกาเข้าใจ
“แปดสิบล้าน อ้ายมีเงินเหรอลูก”
รสิกาสะอึก พูดไม่ออก
“ตอนนี้อ้ายไม่มี แต่อ้ายจะหามาให้ได้”
“อีกสองเดือนอ้ายจะหาจากที่ไหน”
รสิกาชะงัก
“อ้าย...”
“ยอมรับความจริงซะ ว่าเราไม่มีทางเลือกอีกแล้ว เราไม่มีเงินและวังกำลังจะถูกคุณประสิทธิ์ยึด”
“แต่อ้ายทนไม่ได้...”
รัตนาวลีเสียงนิ่งเด็ดขาด
“ถ้าอย่างนั้นแม่ให้อ้ายเลือกว่าจะยอมอายที่ต้องมีพ่อเลี้ยงอย่างเจ้าสัว หรือต้องหมดศักดิ์ศรีเพราะแม้แต่วังของท่านพ่อก็รักษาไว้ไม่ได้”
รสิกาอึ้ง นิ่งงันไป
รสิกาเข้าไปในห้องทำงานหม่อมเจ้าชัยประกาศ มองดูรูปครอบครัวขณะที่เธอยังเด็ก ซึ่งเป็นภาพใหญ่ที่ประดับอยู่ในห้อง เธอเดินเข้าไปใกล้แล้วใช้มือลูบที่ภาพของพ่ออย่างเจ็บปวดกับภาพอดีตที่ไม่มีวันกลับมา รสิกาลูบภาพเบาๆ ภาพความทรงจำที่พ่ออุ้มเธอ โดยมีแม่ยืนมองยิ้มมีความสุข แว่บเข้ามา รสิกาน้ำตาร่วงอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้
“ท่านพ่อ...อ้ายจะทำยังไงดีคะ...ท่านพ่อ”
รสิการ้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
รัตนาวลีอยู่หน้าห้องนอนของรสิกา มองไปภายในห้อง
“อ้าย...”
รัตนาวลีไม่เห็นรสิกาในห้อง ก็จะเดินลงไปด้านล่างแต่ชะงักที่เห็นว่าประตูห้องทำงานเปิดแง้มอยู่ จึงเดินไปดู เห็นรสิกานอนฟุบอยู่บนเก้าอี้ทำงานของหม่อมเจ้าชัยประกาศ ในมือของรสิกาถือรูปของพ่อรูปเล็กไว้ รัตนาวลีมองเห็นคราบน้ำตาของลูกสาวก็สงสาร
“ลูกอ้าย...”
รัตนาวลีเอาผ้าคลุมมาห่มให้ แล้วหยิบรูปของหม่อมเจ้าชัยประกาศขึ้นมามองนิ่ง น้ำตาเอ่อ
“ฉันรักคุณไม่เคยเปลี่ยน แต่ฉันต้องทำเพื่อลูก หวังว่าคุณจะเข้าใจฉันนะคะท่านชาย”
รัตนาวลีกอดรูปของหม่อมเจ้าชัยประกาศไว้แนบอก ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เสียใจกับสิ่งที่ต้องทำ
เช้าวันใหม่...รสิกาที่ยังนั่งหลับ ค่อยขยับตัวรู้สึกตื่น เธอเห็นผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่ รู้สึกดี รู้ว่ารัตนาวลีห่มให้
“หม่อมแม่...”
รสิกาลุกออกไป
รสิกาลงมาที่โต๊ะอาหาร เห็นแม่นมกำลังจัดอาหารเช้าให้
“หม่อมแม่ล่ะคะ”
“เจ้าสัวเรียวมารับไปตั้งแต่เช้ามืดค่ะ”
รสิกาลงนั่งด้วยความผิดหวัง
“หม่อมแม่คงจะลืมว่ามีอ้ายอยู่”
แม่นมกอดปลอบใจ
“ไม่หรอกค่ะ หม่อมคงมีธุระ นมเชื่อว่าสำหรับหม่อมท่าน คุณหญิงคือคนที่สำคัญที่สุด”
“ถ้าหม่อมแม่เห็นว่าอ้ายสำคัญ แล้วทำไมถึงแต่งงานกับคนที่ทำร้ายท่านพ่อ”
“คุณหญิงคะ สิ่งที่เราได้ยินมาอาจไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ได้นะคะ ลองทำความรู้จักอีกฝ่ายดูก่อนไหมคะ”
“อ้ายเชื่อท่านพ่อค่ะ ท่านพ่อไม่เคยพูดอะไรผิดสักครั้ง เขาทำทุกอย่างเพื่อแย่งท่านแม่ไปจากเรา” รสิกาน้ำตาคลอเมื่อนึกถึง “ท่านพ่อต้องเจ็บปวดจนตายก็เพราะเขา”
“คุณหญิง...” แม่นมอึ้ง
รสิกากอดแม่นมพยายามเก็บกลั้นความเสียใจ แม่นมได้แต่กอดเธออย่างปลอบใจเพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์
เจ้าสัวเรียวในชุดออกกำลัง เดินเข้าไปในคฤหาสถ์กับรัตนาวลี
“คุณหมอนัดสิบโมงนะคะ ครั้งนี้ฉันไม่ให้คุณเบี้ยวนัดเด็ดขาด”
“ผมคงต้องหายเร็วๆ นี้แน่ ถ้าหม่อมคุมผมเข้มขนาดนี้”
“เพื่อตัวคุณเองนะคะ”
“ผมทราบครับ ขอบคุณนะครับที่ยอมอยู่กับผมในช่วงเวลาสุดท้าย...”
“เจ้าสัวคะ...ฉันขอนะคะ อย่าพูดแบบนี้อีก”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม เปลี่ยนเรื่อง
“ผมขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าสักสิบนาทีนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะให้เด็กตั้งอาหารเช้ารอนะคะ”
เจ้าสัวเรียวเดินแยกไป ขณะเดียวกันนั้นเสียงเด็กรับใช้ดังขึ้น
“คุณลินดา อย่าเพิ่งเข้าไปนะคะ”
รัตนาวลีหันไป เห็นโบตั๋น ภรรยาคนที่สองของเจ้าสัวเรียวที่เลิกกันไปแล้วเดินเข้ามา ลินดามองรัตนาวลีตั้งแต่หัวจรดเท้าสีหน้าเหยียดๆใส่ โบตั๋นก้าวเข้ามายืนประจันหน้า พลางพูดกับคนรับใช้
“ฉันจะเข้านอกออกในที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้” โบตั๋นพูดใส่รัตนาวลี “เพราะฉันก็เป็นเมียของเจ้าสัวเหมือนกัน”
ลินดามองรัตนาวลีประกาศความเป็นศัตรูชัดเจน รัตนาวลีมองเด็กรับใช้ที่ยืนหน้าเสียอยู่
“ไปเตรียมอาหารเช้าเถอะจ๊ะ”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
“หม่อมรัตนาวลีใช่มั้ย” โบตั๋นจ้องหน้า
“ค่ะ คุณลินดา แม่ของคุณราม ลูกชายของเจ้าสัว”
ลินดายิ้มเยาะ
“รู้จักฉัน ก็แสดงว่ารู้ตัวสินะว่ากำลังกินน้ำใต้ศอกฉันอยู่”
รัตนาวลีไม่อยากต่อความ
“ถ้ามาหาเจ้าสัว ดิฉันจะไปตามให้”
“ฉันเพิ่งเห็นผู้ดีตัวเป็นๆ ที่ชอบแย่งผัวชาวบ้าน”
รัตนาวลีหันมามองไม่ยอม
“คำว่าแย่งคงใช้ในกรณีที่คุณยังใช้ชีวิตคู่กับเจ้าสัว แต่เจ้าสัวบอกว่าคุณเป็นอดีตแล้วคงใช้คำนั้นไม่ได้”
ลินดาโกรธ จี๊ด
“แก...”
ลินดาจะด่าแต่เจ้าสัวเรียวเดินออกมา
“หม่อมวลีพูดถูกแล้ว...สำหรับฉันเธอเป็นแค่อดีต นับจากนี้จะมีเพียงหม่อมรัตนาวลีที่เป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้ เธอมาที่นี่ต้องการอะไร”
“ลินดามาเรียกร้องสิทธิ์แทนลูก”
เจ้าสัวเรียวรู้ว่าลินดาไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถ้าไม่ได้คุย
“ไปที่ห้องหนังสือ...หม่อมรอผมสักครู่นะครับ”
“ตามสบายค่ะ”
เจ้าสัวเรียวเดินไป โบตั๋นเดินตามพลางทิ้งหางตามองรัตนวลีอย่างเกลียดชัง ริษยา รัตนาวลีมองตามรู้เลยว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ปะทะกันแน่
ในห้องหนังสือ...ลินดาก้าวเข้ามาหาเจ้าสัวเรียว แสดงความไม่พอใจเต็มเปี่ยม
“เจ้าสัวแต่งงานแบบนี้ ไม่ยุติธรรมกับลูกของลินดาสักนิด”
“เธอกลัวว่าสมบัติจะโดนแบ่งออกไป แล้วเธอจะได้น้อยลงใช่ไหม”
“ลินดาห่วงแทนลูกต่างหาก เจ้าสัวก็รู้ว่ารามป่วย จะทำงานทำการได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าสิ้น...เอ่อ...”
เจ้าสัวเรียวสวนทันที
“ถึงฉันตาย รามก็จะไม่มีวันลำบาก เพราะราพณ์จะดูแลทุกคนอย่างดี”
“ลินดาจะมั่นใจได้ยังไง”
“มั่นใจเถอะ เพราะราพณ์จะไม่มีวันทำร้ายคนอื่นอย่างเธอ”
ลินดาอึ้ง
“แต่...”
“ถ้าเธอไม่หยุด เธอจะไม่ได้อะไรเลย”
ลินดารู้ว่าควรหยุด ยอมผ่อนลง
“ถ้าเจ้าสัวรับรองแบบนั้น ลินดาก็จะเชื่อค่ะ แต่หวังว่าเจ้าสัวจะไม่ลืมสัญญาของเรานะคะ เรื่องอาการป่วยของรามจะมีคนรู้แค่เพียงลินดากับเจ้าสัวเท่านั้น อย่าให้ใครรู้แม้แต่เมียผู้ดีของเจ้าสัว”
“ฉันไม่ได้เลวขนาดจะทำร้ายลูกตัวเองแบบนั้น”
“เวลาหน้ามืดก็ว่าไม่ได้หรอกค่ะ”
เจ้าสัวเรียวมองแบบความอดทนใกล้จะหมด
“กลับไปซะ ก่อนที่เธอจะไม่ได้จากฉันอีกแม้แต่บาทเดียว”
ลินดาอึ้งเห็นว่าเจ้าสัวเอาจริง
“ถ้าลูกลินดาโดนเอาเปรียบ ลินดาไม่ยอมแน่”
โบตั๋นจะเดินออกชะงักที่เห็นราพณ์เข้ามา ทั้งคู่ชะงักมองหน้ากัน
“สวัสดีครับ คุณโบตั๋น”
ลินดาเชิดหน้าเดินออกไป เจ้าสัวเรียวเครียดจนความดันขึ้น
“โอ้ย”
“ป๊า” ราพณ์ตกใจ
เจ้าสัวเรียวพยายามหายใจ
“ป๊าไม่เป็นไร พาป๊าออกไปที ไม่งั้นโบตั๋นจะรบกวนหม่อมอีก”
รัตนาวลีดูแลความเรียบร้อยโต๊ะอาหาร รุ้งรายเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หม่อมวลี”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
ลินดาเดินออกมาชะงักที่เห็นรุ้งรายกับรัตนาวลี
“สวัสดีค่ะ คุณโบตั๋น” รุ้งรายไหว้
ลินดารับไหว้แบบเสียไม่ได้
“ยินดีด้วยนะคุณรุ้งที่ได้แม่เลี้ยงคนใหม่เป็นผู้ดี”
รุ้งรายมองรัตนาวลีที่ดูอึดอัดก็หันมายิ้มกับโบตั๋น
“รุ้งดีใจมากค่ะ ที่ป๊าไม่เลือกพลาดแบบครั้งที่แล้ว รุ้งจะมีแม่เลี้ยงที่เป็นหน้าเป็นตากับเขาสักที”
ลินดาโกรธ
“เธอกัดฉันเหรอ”
รุ้งรายพูดเรียบๆแต่ ร้าย
“ร้อน...ตัว...เหรอคะ”
ลินดาแค้นที่โดนตอกหน้าหงายทำอะไรไม่ได้ เจ้าสัวเรียวกับราพณ์เดินออกมา
“ทำไมยังไม่กลับไปอีก” เจ้าสัวเรียวเสียงเข้ม
ลินดามองทุกคนอย่างแค้นสุดแค้น สะบัดหน้าออกไป เจ้าสัวเรียวหันไปหารัตนาวลี
“ผมขอโทษนะ...ถ้าไม่ติดว่าเป็นแม่ของราม ผมจะไม่ยอมให้เขามาวุ่นวายในชีวิตผมได้อีก”
รัตนาวลี ยิ้มปลอบใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ”
“หม่อมน่ารักแบบนี้ ป๊าก็ปลื้มแย่สิคะ”
“รุ้งพูดตรงใจป๊าจริง ๆ”
เจ้าสัวเรียวยิ้มอย่างขอบคุณ รัตนาวลียิ้มรับนิด ๆ ราพณ์กับรุ้งรายมองอย่างยินดีกับเจ้าสัวเรียว
ประตูรั้วคฤหาสน์เจ้าสัวเรียวเปิดออก ราพณ์ขับรถออกมาจะเลี้ยวซ้ายเห็นสิริโสภา ภรรยาลับๆของเขายืนหลบๆ อยู่มุมหนึ่ง ราพณ์ตกใจเบรกรถทันที มองกระจกหลัง กระจกข้างสำรวจว่าไม่มีใครเห็นแน่ ราพณ์กดกระจกลง พูดเสียงเข้ม
“สิ...ขึ้นรถ”
สิริโสภาเป็นสาวสวยดูอ่อนหวาน ก้าวมาจากมุมที่หลบ รีบก้าวไปขึ้นรถอย่างหวั่นๆ
“คุณราพณ์คะ...สิ...”
ราพณ์หน้าตึง กดกระจกขึ้นแล้วขับรถออกไปทันที
เจ้าสัวเรียวกับรุ้งราย เดินออกมาที่รถ
“เดี๋ยวป๊าจะไปหาหมอ ลื้อล่ะ อารุ้ง”
“รุ้งว่าจะเข้าออฟฟิศค่ะ”
“รุ้ง ลื้อว่าคุณหญิงรสิกาเป็นยังไง”
“กรณีไหนล่ะคะป๊าจะได้อธิบายถูก”
“เป็นสะใภ้ใหญ่”
รุ้งรายชะงัก
“นี่ป๊าพูดจริงๆ เหรอคะ”
“ลื้อดูไม่ออกเหรอว่าเจ้าราพณ์รู้สึกยังไงกับคุณหญิง”
“รู้ค่ะ แต่รุ้งรู้มาว่าคุณหญิงมีแฟนแล้วนี่คะ อยู่ที่ทำงานเดียวกัน”
“คนอย่างวศินทะเยอทะยาน ถ้ารู้ว่าคุณหญิงไม่มีเงินก็ไม่อยู่หรอก ผู้หญิงเก่งอย่างคุณหญิงเหมาะจะเป็นช้างเท้าหลังที่คอยเป็นหลักใจให้กับคู่ชีวิต ราพณ์เป็นคนเก่งธุรกิจแต่ไม่เก่งรับมือคนในบ้าน ถ้าอีกหน่อยป๊าไม่อยู่ อาราพณ์จะลำบาก”
“ป๊าอย่าพูดแบบนี้สิคะ รุ้งใจไม่ดี”
“เกิดแล้วก็ต้องตาย...ป๊าอยากให้คุณหญิงแต่งงานกับเจ้าราพณ์ ป๊าจะได้หมดห่วงที่พวกลื้อมีคนดูแล”
“ป๊าต้องสมหวังแน่ค่ะ เพราะป๊าของรุ้งเก่งที่สุดในโลกจริงไหมคะ”
เจ้าสัวเรียวโยกหัวรุ้งรายเบาๆ กับคนอื่นรุ้งรายจะแกร่งจะกล้า แต่กับเจ้าสัวจะเป็นลูกสาวที่น่ารัก รุ้งรายยิ้มกอดพ่อคิด ๆ จะทำให้เจ้าสัวเรียวสมหวัง เธอพึมพำเบาๆ
“อะไรที่ป๊าอยากได้ก็ต้องได้”
สามี ตอนที่ 1 (ต่อ)
ราพณ์เดินนำสิริโสภาเข้ามามุมหนึ่งของสวนสาธารณะ สีหน้าราพณ์ตึงไม่พอใจ สิริโสภามองๆอย่างหวั่นๆ รู้ตัวว่าทำผิด
“เราตกลงกันแล้วใช่ไหมครับ”
“ค่ะ สิทราบว่าสิต้องไม่เข้ามายุ่มย่าม หรือแสดงตัวให้ครอบครัวของคุณเห็น แต่ที่สิมาเพราะสิมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“แล้วทำไมสิไม่บอกผ่านมานพมา”
“คุณหายไปหลายวัน สิมีเรื่องที่ต้องบอกกับคุณ”
ราพณ์คิดว่าตัดพ้อว่าไม่ไปหา
“สิ...ตอนคุณทำงานที่บริษัท คุณก็เห็นว่าผมงานยุ่งมากแค่ไหน ก่อนที่จะเราจะคบกันแบบนี้ คุณบอกว่าคุณรับได้แล้วตอนนี้...” ราพณ์ชะงักไปนิด เมื่อเห็นสิริโสภาทำหน้าเศร้า “แล้วจะให้ผมทำยังไง
ล่ะครับ สิถึงจะไม่เป็นแบบนี้”
สิริโสภาจับมือราพณ์
“คุณราพณ์คะ ถ้าสิมีลูกล่ะคะ...”
ราพณ์มองอึ้ง
บริษัทที่รสิกาทำงาน รับออกแบบตกแต่งภายใน เป็นบริษัทขนาดกลางแต่ผลงานการตกแต่งส่วนใหญ่เป็นโรงแรมใหญ่ๆ ผลงานเป็นที่ยอมรับ...ประตูออฟฟิศเปิดออก กอบกู้เจ้าของบริษัทคุยงานอยู่ หันไปเห็นรสิกาเดินเข้ามา โดยวศินเดินตาม รสิกาไม่ได้ดูเชิดหยิ่งแต่วศินเชิดมาก พนักงานสาวเดินถือถาดแก้วกาแฟมาให้
“คุณหญิงคะ กาแฟค่ะ”
รสิกายังไม่ทันขยับ วศินก็ดึงแก้วกาแฟมาดูก่อน
“กาแฟอะไร”
พนักงานงง
“กาแฟทรีอินวันค่ะ”
วศินเหยียดมาก
“ระดับคุณหญิงไม่ดื่มของแบบนี้หรอกนะ จะเลือกอะไรให้ใคร ดูความเหมาะสมบ้าง เขาเรียกว่าให้เกียรติน่ะเข้าใจไหม”
พนักงานหน้าเสีย คนในออฟฟิศมองวศินอย่างเหม็นหน้าสุด ๆ พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้นเอือมๆ
“โดนไอ้ขี้เก๊กเล่นแล้วไง”
รสิกาเห็นท่าว่าไม่ดีแน่ ตัดสินใจหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา วศินจะห้าม
“คุณหญิงครับ”
“ลองเปลี่ยนรสชาติดูบ้างก็ดีนะคะ” รสิกายิ้มกับพนักงาน “ขอบใจนะจ๊ะ”
รสิกาเดินเข้าไปที่ห้องทำงาน วศินจะเดินตามแต่ชะงักที่ได้ยินเสียงนินทาตามหลังมา
“ผู้ดีจริงยังไม่เยอะเท่าลูกกระจ๊อกเลย”
“หมั่นไส้ว่ะ คุณหญิงออกจะน่ารัก แต่คนข้างๆ เนี่ย...มากมาย”
วศินหันไปจ้องสายตาจะกินเลือดกินเนื้อมาก พวกพนักงานเมินไปอีกทาง ทำเหมือนวศินเป็นอากาศ วศินไม่พอใจอย่างรุนแรง
รสิกาเข้ามาในห้องทำงาน เสียงเคาะประตูเบา ๆ รสิกาหันไป กอบกู้ก้าวเข้ามา รสิกาไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะ เจ้านาย...”
กอบกู้รับไหว้อย่างใจดี มีความเกรงใจรสิกาอยู่มาก
“สวัสดีครับคุณหญิง เมื่อวานคุณธีรพัฒน์โทรมาขอบคุณ ที่ทางเราส่งสถาปนิกฝีมือดีที่สุด
อย่างคุณหญิงไป”
“เจ้านายไว้ใจมอบหมายงานใหญ่ให้ อ้ายต้องทำเต็มที่สิคะ อ้ายเคลียร์งานคุณธีรพัฒน์เรียบร้อยแล้ว เจ้านายมีอะไรให้อ้ายรับใช้ไหมคะ”
“มีงานใหม่จากคอนเน็คชั่นของผม ติดต่อมาระบุว่าต้องเป็นคุณหญิงเท่านั้น”
“อ้ายรับค่ะ...”
“ขอบคุณมากครับ”
“ลูกน้องต้องทำงานเพื่อเจ้านายนี่คะ”
กอบกู้ยิ้มๆกับรสิกา วศินเข้ามา
“วศิน วันนี้คุณไปกับคุณหญิงด้วยนะ” กอบกู้หันไปบอก
“มันแน่นอนอยู่แล้วครับ”
รสิกายิ้มกับกอบกู้แบบขอโทษแทน กอบกู้ยิ้มมองอย่างเข้าใจกับความเยอะของวศิน
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมให้เลขา ส่งรายละเอียดนัดหมายให้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
กอบกู้ออกไป รสิกายกกาแฟขึ้นจิบแล้วก็เตรียมงาน
“อ้ายครับ...ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
รสิกามองสีหน้าวศิน รู้ว่าต้องมีเรื่องอีกแล้ว
ราพณ์มองอึ้งชะงักแล้วดึงมือออกนิ่งๆ
“สิครับ”
สิริโสภาหน้าเสีย ราพณ์เวทนา
“ตอนนี้ผมมีพระลบเป็นลูกอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้แกรู้สึกว่าจะโดนแย่งความรักไป และผมก็ไม่พร้อมที่จะแต่งงานเริ่มมีครอบครัวกับใคร” เขาไล้แก้มเธอเบา ๆ “เข้าใจนะ”
ราพณ์พูดถึงพระลบ หลานชายวัย 7 ขวบ ลูกชายของราณีพี่สาวคนโตที่แต่งงานเพราะการคลุมถุงชน แต่ต้องพบกับชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว ราณีกลับมาพร้อมกับที่อุ้มท้องพระลบ แต่ราณีป่วยเป็นลูคีเมียจนเสียชีวิตไปตั้งแต่พระลบยังแบเบาะ ราพณ์จึงตัดสินใจรับพระลบเป็นลูกของตัวเอง และสั่งให้น้องๆ ทุกคนห้ามพูดเรื่องนี้เพื่อรักษาจิตใจของพระลบ
สิริโสภาพยายามพูดให้ราพณ์เห็นใจ
“สิต้องอยู่บ้านคนเดียว สิเหงาถ้าคุณไม่มาอย่างน้อยสิก็มีตัวแทนของคุณ”
ราพณ์อึดอัด
“เมื่อก่อนคุณเป็นคนน่ารัก ไม่ทำให้ผมต้องปวดหัว ผมถึงเลือกที่จะมีคุณ ให้ผมสบายใจที่มีคุณอยู่นะสิ”
สิริโสภามองราพณ์ อย่างรู้ว่า ถ้าเธอสร้างเรื่องเมื่อไหร่ต้องไป สิริโสภาสะเทือนใจ หน้าเสียแต่พยายามนิ่ง
“ค่ะ ถ้างั้นสิจะกลับไปรอคุณในที่ของสิ”
ราพณ์ยิ้มปลอบ
“ขอบคุณที่คุณเป็นคนเข้าใจง่าย ๆ ถ้าเคลียร์งานได้แล้วผมจะไปหานะ”
“ค่ะ”
สิริโสภาพยายามฝืนยิ้มแล้วเดินจากไป ราพณ์มองตามอย่างเวทนา
รสิกา มองวศินอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“อ้ายว่าที่คุณทำ มันค่อนข้างจะเกินกว่าเหตุนะคะ”
“แต่ผมทำเพื่อคุณหญิงนะครับ ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่าควรจะปฏิบัติกับคุณหญิงยังไงถึงจะสมฐานะของคุณหญิง”
“อ้ายคิดว่ามันไม่จำเป็นนะคะ อ้ายก็ทำงาน กิน นอน เหมือนคนอื่นๆ ได้”
“แบบนี้ไงครับ เจ้าสัวเรียวกับหม่อมแม่ของคุณหญิงถึงได้ไม่เห็นหะ...” วศินจะพูดว่าหัวนึกได้รีบเปลี่ยน
“คุณหญิงอยู่ในสายตา”
รสิกาอึ้ง
“แล้วอ้ายควรจะทำยังไง”
“สร้างฐานะไงครับ เรื่องที่ผมเคยคุยกับคุณหญิงไว้ เปิดบริษัทของเราเอง ชื่อเสียงคุณหญิงก็เป็นที่รู้จักแล้ว คุณหญิงลงทุนเปิดบริษัท ผมจะช่วยบริหาร ไม่นานก็จะต้องติดตลาด มีงานไม่ขาดสายแน่”
“แต่เปิดบริษัทต้องใช้เงินลงทุนมากอยู่”
“สมบัติของท่านชายชัยประกาศ ทิ้งไว้ให้คุณหญิงมีมากมายนี่ครับ”
รสิกานิ่งไป รู้ว่าตัวเองมีแต่หนี้ วศินรุก
“แค่คุณหญิงตัดสินใจ...”
“อ้ายขอใช้เวลาคิดสักหน่อยนะคะ”
วศินมองรสิกาอย่างขัดใจมากที่เธอไม่โอเคสักที
สิริโสภาหยิบกล่องที่เก็บแถบตรวจครรภ์ไว้ เธอตรวจตั้งแต่เมื่อวาน แล้วยังเก็บไว้ สิริโสภาหยิบออกมาเห็นว่าเป็นสองขีด เธอเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ
“ลูกแม่...”
สิริโสภามองในกระจกอย่างมุ่งมั่นต้องให้ราพณ์ยอมรับลูกให้ได้
ลิฟท์ของคอนโดหรูเปิดออกเมื่อถึงชั้นที่นัดกับลูกค้าไว้ รสิกาก้าวออกมา วศินตาม
“ศิน อ้ายรู้นะคะว่าคุณพยายามจะรักษาเกียรติของอ้าย แต่ถ้าเป็นแบบนี้เจ้านายก็จะมองคุณไม่ดี”
“ถ้าเป็นบริษัทของเราเอง ปัญหานี้ก็จะไม่มี”
รสิกาอึ้งที่โดนโยงเข้าเรื่องเปิดบริษัทอีกแล้ว
“จะได้เวลานัดแล้ว อย่าให้ลูกค้ารอจะดีกว่านะคะ”
วศินขัดใจเดินนำไป รสิกามองตามแอบถอนใจนิด ๆ
วศินเดินมาถึงห้องลูกค้าที่แจ้งไว้ แล้วกดกริ่งที่ประตู ครู่หนึ่งประตูเปิดออก รสิกาที่เดินตามมา อึ้งที่เห็นว่าเป็นรุ้งรายในชุดนอนสวมเสื้อคลุมทับ
“คุณ”
“สวัสดี คุณหญิงรสิกา ยินดีจริงๆ ที่คุณหญิงจะมาทำงานให้คนของลิ้มวัฒนาถาวรกุล”
วศินชะงักที่ได้ยิน หันมองรสิกา
“งานนี้ฉันขอถอนตัว...”
รสิกาจะไป รุ้งรายพูดธรรมดาแต่หนักแน่น
“อยากเสียชื่อก็ลองดู”
รสิกาชะงักหันมา
“ถ้าคุณสองคนไม่รับผิดชอบงาน ชื่อเสียงคุณไม่เหลือแน่”
วศินอึ้งที่ตัวเองโดนหางเลขไปด้วย
“ฉันไม่กลัว”
“คุณหญิงครับ...” วศินรั้งเบาๆ ให้ห่างออกมา “ใจเย็นๆ สิครับ”
“เขาจงใจจะแกล้งอ้าย”
“แต่เรามาทำงานนะครับ คิดถึงบริษัท คุณกอบกู้”
“มายืนซุบซิบต่อหน้าลูกค้า เสียมารยาท ไม่มีสมบัติผู้ดีติดตัวเลยหรือไง” รุ้งรายโวย
รสิกาฉุนกึก
“นี่คุณ”
รุ้งรายโบกมือไล่
“ฉันไม่อยากคุยกับเธอ” รุ้งรายหันไปหาวศิน “คุยกับคุณคนเดียวก็พอ”
วศินบอกรสิกา
“คุณหญิงไปรอผมด้านล่างก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจัดการทางนี้เอง”
รสิกามองรุ้งรายอย่างไม่พอใจ
“ก็ดีค่ะ อ้ายไม่อยากอยู่ตรงนี้แม้แต่นาทีเดียว”
รสิกาไปที่ลิฟท์ แล้วเดินเข้าไป รุ้งรายมองวศินราวกับมองเหยื่อที่ติดกับ
“เข้ามาสิ”
รุ้งรายหันกลับเข้าไปในห้อง เสียงมือถือของเธอดังขึ้น เธอกดรับสาย
“ว่ายังไงคะเฮีย”
ราพณ์ขับรถเข้ามาจอดที่ลานหน้าคอนโด ขณะที่พระลบนั่งมาด้วย เขาลงจากรถในขณะที่คุยมือถือไปด้วย
“เมื่อเช้ารุ้งหยิบเอกสารของเฮียติดมือไป เฮียต้องอ่านก่อนประชุม”
พระลบลงจากรถจากด้านที่นั่งข้างคนขับ
“กว่าจะถึงบริษัทก็ประชุมพอดี เฮียต้องพาพระลบไปตรวจตามที่หมอนัดน่ะ เดี๋ยวเฮียขึ้นไปนะ อีกสิบห้านาทีเหรอ...โอเค...” ราพณ์วางสาย
วศินฟังข้อเสนอของรุ้งราย แล้วอึ้ง ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“สามล้าน”
รุ้งรายนั่งลงที่โซฟาด้วยมาดเซ็กซี่ เธอตั้งใจจะหลอกวศินว่าอยากได้มาเป็นคู่นอน แต่ความจริงจะแยกวศินจากรสิกา เพื่อช่วยเจ้าสัวเรียวให้สมหวังที่อยากได้รสิกาเป็นลูกสะใภ้
“ใช่...พร้อมเงินเดือนเดือนละแสน ฉันจะให้เธอทันที ลาออกจากงานแล้วย้ายมาอยู่กับฉัน ทำทุกอย่างที่ฉันต้องการและพอใจ”
“คุณคิดจะใช้ผมเป็นเครื่องมือแกล้งคุณหญิง ถึงได้ยื่นข้อเสนอบ้าๆ นี่”
รุ้งรายขำ มองวศินอย่างเหนือกว่า
“ก็แค่เรื่องซื้อขาย บ้าตรงไหน ฉันอยากได้เธอ ฉันก็ซื้อ เธอจะขายหรือเปล่า”
“ผมไม่...”
“เธอสอบชิงทุนตั้งแต่เด็ก ส่งตัวเองเรียนจนจบ เก่งนะ รู้ไหม คนมีแต่ตัวอย่างเธอเขาเรียกว่ายากจน เธอกับรสิกามันคนละชั้นกัน เธอว่ารสิกาจะไม่คิดข้อนี้หรือไง”
วศินไม่พอใจ
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมกับคุณหญิง”
รุ้งรายยิ้มเหยียด
“การได้ควงรสิกามันคงช่วยทำให้คนอื่นๆ เห็นหัวเธอ แต่ถ้าไม่มีรสิกาเธอก็เป็นไอ้กระจอก”
“ถ้าคุณไม่คุยเรื่องงาน ผมต้องขอตัว” วศินโกรธ
“เธอคงไม่รู้ว่ารสิกากำลังตกอับ เป็นหนี้อยู่แปดสิบล้าน”
วศินตกใจ รุ้งรายเห็นปฏิกิริยายิ้มออก
“หนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เธอจะกัดก้อนเกลือกินเป็นรักในอุดมคติ ทั้งที่เธอไม่ได้สำคัญกับรสิกาเลยน่ะเหรอ”
วศินอึ้งเมื่อรู้ว่ารสิกามีหนี้สินแต่ยังปากแข็ง
“ไม่จริง คุณหญิงมีมรดก แล้วยังมีวังประกาศเกียรติและที่คุณต้องรู้ไว้คือ คุณหญิงรักผม”
“เธอตีค่าตัวเองสูงเกินไป รสิการักเกียรติตัวเองที่สุด เธอรู้อยู่แก่ใจ”
“คุณหญิงรักผม”
รุ้งรายลุกขึ้นขยับเข้าไปไล้ที่กระดุมเสื้อ เหมือนจะยั่วแต่มีอำนาจมาก
“รักความจนมากหรือไง ไม่อยากเจริญว่างั้น...อำนาจ เงินทอง ฉันให้เธอได้มากกว่ารสิกา ขายตัวเธอให้ฉัน แล้วฉันจะให้อย่างที่เธอไม่มีวันได้จากรสิกา”
วศินอึ้ง เริ่มลังเลกับข้อเสนอ รุ้งรายมองพอใจว่าปั่นวศินได้แน่
ราพณ์หยิบเอกสารออกมาจัดๆ พระลบมองอย่างเบื่อๆ หันไปเห็นพนักงานรับจ้างถือป้ายโฆษณาคอนโด มีลูกโป่งค่อยแจกเด็กๆที่เดินผ่านไปมา อยู่ด้านนอกรั้วคอนโด พระลบวิ่งไปหา พนักงานส่งลูกโป่งให้ พระลบรับมาแล้วคิดจะวิ่งเอาไปอวดราพณ์
“ป๊าคร้าบ”
รสิกาเดินออกมา เห็นพระลบที่จะวิ่งไปหาราพณ์โดยไม่ระวัง เธอเห็นรถที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ราพณ์หันมามองพอดี เห็นพระลบกำลังจะโดนชน
“ระวัง”
รสิกาพุ่งเข้าไปรวบตัวพระลบโดยไม่คิดถึงตัวเอง เสียงรถเบรกเอี๊ยด ลูกโป่งลอยขึ้นฟ้า ราพณ์ตกใจผู้หญิงคนหนึ่ง รวบตัวพระลบจนกลิ้งไปกับพื้น
“พระลบ”
ราพณ์รีบวิ่งเข้าไปหา รสิกาตั้งตัวได้ก็ขยับขึ้นมาดูพระลบด้วยความห่วงใย ราพณ์ชะงักที่เห็นรสิกาเป็นคนช่วยพระลบ
“หนูเจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะ”
พระลบตกใจร้องไห้
“โอ๋...ไม่เป็นอะไรแล้วนะจ๊ะ” รสิกากอดปลอบพระลบ
ราพณ์มองประทับใจรสิกาที่ดูอ่อนโยนมาก
“พระลบ...”
รสิกาตกใจที่เห็นราพณ์
“คุณ”
“ป๊า”
พระลบโผเข้ากอดราพณ์
“ลบกลัวครับ...”
“ไม่เป็นไรแล้วนะลูก” ราพณ์มองรสิกา “ขอบคุณนะครับที่ช่วยลูกผม”
ราพณ์ยื่นมือจะให้รสิกาจับเพื่อพยุงตัวลุก รสิกาไม่จับลุกเองมองราพณ์อย่างหัวเสีย
“คุณดูแลลูกยังไงให้วิ่งตัดหน้ารถแบบนี้ เด็กเกือบโดนรถชนเพราะความเลินเล่อของคุณ”
ราพณ์มองแบบประเมิน
“คุณโกรธที่ผมเลินเล่อ หรือถือโอกาสด่าล้างแค้นที่พ่อ ผมแต่งงานกับแม่คุณกันแน่ แพ้แล้วพาล รับไม่ได้สินะที่พ่อผมชนะคุณ”
“ชัยชนะที่ใช้เงินซื้อมันน่าภูมิใจมากใช่ไหม วิธีแบบนั้นฉันไม่ถือว่าเป็นชัยชนะหรอกนะ แต่ฉันเห็นว่ามันเป็นวิธีการของคนพาลดูไม่มีเกียรติสักนิด พวกคุณกับฉันวรรณะมันต่างกันเยอะ”
ราพณ์โมโห
“ครับ...ผมมันพวกชั้นต่ำ เป็นรากหญ้าจะตีเสมอผู้ดีอย่างคุณไม่ได้” ราพณ์ยิ้มกวน ๆ “แต่สักวันผู้ดีอย่างคุณจะต้องหมอบอยู่แทบเท้ารากหญ้าอย่างผม”
รสิกาโกรธ
“คุณ”
ราพณ์หน้ายังยิ้ม วอนโดนตบมาก
“ผมชื่อราพณ์จำชื่อนี้ไว้ให้ดี”
รสิกามองเชิดใส่
“ชื่อคุณมันไม่มีค่าให้ฉันต้องจดจำสักนิด”
รสิกาเดินขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไป ราพณ์มองตามยิ้มชอบใจ
ในห้องอาหารส่วนตัวของโรงแรมหรู ประสิทธิ์นั่งอยู่กับสุรีย์ส่อง และกลุ่มลูกค้า เขาต่อรองหวังผลประโยชน์เต็มที่
“ราคาวังประกาศเกียรติ หนึ่งพันล้านครับ”
สุรีย์ส่องมองประสิทธิ์ด้วยสายตาตะลึงนิด แต่เก็บกิริยาไว้ มิสเตอร์หยางยิ้ม
“ผมทราบว่าวังเก่าแก่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของคนไทย แต่ผมกำลังจะสร้างสรรค์ให้วังประกาศเกียรติเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ของเมืองไทยที่คลาสสิคที่สุด การลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก ผมว่า...”
ประสิทธิ์แทรก
“มันช่างคุ้มแสนคุ้ม ทั้งทำเลและความสวยงามของวัง นักท่องเที่ยวจะต้องหลั่งไหลมา แล้วยังมีผลประโยชน์จากด้านอื่นอีกมาก เงินแค่นี้เล็กน้อยสำหรับนักธุรกิจแสนล้านอย่างคุณ”
มิสเตอร์หยางรู้ว่าประสิทธิ์เขี้ยว และตัวเองก็อยากได้วังมาก
“คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจะเอาวังนั้นมาให้ผมได้”
ประสิทธิ์หยิบสัญญาขายฝากขึ้นมา วางตรงหน้ามิสเตอร์หยาง
“สัญญาขายฝาก จะครบกำหนดในอีกสองเดือน ทางโน้นไม่สามารถหาเงินแปดสิบล้านมาคืนผมได้แน่นอน”
มิสเตอร์หยางส่งเอกสารให้ลูกน้องคนไทยที่ เป็นทนายและเลขาประจำตัว
“สัญญาถูกต้องครับ มีผลตามกฎหมายครับ”
ประสิทธิ์ยิ้ม
“ทันทีที่ครบกำหนด ผมก็พร้อมจะโอนวังและที่ดินทั้งหมดให้กับคุณทันที”
มิสเตอร์พยักหน้ารับ
“ผมตกลง”
“แค่คำพูดคงเป็นหลักประกันการซื้อขายครั้งนี้ไม่ได้ ถ้ามีใครที่สนใจวังประกาศเกียรติอีก ผมก็คงต้องยื่นข้อเสนอให้เขาเหมือนกัน”
“ผมจะโอนเงินให้คุณสองร้อยล้านเป็นมัดจำ ที่เหลือจะจ่ายทันทีเมื่อคุณได้เป็นเจ้าของวังอย่างสมบูรณ์”
“เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ”
มิสเตอร์หยางลุกขึ้น
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน”
ประสิทธิ์จับมือด้วย
“ครับ...”
มิสเตอร์หยางกับลูกน้องออกไป สุรีย์ส่องแสดงอาการตื่นเต้นแบบไม่ปิดบัง
“พ่อค่ะ หนี้ที่นังอ้ายติดเรามันแค่แปดสิบล้านเองนะคะพ่อ ส่วนที่เหลือตั้ง 900 ล้าน...”
“พ่อจะเอาสิ่งที่ควรเป็นของพ่อคืนมา ชัยประกาศมันจะต้องตายไม่เป็นสุข”
“สุจะเหยียบนังอ้ายให้มันจมดิน” สุรีย์ส่องยิ้มสะใจมาก แล้วคิดได้ “ถึงแม่มัน
จะแต่งงานเป็นคนนอกตระกูล แต่นังอ้ายมันหวงวังจะตาย มันต้องไม่ยอมแน่”
“พ่อเป็นลูกที่ท่านปู่จดทะเบียนรับเป็นบุตร มีสิทธิ์ในวังนั้น”
สุรีย์ส่องคิดได้ แต่ไม่ได้ร้ายขนาดจะฆ่าให้ตาย
“ก็ต่อเมื่อไม่มีนังอ้ายนะคะพ่อ”
ประสิทธิ์คิดต่อ สายตาร้ายกาจว่าจะกำจัดรสิกาแน่!
เจ้าสัวเรียวอึ้งกับสิ่งที่รัตนาวลีบอก
“ไม่จัดงานแต่งงาน”
“เรา...ก็อายุไม่น้อยกันแล้ว”
“คุณไม่อยากให้ใครคิดว่ามาปอกลอกผม ใช่มั้ย”
“ค่ะ ฉันดีใจนะคะที่เจ้าสัวเข้าใจ”
เจ้าสัวเรียวมองอย่างเข้าใจ
“แล้วคุณก็ไม่อยากผิดใจกับคุณหญิง”
“เจ้าสัวคะ อ้ายยังเข้าใจผิดและดื้อรั้นไปบ้าง อย่าถือสาแกได้ไหมคะ”
“ผมอยากทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง ให้เขารู้ว่าผมรักและให้เกียรติคุณมากแค่ไหน”
“แค่ฉันรู้ไม่พอเหรอคะ”
แววตาของรัตนาวลีแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและขอร้อง จนเจ้าสัวเรียวรู้สึกเห็นใจ
“งั้นคืนนี้คุณไปออกงานกับผมได้ไหม”
รัตนาวลีลำบากใจ
“แต่...”
“ถึงเราจะไม่จดทะเบียนสมรส แต่เราก็ต้องบอกให้คนเขารู้เป็นทางการ ว่าเราตกลงใจใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันแล้ว”
รัตนาวลี อ่อนใจและจนมุม
“ค่ะ”
เจ้าสัวเรียวจับมือรัตนาวลีอย่างทนุถนอมด้วยความรัก รัตนาวลีรู้สึกอุ่นใจนัก
รสิกาอยู่ในห้องทำงานมองนาฬิกาเห็นว่าบ่ายกว่าแล้ว วศินเข้ามา
“ลูกค้าว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็...มากเรื่อง เดาใจไม่ค่อยถูกว่ามาไม้ไหน ผมกำลังลังเลอยู่ว่าจะรับงานนี้ดีมั้ย”
“ถ้ามากเรื่องนัก ก็โอนให้คนอื่นทำไปดีกว่าค่ะ ตัดปัญหา”
วศินรีบห้าม
“อย่านะครับอ้าย...ผมว่าผมจัดการได้ มันจะแค่ไหนกันเชียว”
รสิกาจับอาการผิดปกติของวศินได้
“หลังจากอ้ายกลับมา...มีอะไรอีกรึเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรนี่ครับ” วศินเปลี่ยนเรื่อง “แล้วทำไมคุณหญิงถึงหนีกลับมาก่อน ผมตามหาแทบแย่”
“ขอโทษค่ะ แต่อ้ายรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยกลับมาก่อน”
“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ”
วศินบีบมือรสิกาเบาๆ แสดงความห่วงใย รสิกา ชักมือกลับเบาๆ เพราะรู้สึกไม่เหมาะสมกับสถานที่
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ แค่ปวดหัวกับพวกสติไม่ดี”
รสิกานึกถึงเหตุการณ์ที่พบราม รอยยิ้มกวนประสาทของเขายังติดตา
“คุณหญิงครับ สุดสัปดาห์นี้เราไปเที่ยวต่างจังหวัดสักสองสามวันนะครับ” วศินชวน
รสิกาตอบทันที
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
“เราคบกันมาขนาดนี้แล้วคุณหญิงยังไม่ไว้ใจผมเหรอครับ”
“มันไม่เหมาะสมค่ะ”
“เพื่อผมนะครับคุณหญิง”
“ไม่ค่ะ”
วศินชะงัก
“เข้าใจอ้ายนะคะศิน”
วศินมองรสิกาอย่างคิด ๆ นึกถึงคำพูดของรุ้งรายที่ว่าวศินไม่ได้สำคัญสำหรับรสิกา
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ไปทานข้าวกับผมนะ เป็นการปลอบใจที่วันนี้คุณหญิงต้องเจอเรื่องน่าปวดหัวทั้งวัน”
“แต่...”
“ไปเถอะนะครับ”
รสิกาจำยอมเพราะเหนื่อยจะขัดวศิน
ราพณ์นั่งปล่อยความคิดถึงรสิกานิ่งๆ รุ้งรายเข้ามาพร้อมกับสูทผู้ชาย
“เฮีย…สูทสำหรับไปงานรับรางวัลของป๊าคืนนี้ รุ้งสั่งออเดอร์มาจากฝรั่งเศสให้เลยนะ ชอบมั้ย”
ราพณ์ที่ยังคิดถึงรสิกา
“ก็ แปลกดี” ราพณ์ยิ้มๆ
รุ้งราย มองรู้ว่าไม่น่าจะหมายถึงสูท
“แล้วก็ไม่เคยเจอที่ไหนด้วยใช่มั้ย”
“นี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
รุ้งราย กวนประสาท
“ก็เรื่องสูทที่รุ้งเอามาไง หรือว่าเฮียหมายถึงอย่างอื่น”
“อย่างอื่นอะไร”
“ก็คนที่ช่วยพระลบเมื่อเช้าไง เฮียว่าไหม คุณหญิงน่ะร้ายนะ”
“ไม่หรอก”
“เฮ้ย...แรงกับป๊าเราขนาดนั้น ไม่มีมุมน่ารักเอาซะเลย”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”
รุ้งรายมองแบบจับผิด
“เฮียพูดเหมือนเคยเห็นมุมน่ารักของเขาอย่างนั้นล่ะ มันจะมีเหรอ”
ราพณ์คิดถึงอดีต เมื่อครั้งที่เขาพาพระลบไปที่โรงเรียนศิลปะสำหรับเด็กเล็ก สอนฟรีเพื่อเด็กยากไร้ เจ้าหน้าที่เดินนำราพณ์ที่อุ้มพระลบเข้ามา
“ผู้ปกครองในชุมชนให้ความสนใจส่งลูกหลานมาเรียนกันมากค่ะ เด็ก ๆ ก็มีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ต้องขอบคุณเจ้าสัวเรียวกับคุณราพณ์มาก ที่บริจาคเงินช่วยให้โครงการเกิดขึ้นได้”
ราพณ์ชะงักที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากมุมที่เด็ก ๆนั่งอยู่ สายตาของเขาเห็นว่ารสิกากำลังสอนเด็ก ๆ วาดรูปเขียนสีน้ำหน้าของเธอเลอะสีนิด ๆ แต่รสิกาไม่ได้ใส่ใจ จับมือเด็กระบาย ท่าทางของเธออ่อนโยนมาก ราพณ์หันมาถามเจ้าหน้าที่
“จ้างอาจารย์ที่ไหนมาสอนเหรอครับ”
“ไม่ได้จ้างหรอกค่ะ คุณหญิงรสิกาเป็นอาสาสมัครค่ะ เธอเป็นที่รักของเด็ก ๆ มาก ไม่ถือตัวเลย”
ราพณ์มองรสิกาอย่างประทับใจ
ราพณ์อมยิ้มนิด ๆ รุ้งรายวางสูทลงบนโต๊ะตรงหน้า
“คงน่ารักถูกใจเฮียมากล่ะสิ”
ราพณ์หลุดจากภวังค์
“ใครน่ารัก”
“ก็เราพูดถึงใครอยู่ล่ะเฮีย” รุ้งรายมองแบบล้อเลียนว่ารู้ทัน
ราพณ์เปลี่ยนเรื่อง
“รุ้งเลือกสูทมาถูกใจเฮียเลยนะ”
รุ้งรายยิ้มรู้ทัน
“ถูกใจก็ต้องรีบจัดการนะ พวกของแบรนด์พวกนี้ ใครๆ ก็อยากได้ แต่ถ้ามันตกไปอยู่ในมือคนที่ไม่คู่ควรหรือไม่เห็นค่า ก็น่าเสียดาย ราพณ์มองรุ้งรายเข้าใจทันที
“พูดถึงสูทใช่มั้ย”
รุ้งรายยิ้มกวนประสาท
“ไม่ใช่...เตรียมตัวแล้วกัน เย็นนี้รุ้งขอยืมควงออกงานหน่อยนะ”
รุ้งรายพูดจบก็ยิ้มให้พี่ชายอย่างมีเลศนัยแล้วออกไป ราพณ์มองสูทที่รุ้งรายเอามาให้ แล้วอดคิดตามไม่ได้
เย็นนั้น ประสิทธิ์กับสุรีย์ส่องยืนเชิดพูดคุยกับแขกในงานโอ้อวดเรื่องของตน
“ปีนี้ธุรกิจผมก็ได้กำไรไม่เยอะหรอกครับ แค่สองร้อยล้าน ปกติทั่วไป”
“แหม คุณพ่อคะ ปกติของเรามันสูงกว่าคนอื่นนี่คะ”
แขกที่ยืนฟังอยู่สีหน้าบอกว่าฟังแล้วรู้สึกเอือมๆ แต่ก็ปลีกตัวไปไหนไม่ได้
“ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับกำไร ไอ้พวกรางวัลอะไรใครจะได้ไปผมไม่สนนะ ก็ยกให้เจ้าสัวเรียวเขาไปก็แล้วกัน จะได้มีกำลังใจการทำงาน”
เสียงเจ้าสัวเรียวดังขึ้น
“ขอบคุณมากครับคุณประสิทธิ์ ที่มาเป็นกำลังใจ”
ทุกคนหันไป เห็นเจ้าสัวเรียว มากับรัตนาวลี ราพณ์และรุ้งราย
“บางทีเวลาได้รางวัลเราก็ไม่รู้จะไปฉลองกับใคร ถ้าไม่มีผู้ร่วมยินดี”
“พวกรางวัลอะไรมันไม่ยั่งยืน เท่ากับฝีมือที่สั่งสมมาหรอกนะเจ้าสัว”
ราพณ์ขัดขึ้น
“แต่ถ้าเป็นฝีมือที่ถนัดแต่ทางไม่สุจริต ก็ไม่น่าภูมิใจหรอกครับ”
รุ้งรายเสริมทันที
“ถ้ามีฝีมือจริงก็ต้องเป็นทองบริสุทธิ์น่ะค่ะ”
เจ้าสัวเรียวยิ้มๆ
“เคยเห็นทองแท้ลอกร่อนบ้างมั้ยล่ะครับ คุณประสิทธิ์”
ประสิทธิ์รู้สึกว่ากำลังโดนเล่นงาน
“ทองมันก็ต้องเป็นทองจะลอกร่อนได้ยังไงล่ะครับ”
ราพณ์เสริม
“เว้นแต่ว่ามันจะเป็นทองเคที่พยายามชุบทองแท้ เพราะไม่ใช่ทองจริงมาตั้งแต่แรก ใช่ไหมครับป๊า”
เจ้าสัวเรียวยิ้ม
“ใช่”
ประสิทธิ์รู้ว่ากำลังถูกเจ้าสัวเรียวหลอกด่า เลยเปลี่ยนเป้ามาที่รัตนาวลี
“แต่สมัยนี้คนชอบทองเคก็เยอะนะ ใช่มั้ยรัตนาวลี”
รัตนาวลีรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นเป้าหมาย เตรียมตั้งรับ
“นี่หญิงอ้ายยอมให้เธอแต่งงานใหม่จริงๆ เหรอเนี่ย หลานคนนี้นี่ใจกว้างจริงๆ”
“ใครจะอยากลำบากล่ะค่ะคุณพ่อ” สุรีย์ส่องหน้ายิ้ม ๆ แต่สายตาจงใจแดกดัน “ทางไหนที่ดูแล้วสบายก็ต้องคว้าไว้ จริงไหมคะ หม่อมอา” สรีย์ส่องยิ้มดูจริงใจมาก
เจ้าสัวเรียว ราพณ์ รุ้งราย หน้าเสียเป็นห่วงรัตนาวลีที่ยืนนิ่งจนทุกคนเดาใจไม่ถูก รัตนาวลี ยิ้ม สติดีมาก
“เวลาที่เราเดือดร้อน ถ้าญาติพี่น้องเห็นใจและเข้าใจแบบนี้ถือเป็นโชคดีนะคะ เพราะญาติบางประเภทนอกจากไม่ช่วย ไม่เห็นใจ ไม่เข้าใจ แล้วยังชอบทับถมอีก เวลาจะนับญาติด้วยก็มีแต่ตะขิดตะขวงใจ ท่านชายชัยประกาศมีญาติทุกแบบ คงไม่ต้องบอกนะคะว่าใครเป็นแบบไหน” พูดจบรัตนาวลีก็เดินแยกไป
เจ้าสัวเรียว ราพณ์ รุ้งรายพอใจกับการตอกกลับของรัตนาวลี
“คนล้มบางคน เขาก็ไม่ได้ยอมให้ใครมาข้ามได้ง่ายๆนะครับ...ใช่มั้ย”
เจ้าสัวเรียวมองสองพ่อลูกอย่างสะใจแล้วเดินตามรัตนาวลีไป ราพณ์จะตามไป
“คุณราพณ์คะ” สุรีย์ส่องจะเรียกไว้
รุ้งราย ขัดจังหวะ
“ขอตัวพวกเรา ไปรวมตัวกับญาติของเราทางโน้นนะคะ”
รุ้งรายลากราพณ์ออกไป สุรีย์ส่องได้แต่มองตามอย่างขัดใจ
“พ่อคะ...หม่อมอาหักหน้าเรา”
“อีกไม่นานหรอกลูก”
ประสิทธิ์ยิ้มร้าย
จบตอนที่ 1