บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 1
ตอนกลางวันของวันนี้ ณ บริเวณรันเวย์สนามบินดอนเมือง แลเห็นเครื่องบินหลายลำเคลื่อนตัวสวนกันไปมาเช่นทุกวัน บางลำทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่บางลำร่อนเครื่องบินลงแลนดิ้งอย่างเรียบร้อย
ในเวลาเดียวกันนั้น บรรยากาศภายในหอควบคุมการบิน เจ้าหน้าที่ควบคุมสัญญาณการขึ้นลงของเครื่องบิน ต่างประจำตำแหน่งของตนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ที่หน้าจอเรดาร์ในห้อง มีเครื่องบินลำหนึ่งปรากฏขึ้นมา เจ้าหน้าที่สื่อสารผ่านวิทยุแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ภายในอาคารสนามบินผู้โดยสารขาเข้า กริยาอาการและน้ำเสียงพวกเขา ดูออกว่ามันเป็นเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษ ของผู้โดยสารคนพิเศษ!
เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่ประจำอยู่ในบริเวณใกล้รันเวย์ สื่อสารกันเป็นทอดๆ แล้วแยกย้ายกันไป เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต้อนรับเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง
ส่วนภายในอาคารผู้โดยสาร ผู้คนพลุกพล่าน เดินสวนกันไปมาขวักไขว่
บริเวณแผงหนังสือมีหนังสือพิมพ์ต่างๆ ลงข่าวการเสด็จเยือนไทยของเจ้าหญิงเซเรน่า เจ้าหญิงประเทศตะวันตก แต่งตัวมีสไตล์ รูปลักษณ์คล้ายเจ้าหญิงไดอาน่า โดยภาพประกอบข่าวพาดหัว “เจ้าหญิงเซเรน่าเยือนไทยวันนี้” เป็นภาพเจ้าหญิงส่งยิ้มให้ มีผู้โดยสารที่เดินผ่านไปมาหยิบซื้อไปอ่าน
ผู้โดยสารอีกคนถือนิตยสาร หน้าปกเจ้าหญิงเซเรน่าถ่ายรูปกับเด็กยากไร้ มีตัวหนังสือเขียนกำกับว่า “เจ้าหญิงเซเรน่า นางฟ้าผู้ใจบุญ”
ที่บริเวณเก้าอี้นั่งรอภายในสนามบิน จอทีวีกำลังรายงานข่าวโทรทัศน์ มีภาพเจ้าหญิงขึ้นบนจอ
“เจ้าหญิงเซเรน่า พระชายาของเจ้าชายโรเบิร์ต มีกำหนดการเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนพระองค์ในบ่ายวันนี้”
ภาพในจอเป็นภาพตัวเต็มเจ้าหญิง แต่งตัวสวยงามสไตล์เดียวกับที่ปรากฏในนิตยสารและภาพข่าวหนังสือพิมพ์ นักข่าวรายงานข่าวต่อไปเรื่อยๆ
ตรงมุมไกลจากรันเวย์ นักข่าวสาวมาดเท่ ยืนพูดหน้ากล้องอยู่ที่นอกรั้ว เห็นบริเวณรันเวย์ด้านหลัง มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเดินไปมา เตรียมความพร้อม
“ท่านผู้ชมคะ เครื่องบินเจ็ทส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงเซเรน่าเดินทางมาถึงสนามบินแล้วค่ะ”
นักข่าวสาวในชุดทะมัดทะแมงรายงานจบ ก็หันไปมองทางรันเวย์อย่างตื่นเต้น
เครื่องบินแลนดิ้นลงบนรันเวย์อย่างเรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตั้งแถวออกไปต้อนรับ รถบันไดของสนามบินค่อยๆ แล่นออกมาเตรียมเทียบที่ประตูเครื่อง ไม่มีใครสังเกตว่าชายคนที่ขับมา มิใช่พนักงานของสายการบินหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย
เครื่องบินจอดสนิทกลางรันเวย์ ให้รถบันไดแล่นเข้ามาเทียบ
เวลานั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยชายหญิง ราว 10 คน ตั้งแถวออกไปต้อนรับ มีรถที่ประทับวิ่งเข้ามาจอดเทียบเตรียมไว้ ในนี้มีบอดี้การ์ด 6 คน และเจ้าหน้าที่สนามบิน พร้อมทั้งตัวแทนรัฐบาล แต่งตัวในชุดสูท เจ้าหน้าที่หญิงถือพานช่อดอกไม้มาถวายการต้อนรับ
ไม่มีใครรู้ว่า คนร้ายชาย 2 คน ปลอมตัวปะปนอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ชายที่รอต้อนรับนี้ด้วย
ประตูเครื่องบินค่อยๆ เปิดออก ก่อนที่บอดี้การ์ดบนเครื่อง 2 คนจะก้าวลงมาเคลียร์พื้นที่ก่อน
หญิงสาวที่ก้าวออกมา ดูเหมือนเจ้าหญิงเซเรน่าตัวจริงที่เห็นในภาพข่าว หากแต่มิใช่
เธอคือ แพรพลอย บอดี้การ์ดสาวระดับวีไอพี อดีตเด็กกำพร้าที่มุ่งมั่นอยากทำงานเพื่อปกป้องคนอื่น นิสัยจริงจังกับชีวิต ยิ้มยาก ไว้ตัว แต่จิตใจดี มีมุมอ่อนโยน ไหวพริบดี ช่างคิด และช่างสังเกต หัวหน้าทีมบอดี้การ์ดวันนี้
แพรพลอย อยู่ในเสื้อผ้าของเจ้าหญิงเซเรน่า สวมชุดหรู ใส่หมวกปีกกว้างหรุบลง มีตาข่ายสวมพราง ก้าวเดินลงมาอย่างสง่างาม
นักข่าวถ่ายภาพแพรพลอยในคราบเจ้าหญิง ที่ก้าวเดินลงบันไดจากเครื่องบินในระยะไกลๆ แล้วหันมารายงานต่อหน้ากล้อง
“เจ้าหญิงเสด็จออกมาแล้วค่ะ อีกซักพักก็จะเข้าไปประทับที่ห้องรับรอง แล้วก็จะประธานสัมภาษณ์สถานีของเราเป็นแห่งแรก”
แพรพลอยเดินลงมาถึงขบวนต้อนรับ เอื้อมมือรับช่อดอกไม้ในพานของเจ้าหน้าที่ มีบอดี้การ์ดประกบ
จังหวะที่แพรพลอยก้มรับช่อดอกไม้นี้เอง เจ้าหน้าที่ชายปลอม 2 คนที่ยืนอยู่ในแถวพยักหน้าให้กัน แล้วชักปืนออกมายิงไปที่บอดี้การ์ดที่ประกบแพรพลอยอยู่ทันที เสียงปืนดังปังๆ สะเทือนเลื่อนลั่น
แม้จะเตรียมรับมืออยู่แล้ว แพรพลอยผงะตกใจเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยแตกกระเจิง
เสียงเจ้าหน้า 1 ตะโกนก้อง “คุ้มกันเจ้าหญิง”
คนขับรถเปิดกระจกออกมาจะยิงสู้ แต่คนร้ายหันมาเห็นเสียก่อน ยิงตายคารถ
ส่วนด้านนอกรันเวย์ บรรดานักข่าวกับตากล้องตกใจ รีบกระจายกันหลบ นักข่าวชี้ให้ตากล้องเก็บภาพทำข่าวอย่างไม่คิดชีวิต
เจ้าหน้าที่สนามบินจะเข้าชิงตัวเจ้าหญิง แต่โดนแก๊งคนร้ายในชุดดำด้านนอกโผล่ออกมากราดยิงใส่ แล้วเข้ากระชากตัวแพรพลอย
แรงกระชากทำให้หมวกที่แพรพลอยสวมหลุดปลิวไป คนร้ายมองหน้าแพรพลอยแล้วชะงัก เพิ่งเห็นว่าไม่ใช่เจ้าหญิง
คนร้ายตกใจ ยกปืนขึ้นจะยิง แต่แพรพลอยปัดมือ ถีบคนร้ายกระเด็นไป ปืนลอยขึ้นสู่ฟ้า แล้วตกลงใส่มือแพรพลอยหมับ แพรพลอยล้วงหยิบปืนอีกกระบอกที่เหน็บใต้กระโปรง แล้วเล็งยิงใส่คนร้าย1 จนดิ้น แล้วหันมาส่องอีกคนที่มัวแต่ตกใจ ขณะที่ถอยหนีไปเรื่อยๆ
แก๊งคนร้ายชุดดำที่ซุ่มอยู่รอบรันเวย์โผล่มาแล้วระดมยิงช่วย พยายามล้อมวงเข้ามา เจ้าหน้าที่รีบพาแพรพลอยวิ่งหลบกระสุน หลังรถ
แพรพลอยโผล่ขึ้นมาอีกที แล้วยิงส่องแก๊งคนร้ายทีละคนจนล้มตายคาที่ เสียงปืนดังลั่นไปทั่วรันเวย์สนามบิน
หน่วยคอมมานโดเพิ่งมาถึง รีบกรูกันเข้ามาคุมสถานการณ์พร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นๆ แพรพลอยแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วก็กลิ้งตัวออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ” คอมมานโดถาม
แพรพลอยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”
“แล้วเจ้าหญิงล่ะ”
แพรพลอยไม่ตอบ แต่มองขึ้นไปที่เครื่องบิน ประตูเปิดออกอีกครั้ง แลเห็นเจ้าหญิงในชุดแบบเดียวกันกับที่แพรพลอยใส่เดินลงมา ตามด้วยบอดี้การ์ดร่างกำยำชุดดำอีก 4 คน
ทุกคนรีบเข้าแถวยืนถวายต้อนรับ แพรพลอยยืนอยู่ริมสุดติดกับบันไดเครื่องบิน
เจ้าหญิงค่อยๆ เดินลงมา สีหน้านิ่ง แล้วหันมาหยุดที่แพรพลอย ทักทายเป็นภาษาอังกฤษ
“แผนของเธอได้ผลจริงๆ ขอบใจมากนะ ทำงานได้ดีมาก”
แพรพลอยก้มหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับให้เจ้าหญิง
เจ้าหน้าที่รีบเข้ามาเชิญตัวเจ้าหญิงเซเรน่าออกไป แพรพลอยมองตาม
รถพระที่นั่งเจ้าหญิงมุ่งหน้าออกไปจากสนามบิน พร้อมกับขบวนคุ้มกันครบชุด แพรพลอยกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นายหนึ่งยืนส่งอยู่ ก่อนจะเดินคุยกันออกมาหน้าอาคาร
“ไอ้พวกผู้ก่อการร้ายมันต้องการจับตัวเจ้าหญิงไปต่อรองอำนาจ”
แพรพลอยตั้งข้อสังเกต “ขนาดเสด็จกะทันหันแบบนี้ พวกมันยังรู้ความเคลื่อนไหว แสดงว่าต้องมีคนในรู้เห็นเป็นใจ”
“เป็นเรื่องของทางโน้นต้องจัดการสืบสวนเอง คุณทำหน้าที่ได้ดีแล้ว” นายตำรวจใหญ่ยิ้มชื่นชม “ถามจริงๆ ไม่กลัวเลยเหรอ”
“บอดี้การ์ดคงกลัวตายไม่ได้หรอกค่ะ หน้าที่ของเราคือปกป้องคุ้มครองคน”
นายตำรวจมองแพรพลอยอย่างชื่นชม “เจ้าหญิงทรงประทับใจคุณมาก อยากจะจ้างให้คุณกลับไปคุ้มครองที่โน่นตลอดไปด้วยซ้ำ”
“เห็นจะไม่ได้หรอกค่ะ”
นายตำรวจยิ้มรู้ทัน “ผมก็ว่าอย่างนั้น ท่านรัฐมนตรีบรรเลงคงไม่ยอมปล่อยมือดีอย่างคุณไปแน่ๆ แค่ขอยืมตัวมาชั่วคราวก็เกรงใจท่านจะแย่”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันต้องขอตัวเลยนะคะ ท่านรออยู่ที่กระทรวง”
แพรพลอยยกมือไหว้ แล้วรีบเดินออกไป นายตำรวจใหญ่มองตามอย่างชื่นชม
วันเดียวกันนี้ ณ บ้านเดชโชดม ในอาณาเขตอันกว้างขวางใหญ่โตนี้ มีบ้าน 3 หลังอยู่ในเขตรั้วเดียวกัน เวลานั้นมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ที่สุดที่เป็นบ้านของเดช มหาเศรษฐีแถวหน้าของไทยผู้ล่วงลับ
ป้าดวงกับเบญโผล่ออกมาจากด้านในบ้าน ด้วยท่าทางพินอบพิเทา ขณะที่ บุญเกิด ก้าวลงจากรถมาเปิดประตูให้ทนายความประจำตระกูลเดินลงมา
ดวงกับเบญเดินนำทนายเข้ามาในบ้าน เห็นความโอ่อ่าหรูหราของคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ ก่อนจะไปหยุดที่รูปภาพ เดช เดชโชดม ขนาดใหญ่โตที่ติดประดับอยู่ที่ทางเข้า
ทนายหยุดมองรูป ค้อมหัวนิดๆ เหมือนทำความเคารพ ก่อนจะหันไปถามป้าดวง
“ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
เสียงอำพลดังขึ้น “พร้อมนานแล้วครับ คุณทนาย”
ทั้งหมดหันไปมอง เห็นอำพลเดินออกมา
อำพล เป็นลูกชายคนโตของเดช นิสัยชอบวางอำนาจ บุคลิกน่าเกรงขาม เป็นคนโลภมาก เห็นแก่ได้ ฉลาดแกมโกง ตีสองหน้าได้เก่ง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
อำพลมองทนายด้วยสายตาเฉียบขาด ทนายค้อมหัวรับอย่างเกรงๆ แล้วรีบเดินเข้าไปในห้องรับแขก
เวลาต่อมา ทนายความลงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ข้างๆ พยานอีก 2 คน เป็นชายในชุดสูทหรู เขาเปิดกระเป๋าเอกสารหยิบซองพินัยกรรมออกมา
“พินัยกรรมของคุณเดช เดชโชดมที่ผมจะอ่านต่อไปนี้เป็นฉบับล่าสุด ได้ระบุให้มีการแบ่งทรัพย์สินดังต่อไปนี้...” ทนายเริ่มอ่าน “คุณอำพล เดชโชดม และคุณอำนวย เดชโชดม บุตรทั้งสอง”
อำพลกับอำนวย น้องชายผู้สมถะ ตั้งใจฟัง อำพลดูลุ้นๆ กับสิ่งที่จะได้ยิน แต่อำนวยทำหน้าเฉยๆ
ทนายยังคงอ่านต่อ “จะได้รับกรรมสิทธิ์ในบ้านที่พักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ที่ดินที่ผ่านการตีราคาแล้วมูลค่าคนละ 50 ล้านบาทโดยประมาณ”
อำพลได้ยินเข้าก็สีหน้าชื่นบาน ส่วนไอริณหันไปเกาะแขนเรณู พลอยตื่นเต้นไปด้วย
ธำรงมองไปทางอำนวยยิ้มกริ่ม แต่อำนวยทำสีหน้าเฉย ไม่ตื่นเต้นไปด้วย ทนายอ่านต่อ
“และหุ้นของเดชโชดมกรุ๊ปในส่วนของคุณเดชอีกคนละ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหลานทั้งสี่คน คุณไอศูรย์ คุณไอริณ คุณธำรง และคุณอิศร์...”
จังหวะนี้ ทนายกวาดสายตามองไล่ไปทางไอศูรย์ ไอริณ ธำรง แล้วทำหน้าแปลกใจเมื่อไม่เห็นอิศร์
“คุณอิศร์ไม่อยู่นี่ครับ”
ทุกคนในห้องเหมือนนึกได้ หันมองหากันเลิกลัก อำพลหันไปขมวดคิ้วจ้องดวง
“เจ้าอิศร์มันหายไปไหน ดวง”
ดวงอึกอัก ทำหน้าเหมือนไม่รู้จะตอบยังไงดี
ที่แท้อิศร์อยู่ในสนามแข่งมอเตอร์ไซค์ซูเปอร์ไบค์แห่งหนึ่ง บรรยากาศทั่วสนามแข่งเต็มไปด้วยความคึกคัก เห็นมีป้ายบอกชื่อการแข่งขัน Thailand Suberbike Racing 2013 ติดอยู่รอบๆ
ในสนามแข่ง แลเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่วิ่งไปตามเส้นทางในสนามเพื่อวอร์มอัพก่อนแข่ง ใบหน้าคนขี่แม้จะภายใต้หมวกกันน็อค แต่ก็เห็นสายตาอันมุ่งมั่นของเขาที่จ้องอยู่บนถนน
เขาละ อิศร์ เดชโชดม หนุ่มหล่อ หลานชายคนโปรดของ เดช เดชโชดม หนุ่มเจ้าสำราญ รักอิสระ ไม่ชอบทำงาน เพราะได้รับมรดกจากพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นจำนวนมาก เป็นอารมณ์ดี คิดบวก ใจกว้างกับทุกคน
ดวงกดโทรศัพท์มือไม้สั่น อำพลกระสับกระส่ายแล้วหันมาเอะอะ
“โทร.ติดหรือยัง”
“ยังค่ะ”
ธำรงเริ่มหงุดหงิดบ้างเพราะอยากรู้มรดกส่วนของตัว ธำรง คนนี้เป็นลูกชายของอำนวย มีนิสัยมุทะลุ เจ้าเล่ห์ ทะเยอทะยานไม่ต่างจากอำพลและไอศูรย์ แต่ไม่ค่อยฉลาด เก่งแต่ปาก
“อิศร์มันไม่รู้หรือไงว่าวันนี้เป็นวันเปิดพินัยกรรมคุณปู่ นี่ถ้ามันไม่อยู่ ผมก็ไม่ต้องรู้กันพอดีว่าคุณปู่จะให้อะไร”
อำนวยเสียงดังใส่ “เงียบเหอะน่าธำรง”
ธำรงฮึดฮัด เรณูหันไปมองดวงที่กดโทรศัพท์อย่างกระวนกระวาย
เรณู เป็นภรรยาของอำพล เชื้อสายผู้ดีเก่า จิตใจดี มีน้ำใจ โอบอ้อมอารี แต่ข้อเสียคือใจอ่อน ขี้เกรงใจ ทำให้ไม่มีปากมีเสียงในบ้าน มักโดนอำพลกับลูกๆ ข่มอยู่เสมอ
“อิศร์รู้เรื่องเปิดพินัยกรรมหรือเปล่าแม่ดวง” เรณูถาม
“รู้ค่ะ แต่คุณอิศร์เธอ...” หญิงสูงวัยกำลังจะตอบว่าอิศร์ไม่สนใจ แต่ปลายสายมีคนกดรับพอดี เลยรีบบอก “ติดแล้วค่ะๆ”
เวลานั้นมอเตอร์ไซค์ของอิศร์วิ่งออกมาจอดที่ cockpit ริมสนามเจ้าหน้าที่ถือโทรศัพท์วิ่งออกมาจากอีกด้าน
“คุณอิศร์คะ”
อิศร์ค่อยๆ ถอดหมวดกันน็อคออก แล้วหันกลับมาช้าๆ
“ครับ”
“มีโทรศัพท์มาค่ะ”
อิศร์รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่เห็นเบอร์ป้าดวงเลยรีบรับสาย
“ว่าไงครับป้าดวง โทร.มาลุ้นผลการแข่งขันล่ะซี้ คนอย่างอิศร์ เดชโชดมยังไงก็แชมป์อยู่แล้วครับ ป้าดวงเอาไปคุยทั่วบ้านได้เลยครับ” ชายหนุ่มหัวเราะระรื่น
ป้าดวงอยู่ในห้องรับแขก กดเปิดเสียงอิศร์ให้ทุกคนได้ยิน แล้วมองบรรดาเจ้านายอย่างไม่สบายใจ
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ คือตอนนี้...ทุกคนกำลังรอคุณอยู่”
สีหน้าระรื่นของอิศร์ขรึมลง รู้ทันว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน
“เรื่องเปิดพินัยกรรมคุณปู่ใช่ไหม บอกแล้วไงว่าผมไม่อยากฟัง”
“มีชื่อคุณอิศร์ด้วยนะคะ” ดวงว่า
“มีก็มีไปสิ ผมไม่อยากได้อะไรของคุณปู่อีกแล้ว บอกคุณทนายได้เลยว่าไม่ต้องรอ”
ดวงทักท้วง “แต่ว่า...”
“แค่นี้นะครับป้า ผมต้องไปเตรียมตัวแข่งแล้ว”
อิศร์กดตัดสาย แล้วเดินออกไป ป้าดวงพยายามเรียก แต่ไม่ทัน
“คุณอิศร์ เดี๋ยวก่อนค่ะ”
ไอศูรย์มองดวงที่ทำหน้าเจื่อนๆ อย่างรำคาญ
เขาคนนี้ ไอศูรย์ เป็นลูกชายคนโตของอำพล เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ขี้หงุดหงิด โมโหร้าย โลภมากและทะเยอทะยาน
“สรุปว่ามันไม่มา งั้นอ่านต่อเถอะครับคุณทนาย” เขาบอก
“จะอ่านโดยที่ไม่รออิศร์เหรอคะ”
อริสราแย้งขึ้นมาอย่างลืมตัว ไอศูรย์ตวัดสายตามอง หึงปรี๊ดขึ้นมาทันที
อริสรา เป็นภรรยาของไอศูรย์ และเป็นอดีตคนรักของอิศร์ที่ไอศูรย์ช่วงชิงมา หล่อนยังรักอิศร์อยู่ แต่ก็เกรงกลัวในความดุดันของไอศูรย์ เลยไม่กล้าแสดงออกมาก ได้แต่เก็บความต้องการเอาไว้ภายในใจ
“คุณไม่ได้ยินหรือไงอริส ! อิศร์มันบอกเองว่าไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ สมบัติมันคงเยอะ” น้ำเสียงไอศูรย์ประชดอย่างชิงชัง
ไอริณปรายตามองอริสราอย่างหมั่นไส้นิดๆ แล้วผสมโรงขึ้นมา (ไอริณ ลูกสาวคนเล็กของอำพล คุณหนูไฮโซฟุ้งเฟ้อ เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล ขี่วีนเหวี่ยง ชอบข่มทุกคนที่ข่มได้)
“ริณเห็นด้วยกับพี่ศูรย์ พี่อิศร์ไม่ขัดข้องที่จะให้เราเปิดพินัยกรรม ก็อ่านต่อให้จบสิคะ”
ทนายมองหน้าทุกคน แล้วลอบถอนใจเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านพินัยกรรมต่อ
ขณะเดียวกัน รถตู้ของบรรเลงแล่นเข้ามาจอดที่หน้าสนามแข่งรถ เห็นทีมงานกับหัวหน้าฝ่ายจัดการแข่งขันปรี่ออกมาต้อนรับ
แพรพลอยที่นั่งหน้า รีบลงจากรถมาเปิดประตูให้บรรเลงอย่างคล่องแคล่ว มีบอดี้การ์ดชายอีกคนทำหน้าที่ขับรถ ตามลงมา อีกคนนั่งประกบบรรเลงที่ตอนหลัง
หัวหน้าทักทายหลังทำความเคารพ “สวัสดีครับท่าน”
“ผมคงไม่ได้มาช้าไปใช่ไหม”
“ไม่เลยครับ การแข่งขันยังไม่เริ่ม เชิญท่านที่ห้องรับรองก่อนดีกว่าครับ”
แพรพลอยพยักหน้าให้หัวหน้าและทีมงานเดินนำไป ตัวเองนำหน้าบรรเลง แล้วมีบอดี้การ์ดชายประกบหลัง
ครู่ต่อมาแพรพลอยเดินออกมาจากห้องรับรองกับหัวหน้า มีบอดี้การ์ดตามออกมาด้านหลัง
“ผมนึกว่าท่านบรรเลงจะพาผู้ติดตามมาเยอะ” หัวหน้าว่า
“ท่านไม่อยากให้เอิกเกริกน่ะค่ะ แค่มามอบถ้วยรางวัลก็เสร็จแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ ตามสบายนะครับ”
หัวหน้าเดินเลี่ยงออกไป แพรพลอยมองเข้าไปในห้อง แล้วหันมาพูดกับลูกน้อง
“พี่จะไปดูความเรียบร้อยด้านนอก ฝากด้วยนะ”
บอดี้การ์ดชายพยักหน้ารับคำ แล้วยืนประกบหน้าห้อง แต่พอแพรพลอยเดินลับตัวไป ทั้งสองก็หันมาสบตากันแล้วมองเข้าไปที่บรรเลงในห้อง อย่างไม่น่าวางใจ
ส่วนแพรพลอยเดินออกมาสำรวจบริเวณรอบๆ เห็นนักแข่งกำลังเตรียมความพร้อมอยู่กับมอเตอร์ไซค์ของแต่ละคน แพรพลอยไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ เดินเรื่อยๆ จนถึงมอเตอร์ไซค์ของอิศร์ที่จอดทิ้งไว้ตรงค็อกพิทข้างสนาม ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น
“พี่ครับ ช่วยซื้อน้ำผมซักแก้วนะครับ”
แพรพลอยหันมาทางเสียง เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ แต่งตัวชุดนักเรียนมอซอ ถือถาดแก้วน้ำอัดลมหลายสี มีป้ายพลาสติกห้อยคอ
“น้องมาจากมูลนิธิสายใยรักเหรอ”
“ครับ ผมกับเพื่อนๆ อยากได้เงินไปเรียนหนังสือ”
แพรพลอยมีแววตาอ่อนลงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กกำพร้า เหมือนกับตัวเอง
“งั้นพี่ซื้อสองแก้วเลย” พลางยื่นเงินให้
เด็กชายยิ้มแฉ่งดีใจ รีบหยิบแก้วน้ำส่งให้ แล้วรับรีบล้วงกระเป๋าหาเงินทอน จนเผลอทำถาดน้ำเอียงเทโครมไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิศร์ ในจังหวะที่อิศร์เดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย”
อิศร์รีบวิ่งตรงมา กระชากไหล่เด็กชายอย่างลืมตัว เด็กชายเซเกือบล้ม แต่แพรพลอยประคองไว้ทัน
“ทำอะไร รถเปียกหมดแล้ว”
เด็กชายตกใจมาก รีบยกมือไหว้ปลกๆ “ขอโทษครับพี่”
อิศร์ปรี่เข้ามาดูรถอย่างหวงๆ เอะอะดังลั่น
“นี่ถ้าน้ำเข้าเครื่องยนต์จนรถพี่มีปัญหา น้องจะว่ายังไง ทำไมไม่ระวังเลย ผู้ปกคอรงอยู่ไหน ทำไมปล่อยให้มาเพ่นพ่านแถวนี้”
เด็กชายมองท่าทีกลัวๆ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แพรพลอยทนไม่ไหว
“ใจเย็นๆ ได้ไหมคุณ ก็ลองสตาร์ทรถดูก่อนสิว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า”
อิศร์ชะงักมองหน้าแพรพลอย เพิ่งสังเกตเห็นว่าแพรพลอยถือแก้วน้ำอยู่
“อ๋อ ที่แท้ก็เพราะมีคนซื้อมักง่ายอยู่แถวนี้นี่เอง ถ้ารถผมพังจนแข่งไม่ได้ คุณจะรับผิดชอบยังไง”
“ฉันถึงบอกให้คุณลองสตาร์ทดูก่อน”
“ไม่ต้องมาสั่งผม”
อิศร์ตะคอกฉุนๆ แล้วลองเสียบกุญแจบิด เครื่องยนต์ดังกระหึ่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทีนี้จะเลิกตีโพยตีพายได้หรือยัง” แพรพลอยบอกเสียงเรียบ
อิศร์ตวัดสายตามองแพรพลอย รู้ว่าตัวเองโวยวายเกินไป แต่ไม่อยากเสียฟอร์ม
“เครื่องยนต์ติด แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีปัญหาตอนแข่ง”
“คุณกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองตอนที่แข่งแพ้มากกว่ามั้ง”
อิศร์ฉุนขาดชี้หน้า “นี่คุณ”
แพรพลอยยิ้มหยันนิดๆ อย่างดูหมิ่น แล้วโอบไหล่เด็กเดินจากไป อิศร์อึ้งๆ พอได้สติก็รีบตาม
แพรพลอยควักเงินให้เด็กที่ยืนเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“ไม่ต้องตกใจนะ อ้ะ พี่จ่ายค่าน้ำทั้งหมดให้ ที่เหลือก็เอาไปแบ่งกับเพื่อนๆ”
“ขอบคุณครับ”
เด็กชายรับเงินแล้วยกมือไหว้ ก่อนจะวิ่งออกไป แพรพลอยมองตาม พอหันกลับมาก็เกือบชนกับอิศร์ที่ถลันเข้ามา
“เรายังพูดกันไม่จบ”
“มีอะไรต้องพูดกันอีกล่ะ รถคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
“คุณดูถูกผม”
“เรื่องที่ว่าคุณจะแพ้น่ะเหรอ” แพรพลอยยิ้มเยาะ “ก็มันจริง มืออาชีพเขาไม่เตรียมหาข้ออ้างไว้ให้ตัวเองตอนที่ล้มเหลวหรอก มีแต่พวกขี้แพ้ที่ทำอย่างนั้น”
“คุณนี่ปากดีมากเลยนะ ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่เอามีดโกนคลุกข้าวให้กินหรือไง”
แพรพลอยหน้าถอดสีไปแว้บหนึ่ง เมื่อได้ยินคำว่าพ่อแม่ เพราะตัวเองเป็นกำพร้า แต่ก็สงบใจไม่ตอบโต้ หันหลังจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิ จะหนีอีกแล้วเหรอ”
อิศร์เอื้อมมือคว้าแขนแพรพลอยอย่างลืมตัว แต่พอจับได้ แพรพลอยก็หมุนตัวกลับ ล็อคแขนอิศร์แล้วจับบิดอย่างแรง
“โอ๊ย! ปล่อยผมนะคุณ ปล่อย!”
แพรพลอยไม่ปล่อย แต่บิดแรงขึ้น อิศร์ดิ้นขัดขืน ร้องลั่น
“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวแขนผมหัก”
“ไม่ดีเหรอ คุณจะได้มีข้ออ้างตอนที่แข่งแล้วแพ้ไง”
“ปล่อย โอ๊ย”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างหมั่นไส้ แต่ก็ยอมปล่อย ก่อนจะตะคอก
“จำไว้ว่าอย่าแตะต้องตัวฉันอีก”
อิศร์จับแขนตัวเองลูบป้อยๆ เตรียมจะโวยใส่แพรพลอย บรรเลงเดินเข้ามาพอดี
“อิศร์”
“คุณลุงบรรเลง สวัสดีครับ” อิศร์แปลกใจ รีบยกมือไหว้
“ลุงว่าจะออกไปหาพอดี เห็นทีมงานบอกว่าอิศร์ลงแข่งด้วย ก็เลยจะไปอวยพร แล้วนี่มายืนคุยอะไรกัน รู้จักหนูแพรด้วยเหรอ”
อิศร์หันไปมองแพรพลอย แต่หล่อนหลบตาไม่ตอบอะไร เพราะเกรงใจบรรเลง
อิศร์มองแพรพลอยท่าทางสงบเสงี่ยมยิ้มๆ “อ๋อ เพิ่งรู้จักกันครับคุณลุง” เขาหันมาพูดกับแพรพลอย “คุณชื่อแพรเหรอ แล้วก็ไม่แนะนำตัวตั้งแต่แรก”
แพรพลอยเงยหน้ามองอิศร์งงๆ อิศร์ยิ้มกริ่ม หันไปพูดกับบรรเลง
“พอดีคุณแพรเธอออกไปเชียร์ผมที่ริมสนามมาน่ะครับ แล้วก็อยากจะขอลายเซ็นเป็นที่ระลึก ผมก็เลยตามมาเซ็นให้”
แพรพลอยเหวอ ถลึงตาใส่อิศร์ที่พูดโกหกหน้าตาเฉย บรรเลงทำหน้าแปลกใจ
“หนูแพรเป็นแฟนคลับนายอิศร์หรอกเหรอเนี่ย”
แพรพลอยอ้าปากจะอธิบาย แต่อิศร์พูดสวนขึ้นก่อน พร้อมกับมองแพรพลอยทั่วตัว ด้วยแววตากรุ้มกริ่ม เจ้าชู้
“ตกลงว่าจะให้เซ็นตรงไหนดีครับ”
แพรพลอยมองอิศร์ที่ยิ้มยั่ว อยากจะตอบโต้แต่ก็ไม่กล้า เลยแกล้งยิ้มแล้วกำหมัดตั้งขึ้นตรงหน้า
“เซ็นตรงนี้ดีไหมคะ?”
แพรพลอยจ้องตอบอิศร์ด้วยสายตาดุๆ อิศร์สะดุ้ง หน้าเจื่อนไป ทีมงานวิ่งเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“คุณอิศร์คะ ถึงเวลาแล้วค่ะ”
อิศร์หน้าเจื่อน บอกกับแพรพลอย “งั้นเดี๋ยวค่อยเซ็นแล้วนะคุณ”
บรรเลงตบไหล่ “โชคดีนะ เดี๋ยวลุงจะไปรอมอบถ้วยแชมป์ให้”
“ขอบคุณครับ”
อิศร์ยกมือไหว้บรรเลง แล้วมองแพรพลอยยิ้มๆ ก่อนจะรีบวิ่งตามทีมงานออกไป
แพรพลอยมองตามอิศร์ไปหมั่นไส้ผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
ต่อมาแพรพลอยเดินคุยกับบรรเลงเข้ามาในห้องรับรอง
“ตกลงหนูตามไปขอลายเซ็นนายอิศร์มาจริงๆ เหรอ”
แพรพลอยรีบอธิบาย “เปล่านะคะท่าน แพรไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้นมาก่อนด้วยซ้ำ เขามากวนประสาทแพรน่ะค่ะ”
บรรเลงหัวเราะหึๆ “ฉันก็ว่าแล้ว นายอิศร์เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ ชอบตอแยกับสาวๆ” ชายสูงวัยอมยิ้ม “หนูแพรคงจะสวยถูกใจ”
แพรพลอยได้ยินก็เบะปาก รู้สึกแย่กับอิศร์มากขึ้น เผลอพึมพำเบาๆ
“พวกเพลย์บอยไฮโซ”
“หนูว่าอะไรนะ”
แพรพลอยรู้สึกตัว ทำหน้าเหรอหรา แล้วฝืนยิ้มส่ายหน้า โทรศัพท์ดังขึ้นพอดี
“แพรขอตัวซักครู่นะคะ”
แพรพลอยกดรับสายแล้วลุกออกไป
ในสนามเวลานั้น นักแข่งเตรียมตัวอยู่ที่ตำแหน่งเส้นสตาร์ท เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ประสานเสียงกันดังสนั่น
อิศร์อยู่ในตำแหน่งแถวหน้า บิดเครื่อง สีหน้ามองตรงไปด้านหน้า แต่หัวสมองยังคิดว้าวุ่น ตอนที่ถูกแพรพลอยต่อปากต่อคำกับตน
“คุณดูถูกผม”
“เรื่องที่ว่าคุณจะแพ้น่ะเหรอ” แพรพลอยยิ้มเยาะ “ก็มันจริง มืออาชีพเขาไม่เตรียมหาข้ออ้างไว้ให้ตัวเองตอนที่ล้มเหลวหรอก มีแต่พวกขี้แพ้ที่ทำอย่างนั้น”
ยิ่งคิดยิ่งโมโห อิศร์บิดเครื่องแรงขึ้น ยิ้มกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น
“รู้จักอิศร์ เดชโชดมน้อยไปซะแล้ว”
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มประสานกัน สัญญาณไฟสตาร์ทให้รถออกตัวดังขึ้น
พอสิ้นเสียงสัญญาณ มอเตอร์ไซค์ทั้งหมดก็พุ่งตัวออกไปที่สนาม ท่ามกลางคนดูแน่นอัฒจันทร์
แพรพลอยหันไปมองที่สนาม เห็นมอเตอร์ไซค์แข่งกันฉวัดเฉวียนเสียงดังลั่น แล้วเดินเลี่ยงออกมารับโทรศัพท์
“ฮัลโหลกรณ์”
กรณ์อยู่ที่มูลนิธิ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่อัมพาเลี้ยงไว้ รุ่นราวคราวเดียวกับแพรพลอย เลยเป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นคนกตัญญู รักความถูกต้อง อดทน สู้ชีวิต เป็นผู้นำ
เขานิ่วหน้า เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งของแพรพลอย
“เสียงดังจังเลยแพร อยู่ที่ไหนเนี่ย”
“สนามแข่งรถ มาดูเด็กแว้นแข่งมอเตอร์ไซค์”
“จริงดิ”
“ท่านบรรเลงได้รับเชิญมามอบรางวัล แพรเลยต้องตามมา กรณ์มีอะไรหรือเปล่า”
กรณ์หันไปมองภาพข่าวในทีวี ที่แพรพลอยปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงแล้วบู๊กับพวกผู้ก่อการร้ายอย่างองอาจ
“แม่ดูข่าวแพรไปทำงานที่สนามบินเมื่อเช้าแล้วเป็นห่วง เลยให้เราโทรมาถามว่าแพรเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บหรือเปล่า”
แพรพลอยยิ้มอารมณ์ดี “คนอย่างแพรพลอย ไม่ยอมให้ใครทำเจ็บตัวง่ายๆ อยู่หรอก กรณ์บอกแม่ด้วยนะว่าไม่ต้องห่วง”
ในสนามแข่ง มอเตอร์ไซค์หลายสิบคันยังคงฉวัดเฉวียนแข่งกันด้วยความเร็ว อิศร์อยู่ในตำแหน่งต้นๆ พยายามรักษาระยะ ไม่ให้ถูกแซง ขณะเดียวกันก็มองไปที่คู่แข่งด้านหน้าอย่างใจเย็น พยายามหาจังหวะแซงอยู่
มอเตอร์ไซค์วิ่งเบียดกันไปบนถนนอย่างน่าตื่นเต้น อิศร์ขับเคี่ยวกับคู่แข่งไปบนสนาม แล้วค่อยๆ ไล่แซงคันที่นำหน้าทีละคันอย่างตื่นเต้น
พวกกองเชียร์บนอัฒจันทร์มองดู และส่งเสียงเชียร์เกรียวกราว
ส่วนที่ห้องรับแขก บ้านเดชโชดม จู่ๆ ธำรงลุกขึ้นโวยวายดังลั่น
“อะไรกัน! ผมได้สมบัติแค่นี้เหรอ ไม่จริงอ่ะ พินัยกรรมปลอมหรือเปล่า”
“ระวังคำพูดหน่อยเจ้าธำรง คุณทนายก็บอกแล้วว่าพินัยกรรมตรงกันกับฉบับที่พยานถืออยู่” อำพลปราม
“แต่มันไม่ยุติธรรม ทำไมพี่ศูรย์ได้เยอะกว่าผม เราก็เป็นหลานเท่าๆ กัน”
ธำรงชี้ไปทางไอศูรย์ที่นั่งวางหน้าเฉย ไอริณยิ้มเยาะ
“ก็คุณปู่แบ่งสมบัติให้ตามความสามารถ ใครทำประโยชน์ให้ตระกูลได้มากก็ได้ไปมาก” ไอริณกัดธำรง ใครที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ก็ได้ไปเท่าที่เหมาะสม”
ธำรงเลือดขึ้นหน้า “งั้นเธอก็ไม่ควรจะได้ซักบาทเดียวยายริณ! เพราะเธอมันดีแต่ทำตัวไร้ประโยชน์ไปวันๆ”
ไอริณปรี๊ดแตก ลุกพรวดขึ้น “พี่ธำรง ! พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
เรณูปราม เกรงใจแขก “ยายริณ”
“หรือไม่จริง วันๆ ฉันไม่เห็นเธอจะทำงานทำการ ดีแต่แต่งตัวสวยๆ ร่อนไปร่อนมาตามงานอีเว้นท์”
“ก็เพราะริณรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถไง ถึงไม่อยากจะตะเกียกตะกายไปรับตำแหน่งในบริษัท ไม่เหมือนคนบางคนไปทำงานทุกวัน แต่ก็ได้แค่ไปนั่งเฉยๆ เพราะไม่มีใครไว้ใจให้รับผิดชอบงาน”
“ปากดีนัก นังน้องบ้า !”
ธำรงทะยานเข้าใส่ไอริณ แต่อำนวยดึงไว้ ทางด้านไอริณก็ทำหน้าตาท้าทายธำรงแบบไม่เกรงใจเหมือนกัน เรณูต้องพยายามดึงตัวให้นั่งลง
ไอศูรย์ตวาด “จะกัดกันอีกนานไหม”
ไอริณกับธำรงหยุดกึก กลัวไอศูรย์กันทั้งคู่ อำนวยถือโอกาสกระชากคอเสื้อลูกชาย
“แกมานี่เลย”
อำนวยลากธำรงออกไปจากห้อง ธำรงดิ้นโวยวาย จะไม่ไป แต่ก็โดนลากไปจนได้
ไอศูรย์ส่ายหน้าเอือม แล้วพูดกับทนาย “ขอโทษด้วยนะครับ”
“แล้วอิศร์ล่ะคะ อิศร์ได้อะไรบ้าง”
อริสราถามขึ้นอย่างใจจดจ่อ ไอศูรย์ตวัดสายตามองทันที อารมณ์คุกรุ่นมากขึ้นอีก
ทนายอ่านต่อ “คุณอิศร์ เดชโชดมจะได้รับส่วนแบ่งของคุณอำนาจ เดชโชดมที่เสียชีวิตไปแล้ว และรายการทรัพย์สินเพิ่มเติมดังต่อไปนี้...”
ไอศูรย์ และอำพลชะงักมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง เพราะเท่ากับอิศร์ได้มากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ
ไอศูรย์นั่งฟังอย่างตั้งใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะกลัวเสียเปรียบอิศร์
ส่วนที่สนามแข่งรถ ใบหน้าหล่อของอิศร์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์แข่งอยู่ในสนาม เอาจริงเอาจังมาก เวลานี้รถของอิศร์ตีคู่ขึ้นมาเหลือเพียง 2 คันแรกของกลุ่ม วิ่งไล่ผลัดกันนำอย่างน่าตื่นเต้น
ส่วนที่อัฒจันทร์ กองเชียร์เริ่มนั่งไม่ติด ลุกขึ้นลุ้น บางคนส่องกล้องดูชัดๆ บางคนโบกธง
แพรพลอยเดินออกมาด้านนอก มองไปที่สนามแข่ง เห็นรถของอิศร์วิ่งแซงหน้าคู่แข่งไป
คู่แข่งของอิศร์เหลือบมองอิศร์ เห็นอิศร์แซงหน้าขึ้นไปได้อีกครั้ง แลเห็นมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันตีคู่กันอย่างตื่นเต้นสูสีมาก
ต่อมาคู่แข่งของอิศร์ไล่ตามขึ้นมากระชั้นชิดอีกครั้ง แล้วพยายามเบียดรถอิศร์ให้ล้ม อิศร์หนีออกมา คู่แข่งอาศัยจังหวะแซงขึ้นหน้าไปได้
แพรพลอยที่ยืนมองอยู่เห็นอิศร์โดนแซง ก็ยิ้มเยาะ คิดว่าแพ้แน่ๆ
รถทั้งสองคันตีคู่มาจนถึงรอบสุดท้าย อิศร์เร่งความเร็วตามขึ้นมาตีคู่ได้อีก คู่แข่งเห็นอิศร์ตามมา ก็แฉลบเข้าไปเบียด อิศร์พยายามเบี่ยงหนีออกไป
คู่แข่งตามเบียดใส่อิศร์อีก อิศร์พยายามประคองมาจนถึงโค้งสุดท้าย เมื่อคู่แข่งพยายามเบียดเข้ามา อิศร์เหยียบคันเร่งพุ่งตัวหนีออกไปในจังหวะนั้นทันที
รถของคู่แข่งแฉลบแหกโค้งกลิ้งไปตามถนน อิศร์หันไปมอง แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าเส้นชัยทันที
กองเชียร์บนอัฒจันทร์เฮลั่น แล้วลุกขึ้นปรบมือ กระโดดโลดเต้น
อิศร์ชะลอความเร็ว แล้วถอดหมวกกันน็อคออก ขับมือเดียวโชว์ ชูไปรอบๆ สนาม
รถของอิศร์ผ่านมาทางที่แพรพลอยยืนอยู่พอดี อิศร์หันไปมองแพรพลอยพลางยิ้มเยาะ ยักคิ้วยั่วประสาท
แพรพลอยมองอย่างหมั่นไส้ แล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
ตรงริมสนามมีการมอบรางวัล อิศร์ยืนเท่ห์อยู่ที่โพเดียมกับรองแชมป์ บรรเลงยื่นถ้วยให้พร้อม
“เยี่ยมมากหลานชาย”
อิศร์รับถ้วย แล้วชูไปรอบๆ อย่างดีใจ เรียกเสียงปรบมือรอบๆ
แพรพลอยเดินเข้ามา ในจังหวะที่อิศร์รับขวดแชมเปญจากมือบรรเลงพอดี พออิศร์เห็นแพรพลอยก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แกล้งเขย่าขวดแรงๆ แล้วเปิดจุดฉีดแชมเปญใส่แพรพลอยทันที
“ว้าย”
แพรพลอยตกใจ อ้าปากค้าง ยืนอึ้ง อิศร์ทำเป็นไม่สนใจ หันไปรับแก้วจากทีมงานมารินแจก
“เชิญครับๆ”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างเดือดดาล
อ่านต่อหน้า 2
บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 1 (ต่อ)
สักครู่ต่อมาสองคนเดินเข้ามาบริเวณใต้อัฒจันทร์ แพรพลอยมองเสื้อผ้าตัวเองที่เปียกโชกอย่างหงุดหงิด ท่านรัฐมนตรีบรรเลงยิ้มบอก
“อย่าไปถือสาอิศร์เลยนะ คงจะแหย่หนูเล่นน่ะ เจ้านี่มันขี้เล่น”
แพรพลอยฉงน “ท่านกับนายคนนั้นรู้จักกันดีเหรอคะ”
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ อิศร์เป็นเพื่อนของยายเมย์สมัยอยู่เมืองนอก” บรรเลงหมายถึง มายาวี พลางพูดตัดบท “หนูไปล้างตัวเถอะ ฉันจะรอ”
บรรเลงพูดจบก็เดินเข้าไปห้อง แพรพลอยเหวอไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าอิศร์เป็นคนใกล้ๆ ตัวนี่เอง แล้วก็เดินมึนๆ ออกไปอีกทาง
เวลาต่อมาแพรพลอยออกมาจากห้องน้ำ หลังจากล้างหน้าเสร็จ แต่ยังคงง่วนกับการเอาผ้าซับตามเสื้อผ้าที่ยังหมาดอยู่ พอจะพ้นประตูห้องน้ำ ก็เห็นแก้วแชมเปญถูกยื่นมาขวางไว้ ก่อนที่อิศร์จะโผล่หน้าเข้ามายิ้มเผล่
“ดื่มเป็นเกียรติให้ผมหน่อยนะครับ”
“คุณต้องการอะไรอีก” แพรพลอยชี้เสื้อตัวเอง “ถ้านี่คือการเอาคืน ก็ถือว่าเราหายกันแล้ว”
“ผมไม่ได้อยากเอาคืน แค่อยากให้คุณร่วมฉลองด้วย” อิศร์ยักคิ้ว “ก็คุณดูถูกว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ต้องเตรียมหาข้ออ้างให้ตัวเองตอนที่แข่งไม่ชนะ”
แพรพลอยประชด “โอเค คุณเก่ง พอใจแล้วใช่ไหม”
แพรพลอยจะเดินออกไป อิศร์ยื่นแก้วแชมเปญขวางไว้
“เอาน่าคุณ เราอย่าเขม่นกันเลย ยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ผูกมิตรกันไว้ดีกว่า ที่จริงผมต้องขอบคุณคุณด้วยนะ เพราะคำสบประมาทของคุณ ทำให้ผมมุ่งมั่นกว่าเดิม แบบว่าผมอยากเห็นคุณหน้าแตก ฮ่ะๆๆ”
อิศร์หัวเราะร่วน แต่พอเห็นแพรพลอยหน้าเฉยก็หยุดหัวเราะ อ้อนต่อ
“คิดซะว่าคุณช่วยผมคว้าแชมป์ก็ได้ หรือจะให้ผมพาไปเลี้ยงก็ยินดี นะๆๆ ดีกันนะ”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างใช้ความคิด แล้วคลี่ยิ้มให้ ก่อนจะรับแก้วมา
“ดื่มฉลอง”
“ครับผม”
อิศร์ชูขวดในมือให้ เตรียมจะยกดื่ม แต่แพรพลอยกลับยกแก้วเทราดใส่หัวอิศร์แทน
“ยินดีด้วยนะ”
อิศร์โวยลั่น “เฮ้ย มันเสียของนะคุณ”
“ก็ฉันไม่ดื่ม”
แพรพลอยหันหลังกลับจะเดินออกไป อิศร์ถลาไปคว้าแขนตาม แพรพลอยหันขวับ อิศร์นึกได้ รีบปล่อย แล้วชูแขนขึ้นสองข้างอย่างกลัวๆ
“โอเคๆ ผมไม่ตอแยคุณก็ได้ เอาเป็นว่าเลิกแล้วต่อกันนะ ผมไม่อยากถูกคุณดักซ้อม”
“ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันจริงๆ ก็แล้วกัน”
แพรพลอยหันกลับ ทันใดนั้นก็มีเสียงบรรเลงดังเอะอะขึ้น
“จะทำอะไรฉันเนี่ย ช่วยด้วย”
แพรพลอยหันขวับไปตามเสียง แล้วรีบวิ่งออกไป อิศร์ตกใจ รีบวิ่งตามไปด้วย
แพรพลอยวิ่งออกมาที่หน้าสนาม เห็นบรรเลงถูกคนร้ายลากตัวขึ้นรถตู้ของบรรเลงออกไปต่อหน้า
“ท่านคะ ท่าน”
“คุณลุง”
หัวหน้าจัดงานกับเจ้าหน้าที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมา
แพรพลอยถามร้อนรน “เกิดอะไรขึ้น คนพวกนั้นเป็นใคร”
เจ้าหน้าที่ตกใจ “ม...ไม่ทราบครับ มัน...มันเอาตัวท่านออกมาจากห้องรับรอง แล้วเอาปืนขู่ผมด้วย”
“แล้วคนของฉันล่ะ”
หัวหน้ากับเจ้าหน้าที่มองหน้ากัน ส่ายหน้าไม่รู้
แพรพลอยใจคอไม่ดี เป็นห่วงบรรเลง หันไปสั่งหัวหน้า
“แจ้งตำรวจ”
แพรพลอยรีบวิ่งออกไปที่ถนน แต่ซักพักก็เปลี่ยนใจ รู้ว่าไม่ทันแน่ วิ่งกลับมาหาอิศร์ที่ยืนเหวอๆ
“คุณอยากเป็นเพื่อนกับฉันใช่ไหม?”
อิศร์งง “ห๊ะ”
แพรพลอยแบมือ “เอากุญแจรถมา”
อิศร์อึ้ง งงหนัก “อะไรนะ”
แพรพลอยรำคาญที่อิศร์มัวแต่อึ้งไม่ทันใจ ก็เข้าไปล้วงตัว ตบไปตามกระเป๋าต่างๆ
“เฮ้ย คุณทำอะไรเนี่ย จะลวนลามผมเหรอ”
แพรพลอยไม่สนใจ ล้วงไปตามตัวอิศร์แล้วคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์มาได้ ก่อนจะวิ่งออกไป
“อ้าวเฮ้ย เอากุญแจผมมา” อิศร์รีบวิ่งตามไป
แพรพลอยจำได้ วิ่งไปที่รถของอิศร์ตรงค็อกพิทริมสนาม เสียบกุญแจแล้วขึ้นคร่อม อิศร์รีบวิ่งตามไปขวางไว้
“หยุด! คุณจะทำอะไร จะขโมยรถผมเหรอ”
“ถอยไป! ฉันต้องรีบตามไปช่วยท่านบรรเลง”
อิศร์งงอยู่นั่น “คุณเป็นใครกันแน่เนี่ย”
แพรพลอยรำคาญ ล้วงปืนที่เหน็บอยู่ในกางเกงออกมา
“ฉันเป็นบอดี้การ์ดท่าน! ที่นี้ถ้าคุณยังไม่หลีกทาง ฉันจะยิงคุณเป็นคนแรก”
อิศร์สะดุ้งเฮือก ถอยกรูดโดยอัตโนมัติ แพรพลอยสตาร์ทรถเตรียมจะออก อิศร์นึกได้รีบคว้าแฮนด์หมับ
“แต่นี่มันรถผม ยังไงผมก็ต้องไปด้วย”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างรำคาญ แต่ก็จำใจถอยให้อิศร์แทรกขึ้นมานั่ง
“ไปได้แล้ว”
“เกาะแน่นๆ นะ”
อิศร์พูดจบก็บิดแฮนด์เต็มแรง พุ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว แพรพลอยเกือบหงายหลัง แต่ใช้มือหนึ่งเกี่ยวเอวอิศร์เอาไว้ทัน
รถพุ่งออกไปจากสนามแข่ง ออกสู่ถนนใหญ่ไล่ตามรถคนร้ายไป
ฟากรถตู้คนร้าย แล่นไปตามถนนอย่างรวดเร็ว บรรเลงนั่งอยู่ตอนหลัง แต่กำลังถูกชาย 2 จับใส่กุญแจมือ
บรรเลงนึกกลัว “พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร”
ชาย1 มองที่กระจกมองหลัง เห็นมอเตอร์ไซค์ของอิศร์ไล่ตามมา มีแพรพลอยอยู่ข้างหลัง ก็ตกใจ ส่วนชาย 2 หันไปมองด้านหลัง ตื่นเต้นพอกัน
“เร็วๆ สิวะ รีบไป” ชาย 2 เร่ง
“เอาผ้าปิดตาเร็วเข้า” ชาย 1 บอก
ชาย 2 หันไปมองบรรเลงอย่างเกร็งๆ แล้วหยิบผ้าแถบสีดำออกมาอย่างลนลาน
บรรเลงดิ้นขัดขืน ชาย1หันไปมองหลังอย่างระแวง แล้วพยายามเร่งความเร็วหนี
อิศร์ขับรถไล่ตามรถตู้ไป แพรพลอยชะโงกมอง เร่งรถตู้ยังคงหนีไปเรื่อยๆ เลยชักปืนออกมา
แพรพลอยตะโกน “เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม เป็นแชมป์แต่เหยียบได้แค่นี้เหรอ”
“เอาซี้”
อิศร์ฉุนที่ถูกปรามาส เขาเร่งความเร็วขึ้น แต่พอเหลือบมองกระจกข้างเห็นแพรพลอยยกปืนออกมาเล็งก็ตกใจ
“เฮ้ย คุณจะทำอะไร”
ด้วยสัญชาติญาณอิศร์เผลอเบี่ยงตัวหลบ จนทำให้รถเกือบเสียหลัง แพรพลอยรีบกอดเอวอิศร์ไว้ อิศร์เห็นปืนมาอยู่ที่เอวก็ยิ่งกลัว
“โอ๊ย อ...เอาปืนออกไปจากเอวผม ผมกลัว”
แพรพลอยตะโกน “ก็อยู่นิ่งๆ สิ”
“โอเคๆๆ”
อิศร์ตั้งสติ ขับต่อไปข้างหน้า แพรพลอยยกปืนออกมาเล็งใหม่ แล้วยิงไปที่รถตู้ทันที แต่ไม่โดน
เสียงปืนดังลั่น อิศร์สะดุ้งโหยง จนเผลอเอียงตัวอีก แพรพลอยเสียการทรงตัวรีบกอดซบหลังอิศร์
อิศร์ร้อง “โอ๊ย”
“อยู่เฉยๆ ฉันไม่ได้ยิงคุณ”
“ก็ผมกลัวนี่”
อิศร์ตั้งหลักใหม่ ขี่ไล่ล่ารถตู้ไป แพรพลอยไล่ยิงอีก กระสุนเฉียดไปที่พื้น
ส่วนในรถตู้ ชาย1 สะดุ้งสุดตัว
“เฮ้ย เล่นปืนเลยเหรอวะเนี่ย”
“ไปเร็วๆ เข้า ไป”
รถตู้แล่นไปตามถนนด้วยความเร็วกว่าเดิม อิศร์พยายามขี่มอเตอร์ไซค์ตาม แพรพลอยยกปืนยิงไล่ไปอีก
“พอเถอะคุณ ยิงรถแบบนั้นเดี๋ยวก็คุณลุงก็โดนลูกหลงหรอก”
“ฉันรู้ว่าทำอะไรอยู่ แค่จะหยุดรถมันเท่านั้น ขับไป”
อิศร์ขับรถต่อ แพรพลอยยิงไปที่ยางรถอีก แต่ยังไม่โดน อิศร์เหลือบมองกลัวๆ เผลอขับแฉลบอีก จนแพรพลอยต้องจับเอวสองข้างไว้
“ย...อย่า ! อย่ายิงผม”
“ขับไปตรงๆ อย่าส่าย”
“จ้ะๆๆ”
อิศร์ขับรถไป แพรพลอยยิงไปที่รถตู้อีก เปรี้ยงๆๆๆ
ในรถตู้ ชาย1เริ่มนอยด์มากขึ้นเพราะกลัวถูกยิง
“เอ็งโทร.หาคุณเมย์สิวะ เดี๋ยวนี้เลย”
บรรเลงได้ยินชื่อเหมือนชื่อลูกสาวเข้าก็หูผึ่ง ถามอย่างตระหนก
“เมย์ไหน มายาวีลูกสาวฉันเหรอ ยายเมย์มาเกี่ยวอะไรด้วย”
สองคนไม่ตอบ
จังหวะนี้มอเตอร์ไซค์ของอิศร์ขี่ไล่ล่ารถตู้ โดยมีแพรพลอยยิงไล่หลังไปตลอดทาง
แพรพลอยวีนใส่อิศร์ “บอกให้อยู่นิ่งๆ”
“ก็นิ่งที่สุดแล้วเนี่ย”
รถตู้ของบรรเลงวิ่งไปตามถนน แล้วเลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อิศร์เงยหน้ามองแล้วชะลอรถ
“เฮ้ย นี่มัน”
แพรพลอยยกปืนขึ้นเล็งจะยิงอีก อิศร์รีบบอก
“คุณ เดี๋ยวก่อน ทำไมคนร้ายมันมาที่นี่ล่ะ นี่มันหมู่บ้านที่คุณลุงอยู่นี่”
แพรพลอยชะงัก ถือปืนค้าง
“ตามไป”
อิศร์ออกรถอย่างเร็ว รถกระชากอย่างแรง แพรพลอยเซมาซบหลังอิศร์อีกครั้ง แล้วไล่ยิงเข้าไปในหมู่บ้าน
รถตู้แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ชาย 2 คนดึงตัวบรรเลงที่ยังคงถูกปิดตามัดมืออยู่ลงมาจากรถ
“ที่นี่ที่ไหน? ล...แล้วลูกสาวฉันล่ะ พวกแกอย่าทำอะไรลูกฉันนะ”
ชาย 2 คนไม่ตอบ ประคองตัวบรรเลงเดินมาหยุดที่หน้าบ้านแล้วมองเข้าไปในบ้าน ถอดไอ้โม่งของตัวเองออกเปิดเผยหน้าตา
ชาย1 รายงานขึงขัง “ได้ตัวมาแล้วเจ้านาย”
ด้านในบ้าน เห็นใครคนหนึ่งเดินออกมา บรรเลงได้ยินเสียงฝีเท้าก็ตระหนก ด้วยคิดว่าเป็นคนร้าย
“ก...แกเป็นใคร บอกฉันมาสิพวกแกต้องการอะไร”
ชาย 2 มองใครคนนั้นแล้วพยักหน้า ก่อนจะเอื้อมมือดึงผ้าปิดตาออก
บรรเลงลืมตาขึ้นเต็มตา เห็นเป็นลูกสาวจอมซ่า มายาวี แต่งตัวสวยยืนยิ้มแฉ่ง ผายมือไปที่หน้าบ้าน เห็นเพื่อนฝูงและญาติๆ ยืนอยู่เต็มหน้าประตู เหนือประตูมีป้ายผ้าขึงไว้ว่า Happy Birthday Daddy
มายาวี เป็นลูกสาวของบรรเลง เป็นคุณหนูไฮโซ แต่ชอบทำตัวก๋ากั่น ชอบอำ ชอบแหย่ ไม่กลัวใคร ไม่ยอมใคร แต่ก็มีน้ำใจ โอบอ้อมอารี
มายาวีร้องขึ้นมาพร้อมกับคนอื่นๆ “เซอร์ไพร้ส์...”
บรรเลงอึ้งๆ มองมายาวีแล้วเหลือบขึ้นไปดูป้ายผ้าเหนือประตู
“ยายเมย์”
มายาวียิ้มระรื่น “สุขสันต์วันเกิดนะคะแดดดี๊ หมัวะๆ” หล่อนจูบแก้มสองข้างของบิดา
บรรเลงได้แต่ยืนอึ้ง จังหวะนั้นอิศร์ก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาพอดี แพรพลอยเห็นมายาวีอยู่กับบรรเลง มีชาย 2 คนที่ตนเองคิดว่าเป็นคนร้ายประกบอยู่ ก็ตกใจ
“คุณเมย์ระวังค่ะ พวกมันเป็นคนร้าย”
แพรพลอยกระโดดลงจากรถ ชักปืนขึ้นเล็ง ชาย 2 คนตกใจกลัว มายาวีกับพวกแขกก็ตกใจไปด้วย
“เฮ้ย ม...เมย์ ช่วยด้วย”
ชาย 2 คนร้องลั่น รีบวิ่งเข้าไปหลบหลังมายาวีให้ช่วย มายาวีรีบยกมือห้าม
“อย่าๆๆๆ คุณแพร อย่าทำอะไรเขา”
แพรพลอยชะงัก ขณะที่อิศร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เหวอไปด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนอยู่ในห้องรับแขก คนใช้เอายาหอมมาให้บรรเลง มีมายาวีคอยพัดวีอยู่ข้างๆ ชาย 2 คน คนร้ายเทียมแทบจะคลานเข่าเข้ามาก้มลงกราบเท้าบรรเลง
“พวกผมขอโทษนะครับท่าน” ชายคนแรกบอก
ชายคนที่ 2 มองมายาวี “ยายเมย์บังคับให้พวกผมทำครับ บอกว่าท่านจะได้อายุยืน”
บรรเลงเหลืออด ด่ากราดใส่หน้า “อายุยืนบ้าอะไร จะเป็นลมตาย เฮ้อ ยายเมย์นะยายเมย์ เล่นอะไรพิเรนทร์”
“ก็วันเกิดคุณพ่อทั้งที เมย์ก็ต้องจัดเซอร์ไพรส์หนักๆ สิคะ” มายาวีฉลอเลาะ
“หนักขึ้นทุกปี พ่อจะอายุสั้นก็เพราะแกนี่แหละ” บรรเลงบ่น
มายาวีหัวเราะ กอดอ้อนบรรเลง แล้วมองไปทางแพรพลอยยืนนิ่งมอง กับอิศร์ที่นั่งมึนงงอยู่
“แล้วนี่อิศร์มาเกี่ยวได้ยังไงเนี่ย รู้จักกับคุณแพรด้วยเหรอ”
“ถูกปืนจี้มาน่ะสิ”
แพรพลอยตวัดสายตามองอิศร์เป็นเชิง อะไรอ่ะ
อิศร์หันไปยิ้มแหยๆ ใส่ ก่อนหันไปยกนิ้วให้มายาวี
“เออ แต่ไอเดียเจ๋งดี เดี๋ยวยืมไปใช่บ้าง ฮ่ะๆๆๆ”
แพรพลอยกลอกตาอย่างเอือมระอา พอกันทั้งคู่ แล้วเดินเลี่ยงออกไป
มายาวีมองตาม รู้ว่าแพรพลอยเคือง
แพรพลอยเดินออกมายืนมองไปที่สนาม เห็นแขกยื่นดื่มกันไปเงียบๆ ระหว่างรอเจ้าภาพ มายาวีเดินตามมาโอบเอวแพรพลอยประจบ
“คุณแพรโกรธเมย์เหรอคะ”
แพรพลอยนิ่งไม่ตอบ มายาวียิ่งกอดซบไหล่อ้อน
“อย่าโกรธเมย์เลยนะคุณแพร เมย์ก็แค่อยากคิดอะไรสนุกๆ ให้คุณพ่อ” หล่อนยิ้มทะเล้น “คราวหลังเมย์จะเตี๊ยมกับคุณแพรก่อนนะคะ”
แพรพลอยเหลือบมองมายาวี อยากจะดุ แต่เปลี่ยนใจ เพราะรู้ว่ามายาวีเป็นอย่างนี้ มาแต่ไหนแต่ไร
“แพรรู้ว่าคุณเมย์ชอบคิดอะไรสนุกๆ ให้ท่านทำ แต่วิธีนี้มันอันตรายนะคะ เพราะว่าหน้าที่ของแพรคือปกป้องท่าน ถ้าวันนี้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา พวกเราคงเสียใจกันหมด”
“เมย์ขอโทษค่ะ เมย์ลืมคิดไป หายโกรธนะคะ”
มายาวีกอดเอวแพรพลอย ซบอ้อนๆ อิศร์เดินผ่านมาเห็น ชะงักมอง แพรพลอยมองมายาวีอย่างเอือมๆ ที่สุดใจอ่อนลง
“แล้วนี่ผู้ช่วยแพรอยู่ที่ไหนคะ”
มายาวีสะดุ้ง นึกได้ “อุ้ย ลืมไปเลยค่ะ เมย์ให้เพื่อนสองคนนั้นจัดการ”
มายาวีเล่าว่า ให้เพื่อน ชาย 2 คน จัดการกับ 2 บอดี้การ์ด ตอนพวกเขาอยู่ในห้องน้ำ
บอดี้การ์ด 1 ยืนฉี่อยู่ ชาย 1 คนค่อยๆ ย่องไปด้านหลังแล้วโปะยาสลบ บอดี้การ์ด1ร่วงผล็อย
บอดี้การ์ด 2 ออกมาจากห้องน้ำ ชาย 2 คนดักรอ แล้วพุ่งเข้าโปะยาสลบ ร่วงไปอีกคน
มายาวียิ้มเจื่อนๆ
“ป่านนี้น่าจะฟื้นแล้วค่ะ เดี๋ยวเมย์จะรีบให้คนไปรับกลับมานะคะ”
แพรพลอยถอนใจ หน้าขรึม
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ส่งพวกเขากลับบ้านไปเลยเถอะ เพราะว่าคงทำงานให้ท่านไม่ได้อีกแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“มันเป็นกฎของบริษัทค่ะ บอดี้การ์ดทุกคนที่ได้รับการว่าจ้าง ต้องทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อให้ผู้ว่าจ้างได้รับความปลอดภัยและสะดวกสบาย แต่วันนี้พวกเขาล้มเหลว”
“แต่เมย์บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆ นี่คะ”
“การเล่นอะไรที่เลยเถิด ไม่ได้ทำให้คนเดือดร้อนแค่คนเดียวหรอกค่ะ”
มายาวีจ๋อย แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง จับเนื้อตัวแพรพลอย
“อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้ดีกว่า คุณแพรยังเหนื่อยอยู่ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ เดี๋ยวจะได้เวลาเป่าเค้กแล้ว”
มายาวีโอบเอวแพรพลอยเดินออกไป ไม่เห็นว่าอิศร์ยืนมองอยู่ด้านหลังทั้งคู่ และเห็นมายาวีเดินโอบเอวแพรพลอย ซบไหล่กระหนุงกระหนิง ยิ่งสงสัยเป็นทวีคูณ
“ยายเมย์เปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไร”
คืนนั้นมีเสียงข้าวของแตกดังเปรื่องปร่าง มันดังมาจากภายในห้องรับแขก บ้านอำพล
ไอศูรย์มองแก้วเหล้าที่แตกกระจายที่พื้นซึ่งตัวเองเป็นคนปา หายใจหอบ
“บัดซบ ! บัดซบที่สุด”
“ใจเย็นๆ น่าศูรย์” เรณูปลอบ
“ใครจะเย็นลงในเมื่อพินัยกรรมมันออกมาแบบนี้ คุณปู่ทำอย่างนี้ได้ยังไง ทำไมต้องให้ไอ้อิศร์มันได้อะไรมากกว่าคนอื่นๆ ด้วย”
“อิศร์เขาได้ส่วนของคุณอาอำนาจ ที่มากกว่าคนอื่นหน่อยก็แค่หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ของคุณปู่”
อำพลตวาด “เงียบไปเลยเรณู ! เธอเป็นแค่แม่บ้านจะไปรู้อะไร หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ตอนนี้ ถ้าขายมันก็ได้ร้อยล้าน ถ้าไม่ขายมันก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเดชโชดม ไอศูรย์มันโวยวายก็ถูกแล้ว อย่าอวดฉลาด”
เรณูก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“พี่อิศร์กำพร้าตั้งแต่เด็ก คุณปู่ท่านเลยถือว่าตัวเองเป็นผู้ปกครอง ถึงได้แบ่งมรดกให้อีกเป็นร้อยล้านก็เท่านั้นเอง หึๆๆ ยังไม่ชินกับความลำเอียงของท่านอีกเหรอคะ” ไอริณออกความเห็น
“แต่คุณปู่ไม่อยู่แล้ว บ้านนี้มันต้องกลับสู่ความยุติธรรมซักที” ไอศูรย์ระเบิดอารมณ์
“แล้วพี่ศูรย์จะทำอะไรได้ พินัยกรรมก็เขียนเอาไว้แล้ว ยังไงทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามนั้น” ไอริณว่า
“โธ่โว้ย”
ไอศูรย์เอาเหล้าที่ยังเหลืออยู่ในขวดเทกรอกปาก แล้วปาทิ้งอย่างโมโห จนเรณูสะดุ้ง
ไอศูรย์นึกอะไรบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้นไปบนชั้นสอง รู้ว่าอริสราอยู่ในห้อง
อริสรานั่งอยู่ที่เตียงในห้องนอนของเธอกับไอศูรย์ เปิดดูอัลบั้มรูปถ่ายเก่าๆ ของตัวเองกับอิศร์ในชุดนักเรียนมัธยมและชุดวัยรุ่น สมัยเริ่มคบหากัน จนกระทั่งอิศร์ไปเรียนเมืองนอกก็คงติดต่อกันอยู่ ก่อนที่อริสราจะต้องมาแต่งงานกับไอศูรย์ อีก 3 ปี ต่อมา
อริสราหยิบรูปขึ้นมาดูใกล้ๆ เห็นตัวเองกับอิศร์หวานชื่น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อไอศูรย์เปิดประตูผางเดินเข้ามา
อริสรารีบเก็บรูปใส่อัลบั้ม แล้วปิดทันที ขณะที่ไอศูรย์เดินเซๆ มาหา อาการเมานิดๆ
“เห็นหน้าผัวทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
อริสรากลบเกลื่อน “ก็คุณทำเสียงดัง”
จากนั้นอริสราหยิบอัลบั้มลุกหนี เตรียมจะเอาไปเก็บเพราะไม่อยากให้ไอศูรย์เห็น แต่ไอศูรย์ดึงมือไว้
“จะไปไหนเล่า รำลึกความหลังเสร็จแล้วเหรอ”
อริสราตกใจ เพราะไม่คิดว่าไอศูรย์จะเห็น ไอศูรย์ถือโอกาสดึงอัลบั้มรูปนั้นมาเปิดดู ยิ้มแค่นๆ
“คุณคงนึกเสียดายอยู่สินะอริสรา ที่คุณต้องมาเป็นเมียผมเสียก่อน เลยชวดได้เป็นคุณนายพันล้านของไอ้อิศร์มัน”
“อย่ามาหาเรื่องฉันได้ไหม! คุณเมาแล้วก็ไปนอนซะ”
อริสราจะดึงอัลบั้มคืนมา แต่ไอศูรย์ไม่ให้ กระชากกลับมา
“เสียใจด้วยนะที่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ ต่อให้คุณนั่งดูรูปจนทะลุ คุณก็ยังต้องอยู่กับผม ไม่มีวันจะได้ไปเสวยสุขกับไอ้อิศร์เป็นอันขาด”
ไอศูรย์พูดจบก็ดึงรูปจากอัลบั้มมาขยำ แล้วฉีกทิ้งต่อหน้า
อริสราตกใจ “ไอศูรย์ คุณจะทำอะไร หยุดนะ”
อริสราพยายามเข้าไปแย่ง แต่ไอศูรย์ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเพราะความเมา กระชากอัลบั้มเป็นชิ้นๆ
“ผมจะทำให้คุณกลับมาอยู่ในโลกของความจริงไงเล่า”
“ไม่ เอาคืนมานะ เอาของฉันคืนมา”
ไอศูรย์ฉีกอัลบั้มจนขาดรุ่งริ่งแล้วโยนทิ้งไปที่พื้น อริสราก้มลงมองแล้วร้องไห้โฮ
“คุณมันบ้า! สารเลว” อริสราเข้าตีตัวไอศูรย์ไม่ยั้ง
“ผู้หญิงมีผัวแล้วแต่ยังหวังในตัวผู้ชายอื่นต่างหากที่สารเลว”
อริสรายิ่งโมโห ทุบตีไอศูรย์ไม่ยั้ง ไอศูรย์สุดทน ผลักอริสราเซล้มศอกไปกระแทกมุมเตียงอย่างแรง
“โอ๊ย”
ไอศูรย์เห็นอริสรานั่งอยู่กับพื้น มือจับข้อศอกตัวเอง นิ่วหน้า ก็เหมือนได้สติ ขยับเข้าไปหา
“อริส ผมขอโทษ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ไอศูรย์ยื่นมือมาจะแตะ แต่อริสราปัดมือออก แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น
“อริส...”
อริสรามองหน้าไอศูรย์อย่างชิงชัง แล้ววิ่งออกไปจากห้อง มือกุมแขนข้างที่เจ็บไว้ด้วย
ไอศูรย์มองตาม รู้สึกผิดที่ทำอริสราเจ็บตัว เพราะจริงๆ ก็รักอริสรามากเหลือเกิน
ทางด้านมายาวีพาแพรพลอยที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาร่วมในงาน แต่ชุดยังเป็นกางเกงอยู่ดี
“คุณแพรนี่ดื้อจริงๆ เมย์ให้ใส่ชุดสวยๆ ของเมย์ก็ไม่เอา”
“ไม่ดีกว่าค่ะ เสื้อผ้าคุณแพงๆ ทั้งนั้น ฉันใส่แล้วคงไม่เหมาะ”
มายาวีเหล่ ยิ้มแซว “จะหาข้ออ้างไม่ใส่กระโปรงมากกว่ามั้ง”
แพรพลอยยิ้มนิดๆ ไม่ตอบโต้ อิศร์เดินเข้ามาหาสองสาว
“เมย์ คุณลุงตามหาอยู่แน่ะ”
“สงสัยแขกของคุณพ่อจะมา งั้นเมย์ฝากคุณแพรด้วยนะอิศร์ รู้จักกันแล้วนี่”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างอึดอัดใจ ไม่อยากยุ่งด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวแพรขอตัวกลับเลยดีกว่า”
“ไม่ได้ค่ะ คุณแพรต้องอยู่กินเค้กวันเกิดคุณพ่อก่อน อิศร์เทคแคร์ด้วยนะ แขกคนนี้สำคัญม๊าก... เดี๋ยวเมย์กลับมา”
มายาวีรีบเดินออกไป ทิ้งแพรพลอยยืนงงอยู่กับอิศร์ตามลำพัง อิศร์หันมามองแพรพลอยยิ้มๆ
“ที่แท้เราก็คนกันเอง” เขายื่นมือให้จับ แนะนำตัว “ผมอิศร์ครับ อิศร์ เดชโชดม เป็นเพื่อนกับเมย์”
“แต่ผมไม่ยักรู้นะว่าเมย์เขา...” อิศร์ยิ้มมีเลศนัย คิดว่าแพรพลอยเป็นเลสเบี้ยน “เปลี่ยนไป”
แพรพลอยมองหน้าอิศร์งงๆ พูดอะไรฟะ แต่ไม่อยากคุยด้วยเลยเดินหนี
แพรพลอยเดินหนีมาตามขอบสระ แต่อิศร์ตามมาตอแยอีก
“นี่เมย์คงชวนคุณมาทำงานให้คุณลุงล่ะสิ ผมก็ว่าอยู่แล้วว่าทำไมคุณลุงถึงใช้บอดี้การ์ดผู้หญิง ที่แท้ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หุๆๆ”
แพรพลอยยิ่งงงกับสิ่งที่อิศร์พูด แต่เพราะความถือตัวเลยไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย
“เฮ้ นี่คุณจะไม่คุยกับผมหน่อยเหรอ ยังไงเราก็คงต้องวนเวียนเจอกันอีกบ่อยๆ นะ”
แพรพลอยหันกลับมามองอิศร์เอือมๆ
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงเราก็หนีกันไม่พ้นหรอกน่า ผมเป็นเพื่อนเมย์ ก็เหมือนเพื่อนคุณ ส่วนคุณเป็นแฟนเมย์ ก็เหมือนแฟนผม” เขานึกถึงภาพที่เห็น ชักลังเล “เอ๊ะ ไม่ใช่สิ”
แพรพลอย สะดุดหู “คุณว่าอะไรนะ”
อิศร์นึกว่าแพรพลอยไม่พอใจประโยคสุดท้าย “อ๋อ เปล่าๆ ผมหมายถึง คุณเป็นแฟนเมย์ก็คือแฟนเมย์ ไม่เกี่ยวกับผม แฮ่ๆๆ”
“ฉันกับคุณเมย์เนี่ยนะ? ใครบอกคุณ”
“เมื่อกี้เมย์ก็บอกเองว่าคุณเป็นคนสำคัญของเขา แล้วผมก็แอบเห็นคุณสองคนเดินกอดกันด้วย”
แพรพลอยเหวอ อะไรเนี่ย?
อิศร์ทึกทักต่อ “ไม่ต้องอายหรอกน่า เดี๋ยวนี้โลกมันเปิดกว้าง ใครจะรักกับใครก็ได้ ไม่มีเส้นแบ่งทางเพศ ผมก็อยากเห็นยายเมย์มีแฟนมาตั้งนานแล้ว”
“คุณนี่มัน...”
แพรพลอยถอนใจ ส่ายหน้าแล้วเดินหนี อิศร์ถลาตาม
“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิครับเพื่อนเขย”
อิศร์เผลอยื่นมือจับแขนแพรพลอยอีก แพรพลอยพลิกตัวเตรียมเล่นงาน แต่อิศร์เปลี่ยนท่าจับแขนแพรพลอยเอาไว้ทันอีก
“อ๊ะๆๆ คราวนี้คุณช้าไปนะ”
“แน่ใจเหรอ”
แพรพลอยหมุนตัวอีกที แล้วพลิกตัวทุ่มอิศร์ลงสระว่ายน้ำจนได้ เสียงดังตูมใหญ่
“สอนไม่รู้จักจำ”
แพรพลอยมองอย่างสะใจแล้วเดินออกไป มายาวีวิ่งมาจากอีกด้านมองตามแพรพลอยอย่างแปลกใจ แล้วหันไปมองอิศร์
“อิศร์! เกิดอะไรขึ้น”
อ่านต่อหน้า 3
บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 1 (ต่อ)
อิศร์เปลี่ยนมาใส่ชุดเสื้อคลุมแล้ว นั่งเช็ดหัวตัวเองอยู่ในห้องรับแขกกับมายาวีที่ยังหัวเราะร่า
“วันนี้มันวันสงกรานต์หรือไงวะเนี่ย เปียกตั้งแต่เช้ายันเย็น” อิศร์มองมายาวีที่ยังหัวเราะไม่เลิกอย่างหมั่นไส้ “ขำอะไร”
“ขำเธอน่ะสิ เล่นกับใครไม่เล่น ดันไปลองของกับคุณแพร”
“ก็ไม่รู้นี่ เห็นท่าทางดูแมนๆ แถมเธอยังไปกอดเอวจี๋จ๋าด้วย ก็นึกว่ากิ๊กกัน”
มายาวีหัวเราะก๊าก “จะบ้าเหรอ ฉันยังชอบผู้ชายย่ะ คุณแพรเข้ามาทำงานกับคุณพ่อก่อนฉันกลับเมืองไทยอีก เธอเก่งมากนะ เคยดูแลคนสำคัญมาหลายคน ทั้งคนไทยแล้วก็ต่างชาติ ถือว่าเป็นบอดี้การ์ดแถวหน้าเลยก็ว่าได้”
“ถึงว่าเจอผู้ชายปุ๊บก็จับทุ่มๆ ถ้าเก่งขนาดนั้น ฉันว่าต้องไม่ใช่ผู้หญิงแท้แน่ๆ”
มายาวีมองอิศร์แล้วอมยิ้ม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอลองพิสูจน์ดูสิอิศร์”
“ฮึ้ย ไม่เอาล่ะ”
อิศร์ส่ายหัว ทำหน้าสยอง ทำตัวสั่นกลัวๆ มายาวีหัวเราะกิ๊กแล้วช่วยอิศร์เช็ดหัวต่อ
อิศร์ใส่ชุดคลุมเดินเข้ามาในบ้าน เห็นสาวใช้เอาเสื้อผ้าของตนที่อบแห้งเสร็จพอดี
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณอิศร์”
“ขอบใจนะ”
อิศร์รับไม้แขวนเสื้อแล้วหิ้วขึ้นไปเปลี่ยนที่ห้องมายาวี
อิศร์ผิวปากเข้าห้องมา วางเสื้อผ้าลงบนเตียง ปลดสายเสื้อคลุม เตรียมเปลี่ยนชุด แพรพลอยออกมาจากห้องน้ำ หันไปเห็นอิศร์ถอดเสื้อคลุมพอดี จึงเข้าใจว่าเขาแก้ผ้าอยู่
แพรพลอยตกใจร้องลั่น “ว้าย คุณ อะไรเนี่ย”
“เฮ้ย” อิศร์เองก็ตกใจหยิบบอกเซอร์บนเตียงมาปิดเป้าหมับ
แพรพลอยหันหน้าหนี “ไอ้โรคจิต”
“ใครจะไปรู้ว่าคุณอยู่ในห้องนี้ ผมมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเฉยๆ”
“ย...อย่าเพิ่ง ให้ฉันออกไปก่อน”
แพรพลอยเอามือปิดตา แล้วพยายามเดินออกไปที่ประตู แต่เท้าดันเหยียบเสื้อคลุมที่อิศร์ถอดไว้จนลื่นเสียหลัก
“ว้าย”
แพรพลอยถลาไปซบอกอิศร์พอดี แล้วหงายล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน
“คุณ ไอ้บ้าๆๆ”
แพรพลอยทุบตีอิศร์ใหญ่ อิศร์ดิ้นไปมา พยายามปัดป้อง มายาวีเปิดประตูเข้ามา
“ตายแล้ว อิศร์ นายทำอะไร”
มายาวีรีบเข้ามาแยกอิศร์ที่โดนแพรพลอยทุบจนน่วม
ในห้องรับแขกยามนั้น มายาวีต้องนั่งเป็นกรรมการห้ามศึกระหว่างทั้งสองฝ่าย แพรพลอยทำหน้ารู้สึกผิดที่ทำร้ายอิศร์
“ฉันขอโทษที่ทำร้ายคุณ ฉันตกใจไปหน่อย”
“ไม่หน่อยหรอกมั้ง” อิศร์ลูบแขนตัวเองที่โดนทุบ
แพรพลอยจ๋อย “ขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณเจ็บมากไหม ฉันพาไปหาหมอได้นะ”
“ช่างเถอะ ผมเองก็ขอโทษที่โชว์หุ่นล่ำๆ จนทำให้คุณตกใจ คนมันเฟิร์มน่ะ”
อิศร์เบ่งกล้ามโชว์ แพรพลอยค้อนหมั่นไส้
“เฮ้อ สรุปว่าก็ไม่ได้ตั้งใจกันทั้งสองฝ่าย งั้นดีกันนะคะ”
มายาวีจับมือทั้งสองคนมากุมกัน แพรพลอยตกใจ สะดุ้งมองอิศร์แล้วเขิน ทั้งสองสบตากัน
ครู่ต่อมา มายาวีเดินมาส่งทั้งสองกลับบ้าน
“แพรกลับเลยนะคะ ต้องไปเอารถที่กระทรวง”
“แล้วคุณจะออกไปยังไง ไปกับผมสิ” อิศร์อาสา
แพรพลอยอึกอัก มายาวีคะยั้นคะยอ
“ก็ดีนะคะ ดึกแล้ว ให้อิศร์ไปส่งดีกว่า”
“ไม่ต้องลังเลหรอกคุณ ผมยอมเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างวันหนึ่ง แต่คราวนี้คุณไม่ต้องเอาปืนมาโชว์แล้วนะ ผมกลัว”
อิศร์ว่าพลางเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์รอ แพรพลอยตามมาซ้อน
“จับแน่นๆ นะ”
แพรพลอยนั่งยังไม่ทันตั้งตัว อิศร์ก็ออกรถทันที แพรพลอยตกใจ กอดอิศร์แน่น
“อุ๊ย คุณ”
อิศร์ขี่มอเตอร์ไซค์ฉิวออกไป มายาวีมองตามขำๆ
อิศร์ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถนนย่านในเมือง แพรพลอดกอดเอวแน่น อิศร์แอบมองแล้วอมยิ้ม
“คุณขับช้าๆ หน่อย ตอนนี้ฉันไม่รีบแล้ว”
อิศร์แกล้ง “อะไรนะ ไม่ได้ยิน”
“ฉันบอกให้ขับช้าๆ ว้าย…”
อิศร์เร่งความเร็วกว่าเดิม แพรพลอยยิ่งกอดแน่นซบหลัง
อิศร์ขี่รถมาติดไฟแดงอยู่ แพรพลอยมองเห็นเด็กขายพวงมาลัยเดินเร่ขายตามรถต่างๆ แต่ไม่มีคนซื้อ พวงมาลัยเหลือเต็ม เลยรีบสะกิดอิศร์
“เดี๋ยวก่อนคุณ หยุดก่อน ฉันจะซื้อพวงมาลัย”
อิศร์จอดรถริมถนน แพรพลอยวิ่งไปหาเด็กๆ เจรจาซื้อของ ควักเงินให้ อิศร์มองดูแพรพลอยพูดคุยกับเด็ก ลูบหัวเอ็นดูแล้วยิ้ม เริ่มเห็นมุมอ่อนโยนของแพรพลอย
ต่อมา แพรพลอยกับอิศร์เอาพวงมาลัยหลายพวงมาไหว้พระพรหม
“คุณซื้อเหมาอย่างนี้ทุกครั้งเลยเหรอ เด็กพวกนั้นคงสบายเลย”
“ก็ดีแล้ว ขายหมดไวๆ พวกเขาจะได้กลับบ้าน ไม่ต้องมาเสี่ยงอันตรายอยู่บนถนน”
“ทำไมคุณใจดีกับเด็กพวกนี้จัง เมื่อตอนกลางวันคุณก็ซื้อน้ำที่เด็กเอามาขาย ถามจริงเป็นนางงามป่ะ”
“ใช่มั้ง”
แพรพลอยค้อนแล้วเดินออกมาริมถนน อิศร์เดินตาม
“คุณกลับไปเถอะ จากตรงนี้อีกนิดเดียวก็ถึงกระทรวงแล้ว ฉันเดินไปได้”
“ไม่ดีมั้ง คุณเป็นผู้หญิง”
“ฉันเป็นผู้หญิงที่มีปืน” แพรพลอยตบปืนโชว์ “กลับบ้านไปเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าคุณเองก็เหนื่อยเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
แพรพลอยเดินออกไป อิศร์มองตาม ตะโกนถาม
“แล้วเราจะเจอกันอีกไหมคุณ”
แพรพลอยไม่ตอบ เดินลิ่วๆ ไป อิศร์ยักไหล่ ยอมแพ้ แต่ก็ยังอมยิ้มประทับใจในตัวแพรพลอย
ค่ำคืนนั้นแพรพลอยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา ผ่านป้าย "บ้านโอบไอรัก" ที่ติดไว้ตรงรั้วบ้าน แพรพลอยยังไม่ทันจอดรถ อัมพาก็โผล่หน้าออกมาจากในบ้าน
อัมพา แม่บุญทำของแพรพลอย อดีตครูที่ลาออกมาเปิดบ้านเด็กกำพร้าเพราะสงสารเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้ง เป็นคนดี สู้ชีวิต จิตใจเมตตา อบอุ่น เสียสละ รักเด็กๆ ทุกคนที่เลี้ยงมาด้วยใจจริง
“แพร”
แพรพลอยยกมือไหว้ เข้าไปสวมกอดอัมพาอย่างดีใจ แล้วมองไปทางกรณ์ที่เดินตามออกมา
“น้องๆ หลับกันหมดแล้วเหรอกรณ์”
“ตอนแรกก็จะอยู่รอเจอพี่แพรกัน แต่รอไม่ไหว เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียน”
“เข้าบ้านก่อนนะลูก แม่ทำกับข้าวไว้ให้”
แพรพลอยกอดประจบอัมพา แล้วพากันเดินเข้าบ้าน มีกรณ์เดินตาม
บ้านที่ใช้เป็นที่ทำการมูลนิธิ “บ้านโอบรัก” ของอัมพา มีบริเวณกว้างพอสมควร ด้วยเป็นบ้านหลังใหญ่เป็นที่พักเด็กๆ ด้วย แต่ในบริเวณเดียวกัน ก็มีบ้านพักของอัมพาหลังเล็กๆ แยกมาเป็นส่วนตัวด้วย
ครู่ต่อมาสามคนอยู่ในบ้านพักอัมพา กรณ์ยกจานอาหารมาวางบนโต๊ะตรงหน้าแพรพลอย
“โอ้โห ที่จริงแพรทานข้าวที่บ้านท่านบรรเลงมาแล้วนะคะ แต่เห็นของโปรดแบบนี้แล้วอดไม่ไหวจริงๆ”
“กินเลยลูก กินเยอะๆ แม่รู้ว่าวันนี้แพรเหนื่อย” อัมพาจับเนื้อจับตัวอย่างเป็นห่วง “ว่าแต่แพรไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ นะ”
“แม่ครับ ผมก็บอกแล้วว่าหญิงเหล็กอย่างแพร ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนของไอ้พวกก่อการร้ายแน่นอน ฝีมือมันคนละชั้นกัน” กรณ์ยักคิ้วให้แพรพลอย
“แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวนะลูก หนูเป็นผู้หญิง แข็งแรงแค่ไหนก็ไม่เท่าผู้ชายอกสามศอกหรอก” อัมพาว่า
“แต่วันนี้แพรเพิ่งจับผู้ชายอกสามศอกทุ่มลงน้ำมานะคะ”
“โธ่ลูก แล้วกัน”อัมพาส่ายหน้า
แพรพลอยกับกรณ์หัวเราะ แล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารฝีมืออัมพาต่อ
อิศร์ขี่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองเข้ามาในอาณาเขตบ้าน เห็นอาณาเขตกว้างขวางของตัวบ้านตั้งอยู่ท่ามกลางความมืด อิศร์ขี่รถมาเกือบถึงตัวบ้าน แต่เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆ นั่งอยู่ที่เก้าอี้สนามหน้าบ้าน จึงหยุดดู แล้วร้องเรียกอย่างไม่แน่ใจ
“อริส”
อริสราได้ยินเสียงเรียกก็ค่อยๆ หันหน้ามา แล้วลุกขึ้นอย่างดีใจ
อิศร์เดินเข้ามาหาอริสราที่สนามหญ้า
“ออกมานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“อริสออกมารอคุณ แข่งรถวันนี้เป็นยังไงบ้าง ชนะไหมคะ”
อิศร์พยักหน้า อริสรายิ้มดีใจ
“ดีใจด้วยนะคะ”
“เข้าบ้านกันเถอะครับ อากาศกำลังเย็น เดี๋ยวคุณจะเป็นหวัด”
อิศร์แตะแขนอริสราเป็นเชิงชวน แต่ไปโดนข้างที่กระแทกกับเตียงเมื่อตอนค่ำพอดี
“โอ๊ย” หล่อนเอามือจับแขนตัวเอง
อิศร์หันไปมองงงๆ “คุณเป็นอะไรไป”
อริสราค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขน เห็นรอยฟกช้ำที่แขนใกล้ๆ ข้อศอก
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
เสียงไอศูรย์ดังเข้ามา “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ”
อิศร์กับอริสราหันไปมอง เห็นไอศูรย์เดินฝ่าความมืดออกมา ในมือถือตลับยาหม่องมาด้วย
“ฉันกำลังจะเอายาหม่องมานวดให้อริสพอดี” เขาหันไปพูดกับอริสรา “นั่งสิจ๊ะ”
อริสรายืนลังเล แต่พอเห็นไอศูรย์จ้องเป็นเชิงสั่ง ก็ยอมนั่งลงใกล้ๆ ไอศูรย์ยิ้มอ่อนโยน จับแขนอริสรามาพลิกดู แล้วเปิดตลับยาหม่อง
“เกิดอุบัติเหตุอะไรเหรอครับ” อิศร์คาใจ
“นายไม่ต้องสนใจหรอก ไปพักผ่อนเถอะ” ไอศูรย์นวดแขนอริสรา แล้วพูดต่อ “อ้อ แต่เดี๋ยวคุณพ่อคงจะเอาเอกสารตามพินัยกรรมไปให้ที่บ้านนะ นายรู้หรือยังว่าตัวเองได้อะไรบ้าง”
อิศร์ส่ายหน้า ไม่เห็นอยากรู้ ไอศูรย์ยิ้มลึกในสีหน้า แล้วประชดเนียนๆ
“รู้หน่อยไว้ก็ดี เพราะคุณปู่ยกสมบัติให้นายเยอะกว่าลูกหลานคนอื่น ถ้าไม่สนใจเดี๋ยวจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง”
“ผมไม่เคยอยากได้อะไรมากไปกว่าที่มีอยู่ตอนนี้”
ไอศูรย์หัวเราะ “ไม่ต้องออกตัวหรอกน่า ฉันรู้จักนายดี แล้วฉันก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจอะไรที่คุณปู่เห็นความสำคัญของนายมากกว่า เพราะฉันได้ของที่มีค่าที่สุดมาอยู่ในมือตั้งนานแล้ว” พลางเหลือบตามองอริสรา “อริสนี่ไง”
ไอศูรย์นวดแขนให้อริสรา แล้วหันไปยิ้มทีเล่นทีจริงกับอิศร์
“ต่อให้มีสิบคุณปู่ก็เสกอริสให้นายไม่ได้ ฉันว่ามันก็ยุติธรรมดีนะ”
อริสรามองไอศูรย์อย่างไม่พอใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงสิ่งของที่ไอศูรย์มีไว้เพื่อโอ้อวด เลยดึงมือออก
“หายปวดแล้วเหรอจ๊ะ งั้นกลับขึ้นห้องกันนะ”
ไอศูรย์ลุกขึ้น โอบไหล่อริสรา แล้วหันมาหาอิศร์
“ฉันกับอริสจะขึ้นไปนวดกันต่อบนห้อง ฝันดีนะน้องชาย”
ไอศูรย์พูดพลางยื่นหน้าไปจูบแก้มอริสราแรงๆ แล้วประคองเดินออกไป
อิศร์มองตามสองคนไปอย่างเศร้าใจ รู้ว่าไอศูรย์จงใจเยาะเย้ยตนเองที่เคยรักกับอริสรามาก่อน
ต่อมาไอศูรย์ประคองอริสราเข้ามาในห้องโถง อริสราสะบัดออก
“ปล่อยฉันได้แล้ว”
ไอศูรย์ยิ้มเยาะ “ไม่เจ็บแขนแล้วหรือไง หรือว่าเห็นหน้าชู้รักแล้วเหมือนได้ยาดี”
อริสราฉุน “อย่ามาพูดจาสกปรกนะไอศูรย์ ฉันกับอิศร์ไม่ได้เป็นชู้กัน เรื่องของเราจบไปตั้งนานแล้ว”
“ก็ถ้าผมไม่คุมคุณไว้ทุกฝีเก้า มันก็คงไม่จบง่ายๆ เพราะคุณคงไม่ยอมให้จบ”
“ถ้ารู้อย่างนั้นก็ปล่อยฉันไปสิ” อริสราย้อน
ไอศูรย์ขมวดคิ้วไม่พอใจ จับแขนอริสราบีบแน่นจนหล่อนร้องลั่น
“โอ๊ย”
“ไม่มีวัน คุณเป็นสมบัติของผม”
อริสรามองไอศูรย์อย่างเจ็บปวดลึกๆ ไม่แน่ใจว่าจริงๆ แล้วไอศูรย์รักหล่อนหรือต้องการแค่ครอบครองกันแน่
“ขอบคุณที่ย้ำให้ฉันรู้ว่าในสายตาของคุณ ฉันก็เป็นแค่สิ่งของคุณครอบครองไว้เพื่อแสดงชัยชนะของตัวเองเท่านั้น”
ไอศูรย์ชะงัก เพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดจารุนแรงไป เพราะจริงๆ รักอริสรามาก
“อริส...”
อริสราสะบัดมือจากไอศูรย์ แล้วเดินกลั้นน้ำตาขึ้นตึกไป
อริสราเปิดประตูห้องนอนเข้ามา แล้วทิ้งตัวลงนอนร้องไห้บนเตียงอย่างรุนแรงด้วยความสะเทือนใจ
เหตุการณ์ในบ้านเดชโชดม เมื่ออดีต 15 ปีก่อนผุดขึ้นในห้วงคิดของหล่อน
ตอนนั้นอิศร์อยู่ชุดเดินทางเตรียมไปขึ้นเครื่อง เอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้อริสราที่ยืนสะอื้นอยู่
“อย่าร้องไห้สิครับ อริสคิดถึงผมเมื่อไรก็บินไปเยี่ยมผมได้นะ”
“แต่เราเคยคุยกันทุกวัน ถ้าอิศร์ไม่อยู่แล้วอริสจะคุยกับใคร”
เสียงของไอศูรย์ดังขัดขึ้น “คุยกับผมก็ได้อริส”
อิศร์กับอริสราหันไปเห็นไอศูรย์เดินมาพร้อมกับอำพล อริสราสีหน้าเจื่อนไป
“ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะดูแลอริสให้ รับรองว่าจะทำให้ดีเหมือนที่นายเคยทำ” ไอศูรย์ย้ำ
อิศร์กับไอศูรย์ประสานสายตากัน สายตาไอศูรย์ดูเจ้าเล่ห์เจ้ากล
“ไปเถอะอิศร์ ทุกคนกำลังรออยู่”
เหตุการณ์ในอดีต เมื่อ 12 ปีก่อน ภายหลังจากอิศร์เดินทางไปเมืองนอก 3 ปี ผุดขึ้นตามมา
อริสราอยู่ที่บ้าน ตกใจมากเมื่อได้ฟังจบ หันหน้ากลับมาหาพ่อกับแม่
“อะไรนะคะ คุณลุงอำพลมาสู่ขออริสให้ไอศูรย์”
“ใช่ แล้วเขาก็ตกลงจะช่วยเหลือเรื่องที่เราถูกฟ้องล้มละลายด้วย” พ่อบอก
“แต่อริสไม่ได้รักไอศูรย์นะคะพ่อ อริสรักอิศร์”
“นายอิศร์ไปอยู่เมืองนอกเป็นสิบปี ป่านนี้คงมีเมียไปแล้ว แกจะรอมันทำไม” น้ำเสียงผู้เป็นบิดาเด็ดขาด “แกต้องแต่งงานกับไอศูรย์! ถ้าไม่อยากเห็นฉันกับแม่แกไปขอทานอยู่ข้างถนน”
พ่อผลุนผลันออกไปอย่างโมโห อริสราร้องไห้ โผเข้ากอดแม่อย่างเสียใจ
อริสราฟุบหน้าลงร้องไห้กับหมอน ปวดใจทุกครั้งที่นึกถึงความหลังเรื่องนี้
ด้านอิศร์ยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องรับแขก เขาทอดสายตามองไปที่บ้านอำพล แล้วก้มลงมองรูปแต่งงานของไอศูรย์กับอริสราในมือ
เมื่อ 12 ปีก่อน อิศร์อยู่ในอพาร์ทเมนท์ที่ต่างประเทศ มองรูปแต่งงานไอศูรย์กับอริสรา กำแน่นอย่างเจ็บช้ำใจ เดชเดินมาตบไหล่
“จำคำปู่ไว้นะอิศร์ การอยากได้ของๆ คนอื่นมีแต่จะทำให้เรารุ่มร้อน ตอนที่ยังไม่ได้มา เราก็รุ่มร้อนคิดหาวิธีช่วงชิง แต่เมื่อได้ครอบครองแล้วเราก็จะยิ่งรุ่มร้อนระแวงว่ามันจะหลุดมือไปอีก ก็เหมือนกับที่ไอศูรย์รู้สึกอยู่ตอนนี้”
อิศร์ค่อยๆ สบตากับเดช ใช้ความคิดตาม
“เจ้าต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าเราไม่มีวันได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่โลกนี้จะจัดสรรสิ่งที่เหมาะสมให้แต่ละคนเสมอ”
อิศร์นึกถึงคำพูดของปู่ แล้วค่อยๆ ละสายตาจากหน้าต่างห้องไอศูรย์ ก่อนจะปิดม่าน แล้วเก็บรูปใส่ลิ้นชักไป เหมือนไม่อยากเห็นอีก
ไม่นานต่อมา อำพลแสร้งยิ้มจริงใจสุดขีด ขณะวางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าอิศร์
“ลุงเอาโฉนดที่ดินกับเอกสารหุ้นของบริษัทมาให้ ตามพินัยกรรมที่คุณปู่ของแกสั่งเอาไว้”
“ขอบคุณครับ”
“นอกจากบ้านหลังนี้ ก็มีที่ดินที่ปราณบุรีกับประจวบ แล้วก็หุ้นของเดชโชดม ลองเอาข้อมูลบริษัทไปอ่านดู ถ้าสงสัยอะไรก็ถามลุงได้”
อิศร์เปิดแฟ้มดูผ่านๆ แบบขอไปที เพราะดูไม่รู้เรื่อง อำพลมองจับสังเกตแล้วทำท่าจะอธิบายต่อ
อิศร์ส่ายหน้ายอมแพ้ “ผมคงอ่านไม่รู้เรื่องหรอกครับลุง”
อำพลยิ้มหยันดูถูกนิดๆ แล้วกลบเกลื่อน “ยังไงก็ต้องอ่าน เพราะตอนนี้เท่ากับแกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท มีอำนาจตัดสินใจมากกว่าใคร”
อิศร์ชะงัก เงยหน้าขึ้นทันที ไม่คาดคิดมาก่อน
“ผมจำเป็นต้องตัดสินใจอะไรด้วยเหรอครับ”
“ก็เวลาที่บริษัทมีโปรเจคท์ก่อสร้างใหญ่ๆ หรือประชุมแผนงานประจำไตรมาส เราก็ต้องขอความเห็นจากแก”
อิศร์ถอนใจ แล้วปิดแฟ้มทันที อำพลทำเป็นเหล่มอง
“ลุงจัดการกันเองดีกว่า ถ้าให้ผมไปวุ่นวาย เดี๋ยวบริษัทจะเสียหาย” อิศร์บอก
อำพลแกล้งค้าน “พูดอะไรอย่างนั้น ของแบบนี้มันเรียนรู้กันได้”
“แต่บริษัทอยู่ในมือคนที่มีความสามารถอยู่แล้ว ทั้งลุง ลุงอำนวย พี่ไอศูรย์ พี่ธำรง คนไม่มีหัวธุรกิจอย่างผมจะเป็นภาระให้คนอื่นซะเปล่าๆ” เขาว่า
อำพลเนื้อเต้นแอบดีใจที่อิศร์ทำท่าเหมือนไม่อยากยุ่งกับงานที่บริษัท แต่ถามย้ำให้แน่ใจ
“สรุปว่าแกไม่คิดจะไปทำงานที่บริษัทว่างั้น”
อิศร์มองหน้าอำพลเหมือนตัดสินใจได้
อำพลเดินกลับเข้าบ้านมา ไอศูรย์รีบตรงเข้ามาหา
“เป็นยังไงบ้างครับพ่อ”
อำพลยิ้มกริ่ม “มันไม่ยอมไปทำงาน”
ไอศูรย์ฟังแล้วยิ้มออก
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลบเกลื่อนหลักฐาน”
“พ่อก็คิดอยู่แล้วว่ามันคงไม่สนใจเรื่องงานหรอก ไอ้อิศร์มันรักสบายจนเคยตัว ถือว่าตัวเองอยู่บนกองเงินกองทองของพ่อมัน ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้”
“แต่มันไม่รู้ว่าเงินของมัน มีพวกเรามาร่วมกินร่วมใช้ด้วยใช่ไหมครับพ่อ”
อำพลกับไอศูรย์หัวเราะสะใจกันสองคน
เวลาเดียวกันป้าดวงวางถาดน้ำดื่มกับผลไม้ลงบนโต๊ะ แล้วนั่งข้างๆ อิศร์ ถามอย่างตกใจ
“คุณอิศร์ปฏิเสธงานที่บริษัทไปแล้วเหรอคะ”
“ครับป้า”
ดวงทักท้วง “แต่บริษัทนี้คุณพ่อคุณเป็นคนบุกเบิกมาพร้อมกับคุณท่านนะคะ คุณมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเข้าไปดูแล”
“ผมไม่เก่งเหมือนพ่อ ปล่อยให้ลุงอำพลดูแลไปดีกว่า”
ดวงมีสีหน้าผิดหวัง แต่พยายามกล่อมต่อ “แต่คนเราเกิดมาก็ต้องทำงานนะคะคุณอิศร์”
อิศร์ยิ้มสบายใจ มองป้าดวงอย่างเคารพ รู้ว่าป้าดวงหวังดีเสมอ
“เอาไว้ผมจะหาอะไรที่เหมาะกับตัวเองทำ ระหว่างนี้ป้าก็เลี้ยงผมไปก่อนนะครับ”
อิศร์พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนหนุนตักอ้อนแม่บ้านและแม่นมของตน ดวงลูบหัวอย่างเอ็นดู
“ยังไงป้าก็ต้องดูแลคุณไปจนตายอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่วันหนึ่งคุณเองก็ต้องมีครอบครัว ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกนะคะที่อยากจะอยู่กับผู้ชายที่สนุกสนานไปวันๆ โดยไม่มีเป้าหมายในชีวิต”
“เอาไว้ให้เจอผู้หญิงคนนั้นก่อนก็แล้วกันครับ เธออาจจะมาพร้อมกับเป้าหมายของผมก็ได้”
อิศร์ยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วหลับตาพริ้มบนตักป้าดวงที่ออกอาการอ่อนใจ แต่ก็อดเอ็นดูไม่ได้
อ่านต่อหน้า 4
บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตอนกลางวัน วันหนึ่ง ภายในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นห้างกลางแจ้ง บรรยากาศคึกคัก ร้านรวงรอบๆ ห้างนั้น มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ไม่มีใครรู้ว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบที่แฝงตัวมาปฏิบัติภารกิจจับผู้ร้าย โดยคนหนึ่งทำทีเป็นยืนคุยโทรศัพท์ แต่สายต่อสอดส่องหาคนร้าย
ตำรวจ 1 รายงานผ่านหูฟัง “ทุกอย่างปกติ ยังไม่เห็นเป้าหมาย”
อีกมุม เห็นตำรวจนายหนึ่งแต่งตัวเป็นคนตาบอดขายล็อตเตอรี่ แกล้งยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ แต่แอบใช้วิทยุสื่อสาร
“แถวหน้าห้างก็ยังปกติครับผม” ตำรวจ 2 ว่า
อีกมุมหนึ่ง ผู้กองอนุภัทรหัวหน้าทีม แต่งตัวเป็นคนขายผลไม้รถเข็น มีหูฟังเสียบอยู่เหมือนฟังเพลง แต่ก็สอดส่ายสายตาไปมาเช่นกัน
ผู้กองอนุภัทร คนนี้ เป็นเพื่อนสนิทของอิศร์ เป็นนายตำรวจสืบสวนหนุ่มจบจากเมืองนอก ฉลาด คล่องแคล่ว เอาการเอางาน
“ใจเย็นๆ สายแจ้งว่าเป้าหมายทั้งสองส่งยากันที่นี่แน่นอน” อนุภัทรดูนาฬิกา “ใกล้จะได้เวลาแล้ว”
อนุภัทรพูดจบก็กดตัดการสื่อสาร เมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้ามาสั่งผลไม้
อีกด้านหนึ่ง เห็นมายาวีเดินโทรศัพท์ผ่านมา
“คุณแพรยังไม่ถึงเหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวไปรับตั๋วหนังให้ก่อนนะคะ”
มายาวีวางสาย แล้วเหลือบเห็นอนุภัทรยืนขายผลไม้อยู่ก็เกิดนึกเปรี้ยวปากอยากกิน อนุภัทรปอกผลไม้ใส่ถุงให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้สนใจมายาวีที่เดินเข้ามา
เวลาเดียวกันที่ด้านหน้าห้าง เห็นรถปิคอัพคันหนึ่งแล่นวนหาที่จอดใกล้ๆ กับบริเวณที่ตำรวจ 1 ยืนอยู่
ตำรวจ1มองทะเบียนให้แน่ แล้วรายงาน
“เป้าหมายมาแล้วครับ”
อนุภัทรได้ยินก็หันขวับมองอย่างรอคอย มือก็ปอกผลไม้อย่างรีบเร่ง ไม่ได้มองมายาวีที่มาต่อคิว
มุมที่ตำรวจ 2 อยู่ เห็นคนร้ายอีกคนท่าทางลับๆ ล่อๆ เดินมา
ตำรวจ 2 รีบรายงาน “เป้าหมายสองอยู่ข้างหน้าผมตอน”
ดนตรีตื่นเต้นลุ้นระทึก อนุภัทรรีบเอาผลไม้ใส่ถุงให้ลูกค้าตรงหน้า รับเงิน แล้วมองหาคนร้ายต่อ
“เอาสับปะรดกับฝรั่งอย่างละหนึ่งค่ะ” มายาวีสั่ง
อนุภัทรไม่ได้ยิน เพราะกำลังจดจ่อตั้งใจฟังการรายงานความเคลื่อนไว้คนร้ายอยู่
“เป้าหมายหนึ่งกำลังไปทางร้านดอกไม้ครับ” ตำรวจ 1 รายงาน
อนุภัทรหันขวับไปทางร้านดอกไม้ใกล้ๆ มายาวีเห็นอนุภัทรทำเฉยก็งง และเริ่มอารมณ์เสีย
“นี่คุณ ไม่ได้ยินหรือไง ฉันเอาสับปะรดกับฝรั่ง”
เสียงตำรวจ 2 ดังขึ้น “เป้าหมายสองตรงไปที่ผู้กองภัทรแล้วครับ”
อนุภัทรหันไปมองอีกด้านอย่างระแวดระวัง มายาวีเริ่มไม่พอใจ คิดว่าอนุภัทรไม่ได้ยิน
“คุณ” หล่อนเอื้อมมือไปดึงหูฟังออก เข้าใจว่าเขาฟังเพลง
อนุภัทรชักโมโห “เฮ้ย ทำอะไรเนี่ย”
“ฉันจะซื้อผลไม้ มัวแต่ฟังเพลงอยู่นั่นแหละ”
อนุภัทรมองมายาวีอย่างงงๆ ว่ายัยนี่มาไงวะ?
ส่วนอีกด้านคนร้ายทั้งสองคนเดินมากำลังจะเจอกัน อนุภัทรเห็นเข้าก็จะผละไป
“อ้าว จะไปไหน ผลไม้ฉันล่ะ”
มายาวีวึดวือ ตรงไปดึงแขนไว้ อนุภัทรละล้าละลัง มองไปทางคนร้าย
“ปล่อยผม ผมไม่ขาย” เขาพยายามแกะมือหล่อนออก
“หมายความว่ายังไงไม่ขาย” มายาวีฉุน
“ก็หมายความว่าไม่ขาย คุณไปซื้อที่อื่น ผมจะรีบไป”
อนุภัทรสะบัดมืออกแล้วรีบวิ่งไป มายาวีงงซักพักก็เลือดขึ้นหน้า รีบตามไป
อนุภัทรย่องมาซุ่มอยู่หลังรถคันหนึ่ง แอบมองโจร 2 คนเดินมานั่งที่เก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน ทำเป็นมองไปคนละทาง แต่กำลังเปิดเสื้อแจ็คเก็ตเตรียมจะส่งของ
อนุภัทรเอาหูฟังเสียบเหมือนเดิม แล้วติดต่อกับลูกทีมอีก 2 คน
“พวกมันเจอกันแล้ว ถ้ามันเปลี่ยนของกันเมื่อไรเราเข้าจับกุมได้เลย”
อนุภัทรแอบมองแล้วขยับจะย่องไปมุมที่ใกล้กว่านั้น แต่เจอมายาวียืนเท้าเอวขวางอยู่
“เฮ้ย มาทำไมอีก”
มายาวีเทศนาต่อ “เป็นพ่อค้าประสาอะไร ปฏิเสธลูกค้า แล้วเมื่อไรจะรวย ! ทำมาหากินแบบนี้ เขาเรียกว่าเช้าชามเย็นชามรู้ไหม”
มายาวีเสียงดังจนคนร้ายคนหนึ่งหันมา อนุภัทรเห็นเข้าก็กระโจนเข้าอุดปากแล้วลากมายาวีหลบ
“ว้าย จะทำอะไรฉันปล่อยนะ”
มายาวีตกใจดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนอนุภัทร แต่อนุภัทรยังคงอุดปากไว้กระซิบดุ
“เงียบหน่อยได้ไหม”
มายาวีขัดขืนส่งเสียงอู้อี้ๆ พยายามดิ้นรน อนุภัทรชะโงกดูอีกที เห็นคนร้ายเปิดเสื้อแจ็คเก็ตเตรียมจะแลกของกัน
อนุภัทรพูดกับลูกทีม “พวกมันกำลังลงมือแล้ว”
ตำรวจสองนายมาสมทบกันแล้วย่องเข้าไปที่คนร้ายกำลังส่งยา มายาวีเห็นอนุภัทรเผลอ มัวแต่มองไปที่คนร้าย เลยงับมืออนุภัทรทันที
“โอ๊ย”
คนร้ายหันขวับมองตามเสียง มายาวีผลักอนุภัทรกระเด็นออกมาจากที่ซ่อน แล้วโผล่ขึ้นมาโวยวาย
“ช่วยด้วยค่ะ! ใครก็ได้แจ้งตำรวจที”
คนร้ายได้ยินเข้า พวกมันมองหน้ากันอย่างตกใจ “ตำรวจ”
มายาวีร้องโวยวายลั่น “คนร้ายมันจะจับตัวฉัน”
คนร้ายเลิ่กลั่กกลัวตำรวจอยู่แถวนี้ รีบผละออกจากกัน ตำรวจ 2 นายที่ซุ่มอยู่โผล่ออกจากที่ซ่อน
ตำรวจ 1 ชักปืน ขู่ “เฮ้ย หยุดนะ”
คนร้าย 2 รีบผลักถังขยะใกล้ตัวเข้าใส่ตำรวจทั้ง 2 แล้วรีบวิ่งหนี อนุภัทรเห็นเข้าก็ตะโกนบอก
“ตามมันไป! ผมจัดการทางนี้เอง”
ตำรวจ 2 นายรีบวิ่งตามคนร้าย 2 ไป แต่คนร้าย1หันมาเห็นอนุภัทร ก็ชักปืนเข้ายิงใส่ ไทยมุงแตกฮือ อนุภัทรกลิ้งตัวหลบกระสุน มายาวีเห็นกระสุนเฉียดใกล้ตัวก็ร้องวี๊ดอย่างตกใจ
คนร้าย 1 เห็นมายาวี ก็พุ่งตัวเข้ามากระชากเป็นตัวประกัน แล้วเอาปืนจ่อไว้
อนุภัทรโผล่หน้าขึ้นมาจะยิง แต่พอ เห็นมายาวีถูกจับเป็นตัวประกันก็ชะงัก
“อย่ายิง ไม่งั้นอีนี่ตาย”
มายาวีวีนใหญ่ “แกเป็นใคร ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า”
“อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นสมองกระจุยแน่” มันเอาปากกระบอกปืนจี้หัวมายาวี
มายาวีตกใจตาเหลือก อนุภัทรเอาปืนเล็งคนร้าย1เป็นเชิงขู่
“อย่าตามมานะ”
คนร้าย1 รีบลากมายาวีออกไป อนุภัทรรีบวิ่งตาม
คนร้ายลากมายาวีออกมาที่ลานจอดรถ ไทยมุงมองอย่างตื่นเต้น มายาวีเหลือบมองปืนอย่างกลัวๆ
“แกต้องการอะไร จะเอาเงินใช่ไหม เอาไปสิ เอ้า” หล่อนยื่นกระเป๋าให้ “ฉันให้หมดเลย รวมกระเป๋าใบนี้ด้วย”
“ไม่เอาเว้ย”
คนร้ายโยนกระเป๋ามายาวีทิ้งไป แล้วจะลากต่อ แต่เห็นอนุภัทรหันมาตวาด
“บอกแล้วไงว่าอย่าตามมา อยากให้นังนี่ตายใช่ไหม”
อนุภัทรขอร้องดีๆ “ผู้หญิงคนนี้ไม่เกี่ยว แกอย่าทำอะไรเขา”
คนร้ายตวาด “ก็ถอยไปสิ”
“ถ้าแกอยากได้ตัวประกัน เอาตัวฉันไปแทน ปล่อยผู้หญิงซะ โอเคไหม”
อนุภัทรต่อรองยกมือสองข้าง ชูให้เห็นปืนในมือ แล้วค่อยๆ วางลงที่พื้นเป็นการยอมแพ้ คนร้ายมองอย่างลังเล มายาวีรีบสั่ง
“ไม่ได้ยินเหรอ นายนั่นเขาอยากมาแทนฉัน นายปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันกลัว”
คนร้ายลังเล มองอนุภัทรอย่างไม่ไว้ใจ แล้วเปลี่ยนใจดื้อๆ
“ไม่” คนร้ายเห็นอนุภัทรขยับก็ตวาดอีก “บอกว่าอย่าเข้ามา”
คนร้ายขึ้นนกปืนเสียงดังกริ๊ก มายาวีได้ยินก็ร้องกรี๊ดๆ ด้วยความกลัว
เวลาเดียวกันนั้นเอง แพรพลอยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ลานจอด แล้วมองหามายาวี ก่อนจะกดโทรศัพท์ แต่ไม่มีคนรับ เลยเดินเข้ามามองหามายาวี
แพรพลอยเดินผ่าน เห็นกลุ่มไทยมุง แต่ไม่ได้สนใจ กดโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ แต่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ตัวเองกดหามายาวีพอดี พร้อมกับเสียงคนร้ายตวาดแว่วมา
“รถแกอยู่ไหน พาฉันไป”
แพรพลอยเหลียวขวับหันไปมองกลุ่มไทยมุง แล้วเดินแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู แต่ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร
“คุณเมย์”
คนร้ายยังเอาปืนจ่อที่หัวมายาวี แล้วพยายามจะลากตัวออกจากวง แต่อนุภัทรขยับตาม
“เอารถฉันไป” อนุภัทรโยนกุญแจให้ “รถฉันเพิ่งเติมน้ำมัน แกจะได้หนีไปไกลๆ ไง”
“อย่ายุ่งน่า”
คนร้ายกระชับปืนที่หัวมายาวี อนุภัทรกดดัน พยายามหาจังหวะเข้าชาร์จ แต่คนร้ายดูระแวดระวัง
จังหวะนี้แพรพลอยโผล่มาจากซอกรถด้านหลังคนร้าย อนุภัทรเห็นเข้าก็อ้าปากจะห้าม แต่แพรพลอยส่งสัญญาณให้เงียบ แล้วค่อยๆ ย่องมาทางด้านหลัง อนุภัทรทำเป็นชวนคุย
“ฉันจะไม่ยุ่งกับแก ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนั้น”
“ปล่อยให้โง่สิ” มันตะคอกมายาวี “พาฉันไปที่รถ”
คนร้ายกระชากมายาวีจะให้ไปด้วยกัน แต่เสียงแพรพลอยดังแทรกขึ้นมา
“ให้หนูไปส่งไหมพี่”
คนร้ายหันขวับไปตามเสียง เจอแพรพลอยชกโครมเข้าเต็มหน้า มายาวีสะบัดตัวหลุดออกมาแล้วเซเข้าอ้อมแขนอนุภัทรพอดี ทั้งสองมองกันอึ้งๆ
คนร้ายตั้งหลักได้ หันมองแพรพลอยอย่างโมโห เล็งปืนใส่ แพรพลอยเตะปืนกระเด็นไปไกล คนร้ายหันมาเล่นงานแพรพลอย แต่แพรพลอยรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว โชว์ลีลาบู๊กัน
อนุภัทรได้สติ รีบปล่อยมือจากมายาวี แล้วเข้าไปช่วยแพรพลอย มายาวีล้มลงกับพื้นดังโครม
“คุณเมย์”
แพรพลอยตกใจหันไปมองมายาวี คนร้ายถือโอกาสซัดแพรพลอยกระเด็นไป อนุภัทรปรี่เข้ามายกปืนจ่อ
“หยุดนะ”
อนุภัทรเล็งปืนใส่คนร้าย มันชะงัก นอนชูมือยอมแพ้ แต่พอได้จังหวะก็เอาหัวโขกอนุภัทรหน้าหงาย แล้วพยายามวจะแย่งปืน
ทั้งสองคนแย่งปืนกัน ปากกระบอกปืนจ่อไปมา ปืนลั่นดังเปรี้ยง ไปถูกกระเป๋าหรูของมายาวีที่ตกอยู่ข้างๆ แพรพลอยรีบพามายาวีหลบ ไทยมุงแตกกระเจิง
คนร้ายกดปืนลงมาที่ตัวจะยิงอนุภัทร แต่อนุภัทรดิ้นขัดขืนไม่ยอมแพ้ เสียงปืนก็ลั่นอีกเปรี้ยง
อนุภัทรกับคนร้ายชะงักมองกัน ซักพักคนร้ายก็ร้องลั่น ทรุดฮวบลง เห็นเลือดไหลออกแดงฉานที่ขามัน
เสียงไซเรนตำรวจดังขึ้น พร้อมกับรถตำรวจแล่นเข้ามาพอดี
เวลาต่อมา แพรพลอยยืนกอดอกมองคนร้ายถูกตำรวจคุมตัวขึ้นรถพยาบาลไป ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ตื่นตระหนก
อนุภัทรหันมาเห็น รีบเดินเข้ามาหา
“คุณเป็นยังไงบ้างครับ จะไปโรงพยาบาลไหม”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
แพรพลอยพูดพลางยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก อนุภัทรรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้
“เชิญครับ ผมยังไม่ได้ใช้”
แพรพลอยมองอนุภัทรอย่างลังเล แล้วรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด อนุภัทรชวนคุยต่อ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมจับคนร้าย”
“ฉันไม่ได้ช่วยคุณ แต่ฉันช่วยเจ้านายฉัน”
อนุภัทรฉงน “เจ้านาย” เขานึกถึงมายาวี “ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ”
“ฉันเป็นบอดี้การ์ดของเธอค่ะ”
ผู้กองอนุภัทรยิ่งทึ่ง ประทับใจในตัวแพรพลอยมากขึ้นอีก
“อย่างนี้นี่เอง ผมก็แปลกใจว่าทำไมคุณถึงสู้กับผู้ชายอกสามศอกได้ขนาดนั้น สนใจจะมารับราชการด้วยกันไหมครับ ผมว่าน่าจะดีกว่าคอยเดินตามผู้หญิงคนนั้น”
เสียงมายาวีแหลมเข้ามา “ผู้หญิงคนไหนเหรอ”
อนุภัทรหันขวับไปมอง เห็นมายาวีเดินถมึงทึงเข้ามา
เขามองอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดตรงๆ “ก็ผู้หญิงอย่างคุณไง ที่เกือบทำให้งานตำรวจเสียหาย”
มายาวีอ้าปากค้างเพราะโดนด่าซึ่งๆ หน้า เลยโวยกลับ
“คุณต่างหากที่เกือบจะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างฉันเดือดร้อน” หล่อนหยิบกระเป๋าตัวเองที่เป็นรูขึ้นมา “แล้วคุณดูนี่ ! กระเป๋าฉัน ราคาตั้งหลายหมื่น กลายเป็นเศษหนังไปแล้วเพราะลูกปืนของคุณ”
อนุภัทรบอก “มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ทำงานชุ่ยๆ แล้วอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ”
แพรพลอยรีบปราม “คุณเมย์คะ”
อนุภัทรหน้าตึง “ผมไม่เคยทำงานชุ่ย ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามแผน ถ้าไม่มีคุณเข้าเอะอะจนคนร้ายรู้ตัว มันก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“อ๋อ สรุปว่าฉันรนหาที่ให้ตัวเองเกือบถูกยิง” มายาวีประชด
“รู้ตัวก็ดีแล้ว”
อนุภัทรเซ็งสุดขีด แล้วเดินหนีไป มายาวียิ่งปรี๊ด
“นี่ อย่ามาโบ้ยฉันนะ กลับมารับผิดชอบก่อน”
มายาวีจะตามไป แต่แพรพลอยรีบดึงไว้
“อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลยค่ะ เดี๋ยวจะโดนหาว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงาน คุณเมย์จะดูหนังไม่ใช่เหรอคะ”
มายาวีนึกได้ ชะงัก มองตามอนุภัทรไปอย่างเจ็บใจ
“คอยดูนะ ถ้าเมย์สืบได้ว่าอยู่สังกัดไหน จะร้องเรียนให้ตกงานไปขายผลไม้จริงๆ เลย อีตาบ้า”
ครู่ต่อมา มายาวีรับตั๋วที่จองไว้แล้วเดินออกมาหาแพรพลอย
“ค่อยยังชั่วหน่อยที่ยังไม่โดนแคนเซิล ไม่งั้นนะเมย์จะโกรธนายผู้กองนั่นเป็นร้อยเท่า”
“ไปเถอะค่ะ”
แพรพลอยรับตั๋วแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจะปิดเสียง มายาวีล้วงกระเป๋าจะหยิบโทรศัพท์บ้าง แต่หาไม่เจอ
“ตายแล้ว โทรศัพท์เมย์หายไปไหน หรือว่าจะหล่นตอนที่ถูกโจรมันจับ”
“ลงไปดูไหมคะ”
“หนังจะเข้าแล้ว เมย์ลงไปดูเองดีกว่า เจอกันในโรงนะคะ”
มายาวีรีบวิ่งลงบันไดเลื่อนไป แพรพลอยมองตามอย่างห่วงๆ แต่ก็ถือตั๋วเดินเข้าโรงไป
ฟากอนุภัทรเดินกลับมาที่รถตำรวจที่กำลังเคลียร์พื้นที่
“ผู้กองภัทรครับ”
อนุภัทรหันไป เห็นตำรวจนายหนึ่งวิ่งเข้ามา ถือโทรศัพท์ของมายาวีมาด้วย
“ผมเจอโทรศัพท์เครื่องนี้ตกอยู่ครับ ใช้ของคนร้ายหรือเปล่า”
อนุภัทรรับโทรศัพท์มาดู นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่คนร้ายเหวี่ยงกระเป๋ามายาวีหล่นลงที่พื้น
“สงสัยจะเป็นของผู้หญิงคนที่เป็นตัวประกัน” เขาลองกดเปิด แต่ไม่ติด “เปิดไม่ติดแล้ว เดี๋ยวผมเอาไปให้ร้านซ่อมดู จะได้ติดต่อส่งคืนเจ้าของ”
ตำรวจรับคำแล้วเดินออกไป อนุภัทรลองกดโทรศัพท์เล่นๆ ดูแล้วเดินหาร้านซ่อมแถวนั้น
ด้านแพรพลอยถือแก้วน้ำกับถังป๊อปคอร์นเข้ามาในโรงหนัง มองดูเลขที่นั่งบนตั๋วแล้วนั่งลง เห็นคนในโรงเดินเข้าเดินออก ใครคนหนึ่งเดินมานั่งข้างๆ แพรพลอยไม่ได้สนใจ
ไฟค่อยๆ หรี่ลงจนมืด แพรพลอยดื่มน้ำแล้วหยิบป๊อปคอร์นที่วางไว้ตรงที่พักแขนขึ้นกิน ไม่ได้สังเกตว่าคนที่นั่งข้างๆ ก็หยิบป๊อปคอร์นของแพรพลอยไปกินเหมือนกัน จนกระทั่งทั้งสองล้วงมือเข้าชนกันโดยบังเอิญ
“อุ๊ย”
แพรพลอยหันมาเห็นเป็นอิศร์ ที่หันขวับมามอง สองคนร้องขึ้นพร้อมกัน
“คุณ”
“นี่คุณมาได้ยังไง”
“ผมนัดมาดูหนังกับเมย์ แล้วคุณล่ะ”
“ฉันก็มาดูหนังกับ...” หล่อนชะงัก มองอิศร์ “นี่คุณเมย์ชวนคุณมาด้วยเหรอ ไม่เห็นบอกฉันเลย”
“ผมจะมาดูอยู่แล้ว แต่เมย์อยากมาด้วยก็เลยจองที่นั่งติดกัน” อิศร์มองหา “แล้วนี่เขาไปไหน”
“เดี๋ยวมา”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างเซ็งๆ หันไปมองหามายาวี เพราะไม่อยากอยู่กับอิศร์ตามลำพัง
มายาวีเดินลงมาตรงบริเวณที่ตัวเองทำกระเป๋าตก มองหา
“มันต้องอยู่แถวนี้สิ”
มายาวีก้มลงมองหาตามใต้ท้องรถแต่ไม่เจอ แล้วลุกขึ้นมามองไปรอบๆ เห็นอนุภัทรเดินหาร้านมือถืออยู่ไกลๆ มือกำลังถือโทรศัพท์อยู่
“หรือว่านายนั่นหยิบไป”
มายาวีมองอนุภัทรอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แล้วรีบเดินตามไปทันที
ส่วนแพรพลอยดูนาฬิกา เห็นเวลาหนังใกล้ฉาย เริ่มกระสับกระส่าย อิศร์พยายามชวนคุย
“คุณชอบดูหนังผีด้วยเหรอ ผมไม่ยักรู้”
แพรพลอยตอบเย็นชา “คุณไม่รู้ก็ถูกแล้ว เพราะเราไม่ได้รู้จักกัน”
อิศร์ตีรวนต่อ “ผมนึกว่าแบบคุณน่าจะชอบหนังบู๊ๆ ตีรันฟันแทง” เขาทำเสียงตีต่อยในหนังบู๊ “ประเภทช้างกูอยู่ไหน ! ใครฆ่าท่านพ่อ !! มากกว่า ฮ่าๆๆ”
อิศร์พูดอย่างอารมณ์ดี แล้วหยิบป็อปคอร์นของแพรพลอยกิน แพรพลอยมองตาเขียว
“ของฉัน”
“แหม นั่งติดกัน ขอกินนิดนึง”
อิศร์เอื้อมมือจะหยิบ แต่แพรพลอยรีบยกป็อปคอร์น แล้วขยับหนีไปอีกที่นึงที่ว่างอยู่
“ฉันจะให้คุณเมย์นั่งตรงนั้น”
แพรพลอยย้ายป๊อปคอร์มาไว้ด้านไกลจากอิศร์ แล้วนั่งดูตัวอย่างหนังไม่สนใจ
อิศร์มองแพรพลอยเซ็งๆ ที่แพรพลอยยังทำตัวไม่เป็นมิตรจนแล้วจนรอด
ฟากอนุภัทรเดินเรื่อยๆ มาถึงหน้าร้านมือถือ มายาวีโผล่พรวดมา
“หยุด! คิดจะทำอะไร”
อนุภัทรชะงัก งง มายาวีจ้องโทรศัพท์ในมือ
“จับได้คาหนังคาเขา ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ลับหลังก็เป็นขโมยซะเอง”
อนุภัทรเหวอ “หา”
มายาวีกระชากโทรศัพท์มาจากมือของอนุภัทร
“นี่มันโทรศัพท์ฉัน คุณคิดจะเอามันมาขายใช่ไหม” แล้วกระชากแขนอนุภัทร “ไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปแจ้งผู้บังคับบัญชาคุณ”
มายาวีจะลากไป อนุภัทรขัดขืน
“เฮ้ย เดี๋ยว เข้าใจผิดแล้ว”
“เข้าใจผิดอะไร หลักฐานออกจะคามือ”
“ก็ผมจะเอาโทรศัพท์มาซ่อมให้คุณ”
มายาวีไม่เชื่อ “ไม่ต้องมาแก้ตัว โทรศัพท์ฉันไม่ได้เป็นอะไรย่ะ”
มายาวีกดเปิดแต่ไม่ติด เลยกดซ้ำๆ อีกหลายรอบ แต่ก็ไม่ติดเหมือนกัน อ้าว
อนุภัทรมองเยาะ “เป็นไง ตกลงว่าใช้การได้ใช่ไหม ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลารับผิดชอบ”
อนุภัทรหันหลังกลับเดินออกไปอย่างหัวเสีย มายาวีเงยหน้ามองอึ้งๆ หน้าแตกจนพูดอะไรไม่ออก
อนุภัทรเดินมาที่รถ เหลียวมองกลับไปยังมายาวีที่กำลังยืนมึนๆ งงๆ อยู่ ผู้กองหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาเหลือ
“ผู้หญิงอะไร โวยวายชะมัด ถ้าต้องเจอกันทุกวันมีหวังประสาทกินตาย เฮ่อ”
อนุภัทรถอนใจแล้วเปิดประตูรถขับออกไป
ในโรงหนังตอนนั้น แพรพลอยกระสับกระส่ายดูนาฬิกา แล้วมองไปที่ทางเดินยังไม่เห็นมายาวีมาซักที จู่ๆ อิศร์ก็ย้ายตัวเองขยับมานั่งข้างๆ แพรพลอย
“คุณขยับมาทำไม”
“เมย์เพิ่งโทรศัพท์มาบอกผมว่าเขากลับบ้านไปแล้ว บอกว่าอารมณ์ไม่ดี”
แพรพลอยเหวอร้อง “หา”
“เขาโทรหาคุณไม่ติดเพราะคุณปิดเสียง ก็เลยฝากผมขอโทษคุณด้วย”
แพรพลอยหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เห็นมีเบอร์ที่ไม่ได้รับสาย
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้” อิศร์มองจอ แล้วรีบสะกิด “หนังฉายแล้ว”
แพรพลอยรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วดูหนัง อิศร์ถือโอกาสหยิบป๊อปคอร์นกินอีก
แพรพลอยเหล่มองอิศร์ทั้งรำคาญ ทั้งอ่อนใจ แล้วพยายามตั้งใจดูหนัง
เวลาเดียวกัน อริสราเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นเบญ แม่บ้านกำลังเอาเสื้อผ้าของอริสราใส่กระเป๋า
“นี่มันอะไรกันน่ะเบญ จะเอาเสื้อผ้าฉันไปไหน”
“เอ้อ ก็คุณไอศูรย์ให้เบญจัดกระเป๋าให้คุณนี่คะ”
“จัดกระเป๋าไปไหน” อริสรางง
เสียงไอศูรย์ดังขึ้น “ไปฮ่องกง”
อริสราหันไปที่ประตู เห็นไอศูรย์เดินเข้ามาพอดี ไอศูรย์พยักหน้าไล่เบญให้ออกไปก่อน
“ผมกับคุณพ่อมีประชุมด่วน อยากให้คุณไปด้วย”
“ฉันไม่ได้ทำงานบริษัทของคุณ ทำไมฉันต้องไป”
“เพราะผมสั่งให้คุณไป”
ไอศูรย์ยื่นตั๋วเครื่องบินของอริสราให้ อริสรากระชากมา
“มันจะมากไปแล้วนะ ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่คุณจะลากไปไหนมาไหนตามใจชอบได้”
อริสราเดินตึงๆ ตรงไปที่ห้องน้ำ
“อริส”
ไอศูรย์รีบเดินตามอริสราไป เห็นอริสราขยำตั๋วเครื่องบินทิ้งลงไปในโถส้วมก็ของขึ้น
“อริส! คุณทำบ้าอะไร”
“ฉันไม่ไปกับคุณ”
“ปัดโธ่โว้ย”
เรณูกำลังนั่งปักปลอกหมอนอยู่ในห้องรับแขก ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงไอศูรย์
“ตาศูรย์เอะอะอีกแล้ว”
ไอริณพูดอย่างชินชา สายตายังไม่ละจากหนังสือแฟชั่นที่อ่าน
“คงถูกเมียขัดใจตามเคยนั่นแหละค่ะ ถ้าให้ริณเดานะ พี่อริสคงจะไม่ยอมไปฮ่องกงด้วย”
“เฮ้อ...ก็ไม่รู้จะไปบังคับหนูอริสนักหนา”
“พี่ศูรย์ก็ต้องระแวงสิคะ แมวไม่อยู่หนูร่าเริง ป่านนี้พี่อริสคงวางแผนหนีเที่ยวไปถึงไหนๆ แล้วมั้ง”
“ผัวเมียกันมันต้องอยู่ด้วยความไว้ใจ ถ้าหวาดระแวงแบบนี้ มันจะอยู่กันรอดได้ยังไง เฮ้อ...”
“แม่ก็ขึ้นไปห้ามสิคะ แต่ถ้าถูกพี่ศูรย์ดุ ริณไม่ช่วยนะ”
ไอริณยักไหล่ไม่แยแส แล้วก้มหน้าอ่านนิตยสารต่อ ทิ้งให้เรณูกลุ้ม ไม่รู้จะทำยังไงดี
ไอศูรย์เดินกระแทกเท้าตึงๆ ออกมาจากในบ้าน เห็นอำพลยืนรอขึ้นรถอยู่ มีสุนทรเป็นคนขับ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พ่อสั่งสุนทรไว้แล้ว ถ้ามีอะไรให้บอกไปทางโน้น”
“ใช่ครับคุณไอศูรย์ ผมจะคอยจับตาดูให้” สุนทรว่า
ไอศูรย์หันกลับไปมองในบ้านอย่างระแวง เห็นอริสราออกมายืนส่ง อำพลโอบไหล่ลูกพาขึ้นรถไป
อริสรายืนมองรถของไอศูรย์ที่แล่นออกไปจนลับตา แล้วเดินออกจากบ้านทันที
ไอริณกับเรณูที่เดินตามออกมามองอริสราอีกทอด
“เห็นไหมคะ ผิดจากที่ริณคิดเมื่อไร พี่ศูรย์ยังไม่พ้นรั้วบ้านก็แล่นออกไปหาพี่อิศร์แล้ว” ไอริณแขวะ
เรณูส่ายหน้า อ่อนใจทั้งลูกชายและลูกสะใภ้
ขณะที่ป้าดวงละงานเด็ดผักอยู่ ต้องเงยหน้าตอบคำถามอริสราที่เข้ามาหาถึงในครัว
“คุณอิศร์ไม่อยู่หรอกค่ะ”
“ไปไหนจ๊ะ”
ป้าดวงมองอริสราอย่างหมั่นไส้นิด ที่มาจิกถามเรื่องอิศร์ทั้งที่ตัวเองเป็นเมียไอศูรย์
“ไปดูหนังกับเพื่อนค่ะ”
อริสราระแวง “เพื่อนที่ไหน ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
คราวนี้ป้าดวงไม่ตอบ แต่มองอริสราเป็นเชิงตำหนิ อริสรารู้สึกตัว รีบแก้
“เผื่อฉันจะรู้จักน่ะ”
“ป้าไม่ทราบหรอกค่ะ”
ดวงตอบสั้นๆ แล้วเด็ดผักต่อ ทำเหมือนอริสราไม่มีตัวตนอีก
อริสราแอบหงุดหงิด อยากหาอิศร์
ฟากแพรพลอยกับอิศร์นั่งดูหนัง ท่าทางแพรพลอยลุ้นๆ กับหนังตรงหน้า หนังเรื่องนี้เป็นผี ตื่นเต้น สุดสยอง แพรพลอยเผลอเอื้อมมือจับแขนอิศร์ที่วางอยู่ตรงที่พักแขนไม่รู้ตัว
อิศร์เหลือบมองแพรพลอยที่ลุ้นๆ แล้วอมยิ้ม เสียงดนตรีในโรงดังกระแทก คนทั้งโรงวี๊ดลั่น แพรพลอยสะดุ้งตามแล้วเอนตัวแทบจะกอดอิศร์
อิศร์กระซิบ “ปล่อยผมได้หรือยัง ผมเจ็บ”
แพรพลอยรู้สึกตัวหันไปมอง เห็นอิศร์ยื่นหน้าเข้ามากระซิบ เลยรีบผละออก ทำไม่รู้ไม่ชี้ อิศร์มองแพรพลอยยิ้มๆ แล้วดูหนังต่อ
หนังจบแล้ว แพรพลอยกับอิศร์เดินออกมาจากในโรง
“คุณนี่แปลก กลัวผีขนาดนี้แล้วยังจะดูหนังผีอีก”
“ใครว่าฉันกลัว”
“ถ้าไม่กลัวจะจิกแขนผมขนาดนี้เหรอ”
อิศร์เปิดให้ดูแขนที่เป็นรอยจ้ำๆ แดงๆ แพรพลอยมองอึ้ง รู้สึกผิด
“ฉันขอโทษ คุณเจ็บหรือเปล่า”
“ไม่มากหรอก กินข้าวซักมื้อก็หาย”
แพรพลอยทำหน้างงกับตรรกะของเขา อิศร์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ผมหมายถึงคุณเลี้ยงข้าวผมซักมื้อก็คงหาย”
“หาเรื่องละ”
“ก็ผมหิว คุณไม่หิวเหรอ” อิศร์แกล้งทำสำออย “โอ๊ย เจ็บแขนด้วย ถ้าไม่ได้กินข้าว ร่างกายก็ไม่มีสารอาหารมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ”
แพรพลอยส่ายหน้า อีตาบ้า
“คุณอยากกินอะไร ก็นำไปสิ”
แพรพลอยเดินนำไปท่าทางรำคาญๆ อิศร์อมยิ้มแบบผู้ชนะ แล้วเดินตาม
ไม่นานนักพนักงานนำอาหารที่อิศร์สั่งมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ อิศร์ยิ้มกริ่ม
“ผมไม่เกรงใจละนะ ร้านนี้มีแต่ของอร่อยๆ”
อิศร์ตักอาหารใส่ปาก แล้วชี้คะยั้นคะยอ
“กินสิคุณ”
แพรพลอยมองหน้านิ่งๆ แล้วยกมือเรียกพนักงาน
“เช็คบิลเลยค่ะ”
อิศร์กำลังกินเพลินๆ สำลักพรวด มองหน้าแพรพลอยอย่างอึ้งๆ
“ว่าไงนะ”
แพรพลอยบอกหน้าตาย “ก็คุณอยากให้ฉันเลี้ยงข้าว ฉันก็พาเลี้ยงแล้วนี่ไง”
แพรพลอยพูดพลางเปิดกระเป๋าจ่ายเงินให้พนักงานเสิร์ฟ
“กินไปให้หมดนะ ฉันต้องไปแล้ว ขอให้อร่อย”
แพรพลอยพูดจบก็ลุกเดินออกไปทันที
“อ้าว เดี๋ยวสิคุณ แล้วผมจะกินยังไงหมดล่ะ”
อิศร์มองตามแพรพลอยอึ้งๆ แล้วมองอาหารเต็มโต๊ะ
แพรพลอยเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์ตรงหน้าร้าน หยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม เตรียมขับออกไป โทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล ว่ายังไงกรณ์” หล่อนฟังแล้วตกใจ “อะไรนะ”
แพรพลอยรีบเข้ามาในห้อง เห็นอัมพานอนป่วยอยู่ มีกรณ์เฝ้าอยู่ข้างๆ
“เป็นยังไงบ้างคะแม่”
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอก” อัมพามองกรณ์เป็นเชิงตำหนิ “กรณ์คงโทรไปทำเสียงตกอกตกใจล่ะสิ”
กรณ์บอกกับแพรพลอย “ไม่ตกใจได้ยังไงล่ะ แม่กำลังสอนการบ้านเด็กๆ อยู่ดีๆ ซักพักก็ปวดท้องจนทรุดไปเลย พวกเราแตกตื่นกันหมด”
“แล้วหมอว่ายังไงบ้าง”
“พรุ่งนี้หมอเฉพาะทางถึงจะเข้ามาดู”
“แม่ไม่อยากค้างเลย เป็นห่วงเด็กๆ”
แพรพลอยกับกรณ์สบตากัน ก่อนที่แพรพลอยจะตัดสินใจ
“เดี๋ยวแพรไปอยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ เองค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”
อัมพามองแพรพลอย แล้วพยักหน้าจำยอม
คืนเดียวกัน ขณะที่อริสรานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก พอเห็นอิศร์เดินเข้ามาก็รีบลุกไปหาอย่างดีใจ
“อิศร์”
อิศร์ชะงักมองอริสราอย่างแปลกใจ
“กลับซะค่ำเลย ทานข้าวมาหรือยังคะ อริสรออยู่”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“อริสยังไม่ได้ทานเลยค่ะ อิศร์นั่งทานเป็นเพื่อนอริสหน่อยนะ
อิศร์มองอริสราอย่างอึดอัด เพราะไม่อยากให้อริสราเข้ามาหาตนเองถึงในบ้าน สายตาเหลือบไปเห็นป้าดวงที่เดินผ่านมามองอย่างกังวลเช่นกัน
สองคนอยู่ที่โต๊ะอาหาร อิศร์นั่งร่วมโต๊ะกับอริสราอย่างอึดอัด ส่วนอริสราพยายามตักอาหารให้อิศร์ทั้งที่เขาไม่ยอมแตะแม้แต่คำเดียว
“คุณศูรย์ไปประชุมที่ฮ่องกง 3 วัน อริสก็เลยไม่มีเพื่อนทานข้าว อิศร์คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าอริสจะขอมาฝากท้องที่นี่บ้าง”
“ตามสบาย แต่คราวหลังอริสไม่ต้องรอผมหรอกนะ ถ้าหิวก็ให้ป้าดวงจัดโต๊ะได้เลย”
อริสราฝืนยิ้ม รู้ว่าอิศร์พยายามบ่ายเบี่ยง ไม่อยากจะอยู่ตามลำพังกับตนเอง
“ป้าดวงทำอาหารอร่อยไม่เคยเปลี่ยนเลย อริสว่าจะรบกวนให้แกทำอาหารไปทำบุญให้พ่อกับแม่ที่วัดพรุ่งนี้เช้า”
“งั้นผมจะไปบอกป้าดวงให้นะ”
อิศร์ถือโอกาสจะลุกไป แต่อริสราจับมืออิศร์ไว้
“อิศร์ไปกับอริสด้วยนะ”
อิศร์อึ้งๆ เอาแล้วไง
“คือ...อริสยังเจ็บแขนจากเมื่อวานอยู่เลย ขับรถไปเองไม่ไหว”
อริสราส่งสายตาเว้าวอนใส่อิศร์ จนอิศร์ใจอ่อน
“ก็ได้ครับ”
อริสรายิ้มดีใจ อิศร์พยายามเลี่ยงไม่กล้าสบตา เพราะกลัวถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาอีก
คืนนั้นป้าดวงที่กำลังตลบผ้าคลุมเตียง จัดที่นอนให้อิศร์ ปากก็พร่ำบ่น
“เฮ้อ คุณอริสนี่น้า หาเรื่องให้พี่น้องตีกันซะจริงเชียว”
“ไม่มีอะไรหรอกครับป้า ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
“ป้ากลัวคุณจะใจอ่อน ที่จริงคุณอริสแกก็น่าสงสารนะคะ ป้าดูออกว่าแกไม่ได้มีความสุขกับชีวิตคู่นักหรอก แต่ในเมื่อแต่งงานแต่งการไปแล้ว ก็ต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่คอยวิ่งหาคุณอยู่เรื่อย”
“อริสคงจะเหงาน่ะครับ”
“บ้านนั้นก็มีทั้งคุณเรณู ทั้งคุณไอริณนะคะ เธอไม่เอาใครเลยมากกว่า วิ่งหาแต่คุณ”
ดวงทำกระฟัดกระเฟียด อิศร์เข้าไปกอดอ้อน
“แต่ไม่ว่าจะยังไง เรื่องของผมกับอริสก็เป็นแค่อดีตครับป้า ผมมีแต่ความหวังดีให้เขาในฐานะเพื่อนเท่านั้นเอง แล้วถ้าเพื่อนไม่มีน้ำใจเพื่อน มันก็คงไม่ถูกต้องจริงไหมครับ”
ดวงมองหน้าอิศร์ กังวลนิดๆ ที่อิศร์ยังคงไปข้องเกี่ยวกับอริสรา
เช้าวันต่อมา เด็กกำพร้ากลุ่มใหญ่ 5-6 คน ของบ้านโอบไอรัก แต่งชุดนักเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย นั่งกินข้าวบนโต๊ะยาวหน้าบ้านพัก แพรพลอยเดินเข้ามา แล้วหยิบซองเงินค่าขนมให้ทีละคน
เด็กชายไหว้ “ขอบคุณครับพี่แพร”
“ตั้งใจเรียนกันนะจ๊ะ แม่อัมพาจะได้ภูมิใจรู้ไหม”
แพรพลอยขยี้หัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู แล้วเดินแจกซองต่อให้เด็กสาวชุดนักศึกษา ชื่อแก้ว
“แก้ว นี่เป็นเงินค่าเทอมนะจ๊ะ เอาไปจ่ายซะ เดี๋ยวจะไม่มีสิทธิ์สอบ”
“ขอบคุณค่ะพี่แพร”
แก้วยกมือไหว้ แล้วกอดแพรพลอยอย่างดีใจ
“ไป รีบไปเรียนกันได้แล้ว”
เด็กๆ เตรียมจะพากันออกไป แพรพลอยเพิ่งสังเกตว่ายังเหลือเงินอยู่อีกซอง พอพลิกดูชื่อหน้าซองก็เห็นว่าเป็นชื่อเปี๊ยก
“เอ๊ะ เปี๊ยกไปไหน ทำไมไม่มารับเงิน มีใครเห็นบ้างจ๊ะ”
พวกเด็กๆ มองหน้ากัน แล้วส่ายหน้า ไม่มีใครรู้
เด็กนรก1 วิ่งถือกระเป๋าถือกับโทรศัพท์เข้ามาหลังศาลา
“ได้มาแล้วโว้ย”
เด็กนรกอีกสองคนวิ่งเข้ามาแย่งดูอย่างตื่นเต้น
“เก่งจริงว่ะไอ้แจ็ค ได้มาทั้งกระเป๋าเลยเหรอ” เด็กนรก 2 อวยใหญ่
“ดีๆ เดี๋ยวขายเอาเงินมาเล่นเกมกัน” เด็กนรก 3 ว่า
เปี๊ยกปรี่เข้ามารวมกลุ่ม เปี๊ยก เป็นเด็กกำพร้าจากมูลนิธิ “บ้านโอบไอรัก” ของอัมพา ช่างพูด ฉลาดเฉลียว คล่องแคล่ว เอาตัวรอดเก่ง ซุกซน เกเรบ้างเป็นบางครั้ง แต่พื้นฐานเป็นเด็กจิตใจดี
“ขอเล่นด้วยสิ”
เด็กนรกทั้งสามมองหน้าเปี๊ยกขวางๆ
“เฮ้ย อะไรวะไอ้เปี๊ยก งานไม่ทำแต่จะเอาส่วนแบ่ง ไม่ให้โว้ย”
“โธ่ ขอยี่สิบก็ได้เอ้า” เปี๊ยกอ้อน
“ถ้าอยากได้ก็ต้องออกแรงเองโว้ย” เด็กนรก 2 บอก
เด็กนรก 3 เสริม “ใช่ ถ้าแกอยากอยู่แก๊งพวกเรา ก็ต้องโชว์ฝีมือหน่อย”
เปี๊ยกมองเพื่อนทั้งสามอย่างลังเล รู้ว่าไม่ถูกต้อง แต่อีกใจก็อยากเข้ากลุ่ม
เปี๊ยกกับเพื่อนๆ เด็กนรก 3 คน โผล่หน้ามาจากข้างศาลาวัด มองไปที่บันไดศาลา เห็นรองเท้าเรียงรายอยู่ด้านนอก
เด็กนรก 1 สั่ง “งานแรกของแก เอาง่ายๆ ก่อน” พลางชี้ให้ดู “แกเห็นรองเท้าคู่นั้นไหมไอ้เปี๊ยก ส้นสูงสีดำน่ะ”
เปี๊ยกมองไปตามที่เพื่อนบอก เห็นรองเท้าคู่นั้นดูเด่นเป็นสง่า
“ของแพงนะโว้ย ไปเอามา” เด็กนรก 1 ย้ำ
เปี๊ยกอิดออด “แต่ว่า...”
เด็กนรก 2 เอ่ยขึ้น “เอ้าไอ้นี่ ตกลงจะเข้าแก๊งพวกเราป่าววะ”
เปี๊ยกมองทั้งสาม กดดันหนัก
เปี๊ยกเดินย่องๆ เข้ามาใกล้กับบันไดศาลา แล้วหันไปมองด้านข้าง เห็นเพื่อนทั้งสามซุ่มอยู่ ส่งสัญญาณมือให้กำลังใจ
เปี๊ยกลังเล ทำเป็นเดินเตร็ดเตร่ไปใกล้รองเท้า มองซ้ายมองขวา แล้วหันมองเพื่อนอีกที
เด็กนรก 3 คนพยักเพยิดให้เปี๊ยกหยิบ เปี๊ยกมองอย่างลังเลแล้วค่อยๆ ก้มลงหยิบรองเท้า แล้วรีบวิ่งออกมา หญิงเจ้าของรองเท้าเดินออกมาเห็นพอดี
“หนู รองเท้าฉัน”
เปี๊ยกชะงักหันไปมอง แล้วหันกลับมาหาเพื่อน แต่เด็กนรกทั้งสามวิ่งกระเจิงเอาตัวรอดไปแล้ว
เปี๊ยกตกใจ ละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก หญิงตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย ขโมย ! เด็กขโมยรองเท้า ช่วยด้วย”
เปี๊ยกยิ่งตกใจวิ่งเตลิดไปโดยมีรองเท้าติดมือไปด้วย ชาวบ้านแถวนั้นหันมอง
เปี๊ยกวิ่งซ่อกแซ่กไปตามมุมต่างๆ ในวัดอย่างช่ำชอง แล้วคอยมองหาเพื่อน 3 คน แต่ไม่เจอ
ระหว่างที่ละล้าละลัง หญิงเจ้าของรองเท้าก็วิ่งมากับพลเมืองดี
“อยู่นั่นค่ะ มันอยู่นั่น”
เปี๊ยกตกใจรีบวิ่งออกไปนอกวัด
เปี๊ยกวิ่งหันรีหันขวางออกมาถนนใหญ่หน้าวัด เห็นหญิงเจ้าของรองเท้ากับพลเมืองดีวิ่งตามอีก ก็รีบหนีต่อ อิศร์ขับรถมาตามถนนโดยมีอริสรานั่งมาด้วย จู่ๆ เห็นเปี๊ยกโผล่พรวดออกมาจากข้างทาง
อริสราร้องบอก “อิศร์ ระวังค่ะ”
อิศร์เหยียบเบรกสุดแรง จนหน้าเกือบกระแทกพวงมาลัย พอเงยหน้ามองอีกทีก็ไม่เห็นเปี๊ยกแล้ว
“เฮ้ย”
อิศร์ใจไม่ดี รีบเปิดประตูรถลงไปดู อริสรารีบตามลงไป
อ่านต่อตอนที่ 2