สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 14
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถนนในเมืองจันทบุรี โดยมีรถกระบะวิ่งไล่จี้ตามมาใกล้ๆ หรั่งรับรู้เขาเร่งความเร็วมอเตอร์ไซค์หนีอย่างไปรวดเร็ว
รถกระบะเร่งความเร็วไล่ตามไม่ห่าง เมื่อถึงทางเบี่ยง หรั่งเลี้ยวมอเตอร์ไซค์ลงข้างทาง รถกระบะก็ลุยตามเข้าไปในดงหญ้า มอเตอร์ไซค์หรั่งเสียหลักล้มลง รถกระบะปราดเข้าประชิดตัว มือปืน 5-6 คน โผล่ขึ้นมาจากกระบะหลัง พร้อมอาวุธครบมือ มันสาดกระสุนใส่หรั่ง ไม่ยั้งมือ
จู่ๆ รถไถนาคันใหญ่ เร่งเครื่อง แล่นเข้ามาขวางไว้ กระบะบรรทุกมือปืนจึงรีบเคลื่อนออกไป หรั่งรอดตายมาได้หวุดหวิด
ชายผู้ขับรถไถกระโดดลงมาพยุงตัวหรั่งขึ้น เขาคือ อดีตผู้จัดการธนาคารที่เคยเกื้อกูลหรั่งนั่นเอง
“ผู้จัดการ” หรั่งทั้งดีใจ และคาดไม่ถึง
“ไม่เห็นมาเปิดบัญชีกับพี่ซักที รอจนเบื่อแล้วนะ” ผู้กัดการยังอารมณ์ดีเช่นเคย ขณะในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
เวลาเดียวกันนั้นที่เซฟเฮ้าส์แห่งนั้น แลเห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่หัวเตียงนอน มีเสียงเรียกเข้าดังเป็นท่วงทำนองเฉพาะ มือของชายหนุ่มยื่นเข้ามายกโทรศัพท์เครื่องนี้พูด เขาคือตะวันฉาย ที่นอนซุกกายอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่
“ฮัลโหล...คุณอา มีอะไรเหรอครับ...ร้อนใจแต่เช้าเลยเหรอครับคุณอา”
แสงเทพอยู่ที่บ้านเดินพูดโทรศัพท์ งุ่นง่าน
“ไม่ได้เพิ่งร้อนนะหลาน...อาร้อนใจมาหลายวันแล้ว...พักนี้โดยไล่บี้จากหลายด้าน...เด็กที่ส่งไปเก็บไอ้หรั่ง ก็ทำไม่สำเร็จ ไม่รู้มันจะโผล่มาปูดเรื่องราวอะไรเมื่อไหร่...อาก็เลยคิดว่าถ้าเราเทคโอเวอร์ M.S.ของมันได้เร็วเท่าไหร่ ข่าวคราวต่างๆ ก็น่าจะเงียบลงเร็วเท่านั้น”
“ผมก็พยายามตามเรื่องให้อยู่ครับคุณอา...คุณอาต้องใจเย็นซักนิดนึงนะครับ...เชื่อผมสิครับ ไอ้บริษัท M.S. มันคิดอะไรช้าอย่างนี้เสมอ...แต่คนของผมในนั้นบอกว่า มันกำลังแย่กำลังขาดเงินทุนอย่างหนัก”
“ถ้างั้นก็ดี หลานชายเร่งให้เร็วหน่อยก็แล้วกัน แต่อามีเรื่องต้องรบกวนอีกเรื่องนึง คือทางฝ่ายกฎหมายเขาแนะนำอามาว่า ยังไม่ควรเปิดตัวเรื่องเข้าไปเทคโอเวอร์ M.S. เพราะนักข่าว ตามไล่บี้อาอยู่...เพราะฉนั้น ช่วงแรกอาอาจต้องอาศัยชื่อและเครดิตของหลานชายไปก่อนจะลำบากมั้ย”
“ไม่ลำบากตรงไหนเลย เงินของอา ชื่อเป็นของผม...โอเค.คร้าบ”
“เป็นนอมินีให้อาหน่อยนะ หลานชาย”
“ไม่มีปัญหาครับ”
“แล้วก็บอกพ่อของหลานด้วยนะ เพลาๆ การให้สัมภาษณ์ที่มันพาดพิงถึงอาหน่อย...อย่า
ลืมว่าแผนการทั้งหมดน่ะ เรามีส่วนร่วมกันครึ่งๆ นะหลานชาย อาไม่ยอมฉิบหายคนเดียวหรอก จำไว้...อ้อ ดูแลแองจี้หลานอาให้ดีด้วย...อย่าทำให้เธอต้องเสียใจ...ไม่งั้นละ น่าดู”
ตะวันฉายกดยกเลิกสายโทรศัพท์ แสยะยิ้มเล็กน้อย เดินไปรับแองจี้ที่นอนเมายา เปลือยแผ่นหลังอยู่บนเตียงเดียวกันนั้นเอง
เหตุการณ์ในบ้านสวนของผู้จัดการแบงค์ หรั่งล้างหน้าล้างตัวอยู่ ผู้จัดการยกน้ำดื่มมาวางให้หรั่ง...เขายังดูเป็นคนอารมณ์ดีเหมือนเดิม แต่เพิ่มร่องรอยความกร้าน สมบุกสมบันมากยิ่งขึ้น
“หลังจากที่นายก้าวออกไปจากธนาคารของฉันวันนั้น ฉันก็กลายเป็นคนขี้เบื่อขึ้นมาเฉยๆ...อยู่ๆ ก็อยากหาอะไรที่มันท้าทายทำบ้าง สงสัยจะเลียนแบบนายว่ะ นายหรั่ง”
“แต่ผมไม่ได้ทำไร่อย่างผู้จัดการนี่ครับ”
“แต่นายมีความมุ่งมั่นที่ฉันแอบยึดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง...นั่นแหละคือที่มาของสวนผลไม้ 150 ไร่ ของฉันวันนี้”
“กำไรดีมั้ยครับ”
“อาจจะน้อยกว่าพลอยทั้งหมดที่นายถือมา บวกกับรางวัลนำจับนายว่ะ นายหรั่ง นาคำ”
หรั่งขมวดคิ้ว ด้วยความสงสัยในคำพูดของอดีตผู้จัดการแบงค์ ปิยมิตรในชีวิตของเขา
เวลานั้นที่หน้าบ้านพักผู้จัดการ มีรถตำรวจกระจายกันเข้ามาล้อมบ้านสวนไว้อย่างเงียบเชียบ
กันทิมายืนพูดโทรศัพท์อยู่ในบ้านเผ่าลาภ
“ค่ะ ขอบคุณค่ะท่าน...เราจะรอฟังข่าวจากทางเจ้าหน้าที่นะคะ สวัสดีค่ะ”
กันทิมาวางหูโทรศัพท์ สีหน้าท้อแท้ ส่วนในห้องอาหาร แพรวาและลินจงนั่งทานอาหารเช้ากันเงียบๆ ส้มยืนดูแลอยู่ห่างๆ กันทิมาเดินเข้ามาในห้องนี้ แพรวาและลินจงเงยหน้ามอง เป็นเชิงถาม
“ตำรวจเจอตัวนายหรั่งแล้วค่ะ”
“เจอที่ไหน”
“ตลาดพลอยที่เมืองจันท์ พลอยและจิเวลรี่ทั้งหมดของเราอยู่ที่นั่น...นายหรั่งขายไปหมดเกลี้ยงเลย”
“เฮ้อ...ความโลภนี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ”
แพรวาก้มหน้าลงนิ่ง
“แล้วตำรวจจับตัวนายหรั่งรึยัง” ลินจงถาม
“ยังค่ะ...เจ้าหน้าที่ยังสะกดรอยตามอยู่ เผื่อจะสาวไปถึงตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด”
แพรวาขยับตัวลุกขึ้นยืน
“น้องแพรจะไปโรงพยาบาล แล้วจะเลยไปที่วัดเลยนะคะ”
“ส้ม ไปดูนายสยามซิ” ลินจงหันมาทางส้ม
“น้องแพรขอขับรถเองค่ะ” แพรวาเดินออกไปเลย
กันทิมาครวญ “ไม่น่าเชื่อเลย”
“โลกนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่ออีกเยอะ คุณกันเอ๊ย...”
แพรวาขับรถไปตามท้องถนนแสนเหงา เธอพยายามปล่อยใจให้เป็นไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ ทว่า ภาพเหตุการณ์ของคนที่เธอไว้ใจก็ทยอยผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มันผุดซ้อนขึ้นมาราวสายน้ำไหลผ่านแววตาเหงาเศร้าของแพรวา
เริ่มจากเหตุการณ์ที่เธอรู้จักเขา ตอนตัดสินใจใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์ของหรั่ง เพื่อไปให้ทันนัดกับตะวันฉาย
“งั้นก็เอาเลย เร็ว”
“โอ.เค. อย่าปล่อยมือจากผมนะครับ แล้วคุณจะได้สิ่งที่คุณต้องการ”
“ไปเลย อย่าพูดมากน่า”
ขณะแพรวารีบร้อนขึ้นบันไดเลื่อนตึก สาธร แสควร์ หรั่งตามมา
“คุณแพรวาครับ...ดอกไม้ของคุณ”
แพรวารับดอกไม้จากมือหรั่งช้าๆ
“ขอบใจมาก โชเฟอร์”
ตามด้วยที่งานบวชในวัด ตอนเธอตามหา หรั่ง นาคำ
“ในนี้มีใครชื่อหรั่งมั้ยคะ”
หรั่งในชุดลายเสือค่อยๆถอดหัวเสือออก
“ผมเองครับ”
ฉากบนชิงช้าสวรรค์ผุดตามมาติดๆ
“รู้ด้วยว่าคุณป๋าฉันทำเหมือง”
“ผมท่องเรื่องราวของคุณได้ไม่น้อยเลยครับ....ก็คุณเป็นคนดังนี่ครับคุณแพรวา”
ริมถนนในวันที่เธอถูกตะวันฉายทิ้งลงกลางทาง จนมาเจอหรั่ง และหรั่งปลอบใจพร้อมชูพวงกุญแจไอ้มดแดงให้ดู
“นายเป็นฮีโร่ของฉันเหรอ”
“ทำไมมานั่งร้องไห้ตรงนี้”
“คนเราเลือกที่ร้องไห้ได้ด้วยเหรอ”
“เราเลือกที่จะไม่ร้องไห้ได้”
“ไม่จริงหรอก...ฉันเป็นคนช่างเลือกจะตาย...ตอนนี้ยังดูเหมือนกับว่าฉันเลือกผิดเลย”
เหตุการณ์ที่ริมบึงน้ำผุดซ้อนเข้ามา หรั่งและแพรวากระโดดโลดเต้นกระโดดเหยียบเงาพระจันทร์ในน้ำ พลัน เงาดำของเมฆบดบังดวงจันทร์จนหมดสิ้น
“ผมบอกแล้ว...ช่วงเวลาดีๆมักจะโผล่มาให้เราเห็น สั้นๆ เพียงแว้บเดียว”
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครเห็นแบบเดียวกับที่ฉันเห็น และเล่นแบบเดียวกับที่ฉันเล่น...โดยเฉพาะนาย”
ริมถนนเดิมคืนนั้น
“ผู้ชายแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ...มันจะต่างไปคนละแบบ”
“นายเป็นแบบไหน”
“ไม่รู้สิครับ...ไม่มีใครมองตัวเองออกหรอกครับ ต้องให้คนอื่นมอง...เหมือนที่ผมไม่เคยรู้ว่ามีหน้าเหมือนไอ้มดแดง”
บนดาดฟ้า
“หลับตาให้สบายเถอะครับ หลับไปให้นานเท่าที่คุณปรารถนา...เมื่อใดที่คุณลืมตาขึ้นมา คุณจะมี
ผมอยู่เบื้องหน้าเสมอ”
“ฉันถือเป็นสัญญานะ”
“มันคือคำสาบานครับ”
ที่ลานโล่งใต้ทางด่วน เด็กๆ มากมายที่วิ่งเล่นเตะฟุตบอลอย่างสนุกสนาน รถแพรวาเคลื่อนเข้ามาจอดริมถนน แพรวา ลดกระจกรถลง มองทอดสายตาออกมาภายนอก เห็นกลุ่มเด็กกำลังวิ่งไล่ลูกฟุตบอลอยู่ มีหรั่งเลี้ยงลูกบอลหนีเด็กๆเหล่านั้น
แพรวาเพ่งสายตามองมากขึ้น
สุดท้ายร่างของหรั่งค่อยๆ เลือนออกไปจากภาพนั้น
ศพเผ่าลาภตั้งเด่นอยู่ในศาลาวัด สภาพศาลายามนั้นเงียบเชียบ ไร้ผู้คน ด้วยเหตุที่ยังเป็นเวลากลางวัน ใกล้ๆ รูปเผ่าลาภ ชายคนหนึ่งก้าวเข้ามาลงนั่งต่อหน้ารูปนั้น เขาคือ บารมี
สีหน้าของเขาแสดงความสะเทือนใจออกมาให้เห็น ด้านหลังมีลุงแก่ๆ คนหนึ่งเดินกวาดศาลาอยู่
“จะไหว้ศพเหรอ...ยังหัววันอยู่เลย เจ้าภาพเขายังไม่มาหรอก...มาอีกทีตอนค่ำๆ สิ มีข้าวต้มเลี้ยงด้วย...หรืออยากไหว้เลย จะไปหาธูปให้...เอามั้ย”
“ไม่เป็นไร”
เสียงรถดัง แล่นเข้ามา บารมีหันไปมองนอกศาลา เห็นเป็นรถตู้บริษัท M.S. แล่นเข้ามาจอด
กันทิมาและลินจงก้าวลงมาจากรถตู้คันนั้น
ลินจงเดินถือธูปห่อใหม่ และอุปกรณ์สำคัญอื่นๆ ตรงมายังที่ตั้งศพ เธอเดินมาจนถึงหน้าโลง
เมื่อลินจงมาถึง บารมีหายตัวไปจากบริเวณนั้นแล้ว
อีกมุมหนึ่งในศาลา กันทิมาเดินเข้าหาพนักงาน M.S. สามสี่คน พวกเขากำลังยืนล้อมวงกันอยู่ กันทิมายื่นกระดาษสองสามแผ่นให้พนักงาน
“รีบพิมพ์เป็นประกาศติดให้ทั่วบริษัท...แล้วก็โทร.แจ้งพนักงานระดับหัวหน้าฝ่ายและรองทุกคน ให้ทุกคนเข้าทำงานตามปกติหลังงานศพคุณเผ่าลาภ...”
พนักงานถามอย่างเกรงใจ “บริษัทเรายังไม่ปิดกิจการใช่มั้ยคะ”
กันทิมาสูดลมหายใจลึกๆ
“ตอนนี้ ยัง”
พนักงานเดินแยกออกไป กันทิมาลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ตัว หยิบยาดมออกมาสูดดมแก้วิงเวียน
ชาติชายเดินเข้ามาข้างหลังเธออย่างเงียบเชียบ
“คุณน่าจะได้พักซะบ้าง”
“ก็น่าจะได้พักพอๆ กันทุกคนล่ะค่ะ”
ชาติชายลงนั่งข้างๆ กันทิมา
“หลังจากวันนั้น ที่คุณไปหาผมที่เหมือง...เรายัง...ไม่ได้คุยกันอีกเลย”
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่คะ”
“เฮียหั่งมาไหว้ศพรึยัง”
กันทิมาส่ายหน้า “ยังไม่เห็น” แล้วลุกขึ้นขยับจะเดินออก
“แก้ม เป็นเพื่อนยายตอง...เป็นเด็กมีปัญหาคนนึงที่ผมช่วยเหลือไว้...ตอนนี้ไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว”
“บอกฉันทำไม”
“เผื่อคุณอยากจะรู้เรื่องราวของผมบ้าง”
“ฉันไม่เคยสงสัยอะไรในตัวคุณเลย ชาติ”
“ผมอยากเริ่มต้นใหม่...”
กันทิมาหยุดยืนนิ่ง...ความรู้สึกบางอย่างจุกแน่นที่หน้าอกจนก้าวขาไม่ออก
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ”
กันทิมารีบเดินออกไปจากจุดนั้น ก่อนจะต้องตัดสินใจอะไรมากไปกว่านี้
ตำรวจสายตรวจ สองนาย รับคำสั่งทางวิทยุ แล้วขับรถออกไป
ส่วนบนศาลาวัด เสียงความคิดของแพรวาดังก้องขึ้น
“ผู้ชายที่มีอิทธิพลกับชีวิตของน้องแพร นอกจากคุณป๋าแล้วก็มีอีกเพียงสองคนเท่านั้น...คนแรกคือคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคนรัก เป็นแฟน เป็นเนื้อคู่ คุณป๋าไม่ทันได้รู้หรอกว่าเขาทิ้งน้องแพรไปอย่างไร...”
ชายหน้าแปลกสามคนเดินตรงเข้าไปที่ศาลา พวกเขาเอ่ยปากถามกับคนในศาลาที่อยู่ใกล้ๆตัว
“โทษครับ ผมมาหาคุณลินจงครับ...คนไหนคุณลินจง”
ผู้คนแถวนั้นช่วยกันมองหา
บริเวณหน้าโลงศพ แพรวาช้าๆ นั่งพนมมือพร้อมด้วยธูป ไหว้ศพคุณป๋าอยู่ เสียงแพรวาดังก้องอยู่ในใจของเธอ
“ผู้ชายอีกคน เป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า โกฮุ้งชอบเรียกว่าพวกไม่มีสกุลรุนชาติ...แปลกที่น้องแพรเชื่อใจเขามาตลอด ไว้ใจเขาทุกเรื่อง ถึงขนาดยกให้เขาเป็นฮีโร่ของน้องแพร...มีหลายครั้งที่เขาทำอะไรที่น้องแพรคิดไม่ถึง หลายครั้งที่เขาทำให้หัวใจของน้องแพรกระเจิดกระเจิงไปไกล...แต่มาตอนนี้ความจริงได้ประจักษ์แล้ว ว่าเขาคือผู้ชายลวงโลก หลอกลวงอย่างร้ายกาจ...น้องแพรอยากให้คุณป๋าได้เห็นว่าคนเก่งของคุณป๋าคนนี้แท้จริงเป็นอย่างไร...อย่างน้อยคุณป๋าก็คงจะบอกน้องแพรได้ว่าควรจะทำอย่างไรกับวีรบุรุษจอมปลอมคนนี้บ้าง”
แพรวา ค่อยๆ ปักธูปดอกใหญ่นั้นลงไป
ที่หน้าศาลาวัด เห็นรถเก๋งแปลกตาสองสามคันแล่นเข้ามากระจายๆ กันจอดกลางลานจอดรถ ผู้ชายวัยกำลังดี ห้าหกคนลงจากรถคันดังกล่าว พวกเขาอยู่ในชุดเสื้อแจ๊กเก็ตยีนส์บ้าง เสื้อยืดบ้าง ใส่หมวกก็มี ต่างกระจายกันไปรอบๆศาลานี้
ลินจงกำลังยืนพูดกับกันทิมาและชายแปลกหน้ากลุ่มนั้นอยู่
สักพัก ลินจงแยกเดินไปยังแพรวาที่นั่งอยู่ด้านหน้า ลงนั่งข้างๆ หลานสาว ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากเหมือนเป็นอารัมภบท
“ซ้อรำไพเป็นยังไงบ้าง”
“แม่ขอไปอยู่เชียงราย ทนดูงานศพคุณป๋าไม่ได้ หมอก็เห็นว่าดีต่อสุขภาพของแม่”
“อาโกมีข่าวดีสองเรื่องแน่ะ”
“อะไรบ้างคะ”
“อยู่ๆ ก็มีคนจากบริษัทประกันมาหาอาโก เขาบอกว่า เขาสามารถเคลมค่าเสียหายจากบริษัทจินดาเซอร์วิสได้ ที่อบยาให้เราไม่เรียบร้อย”
แพรวาฉงน “เรามีประกันด้วยเหรอ”
“นั่นน่ะสิ อาโกก็ไม่เคยรู้เลย...คุณป๋าของน้องแพรน่ะแหละทำเอาไว้ ไม่รู้ว่าพวกประกันเขารู้เรื่องแล้วก็ตามตัวอาโกจนพบได้ยังไง”
“ข่าวดีจริงๆ ด้วย...อีกเรื่องล่ะคะ”
“สายของตำรวจรายงานว่า นายหรั่งอยู่กรุงเทพฯแล้ว และตอนนี้กำลังมุ่งหน้ามาที่วัดนี้ด้วย”
แพรวาชะงัก ยังพูดอะไรไม่ถูก
มอเตอร์ไซค์คันสวยแล่นเข้ามาจอดกลางลานวัด ชายขี่มอเตอร์ไซค์ถอดหมวกกันน็อคออก เผยให้เห็นว่าเป็นหรั่ง หน้าตาของเขากร้าน เกรียม หรั่งขยับลุกออกจากรถ เดินตรงเข้าไปยังศาลานั้น หน้าตาเครียดผู้คนในศาลาต่างพากัน หันมองจ้องไปที่หรั่ง
ชายในชุดแจ๊กเก็ตยีนส์ ค่อยๆ ตามหรั่งไปเป็นระยะๆ
แพรวานั่งนิ่งสนิท รอคอย
หรั่งเข้ามายืนเยื้องไปทางด้านหลังแพรวา ทรุดลงนั่ง สายตาจับจ้องไปที่โลงศพอย่างล่องลอย
รูปเผ่าลาภที่หน้าโลงศพ เหมือนแฝงรอยยิ้มให้กับหนุ่มสาวทั้งสอง หรั่งก้มลงกราบที่พื้นอย่างเคารพ
“นายหายไปไหนมา”
“ผมขอโทษ”
แพรวาค่อยๆ หันหน้าไปหาหรั่งช้าๆ เธอจ้องมองหน้าเขาเต็มๆ ตา
“ผมขอโทษที่กลับมาหาคุณช้าไป...”
แพรวาเงื้อมือขึ้นสูง ฟาดมันลงไปบนใบหน้าหรั่งอย่างแรง หรั่งเซไปตามแรงตบนั้น
ชายในชุดยีนส์ กรูกันเข้ามาหาหรั่ง ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย หนึ่งในชายเหล่านั้น หยิบกุญแจมือ สับลงบนข้อมือทั้งสองของหรั่ง เสียงดังกังวาน
แพรวาหันหน้ากลับไปมองโลงศพเหมือนเดิม
หรั่งจ้องไปที่แพรวานิ่ง ชายเหล่านั้นพยายามลากตัวหรั่งออกจากศาลา 1 ในนั้น พูดเสียงดัง
“นายถูกตั้งข้อหา ลักทรัพย์ และวางแผนฆ่าโดยเจตนา...มีอะไรไปพูดกันที่โรงพัก”
หรั่งถูกชายเหล่านั้นคุมตัวไปขึ้นรถปิ๊คอัพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
รถปิ๊คอัพขยับตัวเคลื่อนออกไป หรั่งอยู่ในรถคันนั้น เขาชะเง้อมองมาที่แพรวา ทว่า รถคันนั้นค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปในที่สุด
แพรวาความผิดหวังฝังลึกๆ ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้ใครเห็น
เสียงแพรวาดังขึ้น สอดรับกับหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน
“การได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำมาก่อน มันอาจจะหมายถึงการปลดปล่อยเป็นการปล่อยตัวเองให้พ้นออกจากพันธนาการ ที่เกาะเกี่ยวร่างกายและจิตใจมานานแสนนาน”
แพรวาตบหน้าหรั่ง ก่อนที่จะเห็นหรั่งนั่งนิ่งอยู่หน้าโลงศพเผ่าลาภ ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่หรั่งนั่งอยู่หลังกระบะรถตำรวจ กุญแจมือล็อคอยู่ที่ข้อมือของเขา
ผู้จัดการธนาคาร นั่งคุยกับตำรวจอยู่ในบ้าน พลอยดิบมากมายวางเรียงรายเบื้องหน้า ส่วนกัมปนาทนั่งร้องไห้หน้าโลงศพเผ่าลาภ
เสียงแพรวาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แม้พันธะเหล่านั้นจะเคยมีความหมาย จะเคยทำให้เรามีความสุข แม้บางครั้งเราอาจจะโหยหามันแต่สุดท้าย การถอยกลับไปสู่ความอ้างว้าง อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่า”
ชาติชายกับกันทิมานั่งนิ่งอยู่กันคนละมุม
“ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานสักเพียงใด เพราะมันคือการลดความเสี่ยงในย่างก้าวต่อไปของชีวิต”
มีเสียงดังออกมาที่หน้าสถานีตำรวจ
“นายหรั่ง นาคำ บิดา มารดาเป็นใคร ไม่ปรากฏทั้งชื่อและสัญชาติ”
ส่วนภายในสถานีตำรวจ เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวหรั่งเดินตรงเข้าสู่ห้องขัง ร่างของหรั่งถูกดันตัวเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วเจ้าหน้าที่จึงปิดประตู กุญแจล็อคลูกกรงเหล็กนั้น
เสียงชายหนุ่มคนเดิมดังต่อเนื่อง
“มีนายนุ้ย นาคำ ช่างไม้จากศรีษะเกษอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่เยาว์วัย...นายหรั่งอาศัย อยู่กินและเติบโตมากับกองคาราวานช่างก่อสร้าง...มีจิตใจที่ใฝ่รู้ ทะเยอทะยานหมายจะสร้างความร่ำรวยเพื่อลบปมด้อยทางสังคมของตน...”
ขณะเดียวกัน ที่บริเวณวัดเดิม แพรวา ลินจง กันทิมา กัมปนาท ชาติชาย และคนสนิทอื่นๆ
ทุกคนอยู่ในพิธีการของการทำกงเต้ก สวดวันสุดท้าย พิธีการทุกอย่างถูกดำเนินไปตามขั้นตอน เสียงชายหนุ่มคนเดิมดังต่อเนื่อง
“ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกง ทำให้นายหรั่งเข้ามามีตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัท M.S. จากนั้นจึงฉวยโอกาสที่ตนได้รับความไว้วางใจจากประธานบริษัท วางแผนระเบิดลิฟท์เพื่อสังหารท่านประธานอย่างเหี้ยมโหด...”
ที่ไนต์คลับแห่งนั้น บารมีนั่งหน้าเศร้า เครียดจัด เขายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ความว้าวุ่นใจฉายแววออกมาให้เห็นตลอดเวลา เสียงชายหนุ่มคนเดิมดังต่อเนื่อง
“และได้ขโมยเอาพลอยในสต็อกของบริษัท M.S. ทั้งหมด มูลค่าหลายสิบล้านบาท ไปขายให้กับพ่อค้าที่ตลาดพลอยเมืองจันท์...”
ส่วนที่บริษัท M.S. แพรวาเดินเข้าบริษัทโดยลำพังคนเดียว อย่างเงียบเหงา และ วังเวง
“แต่ในที่สุด เป็นเพราะความชะล่าใจของเขาเอง นายหรั่งจึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเอาไว้ได้”
ที่สถานีตำรวจ ร้อยเวรเจ้าของเสียงนุ่มหู นั่งอ่านสำนวนคร่าวๆ นี้
“เมื่อวันที่ 21 ที่วัดใหญ่รามอินทรา ขณะเดินทางมาไหว้ศพนายเผ่าลาภ มหาโชคตั้งศิริ”
หรั่งนั่งฟังอยู่ตรงหน้าร้อยเวร สักครู่ ร้อยเวรเงยหน้ามองหรั่ง
“ตายตอนจบนี่เองนะเรา...ตกลงนายจะเซ็นชื่อรับสารภาพตามนี้มั้ย”
“เซ็นหรือไม่เซ็นจะมีผลอะไรกับผมบ้าง” หรั่งถาม
“เดี๋ยวจะถามผู้พันยุทธให้...ท่านจะลงมารับผิดชอบคดีนี้ด้วยตัวเอง”
ด้านแพรวาเดินตรงไปยังห้องทำงานของเธอ สีหน้าสงบนิ่ง เลขาตามมาใกล้ๆ
“คุณแพรวาคะ เช้านี้มีแขกมาขอพบค่ะ”
“ฉันนัดไว้รึเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นปฏิเสธไปซะ ฉันยังไม่อยากพบใคร”
“แต่...”
แพรวาเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว จนเลขาแสดงความคิดเห็นไม่ทัน
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 14 (ต่อ)
เมื่อแพรวาเดินเข้ามายังโต๊ะทำงาน สายตาหล่อนสะดุดกับอะไรบางอย่างเบื้องหน้า เป็นดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่กลางโต๊ะ แพรวาหยิบดอกไม้ช่อนั้นขึ้นมาดู สีหน้าปกติ ไม่มีอาการดีใจ หรือชื่นชมแต่อย่างใด มือแพรวาเปิดดูการ์ดที่แนบติดมาด้วย
เสียงหล่อๆ ของตะวันฉายดังขึ้นในจังหวะนี้
“นานแล้วที่พี่ไม่เคยส่งดอกไม้ให้สาวใด...หวังว่าทิวลิปช่อนี้คงจะ...”
แพรวาอ่านเท่านี้ก็โยนทั้งดอกไม้และการ์ดลงถังขยะข้างตัวทันที อย่างไม่มีแยแส
เสียงตะวันฉายดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมาจากด้านหลังเธอ
“แน่ใจนะว่าอ่านการ์ดของพี่ครบทุกคำแล้ว”
ตะวันฉายยืนยิ้มโปรยเสน่ห์อยู่ด้านหลังแพรวา
“คิดว่าไม่จำเป็น” แพรวาบอกน้ำเสียงห้วน
“หวังว่าทิวลิปช่อนี้คงจะนำสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเรากลับมาได้อีกครั้ง ระลึกถึงจากก้นบึ้งหัวใจ ของพี่ตะวันฉาย”
“ยากค่ะ”
แพรวาดูเฉยเมย ไม่มีเยื่อใยกับเขาแม้สักนิด
“พี่เข้าใจ”
แพรวาย้อน “แล้วยังจะส่งดอกไม้มาอีกทำไม เสียของเปล่าๆ”
“ดอกไม้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจกับผู้หญิงได้เป็นอย่างดี”
แพรวาหัวเราะเยาะในลำคอ
“ฮึ่ฮึ่!...ครั้งสุดท้ายที่เราพูดเรื่องธุรกิจกัน คุณปล่อยฉันลงจากรถกลางดึก”
“ไม่จริง...หลังจากนั้น เรายังหารือกันเรื่องปลาสลิดส่งออกไง ลืมแล้วเหรอ”
“ส่งออกไปถึงไหนแล้วล่ะคะ”
“พี่เปลี่ยนความคิดแล้ว...ปลามันมีเน่ามีเสีย...มันไม่เหมือนพลอย”
แพรวาหันมองหน้าตะวันฉาย เป็นครั้งแรก เธอพยายามค้นหาความต้องการที่แท้จริงของเขา ตะวันฉายค่อยๆ ใช้มือลูบไล้ตามไรผมของเธอ แพรวาผงะตัวหนีทันที
“เราเลิกกันแล้วนะคะ”
“แต่น้องแพรก็ยังไม่มีใครไม่ใช่เหรอ...ไอ้ผู้ช่วยหน้าจืดนั่นก็โดนจับยัดเข้าคุกไปซะแล้ว...พี่ว่าน้องแพรน่าจะเหงานะ”
แพรวาตัดบท “รีบบอกสิ่งที่คุณต้องการมาให้ฉันฟังดีกว่า...ก่อนที่ฉันจะไม่มีเวลาฟังคุณ”
“ขาย M.S. ซะเถอะ”
“คุณจะซื้อเหรอ”
ตะวันยักไหล่
“เดี๋ยวนี้ทำเพชรทำพลอยเป็นแล้วเหรอคะ”
“บริษัทเทพทอแสงจะเป็นผู้ซื้อ”
“อ้อ...เลิกส่งปลาสลิด เพื่อไปทำธุรกิจกับนายแสงเทพนี่เอง”
“พี่แค่เป็นตัวกลาง ติดต่อให้”
แพรวาจ้องหน้าตะวันฉายนิ่งๆ “แน่ใจนะว่าไม่ได้ร่วมหุ้นทำสิ่งผิดกฎหมายกับเขาด้วย”
“โธ่ เห็นพี่เป็นอะไรจ๊ะแพรวา”
“อย่าให้บอกเลยว่าเห็นเป็นอะไร...”
แพรวาขยับนั่งลงตรงโต๊ะทำงาน โดยไม่สนใจตะวันฉาย
“คำตอบล่ะ”
“ขายเมื่อไหร่จะบอก...เชิญ ดิฉันขอทำงานค่ะ”
ท่าทีหมางเมิน น้ำเสียงเย็นชาของแพรวา ทำเอาตะวันฉายรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย
ส่วนที่สถานีตำรวจ นายดาบตำรวจเดินถือหนังสือพิมพ์ตรงไปยังด้านหน้าห้องขัง เขาส่งหนังสือพิมพ์นั้นให้หรั่ง แล้วเดินไป
“ขอบคุณครับ”
หรั่งเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน หน้าตาสงบนิ่ง เสียงตำรวจดังมาจากนอกห้อง
“เอ้า ใจเย็นๆ ค่อยๆ เดินก็ได้น้องสาว...โถ ตามองไม่เห็นแล้วยังอุตส่าห์จะมาเยี่ยมใครอีกเหรอจ๊ะ”
หรั่งเงยหน้าขึ้น มองไปทันที
“ก้อย”
ก้อยเข้ามาเกาะลูกกรงพูด ถามด้วยหน้าตาร้อนรน
“หรั่ง...หรั่งไม่ได้ทำอย่างที่เขาบอกใช่มั้ยหรั่ง”
ระหว่างหรั่งและก้อยมีลูกกรงเหล็กขวางอยู่ สามเกลอ โบ้ เท่ห์ เช็ง ยืนเยื้องไปทางด้านหลังก้อย
“ก้อยเป็นไงบ้าง เล่าให้ฟังบ้างสิ...”
“ก้อยสบายดี...หรั่ง คุณแพรวาเขาไม่ชอบหรั่งแล้วเหรอ”
หรั่งถอนใจยาวๆ ไม่ตอบ
“ไอ้โบ้ ไอ้เท่ห์ ไอ้เช็ง...พวกมึงเป็นไง”
“ก็งั้นๆ” เช็งบอก
“แต่ไปไหนมาไหนได้มากกว่ามึงว่ะ” เท่ห์ว่า
“พวกเรามีงานประจำทำกันแล้วนะ” โบ้บอก
หรั่งดีใจ “เหรอ”
“ก้อยได้เล่นดนตรีออกทัวร์คอนเสิร์ต พี่โบ้ได้ร้องเพลงด้วย บางทีก็เล่นกีตาร์กับก้อย”
“มึงเก่งว่ะไอ้โบ้” หรั่งดีใจมาก
“บางวันกูได้เป็นคอรัส” เท่ห์คุย
เช็งเอาบ้าง “บางวันกูได้เป็นหางเครื่อง”
เท่ห์สารภาพ “แต่ที่เป็นชัวร์ๆ ก็คือ คนขนเครื่อง”
“ทุกวัน” เช็งเสริม
“พี่เท่ห์ พี่โบ้ พี่เช็งเขาต้องแกล้งทำเป็นตาบอดด้วยละ” ก้อยเล่า
“เรื่องแบบนี้ พวกมันเก่งกันอยู่แล้ว”
ก้อยวกเข้าเรื่องเดิม “คุณแพรวามาเยี่ยมหรั่งบ้างมั้ย”
“ไม่มาหรอกก้อย เขาจะมาทำไม...”
“หรั่งจำไว้นะ ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม ก้อยรู้ว่าหรั่งเป็นคนดีเสมอ”
“ขอบใจจ้ะก้อย”
ก้อยค่อยๆ ล้วงเอากล่องของขวัญเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า
มันเป็นของขวัญที่หรั่งฝากโบ้ไปให้ก้อยนั่นเอง ก้อยยื่นมันออกมาให้หรั่ง
“นี่อะไรเหรอ หรั่ง”
“ของขวัญที่หรั่งให้ก้อยไง”
“ก้อยอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนี้ หรั่งแกะให้ดูหน่อยสิ”
หรั่งแกะกระดาษห่อของขวัญนั้นออก เขาล้วงหยิบของในกล่องออกมา
มันคือสร้อยคอที่ห้อยด้วยไวโอลินสีเงินอันเล็กๆ ที่เคยเห็นในกล่องเก็บของสำคัญของหรั่ง
“มันเป็นไวโอลินจ้ะ ทำด้วยเงินหรือทองคำขาวหรั่งไม่แน่ใจ...มันติดตัวหรั่งมาตั้งแต่เล็กๆ...หรั่งตั้งใจไว้นานแล้วว่า วันหนึ่งมันจะต้องแขวนอยู่บนคอของก้อย...และวันนั้นควรจะเป็นวันที่ก้อยมีความสุขที่สุด...ซึ่งก็คือวันนี้ไง วันที่ก้อยมีงานที่ดี มีคนที่ดีอย่างพี่โบ้อยู่ใกล้ๆ...มา หรั่งสวมให้นะ”
“วันที่ก้อยจะมีความสุขที่สุด คือวันที่หรั่งพ้นจากข้อกล่าวหาต่างหาก...หรั่งเก็บมันไว้ก่อนนะ ออกมาเมื่อไหร่แล้วค่อยสวมให้ก้อย...ก้อยจะรอ...”
ก้อยคว้าสร้อยคอมาจากมือหรั่ง และกลับเป็นฝ่ายสวมให้หรั่งแทน นายดาบตำรวจเดินเข้ามา
“เอาละวันนี้เยี่ยมแค่นี้ก่อน...เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะต้องย้ายตัวผู้ต้องหา”
“ย้ายไปไหนคะ”
“เพื่อผลทางรูปคดี เรายังบอกไม่ได้จ้ะ” นายดาบบบอก
“คุณตำรวจจะอุ้มตัวเพื่อนผมไปทำวิสามัญใช่มั้ยครับ ผมรู้นะ” เท่ห์ตีฝีปาก
“ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนทำอย่างนั้นหรอก...พูดจาดูถูกตำรวจอย่างนี้ เดี๋ยวจับตรวจฉี่ซะเลยดีมั้ย”
“ไม่ดีครับ...ผมยังไม่ปวด”
“ก้อยไปบอกคุณแพรวาให้เอามั้ย ว่าหรั่งไม่ได้เป็นคนทำ”
“อย่าเลย...ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมดีกว่า ก้อย” เท่ห์บอก
ขณะเดียวกัน ที่คลินิกนายแพทย์อังกูร หมอหนุ่มหน้าตาดีชื่อเสียงโด่งดังผู้เป็นเจ้าของคลินิกนี้กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบเอกสารข้อมูลคนไข้
พยาบาลหน้าตาสวยงามเดินตรงเข้าไปหาคุณหมอ
“อาจารย์หมอคะ มีโทรศัพท์ สายตรงถึงอาจารย์ค่ะ”
“ผมไม่ได้นัดใครไว้นี่นา..ให้เบอร์เลขาผมไป หรือไม่ก็ให้เขาฝากข้อความไว้”
“เขาบอกว่าฝากไม่ได้ค่ะ เป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องคุยกับอาจารย์หมอเท่านั้น”
“คุณเชื่อเขามั้ยล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ แต่เธอให้บอกว่าเธอชื่อคุณรำไพ ภรรยาคุณเผ่าลาภ ที่สนิทสนมกับผู้พันยุทธน่ะค่ะ”
หมอละสายตาจากเอกสารเบื้องหน้า หันมาฟังพยาบาลด้วยความสนใจ
“คุณเผ่าลาภ มหาโชคตั้งศิริ เจ้าของ MS. Jewelry ที่โดนวางระเบิดตายคาลิฟท์น่ะค่ะ” พยาบาลบอกอีก
“รู้แล้ว...เอาโทรศัพท์มานี่”
พยาบาลส่งโทรศัพท์ให้หมออังกูร
เวลานั้นรถบ้านเผ่าลาภกำลังวิ่งไปบนท้องถนนสายหนึ่ง รำไพพูดโทรศัพท์ สีหน้าเครียด
“หมออังกูรนะคะ...ค่ะ...ดิฉันต้องขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อผ่านทางเลขาของคุณหมอ...แต่ดิฉันมีเรื่องสำคัญที่รอไม่ได้จริงๆ ค่ะ...ค่ะ ใครๆ ก็บอกว่า ต้องคุณหมออังกูรเท่านั้น ที่แม่นยำเรื่องนี้มากที่สุด”
ยามค่ำแพรวานั่งอยู่ลำพังคนเดียวในห้องทำงาน เธอเหม่อมองออกไปไกล เสียงเลขาดังเข้ามาทางอินเตอร์คอม
“คุณแพรวาคะ คุณสยามเอารถมารออยู่ข้างล่างแล้วนะคะ...คุณแพรวาจะกลับเมื่อไหร่กดเรียกได้เลยค่ะ”
แพรวานิ่ง ไม่ตอบรับใดๆกับเสียงนั้น
ในความอ่อนล้า แววตาของเธอ ยังคงหวนคำนึงถึงเหตุการณ์ในอดีต
ตอนที่หรั่งกระซิบที่ข้างหู
“หลับตาซะ แล้วผมจะเป็นทุกอย่างที่คุณอยากให้เป็น”
“จะไม่ปล่อยให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง”
“จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป...จะเป็นกำลังใจให้คุณตราบจนสิ้นลมหายใจ”
รถแพรวา แล่นไปบนท้องถนนยามค่ำคืน
แพรวานั่งอยู่ที่เบาะหลังเธอเอนตัวหลับตา พิงกระจก แสงไฟจากท้องถนนสะท้อนบนกระจกรถเป็นระยะๆลมหายใจของเธอแผ่วเบา ราบเรียบ สม่ำเสมอ
สยามเป็นผู้ขับ ชายสูงวัยเหลือบมองผู้เป็นนายอย่างสงสารและเห็นใจ
รถคันนี้แล่นไปบนถนนเปลี่ยวเหงา ยากที่จะเดาได้ว่าจุดหมายปลายทางจะไปสิ้นสุดอยู่ที่จุดใด
รถแพรวาเคลื่อนเข้ามาจอดท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่สาดทะลุแมกไม้ลงมากระทบผิวดิน สยามเปิดประตูลงจากรถ เดินไป แพรวาพูดถามทั้งๆ ที่ยังหลับตา
“ถึงบ้านแล้วเหรอ น้าหยาม”
ไม่มีเสียงตอบ
แพรวาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เธอมองไปรอบๆ ตัวด้วยความงุนงง
ประตูรถข้างตัวเธอถูกเปิดออก สยามก้มหน้าลงมาหา เอ่ยขึ้น
“เชิญครับ คุณแพร”
แพรวาก้าวออกจากตัวรถ
“น้าหยามพาน้องแพรมาที่ไหนเนี่ย”
“ผมอยากให้คุณแพรวาได้เห็นอะไรบางอย่าง...เชิญทางนี้ครับ”
สยามเดินนำหน้าไป มีแพรวาค่อยเดินตามช้าๆ
เผยให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นบ้านกลางทุ่งหลังเดิมนั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ แพรวา เดินตามสยามเข้าไปข้างใน
ประตูบ้านกลางทุ่งถูกเปิดออก แพรวาก้าวเข้ามาในบ้าน สยามตามมาห่างๆ
“บ้านใครเหรอ น้าหยาม”
เธอพูดพร้อมๆ กับที่เดินกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่มีเสียงตอบจากสยาม
ฉับพลันแพรวาชะงักกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า เป็นข้าวของเครื่องใช้ของเผ่าลาภ ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบสภาพบ้าน ต่างไปจากโถงบ้านที่เคยเห็นก่อนหน้านี้
แพรวาเดินไปหยุดตรงหน้ารถเข็นของเผ่าลาภ ข้างๆ กันนั้น มีกล้องดูดาว หนังสือเกี่ยวกับดาว และรูปถ่ายหน้าศพของเขา
แพรวาฉงน “ของ ของคุณป๋า มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ที่โต๊ะใกล้มือแพรวา มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค วางอยู่
บนหน้าจอเป็น graphic ของไฟล์เสียงที่เปิดผ่านโปรแกรม media player แต่มันถูก pause ไว้
แพรวาเอื้อมมือไปกดปุ่ม play เสียงเผ่าลาภดังกังวานเข้ามา
“แพรวา ลูกรัก...”
แพรวาสะดุ้งสุดตัว
“คุณป๋า!”
เธอหันไปหาสยามทันที
“น้าหยาม”
ไม่มีสยามอยู่ในที่นั้นแล้ว เสียงเผ่าลาภยังคงดังต่อไป จนแพรวาขนลุก
“ป๋าใช้เวลาเกือบหกสิบปี กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้...มันช่างเป็นเวลาที่นานแสนนานเหลือเกิน...ป๋าจึงพยายามที่จะให้น้องแพรใช้เวลาน้อยที่สุด ที่จะไปให้ถึงวันที่น้องแพรประสบความสำเร็จ”
แพรวาฟังเสียงนั้นด้วยใจระทึก
“ป๋ารู้ว่าหนูเหนื่อย...แต่จำไว้นะลูก...คนทุจริตเท่านั้น ที่ได้อะไรง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรงและเขาก็จะพบจุดจบได้ง่ายๆ เช่นกัน”
“แล้วคนสุจริตอย่างป๋า ทำไมถึงพบจุดจบง่ายๆ แบบพวกนั้นด้วยล่ะ” แพรวาโต้
“ขณะที่น้องแพรฟังเสียงป๋าอยู่นี้ ป๋าก็คงจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ น้องแพรอีกต่อไปแล้ว...ป๋าอยากเห็นเหลือเกินว่า เวลาที่น้องแพรไม่มีป๋า น้องแพรจะแข็งแกร่งได้ซักเพียงไหน”
แพรวาเริ่มมีอารมณ์ตอบโต้กับแถบเสียงนั้นโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าอยากเห็น ป๋าก็มาดูเองสิคะ...ฟื้นขึ้นมาดูสิ อย่าหนีน้องแพรไปอย่างนี้สิคะ”
“อยากให้ป๋าฟื้นมาจริงๆ เหรอ”
“ใช่ อยากให้ป๋าฟื้นขึ้นมา มาพูดกันซึ่งๆหน้า ไม่ใช่อัดเทปไว้ให้ฟังแบบนี้”
“สัญญานะว่าถ้าป๋าฟื้นแล้วหนูจะไม่งอแง”
แพรวารีบบอก “สัญญา”
ทันทีที่สิ้นเสียง แพรวาจึงเริ่มรู้สึกว่าเสียงคุณป๋านั้นโต้ตอบเธอได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ
“คุณป๋า”
แพรวากดปุ่มเช็คระดับเสียงของไฟล์นั้น พบสัญลักษณ์ mute ปรากฏขึ้น แพรวาตกใจ เธอกดปุ่มปิด mute เสียงที่ดังออกมาจากลำโพงกลายเป็นดนตรีคลาสสิก ยิ่งใหญ่อลังการ
แพรวาสะดุ้ง จนเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวกับภาพตรงกระจกเงาที่อยู่เบื้องหน้า เพราะเงาของเผ่าลาภค่อยๆ ปรากฏขึ้นในกระจกนั้น
“คุณป๋า”
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 14 (ต่อ)
แพรวาค่อยๆ หันกลับไปดูด้านหลังเธอช้าๆ แสงไฟบริเวณนั้นค่อยๆ สว่างขึ้น
ร่างของเผ่าลาภค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น ตามความสว่างของแสงไฟ เผ่าลาภยิ้มให้แพรวาอย่างอบอุ่น
“มาหาป๋าสิลูก”
แพรวาชะงัก ก้าวขาไม่ออก พูดอะไรไม่ถูก
“ป๋าจริงๆ ไม่ใช่ผี ไม่ใช่วิญญาณ” เผ่าลาภย้ำ
แพรวาค่อยๆ ก้าวขาออกมาได้ เธอเดินไปหาบิดาช้าๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“นี่มันอะไรกันคะเนี่ย”
รำไพ ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างเผ่าลาภ
“มาหาป๋าก่อนสิลูก ป๋าจะได้อธิบายทุกอย่างให้หนูฟัง”
“แม่...”
แพรวาก้าวเดินมาถึงตัวเผ่าลาภในที่สุด เธอเอื้อมมือแตะคุณป๋าของเธอ เมื่อรู้สึกได้ถึงการสัมผัส แพรวาจึงโผเข้ากอดป๋าของเธอไว้อย่างแน่น
“คุณป๋า...คุณป๋ายังไม่ตาย...คุณป๋าของน้องแพรยังอยู่ น้องแพรไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ...น้องแพรไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ”
พ่อแม่ลูกกอดกันกลม
ด้านสยามยืนพูดโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่ไกลจากหน้าบ้านท่าทางดูเขาจะระมัดระวังคำพูดอยู่ไม่น้อย
“โอเค. ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา...คืนนี้เลยเหรอ”
แพรวานั่งทรุดตัวอยู่กลางบ้าน กอดผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น
“คุณป๋าต้องเล่าทุกอย่างมาให้ละเอียดเดี๋ยวนี้เลยนะ…ไม่งั้นน้องแพรจะแจ้งความ ข้อหาหลอกลวง”
เผ่าลาภลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู รำไพนั่งหน้าตาชื่นบานอยู่ใกล้ๆ
“พ่อหลอกลูกตัวเอง จะเป็นไรไป”
“หลอกลูกตัวเองคนเดียวที่ไหน หลอกลวงชาวบ้านอื่นๆอีกตั้งเยอะแยะ…หรือว่าทุกคนเขารู้เรื่องนี้กันหมด ยกเว้นน้องแพรคนเดียว”
“ไม่มีใครรู้หรอกลูก นอกจากแม่ กับคุณป๋า แล้วก็นายสยาม”
แพรวาบ่นๆ “สามคนเข้าไปแล้ว”
“มันเริ่มต้นจากเส้นเลือดในสมองของป๋าแตก”
“แตกจริงๆแน่นะ” แพรวาเย้า
รำไพตอบแทน “จริงลูก แต่เป็นเส้นเล็ก”
“ป๋าก็เลยหายได้เร็ว...หายตั้งแต่ก่อนออกจากโรงพยาบาลอีก”
“แปลว่าที่ต้องนั่งรถเข็นไปไหนมาไหน เดินไม่ได้ ขยับแขนขยับขาไม่ได้น่ะ ป๋าเล่นละครทั้งหมด”
เผ่าลาภยิ้ม “มันทำให้ป๋าได้รู้อะไรๆ มากขึ้นอีกเยอะเลย”
แพรวาสัพยอก “เล่นละครเก่งกันทั้งนั้น! โดยเฉพาะคุณรำไพ แอบไปซ้อมมาจากคณะไหนคะ ทำหน้าเศร้าซะเหมือนเชียว”
“ป๋าไม่ได้ตั้งใจหรอกลูก...ตอนแรกเพียงแค่ต้องการอยากจะพัก และก็อยากจะให้น้องแพรได้ลองบริหารงานเองดูบ้าง”
แพรวาบ่นเบาๆ “จงใจทำให้ลูกลำบากนี่นา”
“แต่สิ่งที่ป๋าได้กลับมา มันมีค่ามากกว่านั้น”
แพรวาปั้นหน้าเป็นคำถาม?
“ป๋าได้รู้ว่า ลูกสาวคนนี้ รักป๋ามากแค่ไหน...”
เขาหอมลงไปที่หน้าผากลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“สัญญาอะไรกับป๋าไว้ ห้ามลืมนะลูก”
แพรวากอดเผ่าลาภแน่นมากขึ้น
“แต่คุณป๋าก็ต้องไม่ทำอะไรอย่างนี้อีกนะคะ...รู้มั้ยว่าน้องแพรไม่มีใคร...ถ้าไม่มีคุณป๋าซักคน น้องแพรจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง”
“อยู่ได้สิ...ถึงเวลานั้นจริงๆ น้องแพรต้องอยู่ให้ได้...อย่างน้อยก็ยังมีผู้ชายอีกคนนึง ที่ไม่มีวันจะไปจากหนู เขาพร้อมที่จะตายแทนหนูได้ด้วยซ้ำ”
แพรวาปั้นหน้าเป็นคำถามอีกครั้ง คราวนี้หล่อนรู้คำตอบด้วยตัวเอง
อ่านต่อตอนต่อไป /เวลา 17.00 น.
เวลาต่อมาแพรวาเดินตามรำไพมาตรงชานพักบันได
“แม่จัดห้องไว้ให้หนูชั้นบนนะ เสื้อผ้าก็เตรียมมาไว้ให้แล้ว....หนูจะอาบน้ำก่อนก็ได้ตามสบาย แม่จะไปเก็บจาน แล้วก็เตรียมยาให้คุณป๋า”
“ไหนว่าคุณป๋าหายแล้วไง”
“หายด้วยยา ก็ยังต้องกินยาต่อจ้ะ”
รำไพเดินกลับลงไปชั้นล่าง
แพรวาค่อยๆ เดินตรงไปยังห้องนอนเล็กชั้นบน...แพรวาหยุดชะงัก ก่อนถึงประตูห้อง เธอเหลือบมองดูข้างๆ ตัว เห็นเป็นรูปแพรวามากมายหลายอิริยาบถ รูปเหล่านั้นวางเรียงไว้บนชั้นไม้อย่างสวยงามแพรวาหยิบขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจ แพรวาเดินเกาะไปตามแนวชั้นไม้นั้น
บนชั้นไม้ยังมี เปลือกหอย ตุ๊กตาหมี ก้อนหิน และการ์ดเก่าๆ อีกหลายใบ มันถูกจัดวางไว้ราวกับเป็นของมีค่าในพิพิธภัณฑ์
พลันสายตาแพรวาเหลือบไปเห็นเงาสะท้อนในกระจกเงาบานใหญ่ มันสะท้อนให้เห็นภาพบนเพดาน ซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพของแพรวา
แพรวา ที่ค่อยๆ เดินเข้าหากระจกเงาบานนั้น และค่อยๆ เห็นภาพบนเพดานมากขึ้นเรื่อยๆตามองศาของการมองของเธอ แพรวาแปลกใจมากขึ้น จนตัดสินใจแหงนหน้ามองเพดาน เธอได้เห็นภาพและเรื่องราวของตัวเอง ที่หรั่งสะสมมาจนถึงทุกวันนี้ ติดอยู่เต็มเพดานนั้น
แพรวาตะลึงงันกับภาพที่เห็นภาพเหล่านั้น เพราะมีทั้งแพรวาวัยเด็ก แพรวาวัยเรียน แพรวาวัยรุ่นและและแพรวาในวัยปัจจุบัน หลายรูปมีร่องรอยถูกไฟไหม้ไปบ้าง
เมื่อแพรวาก้มหน้าลง สายตาของเธอเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง
มันเป็นซองจดหมายซองหนึ่ง จ่าหน้าซองถึงแพรวา
ข้างๆ กัน มีกระดาษโน้ต ที่เขียนด้วยลายมือรีบร้อนว่า
“คืนนี้ อย่าให้ป๋าไปดูดาวเป็นอันขาด…ได้โปรดเถอะ”
ความฉงนปรากฏบนหน้าแพรวาเพิ่มมากขึ้น ปลายสุดของชั้นไม้นั้น มีบันทึกเล่มสวยวางอยู่เล่มหนึ่ง แพรวาหยิบมันขึ้นมา เปิดออก และพลิกอ่าน
หน้าแรกของสมุดบันทึกนั้น มีตัวหนังสือเขียนไว้กลางหน้าว่า
“เดือน มีนา ปี 2535 จุดเริ่มต้นแห่ง เทพนิยายของนายหรั่ง”
แพรวาอ่านบันทึกนั้นอย่างสนใจ
“ฉันได้เจอองค์หญิงคนนั้น ก่อนที่ฉันจะเขียนหนังสือเป็น แต่ความประทับใจและตื่นเต้นกลับมากพอที่ฉันจะเก็บและจำมาจนถึงทุกวันนี้…”
ภาพเด็กชายหรั่งและเด็กหญิงแพรวา ที่ริมทะเลผุดขึ้นมาในห้วงคิดของแพรวา
แพรวาพลิกหน้าต่อๆ ไป ในสมุดบันทึก
“สิงหาคม 2540...หนังสือพิมพ์วันนี้ลงรูปของเธอด้วย เธอสูงขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย องค์หญิงตัวน้อยของฉัน....”
แพรวาเงยหน้ามองบนเพดานอีกครั้ง เห็นภาพเด็กหญิงแพรวาบนหน้าหนังสือพิมพ์วันนั้น มันติดอยู่บนเพดานห้อง
แพรวาพลิกหน้าต่อไป
“หากพระเจ้ามีจริง จงดลบันดาลให้ฝันของทหารเอกคนนี้เป็นจริงด้วยเถิด ช่วยให้เราได้เจอกันสักครั้ง แม้นางจะจำเราไม่ได้ ก็ยอม...”
แพรวาพลิกไปอีกหน้า
“ฟ้าดินเป็นใจ...ให้เรานอนตายตาหลับ...เธอซ้อนมอเตอร์ไซค์ฉัน เกาะเอวเราไว้ด้วยกันตอนสุดท้ายฉันได้มอบดอกไม้ให้เธอ แม้มันจะเป็นดอกไม้ของเขาก็ตามที...โอกาสดีๆ ของเราคงจะมาถึงแล้ว...”
ภาพเหตุการณ์ที่แพรวาซ้อนมอเตอร์ไซค์หรั่ง และภาพหรั่งส่งดอกไม้ให้แพรวาผุดขึ้นมาอีก
แพรวาพลิกหน้าต่อไป
“ในที่สุด เราก็ได้เต้นรำบนพระจันทร์กันอีกครั้ง...แต่สุดท้าย เธอก็ยังจำทหารเอกของเธอไม่ได้อยู่ดีนะ องค์หญิงตัวน้อย”
ภาพหรั่งเต้นรำกับแพรวา ในบึงน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ ผุดขึ้นในห้วงคิด ขณะแพรวาพลิกหน้าต่อไป
“คราวใดที่เธอต้องเศร้าใจ ครั้งใดที่น้ำตาเธอรินไหล...ฉันพร้อมจะปลอบ พร้อมจะกอดเธอไว้ หากมันจะแบ่งเบาความทุกข์ใจของเธอได้...อย่าเพิ่งท้อเลยนะองค์หญิง สองมือของฉันจะสร้างฝัน หัวใจของฉันจะทุ่มเท เพื่อเธอคนเดียว...จนกว่าเธอจะขึ้นไปสูงสุดฟากฟ้า”
จังหวะนี้เพลง “ดาวประดับฟ้า” ดังก้องขึ้นในใจของแพรวา ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเสียงร้องของหรั่ง
“แค่รออยู่ตรงนั้น จะปีนขึ้นไปหา ไม่ต้องลอยลงมา อยู่บนฟ้านั่นแหละดี เป็นดาวประดับฟ้า รอคนรักจริงคนนี้.....ต้องมีซักวัน จะไปให้ถึงที่ตรงนั้น ไปอยู่เคียงข้างเธอ...”
แพรวาอึ้งกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งประจักษ์ ณ เบื้องหน้า
เสียงเผ่าลาภดังขึ้น
“เขาติดตามหนูมาตั้งแต่วัยเด็ก...”
เผ่าลาภยืนอยู่ด้านหลังแพรวา
“มันเป็นความทรงจำของเด็กชาย ที่มีต่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชนิดที่ยากจะลืมเลือน”
“น้องแพรไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“นายหรั่งเขาคงไม่อยากให้หนูรู้ เขาเพียงแต่อยากเห็นหนูมีความสุข ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
“มีผู้ชายแบบนี้ในโลกด้วยเหรอคะคุณป๋า”
“ความรักเท่านั้นที่ทำให้คนเราเป็นแบบนี้ได้” เผ่าลาภว่า
แพรวานิ่งไปพักหนึ่ง
“น้องแพรเพิ่งจะตอบแทนเขาอย่างตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง...พรุ่งนี้น้องแพรจะไปบอกตำรวจให้เขาปล่อยตัวนายหรั่งออกมา”
“ป๋าเกรงว่ามันจะไม่ทันน่ะสิ”
แสงไฟหน้ารถสาดสะท้อนขึ้นมาบนชายคา และระเบียงบ้าน
แพรวาก้าวออกไปยังระเบียงนั้น เธอมองทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง เห็นรถกระบะคันใหม่แล่นเข้ามาจอดในบ้าน ประตูรถคันนั้นเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ก้าวลงมาคือ หรั่ง นาคำ
แพรวามองหรั่งด้วยรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความตื้นตัน ผสมกับความงงงัน
หรั่งเงยหน้าจ้องมองแพรวานิ่ง แพรวาค่อยๆ เอ่ยปากออกมาช้าๆ
“เธอมาที่นี่ได้ยังไงนายหรั่ง”
“ผมเคยบอกแล้วไงครับ ว่าจะไม่ปล่อยให้คุณต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ข้างๆ คุณจะมีผม ตราบจนถึงวันสิ้นลมหายใจ”
แพรวาไม่สามารถทนยืนนิ่งอยู่ได้ เธอก้าวขายาวๆ ตรงลงไปยังสนามด้านล่าง เผ่าลาภ มองตามลูกสาวตัวเองไป
ไม่นานนักแพรวากึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งไปยังหรั่งที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้า แพรวาหยุดชะงักเมื่อใกล้จะประชิดตัวเขา ทั้งคู่จ้องหน้ากันไม่เกิน 7 วินาที
“ทหารเอกของฉัน...ฉันอนุญาตให้เธอกอดฉันได้ ถ้าใจเธอต้องการ”
ทั้งคู่สวมกอดซึ่งกันและกันแนบแน่น และรวดเร็ว จนดูไม่ออกว่าใครเริ่มต้นก่อน
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 14 (ต่อ)
บนระเบียงบ้านยามนี้ รำไพก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆ ผู้เป็นสามี ทั้งคู่มองลงมายัง หนุ่มสาวที่อยู่เบื้องล่าง
“คุณคิดยังไงกับพวกเขาคะ”
เผ่าลาภถอนหายใจเบาๆ ยาวๆ เฉไฉไปเรื่องอื่น
“หมออังกูรว่ายังไงบ้าง”
“เขาให้น้ำหนักทางการแพทย์เพียง 25% เท่านั้น แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่เราค่ะ”
“คุณเห็นลูกมีความสุขมั้ย”
รำไพพยักหน้า “ค่ะ”
“เรื่องอื่น ก็ปล่อยๆ ไปก่อนเถอะ”
“คุณเองต่างหาก ที่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้” รำไพท้วง
เผ่าลาภนิ่งงันไป ไม่เอ่ยปากเถียง
หรั่งกับแพรวา ทั้งสองต่างอยู่ในวงแขนแห่งความรักของกันและกัน
“ทหารเอกไม่สมควรยืนกอดองค์หญิงไว้ทั้งคืนอย่างนี้” หรั่งว่า
“เธอจะมีความผิดทันที ที่ขัดคำสั่ง” แพรวาบอก
“จะตบหน้าผมอีกมั้ยล่ะครับ”
แพรวาถอยตัวออกจากวงแขนของหรั่ง มองหน้าเขาเต็มๆ ตา
“ทำไมเธอต้องลงทุนขนาดนี้”
หรั่งยิ้มกว้าง “หน้าผมหนาครับ...ผมไม่เจ็บหรอก”
“ฉันไม่ได้หมายถึงหน้า...ฉันหมายถึงทุกอย่างที่เธอทำมาตลอดทั้งชีวิต...รวมทั้งที่เธอยอมเป็นผู้ต้องหาฆ่าคุณป๋าตายในครั้งนี้ด้วย”
“เมื่อถึงตอนจบ ผมจะกลับเป็นผู้บริสุทธิ์เอง”
“เป็นไปได้ยังไง ลองบอกมาซิ” แพรวาถามสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอด
เผ่าลาภเป็นคนเล่าเรื่องนี้
“เป็นบุญของป๋า ที่อยู่ๆ ก็มีจดหมายลึกลับส่งมาเตือนป๋าได้ทันเวลา...จดหมายนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า อย่าไปดูดาวคืนนี้”
เผ่าลาภชูจดหมายให้ลูกสาวดู
“มันจ่าหน้าซองถึงคุณ” หรั่งบอก
แพรวาเย้า “แอบอ่านจดหมายฉันเหรอ”
“ถ้านายหรั่ง ไม่ทำอย่างนั้น ป๋าก็คงจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้หรอก”
“แล้วทำไมนายหรั่งต้องหายตัวไปด้วย”
“นั่นเป็นแผนเดิมของป๋า...ป๋าให้นายหรั่งเอาพลอยและจิเวลรี่ในสต็อกของเราทั้งหมดไปขายให้คนเก่าแก่แถวเมืองจันท์ และเจรจากับบริษัทประกันภัย”
“ผมก็เลยไปงานวันนั้นกับคุณไม่ได้” หรั่งเฉลย
รำไพเล่าเสริม “นายหรั่งเจรจา เป็นผลสำเร็จทั้งสองเรื่องเลยนะลูก”
“ผู้เฒ่าที่เมืองจันท์รับซื้อของของเรา” เผ่าลาภว่า
“แต่นายหรั่งก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“โชคยังดี ที่ผมได้เจอเจ้านายเก่า ...เขาเป็นญาติกับเถ้าแก่เส็ง”
เผ่าลาภกับหรั่งผลัดกันเล่าเรื่องราวและเหตุการณ์ต่อจากนี้ให้แพรวาฟัง
เวลานั้นรถตำรวจมากมาย พุ่งเข้าหาบ้านพักผู้จัดการแบงค์ที่สวนเมืองจันท์อย่างเงียบเชียบ
“เถ้าแก่เส็ง ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มอิทธิพลมานาน เพราะความซื่อตรงของเขา ซึ่งเป็นการขวางทางผู้มีผลประโยชน์ทุกกลุ่ม สองสามปีหลังนี้เถ้าแก่เส็งจึงต้องอยู่ในการอารักขาเป็นอย่างดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ผู้จัดการ และหรั่งยกมือไหว้ทักทายนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายตำรวจแนะนำให้รู้จักชายชราคนหนึ่งที่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เขาคือเถ้าแก่เส็ง
“อั๊วคุ้นเคยกับคนแซ่ตั้งมานานแสนนาน พวกเรามีบุญคุณต่อกันมาโดยตลอด ดังคำสั่งเสียของบรรพบุรุษของสองตระกูล ที่ให้ลูกหลานเรานั้นพึ่งพาอาศัยกันและกัน...เพราะฉะนั้น ไม่มีความลับอะไรในตระกูลนี้ที่อั๊วไม่รู้...เช่นเดียวกับที่ ไม่มีอะไรที่อั๊วจะทำไม่ได้เพื่อ คนแซ่ตั้ง”
“ผมจะเรียนคุณเผ่าลาภ ให้ครบทุกคำพูดของเถ้าแก่ครับ” หรั่งบอกอย่างซาบซึ้ง
เผ่าลาภเอ่ยปากเล่าเรื่องราวต่อ
“ส่วนบริษัทประกัน ก็พบร่องรอยทุจริตในจินดาเซอร์วิส และพวกเขากำลังเร่งตามสืบเรื่องนี้อยู่ พร้อมทั้งยินยอมชดเชยค่าเสียหายของเรือส่งข้าวของเราทั้งหมด”
“ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจเลยล่ะคะ...ผู้การยุทธที่สนิทกับป๋าไง” แพรวาซัก
“เราวางแผนร่วมกัน...ผู้การยุทธกับป๋า”
“นายหรั่งถึงออกมาจากห้องขังได้” รำไพเสริม
แพรวาบ่นใส่หน้าหรั่ง “เข้าไปทำไมก็ไม่รู้”
หรั่งบอก “เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ”
“ใคร?...ฝ่ายตรงข้ามเราน่ะ ใคร?” สาวโลกสวยงวยงง
“นายแสงเทพ เทวฤทธิ์...เขาต้องการใช้พื้นที่เหมือง M.S. เป็นฐานผลิตสิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท งานนี้มีกลุ่มทุนต่างชาติหนุนหลังอยู่หลายราย เพราะมีข้อมูลลับว่า พื้นที่บริเวณรอบภูเขาลูกนั้น เต็มไปด้วยทองคำ”
“ใครอยากจะได้ทองคำ ก็ช่างเขา ก็ให้เขาขุดไป จะได้จบๆ” แพรวาบ่นต่อ
“มันไม่จบแค่นั้นน่ะสิครับ นอกจากเอาทรัพยากรของชาติเราไปแล้ว นายแสงเทพยังมีเรื่องความแค้นส่วนตัวกับตระกูลของคุณตั้งแต่หนหลังอีกด้วย”
“รู้ได้ยังไง” แพรวางงอีก
“คนแถวเมืองจันท์ รู้รายละเอียดเรื่องนี้ดี”
“มันเป็นเรื่องเก่า ตั้งแต่เฮียย้ง ลุงของหนูยังมีชีวิตอยู่”
แพรวาอุทาน “ลุงเผด็จศึก”
“ใช่...ดั้งเดิมนั้น พวกเรารักใคร่กันดี ทั้งป๋า ทั้งเฮียย้ง และก็นายแสงเทพ เป็นเพื่อนฝูงก๊วนเดียวกัน เรามักจะนัดกันเข้าป่าล่าสัตว์อยู่เสมอๆ”
“น้องแพรเคยเห็นรูปในห้องทำงานคุณป๋า”
“เฮียย้งรักเพื่อนฝูงมาก มากซะจน เตี่ยและอาม่าคิดว่าเขาไม่รักใคร่ใยดีพ่อแม่และญาติพี่น้องเลย สุดท้ายก็โดนอากงไล่ออกจากตระกูล”
เรื่องราวพรั่งพรูออกมาจากหน่วยความจำของเผ่าลาภ เริ่มจากที่สำนักงานเหมืองที่เมืองจันท์ เมื่อ35 ปี ก่อนหน้านี้
ภาพ เฮียย้ง หรือ เผด็จศึก และ แสงเทพ จับมือกับบรรดาพ่อค้าพลอยมากมาย พวกเขาถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน หน้าป้ายคำขวัญจังหวัดจันทบุรี
“เฮียย้งไปเข้าหุ้นกับนายแสงเทพ ทำกิจการค้าพลอยที่เมืองจันท์...” เผ่าลาภบรรยาย
เห็นเป็นภาพ เฮียย้ง พิจารณาพลอยในมือ พร้อมกับอธิบายให้แสงเทพฟังถึงความงามของเนื้อพลอยทั้งคู่มีสีหน้าพึงพอใจ
“เพราะความชาญฉลาดและสายตาที่กว้างไกลของเฮียย้ง ทำให้กิจการค้าพลอยที่เมืองจันท์ประสบความสำเร็จอย่างสูง...”
พ่อค้าพลอยสามสี่คนเปิดกระเป๋าของตนพร้อมกัน กระเป๋าทุกใบบรรจุธนบัตร อัดเต็มแน่นกระเป๋า
พวกเขายื่นให้กับเฮียย้ง
เฮียย้งยิ้มแย้ม พึงพอใจ และยื่นห่อพลอยให้เป็นการตอบแทน โดยไม่รู้ว่าแสงเทพยืนเฝ้าสังเกตอยู่ด้านหลัง
“แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เป็นที่พอใจของนายแสงเทพ ซึ่งต้องการผลกำไรแบบที่ไม่ต้องมีการลงทุน”
เหตุการณ์ต่อมาเฮียย้งกางแผนที่ ดูร่วมกับแสงเทพและคนงานอีกหลายคน เฮียย้งใช้ปากกาจิ้มลงไปบนแผนที่ ตรงคำว่า อ.บ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี
“เมื่อพลอยที่เมืองจันท์หมด เฮียย้งเป็นผู้เสาะหาแหล่งแร่ใหม่ด้วยตัวเอง จนได้ที่ดินผืนใหญ่ผืนหนึ่ง ที่อำภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี”
แพรวาพูดเป็นเชิงถามขัดขึ้น “เหมือง M.S. ของเรา”
“ใช่ เฮียย้งต้องการจะทำเหมืองพลอย แต่แสงเทพตั้งใจจะใช้ที่ผืนนี้เป็นแหล่งค้าของเถื่อนและยาเสพติด ในที่สุดทั้งสองก็แตกคอกัน”
เผ่าลาภเล่าเรื่องราวต่อ
เหตุการณ์ต่อมา เกิดขึ้นที่บ้านพักในป่าแห่งหนึ่ง เฮียย้งกำลังม้วนโฉนดที่ดิน ที่บ่อพลอย โดยเมียแหม่มท้องแก่ กำลังรวบรวมเอกสารบนโต๊ะข้างๆ กัน
เฮียย้งโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวางหูโทรศัพท์แล้ว เขาจึงรับเอกสารจากมือเมียแหม่ม ก่อนเดินออกจากบ้านพัก
“เฮียย้งชิงตัดหน้าแสงเทพซื้อที่ผืนนี้มาได้ก่อน...แต่แล้ว วันนึงขณะที่เฮียย้งกำลังจะนำหลักฐานการค้ายาเสพติดของแสงเทพไปส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ...รถของเขาก็วิ่งตกเขาไปเฉยๆ แรงระเบิดของรถ ทำให้เราไม่สามารถค้นหาร่องรอย หลักฐานใดๆ ได้เลย”
รถของเฮียย้ง ตกเขา ระเบิดกลายเป็นจุล
ทั้งสี่ชีวิตยังคงนั่งหารือกันอยู่ที่เดิม หรั่งเอ่ยขึ้นหลังฟังเรื่องมาถึงตรงนี้
“แต่คนเมืองจันท์จะรู้กันว่า เป็นฝีมือของนายแสงเทพ”
“รู้จนถึงขนาดนี้แล้วยังไม่จับอีก”
“หลักฐานที่เรามี ยังไม่เพียงพอ” เผ่าลาภบอก
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะพอ” แพรวาสงสัย
“เมื่อเราจับเขาได้อย่างคาหนังคาเขา” เผ่าลาภว่า
แพรวาฉงน “ยังไง”
“คนในตระกูลมหาโชคตั้งศิริ คนสุดท้ายที่มันต้องการฆ่าก็คือคุณ” หรั่งเอ่ยขึ้น
แพรวาตกใจทันที
เผ่าลาภอธิบาย “เราต้องย้อนรอยมัน ซ้อนแผนมันอีกที...น้องแพรต้องบอกมันไปเลยว่าเราจะขาย
เหมือง...แต่มีเงื่อนไขว่า นายแสงเทพต้องเข้ามาพบเราก่อน...และเมื่อถึงวันนั้น วันที่มันเดินเข้ามาตกหลุมเรา มันก็จะสารภาพทุกอย่างกับวิญญาณของป๋าเอง”
แพรวาแย้ง “แล้วถ้าเขาไม่มาล่ะ”
เผ่าลาภมั่นใจ “มา...คนอย่างแสงเทพ มันต้องมา...เชื่อป๋าสิ”
เวลานั้น ปลายกระบอกปืนที่มุ่งตรงเข้าหาชายผู้หนึ่งที่นั่งเก้าอี้สนามอยู่กลางป่า เมื่อชายผู้นั่นหันหน้ามา เราจึงเห็นว่าเขาคือเผ่าลาภ ส่วนผู้ถือปืนกระบอกนี้คือ นายแสงเทพ
แสงเทพยิงปืนใส่เผ่าลาภอย่างไม่ยั้งมือ กระบอกแล้วกระบอกเล่า กระสุนปืนทุกนัดไม่อาจระคายเคืองร่างของเผ่าลาภแม้แต่น้อย เผ่าลาภลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินยิ้มเข้าใกล้แสงเทพ
เผ่าลาภร่อนกระดาษโน้ตใส่หน้าแสงเทพทีละแผ่น ทุกแผ่นเขียนข้อความว่า
“มึง ตาย”
แสงเทพคุ้มคลั่งทุรนทุรายอยู่ท่ามกลางกระดาษโน้ตเหล่านั้นที่ปลิวเข้าหาเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
แสงเทพสะดุ้งตื่นกลางดึกจากฝันร้าย สภาพเหงื่อท่วมร่าง เขาเอื้อมมือหยิบเครื่องดื่มใกล้ตัวกรอกใส่ปาก หายใจหอบ แรง กระดาษแผ่นหนึ่ง วางอยู่ข้างกายแสงเทพ บนกระดาษแผ่นนั้นปรากฏตัวหนังสือสีแดงฉานเขียนคำว่า
“มึง ตาย”
สักครู่หนึ่ง เห็นแสงเทพเดินถือโทรศัพท์งุ่นง่านอยู่กลางบ้าน เสียงจากโทรศัพท์ ดังออกมาเป็นข้อความที่แสดงว่า ไม่สามารถติดต่อเจ้าของเครื่องได้ แสงเทพกดหมายเลขใหม่ลงไปบนปุ่มโทรศัพท์
“ฮัลโหล...นี่อาเองนะ แองจี้”
แองจี้อยู่ที่ห้องนอนในเซฟเฮ้าส์ตะวันฉาย ถือโทรศัพท์แนบหู หน้าตางัวเงีย นอนเปลือยอยู่บนเตียงนุ่มกลางห้อง เพียงลำพัง ท่าทางบางอย่างของเธอบอกให้เรารู้ว่า กำลังเมายา
“สบายดีเหรอคะ อา...ยังสบายอยู่แน่นะ...”
“อาอยากพบตะวันฉาย...ตอนนี้ เขาอยู่กับหนูหรือเปล่า”
“อยู่...ไม่อยู่...เอาแน่ไม่ได้หรอกค่า อา...เพราะงานเขายุ่ง...ยุ่งมาก...ยุ่งกับหนูเสร็จก็ไปยุ่งกับงาน ยุ่งกับงานเสร็จก็มายุ่งกับหนู...โคตรมันเลยค่ะ อา”
แสงเทพชักผิดสังเกต “แองจี้...หนูเป็นอะไรน่ะ...เมายารึเปล่า”
“ไม่รู้...อา ต้องมาดูเอง”
ส่วนที่บ้านกลางทุ่ง แพรวาเดินเข้ามาใน บริเวณโถงชั้นบนอีกครั้ง แหงนดูรูปของตัวเองบนเพดานห้องนั้น หรั่งยืนดูอยู่มุมหนึ่ง
“เธอต้องบ้าแน่ๆ ที่ทำอย่างนี้ได้...มีใครเคยเห็นบ้างมั้ย” แพรวาบอก
หรั่งส่ายหน้า
“อายละซี” แพรวาแหย่
“ผมไม่เคยอาย ในสิ่งที่ผมเป็น...แต่ผมไม่ต้องการอธิบายความรู้สึกในใจของผมให้ใครฟัง”
“หวงด้วยเหรอ”
“ผมเกิดมา ไม่มีของมีค่าอะไรให้หวงนี่ครับ...”
“แล้วใครเขาจะรู้ล่ะว่า ใจเธอเป็นยังไง”
“ผมรู้คนเดียวก็พอแล้วครับ”
“แล้วเธอเคยรู้บ้างมั้ย ว่า คนๆ นั้น” แพรวาชี้ไปที่รูปตัวเองบนเพดานห้อง “เขาจะรู้สึกอย่างไร”
หรั่งจ้องหน้าแพรวานิ่ง
ขณะเดียวกันที่ห้องนอนใหญ่ในบ้านกลางทุ่ง การ์ดเชิญไปร่วมงานศพของเผ่าลาภอยู่ในมือเผ่าลาภที่ถือมันมองอย่างพิจารณาอยู่
“ผมว่ามันสวยไปนะ สำหรับการ์ดงานศพ”
“ฝีมือเด็กแผนกออกแบบของบริษัทคุณค่ะ”
“มันดูเอิกเกริก อลังการเกินไปนิด ไม่น่าจะเหมาะกับบุคลิกผม”
“คุณไปบอกเขาเอง ดีมั้ยคะ” รำไพสัพยอก
เผ่าลาภยิ้มขำ
“ผมก็อยากทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกันนะ...”
เผ่าลาภกระเถิบเข้าไปโอบกอดรำไพอย่างนุ่มนวล ดูเหมือนเขาจะพอใจกับสถานภาพของตัวเองในเวลานี้
“ไม่นึกเลยว่าผมจะกลายเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในเวลานี้”
“แน่ใจเหรอคะ”
“แน่ใจสิ เพราะนอกจากจะมีเมียที่น่ารักที่สุดแล้ว ผมยังเป็นคนเดียวที่สามารถไปร่วมงานศพตัวเองได้ด้วย”
อาคารบริษัท M.S. ตั้งตระหง่านท่ามกลางแสงสว่างของวันใหม่
บริเวณทางเดินในบริษัท มีเสียงบันทึกข้อความทางโทรศัพท์มือถือดังเข้ามาตั้งแต่ฉากก่อนหน้านี้
“กรุณาฝากข้อความของท่านหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณ และกดดอกจันทร์เมื่อจบข้อความของท่าน ขอบคุณค่ะ...” ตามด้วยเสียงปี๊ดๆๆๆ
แพรวาเดินพูดโทรศัพท์เข้ามา ทันทีที่เสียงนั้นจบ
“ตกลงว่า เราจะขายกิจการเหมือง M.S. ทั้งหมด...แต่คุณต้องทำตามข้อแม้ของเรา เพียงข้อเดียวเท่านั้น...เราขอพบคนที่จะเข้ามาบริหารกิจการต่อจากเรา และขอพบเป็นการส่วนตัว...เพราะเราอยากรู้ว่าเขาจะดูแลกิจการของเราได้ดีแค่ไหน”
ตะวันฉายนั่งฟัง voice message จากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
เสียงแพรวาดังลอดออกมา “กรุณาบอกลูกค้าของคุณ ให้ไปตามวันและเวลาที่เรานัดด้วย...จากแพรวา”
ตะวันฉายกดลบข้อความ สีหน้าของเขาฉายยิ้มอย่างพอใจ และสาสมใจ ออกมาเต็มหน้า
อ่านต่อตอนที่ 15