สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 10
ส่วนเหตุการณ์ที่บ้านกลางทุ่ง คำรณใช้มือซ้ายโอบอ้อมตัวก้อยไปจับคอร์ดกีตาร์ โดยให้ก้อยเป็นผู้กรีดนิ้วไปตามสายกีตาร์ที่วางอยู่บนตักเธอ มือขวาของคำรณคอยประคองและให้จังหวะมือของก้อยไปด้วย พร้อมกับอ้าปากร้องเพลงคลอตามเสียงกีตาร์นั้น
“รักน้องมานาน โอ้แม่ตาหวานฉ่ำชื่น
กลางวัน กลางคืน มีแต่เฝ้าโสกา
จำจาก กานดา ยากนักยากหนาจะได้เจอ
เฝ้าคิดถึงเธอ ใจพร่ำเพ้อ และอาวรณ์
โอ้แม่งามงอน ทำให้ร้าวรอน เศร้าหมอง
ตัวพี่ รักน้อง พี่หมายปอง เธอผู้เดียว
ไม่แลเหลียวบ้างเลย
พี่นี้เฝ้าคอยเจ้า แม้เงาพี่ก็ปอง
วันคืนใด ไม่เห็นหน้าน้อง
พี่ก็จ้องดาวเดือนแทน นั่นละหนา นวลนา
สาวงามตาเจ้าเอย สาวตางามเจ้าเอย”
บทเพลงจบลงอย่างงดงาม คำรณหัวเราะร่าเริง ด้วยความพึงพอใจ
“แจ๋วเลย สุดยอดจริงๆ พรสวรรค์ด้านดนตรีของน้องสุดยอดมาก อีนางเอ๊ย...เสียอย่างเดียว...”
ก้อยต่อให้ “เสียที่ตาบอด”
คำรณท้วง “ใครว่า...นั่นละจุดขายเลยหละจะบอกให้”
“งั้นเสียอะไรล่ะ...”
“เสียดายที่พี่ต้องรีบไป เสียดายที่เราเจอกันช้าไป เสียดายที่...แหม พี่อยากจะพาน้องไปด้วยกันซะตอนนี้เลยจริงๆ นะเนี่ย...รับรองว่า ดัง ดัง ดัง”
“ลูกพี่ครับ” เสือชี้ให้ดูนาฬิกา
“เออ...เอางี้นะ น้องก้อยจ๋า น้องก้อยเอากีตาร์นี้ไว้ พี่คำรณยกให้เลย ขอให้น้องก้อยฝึกให้ดี ฝึกให้คล่อง แล้วอย่าเพิ่งตกปากรับคำเซ็นสัญญากับใคร ก่อนพี่คำรณเป็นอันขาด...แล้วพี่จะกลับมา พี่คำรณจะพาน้องเข้าสู่วงการเองจ้ะ...รับรองว่า ดัง ดัง ดัง”
คำรณเดินออกจากเฟรมไปพร้อมกับเสือ
ก้อยนั่งนิ่ง ครุ่นคิด แต่ก็มีแววแห่งความสุขฉายพอได้เห็นอยู่เล็กน้อย
รถบารมีแล่นมาตามถนนในเหมือง รายทางเห็นบรรยากาศที่สวยงามของเหมือง M.S. ภายในรถ...บารมีขับรถไปพร้อมกับอ้าปากร้องเพลง ตามเสียงเพลงในวิทยุ แก้มนั่งมองทิวทัศน์ผ่านกระจกรถเพลินๆ
ตองนั่งเบียดแก้ม และแอบจับมือกันไว้แน่น
ไม่นานนักรถบารมีแล่นเข้าไปจอดหน้าสำนักงาน บารมีก้าวลงจากรถก่อนใคร เขาเดินตรงเข้าไปในสำนักงาน ที่ดูเงียบเหงา ไร้ผู้คน ส่วนตองและแก้ม ลงมาแล้วเดินถ่ายรูปเล่นอยู่แถวๆ หน้าอาคารนั้น พนักงานแม่บ้านคนหนึ่งเดินมาต้อนรับบารมี
“ทำไมเงียบเชียบอย่างนี้ ใครๆ ไปไหนกันหมด”
“ปกติก็ไม่ค่อยมีใครอย่างนี้แหละค่ะ” แม่บ้านบอก
“เฮียทนงศักดิ์ล่ะ”
“ไปเที่ยวเขื่อนกับคุณต้น กับคุณสุชาติค่ะ เห็นว่าจะนอนที่เขื่อนซักวันสองวัน”
“อือม...งานที่เหมืองมันหนักอย่างนี้เองเนอะ...”
บารมีแขวะ แล้วเดินหัวเราะหายเข้าไปในอาคาร
ตองและแก้มยืนสูดอากาศเต็มปอด
“เชื่อมั้ย นานๆมาที ตองเกือบจะจำทางไม่ได้อยู่แล้ว” กองว่า
“พ่อตองคุมเหมืองนี้ทั้งหมดเลยเหรอ” แก้มถาม
“ไม่ทั้งหมดหรอก...มีขวัญใจแก้มด้วย...อากู๋เหลียงไง”
“เหรอ...”
“เราไปเที่ยวให้ทั่วเหมืองกันเลยดีกว่า...เดี๋ยวตองไปหาคนนำทางก่อนนะ”
“อย่าเลย...ไปกันเองเหอะ”
“ไปยังไง” ตองงง
“โน่น...”
แก้มชี้ไปที่มุมหนึ่งของอาคาร เห็นมอเตอร์ไซค์เล็กๆ สองคันจอดอยู่
ต่อมา มอเตอร์ไซค์สองคันโลดแล่นไปบนถนนในเหมือง ฝุ่นคละคลุ้ง กระจายไปทั่วมอเตอร์ไซค์คันที่แก้มขี่ วิ่งนำหน้า โดยมีตองขี่อีกคันตามมาข้างหลัง แก้มมีความสุขที่สุด ตองมีความสุขไม่แพ้กันมอเตอร์ไซค์คันของตอง หลงหายไปจากเส้นทาง
รถมอเตอร์ไซค์ของแก้ม วิ่งขึ้นเนินเขาที่ลาดชัน แก้มบิดคันเร่งเต็มที่ มอเตอร์ไซค์ทะยานขึ้นไปเต็มกำลังของมัน มอเตอร์ไซค์วิ่งตัดหน้ารถบรรทุกคันใหญ่ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง รถบรรทุกเบรคเสียงดังลั่นมอเตอร์ไซค์เสียหลัก ล้มลง แก้มล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น
ชาติชายกระโดดลงมาจากรถบรรทุกด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ที่นี่ไม่ใช่สวนสนุกนะไอ้หนู ไม่อนุญาตให้เข้ามาขี่รถเล่น...ไป ออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้เลย”
แก้มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“โธ่ แค่นี้ก็ต้องดุต้องไล่กันด้วย”
ชาติชายเห็นเป็นแก้ม ก็ถึงกับชะงัก
“เฮ้ย มาถึงนี่ได้ยังไงเนี่ย...แล้วมาทำไม”
“ยิ้มหน่อยสิคับอา...แหม อุตส่าห์มาหาด้วยความคิดถึง”
“ไม่ต้องมาทำทะลึ่ง...ยายตองมาด้วยรึเปล่า”
“มาสิฮะ มาด้วยกัน ไม่งั้นแก้มจะมาได้ยังไง”
“ยายตองอยู่ไหน”
“เมื่อกี้ขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยกัน แต่ตอนนี้อยู่ไหนแล้วไม่รู้”
ชาติชายหยิบวิทยุสื่อสารพูด
“ไอ้ผ่อง...ขับรถวนหามอเตอร์ไซค์ยายตองหน่อย...เดี๋ยวหลงออกไปนอกเขตเหมืองจะยุ่ง”
“อานี่ ยิ่งดูยิ่งเท่ห์แฮะ เท่ห์โคตรๆ เลย” แก้มปลื้มโครตๆ
ชาติชายหันมาพูดกับแก้ม ด้วยน้ำเสียงดุ จริงจัง
“เธอต้องการอะไรกันแน่”
แก้มร้อง “ห๊ะ”
“ก็ที่เธอมาตีสนิทกับยายตอง ไปนอนที่บ้านยายตอง แล้วพากันมาถึงที่เหมืองนี่ เธอทำอย่างนี้ เพราะต้องการอะไร”
ถูกชาติชายคาดคั้น แก้มเริ่มมีสีหน้าตึงๆ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นทีละนิด
“ไม่ได้ต้องการอะไร”
“แล้วทำไมต้องปิดบังเรื่องส่วนตัวด้วย...เรื่องราวของเรากับพ่อกับแม่ เป็นยังไง ยายตองรู้บ้างมั้ย ประวัติความเป็นมาของครอบครัวเราน่ะ เคยเล่าให้ฟังบ้างรึเปล่า”
แก้มนิ่ง เครียดหนัก
“เพราะถ้ายังปกปิดเรื่องส่วนตัวเป็นความลับอย่างนี้ ฉันถือว่าเราเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ” ชาติชายบอกเสียงเข้ม
มีรถบรรทุกคันใหม่แล่นเข้ามาในบริเวณนั้น ผ่องเป็นผู้ขับ และตอง นั่งมากับรถคันนั้นด้วย ตองตะโกนเรียกเพื่อนทันที
“แก้ม...ตองหลงทางละ รถมันก็ดับไปเฉยๆ เลย”
แก้มบอกกับชาติชาย “อาต้องการคำตอบใช่มั้ยฮะ”
ตองเพิ่งสังเกตเห็นบรรยากาศและอารมณ์ของคนทั้งคู่
“อากู๋ทำอะไรเพื่อนตองอีก”
“ได้ แก้มจะตอบอา ทั้งหมดที่อาอยากรู้”
“อย่าแก้ม ไม่ต้องพูดอะไรเลย”
แก้มพรั่งพรูความในใจทั้งหมดออกมาโดยที่ไม่อาจมีใครห้ามได้
“แก้มเป็นเด็กบ้านแตก พ่อกับแม่เลิกกัน พ่อมีเมียใหม่ ไม่ดูแลไม่แยแสแก้ม...แม่ก็หันไปคบพวกนักการเมือง ทำอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ แต่ทำแล้วได้เงินทีละเยอะๆ...แก้มต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง โดยที่ไม่มีใครสนใจใยดี... แก้มต้องแกล้งทำเป็นผู้ชาย เพื่อจะอยู่ด้วยตัวเองตามลำพังได้อย่างปลอดภัย...วันนั้น แก้มแค่อยากไปดูหน้าแม่ ว่าเป็นยังไงบ้าง มีความสุขดีมั้ยก็เท่านั้น...”
น้ำตาแก้มเริ่มไหลพรั่งพรูออกมา ชาติชายถึงกับอึ้งไป
“บางวันแก้มก็แอบไปนั่งซุ่มดูหน้าพ่อ แก้มเห็นพ่ออยู่กับเมียเด็กๆ อายุมากกว่าแก้มไม่เท่าไหร่...อาคิดว่าแก้มควรจะทำยังไง แก้มควรจะมีชีวิตยังไง...แก้มเคยคิดว่าแก้มโชคดีที่มีตองเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนแท้ที่เข้าใจแก้มทุกอย่าง แต่ตอนนี้ถ้าอาคิดว่าแก้มเป็นตัวปัญหาทำให้ชีวิตของหลานอา ทำให้คนในตระกูลของอาต้องวุ่นวายเดือดร้อน แก้มก็กลับก็ได้”
แก้มกระโดดขึ้นรถบรรทุกของผ่อง ทั้งน้ำตาที่ไหลพราก ทุกคนยังคงนิ่ง อึ้ง
“ขอนอนที่นี่คืนนึง พรุ่งนี้แก้มก็จะไป และจะไม่โผล่มาให้อาเห็นหน้าอีกเลย”
ตองโกรธ “อากู๋ ทำไมต้องทำอย่างนี้กับเพื่อนตองด้วย”
ตองกระโดดขึ้นรถกระบะตามเพื่อนไป น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่แพ้กัน ผ่องหันมาหาชาติชาย ด้วยตาที่แดงก่ำ
“เอาไงดีครับเฮีย”
“ไปส่งเขาที่บ้านพัก”
ผ่องทำตามคำสั่งนาย
ชาติชายถอนหายใจแรงๆ
ฟากหรั่งเปิดประตูเข้ามาในห้องเผ่าลาภ โดยเผ่าลาภยืนรออยู่
“ขอแสดงความยินดีอย่างเป็นทางการ สำหรับตำแหน่งเลขาคนใหม่ของผม”
“คงจะมีแต่คุณเผ่าลาภคนเดียวเท่านั้นแหละครับที่ยินดี ผมไม่เห็นว่าคนอื่นเขาจะยินดีด้วยเลย”
“นั่นเพราะพวกเขาไม่รู้จักนายอย่างที่ฉันรู้จัก”
“หรือไม่ก็รู้จักดีกว่าที่ท่านรู้จัก”
เผ่าลาภจ้องหน้าหรั่งนิ่ง “เป็นไปไม่ได้”
“ผมก็หวังเช่นนั้นครับ”
“ที่ฉันเรียกนายมาเพื่อจะแจ้งภาระสำคัญสำหรับนาย”
“คุณเผ่าลาภจะให้ผมทำอะไรครับ”
“ฉันต้องการให้นายสอนแพรวา”
“ให้ผมเป็นอาจารย์สอนคุณแพรวา”
เผ่าลาภขยับเปลี่ยนอิริยาบถ แล้วค่อยๆ เรียบเรียงความในใจ
“มันเป็นความลำบากใจของคนเป็นพ่อที่มีความใกล้ชิดกับลูกมาก ทำให้บางครั้งลูกไม่เชื่อในสิ่งที่พ่อสอน...เรื่องบางเรื่องเราจึงจำเป็นต้องใช้คนที่ ลูกของเราพร้อมจะเชื่อฟังเขามาเป็นตัวแทน”
“อะไรทำให้ท่านคิดว่า คุณแพรวาพร้อมจะเชื่อฟังผม”
“เพราะฉันเป็นพ่อของแพรวา”
“ไม่คิดว่าเป็นการเสี่ยงเหรอครับ ที่มอบหน้าที่นี้ให้ผม”
“คนในตระกูลของฉัน เสี่ยงมาตั้งแต่เกิด ทุกคน...ลองบอกฉันมาซิว่า ทำยังไงแพรวาถึงจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารที่แข็งแกร่งได้ โดยเร็ว”
“แต่งงานกับนักบริหารเก่งๆ”
เผ่าลาภหัวเราะชอบใจ
“อย่างนั้นมันเร็ว แต่ไม่ยั่งยืน.....นาย เป็นโรคกลัวความสูงมั้ย”
หรั่งส่ายหน้า
“ตามฉันมา”
เผ่าลาภเดินนำ หรั่งค่อยๆตามไป
ที่ดาดฟ้า ตึก M.S. สภาพโดยรอบโล่ง มุมหนึ่งของลานโล่ง เป็นห้องกระจก สำหรับนั่งเล่นได้ มีหลังคาคลุม เผ่าลาภเดินนำหรั่งเข้ามาจากทางด้านบันได ตรงข้ามห้องกระจกนั้น
“นายเคยขึ้นมาสูงอย่างนี้มั้ย”
“ถ้าหมายถึงความสูงของอาคาร...สูงกว่านี้หลายเท่าผมก็เคยขึ้น...แต่ ถ้าหมายถึงการใช้ชีวิต ผมไม่เคยอยู่สูงอย่างนี้มาก่อน”
“ตำแหน่งเลขา M.D. นี่สูงพอแล้วเหรอ”
เผ่าลาภพูดพร้อมยิ้ม...หรั่งยิ้มตอบเฉยๆ
“เกือบปีแล้วที่ฉันไม่ได้ขึ้นมาบนนี้...นอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครอีกเลยที่สนใจจะขึ้นมา...ยายแพรวาเองก็ไม่เอา”
“มีคนชอบพูดว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว”
“มันเป็นคำพูดของคนที่อยู่ข้างล่าง...พวกเขาไม่รู้หรอกว่า เวลาที่อยู่บนนี้ มันทำให้ฉันมองเห็นพวกเขาได้อย่างละเอียด มองเห็นทุกอย่างได้รอบด้าน....ฉันสามารถมองออกไปไกลแสนไกลได้จากที่สูงนี่แหละ”
“แต่สูงไปมันก็ไม่มั่นคง และโดดเดี่ยว”
“ใช่ เพราะฉะนั้นคนที่จะขึ้นมาอยู่บนที่สูงได้ ต้องเป็นคนพิเศษ ต้องเข้มแข็ง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีฐานรากที่มั่นคง...”
เผ่าลาภหันมาจ้องหน้าหรั่ง ด้วยแววตาเฉียบคม
“ฉันไม่ได้คาดหวังว่าแพรวาจะเก่งกล้าได้ในเร็ววัน...แต่ฉันอยากมั่นใจว่า เขาจะมีฐานรากที่แข็งแกร่งเพียงพอ คอยประคองอยู่”
หรั่งตอบสนองด้วยสายตาที่เข้าใจในความหมาย เผ่าลาภเดินไปดึงผ้าใบสีดำออกจากสิ่งที่มันปกคลุมอยู่ จึงเห็นว่ามันคือกล้องดูดาวขนาดใหญ่ ชนิดที่มีกล้องเล็ง
“คุณชอบดูดาวเหรอครับ”
“ฉันชอบดูปรากฏการณ์ สังเกตความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า มันเป็นสถิติที่ช่วยในการตัดสินใจได้...และเมื่อไม่นานนี้ ดวงดาวก็บอกอะไรบางอย่างกับฉัน”
“อะไรครับ”
“มันบอกฉันว่า...ฉันจะมีโอกาสดูมันได้อีกไม่นานแล้ว”
เผ่าลาภก้มลง แหย่ตาไปในช่องมองของกล้องดูดาว
หรั่งดูจะเข้าใจความหมาย และความต้องการของเผ่าลาภไปซะทุกอย่าง
“ผมจะผลักดันให้คุณแพรวาขึ้นมาอยู่สูงเสมอท่านให้ได้ โดยเร็วที่สุดครับ”
เผ่าลาภพูด โดยตายังอยู่ที่กล้อง “แพรวาเป็นเด็กดื้อ ชอบเอาชนะ...ต้องลองปล่อยให้เขาทำ ให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง เขาถึงจะเข้าใจ”
หรั่งฟังนิ่งๆ
ที่ตลาดค้าพลอย เมืองจันท์ ตอนค่ำ วันเดียวกัน บรรยากาศคึกคัก แลเห็นชายผิวดำร่างสันทัด สายตาคมปานเหยี่ยวกำลังเพ่งมองพลอยเม็ดเล็กๆ ที่อยู่ในมือ
ชายหนุ่มนั่งอยู่เบื้องหน้าสองคน มีท่าทางเป็นคนต่างเมืองที่เอาพลอยมาขาย ชื่อของชายผิวดำที่ใครๆรู้จักคือ เฮียเขียว ผู้กว้างขวาง
หญิงชาวบ้านท่าทางไม่ต่างจากแม่ค้าทั่วไปเดินเข้ามา
“อ้ะ มีโน้ตถึงแก”
เฮียเขียวถาม “จากใคร”
หญิงนางนั้นอ่านงงๆ “เผ่า...อะไรวะเนี่ยะ...อ่านไม่ออก”
เฮียเขียวสวนออกมา “เผ่าลาภ”
“เออ เผ่าลาภ...อ้ะ เขาว่าไงไม่รู้ อ่านดูเอาเอง”
เฮียเขียวเงยหน้าขึ้นจากการส่องดูพลอย มันพูดกับชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า
“อือม...คิดยังไงถึงมาหาผม”
ชายคนนั้นบอก “ใครๆ ก็บอกว่า ต้องเฮียเขียวเท่านั้นที่ตาถึง”
“แต่ผมขอแนะนำว่าถ้าคุณอยากได้ราคาดี ไปหาพ่อค้าเด็กๆ เถอะ ยิ่งเด็กยิ่งดี ที่ไม่ค่อย
ประสีประสาน่ะ...พลอยอย่างนี้ อย่ามาหาผมให้เสียเวลาอีกนะ...เพราะผมมันพวกตาถึง”
ชายสองคนจ๋อยลงไป เฮียเขียวหันไปตักก๋วยเตี๋ยวกินหน้าตาเฉย
ตอนค่ำ เผ่าลาภเดินออกจากตัวตึก ตรงไปที่รถ แพรวาเดินตามผู้เป็นพ่อออกมา...หรั่งเดินตามมาหลังสุด สยามยืนรออยู่ใกล้ๆรถอยู่แล้ว...ตรงเข้ารายงานเผ่าลาภ
“ท่านครับ เฮียเขียวขอเลื่อนนัด เป็นพรุ่งนี้สิบโมงเช้า”
เผ่าลาภเซ็งขึ้นมาทันที “อือม”
“และก็ขอเปลี่ยนสถานที่นัด เป็นที่บ้านของเขาครับ”
“เรื่องมากนัก ก็ไม่ต้อง ขง ไม่ต้องขาย มันละวะ”
เผ่าลาภก้าวเข้าไปนั่งในรถ...เขาโผล่หน้าออกมาตะโกนพูดกับหรั่งที่อยู่นอกรถ
“พรุ่งนี้มารับลูกสาวฉัน ตามปกตินะนายหรั่ง”
เผ่าลาภปิดประตู...แพรวาก้าวเข้าไปนั่งในรถแล้วปิดประตู....รถเคลื่อนออกไป
คืนนั้น ที่บ้านกลางทุ่ง หรั่งแกะอาหารจากถุงใส่ลงในจาน ชาม และเริ่มพูดก่อน
“วันนี้ พวกนั้นมันเข้ามาทำอะไรกัน”
ก้อยนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว
“พวกไหน”
“ก็ไอ้คนที่รับโทรศัพท์ตอนที่หรั่งโทรเข้ามาไง”
“อ๋อ คุณคำรณ”
“เออ นั่นหละ...”
“เขาหลงทางมา เขาเข้ามาถามทาง จะไปส่งเครื่องดนตรี...หรั่งรู้มั้ยเชายังชวน....”
หรั่งยกอาหารมาวางบนโต๊ะ โดยไม่ค่อยได้ฟังก้อยพูดซักเท่าไหร่ พูดสวนทับไปทันที
“วันนี้พวกไอ้เช็งแวะมารึเปล่า”
ก้อยงง “ห๊ะ”
“โอ้เท่ห์ ไอ้โบ้ ไอ้เช็ง...แวะมาเยี่ยมก้อยบ้างรึเปล่า”
“เปล่า...พวกเขาคงช่วยกันทำบ้านอยู่มั้ง”
หรั่งหยิบน้ำมาวางข้างๆก้อย แล้วนั่งลง
“ก้อย...ช่วงนี้หรั่งค่อนข้างยุ่งนะ ต้องช่วยงานเขาเยอะเลย...หรั่งอาจจะต้องกลับค่ำ”
“ไม่เป็นไร...” ก้อยซึมลงไปนิด...นิดเดียวเท่านั้น
“เอางี้นะ...ทุกเช้าหรั่งจะไปฝากก้อยไว้ที่บ้านน้าเบิ้มก็แล้วกัน...แล้วตอนค่ำเลิกงานแล้วหรั่งค่อยแวะไปรับ...หรั่งจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงก้อยไง”
“หรั่งห่วงก้อยด้วยเหรอ...”
ความในใจของก้อยค่อยๆถูกระบายออกมาทีละนิด
“ห่วงสิ”
“ถ้าห่วง ทำไมหรั่งต้องฝากก้อยไว้กับคนอื่นด้วย ทำไมเราไม่กลับไปอยู่ที่นั่น เหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆล่ะหรั่ง”
หรั่งอึ้งไป เขาซบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองอย่างเหนื่อยหน่าย โดยที่ก้อยไม่อาจเห็นท่าทางเหล่านี้ได้เลย
“ก้อย...เราจะถอยกลับไปอยู่ที่เก่าทำไมล่ะ คนเราต้องมีชีวิตที่ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ สิ...นี่มันบ้านของเรานะก้อย...ถ้าไอ้พวกนั้นมันอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น มันต่างหากที่จะต้องย้ายมาอยู่กับเรา”
“หรั่ง...หรั่งเคยคิดมั้ยว่า...ถ้าหรั่งอยู่ตัวคนเดียว อะไรๆ มันจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้...หรั่งคงจะก้าวหน้าได้ไปได้ไกลกว่านี้เยอะ”
ทั้งคู่เงียบ 5 วินาที หรั่งเดินกลับไปห้องของตน ทิ้งก้อยให้นั่งอยู่กับที่คนเดียวเท่านั้น น้ำตาอันใสสะอาดไหลเอื่อยๆ ออกมาจากดวงตาที่มองอะไรไม่เห็นของก้อย
ฟากหรั่งทิ้งตัวลงนอนกลางห้อง ด้วยความอึดอัดใจ สายตาจับจ้องที่เพดานห้อง แต่มันไม่มีรูปแพรวาเหมือนบ้านที่ชุมชนจานเดี่ยว จึงเป็นการจ้องมองราวกับว่าจะพยายามหาทางออกจากเพดานนั้นให้ได้
ด้านก้อย เธอยังนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับน้ำตาหยดนั้น
หรั่งนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นกัน คืนนี้ทั้งคืน เขาคงนอนไม่หลับ...ทั้งเครียด...ทั้งหิว
ขณะเดียวกัน สำนักงานเหมือง M.S. ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มีเท้าคู่หนึ่งก้าวเข้ามาในความมืดมิดแสงสว่างเป็นวงจากกระบอกไฟฉาย สาดนำหน้าเท้าคู่นั้น ที่เดินมาจนถึงประตูห้อง แสงไฟสว่างกระทบไปถึงป้ายหน้าห้องนี้ เขียนบอกว่า "ผู้จัดการโรงเจียร - สต็อกพลอย"
มือขนาดใหญ่และหยาบกระด้างยื่นเข้ามาจับลูกบิดหมุนแผ่วเบา...จนไม่เกิดเสียง ประตูบานนั้นเปิดออก...ใครคนนี้เดินเข้าห้องนั้นไป
แสงไฟดวงใหม่สาดเข้ามาใน ลักษณะเดียวกัน มันค่อยๆ เคลื่อนมายังห้องนี้
เท้าคู่ใหม่นี้...เป็นรองเท้าผ้าใบของวัยรุ่น ที่เดินมาหยุดตรงหน้าประตู
ชายผู้มาใหม่ยืนคาอยู่ตรงนั้น....เขาคือ กฤษฎา หรือ ต้น นั่นเอง
ชายคนแรก...ดูเหมือนว่ามันกำลังพยายามเปิดตู้เซฟอยู่ กฤษฎาเอื้อมมือเปิดไฟ...ทั้งห้องสว่างมากขึ้น จนพอเห็นหน้ากันได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ....แกเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในนี้”
ชายผู้นั้นค่อยๆหันหน้ามา...ที่แท้เขาคือ บารมี
“โธ่...อากู๋”
“เจ้าต้น”
“อากู๋มาทำอะไรที่นี่”
“มาทำงานสิวะ”
“งานอะไร”
“อาเป็นพนักงานที่นี่แล้วนะ ประจำอยู่ M.S. FACTORY เพิ่งบรรจุใหม่สดๆ ร้อนๆ เลย”
“จริงเหรอ...ตำแหน่งอะไร?”
“รองผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัย”
“หัวหน้ายาม”
“เฮ่ย...ไม่ใช่ยาม...หน้าที่อาคือรักษาความปลอดภัยของ ของที่อยู่ในเซฟนี้”
“แต่ถ้าใครมาเห็นสภาพอากู๋อย่างที่ผมเห็นอยู่นี้ เขาต้องคิดว่าอากำลังจะขโมยของในเซฟมากกว่า”
“เจ้าต้น...ถ้าอาไม่รู้ว่าของที่อยู่ในเซฟคืออะไร...อาจะรักษามันได้ยังไง...ลื้อเองก็เหมือนกันละว้า รองผู้จัดการฝ่ายสต็อก ย่องมาทำอะไรดึกๆอย่างนี้...แหม ใส่ทั้งถุงมือ ทั้งหมวกคลุมหน้า กระบอกไฟฉายใหญ่กว่าของอาซะอีก”
“อย่าบอกแม่นะอา...ต้นเพิ่งแอบเข้ามาเป็นครั้งแรก”
“เถอะน่า...เรามันเชื้อเดียวกันโว้ย...บอกรหัสอามา แล้วทุกอย่างมันจะจบเร็ว”
ต้นบอกรหัสเซฟ ทั้งคู่ช่วยกันเปิดออก...หน้าตาเบิกบานประสาคนชั่ว
รุ่งเช้า ที่ลานข้างบ้านผู้ใหญ่เงาะ ชุมชนจานเดี่ยว ผู้ใหญ่เงาะ พร้อม ชาย 2 คนจากศูนย์พัฒนาชุมชน และทีมทนายเจ้าของที่ดิน 2-3 คน นั่งล้อมวงคุยกันกลางลาน ชาวบ้านนั่งเป็นวงโอบอยู่รอบๆ
“หลังจากที่เจรจาความกันไปมาหลายเที่ยวอยู่เหมือนกัน...ทางเจ้าของที่ท่านก็มีความเห็นใจพวกเราอยู่มาก” ทนายเอ่ยขึ้น
“เลยจะยกที่ให้พวกเราอยู่กันฟรีๆ” เบิ้มโพล่งออกมาซะดัง
ชาวบ้าน เฮ
“อันนี้คงไม่ได้นะครับ” ทนายบอก
“งั้นได้แค่ไหนก็ว่ามาเลย” ผู้ใหญ่ถาม
“เราจะทำสัญญาเช่ากันแบบปีต่อปี รายละเอียดข้อห้ามก็ตามที่เคยคุยกันเอาไว้...บ้านทุกหลัง จะมีประปาไฟฟ้าทะเบียนบ้านตามต้องการได้ ส่วนค่าเช่า ขอยืนอยู่ที่ 700 บาทต่อหลังต่อเดือน”
ผู้ใหญ่หันไปหาชาวบ้าน ถามความเห็น
“เขาจะเอา 700 บาท ไม่มีส่วนลด ไหวหรือไม่ไหววะ”
ชาวบ้านหันหน้าซุบซิบกันเองพึมพำ ไม่มีใครตอบ
“ไหวก็แล้วกันเถอะวะ...เพื่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพวกเรา...ขยันๆกันอีกหน่อย...ใครไม่ไหวก็มาบอกฉัน ช่วยๆกันเว้ย อีกหน่อยเราก็จะมีสหกรณ์ของเราแล้ว ใช่มั้ย”
ผู้ใหญ่หันไปถามกับ ชาย 1
เขาตอบ “ใช่”
ชาวบ้าน ถามอีก “สหกรณ์เนี่ยมันเป็นยังไงล่ะ ผู้ใหญ่”
ผู้ใหญ่หันมามองหน้าชาย 1 อีก
“คือ เราจะมีทุนกองกลาง เอาไว้ดูแลซี่งกันและกันในทุกๆเรื่อง รายละเอียดเรามาตกลงกันเองอีกที” ชาย 1 ว่า
ชาวบ้านยังคงพูดคุยกันถึงความพร้อมของตนเอง
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาพอดี มีก้อยอุ้มกีตาร์ซ้อนมาด้วย เบิ้มหันไปเห็น เขาตะโกนเรียก
“อ้าว ไอ้หรั่ง...เฮ้ย ไอ้หรั่งมันมาโว้ย...ตกลงจะกลับมาอยู่กับพวกเราใช่มั้ยวะ”
“เปล่าครับ...ผมจะมาขอฝากก้อยไว้ เย็นๆ เลิกงานแล้วค่อยมารับ”
สีหน้าก้อยหมองลง เหมือนเธอน้อยใจอยู่ลึกๆ
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ตรงมุมหนึ่งบริเวณบ้านพักในเหมือง ช่วงเช้า ตองและแก้ม นั่งบนพื้น ข้างกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง หน้าตาทั้งคู่เซื่องซึม ตาบวมเป่ง ด้วยผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
กฤษฎาเดินเข้ามาหา ส่งเสียงบ่นมาจากด้านหลัง
“อะไรของแกวะยายตอง เอาแต่ใจตัวเองจริงๆ นึกอยากจะมาก็จะมาให้ได้ นึกอยากจะกลับ ก็จะกลับให้ได้...ใครจะมานั่งตามเอาใจแกวะ...น่าเบื่อจริงๆ”
“แล้วพี่ต้นน่ารักตายละ...โธ่ อยู่เหมือง นึกว่ามาทำงาน...ที่แท้มาเที่ยวเล่น แถมมีบริวารส่วนตัวอีกต่างหาก...กลับไปตองจะฟ้องซากู๋...ให้ด่าซะให้เข็ด”
“ไม่ต้องทำปากมากเลยนะ ยายตอง เดี๋ยวจะโดน”
“โดนอะไร...ใครจะโดนกันแน่”
สองพี่น้องปรี่เข้าหากัน ราวกับจะมีเรื่อง ทนงศักดิ์เข้ามาห้ามไว้ทัน
“หยุดนะ เงียบทั้งคู่เลย...แยกไปอยู่กันคนละมุมซะ”
กฤษฎาเลี่ยงออกไป ทนงศักดิ์เดินเข้ามาพูดกับลูกสาว
“ป๊าบอกม้าแล้ว...เดี๋ยวถ้ามีรถว่างเขาจะส่งมารับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ทนงศักดิ์ชี้มือไปที่แก้ม “นั่นไม่สบายรึเปล่า หน้าซีดอย่างนั้น”
ตองตอบแทน “เปล่า...แค่ไม่สบอารมณ์นิดหน่อย”
“ทีหลังจะพาเพื่อนมาเที่ยว ก็เลือกเพื่อนที่ใจเย็นๆ ไม่เจ้าอารมณ์ เข้าใจมั้ย”
ทนงศักดิ์เดินจากไป ตองเดินกลับไปนั่งข้างๆแก้ม
รถกระบะของชาติชายแล่นเข้ามาจอดหน้าสองสาว ชาติชายโผล่หน้าออกมาจากรถ
“วันนี้อากาศดี ท้ายเหมืองแถวๆแนวสนามกอล์ฟ แดดไม่ร้อน น่าเดินเล่นมาก...สระน้ำก็น่าว่ายเล่น ไม่มีใครมากวนใจ...ถ้าอยากจะผ่อนคลายให้หายเครียดก่อนกลับกรุงเทพฯก็เชิญ...หรือถ้าติดใจ อยากอยู่ต่ออีกซักวันสองวัน ค่อยกลับพร้อมกันก็ได้นะ...”
แก้มกับตองมองหน้ากัน แล้วหันไปมองหน้าชาติชาย เห็นชาติชายยิ้มให้แก้มอย่างอารีย์ ตองและแก้มยิ้มสดชื่นขึ้นมาทันที ทั้งสองวิ่งไปขึ้นรถชาติชาย ตองตะโกนไปทางทนงศักดิ์ที่อยู่ลานด้านนอก
“ป๊า...เปลี่ยนใจแล้ว...บอกม้าด้วยว่ายังไม่กลับ”
รถกระบะแล่นออกไปในจังหวะสนุกสนาน
ส่วนที่โถงบ้านเผ่าลาภเช้านั้น เผ่าลาภเดินยิ้มลงบันไดบ้าน ตรงมายังลินจงที่นั่งคุยอยู่กับรำไพ
“อาจู มาเยี่ยมกันแต่เช้าเชียวนะ มีกาแฟเย็นติดมือมารึเปล่า”
“ลินจงเขามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาคุณค่ะ” รำไพบอก
“มันเป็นเรื่องใหญ่ที่อั๊วไม่กล้าตัดสินใจเองตามลำพัง”
“เรื่องอะไร?”
“เราได้ออร์เดอร์จากกลุ่มลูกค้าเก่าของเรา”
เผ่าลาภร้อง “ฮ้า...ข่าวดีนี่”
ลินจงบอกอีก “ออร์เดอร์เขามากกว่าที่เราเคยส่งทุกครั้งซะด้วย”
“อย่างนั้นเชียว”
“เขาไม่ได้สั่งข้าวจากเราเพื่อช่วยเหลือเราเท่านั้นนะเฮีย แต่เป็นเพราะเขามั่นใจว่าเราจะส่งข้าวคุณภาพดีที่สุดให้เขาได้”
“นี่คือผลของการทำการค้าอย่างซื่อสัตย์ของเรา...ยังไงก็เป็นข่าวดี เพราะเราจะมีกำไรมากขึ้น...ไม่เห็นต้องทำหน้าตาเป็นกังวลอย่างนั้นเลยนี่อาจู”
รำไพท้วง “คุณฟังลินจงพูดให้จบก่อนสิคะ”
“ที่ต้องกังวลเพราะเรามีข้าวไม่พอนะเฮีย ทุกวันนี้ต้องตระเวนขอซื้อข้าวทุกวัน แทบจะทั่วทุกผืนนาอยู่แล้ว ปัญหาใหญ่ก็คือ เราต้องระดมทุนมาก มหาศาลทีเดียว ถึงจะมีข้าวพอตามออร์เดอร์ที่เขาต้องการ”
เผ่าลาภนิ่งไป เขาเพิ่งเข้าใจประเด็นปัญหา
“เขาสั่งข้าวเราเท่าไหร่”
“แสนตัน...เราต้องระดมทุน ร้อยกว่าล้าน”
“อือม...เรามีพอมั้ย”
“สนามกอล์ฟของเฮียเร่งมากมั้ยล่ะ แล้วเรื่องที่ต้องซื้อที่ดินขยายเหมือง เฮียรอได้รึเปล่า...อย่างน้อย อีกสามสี่เดือนนั่นแหละ ถึงจะมีกำไรตีกลับมาให้ทางจิเวลรี่ของเฮียได้”
เผ่าลาภลุกขึ้นเดินครุ่นคิด ด้านหลังของเขาเราจะเห็นแพรวาเดินลงบันไดมา
“สวัสดีค่ะอาโก”
“น้องแพร...โกเจอน้องแพรแต่ละทีๆ สวยขึ้นไม่หยุดเลยนะ” ลินจงยิ้มทัก
“อาโกก็เหมือนกันค่ะ”
สยามเดินเข้ามาพอดี เผ่าลาภเรียกไว้
“เฮียเขียวเขานัดวันนี้กี่โมงนะ”
“สิบโมงเช้าที่บ้านเขาครับ”
“นายหรั่งมารึยัง”
“อยู่ข้างนอกแล้วครับ”
เผ่าลาภหันกลับไปหาลินจง
“อาจู ตกลงลื้อรับออร์เดอร์ไว้เลย รวบรวมเงินทั้งหมดที่เรามี กว้านซื้อข้าวให้ได้ตามจำนวนที่เขาต้องการ เรื่องอื่นไม่ต้องห่วง เฮียรับผิดชอบเอง”
รำไพท้วง “แน่ใจนะคะคุณ”
“อือม...แพรวา วันนี้ลูกไปบ้านเฮียเขียวทีนะ เอาพลอยดิบสิบเม็ดไปให้เขาดู บอกเขาว่าป๋าตั้งใจขายเขาโดยเฉพาะ ไปกับนายหรั่งนะลูก”
“ค่ะ”
บ้านไม้สองชั้นหลังย่อมๆ ตั้งอยู่ระหว่างกลางแมกไม้ รอบๆ บ้านมีร่องผัก ผลไม้ เล้าไก่ กรงนก กระจัดกระจายตามเรื่อง ที่นี่คือบ้านเฮียเขีย มีเด็กหัวจุกคนหนึ่งหอบถุงพะรุงพะรัง จำพวกอาหารนก อาหารหมา วิ่งเข้าบ้านไป หมาส่งเสียงเห่าระงม เด็กไล่เตะหมา...เอาหินปาใส่ จนมันหยุดเห่า
นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงสามสิบห้านาที เห็นแพรวานั่งรออย่างหงุดหงิด ที่ระเบียงบ้านเฮียเขียว ส่วนหรั่งนั้นดูสบายๆ เขาฆ่าเวลาด้วยการให้อาหารปลาในบ่อ
“น้าหยามจำเวลานัดผิดรึเปล่า”
“ไม่น่าจะผิดครับ”
“ก็นี่มันสิบโมงกว่าแล้วนี่นา”
“นัดดูของแบบนี้ต้องใจเย็นๆ ครับ”
เด็กผมจุกคนนั้นเดินเข้ามา
“น้าๆ...เฮียเขียวบอกว่า รออีกแป๊ปนึง”
“จะมาแป๊ปเปิ๊ปอะไรอีกล่ะ...นี่ก็เลยเวลานัดมาตั้งนานแล้วนะ” แพรวาฉุน
“เฮียเขายังไม่เสร็จธุระ บอกว่าให้รออีกซักชั่วโมงนึง”
แพรวาไม่สบอารมณ์มาก “โอ้โฮ”
“ธุระที่ไหน รู้มั้ยไอ้หนู”
“สวนจตุจักร เฮียเขาบอกว่า ถ้ารอไม่ไหวให้กลับไปก่อนได้”
เด็กหัวจุกวิ่งจู๊ดออกไปทันที แพรวาขยับตัวลุกขึ้นเดินออกไปจากตรงนั้น หรั่งยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม สักพัก แพรวาเดินกลับมานั่งใกล้หรั่งอีกครั้ง บ่นอย่างอารมณ์เสีย
“ถ้าเที่ยงแล้วเขาก็ยังไม่มา...เราไม่ต้องรอเขาจนถึงเย็นเหรอ”
“ก็คงงั้น...ผมว่ามันเป็นเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงทางธุรกิจของเขามากกว่า”
“คนผิดเวลาอย่างนี้ คุณป๋าไม่น่าทำธุรกิจด้วยเลย”
“คุณพ่อคุณคงจำเป็น”
“จำเป็นแล้วทำไมคุณป๋าไม่มาเอง”
“ท่านอยากให้คุณรู้จักอดทนบ้าง”
แพรวาส่ายหน้า “อดทนอะไร ไม่เข้าท่าเลย”
“คุณรู้มั้ยครับ พลอยดิบสิบเม็ดในกระเป๋านี่ ราคาเท่าไหร่”
“สิบล้าน”
“ระหว่างคนที่จ่ายเงินสิบล้าน กับคนที่รับเงินสิบล้าน...ใครควรจะอดทนรอใครครับ”
แพรวาบ่นๆ “บ้านแบบนี้เหรอ จะมีเงินมาซื้อพลอยเราถึงสิบล้าน”
ขณะเดียวกัน ตะวันฉาย เดินหล่อเข้ามาในบริษัท M.S. Jewelry พนักงานสาวยืนขึ้นต้อนรับ
“คุณตะวันฉายมาหาคุณแพรวาเหรอคะ วันนี้เธอยังไม่เข้าบริษัทเลยค่ะ”
ตะวันฉาย ยิ้มอย่างหล่อเชียว
“ไม่เป็นไร ผมตั้งใจมาขอพบคุณอาอรทัยมากกว่า”
ครู่ต่อมา ตะวันฉายนั่งอยู่ที่ห้องทำงานอรทัย
“ยินดีมากเลยจ้ะ...แหม ไม่นึกว่าบริษัทเล็กๆอย่างอา จะได้รับเกียรติจากหลานตะวันฉายมาขอคำปรึกษา”
“ไม่เล็กเลยครับ สำหรับ M.S.JEWELRY...ผมสิครับเล็ก”
“ใครว่าคะ”
“ใครๆ เขาก็ว่ากันทั้งนั้นว่าผมอาศัยบารมีพ่อ ผมก็เลยยิ่งต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด”
“แล้วอาจะช่วยอะไรหลานได้บ้างล่ะจ๊ะ”
“ช่วยได้มากเลยครับ”
อรทัยตั้งท่ารอฟังอย่างตั้งใจ
“หนึ่ง จ้างบริษัทผมทำ PR”
“ว่าไงนะ”
“ผมเปิดบริษัทโฆษณาได้พักใหญ่ๆแล้วครับ แต่ไม่มีใครกล้าจ้างผม...ไม่ใช่เรื่องผลงานนะครับ...แต่เขากลัวว่าจะไปเกี่ยวข้องกับขั้วการเมือง”
“อ๋อ”
“แต่ผมเห็นว่า คุณเผ่าลาภก็อยู่พรรคเดียวกับคุณพ่อ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร และที่สำคัญผมรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของบริษัท M.S. ช่วงนี้ดูเงียบๆไป ต้องรีบปรับแนวทางการประชาสัมพันธ์โดยด่วน”
“จริงของหลาน อากำลังเบื่อเอเจนซี่เก่าอยู่พอดี” อรทัยหลงลม
“และถ้าอาตกลงจ้างบริษัทผม ก็เท่ากับช่วยผมได้อีกหนึ่งข้อ”
“ข้อนี้คืออะไรจ๊ะ”
“ผมก็จะได้เรียนรู้โครงสร้างของบริษัท M.S. ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับบริษัทส่งออกของผมที่กำลังจะเปิดตัวในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ได้”
อรทัยมีสีหน้าประหลาดใจ
“หลานมีบริษัทส่งออกด้วย ?...แล้วจะส่งออกอะไรจ๊ะ”
“ปลาสลิดครับ...ผมจะส่งออกปลาสลิด”
อรทัยเห็นงามตามไปหมด “อือม...แหลมคมจริงๆ เลยหลาน หลายๆ ครั้งที่อาไปต่างประเทศ แล้วเกิดอยากกินปลาสลิด...มันหาไม่ได้จริงๆ ซะด้วยสิ”
“ครับ... ไม่ว่าคุณอาจะตกลงจ้างผมหรือไม่ ผมก็จะขอรบกวนคุณอาช่วยพาผมเดินดูทุกๆ ฝ่าย ในบริษัทเป็นเบื้องต้นก่อนได้มั้ยครับ เผื่อผมจะขอ ลอกแบบ ระบบ ระเบียบภายในของบริษัทคุณอา เอาไปใช้บ้าง”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะหลาน”
อรทัยหลงกลตะวันฉาย เต็มๆ
ส่วนที่บ้านหลังใหม่ของโบ้ ในชุมชน โบ้เป่าทรัมเป็ต คู่ใจ ตีกลอง และอุปกรณ์ดนตรีเท่าที่พอจะมีเหลืออย่างสนุกสนาน เขาวิ่งวนไปรอบๆพื้นที่บ้าน แหกปากร้องเพลง
“อายุสิบห้า ได้มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับๆแวมๆ ไฟสลัวมัวเหมือนคืนเดือนแรมอะร้าแอร่ม อยู่บนฟลอร์เต้นรำ เราเกิดมาเป็นคนต้อยต่ำ กระด่างกระดำ ดั่งเม็ดดินเม็ดทราย...สาวน้อยใจกล้าต้องมาเป็นสาวรำวง...”
ก้อยนั่งกอดกีตาร์ท่าทีเซื่องซึมอยู่กลางโถงนั้น
“แล้วอะไรต่อนะก้อย...เนื้อว่าไง...”
ก้อยบอกเนื้อเพลงต่อ หน้าตาไร้อารมณ์
“นั่งตีคิ้วโก่ง รอบัตรโค้งจากชาย”
“นั่งตีคิ้วโก่ง รอบัตรโค้งจากชาย...ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ....นิดเดียวพอได้ อย่ามากไปนะพี่จ๋า...”
เท่ห์ และเช็ง ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้าน
“โปรดมองฉันเป็นแค่เพียงอาหารตา” ก้อยร้อง
โบ้ร้องสลับ “เห็นใจเถิดหนา คู่ขาเต้นรำวง...”
“ไอ้โบ้ เจ้าเข้าเหรอมึง สนุกอะไรขนาดนั้น ห๊ะ...ไปตกปลากับกู ไป” เท่ห์แขวะ
“ไม่เอา ขี้เกียจไป...กูฝากซื้อข้าวด้วยนะ” โบ้บอก
“กูรู้...มึงอยากอยู่กับก้อย” เช็งเหน็บ
“ไอ้หรั่งมันฝากไว้เว้ย” โบ้โบ้ย
“ถึงไอ้หรั่งไม่ฝาก มึงก็อยากอาสาอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะ ทาแป้งขาวผ่อง ปั้นหน้าหล่อขนาดนั้น
เช็ง นึกว่าก้อยจะเห็นเหรอ” เท่ห์กระซิบใส่หูโบ้ แล้วสองมันก็หัวเราะจากไป
ก้อยยังคงนั่งนิ่งอยู่ โบ้ขยับตัวลงนั่งข้างก้อย
“ก้อย ถือกีตาร์ไว้เฉยๆ มันไม่สนุกหรอกนะ...เอามาดีดเล่นกันเถอะ”
“ก้อยไม่ได้อยากสนุกนี่...ก้อยอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้...พี่โบ้ช่วยรับดอกไม้มาให้ก้อยร้อยมาลัยได้มั้ย...กว่าหรั่งจะมารับ ก้อยคงร้อยได้ไม่น้อยเลยละ”
เวลาเดียวกันที่บ้านเฮียเขียว มีรถสามล้อแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้าน โดยมีกรงนก กรงหมา ต้นไม้ และอื่นๆ บรรทุกมาเต็มคันรถ หมารุมเห่ากันเกรียวกราว เฮียเขียวแหวกสัมภาระเหล่านั้นลงมา
“เออๆ รู้แล้วว่าคิดถึง ไม่ต้องเห่ากันมาก...ไอ้จุก ขนของลงให้หมด”
เด็กผมจุกวิ่งเข้ามา ขณะที่เฮียกำลังจ่ายค่าพาหนะ
เฮียเขียวถาม “สองคนนั่นยังอยู่มั้ยวะ”
แพรวายกมือไหว้ อย่างเป็นทางการ
“สวัสดีค่ะ คุณลุง”
“เรียกเฮียดีกว่าน่า...ใครๆ เขาเรียกเฮียเขียวกันทั้งนั้น จะเด็กเล็ก แก่เยอะ เรียกเหมือนกันหมด”
“คุณป๋าให้เอาพลอยมาให้เฮียเขียวดูค่ะ”
แพรวาหันไปพยักหน้าให้หรั่ง หรั่งหยิบกระเป๋าขึ้นมา เตรียมจะเปิด
“เฮียตงไม่ยักมาเองนะ ใช้ลูกสาวถือกระเป๋าราคานับสิบล้าน เชียว...เอ้าเปิดสิพ่อหนุ่มจะรอให้พลอยมันก้อนโตขึ้นรึไง”
หรั่งเปิดกระเป๋านั้นออก เห็นเป็น พลอยดิบขนาดยี่สิบกะรัต วางเรียงกันอย่างได้จังหวะงดงามในกระเป๋านั้น
“อือม...สวย...ซ้วย สวย”
“คุณป๋าบอกว่า ตั้งใจเก็บไว้ให้เฮียเขียวโดยเฉพาะเลยค่ะ”
“แหม ถ้าเป็นเมื่อสี่วันก่อน มันจะสวยกว่านี้มากเลย”
“แปลว่าอะไรคะ” แพรวางง
“ความต้องการของเฮียวันนี้ มันไม่เหมือนกับเมื่อสี่วันที่แล้ว คือเฮียไปได้พลอยของอีกเจ้านึงมา น้ำเดียวกับของเฮียตงนี่เลย แต่ราคาถูกกว่า...ทีนี้ เรามันพวกเงินหมุน...พอซื้อครั้งนึงก็ต้องรอปล่อยของให้หมดก่อน ให้มีเวลาได้หมุนก่อน ถึงจะซื้ออีกได้...แหม...คงต้องเอาไว้คราวหน้าหละ...บอกเฮียตงว่า ทีหลังขุดได้พลอยน้ำงามๆก็รีบส่งมาเลย อย่าโก่งราคา หรือดองเอาไว้นาน...เล่นตัวมากไป มันก็งี้แหละ เนอะ...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
เฮียเขียวปิดกระเป๋าแล้วลุกเดินออกจากวงสนทนา ตะโกนส่งเสียงออกไปนอกฉาก
“ไอ้จุก จุกเอ๊ย ส่งคนสวยกลับบ้านหน่อยเร้ว”
แพรวาหันไปพูดเบาๆ กับหรั่ง อาการฉุนนิดๆ
“ฉันต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ เพื่อฟังคำตอบอย่างนี้เหรอ”
แพรวาเดินมาตามทางเดินเท้าห่างออกมาจากบ้านเฮียเขียวตรงไปยังจุดจอดรถ เด็กจุกเดินตามมาอยู่ห่างๆ ไกลๆ แพรวาเดินพูดโทรศัพท์กับเผ่าลาภไปด้วย
“ตังค์ไม่มีละมากกว่า ทำมาพูดจาลีลาน่าหมั่นใส้...คุณป๋าอย่าไปค้าขายด้วยเลยคนแบบนี้”
เผ่าลาภนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจในโรงพยาบาล สีหน้ามีแววกังวล รำไพนั่งอยู่ข้างๆสามี
“น้องแพรไปพูดจาไม่ดีกับเขาก่อนรึเปล่าลูก”
แพรวาเดินพูดโทรศัพท์มาจนถึงรถของเธอที่จอดอยู่
“เปล่าเลยค่ะ...ไม่เชื่อคุณป๋าถามหรั่งดูก็ได้”
แพรวาส่งโทรศัพท์ให้หรั่ง
“พูดกับป๋าฉันหน่อย”
“ผมหรั่งครับ...จริงครับ เห็นเขาบอกว่า เขาไปได้เจ้าใหม่ พลอยน้ำดีเหมือนของเราแต่ถูกกว่า”
พยาบาลเดินเข้ามาหารำไพ เผ่าลาภยังพูดโทรศัพท์อยู่
“เชิญคุณเผ่าลาภค่ะ”
“ลองต่อรองกับเขาอีกทีซิ เขามีปัญหาเรื่องราคารึเปล่า”
“ไม่น่าใช่ครับ คิดว่าเป็นการเปลี่ยนใจอย่างชัดเจน...ถ้าคุณเผ่าลาภต้องการขายจริงๆน่าจะเปลี่ยนไปติดต่อพ่อค้ารายอื่นมากกว่า” หรั่งแนะ
รำไพเรียกอีก “คุณคะ”
เผ่าลาภยกมือให้รำไพหยุดก่อน แล้วพูดโทรศัพท์ต่อ “ขอฉันคุยกับยายแพรหน่อยซิ”
รำไพเร่ง “คุณหมอรออยู่นะคะ”
“รู้แล้ว ขอเวลาแป๊ปเดียวน่า...” เผ่าลาภพูดโทรศัพท์ต่อ “น้องแพร ลูกไปที่หมู่บ้านปัญญานะ ไปหา
คุณบุญส่ง ป๋าจำบ้านเขาไม่ได้หรอก ลูกลองโทร.ไปถามที่อาทนงศักดิ์ดูแล้วกัน”
“จะให้น้องแพรไปที่นั่นทำไมคะ”
ที่โรงพยาบาลเวลานั้น พยาบาลยืนพูดกับรำไพ ใจความว่า ต้องรีบหน่อยเพราะคุณหมอมีคนไข้รออยู่เยอะ ส่วนเผ่าลาภยังคงพูดโทรศัพท์อยู่
“เอาพลอยทั้งหมดนั่น ไปขายเขา....เอาละ เท่านี้ก่อน พ่อต้องเข้าไปตรวจแล้ว หมอเขารออยู่...เข้าใจแล้วนะ”
เผ่าลาภกดวางสาย
“โอ เค ผมพร้อมแล้วครับ”
เผ่าลาภลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องตรวจ สีหน้าเครียดจัด
รำไพเดินตาม “มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เฮียเขียวเขาไม่ซื้อพลอยเราแล้ว”
“เราก็เรียกพ่อค้ามาประมูลเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้เหรอคะ”
“มันไม่ทันน่ะสิ”
ด้านหรั่งลงนั่งตำแหน่งคนขับรถ แพรวานั่งอยู่ด้านหลัง
“ไปหมู่บ้านปัญญา”
ที่ บริษัท M.S. Jewelry ประตูลิฟท์เปิดออก หน้าโถงชั้นล่างสุดของตึก อรทัยเดินนำตะวันฉายออกมาจากลิฟท์ เธอตรงไปยังส่วนโชว์รูมพร้อมกับพูดไปด้วย
“เรามาเริ่มต้นที่หน้าบ้านกันก่อนเลย นี่คือส่วนของโชว์รูม…M.S.JEWELRY ทำธุรกิจพลอยอย่างครบวงจร เรามีส่วนผลิตคือ M.S.FACTORY ที่เมืองกาญจน์ ก็เหมืองนั่นแหละ ส่วนที่นี่คือฝ่ายขายโดยเฉพาะ...ดังนั้นก็ต้องตกแต่งให้สวยงามเพื่อเชื้อเชิญลูกค้าทั้งลูกค้าขาจร ลูกค้าขาประจำ หรือกรุ๊ปทัวร์”
อรทัยเดินนำตะวันฉายไปยืนอยู่กลางโชว์รูม
“เพราะฉะนั้นเราจึงจัดชั้นล่างให้เป็นโซนของโชว์รูมแต่เพียงอย่างเดียว…หลานตะวันฉายก็เดินผ่านตรงนี้อยู่บ่อยๆใช่มั้ย”
“ครับ”
“เวลาทำโบรชัวร์โฆษณาก็ต้องเน้นตรงส่วนนี้นี่แหละ...แต่อาไม่แน่ใจว่าปลาสลิดของหลานจะต้องมีโชว์รูมหรือเปล่านะ…แต่ส่วนผลิตคงต้องมีใช่มั้ย…บ่อเลี้ยง โรงชำแหละอะไรพวกเนี้ย”
“ครับ…แล้วก็ต้องมีส่วนสำนักงานติดต่อลูกค้าด้วย”
“ใช่…ของ M.S.เราแยกเอาไว้อีกตึกนึง เป็นตึกของพนักงานโดยเฉพาะ…มา มาดูกัน”
อรทัยกะตะวันฉาย เดินไป
สักครู่หนึ่ง อรทัยเดินนำตะวันฉายเลี้ยวมาจากช่องบันได เข้ามายังอาคารส่วนพนักงาน
“ชั้นนี้จะเป็นสำนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์…และประสานงานลูกค้าในประเทศ ส่วนลูกค้าต่างประเทศขึ้นไปข้างบนอีกชั้นนึง”
“อ๋อ”
“พวกนี้เราต้องมีพื้นที่ให้เขา…เพราะหลายครั้งที่ฝ่ายนี้ต้องมีกิจกรรมร่วมกับลูกค้ามากมาย”
“แล้วผู้บริหารล่ะครับ”
“หลานเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยมั้ยล่ะ”
ตะวันฉายสนใจ “ทำไมครับ”
อรทัยเดินนำตะวันฉายขึ้นบันไดเข้ามา
“เราจัดตำแหน่งห้องผู้บริหารตามฮวงจุ้ย เราต้องดูธาตุของผู้บริหารแต่ละคน แล้วหาตำแหน่งที่เหมาะสม หลานจะเห็นว่า ห้องของอา กับ ห้องป๋าของแพรวาอยู่ชั้นบน แต่คนละตึกกันเลย...อยู่ตึกเดียวกัน มันจะข่มกันน่ะ”
ตะวันฉายร้อง “อ๋อ”
“แต่ที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายการเงิน”
“เหรอครับ”
“ดวงของอาถูกกับเงิน ต้องอยู่ใกล้เงิน และต้องยกกองเงินกองทองให้สูงท่วมหัวเข้าไว้”
ทั้งคู่เดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด อรทัยชี้ไปยังห้องฝ่ายการเงินบนชั้นนั้น
“ห้องนั้นไง อยู่เหนือห้องอาพอดี…เอกสารการเงิน งบดุลของบริษัททั้งหมดอยู่ในนั้น”
“ดูลึกลับนะครับคุณอา เหมือนห้องพักพนักงานธรรมดาๆ นี่เอง”
“เอ้า เรื่องพวกนี้เป็นความลับ เอามาตั้งเปิดโร่ ใครไปใครมาก็เห็นไม่ได้หรอก ข้อมูลความลับอยู่ในนั้นเยอะแยะ…ต้องคนในเท่านั้นที่จะเข้าออกได้…บริษัทของหลานก็ต้องระวังให้ดีนะ”
“ครับ”
“ห้องที่สำคัญอีกห้องคือห้องรับรอง หรือห้องรับแขก หลายครั้งที่ธุรกิจจบลงตรงห้องนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องจัดเตรียมไว้ให้ดี…หลานยังไม่เคยเห็นห้องนี้ใช่มั้ย”
“ครับ”
“ไป เราไปดูกัน แต่อยู่อีกอาคารนึงนะ”
อรทัยเดินนำหน้าออกไป ก่อนหลุดตัวไป ตะวันฉาย เหลียวมามองยังห้องนี้อีกครั้งอย่างมีเลศนัย
รถแพรวาที่หรั่งขับ แล่นเข้ามาจอดบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน แพรวาพยายามต่อโทรศัพท์อยู่
“ถึงหน้าหมู่บ้านแล้วครับ” หรั่งบอก
“ยังโทรไม่ติดเลย ทั้งเบอร์เหมืองทั้งเบอร์มือถือ”
“ผมช่วยต่อให้มั้ยครับ”
หรั่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดหมายเลข
“เบอร์ ครับ”
แพรวาบอก “084 597 5432”
หรั่งกดหมายเลขลงไป
แพรวาสังเกตเพิ่งเห็นว่ามันเป็นโทรศัพท์เครื่องเก่าของหรั่ง
“โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่คุณป๋าให้นายไว้ล่ะ”
“ผมเอาไว้ที่ก้อยครับ...เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้โทรบอกกันได้”
ทนงศักดิ์อยู่ที่เหมืองเมืองกาญจน์ ยกหูโทรศัพท์ กล้องแพนตามมือขึ้นไปจนเห็นหน้าเขา
“ฮัลโหล...หือ...” มีสีหน้าแปลกใจ “...ใครนะ...อ๋อ เลขา MD....”
หรั่งเดินเข้ามาพิงหน้ารถ พูดโทรศัพท์มือถือ
“ผมอยากจะขอทราบทางไปบ้านคุณบุญส่ง พ่อค้าพลอยน่ะครับ...ตอนนี้ผมอยู่หน้าหมู่บ้านปัญญาแล้ว”
ทนงศักดิ์งง “นายไปที่นั่นทำไม”
“คำสั่งคุณเผ่าลาภครับ...เป็นงานด่วน”
“นายหรั่ง...นายเพิ่งเข้ามาใหม่นะ อยู่ๆจะบุกไปถึงบ้าน พ่อค้าที่คบหาค้าขายกับเรามา
นาน โดยไม่บอกกล่าวเขาก่อนไม่ได้นะ...แล้วหน้าเจ๋อๆ อย่างนายน่ะ โผล่ไปใครเขาจะรู้จัก...เสียชื่อบริษัทเปล่าๆ”
“ผมทำตามคำสั่งคุณเผ่าลาภ ผมขับรถมาให้คุณแพรวา ไม่ได้เจ๋อหน้าเข้าไปเองอย่างที่คุณคิด”
“มันก็เจ๋ออยู่ดีแหละวะ...ขนาดกับฉันนายยังทะลึ่งเจ๋อโทร.มาเลย ทำไมไม่ให้แพรวาโทร.มาเองล่ะ”
“แล้วตกลงจะให้ผมทำยังไงครับ”
“ยังไม่ต้องทำอะไร ฉันจะโทร.นัดคุณบุญส่งให้ แล้วจะโทร.ไปบอกเองว่า จะให้ทำยังไง...นายไม่ต้องโทร.มาหาฉันอีกล่ะ ฉันจะโทร.เข้ามือถือแพรวาเอง”
หรั่งเดินกลับมาที่รถ
“ว่าไง”
“เราต้องรอ”
“รออะไร”
“รอคุณทะนงศักดิ์โทร.กลับมาบอกว่า คุณบุญส่งจะให้พบหรือไม่”
ทนงศักดิ์กลับเข้ามาสมทบคนอื่นๆ บ่นบ้าตามประสา
“อะไร...อยู่ดีๆจะไปติดต่อเฮียบุญส่งเอง ข้ามหน้าข้ามตาเราได้ไง”
“แสดงว่าแกคงร้อนเงินน่ะครับ” สุชาติบอก
“อย่างเฮียตงน่ะเหรอร้อนเงิน เชอะ” บารมีว่า
“ร้อนเงินมันเป็นยังไงเหรออากู๋...จับเงินแล้วร้อน โอ๊ยร้อน...ร้อนจัง”
ตัวโกงทุกตัวหัวเราะร่าเริง
ที่แท้ทุกคนกำลังคัดพลอย รอบๆ ตัวมีพนักงานไม่น้อย คัดเลือกพลอยจากที่ขุดได้มาสดๆ ทนงศักดิ์พยายามปรามลูกชายของตนลงบ้าง
“มากไปแล้วนายต้น...ล้อเลียนผู้ใหญ่ได้ยังไง น่าเกลียด”
“ผมว่าช่วงนี้ บริษัทเรามีรายจ่ายเยอะขึ้นนะครับ ไหนจะสนามกอล์ฟ ไหนจะขยายเหมือง” สุชาติว่า
“ก็น่าเห็นใจเฮียเขานะ” ทนงศักดิ์บอก
“โอ๊ย เห็นจงเห็นใจอะไร้...ขนหน้าแข้งแกไม่ร่วงหรอก...นั่นมันเงินเราทั้งนั้น เราทำได้เท่าไหร่ เขาก็เอาของเราไปลงทุนหมด...”
พนักงานคัดพลอยเสร็จแล้ว กำลังจะส่งเข้าในส่วนของสต็อก ทนงศักดิ์ทักเอาไว้
“เอาไว้ตรงนี้แหละ ฉันต้องเช็คซ้ำอีกที ลืมแล้วเหรอ”
พนักงานพยักหน้ารับคำ วางพลอยไว้ แล้วเดินออกไป เพื่อขนพลอยชุดใหม่เข้ามาคัด ทันทีที่พนักงานคล้อยหลัง ทะนงศักดิ์จึงเลือกหยิบพลอยบางชิ้นออกมาจากกระบะที่คัดแล้ว เขาแจกจ่ายให้แต่ละคน ยัดใส่กระเป๋าของตนเอง
บารมีกระซิบ “โชคยังดีนะที่เรารวมตัวกันได้ ไม่งั้นก็ รอรับแต่เศษเงินเดือนเท่านั้นเองฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ทนงศักดิ์หันไปถามสุชาติ
“คุณนัดเฮียเขียวเรียบร้อยรึยัง”
“เรียบร้อยครับ เขากำลังรวบรวมเงินให้เราอยู่...เราเตรียมของให้เขาได้เลย”
ชาติชายแบกลังใส่ของทั้งใหญ่และหนักเข้ามาวางกลางห้อง ทุกคนแยกย้าย กระจายตัว วงแตกทันที บารมีอดแขวะน้องชายไม่ได้
“คนโสดมันแข็งแรงอย่างนี้เองเว้ย ไปดีกว่า พวกเรามันพวกมีเมียแล้ว ไปกันเถอะ”
“ผมยังไม่มี แต่อยากมี ทำไงดีครับอากู๋” กฤษฎาเสริม
“ถ้าจะเอาแบบง่ายและเร็วละก้อ…แย่งของคนอื่นสิวะ เดี๋ยวอากู๋สอนให้ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ชาติชายมองตาม สะกดอารมณ์ สุดจะทนไหว
ด้านตองและแก้มกำลังใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปคู่กัน รถกระบะชาติชายแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ
“อากู๋ มาถ่ายรูปคู่กันเร็ว จะเอาลง instragram”
ชาติชายโผล่หน้าตาเครียดออกมาพูด
“กู๋จะเข้ากรุงเทพแล้ว ถ้าจะกลับพร้อมกันก็ไปจัดกระเป๋าเดี๋ยวนี้เลย”
ภาพละครทีวี ประเภทออกอากาศซ้ำไปซ้ำมาทางเคเบิ้ลทีวี
ในจอทีวีตอนนั้น เห็นบทบาทการแสดงของตัวอิจฉานางหนึ่ง กำลังจิกหัว ด่าทอสาวผู้เกิดมาเป็นนางเอกในบทชื่อปู อย่างสาดเสียเทเสีย
“อีปู แกมันแสบนัก…แก แย่งผัวฉัน…นังตอแหล…ฉันจะตบแกให้หน้าแหกเลย...”
ตัวอิจฉาเงื้อมือสูงเตรียมจะตบหน้านางเอก ภาพหยุดไปในบัดนั้น ตามด้วยเสียงดนตรีตื่นเต้นเร้าใจ
จอทีวีที่ว่าแขวนอยู่ในมุมหนึ่งของสโมสรหมู่บ้านปัญญา ระหว่างดนตรีตื่นเต้นนั้น เสียงผู้บรรยายดังแทรกขึ้นมา
“คุณคิดว่า แม่ปูเปรี้ยว จะถูกตบหรือไม่สามารถร่วมสนุกชิงรางวัลกับเราได้ โดยโทรเข้ามาที่ หมายเลข 1900 999 990กด 01 ถ้าคิดว่าตบถูก กด 02 ถ้าคิดว่าตบไม่ถูก และ กด 03 ถ้าคิดว่าแม่ปูเปรี้ยวจะตบสวนของรางวัลมากมายรออยู่ ทั้งหม้อหุงข้าว โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น...”
หรั่งนั่งดูทีวีเหม่อๆ สลับกับดูนาฬิกา ผู้คนรอบๆตัวเขายกโทรศัพท์กดกันจ้าละหวั่น แพรวา เดินพูดโทรศัพท์ไกลออกไป ซึ่งคงไม่ใช่การโทรชิงโชค หรั่งหันไปมองแพรวา
เธอหัวเราะออกรส กดเลิกสาย แล้วเดินตรงมาหาหรั่งอย่างตื่นเต้น
“ฉันต้องเล่าให้ใครซักคนฟังแล้วหละ...นายหรั่ง นายต้องไม่เชื่อแน่ๆเลย…ยายอร นายจำยายอรได้มั้ย”
“คุณอรจิรา เพื่อนคุณน่ะเหรอครับ”
“ใช่ ยายสังขยา…”
“สังขยา”
“ยายอรเคยอึราดหน้าเสาธงตอน ป.5 เลยได้ชื่อว่า ยายสังขยาหน้าเสาธง...แต่มาตอนนี้ยายสังขยามีแฟนแล้วหละ นายคิดดูสิ”
“ท้องเสีย ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการมีแฟนนี่ครับ”
“แต่นิสัย ขี้งก จู้จี้ ขี้บ่นน่ะสิ ที่เป็นปัญหา...ไม่มีใครคิดหรอกว่าชีวิตนี้ยายสังขยาจะมีแฟนได้...ร้ายจริงๆ ไปอิตาลีแป๊ปเดียว กลับมา วางแผนแต่งงานซะแล้ว...แถมแฟนเป็นแขกด้วยนะ”
หรั่งยิ้มไปกับอาการตื่นเต้นของแพรวา มันช่างดูใสบริสุทธิ์สำหรับเขายิ่งนัก
“เหรอครับ”
“ใช่ แล้วยังวางแผนถึงขั้นมีลูกเลยนะ บอกจะมีสี่คน คนโตคุมกิจการผ้า คนที่สองคุมงานเฟอร์นิเจอร์ คนที่สามที่สี่ อาจจะให้เป็นดารา เพราะว่าเชื้อแขกของพ่อต้องทำให้หน้าตาคมเข้มแน่ๆ...คิดไปขนาดนั้นแน่ะ..”
“แสดงว่า คุณอรเป็นนักบริหารที่ดี รู้จักวางแผนให้กับกิจการของตัวเอง”
“ยายอรน่ะเหรอวางแผน…ความคิดแฟนเขามากกว่า…ฉันว่าฉันต้องนัดเลี้ยงรุ่นซะหน่อยแล้วละ”
แพรวากดโทรศัพท์มือถือโทร.ออก
“ถ้าคุณยังใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาอย่างนี้ คุณทนงศักดิ์เขาคงโทรเข้ามาไม่ติด เราอาจจะพลาดเรื่องสำคัญนะครับ” หรั่งท้วง
“เพื่อนคนแรกในรุ่นฉันแต่งงาน ก็สำคัญไม่แพ้กันหรอก…”
แพรวายกโทรศัพท์แนบหู…หรั่งหันหน้ากลับไปมองยังทีวี เห็นภาพในจอ เป็นรายการ “พยากรณ์เศรษฐกิจ”
พิธีกรในทีวีเจื้อยแจ้วรายงาน
“...ปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ห้าดวง อันได้แก่ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดาวอังคาร และ ดาวพฤหัส โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันนักโหราศาสตร์ทั้งหลายต่างพากันเชื่อว่า จะส่งผลร้ายต่อการลงทุนทางเศรษฐกิจอาจทำให้สภาพการทรุดตัวของเศรษฐกิจโดยรวม รุนแรงขึ้นการค้าระหว่างประเทศไม่เป็นผลดี ค่าเงินอ่อนตัวลงเรื่อยๆธุรกิจเพชรพลอย อาจจะตกอยู่ในความลำบาก อึดอัด ไม่เปล่งปลั่งอย่างที่ควรจะเป็น…”
แพรวาพูดโทรศัพท์แทรกกับเสียงจากทีวี
“นรากรอยู่มั้ยจ๊ะ…ช่วยบอกให้โทรกลับแพรวาด้วยจ้ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญมากนะ…”
แพรวากดหมายเลขโทรศัพท์ใหม่
“คุณสนใจเรื่องดวงดาวบ้างมั้ยครับ” หรั่งถามขึ้น
“คุณป๋าฉันดูดาว” พลางหันไปพูดโทรศัพท์ “ฮัลโหล อภิญญาเหรอ…อ๋อ โทษที เออไม่เป็นไร ประชุมเสร็จแล้วโทร.กับน้องแพรทีนะ จะบอกข่าว…เออ ใช่…ประชุมไปก่อน เถอะ…แล้วรีบโทร.มาล่ะ”
แพรวากดเลิกสายโทรศัพท์
“คุณรู้มั้ยว่า คุณพ่อของคุณใช้การโคจรของดาวบนท้องฟ้าช่วยในการตัดสินใจของท่านหลายครั้งเลย กว่าจะมาถึงวันนี้ได้”
“ดวงต่างหาก ไม่ใช่ดาวหรอก คุณป๋าชอบแอบดูดวง ไม่ให้ใครรู้”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แพรวากดรับโทรศัพท์นั้น
“ฮัลโหล…ค่ะ…พอดีน้องแพรโทร.คุยกับเพื่อนอยู่…งั้นเหรอคะ…ค่ะ…น้องแพรจะบอกคุณป๋าเองค่ะคุณอา…ขอบคุณค่ะ”
แพรวาวางโทรศัพท์ลง
“คุณทนงศักดิ์ว่าไงครับ…”
“คุณบุญส่งไม่อยู่ ไปต่างจังหวัด ยังไม่กลับ” แพรวาบอก
ที่โต๊ะอาหารมื้อเย็น บ้านเผ่าลาภ เวลาก่อนมืด เผ่าลาภวางหูโทรศัพท์ สีหน้าเครียด อยู่เพียงลำพังกลางโต๊ะอาหารรำไพเดินถือกับข้าวหน้าตาดูดีเข้ามาวางเบื้องหน้าสามี เธอพอจะจับความรู้สึกสามีได้
“ยายแพรโทรมาว่าไงเหรอคะ”
“บุญส่งไม่อยู่…เฮ้อ พลอยของเราขายไม่ออกซะแล้ว…ผมคงต้องอาศัยชะตาฟ้าแล้วละ”
รำไพพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ค่ะ”
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 10 (ต่อ)
เวลานั้นสามคนอยู่ที่โต๊ะในร้านอาหารโต้รุ่งข้างทาง ตองและแก้มนั่งกินอาหารกันอย่างอร่อย ส่วนชาติชายนั่งนิ่งเครียด แก้ม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปชาติชาย
“ถ่ายทำไม” ชาติชายถาม
“แก้มเขาชอบผู้ชายที่แอ๊คอาร์ตหน่อยๆ น่ะ”
“อากู๋ไม่ได้แอ๊คนะ...มันเป็นอย่างนี้เอง”
“ยิ่งเป็นเองยิ่งดี ดูเป็นธรรมชาติ ใช่มั้ยแก้ม”
“เหมือนคนอกหัก...แก้มชอบ”
ชาติชายแค่นยิ้มออกมา พลางบอก
“แล้วจะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน”
“แสดงว่าอกหักจริงๆ ด้วย...ว่าแล้วเชียว”
“รีบกินๆ เข้าไปเถอะ จะได้ไปต่อ”
เสียงโทรศัพท์ในห้องที่คอนโดบารมี ดังขึ้น กันทิมายกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด เธออยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ หน้าตาสดชื่น
“ฮัลโหล...กันทิมาค่ะ”
สีหน้ากันทิมาเปลี่ยนไป เมื่อเธอได้ยินเสียงจากปลายสาย
“ค่ะ...อยู่คนเดียว...ได้ค่ะ...ก็ไม่เหงาเท่าไหร่”
ที่บ้านพักในเหมือง ผู้ที่อยู่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง เป็นบารมีหน้าตาแดงก่ำเยี่ยงชายขี้เมา
“ผมรู้ว่าคุณอยู่ได้...คุณเป็นคนเข้มแข็งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...เข้มแข็งกว่าผู้ชายทุกคนที่ผมรู้จัก...โดยเฉพาะไอ้เหลียง”
กันทิมาสะกดใจ เมื่อได้ยินชื่อนั้น
“คุณมีอะไรรึเปล่าคะ”
บารมีพูดโทรศัพท์ด้วยอารมณ์สนุกสนาน สะใจ และเมามาย
“แค่อยากโทรมาส่งข่าว....รู้มั้ย เดี๋ยวนี้ ไอ้เหลียงมันจีบเด็กแล้วนะ...เด็กแบบเอ๊าะๆเลย...ยังไม่จบมัธยมดี แถมเป็นทอมซะด้วย...น้องผัวคุณนี่มันร้ายไม่เบานา...ฮ่ะฮ่ะฮ่า...”
กันทิมาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมแบบเดียวกันกับสามีแม้แต่น้อย
หรั่งขับรถมาตามทาง ลอบมองแพรวาทางกระจกอยู่ตลอด แพรวาพูดโทรศัพท์อย่างเมามัน ตลอดเส้นทาง เธอแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหรั่งกำลังขับรถไปที่ไหน
“จริงๆ ฉันไม่โกหก แปลกใจใช่มั้ยล่ะ…ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเธอ ลูกครึ่งน่ะ ไม่ ไม่โพกหัว…ฉันเหรอ ก็เรื่อยๆ….ไม่หรอก ไม่สนุกเลย ก็ทำเอาใจคุณป๋าไปอย่างงั้นเอง…”
หรั่งตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวรถ แพรวาไม่รู้ตัว เม้าท์มอยกับเพื่อนต่อ
“ไม่มีทาง ฉันไม่ชอบลำบาก เธอก็รู้”
รถแพรวาเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง ในระยะกระชั้น เป็นสถานที่โล่งแสนสวย ริมน้ำ แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
แพรวากำลังเมามันกับการพูดโทรศัพท์ รสชาดในการคุยไม่ได้ตกลงไปแม้แต่น้อย
“เรื่องอะไร...น้องๆ หลานๆคุณป๋ามีตั้งหลายคน ก็ให้เขารับผิดชอบกันไปสิ...บ้า ฉันวางแผนได้ไม่ไกลอย่างแฟนยายอรหรอก...ก็คงแล้วแต่พี่ตะวันมั้ง” เธอหัวเราะคิกๆคักๆอารมณ์ดีสุดๆ
หรั่งจอดรถ ดับเครื่อง ไขกระจกรถลง
“อีกนานย่ะ...เขาไม่ค่อยพูดเรื่องนี้หรอก พูดทีไร ทำท่าหงุดหงิดทุกที...เดี๋ยวนะ”
แพรวาเพิ่งจะรู้สึกตัว เธอหันหน้าไปหาหรั่ง
“จอดรถทำไมน่ะ”
“คุณจะได้พูดโทรศัพท์ได้สะดวก”
“นายขับรถไป ฉันก็พูดโทรศัพท์ได้ ไม่เห็นจะลำบากตรงไหน แล้วดับเครื่องทำไม ทำไมไม่ขับไปส่งฉันที่บ้าน”
“คุณพูดโทรศัพท์เสร็จเมื่อไหร่ ผมจะพากลับบ้านเมื่อนั้น
หรั่งก้าวออกจากรถไป แพรวาพูดโทรศัพท์ต่อ
“มอลลี่ เดี๋ยวน้องแพรโทร.กลับนะ แป๊ปเดียว...ขอจัดการผู้ช่วยฉันก่อน รู้สึกจะทำตัวซ่ามากไปซะแล้ว”
แพรวากดยกเลิกสายโทรศัพท์ แล้วก้าวออกจากรถตามหรั่งไป
แพรวาก้าวออกมาจากรถ หรั่งเดินอยู่ด้านหน้า เขาเดินตรงไปยังริมตลิ่งน้ำ
“นายกำลังจะทำอะไรของนายน่ะ”
หรั่งไม่ตอบ
“ถ้าคิดจะพาฉันไปเต้นรำบนดวงจันทร์อีกละก้อ รู้ไว้ด้วย วันนี้พระจันทร์ข้างแรม เสียใจนะฉันไม่ประทับใจเหมือนวันนั้นหรอก”
หรั่งไม่โต้ตอบใดๆ เดินมุ่งหน้าตรงไปยังริมตลิ่ง แพรวาต้องตะโกนเรียก
“กลับมาที่รถเดี๋ยวนี้นะนายหรั่ง...ได้ยินมั้ย”
หรั่งหยุดยืนนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ทอดสายตาออกไปไกลกว่าเบื้องหน้า แพรวากดโทรศัพท์หมายเลขบ้านตัวเอง
“ฉันจะฟ้องคุณป๋า...คนอย่างนายต้องโดนคุณป๋าดุซะบ้าง จะได้หายหยาบกระด้างซะที”
หรั่งยังสงบนิ่งอยู่
แพรวาคุยสาย “ฮัลโหล...คุณป๋าล่ะคะ แม่”
รำไพพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องโถงที่บ้าน
“คุณป๋าไม่อยู่...ไปออฟฟิศจ้ะ”
เสียงแพรวาลอดออกมา “ไปทำไม ค่ำมืดป่านนี้แล้ว”
“คุณป๋าอยากดูดาวน่ะลูก....น้องแพรมีอะไรรึเปล่า”
แพรวา เธอคิดก่อนตอบ
“ก้อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“แล้วนั่นอยู่ที่ไหนน่ะลูก จะกลับบ้านรึยัง”
“เอ้อ...เสร็จธุระเมื่อไหร่จะกลับทันทีค่ะ...ตอนนี้ยัง ยุ่งๆอยู่...เท่านี้นะคะ”
แพรวากดยกเลิกสายโทร. หันมาหาหรั่ง
“รอดตัวไปนะนายหรั่ง”
“คนที่จะเอาตัวไม่รอดก็คือคุณ”
“แช่งฉันเหรอ?”
“ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการแช่งคุณ”
แพรวายักไหล่
“เมื่อไหร่คุณจะโตซะทีครับ”
“จำป๋าฉันมาพูดละซี ไอ้ประโยคเนี้ยะ…นายก็ไม่ได้โตกว่าฉันซักเท่าไหร่หรอก”
“ปีนต้นไม้แข่งกันมั้ยล่ะ”
หรั่งมิได้พูดเปล่าๆ เขาเริ่มต้นปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นทันทีที่พูดจบอย่างแคล่วคล่อง
“นายหาเรื่องไม่ไปส่งฉันที่บ้าน เพื่อมาปีนต้นไม้อย่างนี้เหรอ”
“หรือคุณไม่อยากปีน”
“ไม่” แพรวาเสียงแข็ง
หรั่งยั่ว “กลัวตกละซี”
“ฉันเป็นผู้หญิงนะ ไม่ใช่ลิง”
“งั้นก็อยู่ข้างล่างไปเถอะ…คุณไม่รู้หรอกว่าเวลาอยู่บนที่สูงน่ะ มันจะมองเห็นอะไรๆได้
กว้างไกลและชัดเจนมากแค่ไหน…”
แพรวาได้ยิน เสียงหรั่ง และเสียงเด็กชายคนหนึ่ง ดังทับซ้อนกันเข้ามา
“อยากขึ้นมาบนนี้บ้างมั้ยล่ะ”
เสียงนั้นคำเดียวกันนี้ ดังขึ้นตอนกลางวันในอดีต 17 ปีที่แล้ว เด็กหญิงแพรวายืนแหงนหน้ามองสูง
“อยาก แต่เราปีนต้นไม้ไม่เป็น”
เห็นเด็กชายหรั่งยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงนั้น
“ไม่เห็นจะยากเลย”
“เราเป็นผู้หญิงนะ ไม่ใช่ลิง” เด็กหญิงแพรวาบอก
“ค่อยๆ เหนี่ยวกิ่งไม้ขึ้นมาก็ได้แล้ว”
“เราไม่มีแรงเหมือนผู้ชายนี่”
“งั้นเราช่วยเอง”
เด็กชายไต่ลงมาจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว มาประคองและดันหลังให้เด็กหญิง
“เหยียบกิ่งใหญ่นี้ขึ้นไปก่อน…ไม่ต้องกลัว เราจะคอยดันหลังให้”
เด็กหญิงแพรวาไต่กิ่งไม้ขึ้นไปได้พอสมควร
“ถ้าเราตกลงไปล่ะ”
“ไม่ตกหรอก…เราอยู่ตรงนี้ทั้งคน จะปล่อยให้องค์หญิงตกลงมาได้ไง”
มือเด็กหญิงเอื้อมคว้ากิ่งไม้กิ่งใหม่ แต่มันเป็นกิ่งแห้ง เปราะ และหักทันที
ทั้งเด็กหญิงและชาย หล่นหายไปด้วยกัน
ตรงที่โล่งริมน้ำที่เดิม เสียงของหรั่ง และเสียงเด็กชายหรั่ง ดังทับซ้อนกันไปมา แพรวาสะดุ้ง หลุดออกจากภวังค์แห่งอดีต
“ตกไปก็ไม่เจ็บหรอก แค่นี้เอง…”
“รู้ได้ไง”
หรั่งอยู่บนต้นไม้ เขาพูดพร้อมกับปีนลงมา
“ผมตกบ่อย…ธรรมชาติของคนบนต้นไม้ จะต้องรู้ตัว และระวังตัวไว้ตลอด ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย และอยู่บนนั้นได้นาน”
หรั่งลงมายืนประจันหน้าแพรวาบนพื้นราบ
“บริษัท M.S. ของคุณ คือต้นไม้ใหญ่…คุณกำลังไต่ไปใกล้จะถึงยอดแล้ว แต่ถ้าคุณไม่มีสมาธิ ไม่รู้ตัว ไม่ระวังตัว คุณต้องตกลงมาแน่ๆ ผมรับรองได้”
แพรวาฟังอย่างครุ่นคิด ส่วนหรั่งเดินกลับไปที่รถ
ที่หน้าอาคาร M.S. รถเผ่าลาภแล่นเข้ามาจอด สักครู่เผ่าลาภก้าวลงจากรถ โทรศัพท์มือถือแนบหูเขาอยู่
“ผมถึงออฟฟิศแล้วนะ…ดึกๆ ค่อยให้นายสยามกลับมารับผมก็แล้วกัน…โอ.เค.”
เผ่าลาภกดเลิกสายโทรศัพท์แล้วหันมาสั่งสยาม
“กลับไปรอฉันที่บ้านนะ…เผื่อคุณรำไพเขาจะออกมาด้วย”
“ครับผม”
สายตาคู่นั้นของใครบางคน มองจากมุมตึกฝั่งตรงข้าม เห็นสยามขับรถคันใหญ่ออกไป ในขณะที่เผ่าลาภกำลังก้าวเข้าไปในตึก
ยามหน้าตึกทำความเคารพเผ่าลาภอย่างคุ้นเคย เผ่าลาภค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปในตึกนั้น ขณะที่ยามหันหน้าไปทางอื่น
ยามเงยหน้ายิ้มให้ แล้วพูดจาทักทายทันที
“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ”
ผู้ที่อยู่ตรงหน้ายามคือ ตะวันฉายนั่นเอง
“จำผมได้มั้ย”
“ได้สิครับ คุณตะวันฉาย คู่ควงของคุณแพรวา เมื่อตอนบ่ายก็เพิ่งมาหยกๆ”
ตะวันฉายยิ้ม “อื้อ ฮื้อ…”
“แล้วตกลงว่า คุณมาทำอะไรอีกครับ ดึกๆ อย่างนี้”
“เอ้อ มาเอาโทรศัพท์มือถือ…ลืมไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย”
“อ๋อ…ยังหนุ่มยังแน่น ไม่น่าขี้ลืมเลย...เชิญครับ”
“เมื่อกี้นี้ คุณเผ่าลาภเพิ่งเดินเข้าไปใช่มั้ย”
“ใช่ครับ ท่านมาดูดาว”
ตะวันฉายสนใจ “ดูดาว”
“ครับ เมื่อก่อนท่านดูบ่อย….คุณจะขึ้นไปหาท่านมั้ยล่ะครับ ลิฟท์ด้านหลัง ซ้ายมือสุดขึ้นถึงดาดฟ้าเลย คุณเผ่าลาภใช้เป็นประจำ”
“ไม่ละ ฉันรีบไปหาโทรศัพท์ดีกว่า ไม่รู้ไปลืมวางไว้ตรงไหน…ยามช่วยหน่อยสิ”
“ได้ครับ...ลองโทร.เข้าเครื่องคุณรึยังครับ”
“ผมดันปิดเสียงไว้น่ะสิ”
ยามพาตะวันฉายเดินเข้าไปในตึก ตะวันฉายหันมามองเฉียดกล้องออกไปไกลๆ
กระบอกไฟฉายขนาดเล็ก ในมือตะวันฉาย มันถูกเปิดออก ขณะที่ตะวันฉายเดินเข้าไปในตึก เห็นแสงจากกระบอกไฟฉายอันเล็กๆ สว่างวาบๆ เป็นจังหวะๆ ที่ด้านหลังของเขา คล้ายส่งสัญญาณ
สักครู่ชายคนหนึ่งขยับเข้ามาหน้าตึก ใบหน้าชายคนนี้ ตัวมันดำ หน้าตาดุดัน เหี้ยมเกรียม มันชื่อ “ไอ้ปื๊ด”
ปื๊ดมองทางซ้าย และ ทางขวาอย่างระแวดระวัง มันดึงหมวกไหมพรมคลุมหน้า แล้วขยับออกไป
เผ่าลาภเดินไปตามทางเดินเล็กๆ สู่ลิฟท์ส่วนตัว เขากดเรียกลิฟท์ ประตูลิฟท์เปิด เดินเข้าไป…ประตูลิฟท์ปิด
ยามเดินนำตะวันฉายไปยังโถงบริษัท เมื่อทั้งคู่ลับตัวไป จึงเห็นปื๊ด เข้ามาแล้วเลี้ยวขึ้นบันไดไปอีกทาง
เผ่าลาภอยู่ในลิฟท์ เขายืนนิ่ง วางหน้านิ่ง ซ่อนความว้าวุ่นใจไว้ได้มิดชิด
ปื๊ดเปิดประตูห้องทำงาน หลายๆประตู
ตะวันฉายแอบล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า วางโทรศัพท์บนอ่างล้างหน้า แล้วเดินเลี่ยงออกไปยามเดินเข้ามาเห็นโทรศัพท์ หยิบมันขึ้นมา ส่งให้ตะวันฉาย
ตะวันฉายทำหน้ายิ้มรับ
ที่ป้ายหน้าห้อง มีตัวหนังสือบอกว่า “ฝ่ายบัญชี” ปื๊ดเปิดประตูห้องนี้เข้าไป
ขณะเดียวกันประตูลิฟท์ที่ชั้นดาดฟ้าเปิดออก...เผ่าลาภก้าวออกมา
ไอ้ปื๊ด ใช้กุญแจผีไขตู้เอกสารในห้องบัญชี โดยที่หน้าห้องน้ำ ตะวันฉายเดินยิ้มแย้ม ออกมากับยาม
“เอ้อ…ขอเข้าห้องน้ำหน่อยดีกว่า…ช่วยอยู่เป็นเพื่อนก่อนนะยาม ลงไปพร้อมกันผมจะได้ไม่หลง”
“ครับ”
ตะวันฉายย้อนกลับเข้าไปในห้องน้ำ…ยามยืนรออยู่ด้านหน้า
ขณะที่ปื๊ดหยิบเอกสารออกมาจากตู้ เปิดดู ที่หน้าปกแฟ้มนั้น เขียนว่า “งบดุล บริษัท M.S.”
ที่ดาดฟ้า เผ่าลาภก้มหน้า แหย่ลูกตาลงไปในช่องมอง ของกล้องดูดาว
ไม่นานต่อมาที่มุมตึก ห่างออกมาจากบริเวณอาคาร M.S. บนหน้าจอ I-Pad ใครคนหนึ่ง แสดงรายการงบดุลของบริษัท M.S.โดยละเอียด มือของตะวันฉายรูดเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เห็นรายละเอียดข้อมูลมากขึ้น หลายหน้า หลายแผ่น ตะวันฉายยิ้มพอใจ
“เยี่ยม…มีเวลาถ่ายมาได้เยอะขนาดนี้เชียว”
ไอ้ปื๊ดถอดหมวกไหมพรมออก หน้าดุๆ ของมันยิ้มรับคำชม
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้”
“รับรอง…ไม่งั้นไม่ใช่ไอ้ปื๊ด”
ปื๊ดวางท่าอย่างน่าเชื่อถือ แต่น้ำเสียงเล็กและแหลมจัด
ส่วนที่ดาดฟ้าตึก M.S. ท่ามกลางความเวิ้งว้าง ดำทะมึน ของผืนฟ้ายามค่ำคืน เผ่าลาภคลุกคลีอยู่กับกล้องดูดาวของเขาอย่างขะมักเขม้น ลอบถอนใจเป็นครั้งคราว
ชายสูงวัยมองจากกล้องขึ้นไปบนผืนฟ้าในคืนเดือนมืด แลเห็นเงารางๆ ของหมู่เมฆจับตัวเป็นก้อนดำทะมึน เคลื่อนตัวอย่างเนิบนาบ น่ากลัวยิ่งนัก
เสียงความคิดของหรั่งดังขึ้น มันสอดรับกับทุกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เริ่มจากเผ่าลาภละสายตาจากกล้องดูดาว เขาครุ่นคิด เคร่งเครียด ขณะที่รำไพทำแก้วน้ำหล่นจากมือตกแตก
“ลางสังหรณ์คือความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลแต่เราก็อดกังวลไปกับมันไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อร่างกายและจิตใจ ไม่เข้มแข็งพอ”
กัมปนาทจ่อมจม นอนนิ่ง เซื่องซึมอยู่ริมหาด ธนูยืนห่างออกมา เขารับโทรศัพท์สายหนึ่ง ที่หน้าจอโทรศัพท์นั้นเขียนว่า "ครูสอนเต้นรำ"
“อาจมีหลายครั้งที่ลางสังหรณ์แม่นยำ และคงมีอีกหลายครั้งที่ลางสังหรณ์คลาดเคลื่อนแต่ใช่ว่าชีวิตเราจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเสมอไป”
ส่วนกันทิมานั่งดูกุญแจดอกนั้นของเธอ ขณะที่แก้มและตองอยู่บนรถของชาติชาย ก้อยนั่งหัดเล่นกีตาร์
“การเอาใจใส่ อย่างรอบคอบกับชีวิต จึงมีความสำคัญมากไม่น้อยไปกว่าลางสังหรณ์เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราย่อมรู้ถึงเหตุและผลของมัน ในทุกๆ สถานการณ์”
ที่บ้านเบิ้ม ในชุมชนจานเดี่ยว คืนเดียวกัน ก้อยนั่งซึม ท่าทีนิ่งเฉย ด้านหลังของก้อย เป็น เบิ้ม โบ้ และน้องๆ ทุกคนกำลังช่วยกันเก็บสำรับอาหาร ล้างถ้วย จาน ชาม โดยมีโอ๋ยืนกำกับการทำงานอยู่
เสียงมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามา ก้อยมีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงนั้น
หรั่งถือถุงผัดไทถุงใหญ่เข้ามาที่หน้าบ้าน
“มาแล้วคร้าบ สวัสดีทุกคน วันนี้มีผัดไทมาฝากคนละสองห่อด้วย”
เบิ้มถาม “มีใครยัดผัดไทใส่ท้องไหวอีกบ้าง ยกมือขึ้น”
ทุกคนส่ายหน้า พึมพำกัน ไม่มีใครยอมยกมือ
“ขอโทษนะหรั่ง ที่ไม่ได้รอ…ก้อยหิวน่ะ”
“ไม่เป็นไร…หรั่งมาช้าเอง”
โบ้ถาม “นอนนี่มั้ยวะมึง จะได้ไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ดึกๆ ดื่นๆ”
“ไม่เป็นไร….มอเตอร์ไซค์กับกูรู้ใจกันยิ่งกว่าใครทั้งนั้น…ไปเลยเถอะก้อย”
ก้อยขยับตัวลุกขึ้นยืน
“แล้วพรุ่งนี้จะเอา ยายก้อยมาฝากอีกมั้ย” โอ๋ถาม
“มาครับ…ช่วงนี้ผมคงต้องมาฝากไว้ก่อน แทบจะทุกวันละ”
“ฝากกันทุกวันอย่างนี้ คิดดอกเบี้ยซะเลยดีมั้ย” เบิ้มแซว
ก้อยควานหาข้อมือหรั่งจนเจอ เธอจับมันไว้
“หรั่ง…ก้อยอยู่ที่นี่เลยก็ได้นะ…หรั่งจะได้ไม่ลำบาก เทียวไปเทียวมา”
“เกรงใจน้าเบิ้มเขาน่าก้อย…ฉันแบ่งผัดไทเอาไว้นี่นะ เจ๊โอ๋ ยังไงพรุ่งนี้ก็อุ่นกินได้”
โบ้ลากแขนหรั่งแยกห่างออกมาจากก้อย ลดเสียงเบาลงพอได้ยินสองคน
“มึงกำลังทำอะไรของมึงห๊ะไอ้หรั่ง…ให้ก้อยซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกลับ วันละสองเที่ยว ดึกๆ
ดื่นๆ อย่างนี้”
“ก้อยเขาซ้อนได้…ก็ซ้อนกูอยู่บ่อยๆ”
“แล้วมึงจะให้เขาซ้อนมอเตอร์ไซค์มึงไปอีกนานเท่าไหร่”
หรั่งไม่ตอบ
“ถามจริงๆ เหอะ ที่มึงทำอย่างนี้ มันได้อะไรขึ้นมาวะ…มึงทำยังกับว่าก้อยเป็นสิ่งของ นึกจะหยิบติดไปด้วยก็หยิบ นึกจะฝากใครไว้ ก็เอามาทิ้งไว้เฉยๆ ก้อยเขาเป็นคนนะเว้ย มีหัวใจ มีอารมณ์ มีความรู้สึก”
หรั่งอึ้งไปถนัดใจ
“อย่างน้อยมึงก็ควรจะบอกให้ก้อยเขารู้ ว่ามึงคิดยังไงกับเขา”
“ปล่อยให้เป็นชะตากรรมของกูกับก้อยเองดีกว่า”
หรั่งเดินกลับไปที่ก้อย แล้วจูงเธอออกมาขึ้นรถ
“ก้อยไปนะพี่โบ้”
โบ้มองตามด้วยความสงสาร เพลงอกหัก รักคุด ดังขึ้นกลางใจไอ้โบ้
หรั่งขี่มอเตอร์ไซด์ไปบนถนนบนถนนสายเปลี่ยว ยามดึกสงัด
ก้อยนั่งซ้อนท้าย พร้อมกับโอบกีตาร์ไว้กับมือ ทั้งสองต่างมองทอดสายตาไปไกลยัง เบื้องหน้า โดยไม่พูดไม่จากันแม้แต่นิด
ขณะเดียวกันดวงใจเปิดประตูบ้าน เธอมองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเธอด้วยสีหน้านิ่งเฉย ชายที่ยืนเบื้องหน้าเธอ คือ ชาติชาย
“สวัสดีครับ...ผมเคยมา กด ออด ที่นี่ตอนดึกๆเรื่อง...”
“ฉันจำได้...คุณมาบอกว่าแก้มไม่ยอมเข้าบ้าน...แล้วก็เดินหนีไป”
“วันนี้ผมจะมาบอกว่า...ผมเจอเขาแล้ว แก้มสบายดี อยู่ที่บ้านเพื่อนเขาซึ่งเป็นหลานผมเอง...เท่านั้นหละครับ”
ชาติชายหัวตัวจะเดินออกไป ดวงใจเรียกไว้
“เข้ามาข้างในก่อนมั้ยคะ เผื่อคุณอยากจะรู้เรื่องของแก้มมากขึ้น”
ในห้องรับแขกที่ในบ้านดวงใจ รูปเด็กผู้หญิงน่ารัก กำลังเต้นบัลเล่ต์ เสียงดวงใจดังขึ้น
“รูปนั้นตอน 6 ขวบ...ฉันพาเข้าไปเรียนเปียโน...แต่เขาชอบเต้นบัลเล่ต์มากกว่า”
ชาติชายนั่งดูรูปอยู่ที่บริเวณส่วนรับแขก
ดวงใจยืนชงกาแฟอยู่ห่างออกไป
“เรียนได้เดือนกว่าๆ ก็เกิดชอบยิมนาสติกขึ้นมาอีก พวกยิมนาสติกลีลานั่นละค่ะ...หันไปเรียนเป็นจริงเป็นจัง จนถึงกับตั้งความหวังว่า ต้องเอาให้ติดทีมชาติให้ได้”
ดวงใจเดินมานั่งชาติชาย เธอส่งกาแฟร้อนให้เขา ชาติชาย หยิบอัลบั้มเล่มใหม่ขึ้นมาเปิดดูผ่านๆไปเรื่อยๆดวงใจชะเง้อดูและอธิบาย
“นั่นไปเที่ยวทะเลกัน ตอนวันเกิด 4 ขวบ วันนั้นฉันจับแก้มโยนลงน้ำเลย ทำแบบฝรั่ง...กะว่ายายหนูแก้มต้องว่ายน้ำเป็นแน่ๆ”
“แล้วเป็นไงครับ”
“สำลักน้ำแทบตาย...ยายแก้มไม่ยอมเดินเฉียดสระว่ายน้ำอีกเลย”
“พ่อของแก้มล่ะครับ”
“พอแก้มได้ 5 ขวบ เขาก็หนีเราไป...เขาไม่ได้นอกใจฉันหรอกนะ...เขาหนีคำสั่งศาล...”
พลางดวงใจเก็บอัลบั้มรูปจากมือชาติชาย
ชาติชายสนใจฟังมากยิ่งขึ้น
“เขามีคดีโกงเงินจากกองทุนรวม...ศาลสั่งจำคุก 25 ปีไม่รอลงอาญา...ทางเดียวที่จะปกป้องครอบครัวได้ก็คือ ทิ้งเราไป...เขาเตรียมตัวล่วงหน้าไว้นานแล้ว...ตั้งแต่จดทะเบียนหย่าขาดจากฉันไว้ก่อน...ขายและโอนทรัพย์สินที่เป็นชื่อของเขาออกทั้งหมด...ตั้งแต่ตอนที่เรื่องยังเงียบอยู่ ยังไม่เป็นคดีความ”
“เขาไม่ติดต่อกลับมาบ้างเลยเหรอครับ”
ดวงใจเปลี่ยนอิริยาบถ เธอหยิบเอาอัลบั้มรูปเก่าเหล่านั้นไปเก็บในลิ้นชักโต๊ะ ทำให้พบว่า ในเวลาปกติ รูปภาพเหล่านั้น จะไม่ได้ถูกนำมาตั้งโชว์ให้ใครเห็น
“แรกๆก็มีบ้างค่ะ เขาก็พยายาม เท่าที่เขาจะทำได้...แต่หลังๆ...”
ดวงใจกลืนความรู้สึกเก่าๆของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันตั้งใจว่า จะรอให้แก้มโตพอที่จะเข้าใจอะไรๆซะก่อน...แต่แก้มโตเร็วกว่าที่ฉันคิด...เธอคิดของเธอเอง เข้าใจเอาเอง และตัดสินใจเองที่จะไปอยู่กับปู่ของเธอ...และไม่กลับมาหาฉันอีกเลย...คุณคงเข้าใจพวกเรามากขึ้นแล้วนะคะ”
ชาติชายมองดูรูปตั้งโต๊ะ ที่วางตั้งโชว์อยู่รอบๆ ตัว มันเป็นรูปดวงใจในงานเลี้ยง ท่ามกลางนักการเมืองมากมาย
“เรื่องราวของคุณและสามีดูจะซับซ้อนเกินกว่าที่ผมอยากรู้...ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องสนใจว่าคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่ คนเดียวที่คุณควรจะสนใจ และห่วงใยมากที่สุดก็คือลูกสาวของคุณเอง”
“คุณคิดว่าฉันควรจะทำยังไงเหรอคะ”
“พูดความจริงสิครับ ถึงเวลาที่คุณต้องพูดความจริงก่อนที่คุณจะสูญเสียทุกสิ่งไป อย่างที่ไม่มีวันเรียกกลับคืนมาได้”
บ้านเผ่าลาภในเวลาเช้าตรู่ ตกอยู่ในแสงแดดอันสวยงาม ขณะที่รถเก๋งคันไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน สักครู่ชายเจ้าของรถคันนั้นยืนรออยู่ใกล้ๆ
ส้มสาวใช้เดินไปแง้มประตูสอบถาม
“ต้องการพบใครไม่ทราบคะ”
“เฮียเผ่าลาภ”
“จะให้บอกว่าใครมาขอพบคะ”
“ผมชื่อบุญส่ง…เป็นพ่อค้าพลอย”
ไม่นานนัก รำไพวางแก้วน้ำลงตรงหน้าบุญส่ง
“เมื่อวานหนูแพรวาไปหาผมถึงหน้าบ้าน…ไอ้ผมก็นึกว่ามีเรื่องด่วนอะไร ให้ร้อนใจ”
บุญส่งนั่งอยู่ตรงหน้ารำไพ แพรวานั่งถัดออกไป หรั่งยืนอยู่ห่างๆ
“ก็เรื่องพลอยสี่สิบกะรัตน่ะแหละค่ะ…ได้ข่าวว่าคุณบุญส่งอยากได้”
“โอ๊ย ผมอยากได้ตั้งนานแล้ว…เพิ่งได้ข่าวเหรอครับ…ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
“ก็ได้ข่าวอยู่นานแล้วเหมือนกัน…บังเอิญตอนนั้น คุณตงแกคงยังไม่อยากขาย”
“แล้วมั่นใจได้ยังไงว่า ตอนนี้ผมจะอยากซื้อ…ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…ราคาเป็นยังไงครับ”
“คุยกับคุณตงเองเลยดีกว่านะคะ…” รำไพออกตัว
เผ่าลาภเดินถือกระเป๋าบรรจุพลอยเข้ามา ขยับลงนั่งข้างๆ บุญส่ง
“เอ้า ดูของให้เห็นกับตาซะก่อน”
เผ่าลาภเปิดกระเป๋าให้บุญส่งดู บุญส่งใช้สายตาพินิจดูอย่างผู้ชำนาญ
“อื้อ…ใช่ นี่แหละที่ผมเคยอยากได้”
“แล้วตอนนี้ไม่อยากแล้วเหรอ”
“ก็ยังอยากอยู่เหมือนกันนะ แต่ว่า ออร์เดอร์มันเปลี่ยนไป ผมเกรงว่าคุณตงจะมีของไม่พอน่ะสิ”
“มี...พอสิ…คุณจะเอาเท่าไหร่ล่ะ”
“ถ้ามีอีกเท่านึง ของที่เห็นนี้นะ ผมวางเงินทันทีเลย…ต้องน้ำเดียวกันนะ”
“รอเดี๋ยว…”
เผ่าลาภหันไปพูดกับรำไพ
“คุณโทร.เช็คที่เหมืองหน่อยซิ ถามทนงศักดิ์ดูว่า พลอยน้ำนี้เรายังมีในสต็อกอีกหรือเปล่า”
รำไพแยกออกไปโทรศัพท์ไม่ไกลนัก
“ออร์เดอร์คราวนี้เขาเน้นปริมาณ ก้อนไม่ต้องใหญ่ แต่ขอให้ได้ปริมาณเยอะๆ” บุญส่งบอก
“อีกซักสิบเม็ด พอมั้ย”
“ถ้ามีจริงก็ แจ๋วเลย...”
“ผมจะไปโกหกคุณทำไม...”
รำไพวางโทรศัพท์ กลับมานั่งข้างเผ่าลาภ
“คุณทนงศักดิ์บอกว่า พลอยน้ำนี้ มีในสต็อกอีกยี่สิบเม็ดค่ะ”
“เห็นมั้ย...จะเอาซักกี่ก้อนดีล่ะ”
“งั้นผมขอทั้งหมดเลยได้มั้ย...สู้แค่สี่สิบล้านนะ” บุญส่งบอก
“คุณบุญส่งกับผม เรากันเองอยู่แล้วน่า...อย่ากังวล...แล้วจะเอาเมื่อไหร่ดี”
“ขอรวบรวมเงินก่อน...เย็นนี้โทร.บอก”
“ได้เลย...เงินพร้อม พลอยก็พร้อม”
ส่วนที่เหมือง M.S. เมืองกาญจน์ กระเป๋าใส่เอกสารใบใหญ่เปิดออก เงินอยู่ในนั้นอื้อ เฮียเขียวเป็นผู้เปิดกระเป๋านั้น
“นี่เงินของคุณ…นั่นพลอยของผม”
เฮียเขียวอยู่กลางวง ห้อมล้อมด้วยก๊วนจอมโกงทั้งหลาย อรทัย ทะนงศักดิ์ กฤษฎา และบารมี เฮียเขียวเอื้อมหยิบพลอยมาไว้ใกล้ตัว หน้าตาเบิกบาน
“โชคดีจริงๆ ที่ผมได้รู้จักพวกคุณ…แหม เป็นการค้าที่คุ้มค่าจริงๆ…”
“ใช่…เพราะไม่งั้นเฮียต้องจ่ายเยอะกว่านี้หลายเท่า เพื่อแลกกับพลอยจำนวนนั้น” อรทัยว่า
“ซึ่งพวกคุณเองก็จะไม่ได้แตะต้องเงินจำนวนนี้…ถือเป็นจุดลงตัวของผลประโยชน์จริงๆ…
ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” เฮียเขียวหัวเราะชอบใจ
“ฉันยินดีทำการค้านอกรอบแบบนี้เสมอ…ง่ายและไม่ยุ่งยาก” อรทัยว่า
เฮียเขียวยิ้มรับ “ผมก็ว่างั้น”
“แล้วค่อยเจอกันใหม่”
“ยินดีครับ…แหม รวยกันแล้ว ไม่คิดจะไปส่งผมซักหน่อยเหรอ”
อรทัยพยักหน้าให้บารมี บารมีเดินไปส่งเฮียเขียว…กฤษฎาตามไปด้วยอีกคน
บารมีกระซิบกับเฮียเขียวก่อนเดินออกไป
“ถ้าสนใจอยากได้ของมากกว่านี้ราคาดีกว่านี้ ติดต่อผมโดยตรงได้นะเฮีย”
เฮียเขียวหัวร่อ “ฮ่ะฮ่า…ตัดราคากันน่าดูเลยนะ”
“จริงนะเฮีย ของเรามีเยอะซะด้วย…เม็ดเป้งๆ ทั้งนั้น” กฤษฎาบอก
ทั้งสามคนเดินออกไป
ทนงศักดิ์เข้ามาหาอรทัย
“เฮียตงโทร.มาเรื่องอะไร…ตามฉันให้เข้าออฟฟิศเหรอ”
“เปล่า…โทรมาถามถึงพลอยในสต็อก…ไม่รู้เป็นไง อยู่ๆ เกิดจะอยากเช็คสต็อก”
“แล้วตอบเขาไปว่าไง”
“ก็ตอบว่าอยู่ครบน่ะสิ…เราไม่ได้แตะต้องพลอยในสต็อกนี่นา…ถ้าตอนก่อนเข้าสต็อกละก้อว่าไปอย่าง”
สองผัวเมียขี้โกง ยิ้มอย่างสุขอุรา
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ด้านกัมปนาทนอนนิ่งอยู่กลางหาดสวยริมทะเล ธนูอยู่ในชุดว่ายน้ำ กำลังถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวสองคน สักพัก ธนูวิ่งกลับมานอนข้างๆ กัมปนาท
“เธอเป็นคนดี มีน้ำใจนะ ใครให้ทำอะไรก็ทำให้หมด”
“เขาเพิ่งแต่งงานกันน่ะครับ ผมก็เลยอาสาถ่ายให้ เขาชวนผมไปเที่ยวเกาะด้วยนะครับ...เขาว่าสวยมากเลย”
“อยากไปรึเปล่า”
“แล้วแต่คุณครับ”
“ฉันเอาเปรียบเธอเกินไปรึเปล่า”
“เรื่องอะไรครับ”
“ฉันเอาเธอมากักเก็บไว้เองคนเดียว...จะทำอะไรก็ต้องทำตามฉัน ซักวันเธอจะเบื่อมั้ย”
ธนูยิ้มส่ายหน้า
“แต่ฉันผิดสัญญากับเธอนะ ฉันไม่สามารถสร้างเธอให้โด่งดังในแวดวงธุรกิจได้ อุตส่าห์เตรียมโปรเจ็คค์จะปั้นเธอ ก็โดนมันโกง โดนหักหลัง”
ธนูดึงมือกัมปนาทมาปลอบประโลมอย่างนุ่มนวล
“ถามจริงๆ...เธออยากไปจากฉันมั้ย”
“ผมมีวันนี้ได้เพราะคุณ...ผมไม่มีวันทิ้งคุณไปไหนหรอกครับ”
“แม้วันที่ฉันล้มเหลว จนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีอนาคตอีกแล้ว งั้นเหรอ”
“ไม่จริงครับ...คุณไม่ได้ล้มเหลว คุณแค่เหนื่อยเท่านั้นเอง เดี๋ยวพอคุณมีกำลังใจ คุณก็จะกลับไปลุยงานต่อ คุณก็จะประสบความสำเร็จเหมือนเดิมที่เคยฝันไว้”
“แล้ววันนั้นเธอจะได้อะไร”
“ผมก็ได้เป็นผู้ช่วยของคนเก่งๆ ที่ผมรักและเทิดทูนไงครับ” ธนูว่า
กัมปนาทโอบกอดธนูด้วยความรักอย่างซาบซึ้ง
“เธออยากจะมีธุรกิจของตัวเองบ้างมั้ย”
“ใครๆ ก็คงอยากกันทุกคน...แต่ผมไม่กล้าฝัน”
“ไม่กล้าฝันว่า อะไร?”
“ก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้าได้ไปเรียนต่อ คอร์สสั้นๆ พวกวิชาบริหารจัดการสื่อก็คงจะดีน่ะครับ”
กัมปนาทพยักหน้า “อือม”
“ผมก็คงจะเอาความรู้มาใช้ทำงานให้กับบริษัทของคุณได้”
กัมปนาทคิดตาม แล้วยิ้มหวาน
“โอเค. เจนเนอเรชั่นใหม่ของบริษัท M.S. จะมีเธอเป็นหัวหอกคู่กับฉัน...ฉันจะส่งเสียเธอเอง ธนู”
ฟากเผ่าลาภเงยหน้าจากเอกสารบนโต๊ะเอ่ยขึ้นกับชาติชาย
“ที่ลื้อเอ่ยชื่อมานี่มันญาติพี่น้องเราทั้งนั้น”
“ผมถึงต้องขึ้นมาหาเฮียด้วยตัวเองไง...แม้จะยังจับไม่ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามที่จะทำการทุจริต...เพราะฉะนั้นเฮียต้องทำอะไรซักอย่าง ก่อนที่มันจะสายไปนะ”
เผ่าลาภส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถ้าอั๊วต้องเป็นคนลุกขึ้นมา จับญาติพี่น้องทุกคน ยืนเข้าแถวอบรมเรื่องความซื่อสัตย์ละก้อ อั๊วว่ามันสายไปแล้วหละ...แต่ถึงยังไง ในความเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน มันก็ต้องให้โอกาส และให้อภัยกันมากกว่ากับคนในสายเลือดอื่น...”
“บางทีการให้โอกาส มันคือการชะล่าใจนะเฮีย”
“อั๊วรู้”
“เอาละ...ผมถือว่าได้ทำตามสำนึกและหน้าที่ของคนในตระกูลที่ดีแล้วนะ ถ้าเฮียไม่สนใจที่ผมทักท้วงก็ ตามใจนะ”
“ใครว่า...อั๊วสนใจมากต่างหาก...วันใดที่อั๊วจับใครได้คาหนังคาเขา อั๊วจะจัดการกับมันผู้นั้นอย่างรุนแรง ทุกคน โดยไม่มีข้อยกเว้น”
ไม่นานต่อมา ชาติชายเดินมาตามทางเดินหน้าห้องทำงานเผ่าลาภ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขายกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล...ว่าไง”
เป็นแก้มที่โทร.มาจากบ้านอรทัย เด็กสาวอยู่ในมุมสบายๆ ของคฤหาสน์
“ไม่ว่าคับ...โทรมาเพราะความคิดถึง”
“เมื่อไหร่จะเลิกทะลึ่งซะที”
จังหวะนี้ตองเปิดตู้เย็นหยิบขนมเดินมากินข้างแก้ม
“เลิกได้ก็ไม่ใช่แก้มแล้ว”
ตองส่งเสียงเข้ามา “อากู๋ มารับไปเที่ยวหน่อยดี้...วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลย...แห่ไปเที่ยวเหมืองกันหมด”
“ถ้าว่างนักก็ ไปหาหนังสืออ่าน ทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่าโทรศัพท์เล่นเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจคับ...งั้นถามอีกข้อนึง...แม่แก้มสวยมั้ย”
“ว่าไงนะ” ชาติชายฉงน
“รู้นะ แอบไปหาแม่แก้มมา คุยกันอยู่ตั้งนาน ดึกๆ ดื่นๆ...อาต้องบอกได้สิว่าแม่แก้มสวยมั้ย”
ชาติชายแปลกใจ “เราไปหาแม่มาเหรอ”
“หึ๊...คุยทาง skype...ดู มีประโยชน์กว่าโทรศัพท์เล่นไปวันๆ มั้ย”
ชาติชายสะดุดตากับภาพบางอย่าง ปลายทางเดินอีกมุมหนึ่ง
เขาเห็นกันทิมาเดินคุยมากับปีเตอร์บนทางเดินนั้น
ชาติชายรีบหลบเข้ามุมแคบๆข้างทางเดิน เสียงแก้มในโทรศัพท์ยังคงดังอยู่ตลอด
“แม่ยังบอกเลยว่า อาโคตรเท่ห์เลยหละ น่ารัก เป็นคนดี...ถ้าแม่ยังสาวๆอยู่นะ แม่ต้องตามจีบอาแน่ๆ...แก้มเลยบอกแม่ว่า อาอกหัก...แม่ไม่เชื่อ...แม่ว่าคนอย่างอา ผู้หญิงที่ไหนจะทิ้งได้ลงคอ”
“แค่นี้ก่อนนะแก้ม”
กันทิมาเดินคุยยิ้มแย้มมากับปีเตอร์ตามทางเดินในบริษัท
“ช่วงแรกระหว่างเราก็อย่างนี้แหละนะครับ อาจจะดูวุ่นๆไปซักนิดนะครับ...เพราะผมไม่เคยมีผู้ช่วยมาก่อน”
“เข้าใจค่ะ”
“ที่จริงผมเป็นคนสนุกกับงานนะครับ ไม่วุ่นวาย ไม่ซับซ้อน ไม่ดุ”
“จะถูกใจดิฉันก็ตรงนี้แหละค่ะ” กันทิมาเย้า
“เอาเป็นว่า เราค่อยๆ เรียนรู้กันไปแล้วกันนะครับ”
“ค่ะ”
“ฟังดูเหมือนเป็นคู่รักคู่ใหม่ ยังไงไม่รู้เนอะ” ปีเตอร์สัพยอก
ทั้งสองหัวเราะใส่กัน ปีเตอร์ก็เดินเลี้ยวแยกไปอีกทางหนึ่ง
กันทิมาเดินมาจนถึงปลายทางเดิน จึงเห็นชาติชายยืนพิงผนังอยู่
กันทิมาหยุดนิ่ง รู้สึกถึงร่างของชายผู้อยู่เบื้องหลัง กันทิมาค่อยๆ หันไปช้าๆ ชาติชายจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยความจำเป็น
“ยินดีด้วยนะครับ สำหรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ได้ติดต่อ ประสานงานกับฝรั่ง ต่างชาติ...งานที่คุณเคยฝันว่าอยากจะทำ”
“จำได้ด้วยเหรอ ว่าฉันฝันอะไร”
“จะเอาเรื่องอะไรบ้างล่ะครับ...ผมจะท่องให้ฟัง”
คำๆ นี้ สีหน้ากันทิมามีความสะเทือนใจอย่างเห็นได้ชัด
“ลืมมันซะเถอะค่ะ ชาติชาย” กันทิมาเดินเลี่ยงจะหนี
แต่ดูเหมือนว่า ชาติชายยังอยู่ในอารมณ์อยากจะพูดต่อ
“สามีคุณเขาพอใจเหรอ ที่คุณมาทำงานที่นี่”
“เป็นความพอใจของฉันเองค่ะ”
“ขอให้คุณมีความสุขกับงานนะ ส่วนผมก็มีเหตุผลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ ที่จะไม่ขอมาเหยียบที่นี่”
ชาติชายขยับตัวจะเดินจากไป
กันทิมาเรียกไว้ “ชาติ...”
ชาติชายหยุดเดิน ยืนนิ่ง รอฟัง
คล้ายๆ กันทิมามีหลายเรื่องในใจที่เธออยากเอ่ยปากพูดแต่แล้ว เธอก็เลือกที่จะพูดคำว่า
“โชคดีนะคะ...”
ชาติชายหายใจลึกๆ แล้วเดินจากไปอย่างสงบ
เลขาหน้าห้อง เปิดประตูห้องเผ่าลาภเข้ามารายงาน
“ท่านคะ คุณบุญส่งโทร.มาฝากข้อความไว้ค่ะ”
“เขาว่าไง”
“เขาบอกว่า รวบรวมเงินได้หมดแล้ว ขอยืนยันการซื้อพลอยทั้งหมดตามที่ตกลงกันค่ะ”
“ยกเลิกนัดของฉันพรุ่งนี้ทั้งหมด ฉันจะไปเหมือง”
ส่วนที่บ้านนายแสงเทพ ตอนเย็น เอกสารงบดุลบริษัท M.S. ค่อยๆไหลออกจากช่องส่งกระดาษของ printer อย่างดี แสงเทพเอื้อมหยิบเอกสารเหล่านั้นมาดู สายตาจับจ้องอยู่ที่กระดาษในมือพร้อมกับเอ่ยปากพูด
“ว่าแล้ว…เหมือนที่อาคิดไว้ไม่มีผิด ธุรกิจส่งข้าวมันรวยเงียบอย่างนี้นี่เอง…รู้งี้…”
“รู้งี้ อาจะค้าข้าวแข่งกับเขาเหรอครับ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…ให้คนอื่นเขาค้าไปเถอะ เราคอยดักปล้นเอาดีกว่าหลานชาย….ปีหนึ่งๆ ตั้งสองสามร้อยล้านแน่ะ”
“อย่างนี้ เราตีเขาเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางเจ๊งสิครับ”
“นอกจากจะทำลาย น่ำเล้งค้าข้าวของมัน” แสงเทพว่า
“ระเบิดเรือบรรทุกข้าว”
“โจ๋งครึ่มไป…นึกถึงหน้าพ่อเธอเอาไว้บ้างหลายชาย”
“งั้นอาจะทำยังไง”
“ลองช่วยกันคิดซิว่า…อะไรที่มันทำลายข้าวสารได้”
“มอดไง” ปื๊ดเสียงแหลม
ตะวันฉายและแสงเทพมองหน้ากัน
ที่ห้องนอนแพรวา แลเห็นรูปคู่แพรวากับตะวันฉาย บนผ้าห่มผืนใหญ่ มันกำลังถูกพับ ทับ ซ้อนอย่างประณีต โดยแพรวาเป็นผู้พับผ้าห่มผืนนี้อย่างทะนุถนอม
เสียงสัญญาณโทรออกของโทรศัพท์เครื่องนั้น ดังออกมาทาง speaker phone สักพักจึงได้ยินเสียงสัญญาณตอบรับจากปลายสาย ตามมาด้วยเสียงหล่อๆของพี่ตะวัน
“ฮัลโหล…น้องแพรเหรอคะ”
แพรวาพูดตอบโดยไม่ยกหูโทรศัพท์ เธอยังคงพับผ้าห่มไปเรื่อยๆ
“ค่ะ พี่ตะวัน…พี่ตะวันทำอะไรอยู่คะ”
ตะวันฉายอยู่ในรถหรู พูดโทรศัพท์มือถือพร้อมกับขับรถไปด้วย สีหน้าของเขาดูพอใจที่ได้พูดกับแพรวา
“พี่กำลังคิดถึงน้องแพรอยู่นะสิจ๊ะ พอคิดถึงปุ๊ป น้องแพรก็โทร.มาปั๊ปเลย”
“แต่น้องแพรคิดถึงพี่ตะวันมากกว่า”
“จริงอ้ะ?”
“จริงสิคะ...พรุ่งนี้วันเสาร์ พี่ตะวันทำอะไรรึเปล่า”
“ช่วงนี้พี่ก็มีแต่งานวางแผนบริษัทน่ะละจ้ะ….เรากำลังจะก่อร่างสร้างตัว มันก็เลยหยุดไม่ได้…พี่ก็ได้แต่คิดว่า ทำยังไงดีนะ พี่ถึงจะได้อยู่ใกล้ๆน้องแพรพร้อมๆ กับทำงานไปด้วย”
“งั้นพี่ตะวันอยู่ที่ไหน บอกมา น้องแพรจะไปหาพี่เอง ดีมั้ยคะ”
ตะวันฉายยิ้มกว้าง
“วิเศษที่สุดเลยจ้ะน้องแพร…แต่พี่มีอีกเรื่องนึง ต้องขอพึ่งน้องแพร”
“อะไรเหรอคะ”
“พี่อยากไปเที่ยวโรงสีน่ำเล้งน่ะ”
รถตะวันฉายโฉบเข้าไปจอดหน้าอาคารชุดทันสมัย ตะวันฉายยังคงพูดโทรศัพท์ในรถต่อเนื่องอยู่
“ว่าไงนะ”
“พี่อยากไปถ่ายรูป ทำตัวอย่างโบรชัวร์ส่งให้อาอรทัยของน้องแพรดูไง เผื่อเขาชอบใจจะได้จ้างบริษัทพี่ทำโฆษณาให้”
“ถ้างั้นก็ได้เลย สบายมากค่ะ…อาลินจงใจดีออก พี่ตะวันจะไปดูเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“งั้นก็ พรุ่งนี้เลยได้มั้ยจ๊ะ…พี่ว่างช่วงบ่ายพอดี…น้องแพรเจอกับพี่ที่นั่น กินข้าวด้วยกันให้หายคิดถึงไปเลย…ดีมั้ย”
“ดีค่ะ…พี่ตะวันเตรียมตัวให้ดีนะ…เพราะน้องแพรมีของชิ้นใหญ่ไปฝากด้วยละ”
“พี่จะรอจ้ะ...”
ตะวันฉายกดยกเลิกการสนทนา เขาก้มลงดูนาฬิกา แล้วจึงชะเง้อมองไปเบื้องหน้า มีรถแท๊กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดข้างๆ ก่อนจะเห็นร่างของผู้โดยสารหญิง เปิดประตูออกมาจากแท๊กซี่คันนั้นเดินตรงมาที่รถของตะวันฉาย เธอใช้มือเคาะกระจกรถ แล้วค่อยก้มหน้าลงมา เธอคือ แองจี้ นั่นเอง
“มารอแนะนำตัวกับใครแถวนี้อีกรึเปล่าคะ”
“ก็มีแต่คุณเท่านั้นหละครับ...เก่งมั้ยล่ะ ที่ผมตามหาคุณจนเจอ”
“ช้าไปค่ะ...คุณใช้เวลานานเกินไปมาก”
แองจี้เดินผละจากรถตะวันฉายตรงเข้าอาคารไป ตะวันฉายรีบลงจากรถแล้วเดินตาม
“แต่ก็คงไม่นานจนถึงกับหมดอารมณ์ไปแล้วนะ...เพราะผมกำลังต้องการการผ่อนคลายก่อนจะทำงานใหญ่วันพรุ่งนี้”
แองจี้ยิ้มหวานแทนคำตอบ
เช้าวันใหม่ เสียงดีเจรายการวิทยุ ทักทายคนฟัง ในบรรยากาศเช้าวันสดใส
“ใครฝันอะไรไว้ ขอให้เป็นจริงทุกคนนะจ๊า”
รถคำรณแล่นเข้ามาจอดกลางลานใกล้บริเวณหน้าบ้านน้าเบิ้ม
เสือโชเฟอร์คนเดิมเป็นผู้ขับ คำรณนั่งอยู่ด้านหน้า ทั้งคู่ฉงนกับสภาพชุมชนพอสมควร
“แปลกตาไปเยอะเลยนะลูกพี่”
“เพิ่งโดนเผาไล่ที่ไปก็อย่างงี้แหละ”
คำรณและเสือก้าวลงจากรถ เดินตรงไปยังศาลา พวกมันมองหาไปรอบๆ
“แล้วเราจะหาพวกเขาเจอเหรอครับพี่”
“แล้วแต่ดวงเว้ย”
เสือยกแขนพิงเสาของศาลานั้น....มันล้มโครมลงทันที น้าเบิ้ม เจ๊โอ๋ และเด็กๆ โผล่หน้าออกมาสลอน
“อ้าว ตาเบิ้ม อยู่นี่เอง กำลังจะตามหาอยู่พอดี...”
“จะเช่าเครื่องดนตรีอีกเหรอ”
“จะมาหาแม่สาวตาบอดคนนั้นต่างหาก...อยู่มั้ย”
“ช่วยซ่อมศาลานี่ก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องอื่นกัน” เจ๊โอ๋ต่อรอง
ก้อยนั่งหน้านิ่งเหมือนเช่นเคย เสียงคำรณดังเข้ามาก่อน จนเห็นตัวคำรณนั่งอยู่เยื้องๆ กับก้อย
“ฝันเป็นจริงแล้วหละน้องสาวเอ๊ย โลกระบือก็คราวนี้แหละ...น้องจ๊ะ พี่นั่งอยู่นี่ หันมาทางนี้สิจ๊ะ”
คำรณจับตัวก้อยให้หันมาประจันหน้ากับเขา มีน้าเบิ้ม เจ๊โอ๋ และโบ้ นั่งฟังอยู่ห่างๆ
“อย่างนั้น...แหม กว่าจะตามหากันเจอ...อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางเลยนะหล่อน...แต่ต่อไปน้องจะอยู่ไม่เป็นที่เป็นทางยิ่งกว่านี้ เพราะน้องจะดัง รู้ป่าว ชีวิตน้องจะเปลี่ยนไป เท้าน้องอาจจะไม่ติดดิน ไฟจะส่องมายังใบหน้า แต่มันจะไม่เข้าตาน้องหรอก ใช่มั้ย...เพราะมันจะเป็นแสงไฟแห่งความสำเร็จ แสงสว่างแห่งชื่อเสียง และ ความโด่งดัง...”
“ตกลงมันคืออะไรกันแน่ ที่พูดมาซะยาวเนี่ย” น้าเบิ้มถาม
“เขากำลังจะจัดเทศกาลดนตรี ตัวโน้ตแห่งชีวิต ลิขิตแห่งฝัน" เสือบอก
“แล้วก้อยไปเกี่ยวอะไรด้วย” โบ้งง
“พี่จะเอาก้อยไปเล่นดนตรีโชว์ไง...เพราะน้องก้อยคือชีวิต ที่ลิขิตด้วยความฝัน” คำรณว่า
“โอ๊ย...ก้อยเล่นไม่ได้หรอกค่ะ”
“อะไรไม่ได้ ก็เห็นเล่นอยู่ทุกวัน” เสือท้วง
“และเชื่อว่าต้องมีที่พี่ยังไม่เห็นอีกด้วย แน่ๆ”
“ก้อยเล่นมั่วๆไปอย่างนั้นเอง”
“ไม่ใช่มั่ว เขาเรียกว่าพรสวรรค์ ประสานกับใจรัก ไม่งั้นคงไม่กอดกีตาร์พี่ไว้บนตักอย่างนั้น
หรอกเชื่อพี่สิ ฝึกซ้อมอีกไม่กี่วัน เอาให้เข้ากับวง แป๊บเดียวก็โชว์ได้แล้ว”
“ไอ้ตรงให้เข้ากับวงนี่แหละ มันจะเข้าเหรอ” เจ๊โอ๋สงสัย
“เข้าสิเจ๊ ตาบอดด้วยกันจะไม่เข้ากันได้ไง...ไม่ต้องห่วงน่า ทั้งกลอง เปียโน ทั้งเชลโล่คีย์บอด บอดสนิททั้งหมด”
“ตกลงนี่มึงกำลังจะทำวงดนตรีคนตาบอดใช่มั้ยวะ”
“ไม่ใช่...นี่มันแค่ทางผ่าน พอเริ่มเป็นที่รู้จัก เราค่อยวางแผนจัดโชว์แบบเต็มๆ...เจ้าประคุณเอ๋ย...จุดขายแบบน้องก้อยนี่รับรอง ดังถล่มทะลาย”
เจ๊โอ๋ย้ำ “ไม่ใช่มาหลอกกันนะ”
“จะมาหลอกให้เสียเวลาทำไม...พูดจนปากคอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย ได้อะไรที่ไหนล่ะ”
“แต่ก้อยยังไม่เคยเล่นเป็นวงกับใครเลย”
“ก็ให้ไปเล่นวันนี้ พรุ่งนี้ซะเมื่อไหร่ล่ะ...มีเวลาให้ซ้อม...อู๊ย เข้าใจยากเย็นซะเหลือเกิน”
“ขอก้อยคิดดูก่อนได้มั้ยคะ”
“ได้ ห้านาทีพอไหม...คิดนานไป เดี๋ยวพี่ต้องหาคนอื่นมาแทน” คำรณเล่นลิ้น
“ขอก้อยปรึกษาหรั่งก่อนแล้วกัน”
“ตามใจ...คนไหนหรั่ง...” หันมาถามคิดว่าเป็นโบ้ “เธอ...”
โบ้ส่ายหน้า คำรณกระเถิบเข้าไปกระซิบใกล้ๆ
“เอาน่า มาสวมรอย เป็นนายหรั่งให้เขาปรึกษาหน่อยสิ...น้องก้อยเขาไม่เห็นหรอกน่า”
ขณะเดียวกันที่หน้าโรงสีน่ำเล้ง ตะวันฉายยืนพิงรถรอคอย ปื๊ดนั่งอยู่หลังพวงมาลัยเป็นผู้ขับรถให้
รถของแพรวา วิ่งเข้ามาโดยมีนายหรั่งเป็นผู้ขับ แพรวาก้าวลงจากรถ พร้อมๆ กับที่ตะวันฉายเดินเข้าไปรอรับ
“ขอโทษจริงๆ ที่พี่ไปรับน้องแพรที่บ้านไม่ได้... คนขับรถของน้องแพรทำหน้าที่ได้ดีมั้ย”
“ค่ะ...พี่ตะวันดูคล้ำไปหน่อยแล้วนะคะ”
“บ่อปลาของพี่มันอยู่กลางแดดนี่จ๊ะ...ไป พาพี่เข้าไปข้างในเถอะ”
แพรวาขยับเดินนำหน้าตะวันฉายเข้าไปในโรงสี ตะวันฉายอดไม่ได้ที่จะหันไปหาหรั่ง
“คนรถ เอารถไปจอดตรงโน้นสิ ใกล้ๆ กัน แล้วฝากดูรถฉันด้วย”
ปื๊ดลุกออกจากรถตะวันฉาย เดินตามเจ้านายเข้าไปห่างๆ คล้ายๆจะแยกไปคนละทาง
หรั่งยืนมองอย่างจับสังเกตุโดยละเอียด
อ่านต่อตอนต่อไป