xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษ ลูกผู้ชาย ตอนที่ 5

ที่บริษัท M.S. Jewelry ในเช้าวันนั้นเวลาต่อมา เอกสารสมัครงานและประวัติผู้สมัครงานวางลงบนโต๊ะ มีป้ายเขียนว่า “ฝ่ายบุคคล” ตั้งอยู่ใกล้ๆ เจ้าหน้าที่คนนั้น…เขามอง งงๆ

“อะไร”
เลขาสาวยืนขนาบข้างหรั่ง อยู่ตรงหน้าโต๊ะ
“นี่คือผู้ช่วยคุณแพรวา”
“มีตำแหน่งนี้ด้วยเหรอ”
“เป็นตำแหน่งใหม่ที่ท่านประธานเพิ่งตั้งขึ้นมา…รับเงินเดือนโดยตรงจากท่านประธาน ไม่เกี่ยวกับบัญชีบริษัท…คุณเก็บไว้แต่เอกสารสำคัญและประวัติส่วนตัวของเขา”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลพยักหน้า เข้าใจ เลขาหันไปหาหรั่ง
“ตามดิฉันมาค่ะ คุณผู้ช่วย…ดิฉันจะพาไปที่โต๊ะทำงาน”

เลขาเดินนำหน้าหรั่งไปตามทางเดิน ที่ห่างออกมาจากโต๊ะพนักงานอื่นๆ เลขาเดินไปพูดไป
“ออฟฟิศของเราเข้าทำงานแปดโมงเช้า…โดยปกติแล้วคุณแพรวามักจะมาสาย แต่คุณในฐานะผู้ช่วย คุณต้องมาถึงก่อน…เราจึงมีที่นั่งสำหรับคุณ…นั่นคือโต๊ะทำงานของคุณ”
เลขาชี้ไปที่โต๊ะเล็ก สุดปลายทางเดิน ซึ่งเป็นซอกมุมอาคาร
“คุณสามารถมานั่งรอคุณแพรวาที่นี่ได้…โต๊ะคุณแพรวานั้น จะตั้งรวมอยู่ในห้องคุณอรทัย…เพื่อจะได้เรียนงานได้สะดวก”
หรั่งเดินเข้าไปสัมผัส ลูบคลำโต๊ะนั้น บนโต๊ะไม่มีเครื่องใช้สำนักงานใดๆ เลย สักชิ้น เลขาคนสวยยังคงอธิบายต่อไป
“ชั้นล่างจะเป็นโชว์รูม…ตรงที่คุณเคยเอาน้ำเขียวๆมาส่งนั่นแหละ ชั้นสองนี้ เป็นส่วนของพนักงานทั้งหมด…ผู้บริหารใหญ่ๆ จะอยู่ชั้นสาม”
หรั่งส่งน้ำย่านางให้เลขา
“แล้วหลังจากวันนี้ จะให้ผมส่งน้ำย่านางไว้ที่ไหน”
เลขาถาม “ขมมั้ย”
“ใหม่ๆ อาจจะมีบ้าง...แต่รับรองว่าดื่มไปเรื่อยๆแล้วจะสดชื่น ดับร้อน ผิวพรรณผุดผ่อง”
“ส่งที่โต๊ะฉันเลยก็แล้วกัน อยู่ทางโน้น…เพิ่มของฉันวันละสองขวดด้วยนะ”
เลขารับน้ำย่านางแล้วเดินออกไป หรั่งลงนั่งเหงาๆ ไม่รู้จะทำอะไรที่โต๊ะดี

จังหวะนี้ กฤษฎาเดินเข้ามาที่ อีกมุมหนึ่งของบริษัท M.S. ด้วยเสื้อผ้าโก้หรู ดูเบ่งเต็มขั้น เขาเดินเข้าไปหาพนักงานสาวใกล้ตัว…ส่งเอกสารให้
“รายงานความคืบหน้าสนามกอล์ฟ ฝากให้อากู๋ด้วยนะ”
พนักงานรับมา “ค่ะ”
กฤษฎาหมุนตัวจะเดินกลับ พลันชะงัก หันกลับมาจ้องออกไปนิ่ง เมื่อเห็นเป็นหรั่งนั่งเฉยๆ อยู่ที่โต๊ะตัวเล็กๆ ของเขา กฤษฎาหันไปหาพนักงานใกล้ตัวอีกคน
“ไอ้หมอนั่นมานั่งอยู่ที่นี่ได้ยังไง…มันมาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“อ๋อ…ผู้ช่วยคุณแพรวาครับ…ตำแหน่งใหม่ แต่งตั้งโดยท่านประธาน” พนักงานบอก
กฤษฎาตาลุกเป็นไฟ โกรธจัด

เวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเดินถือเอกสารมาที่โต๊ะหรั่ง
“โทษนะคะ รู้สึกว่าเอกสารของคุณจะมีปัญหาค่ะ”
“ยังไงครับ”
“ใบสำมะโนครัวของคุณ ไม่มีชื่อมารดา…ไม่ทราบว่าเป็นเอกสารตัวจริงรึเปล่า”
“ตัวจริงครับ”
“แล้ว แม่ล่ะ?…ไม่มีแม่เหรอ”
“ผมไม่มีแม่ครับ” หรั่งพูดเสียงชัดเจน
กฤษฎาเดินเข้ามา กระชากเอกสารนั้นไปอ่าน
“นายหรั่ง นามสกุลนาคำ บุตร นายนุ้ย นาคำ ภูมิลำเนา เกิดที่ศรีสะเกษ…ไม่มีแม่…”
เอกสารนั้น…ตรงช่องชื่อมารดา มีเพียงเส้นขวางขีดไว้เท่านั้น
“โถ ไอ้ลูกไม่มีแม่ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…สะเออะมาทำงานที่นี่ทำไมวะ”
“ไม่ได้สะเออะ…อาการสะเออะคงไม่ได้หมายถึงคนที่นั่งอยู่กับที่เฉยๆ…มันน่าจะหมายถึงอาการเสือกตัวเองจากจุดหนึ่งมาหาเรื่องใส่ตัวที่อีกจุดหนึ่ง”
“มึงว่ากูเสือกเหรอ ไอ้ลูกไม่มีแม่”
“จะให้ผมนิยามคำว่าเสือกด้วยอีกคำมั้ยครับ ไอ้ลูกมีพ่อมีแม่ครบ”
เสียงทรงอำนาจของเผ่าลาภดังเข้ามาก่อนตัว
“พอได้แล้วทั้งสองคนนั่นน่ะ…หมั่นไส้อะไรกัน”
เงียบ ไม่มีผู้ใดตอบ
“เอ้ารู้จักกันไว้ซะ…นี่นายต้น กฤษฎา หลานชายฉัน…นี่หรั่ง ผู้ช่วยแพรวาเขา”
กฤษฎาแสยะยิ้มแล้วเดินออกไป แต่ก่อนจะหลุดไปเขาหันมา ทำท่าเอานิ้วปาดคอ หรั่งเห็น แต่เผ่าลาภหันไปดูไม่ทัน
“ลูกผู้ชาย มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างอย่างนี้แหละ”
“ครับ”
“ทำไมเราถึงไม่มีแม่”
“ผมไม่รู้อดีตมากพอที่จะตอบคำถามนี้ได้ครับ…แม้แต่พ่อ ผมก็มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น…ผมเลือกจดจำปัจจุบันมากกว่าครับ”
“โอ.เค. ต่างคนต่างทำงานกันได้ น้องแพร จะให้ผู้ช่วยช่วยอะไรก็สั่งเขาเลยนะ”
เผ่าลาภเดินจากไป…หรั่งเดินเข้าไปใกล้แพรวาที่ยืนใช้ความคิดอยู่
“วันนี้จะให้ผมช่วยอะไรบ้าง ไม่ทราบ”
“ยังไม่รู้เลย”
แพรวาเดินหนีออกไปทันที หรั่งหันไปหาเลขาคนเดิม
“วันนี้คุณแพรวามีกำหนดต้องทำอะไรที่ไหนบ้างครับ”
เลขาหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาเปิดดู
“ก็…มีนัดกับช่างเสื้อ…แล้วก็นัดคุณอรทัยด้วย”
“ถ้างั้น…ผมขอรายละเอียดเรื่องที่คุณแพรวา ต้องทำหรือคุยกับคุณอรทัย…หรือมีข้อมูลอะไรในความรับผิดชอบของคุณแพรวา ก็เอามาเถอะครับ อะไรก็ได้…”

“ค่ะ” เลขารับคำ

ตอนกลางวันที่บ่อนตะวันฉายและเพื่อน เจ้ามือวงไพ่ หงายไพ่ของตัวเองออกมาแล้วยิ้ม รวบเงินบนโต๊ะไป ใบหน้าบารมีซีดเซียว ขอบตาหมองคล้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เครียดจัด

บารมีลุกขึ้นยืน ขณะที่เจ้ามือกำลังเริ่มต้นสับไพ่
เจ้ามือถาม “ไม่เล่นต่อเหรอครับ”
“ไม่มีตังค์แล้ว…แต่เดี๋ยวจะกลับมาเล่นใหม่”
บารมีเดินห่างออกมาจากโต๊ะ ไปยังกลุ่มนักเลงคุมบ่อน
“คุณตะวันฉายอยู่มั้ย”
“ทำไม มีธุระอะไรเหรอ” 1 ในนั้นถาม
“มันเรื่องของฉัน…ฉันต้องบอกแกด้วยรึไงวะ”
ตะวันฉายเดินเข้ามาจากอีกมุมหนึ่ง ทันได้ยิน
“ใจเย็นๆครับ…มีอะไรให้ผมช่วยไม่ทราบ”
“ผมบารมี เป็นน้าเจ้าต้นเพื่อนคุณน่ะ…จำได้มั้ย”
“จำได้สิครับ…แหม น้าเพื่อนทั้งคน”
“อาทิตย์ที่แล้ว ผมเอาเงินมาที่นี่สามล้านห้า ผมเดินกลับออกไปพร้อมกับเงินสิบล้าน”
ตะวันฉายเย้า “มือขึ้น”
“เมื่อวานผมพกเงินสิบล้านเข้ามา…วันนี้ มันหมดเกลี้ยงเลย”
“ชีวิตก็อย่างนี้แหละครับ มีได้มันก็ต้องมีเสีย”
“แต่ผมอยากได้ทุนเพิ่ม…ไม่งั้น…เอ้อ…คือ กิจการปั๊มน้ำมันของผม ธุรกิจของผม…เอ้อ…”
“ผมเข้าใจ”
ตะวันฉายบอกทันที พร้อมกับควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เขียนบางอย่างลงไป แล้วส่งให้บารมี
“เอาไปแลกเงินที่โต๊ะ เล่นระวังๆ นะครับ อย่าทุ่มกับการพนันมากนัก มันไม่มีอะไรแน่นอน”
“ขอบคุณมาก หลานชาย” หน้าตาบารมีชุ่มชื่นขึ้นมาทันตาเห็น

บารมีเดินกลับไปยังโต๊ะวงไพ่วงเดิมของเขา ขณะกฤษฎาเดินเข้ามาจากอีกมุมหนึ่ง ตรงมาที่ตะวันฉาย
“ไอ้ตะวัน”
“อ้าว…ไหนว่าไปใช้ชีวิตอยู่เมืองกาญจน์แล้วไง”
“อยู่ให้โง่เหรอ…ช่วงนี้มึงไปหาน้องแพรบ้างรึเปล่า”
“ธุรกิจมันรุ่ง เลยไม่ค่อยมีเวลา”
“ธุรกิจอะไรของมึงวะ”
“ก็ธุรกิจที่มึงเห็นอยู่นี่...แล้วก็มีตัวใหม่ๆ อีกสองสามตัวที่กูกำลังเลือกๆ ดูอยู่”
“มึงจำไอ้ลูกครึ่งที่ตัดหน้ามึงที่เมืองกาญจน์ได้รึเปล่า”
“ได้…กูส่งคนไปกระทืบให้มึงแล้วนี่หว่า”
“คนของมึงคงกระทืบมันเบาไป…ตอนนี้มันมาเป็นผู้ช่วยของแพรวาที่ M.S.JEWLEY แล้ว
มึงรู้รึเปล่า”
ตะวันฉายแปลกใจ นิ่งคิดอย่างชิงชัง

ที่บริเวณทางเดินเข้าห้องผ่าตัดตาของโรงพยาบาล ก้อย นอนบนเตียงนอนคนไข้ มีพยาบาลเข็นไปตาม มีหรั่งและเพื่อนๆ เดินตามคอยให้กำลังใจก้อย
“ก้อยทำใจสบายๆ นะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น”
“สัญญาได้มั้ยว่า ถ้าก้อยลืมตาขึ้นมา ก้อยต้องได้เห็นหน้าหรั่งเป็นคนแรกนะ”
หรั่งลำบากใจ “สัญญาจ้ะ”
“พี่เท่ห์ พี่โบ้ พี่เช็ง ด้วยนะ”
เท่ห์ โบ้ เช็ง รับเสียงใส “จ้ะๆๆ”
“ยังมีเวลาวางแผนกันว่า อยากจะเห็นหน้าใครก่อน” เท่ห์ว่า
“พี่โบ้จะทำหล่อรอไว้เลยจ้ะ”
“พี่เช็งจะลดความอ้วนเพื่อก้อย”
พยาบาลเข็นรถมาถึงหน้าห้องผ่าตัดพอดี
“ญาติๆ รอข้างนอกนะคะ”
ก้อยคว้ามือหรั่งมากุมไว้
“หรั่ง”
หรั่งปลอบ “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกก้อย เชื่อหรั่งนะ”
“หรั่งอยู่รอก้อยด้วยนะ”
พยาบาลเข็นรถก้อยหายเข้าไปในห้อง
หรั่ง และเพื่อนๆ มองตาม
“มึงบอกกูมาตรงๆ ไอ้หรั่ง….ก้อยจะมองเห็นรึเปล่า” เท่ห์คาดคั้นแทนอีกสองหน่อ

แพรวาเดินตรงไปยังห้องทำงานของเธอ ที่ด้านหลังเห็นเป็นโต๊ะหรั่งที่ตั้งว่างๆอยู่ แพรวาหยุดมอง แล้วหันไปหาเลขาที่อยู่ใกล้ตัว
“นายหรั่งยังไม่มาอีกเหรอ”
“มาเมื่อเช้าแล้วค่ะ…แต่ขอลา บอกว่าบ่ายๆ ถึงจะเข้ามาใหม่”
“อะไรกัน ทำงานไม่ทันไร ลาซะแล้ว” แพรวาบ่น
“เอ้อ …มีคนมารอพบคุณแพรวาอยู่ที่ห้องรับรองค่ะ”
“ใคร?”
“เขาไม่ให้บอกว่าใครค่ะ…บอกแต่ว่าจะมารับไปทานข้าว”

ครู่ต่อมา ตะวันฉายซึ่งอยู่ในห้องรับ ลุกขึ้นอ้าปากพูด ด้วยท่วงท่าสุดเท่ห์
“นึกว่าผู้บริหารที่นี่ เขาจะทำงานกันจนไม่มีเบรกทานข้าวซะอีก”
แพรวายืนฟังอยู่หน้าประตูห้อง
“เราทานข้าวกันตามเวลาปกติ แต่ไม่นึกว่าจะมีใครอยากมาทานข้าวกับเราด้วย”
“ใจน่ะอยากจะมาอยู่ทุกวัน แต่ภาระการงานมันรัดตัวซะจน...”
“ไม่ต้องอ้างนู่นอ้างนี้อีกแล้วพี่ตะวัน...น้องแพรเบื่อจะฟัง”
“แล้วเบื่อที่จะไปนั่งร้านอาหารหรูๆกับพี่อีกหรือเปล่าจ๊ะ”
แพรวาค่อยๆ ยิ้มออก
“ก่อนออกไป ต้องสั่งงานไว้กับผู้ช่วยก่อนมั้ยจ๊ะ”
แพรวาค้อนหนึ่งวง พร้อมกับเบะหน้าใส่ตะวันฉาย มันช่างดูน่ารักน่าหยิกซะไม่มี

สี่เกลออยู่ที่ห้องอาหารในโรงพยาบาล เท่ห์ตักข้าวเข้าปาก เพื่อนๆ ทุกคนนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน
“พวกมึงอิ่มแล้วอยู่รอก้อยที่นี่ก่อนนะเว้ย…กูขอกลับไปที่ทำงานหน่อย เดี๋ยวกูมาเย็นๆ”
“มึงนี่หายใจหายคอเป็นงานจริงนะ” เท่ห์บ่น
“กูว่ามันหายใจหายคอเป็นเจ้านายมันมากกว่าว่ะ” เช็งปากเปราะตามประสา
“กูนึกว่ามึงจะหายใจหายคอเป็นก้อยซะอีก” โบ้ว่า
“พวกมึงน่ะแหละหายใจหายคอเป็นแต่เรื่องส่วนตัวของกู” หรั่งด่า

ด้านตะวันฉายและแพรวา นั่งเคียงข้างกันกลางร้านอาหารเลิศหรู
“น้องแพรหายงอนพี่หรือยังคะ”
“ไม่บอก...ปล่อยให้งงเล่นๆ”
“พี่ไม่งง...เพราะพี่เชื่อตำราที่ว่า ยิ่งรัก ก็ยิ่งงอน”
แพรวาตีลงไปที่มือตะวันฉาย ตะวันฉายกอบกุมมือนั้นไว้ทันที หยอดคำหวาน
“พี่รู้ว่าพี่ทำให้น้องแพรผิดหวัง เรื่องที่ไม่ยอมมาช่วยงานน้องแพร แต่รู้มั้ย วันนึงข้างหน้าถ้าธุรกิจของพี่เป็นรูปเป็นร่างลงตัวขึ้นมาแล้วละก้อ วันนั้น น้องแพรจะให้พี่ช่วยอะไร พี่ยินดีไม่มีเกี่ยงงอนแม้แต่น้อย”
“ไม่จริงหรอก...ถึงวันนั้น พี่ตะวันก็มีแต่จะยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกละไม่ว่า
ตะวันฉาย งั้นเปลี่ยนเป็นน้องแพรมาช่วยงานพี่ดีมั้ยจ๊ะ...ถือซะว่า เป็นบริษัทของเราสองคนไง"

เจอป้อคำหวาน คุณหนูโลกสวย แพรวา ยิ้ม อายๆ

หรั่งเปิดประตูห้องทำงานอรทัยเข้ามา เห็นอรทัยนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ

“ใครน่ะ”
หรั่งสะดุ้งเล็กน้อย “ผมหรั่งครับ…ผู้ช่วยคุณแพรวา”
อรทัยปรายตามองจิก หัวจรดเท้า
“แล้วเข้ามาทำไม มีอะไรทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
“ผมนึกว่าคุณอรทัยไม่อยู่”
“คิดว่าฉันไม่อยู่ แล้วจะเข้ามาดูอะไร”
“ผมเข้าใจว่าคุณแพรวา คงนั่งทำงานอยู่ในนี้”
“โต๊ะเราก็มีไม่ใช่เหรอ…เป็นผู้ช่วยเขา ถ้าเจ้านายไม่สั่งอะไรก็รออยู่ที่โต๊ะสิ ไม่ใช่เที่ยวเพ่นพ่านเข้าห้องนู้นห้องนี้ให้ยุ่งไปหมด”
“ขอโทษครับผม”
หรั่งเดินออกไป และปิดประตูห้องลง

บ่ายนั้น หรั่งเดินมุ่งหน้าไปทางโต๊ะของตน เขาแวะถามเลขาสาวคนเดิม
“วันนี้คุณแพรวามารึเปล่า”
“มา…แล้วก็ออกไป…ถามหาคุณด้วย”
หรั่งพยักหน้ารับรู้
“อ้อ…มีแฟ้มอยู่บนโต๊ะคุณ เยอะเลย…คุณแพรวาเธอฝากให้คุณอ่าน เห็นว่าเป็นงานที่คุณอรทัยสั่งไว้”
หรั่งพยักหน้ารับรู้อีก แล้วเดินไปที่โต๊ะ
ที่ด้านหลังของหรั่ง เห็น แพรวาเดินควงแขนตะวันฉายเข้ามา ตะวันฉายแสดงลีลา แชมป์แขวะยอดเยี่ยมประเภทชายเดี่ยว
“ไง ไอ้หนุ่มชิงช้าสวรรค์ ช่วงนี้ดวงขึ้นนะ ได้เป็นถึงผู้ช่วยน้องแพร…ไม่รู้จับฉลากได้มาได้ยังไง”
หรั่งชะงักหันไปมองจ้องแน่วนิ่ง
“พี่ตะวัน อย่าพูดอย่างนี้นะ น้องแพรเป็นคนเลือกเขาเอง เพราะพี่ตะวันไม่ยอมช่วยน้องแพร”
หรั่งสะเทือนใจอยู่ลึกๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นตัวเลือกสำรอง
ตะวันฉายยังวาดลวดลายหมาหวงก้างต่อไป
“พี่ไม่ได้ว่าอะไร…แค่เห็นว่าไอ้นี่มันเหมือนหนูตกถังข้าวสาร…แล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้หนูพันธุ์นี้มันจะทำงานอะไรเป็นบ้างรึเปล่า”
“พี่ตะวันปากจัดอย่างนี้ น้องแพรไม่คุยด้วยดีกว่า”
แพรวาสะบัดแขนออกจากตะวันฉาย ตรงไปยังห้องทำงาน
ตะวันฉายเดินเข้าไปใกล้หรั่ง จงใจพูดใส่หน้าเขา
“โชคดีจริงนะมึง…แต่อย่านึกนะ ว่าจะโชคดีอย่างนี้ไปได้ตลอด…โชคร้ายที่ไม่คาดคิด อาจจะมาถึงมึงได้ เร็วๆ นี้”
หรั่งมองตาตะวันฉาย ไม่สะทกสะท้าน

ในห้องรับรองแขก บริษัท M.S. ช่วงบ่ายแก่ๆ อรทัยขยับตัวลงนั่งสบายๆ ข้างๆ กันนั้น ตะวันฉายและแพรวา นั่งอยู่ก่อนแล้ว อรทัยทักทายเยี่ยงผู้ใหญ่ที่ดูอบอุ่นสำหรับคนแปลกหน้า
“เป็นไงบ้างจ๊ะหลานตะวัน…น้องแพรเขาบ่นๆ อยู่นะว่าหลังๆนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่เลย”
“ครับ…เผอิญช่วงนี้ผมมีธุรกิจที่ต้องเตรียมการวางแผนอยู่น่ะครับ”
“เหรอจ๊ะ…ธุรกิจอะไรล่ะ”
“ก็ มีหลายตัวครับ…กำลังดูๆอยู่ ว่าจะมาขอปรึกษาที่นี่อยู่เหมือนกัน”
“เป็นธุรกิจของคนรุ่นใหม่น่ะค่ะ” แพรวาว่า
“ทำธุรกิจเดี๋ยวนี้เหนื่อยจะตาย วันทั้งวัน แทบไม่ได้พักเลยหละ หลานตะวันจะไหวเหรอ…อย่างหลานนี่น่าจะเล่นการเมืองดีกว่ามั้ง”
“เหนื่อยพอกันละครับ…ดูจากคุณพ่อผม ท่านก็แทบไม่ได้หยุดเลยซักวัน”
“แต่ชื่อเสียงมันผิดกันนะ ถือว่าคุ้มกับความเหนื่อย ทำธุรกิจมันก็งั้นๆแหละ น้ายังอยากจะเซ้งซะให้หมดเลย…เอาเงินไปเที่ยวรอบโลกดีกว่า” อรทัยบอก
“อันหลังนี่น้องแพรเห็นด้วยค่ะ”
“แล้วเธอสองคนล่ะ…จะลงเอยกันเมื่อไหร่เอ่ย”
แพรวาเหลือบมองดูหน้าตะวันฉายเป็นคำถาม แล้วประชดออกมา
“ช่วงนี้พี่ตะวันยังงานยุ่งอยู่ค่า…”
“หายยุ่งเมื่อไหร่ก็เอาเลยซี่” อรทัยอวย
“อีกซักสิบ - ยี่สิบปีมั้งคะ…” แพรวาประชดซ้ำให้หนำใจ
“ถึงผมจะไม่ค่อยมีเวลา แต่น้องแพรวาก็อยู่ในสายตาของผมตลอด…ผมไม่ปล่อยให้ใครมายุ่มย่ามได้ง่ายๆหรอกครับ”

ตะวันฉายพูดอย่างสุภาพสร้างภาพโครตๆ…ในคราบของหมาหวงก้างดีๆ นี่เอง

ส่วนที่ห้องพักคนไข้รวมในโรงพยาบาล แลเห็นพยาบาลเข็นรถพาก้อยเข้ามาในห้องพักคนไข้รวมนั้น

ก้อยถูกปิดตาอย่างถูกวิธีทั้งสองข้าง
ท่าทางบางอย่างของเธอทำให้เรารู้ว่ามีแววกังวล พยาบาลเข็นรถมาจอด แล้วจึงหันไปเตรียมเตียง จู่ๆ ไวโอลินถูกยื่นเข้ามาวางลงบนตักก้อย
ก้อยลูบคลำมันแล้วคว้าแขนนั้นไว้ หรั่งและเพื่อนๆ ยืนรอห้อมล้อมอยู่
“หรั่ง…หรั่งใช่มั้ย” ก้อยทักขึ้นอย่างดีใจ
“หรั่งเอาไวโอลินมาให้…ก้อยจะได้นอนกอดไว้ให้หายเหงา”
“หรั่ง…ก้อยไม่เห็นอะไรเลย…มันมืดเหมือนเดิม มืดไปหมดเลยหรั่ง” ก้อยบอก
“ก็หมอเขายังไม่ได้เปิดตา” เช็งบอก
พยาบาลกลับเข้ามาหลังจากเตรียมเตียงเรียบร้อยแล้ว…เธอช่วยอธิบาย
“คุณหมอเขาปิดตากันแผลติดเชื้อน่ะค่ะ…วันนี้ผ่าข้างขวา เดี๋ยวอีกสองวันถึงจะผ่าข้างซ้าย…แล้วก็ยังปิดตาอีกสามสี่วัน ถึงจะเปิด ทั้งสองข้างเลยนะคะ”
“ช่วงนี้ก้อยนอนให้สบายนะ หรั่งจะมาเยี่ยมทุกวัน” หรั่งว่า
“พี่โบ้ด้วย ไอ้เช็ง ไอ้เท่ห์ด้วย...”
เท่ห์กะเช็งประสานเสียง “ด้วยๆๆๆ”
พยาบาลประคองก้อยออกจากรถเข็น เพื่อลงนอนบนเตียง หรั่งถอยห่าง…เขาหยิบแฟ้มงานที่วางข้างๆ เตียงหลบออก
“มึงสอบเสร็จแล้ว ยังต้องท่องหนังสืออีกเหรอวะนั่น” เท่ห์แปลกใจ
“งานบริษัทโว้ย…กูต้องอ่านให้จบคืนนี้”
“คืนนี้!…ถ้าเป็นกูต้องขอซักห้าเดือน…เล่มเดียวนะ” เท่ห์ว่า

พอกลับถึงบ้านคืนนั้น หรั่ง นั่งอ่านเอกสารในแฟ้มอย่างตั้งใจ
ขณะเดียวกันตะวันฉายกับแพรวา นั่งดื่มไวน์ชั้นดีในคลับหรู ทั้งคู่มีท่าทีร่าเริง มีความสุขสุดขีด
หรั่ง ทำชอร์ตโน้ต แทรกไว้ตามเอกสารหน้าต่างๆ ที่คิดว่าแพรวาน่าจะต้องรู้
ฟากแพรวาและตะวันฉายเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
ในห้องที่มืดมิดของหรั่ง มีเพียงแสงไฟโคมเล็กๆ บนโต๊ะเขียนหนังสือเท่านั้นให้แสง หรั่งเดินอ่านเอกสารและดื่มกาแฟรอบๆ โต๊ะนั้น
พวกวัยรุ่นในบาร์ขอถ่ายรูปคู่ตะวันฉายและแพรวา..ส่วนใหญ่เมาปลิ้น...หัวเราะเริงร่า
ดึกมากแล้ว หรั่งขยี้ตา...หาวหวอดๆ แต่หรั่งวิดพื้น โดยมีเอกสารวางอยู่บนพื้นตรงแนวระดับสายตา

นาฬิกาค่อยๆ เดินเปลี่ยนเวลาไปจนใกล้เช้า พระอาทิตย์สีเย็นตา โผล่พ้นขอบฟ้าหลังอวดแสงระเรื่อ
ที่หน้าบ้านเผ่าลาภ แสงยามเช้าสาดทะลุหมู่แมกไม้ เกิดเป็นลวดลายงดงามน่าชมแลเห็นหรั่งนั่งยองๆ แฝงตัวอยู่ในเงาไม้นั้น
รถญี่ปุ่นรุ่นเก่าที่สุดที่ยังพอวิ่งได้ แล่นเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน สยามเปิดประตูลงมาจากรถคันนั้น…เขาทักทายหรั่งทันที
“มานั่งอยู่นี่ทำไมแต่เช้า…มาผิดที่รึเปล่า ทำไมไม่ไปที่บริษัท”
“ผมกลัวจะคลาดกับคุณแพรวา ก็เลยมานั่งรอที่นี่”
“งั้นเข้าไปรอในบ้านด้วยกันซี่”
สยามเปิดประตูบ้าน เตรียมเอารถเข้าไป
“น้าหยามก็มาเช้าเหมือนกันนะ”
“ฉันต้องมาเช้าอยู่แล้ว…มาหลังเจ้านายตื่น ก็ตายสิ”
ทั้งคู่ต่างขับรถของตนเข้าบ้านเผ่าลาภไป

สยามเดินคุยกับหรั่งเข้ามาในบ้าน
“เช้าๆ ฉันก็ขับรถมาจอดไว้ที่นี่ แล้วจะไปไหนก็ไปกัน สุดแท้แต่ภารกิจของคุณเผ่าลาภ…เย็นๆ ค่ำๆ ยังไงฉันก็ต้องมาส่งท่านที่นี่ ฉันก็ค่อยขับไอ้แก่ของฉันกลับบ้าน”
“ก็ สบายดีเหมือนกันนะ”
“โอ๊ย สบายจะตาย…ใครทำงานที่นี่แล้วอยู่ไม่ได้ละก้อ แสดงว่าไอ้นั่นต้องเลวสุดๆ…คุณเผ่าลาภท่านเป็นเจ้านายที่สุดยอดมาก รัก ห่วงใยลูกน้อง ลูกน้องรักท่านกันทุกคน…ไม่เชื่อคอยดูสิ อีกหน่อยนายก็ต้องรักท่าน”
“น้าหยามสนิทกับคุณเผ่าลาภมั้ย”
“มองตาก็รู้ใจ…ถึงไม่มองก็เดาได้”
ทั้งคู่เดินเข้ามาถึงกลางห้องโถง เผ่าลาภเดินลงมาจากชั้นบน แต่งตัวพร้อม เรียบร้อยแล้ว สยามเดินเข้าไปหาใกล้ๆ รายงานภารกิจตามปกติ…หรั่งเลี่ยงออกไปรออยู่ห่างๆ
“วันนี้ท่านต้องไปที่โรงสีข้าวครับ…แล้วก็ทางเหมืองแจ้งรายการเครื่องมือชำรุดเสียหายมามีทั้งรถแทร็คเตอร์ รถแบ๊คโฮ แล้วก็อื่นๆ อีกเยอะ…นี่รายการครับ”
พลางสยามส่งรายการให้เผ่าลาภดู
“ไม่ทราบท่านจะไปตรวจดูซักหน่อยมั้ยครับ”
“อาเหลียงเขาดูอยู่ ไม่เป็นไร” เผ่าลาภบอก
“เอ้อ ท่านครับ…ท่านดูพลอยที่ผมเอามาให้รึยัง”
“ยังเลยว่ะ…อยู่ไหนแล้วไม่รู้”
“งั้นดูอันนี้ก็ได้ครับ”
สยามส่งพลอยให้หนึ่งเม็ด
“มันจากที่เดียวกัน ร้านเดียวกัน…เป็นพลอยคู่แข่งของเรา…ท่านลองดูสิครับ”
เผ่าลาภลองส่องดูพลอยเม็ดนั้นอย่างเชี่ยวชาญ
“ผมว่าเนื้อมันเหมือนพลอยของเรานะครับ” สยามว่า
“อือม…ช่างมันเถอะ นี่มันเศษพลอย”
“แต่ถ้าเป็นเศษพลอยของเราล่ะครับ” สยามท้วง
“แล้วฉันจะให้ทนงศักดิ์เขาเช็คดู…อย่าเพิ่งไปคิดมากน่า”
เผ่าลาภหันไปเห็นหรั่งนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง เขากวักมือเรียกเลย
“นายหรั่ง มานั่งนี่แน่ะ ยายแพรเขานัดเรามาเหรอ”
“เปล่าครับ”
รำไพเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กรับใช้ ต่างพากันเอาอาหารมาเสิร์ฟให้
“นายหรั่ง…เอากาแฟมั้ย…หรือจะชงเองก็ได้เลยนะ เข้าไปในครัวนั่น…กันเองตามสบาย…สยามพาเขาไปสิ”
“ยังไม่เป็นไรครับ” หรั่งออกตัว ท่าทีเกรงใจ
“งานเป็นไงบ้าง…เล่าให้ฟังซิ ผู้ช่วยหรั่ง”
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ”
เผ่าลาภชะงัก “ห๊า…สามวันแล้วนะเนี่ย”
“ครับ…คุณแพรวายังยุ่งอยู่น่ะครับ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาให้กับงาน…ผมก็เลยต้องมาตามงานถึงที่นี่…คิดว่าวันนี้คงได้เรื่องครับ”
“ดีมาก”
รำไพวางอาหารตรงหน้าเผ่าลาภ และเอ่ยปากยิ้มๆ
“วันนี้คุณมีนัดกับหมอด้วย…อย่าลืมนะคะคุณเผ่าลาภ”

เผ่าลาภพยักหน้า รับคำส่งๆ ไปงั้นๆ
 
อ่านต่อหน้า 2

สุภาพบุรุษ ลูกผู้ชาย ตอนที่ 5 (ต่อ)

ด้านแพรวาแต่งตัวไปพร้อมกับมีโทรศัพท์มือถือแนบหู…เธอเดินยิ้มระรื่นพูดสายกับเพื่อนซี้อรจิราไปทั่วห้อง

“เขาง้อฉันย่ะ...จริง...อยู่ๆก็โผล่มาให้เซอร์ไพร้ส์ แล้วก็พาไป lunch ตามลำพังสองคน...ใช่แล้วก็หาเรื่องมาคุยเม้าท์กับอาโกฉันจนเย็น...ต่อด้วย Dinner ใต้แสงเทียน...อย่างนี้ไม่เรียกว่าง้อเหรอ...ยัง ยังไม่หมด...ยังมีเต้นรำกันต่อด้วย...อะไรนะ...แล้วก็แยกย้ายกลับบ้านซี่...บ้า ฉันก็ต้องหวงเนื้อหวงตัวไว้หน่อยสิยะ...”
ประตูห้องนอนเปิดออก รำไพโผล่หน้าเข้ามาดู
“แม่ฉันมาอีกแล้ว…ชอบมาแอบดูฉันเรื่อยเลย…ตกลงเธอจะไปช้อปปิ้งกับฉันรึเปล่า”
“แต่งตัวเร็วๆ เข้าลูก มีคนมารอข้างล่าง”
แพรวาหันมาพูดกับแม่ “เดี๋ยวสิแม่…” แล้วคุยสายต่อ “มีคนมารอฉันข้างล่างละ…โอ๊ยพี่ตะวันเขาไม่ตื่นเช้าอย่างนี้หรอก…” หันมาทางแม่ “ใครเหรอแม่”
“ผู้ช่วยของหนูไง”
แพรวาร้อง “ห๊ะ” แล้วพูดสายต่อ “ผู้ช่วยฉันมารอฉันหละยายอร”
“แม่ว่าหนูหยุดพูดโทรศัพท์แล้วก็แต่งตัวเร็วๆเข้า…ให้ผู้ชายมารอแต่เช้า ไม่ดีนะลูก…เร็วเข้า ก่อนที่คุณป๋าจะโกรธ”
แพรวาหันไปพูดสายต่อ “ถ้าเธอมีผู้ช่วยแบบนี้ เธอจะทำ ยังไง ยายอร”

เวลาต่อมาหรั่งยื่นแฟ้มเอกสารทั้งหมดให้แพรวา
“คุณต้องอ่านให้หมดครับ…นี่คือรายละเอียดของแต่ละแผนก คุณอรทัยเตรียมไว้ให้คุณตั้งแต่เมื่อวาน คุณจะอ่านที่บ้าน หรือเอาไปอ่านที่ทำงานก็ได้”
“ฉันไม่อ่าน”
“ไม่อ่านไม่ได้ครับ”
“นายจะบังคับฉันมากเกินไปแล้วนะ”
“ไม่ได้บังคับ แต่แนะนำว่าคุณต้องอ่าน ต้องเรียนรู้…เพราะถ้าคุณไม่รู้อะไรในบริษัทเลยผมก็ไม่รู้จะช่วยคุณยังไง”
“ก็ช่วยอ่านแทนฉัน”
“ผมอ่านหมดแล้ว…คั่นหน้าสำคัญๆ พร้อมทั้งทำโน้ตย่อไว้ให้แล้วด้วย ตั้งแต่กระบวนการเริ่มขุดพลอย ไปจนถึงแผนการตลาด ผลการวิเคราะห์คู่แข่งในรอบห้าปีที่ผ่านมา…คุณควรจะศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้ดี เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของบริษัท…ผมแนะนำให้คุณเพ่งเล็งไปที่การขายภายในประเทศ เป็นพิเศษหน่อยนะครับ…เพราะดูแล้ว เรามียอดขายที่ดี แต่กำไรเรากลับน้อยลง…คุณลองดูให้ดีเถอะ เผื่อพบช่องโหว่ จะได้รายงานคุณอรทัย”
แพรวาฟังแล้วอึ้ง…เธอเดินหนีไปเฉยๆ หรั่งเดินตาม
“เสียใจ…ฉันมีนัดกับอรจิราแล้ว”
“ใครครับ”
“เพื่อนรักของฉัน”
“คุณควรเลื่อนนัดเพื่อนคุณไปก่อน ถ้าเขาเป็นเพื่อนรักของคุณ เขาน่าจะเข้าใจ”
แพรวาฉุน “ตกลงนายเป็นผู้ช่วยฉัน หรือเป็นหัวหน้าฉันกันแน่…ถ้านายเป็นผู้ช่วย นายต้องฟังฉัน…เก็บแฟ้มนั่นซะ ฉันจะไปช้อปปิ้ง”
แพรวาเดินหนีอีก คราวนี้หรั่งขวางเอาไว้
“เสียใจครับ…ถึงผมจะเป็นผู้ช่วยคุณ แต่เจ้านายผมคือคุณพ่อของคุณ”
หรั่งส่งแฟ้มให้แพรวาอีก
แพรวาแถต่อ “งั้นก็ให้เวลาฉันตั้งตัวหน่อยสิ…มาถึงก็จะให้ฉันอ่านอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด จะให้ฉันจับเจ่าอยู่กับแฟ้มนี่ทั้งวันเลยรึไง”
“คุณจะไปช้อปปิ้งก่อนก็ได้…แต่คุณต้องไปห้างที่มีบู้ทของ M.S.JEWLEY คุณจะได้สำรวจตลาดไปด้วยเลย…แล้วถ้าคุณต้องการผู้ช่วย ผมก็พร้อมจะไปกับคุณ”
แพรวามองหน้าหรั่ง ส่ายหราระอาเหลือ

รถสปอร์ตคันงามของแพรวาวิ่งตรงมากลางถนน ช่วงเลี้ยวโค้งแสนสวย มีมอเตอร์ไซค์ของหรั่ง วิ่งตามหลังมาติดๆ รถทั้งสองคัน วิ่งเข้าโค้งสวยงาม จนพ้นไป
แพรวาขับรถไปพร้อมๆ กับพูดโทรศัพท์มือถือโดยใช้ Small talk
“บ้าที่สุด...ฉันว่าฉันมีผู้ช่วยที่บ้าที่สุดในโลกเลย”
อรจิราอยู่ที่ออฟฟิศ พูดโทรศัพท์พร้อมกับเก็บเอกสารบนโต๊ะทำงานของเธอ...เตรียมตัวออกข้างนอก
“ทำไมไม่ให้เขานั่งรถมาด้วยกันกับเธอล่ะ”
“ทำอย่างนั้น ฉันก็ยิ่งบ้ากว่าเขาน่ะสิ...ฉันให้เขามาเป็นผู้ช่วย เพื่อทำงานให้ฉัน ไม่ใช่ให้มาตามฉันทุกฝีก้าวอย่างนี้”
“แล้วเขาหล่อมั้ย”
“ไม่รู้...เดี๋ยวเธอดูเองแล้วกัน”
แพรวาเงยหน้ามองกระจกส่องหลัง เห็นหรั่งสวมหมวกกันน็อคขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาอย่างใกล้ชิด
เชื่อถอะว่า ภายใต้หมวกนั้น เขากำลังยักคิ้วให้แพรวาอยู่

ด้านกันทิมาอยู่ที่คอนโด กำลังพูดโทรศัพท์อยู่
“รู้แล้ว...เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะบอกให้...ขอบใจมากนะ”
กันทิมาวางโทรศัพท์ลง เธอเดินไปที่โต๊ะอาหาร เห็นบารมีนั่งหน้ายุ่งอยู่ที่โต๊ะ
ในมือของบารมี มีหนังสือจำพวกสปอร์ตพูล...ที่มีรายละเอียดราคาต่อรองฟุตบอลลีกต่างๆ กันทิมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ บารมี...เขาไม่มีทีท่าสนใจใดๆ
“โชว์รูมรถของคุณโทร.มาบอกว่า รถที่คุณสั่งเข้ามา...ที่ติดอยู่ที่ท่าเรือน่ะ บริษัทอื่นซื้อต่อไปแล้ว..ส่วนเงินดาวน์ของคุณ เขายึดไปเลย”
บารมียังเฉยอยู่...สายตาจับจ้องที่ราคาต่อรองในหนังสือต่อไป
“แสดงว่าคุณยังไม่ได้เอาเงินไปจ่ายเขา”
บารมีหายใจเข้าปอดลึกขึ้น
“ที่ธนาคารโทร.มาบอกว่า คุณจ่ายเช็คเกินบัญชีไปสองใบ...คุณเอาเงินไปทำอะไรเหรอ”
บารมีอัดอั้นถึงจุด...ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแรง
“โว้ย...ผมจะเอาไปทำอะไรมันก็เรื่องของผม คุณมายุ่งอะไรด้วยล่ะ...ไอ้แบงค์บ้า หน้าเลือด...เงินขาดนิดๆหน่อยๆก็โทรมาทวง”
กันทิมาเงียบ พูดไม่ออก...เธอค่อยๆ พาตัวเองเดินไปให้พ้นๆ จากตรงนั้น บารมีสงบลง...เขาเอ่ยปากออกมาลอยๆ เรียบๆ...หน้าตาเฉย
“เงินในบัญชีคุณมีเท่าไหร่”
กันทิมาอึ้ง นิ่ง “...ห้าแสน”
“ถอนมาให้ทีสิ...ขอยืมก่อน”
กันทิมายินยอมอยู่นิ่งๆ...เธอใช้เวลาพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากว่า
“คนของคุณตะวันฉายโทร.มาเมื่อคืน...เขาบอกว่าคิดถึง ให้ไปหา”
คราวนี้บารมีเป็นฝ่าย อึ้ง นิ่งงันไปเลย

นานต่อมา บารมีเดินเข้ามาที่ บ่อนตะวันฉายและเพื่อน หน้าตาไม่ดีนัก นักเลงคนเดิมที่คุ้นตา แตะไหล่บารมีทักทายประสาคนคุ้นเคย
“หายไปนานเลยนะเฮีย”
“คนมีบ้านมีช่อง มีครอบครัวนี่หว่า จะให้อยู่บ่อนทุกวันได้ไง”
“ทีเวลาเล่นได้ไม่เห็นพูดงี้เลยนะเฮีย” นักเลงแดกดัน
“แล้วเมื่อคืนใครโทร.ไปหาฉันที่บ้านวะ...ก็บอกแล้วไงว่าอย่าโทร.ไปบ้าน มีอะไรให้โทร.เข้า
มือถือ แค่นี้ก็ไม่จำ”
“เอ ยังไงไม่รู้นะ...เห็นเด็กมันบอกว่ามือถือเฮียโดนตัด”
บารมีจ๋อยลงไป นักเลงข่มต่อ
“แล้วอย่างนี้เฮียจะมีเงินมาคืนลูกพี่ผมเหรอ...แค่ ค่าโทรศัพท์ยังไม่มีจ่ายเลย”
“เดี๋ยวก็มีน่า ขอโอกาสแก้ตัวแป๊ปเดียว เดี๋ยวมีใช้แน่”
“จะแก้ตัวน่ะ มีเงินมาเหรอเฮีย”
“มีสองแสนเว้ย”
บารมีเดินไปเล่นเลย...ไม่อยากคุยต่อ

นักเลงหัวเราะเยาะ “สองแสน ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...เดี๋ยวก็หมด”

ขณะเดียวกันที่ ห้างสรรพสินค้า หรั่งเดินหิ้วถุงของห้างหลายใบจนเต็มมือ แพรวาและอรจิรา เดินอยู่เบื้องหน้าหรั่ง สองสาวเม้าท์กันตามระเบียบ

“หน้าตาดีกว่าที่คิดตั้งเยอะนะยายแพร”
“ก็แน่สิ จะให้ฉันเลือกคนหน้าตาเลวๆมาอยู่ใกล้ๆทำไม รันทดใจแย่”
“แต่เธอใช้งานเขาไม่เหมือนเป็นผู้ช่วยเลยนะ...นี่มันคนรับใช้ชัดๆ ถือของเดินตามซะขนาดนี้” อรจิราตำหนิ
“ทำไม ต้องเปลี่ยนถุงเป็นแฟ้มเหรอ ถึงจะดูเป็นผู้ช่วย...โธ่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ...ช่วยไม่ได้ อยากตามฉันมาทำไม”
“เออ...อีกหน่อยพ่อหนุ่มเขาเกิดเบื่อขึ้นมา ลาออกไปเฉยๆ ล่ะ จะว่าไง”
หรั่งเดินแซงขึ้นมาใกล้แพรวา
“โทษนะครับ...เค้าท์เตอร์ของ M.S.JEWELRY อยู่ทางโน้น...คุณน่าจะไปดูซะหน่อย”
“แต่ร้าน GREYHOUND อยู่ทางนี้...นายไปดูเค้าท์เตอร์ M.S. ทางโน้น มีอะไรก็มาบอกฉัน
ที่ร้าน GREYHOUND ทางนี้”
หรั่งต้องจำยอม

ที่เคาท์เตอร์ M.S. ในห้างสรรพสินค้านั้น ตั้งหลบมุมอยู่เชิงบันไดเลื่อน พนักงานสาวสวยเงยหน้าขึ้นทักทายกล้องอย่างอ่อนหวาน
“สนใจชิ้นไหนคะ...เลือกดูก่อนได้นะคะ สงสัยสอบถามพนักงานได้ค่ะ”
หรั่งยืนชิดติดเค้าท์เตอร์นั้น
“ขายดีมั้ยครับ”
“แหมพี่ ถามได้...ขายดีสิคะ ทำไมจะไม่ดี”
“ก็เห็นเหลืออยู่เต็มตู้”
“ถ้าไม่เหลือไว้ในตู้แล้วจะเอาอะไรให้พี่ดูล่ะคะ อันนี้มันตัวโชว์ค่ะ...พี่สั่งวันนี้ต้องรอสองอาทิตย์นะคะ เพราะในสต๊อกขายหมดแล้วทุกห้างเลย...เราต้องสั่งที่โรงงานใหม่...พี่มาช้าไปนะคะ รู้ป่าว”
“ผมหาไม่เจอครับ...เล่นมาหลบมุมอยู่ตรงนี้...น่าจะไปอยู่ชั้นล่าง เด่นดีออก มองเห็นง่าย
ด้วย”
“ชั้นล่าง ค่าเช่าที่แพงค่ะ ตรงนี้ถูกกว่ากันเยอะเลย...M.S. เราขายดีอยู่แล้ว อยู่ตรงไหน
ก็ได้...ข้างล่างน่ะ ให้พวกเปิดตัวใหม่ๆไปเถอะ...” สาวเจ้ากระซิบ “บริษัทเขากลัวจะกำไรน้อย...เวลาห้างมีรายการพิเศษอะไรก็ไม่ยอมเข้าร่วมกับเขา เค็มจริงๆ”
“ค่าเช่าที่ตรงนี้เท่าไหร่ครับ”
“ไม่ทราบหรอกค่ะ....พี่ขา พี่ถามมาตั้งเยอะ แล้วจะไม่เลือกแหวนซักวงเหรอคะ”
“อ๋อ...ยังไม่รู้จะซื้อให้ใครน่ะ”
พนักงานยกมืออันขาวเรียวขึ้นมาโชว์ พร้อมกับทำตาปริบๆ...ยิ้มกว้างให้ท่าสุดฤทธิ์

ที่ ร้านอาหารเท่โครตๆ GREYHOUND ในห้างหรูแห่งนั้น แพรวา และอรจิรา นั่งกินอาหาร ณ โต๊ะที่สวยที่สุดในร้าน ทั้งคู่คุยกันถูกคอตามประสาเพื่อนสนิท
“เดือนหน้า พี่สาวจะส่งฉันไปอิตาลีนะ ไปเลือกสั่งเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่ สำหรับปลายปี...เธอจะฝากซื้ออะไรมั้ยยายแพร”
“ฉันไปด้วยสิ”
“คงไปได้หรอกนะหล่อน...หนีงานบริษัทคุณป๋าไปได้เหรอ”
“เฮ้อ...งั้นฝากดูที่เรียนด้วยก็แล้วกัน”
“จะเรียนอะไรอีกล่ะ ยังไม่เบื่ออีกเหรอ”
“ฉันอยากเรียนทำอาหาร ทำขนม อะไรพวกเนี้ย”
“แล้วที่อุตส่าห์เรียนอักษรศาตร์ เอกภาษาละตินมา น่ะไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอ ถึงต้องไปเรียนต่อทำขนม”
“ฉันจะได้เป็นเชฟ ที่เก่งภาษาละตินที่สุดไง เท่ห์ดีออก”
“พนันกันได้เลย ถ้าเธอบอกเรื่องนี้กับคุณป๋า คุณป๋าเธอต้องไมเกรนขึ้นแน่ๆ”
“ก็อย่าเพิ่งบอกตอนนี้สิ...น่า ดูๆ ไว้ก่อนไม่ได้รึไง”
หรั่งเดินถือถุงของพะรุงพะรังตรงมายังโต๊ะ แพรวาหันไปพูดกับหรั่ง
“นายนั่งตรงนั้นก็ได้ อยากกินอะไรก็สั่งเอา”
“คุณใช้เวลาที่นี่ถึง 3 ชั่วโมงแล้ว ควรกลับออฟฟิศได้แล้วครับ...จะให้ผมเอาถุงพวกนี้ไปใส่รถคุณก่อนมั้ยครับ? เพราะผมคงถือถุงขนาดนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ถนัด”
แพรวามองหน้าอรจิรา เหมือนขอความเห็น...แต่ไม่มีคำตอบจากอรจิรา

บารมีหน้ายุ่ง คิ้วขมวด เขม็งเกลียว ควันคละคลุ้งไปรอบๆ ตัวเขา บรรยากาศขมุกขมัว บารมีฟุบหน้าลงไปกับฝ่ามือที่อ่อนล้าทั้งสองข้าง
เจ้ามือกำลังสับไพ่...และอีกหลายๆ มือโกยเงินผ่านไปมา นักเลงหน้าดุคนเดิม เดินเข้ามาตบไหล่บารมี แล้วถามขึ้นว่า
“เฮีย...มีเงินใช้ลูกพี่ผมรึยัง”
บารมีเงียบสนิท
“งั้นเฮียไปคุยกับลูกพี่ผมหน่อยแล้วกัน”
มันกระชากคอบารมีออกไปอย่างไม่ทะนุถนอม

ที่ห้องลับในบ่อนเดิม ชาย โครงหน้าดุ แววตากวนตีน รอยยิ้มเย้ยหยัน เยือกเย็น มันลงนั่งตรงหน้าบารมี ชื่อของมันคือ “นพ”
“คุณบารมีครับ...ปกติผมเป็นคนใจดีนะครับ แต่นั่นเฉพาะกับคนที่รักษาสัญญา รักษาเวลากับผม...แต่สำหรับคนที่ทำตรงกันข้าม ผมโคตรยั๊วเลย”
มันออกเสียงคำว่า “โคตร” ในคีย์ที่สูงและแผ่วเบา เพราะกลัวโดนเซ็นเซอร์
แต่ฉับพลันนั้นเอง มันเอาปืนกระบอกโตดำ วาว วางบนโต๊ะตรงหน้าบารมีดังโครม
“ว่าไงครับ คุณบารมี”
“เอ้อ...ตอนนี้ดวงผมกำลังมาแล้ว จริงๆนะ ผมรู้...แต่เผอิญเงินมันหมด...เอางี้ได้มั้ย ผมขอยืมอีกซักสองล้านสิ รับรองว่าเดี๋ยวผมต้องเอามาคืนคุณได้แน่ๆ”
“แหม...บังเอิญผมเป็นคนชอบ ตัดไฟแต่ต้นลม”
ขาดคำนพเอาลูกปืนบรรจุลงในโม่ แล้วส่งให้ลูกน้องใกล้ตัว
“เฮ้ย...จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เลอะเทอะ”
ลูกน้องเข้าล็อคตัวบารมีไว้ เตรียมจะลากออกไป
ตะวันฉายเดินสวนเข้ามาพอดิบพอดี...เขาร้องทักไว้
“ใจเย็นก่อนพี่นพ”
“ว่าไงน้องชาย”
“คนนี้ผมขอแล้วกันพี่”
บารมีมีสีหน้าดีขึ้น ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“แหม น้องตะวันฉายขอพี่ไปทีนึงแล้วนะ...คราวก่อนสองล้านที่มันเอาไปจากพี่ ก็เพราะ
น้องนี่แหละ...ขอกันบ่อยๆ อย่างนี้ พี่ก็แย่สิ”
“เถอะน่า พี่นพน่า หลังจากรายนี้แล้ว ผมไม่ขอใครอีกแล้ว”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย น้องตะวันฉายนี่เพื่อนเยอะซะด้วย”
“คนนี้เขาขาประจำนะ พี่นพ”
“ขาเบี้ยวประจำน่ะสิ”
“ผมเอาเครดิตผมเป็นประกันเลยพี่ ต่อไปนี้ไม่มีเบี้ยว”
นพมองจ้องบารมีเขม็ง บารมี กลืนน้ำลายไม่ค่อยลง เขามองนพแล้วหันไปส่งสาตาวิงวอนตะวันฉายอย่างหมดท่า ตะวันฉายมองบารมี แล้วหันมากระซิบเบาๆกับพี่นพ
“ผมแถมเด็กใหม่ๆ สดๆ ให้พี่อีกสองคนเป็นมัดจำ”
นพนิ่งคิด แล้วจึงแสยะยิ้มมุมปากน้อยๆ
“นี่เห็นแก่น้องตะวันฉายนะ...วันนี้แกดวงดีจริงๆ นายบารมี”

ลูกน้องนักเลงเป่าปากกระบอกปืนอย่างเสียดาย

ที่บริเวณปากทางเข้าบ่อนเถื่อนแห่งนั้น มันเป็นลานจอดรถร้าง ของร้านค้าที่เลิกกิจการไป ที่กำแพง มีประตูเหล็กเล็กๆ ที่ไม่คิดว่าจะเปิดไปยังที่แห่งใดได้

รถตะวันฉายจอดซุกอยู่มุมหนึ่ง มีมอเตอร์ไซค์สามสี่คัน จอดห่างๆกันไป
ตะวันฉายและบารมี นั่งคุยกันอยู่ในรถคันนี้
“การพนันก็เป็นอย่างนี้แหละครับอา...ถ้าไม่ใช่เจ้าของบ่อน กี่รายๆ เสียหมดทุกคน...เวลา
ได้ ได้นิดเดียว พอเสียแต่ละทีแทบหมดเนื้อหมดตัว ทางที่ดีอาอย่าเข้ามาอีกเลย บ่อนการพนันน่ะ”
ตะวันฉายพูดดี น่าได้รางวัลจากปปส.
“อาก็ไม่อยากเข้ามาหรอก แต่มันไม่มีเงินมาหมุน”
“อาทำธุรกิจอะไรเหรอฮะ”
“ก็ นำเข้ารถสปอร์ต แล้วก็ ปั๊มน้ำมัน...เฮ่อะ เจ๊งหมด”
“แต่ไอ้ต้น เพื่อนผม มันบอกว่าแม่มันรวยนี่ฮะ...มันบอก ญาติพี่น้องมันรวยกันหมดทุกคน”
“รวย แต่เงินเข้ากงสีหมด นี่ถ้าอาเอาเงินจากกงสีมาหมุนได้ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“เอาเป็นว่า ตอนนี้อาเป็นหนี้ผมก็แล้วกัน เพราะผมช่วยอาเอาไว้จากพี่นพ”
“อาจะไม่มีวันลืมเลย...แต่อาจะชดใช้หลานชายยังไงได้บ้างล่ะ”
“ขอผมคิดดูก่อน ไม่แน่ว่า ผมอาจจะขอเอาธุรกิจของอามาทำประโยชน์อะไรบางอย่างเพื่อเป็นการล้างหนี้สินกัน อาจะรังเกียจมั้ยครับ”
“โอ๊ย...เอาไปเลยหลานชาย จะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเลยนะ อายกให้”
“ตอนนี้อากลับไปนอนพักที่บ้านก่อนนะ ไปทำให้เมียอาสบายใจบ้าง...ถือเป็นการพักฟื้นไปด้วย พอมีเรี่ยวมีแรงแล้ว เราค่อยมาคิดกันใหม่...โอ.เค.นะครับ”
บารมีพยักหน้ารับคำ...ดูเขาจ๋อย เหมือนเป็นเด็กน้อยไปเลยยามนี้
สักครู่หนึ่ง บารมีเดินออกจากรถตะวันฉายตรงไปขึ้นรถปิ๊คอัพ คันเก่าๆ ที่จอดอยู่ริมถนนไกลออกไป

แพรวาลงนั่งที่มุมทำงานของเธอ ซึ่งถูกจัดไว้ในห้องทำงานอรทัยนั่นเอง
หรั่งเดินถือแฟ้มตามเข้าไป
“เอ้า ว่ามาซิ ฉันต้องทำอะไรบ้างคุณผู้ช่วย”
“อ่านแฟ้มนี้ทั้งหมด...แต่ไม่ต้องตอนนี้ กลับไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องอ่าน”
“รู้แล้วน่า นายไม่ต้องย้ำบ่อยได้มั้ย โตแล้ว รู้ภาษา” แพรวามีท่าทางหงุดหงิด
“ทีนี้คุณดูนี่...อันนี้น่าสนใจ ตรงบัญชีรายรับรายจ่ายของบู๊ท M.S.ตามห้างต่างๆ เห็นอะไรมั้ย”
“ก็อะไรล่ะ บอกมาเลยสิ ไม่ต้องกั๊ก”
“รายจ่ายค่าเช่าพื้นที่ ในระยะสามสี่ปีหลังนี่ มันสูงขึ้นมาก ทั้งๆที่เรายังใช้พื้นที่เดิม ไม่ได้ย้าย หรือขยายเพิ่มพื้นที่แต่อย่างใด”
“ก็เขาขึ้นค่าเช่าเราไง”
“ขึ้นจริงรึเปล่า...นี่คือคำถาม....คุณน่าจะลองเอาเรื่องนี้ไปหารือกับคุณอรทัยนะครับ มันอาจจะมีเงื่อนงำอะไรอยู่ก็ได้ ให้คุณอรทัยเช็คทางห้างเลยก็ดี”
แพรวาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หรั่งพูด อรทัยเดินเข้ามาในห้องนี้พอดี
“ต้องติวเข้มกันขนาดนี้เชียวเหรอ”
อรทัยเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ ตรวจตรารายการ แค้ตตาล็อคสินค้าตัวใหม่อยู่ หรั่งพยักหน้าเป็นสัญญาณให้แพรวาเข้าไปหาอรทัย
ที่สุดแพรวาตัดสินใจลองทำตามที่หรั่งบอก...เธอเดินถือแฟ้มเข้าไปหาอรทัย
“อาโกขา...น้องแพรว่า อาโกน่าจะลองดูตรงนี้หน่อยนะ”
“สงสัยอะไรเหรอ?”
“คือ รายจ่าย ค่าเช่าที่ของเรา...เอ้อ...”
แพรวาหันไปมองที่หรั่งแว่บหนึ่ง หรั่งนิ่งให้แพรวาพูดต่อเอง
“มันค่อนข้างจะสูงมากกว่าความเป็นจริง...ทั้งๆ ที่...”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เรื่องนี้ เธอต้องไปถามที่เซลส์ไดเร็คเตอร์ ฝ่ายในประเทศน่ะ เขาจะรู้ดี...แต่อยู่ๆจะไปจ้ำจี้จ้ำไชกับเขามากมันก็ไม่ดีนะ เขาทำงานกับเรามานานแล้ว เรียกว่าเป็นคนเก่าคนแก่คนนึง” อรทัยมองมาที่แพรวา “มันเป็นหลักรัฐศาสตร์ หลักการปกครองคนนะ...เข้าใจมั้ย...มีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า”
“เอ้อ...วันนี้อาโกมีอะไรให้น้องแพรทำอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้ว...ไปพักผ่อนเถอะ ทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว ไปดูหนังดูเหนิงอะไรก็ไปซะ”
แพรวายิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
แพรวาหันมายักคิ้วให้ หรั่งส่ายหน้าช้าๆ รู้สึกได้ถึงรูรั่วในบริษัท M.S. แห่งนี้แล้ว

แม่บ้านของคอนโดกันทิมาเปิดประตูห้องให้ เห็นเป็นเผ่าลาภยืนเด่นอยู่กลางประตู
“ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ”
“อยู่ค่ะ...เดี๋ยวนะคะ...คุณกันคะ คุณกัน เฮียตงมาหาค่ะ”
กันทิมาเดินออกมาจากห้องนอน หน้าตาเศร้าหมองลึกๆ เธอรีบยกมือไหว้เผ่าลาภ
เผ่าลาภ ทำงานอะไรยุ่งอยู่รึเปล่า
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำอะไร...” กันทิมาบอกกับแม่บ้าน “เธอลงไปสั่งกาแฟเย็นข้างล่างมาให้คุณเผ่าลาภหน่อยสิ”
กันทิมาล้วงหาเงินอยู่นานพอสมควร...หามีไม่ เผ่าลาภมองอยู่พักใหญ่ค่อยเอ่ยปาก
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกินมาแล้ว...อาหั่งล่ะ”
กันทิมาพยักหน้าให้แม่บ้านออกไปก่อนแล้วจึงค่อยพูด
“ไปไหน...บริษัทรถ หรือปั๊มน้ำมัน”
“ที่บริษัทรถ ไม่มีใครอยู่แล้วค่ะ รถโดนยึดหมด เงินเดือนพนักงานก็ไม่ได้จ่าย...ไม่มีใครมาทำงานนานแล้ว”
“งั้นก็ไปปั๊มน้ำมัน”
“อาจจะไปธนาคาร...ไปจ่ายเงิน”
“ไม่น่าจะใช่...อาหั่งไม่น่าจะมีเงิน”
กันทิมาหน้าซีดลงไปอีก ก้มหน้าสลด เผ่าลาภเดินไปรอบๆคอนโด
“เธออยู่กันได้ยังไงน่ะ...โบราณเขาว่าบ้านไม่ติดดินมันไม่ดี...เท้าคนเราเนี่ยะมันต้องติดดินเข้าไว้ จะได้สัมผัสพลังจากพื้นดิน พลังจากธรรมชาติ...” เผ่าลาภเห็นรูปวาดสีน้ำมัน “วาดรูปสวยดีนี่...ไปทำงานกับอาฮุยมั้ย อยู่ฝ่ายออกแบบของ M.S.JEWELRY”
กันทิมาอึกอักอยู่นิดนึง แล้วจึงตอบว่า
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ไปเถอะน่า ทำงานด้วยกัน จะได้มีรายได้มาเป็นทุนรอน จุนเจือครอบครัว”
“คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะหนูไม่มีลูก”
“แล้วเผื่อว่าอีกหน่อยเกิดมีขึ้นมาล่ะ...เอาเถอะน่า ถือว่าไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ยังดี...เผื่ออาหั่งน้องฉันมันขัดสน เธอจะได้พอมีให้มันหยิบยืม”
กันทิมานิ่งเงียบอีก เผ่าลาภสรุปเองเลย
“ลองคิดดูนะ ตกลงใจยังไงก็บอกฉันด้วย...ไปละ...”
เผ่าลาภเดินออกจากห้องนี้ไป กันทิมายกมือไหว้นอบน้อม ก่อนที่เผ่าลาภจะพ้นกรอบประตูห้อง...เขาผินหน้ามาอีกครั้ง
“เธอรู้มั้ย...อาหั่งมันเล่นการพนันบ้างรึเปล่า”

กันทิมาเงียบสนิท

ที่ห้องโถงบ้านสุริยะตอนค่ำ กล่องของฝากจากเมืองจีน ถูกเปิดออกโดยสุริยะ เขาหยิบของภายในกล่องออกมาดู มันคือ หยกขาวแกะสลักเป็นรูปปั้น ฮก ลก ซิ่ว...

แสงเทพนั่งอยู่ตรงข้ามสุริยะ โฆษณาสรรพคุณทันที
“เพื่อนๆ ที่เคยค้าขายกัน เขาได้หยกขาวก้อนนี้มา ผมก็เลยขอซื้อเขา แล้วเอาไปให้ช่างฝีมือดีจากเมืองจีนแกะให้...เขาว่ากันว่า ใครมีหยกขาวอยู่กับตัว จะทำมาค้าขึ้น อายุมั่นขวัญยืน นี่ผมทำไว้ไม่กี่ชิ้นนะครับ เอาไว้ให้เฉพาะคนพิเศษๆเท่านั้น”
สุริยะยิ้มแย้มมีความสุข
“ขอบคุณคุณแสงเทพมาก...แหม คุณน่าจะเอาไปให้หัวหน้าพรรคบ้างนะ...ผมได้อยู่คนเดียว เกรงใจแย่”
“อันนั้นต้องรอให้สนิทก่อน พอสนิทปุ๊ป ผมหามาให้ปั๊ปเลย”
“เอาเป็นว่าคุณแสงเทพมีอะไร ติดขัดยังไงบอกผมก็แล้วกัน เราคนกันเอง ผมยินดีช่วยเสมอ”
“โอ๊ย ไม่มีหรอกครับ...ผมไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างราบรื่นดี...ผมไม่ทำให้คุณสุริยะต้องลำบากหรอก...ถ้าจะมีก็แค่รอสัมปทานที่หลังเขาเมืองกาญจน์เท่านั้นแหละ”
“เอ...ทำไมให้ที่หลังเขาผืนนี้ ใครๆ ถึงอยากได้กันจัง...มันดูแห้งแล้งออกจะตาย”
“แหม ไอ้ที่ตาเห็นมันก็อย่างนึง...แต่ไอ้ที่อยู่ข้างใต้ ที่ตามองไม่เห็นน่ะ...มันคนละเรื่องกันเลยนะ...แต่ผมไม่ได้กังวลอะไรนะ ไม่กังวลเลย...เพราะเชื่อว่ายังไงๆผมต้องได้สัมปทานเหนือที่ผืนนี้อยู่แล้ว...ใช่มั้ยครับ”
สุริยะชอบใจ “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...ครับ...ผมจะดูให้...แต่พูดกันตรงๆเลยนะ ทางคุณเผ่าลาภเขาก็สนใจอยู่ เขาเองก็ลงทุนไปเยอะแล้ว...ที่สำคัญคือ เรามันพรรคเดียวกันซะด้วยสิ”
“ผมเข้าใจ...แต่ผมเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ ท่านเคลียร์ได้ไม่ยาก”
“ก็ต้องลองดู แต่ถ้าคุณเผ่าลาภไม่สนใจเมื่อไหร่ ผมจะรีบส่งเรื่องให้รมต.อนุมัติให้คุณเร็วขึ้นเลย”
“ขอบคุณครับ...แหมหยกขาวนี่มันเข้ากับคุณสุริยะจริงๆ เชียว ให้ตายเถอะ”
ตะวันฉายเดินเข้าบ้านมา แสงเทพหันไปเห็น รีบทักทาย
“ว่าไง หลานชาย...ทายาทคนเดียวของตระกูลพัวพงศ์ไพศาล...แหมหล่อเฟี้ยวเลยนะ”
“ได้ไม่ถึงครึ่งของคุณอาตอนหนุ่มๆ หรอกครับ”
แสงเทพถูกใจ “ปากคอดีๆ อย่างนี้ น่าจะมาทำธุรกิจร่วมกันนะ”
“โอ๊ย...ตาโอ๊ตนี่มันทำธุรกิจอะไรไม่เป็นหรอกครับ”
“ผมคงจะลงเล่นการเมือง...ตามรอยเท้าพ่อน่ะครับ”
แสงเทพลุกเดินเข้าไปหาตะวันฉาย
“มันมีธุรกิจบางอย่างที่ไม่เหนื่อยมาก และสามารถทำไปพร้อมๆ กับการเป็นนักการเมืองได้”
“งั้นเหรอครับ”
“ใช่...เพราะดูหน่วยก้านของหลานชายแล้ว อาว่าทะมัดทะแมงดีออก...เสียดายอาไม่มีลูกสาว...แต่หลานสาวอาสวยนะ จะบอกให้”
แสงเทพโอบไหล่ตะวันฉายอย่างรักใคร่ แล้วแอบกระซิบใกล้หูเขา
“อาได้ยินเพื่อนๆ ในวงนักเลง พูดถึงหลานชายอยู่”
ตะวันฉายยิ้ม “อ๋อ....ถ้าธุรกิจอย่างนั้นละก็...ได้เลย ถึงไหนถึงกันครับอา”

เผ่าลาภนอนแผ่บนเตียง ให้รำไพนวดเฟ้นอยู่ รำไพ นวดไป พูดไป
“วันนี้คุณไปหาหมอมาแล้วใช่มั้ย...หมอเขาว่าไงบ้างคะ”
“เขาถามผมว่า มาทำไม”
“ไม่เอาน่า พูดเล่นอีกแล้วนะคุณ”
“จริง...หมอเขาคงกลัวผมเครียดจากงานมั้ง ก็เลยนัดไปเช็คเล่นๆ”
“ถ้าแค่นั้นก็ดีสิคะ...แต่ทำไมคุณยังดูเครียดๆ อยู่ล่ะ”
“ถ้าจะให้ผมตอบให้ครบทุกสาเหตุของความเครียด ผมว่าต้องคุยยาวเป็นวันๆ เลยละ”
“งั้นทยอยตอบวันละเรื่องดีมั้ยค่ะ”
“แสงเทพ...มันกลับมาแล้ว...มันขยับเข้าใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ซะด้วย” เผ่าลาภยอมบอก 1 เรื่อง
“คุณเคยบอกว่าคุณรับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่ยากนี่คะ”
“งั้นเอาเรื่องที่ผมไม่รู้จะรับมือยังไงบ้างมั้ย”
รำไพ พยักหน้า รอฟัง
“หลังจากหาหมอแล้ว ผมแวะไปคอนโดอาหั่งมา...ผมได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งที่จมอยู่กับกองทุกข์ เพราะน้องชายผมเป็นต้นเหตุ”
“คุณยังมีน้องชายอีกคนนึง ที่จมกองทุกข์อยู่ที่เหมืองไม่แพ้กัน”
“เพราะมันเป็นน้องผมทั้งคู่น่ะสิ...” เผ่าลาภถอนใจ
“คุณกันทิมากับคุณบารมีเขามีปัญหาอะไรกันเหรอคะ”
“คงเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ...เด็กที่โรงงานบอกว่า เห็นอาหั่งเข้าบ่อน”
“ตายจริง...แล้วคุณจะช่วยเขายังไงคะ”
“ผมชวนกันทิมา มาทำงานกับเรา เห็นเขาวาดรูปสวยดี”
“แล้วคุณกันเขาจะมาเหรอคะ”
“ก็คงต้องถามอาหั่งก่อนนั่นแหละ”

คำตอบที่ได้ไม่ผิดความคาดหมายนัก บารมีเกรี้ยวกราดใส่กันทิมา ในมือเขาถือแก้วเหล้าอยู่หนึ่งใบ
“ว่าไงนะ...เธอจะไปทำอะไรนะ”
“ก็ ยังไม่รู้ละเอียดนัก รู้แต่ว่า ช่วยคุณกัมปนาท คงเกี่ยวกับออกแบบอะไรนี่หละค่ะ...ก็คงจะทำให้พอมีรายได้บ้าง”
บารมีขว้างแก้วลงพื้น มันแหลกละเอียด เศษแก้วกระจายไปทั่ว
“ทำไม เรามันจนนักเหรอ...ดูถูกกันชัดๆ นี่คงคิดสิว่าผมเป็นคนล้างผลาญครอบครัวใช่มั้ย...ทีเมียเฮียเขายังอยู่เฉยๆ ได้เลย ไม่เห็นต้องทำงานอะไร”
“แต่เรากำลังลำบากเรื่องเงินจริงๆนะคะ เงินในบัญชีของฉันก็จะหมดแล้วด้วย แล้วไหนจะค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้านอีกตั้งเยอะ”
บารมีไม่เหลือแก้วในมือ เขาเตะโต๊ะตรงหน้ากระเด็น
“ไม่ต้องเลยนะ ถ้าคุณขืนออกไปทำงาน ก็ไม่ต้องกลับมาหาผมอีกเลย...อ้อ หรือว่า ที่อยากทำงาน ก็เพราะว่าอยากจะไปเหมืองใช่มั้ย.....อยากไปเจอหน้าอาเหลียงละซี...ใช่มั้ยล่ะ...ผัวอยู่นี่ทั้งคนยังมีใจคิดถึงแฟนเก่าอีกเหรอ...อยากจะสำส่อนนักรึไง”
บารมีเหวี่ยงของใกล้ตัวกระเด็น...เขาวิ่งพล่านหาของในบ้านมาทำลายระบายอารมณ์

กันทิมาอยากฆ่าตัวตายไปให้พ้นๆ...แต่กลัวตกเป็นข่าวให้เยาวชนเอาเยี่ยงอย่าง?

อ่านต่อหน้า 3

สุภาพบุรุษ ลูกผู้ชาย ตอนที่ 5 (ต่อ)

ในขณะที่ชาติชายทุ่มเททำงานหนักอยู่ในเหมือง ส่วนกันทิมานั่งวาดรูปอยู่ในคอนโดของตนอย่างเงียบเหงา ฟากบารมีลงจากรถเดินเข้าคอนโด สภาพเมาแอ๋ ยืนโงนเงน แล้วล้มลงหลับตรงนั้น

ภาพชีวิตเหล่านี้ มันช่างสอดคล้องเข้ากันเหลือเกิน กับที่หรั่งบอกเตือนตัวเองในห้วงคิดของเขา

“นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก มนุษย์ทุกคนล้วนมีหนี้สินติดตัวด้วยกันทั้งนั้น ทั้งที่รู้ และไม่รู้”

ก้อยอยู่บนเตียงผู้ป่วย ที่กำลังเข็นเข้าห้องผ่าตัด หรั่งนั่งกังวลอยู่บริเวณโถงจ่ายยา ส่วนผู้จัดการธนาคาร เดินออกจากธนาคารอย่างเงียบเหงา

“บางคนมีหนี้ ที่เกิดมาจากกรรมเก่า บางคนสร้างหนี้สินของตนขึ้นมาใหม่”

แสงเทพพูดโทรศัพท์อยู่ในรถหรู ข้างตัวของเขามีกระเป๋าเงินใบใหญ่และอาวุธปืนวางอยู่ ตะวันฉาย เดินดูแลความเรียบร้อยในบ่อน มีหญิงสาวแนบกายเขาอยู่

“แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ทุกคนต่างมีชีวิตอยู่ เพื่อรอคอยการชำระหนี้สินของตนด้วยกันทั้งนั้น”

แพรวา นั่งลั้นลา เล่น Skype กับเพื่อนๆ เรื่อยเปื่อย

“โดยไม่อาจรู้ได้ว่า วาระนั้นจะเวียนมาถึงตัวเอง เมื่อใด”

ค่ำคืนนั้น หรั่งยื่นหน้าเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ตรงบริเวณช่องจ่ายเงิน ในโรงพยาบาล
“ผมอยากจะขอเช็คยอดค่าใช้จ่ายของน้องสาวผมครับ…ก้อยน่ะครับ ที่ผ่าตากับอาจารย์หมอนุกูล”
เจ้าหน้าที่ค้นเอกสารไปด้วย “ค่ากระจกตาเทียม หนึ่งแสนบาท”
“แล้ว ค่าผ่าตัด ค่ายา ค่าอะไรอื่นๆ อีกล่ะครับ”
“ยังไม่มีอะไรต้องจ่ายตอนนี้นี่ค่ะ”
“ผมอยากทราบจำนวนเงินทั้งหมดก่อนน่ะครับ”
เจ้าหน้าที่อ่านจากรายการ “ก็มีค่าห้อง ค่าผ่าตัด ค่าหมอ…อือม อาจารย์หมอไม่คิดนะคะ…แล้วก็ค่ายา…รวมทั้งหมดตอนนี้ก็ประมาณสองแสนสองหมื่นเศษนิดหน่อยค่ะ”
“ผมต้องจ่ายเมื่อไหร่ครับ”
“มีตังค์หรือยังล่ะคะ...”
หรั่งอึกอักเล็กน้อย
“จ่ายตอนออกจากโรงพยาบาลก็ได้ค่ะ...อาจารย์หมอขอไว้” เจ้าหน้าที่บอก

ที่ห้องพักผู้ป่วยรวมหรั่งตักข้าวป้อนใส่ปากก้อย ซึ่งยังมีผ้าปิดตาอยู่
“ที่ทำงานเป็นไงบ้าง…หรั่งมีปัญหาอะไรมั้ย”
“ช่วงเริ่มต้นก็เป็นธรรมดา มีติดๆ ขัดๆ บ้าง ยังไม่เข้าที่เข้าทาง…เรามันคนใหม่ คนอื่นเขาก็ยังมองแปลกๆ อยู่…แต่อีกหน่อยคงดีขึ้นน่า”
“เขาดุมั้ย”
“ใคร?”
“เจ้านายหรั่งที่สวยๆ น่ะ…เขาดีกับหรั่งมั้ย ดุหรั่งบ้างรึเปล่า”
หรั่งหัวเราะในลำคอ ไม่ตอบ
“หรั่งระวังตัวด้วยก็แล้วกัน อะไรที่ไม่ใช่เรื่องของเราก็อย่าไปยุ่งกับเขา อย่าทำตัวเป็นพระเอกล่ะ…มีหนังตั้งหลายเรื่องที่พระเอกตายตอนจบน่ะ”
“แต่ไม่ใช่เรื่องนี้”
“ดื้อจังหรั่งเนี่ย…แล้ววันๆ หรั่งต้องทำอะไรบ้าง”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็นั่งรอให้เขาสั่งงาน บางวันก็เดินถือของตามเขา…ง่ายจะตาย”

เท่ห์ โบ้ เช็งส่งเสียงเข้ามาก่อนตัวและหัว
“สวัสดีจ้า สาวสวยและหนุ่มหล่อทั้งสอง” เท่ห์นำ
โบ้ตาม “วันนี้พวกเราทำหล่อมารอเปิดตาก้อยเลยนะ จะบอกให้”
“ยังเว้ย…หมอยังไม่ให้เปิดตา”
“เปิดเองเลย เปิดไม่ยากหรอก กูเห็น เขาปิดไม่ค่อยแน่น” เช็งบอก
“ไอ้เช็ง ทะลึ่งแล้วมึง” เท่ห์ด่า
“พรุ่งนี้พวกมึงว่างกันมั้ย”
“มึงมีอะไร” โบ้ถามอย่างสนใจ
“งาน”
“ได้เลยเพื่อน” เท่ห์บอก
“แต่งานนี้ไม่ได้เงินนะ” หรั่งว่า
เพื่อนๆ ร้อง “อ้าว”
“พวกมึงห้ามปฏิเสธ…แล้วก็ พรุ่งนี้หาชุดที่ดีที่สุดมาใส่ด้วย” หรั่งกำชับ
“ชุดที่ดีที่สุดกูใส่วันนี้แล้วว่ะ” โบ้บอก
“ยังหล่อไม่พอเหรอวะ” เช็งแขวะ
ตลอดเวลาก้อยพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่หรั่งและเพื่อนๆ คุยกัน อย่างน่าสงสาร

พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า บอกเวลาเช้าวันใหม่ หรั่งที่ขี่มอเตอร์ไซด์ตรงเข้าหาบ้านเผ่าลาภ
สยามขับไอ้แก่ของตัวเองเข้ามา ในขณะที่หรั่งกำลังจะลงจากรถ สยามบีบแตรรถ แล้วเปิดกระจกพูดกับหรั่ง
“เฮ้ย ไม่ต้องลง เอาเข้ามาจอดในบ้านเลย”
คนรับใช้เปิดประตูบ้าน รถมอเตอร์ไซด์เก่าๆ กับรถเก๋งแก่ๆ แล่นหายเข้าไปในบ้านเผ่าลาภ

ครู่ต่อมาหรั่งยืนชงกาแฟคู่กับสยาม ทั้งคู่ดูสนิทสนมดี
“วันนี้นายต้องทำอะไรบ้าง”
“วันนี้…อาจจะมีสำรวจตลาดนิดหน่อย น้าหยามล่ะ วันนี้ต้องพาคุณเผ่าลาภไปไหนบ้าง”
“วันนี้ท่านต้องไปเหมือง แต่เช้าเลยหละ…มีนัดกับอบต.ทางโน้น เห็นว่างานนี้สำคัญคุณรำไพก็ไปด้วย”
เผ่าลาภเดินลงบันไดมากับรำไพ สยามตรงเข้าไปรอรับของ แล้วเดินนำออกไปทางที่จอดรถ
“ขยันดีนี่นายหรั่ง…มาเช้าๆอย่างนี้ ค่อยคุ้มค่าจ้างหน่อย” เผ่าลาภทัก
“จะทานอะไรก็หยิบเอาเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวแพรวาก็คงลงมาแล้ว วันนี้เขาตื่นเช้าเป็นพิเศษ” รำไพว่า
“คุณปลุกเขาละซี”
เผ่าลาภและรำไพเดินออกจากบ้านไป...หรั่งยืนดื่มกาแฟมองตาม

แพรวาเดินออกมาจากห้องนอน มาจนถึงบันได แพรวาหยุดชะงัก รีบหลบตัวเข้ามุมผนัง แล้วโผล่แต่เพียงลูกตาออกมาดู เห็นเป็น หรั่งนั่งรอนิ่งๆ อยู่ที่โถงกลางบ้าน
สาวใช้ชื่อส้ม เดินผ่านมา แพรวาหันไปเรียกสาวใช้คนนั้นทันที
“ยายส้ม…มานี่ซิยายส้ม”
“ขา” ส้มเข้าไปใกล้ๆ คุณหนูแพรวา
“แกทำตามที่ฉันสั่งนะ”
“ค่ะ สั่งว่าอะไรคะ”
“แกวิ่งลงไปที่โทรศัพท์ข้างล่างนะ แล้วโทร.ขึ้นมาหาฉันที่ห้อง เดี๋ยวนี้เลย แต่ต้องวิ่งนะ วิ่งแล้วทำหน้าตาตื่นตกใจด้วย เข้าใจมั้ย”

ส้มพยักหน้าเอาใจเจ้านายแล้วจึงวิ่งจู๊ดออกไป

ส้มวิ่งหน้าตาตื่น สมจริงสมจังระดับออสการ์ผ่านหน้าหรั่งมายังโทรศัพท์กลางห้อง ส้มยกหูกดหมายเลขทันที หรั่งเงยหน้ามองนิดเดียว

แพรวายกหูโทรศัพท์ในห้องนอนพูด
“ฟัง ยายส้มฟัง แล้วพูดตามฉันเท่านั้นนะ…พูดดังๆ ด้วย ตะโกนเลย เอาละนะ…คุณหมอเหรอคะ”
ส้มเสียงดัง “คุณหมอเหรอคะ”
แพรวาบอกต่อ “คุณแพรวาไม่สบายมากเลยค่ะ..ดังๆ”
ส้มเสียงดังมาก “คุณแพรวาไม่สบายมากเลยค่ะ”
หรั่งเงยหน้ามองไปยังส้ม
“ค่ะ ดังๆ ค่ะ…อ้อ…โทษ…ตัวร้อนมากค่ะ” ส้มเสียงดังลั่น “สงสัยไปทำงานไม่ได้แล้วค่ะ”
แพรวาบอกต่อ “คุณหมอช่วยมาดูหน่อยนะคะ”
เสียงส้มยังดังเว่อร์ๆ อยู่ “คุณหมอช่วยมาดูหน่อยนะคะ…ค่ะ สวัสดีค่ะ ไม่ต้องดังแล้วค่ะ…อ๋อค่ะ สวัสดี”
ส้มวางหูโทรศัพท์ หรั่งมองอยู่นานแล้ว เอ่ยปากทันที
“คุณแพรวาเป็นอะไร”
“ไม่สบายค่ะ ตัวร้อนจี๋เลย…ต้องให้หมอมาดูหน่อย”
หรั่งนิ่ง ใคร่ครวญครุ่นคิด

แพรวาทิ้งตัวลงนอน บนเตียงนุ่ม...อยู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“คุณหนูคะ”
“เขาไปแล้วใช่มั้ย ยายส้ม”
เสียงเคาะประตูยังดังอยู่
“ยายส้ม”
“ขา...” เสียงส้มดังเข้ามา
แพรวาเดินมาที่ประตู ดึงลูกบิดเปิดประตู พร้อมกับพูดไปด้วย
“เขาไปแล้วใช่มั้ย”
เมื่อประตูเปิดออก หล่อนเห็นเป็นหรั่งยืนจังก้าคู่กับส้มสาวใช้ แพรวารีบปิดประตูห้องนอนอย่างรวดเร็ว แล้วยืนพิงประตูอยู่ในห้องอย่างหน้าแตก หรั่งตะโกนออกมาจากหน้าห้อง
“ผมเอาสิ่งที่คุณต้องทำวันนี้มาให้คุณดู ฝากไว้ที่น้องส้มนะครับ ผมจะขอไปทำธุระซักครึ่งวัน คุณจะได้ไม่ต้องเจอหน้าผม แล้วตอนบ่ายผมจะเข้าไปที่บริษัท…ถ้าคุณหมอมาคุณก็บอกเขาไปว่าหายดีแล้ว เขาคงไม่ว่าอะไร…แต่ถ้าคุณเกิดไข้กลับขึ้นมาจริงๆ ตอนบ่ายผมจะซื้อยามาฝาก”
หรั่งส่งแฟ้มงานให้ส้ม แล้วเดินจากหน้าห้องนี้ไป…ยายส้มเดินตามไปส่ง...แพรวาเสียหน้าเป็นที่สุด

ที่ ห้างสรรพสินค้า
เวลานั้น เท่ห์ โบ้ และเช็งก้าวเข้ามาในห้างสรรพสินค้าที่หรั่งมาวันก่อน ด้วยชุดหล่อ เก๋ สุด ราวกับนายแบบ หรั่งตามเข้ามาทีหลัง...เขายิ้มพอใจ
“ดูดีพอใช้...แต่รองเท้า ไม่เข้าพวกว่ะ”
หรั่งมองลงไปที่พื้น เห็นสภาพรองเท้าหนังทั้งสามคู่ คู่หนึ่งพื้นเปิด คู่หนึ่งขาด อีกคู่มาแบบข้างละสี
เพื่อนทั้งสามคนลงนั่ง
“กูมีปัญญาเท่านี้ว่ะ” เช็งบอก
โบ้บ่น “อุตส่าห์ยืมผู้ใหญ่เงาะมานะเนี่ย”
“ถึงมีรองเท้าดี...แล้วมึงคิดว่าเขาจะเชื่อเหรอว่า หน้าอย่างกูจะเป็นนักธุรกิจ” เท่ห์ว่า
“แล้วเขาจะถามอะไรกูบ้างวะ” โบ้สงสัย

ในออฟฟิศส่วนสำนักงานขายพื้นที่ ของห้างสรรพสินค้า พนักงานขายขยับแว่นสายตาของตัวเอง ปั้นหน้าฉงน
“สินค้าของคุณคืออะไรนะคะ”
หรั่งนั่งตรงข้ามพนักงาน ข้างๆ หรั่งเป็น เท่ห์ โบ้ เช็ง สวมแว่นตาดำ สวมหมวก ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่
“พวกเขามาจากหมู่เกาะ โบราโบร่าครับ...ฟังภาษาไทยไม่ออก ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้...ต้องใช้ภาษามือ”
พนักงานงง “เป็นใบ้”
“ครับ...เป็นสินค้าเครื่องประดับ สำหรับคนพิการ...”
พนักงานร้อง “อ๋อ...”
สามหนุ่มพนักหน้าหงึกๆ
“ชื่อบริษัทอะไรคะ?”
“ตรัย ซัม ซา ตัว” หรั่งบอก
“แน่ใจนะครับ ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณ จะตรงกับลูกค้าของห้างเรา”
หรั่งหันไปส่งภาษามือกับโบ้ โบ้ส่งภาษามือกับเช็ง เช็งส่งภาษามือกับเท่ห์
เท่ห์ร้อง “โย่ว...”
“เขามั่นใจว่าสินค้าของเขาเหมาะกับลูกค้าทุกกลุ่มครับ”
“ทำไมครับ” หรั่งสงสัย
“ห้างเราเป็นห้างระดับ High Class ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวก ไฮโซ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องการสินค้าที่มีคลาส เท่านั้น ที่จะมาวางในห้างเรา...แต่ก็เอาเถอะค่ะ ลองฟังความคิดเห็นผู้บริหารคนอื่นก่อนก็ได้...บางท่านอาจจะมีแนวคิดแบบเดียวกับพวกคุณก็ได้ หึๆ”
พนักงานหัวเราะดูถูกเป็นการทิ้งท้าย
“ผมอยากทราบราคาของการเช่าพื้นที่ครับ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...นั่นแหละค่ะที่อาจเป็นปัญหา”
พนักงานยื่นใบราคาให้หรั่งดู เพื่อนๆ รุมล้อมจ้องมัน แล้วพากันตกใจ

หรั่งและเพื่อนๆ เดินออกมาจากห้าง ทุกคนบ่นกันเสียงดังลั่น...หรั่งมีสีหน้าครุ่นคิด
“แพงบรรลัย...อะไรวะ ที่แหมะเดียวเอง” เท่ห์ด่า
“ซุกอยู่หลังบันไดเลื่อนอีกต่างหาก” โบ้บ่น
เช็งด่าซ้ำ “หน้าเลือดฉิบหาย”
“บริษัทมึงเช่าเข้าไปได้ยังไงวะ” เท่ห์หันมาทางหรั่ง
“มันแพงสำหรับพวกเรา...แต่มันยังถูกกว่าที่ฝ่ายขายเบิกไปจากบริษัทว่ะ” หรั่งบอก
ทุกคนร้อง “ห๊า”
“แปลว่ามันยักยอกเงินบริษัท...อือม...มันเก่ง” เท่ห์ว่า

บ่ายวันเดิม แพรวาเดินเข้าบริษัทมาถึงบริเวณหน้าโต๊ะหรั่ง...ไม่มีหรั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น จึงหันไปพูดกับพนักงานใกล้ตัว
“ผู้ช่วยฉันเบี้ยวงานละซี...ยังไม่โผล่หน้ามาเลยใช่มั้ย”
“คุณหรั่งมานานแล้วค่ะ...รอคุณแพรวาอยู่ในห้องค่ะ”

แพรวาเดินเข้ามาตรงหน้าหรั่งที่นั่งรออยู่แล้ว
“นี่นายต้องมาเฝ้าฉันถึงในห้องนี้เลยเหรอนี่”
“ผมกลัวว่าคุณจะไม่สบายขึ้นมากะทันหันอีก”
แพรวานิ่ง ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย
“ถ้าคุณตัวไม่ร้อนจนเกินไป ไข้ไม่ขึ้นละก้อ ขอเชิญนั่งลงตรงนี้ก่อนครับ ผมมีอะไรให้ดู”
แพรวาลงนั่งอย่างเสียมิได้ หรั่งเริ่มต้นอธิบาย
“คุณดูตรงนี้...ช่องนี้คือรายจ่ายของบริษัท จ่ายเป็นค่าเช่าพื้นที่ขายให้กับทางห้าง ซึ่งในสองปีหลังนี้ ค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งเราจ่ายเป็นเม็ดเงินจริงเต็มจำนวน นั่นก็หมายความว่า เราไม่ได้ใช้วิธีการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางสื่อ...”
“โอ๊ย...นายพูดอะไรให้มันรวบรัด เข้าใจง่ายๆ หน่อยสิ”
“คือเงินที่เบิกไปน่ะ มันมากกว่าเงินที่ใช้จ่ายจริง”
“มีคนโกงใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“แล้ว...จะให้ฉันทำยังไง”
“คุณควรเอาหลักฐานทั้งหมดนี้ไปบอกคุณอรทัย เพื่อคุณอรทัยจะได้จัดการแก้ปัญหาได้”

แพรวาพยายามลำดับขั้นตอนตามที่หรั่งบอก

อรทัยอยู่ที่ห้องประชุมเล็กของบริษัท M.S. ซึ่งดัดแปลงจากห้องรับรองนั่นเอง ภาพสาวนักโฆษณาก้มหน้าอ่านสปอตวิทยุด้วยลีลาน่าตื่นเต้นปรากฏขึ้น

“เติมเสน่ห์ของคุณวันนี้ ด้วยผลิตภัณฑ์จาก M.S.Jewelry เหมือนพกของดีติดตัวตลอดเวลา...”
สาวคนนั้นกด ipod เสียงดนตรีเร้าใจดังขึ้น รับคำท้ายสปอตของเธอ
“อรทัยนั่งฟัง และดูรายละเอียดแผนงานโฆษณาทางวิทยุ แคมเปญใหม่นี้ รอบๆ อรทัย รายล้อมไปด้วยกลุ่มครีเอทีฟ เออี สี่-ห้าคน ทั้งหญิงและชาย
อรทัยนิ่งเงียบไปนิดนึง
“พี่ว่า ยังไม่มีอะไรใหม่เท่าไหร่นะ...บริษัทอื่นๆ ก็ทำสปอตวิทยุคล้ายๆ แบบนี้กันทั้งนั้น...พี่ว่า มันยังไม่โดน...เหมือนโฆษณายันตร์กันผียังไงไม่รู้”
หญิง 1 ในนั้น ผู้เป็นหัวหน้าครีเอทีฟรีบอธิบาย ชี้แจง
“อ๋อ แก้ได้ค่ะ...แก้จนกว่าซ้อจะชอบใจได้ค่ะ”
“ก็ทำไมไม่ทำแบบที่พี่ชอบมาเลยล่ะจ๊ะ...มัวแต่แก้ไปแก้มา เดี๋ยวก็ช้า จนเลยทุกเทศกาลไปหมดพอดี”
“เดี๋ยวหนูเร่งให้ค่ะ...อาจจะทำแบบกลางๆ เปิดได้ทุกเทศกาลมาให้ซ้อใช้ก่อนนะคะ”
“จะเอายังไงก็ให้มันเร็วๆ เข้า...แล้วอย่าลืมส่วนลดของพี่ล่ะ”
“อันนี้เรากันไว้แล้ว ไม่ลืมเด็ดขาดค่ะซ้อ”
ขณะทั้งหมดลุกขึ้นเตรียมจะเดินออก ประตูห้องประชุมเปิดออก แพรวาโผล่หน้าเข้ามา...สะดุ้งเล็กน้อย
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ...ไม่รู้ว่ามีแขกอยู่
“ไม่เป็นไร อาเสร็จธุระพอดี”
กลุ่มครีเอทีฟทยอยเดินออกจากห้องผ่านหน้าแพรวาไป หลายๆ คนซุบซิบกันถึงความงามของแพรวา
“คุณแพรวาสนใจถ่ายโฆษณาบ้างมั้ยคะ” หัวหน้าครีเอทีฟจ๊ะจ๋า
แพรวาอึกอัก “เอ่อ...”
“เริ่มจากแม็กกาซีนแอด ของ M.S.JEWLEY ก่อนเลยก็ได้นะ”
แพรวา “เอ่อ...” อีก
“ต้องขอคุณป๋าเขาก่อนจ้า...ยายแพรแกไม่ค่อยตัดสินใจเอง” อรทัยเย้า
“ค่ะ” แพรวายิ้มรับ
หัวหน้าครีเอทีฟกระซิบเบาๆ กับแพรวา
“เอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีก็ได้ค่ะ พี่กำลังจะย้ายไปทำบริษัทใหม่พอดี บริษัทของคุณตะวันฉายค่ะ คุณแพรวาคงไม่ปฏิเสธนะคะ...”
แพรวาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจพอสมควร ทุกคนออกไปหมด เหลือ แพรวากับอรทัย
“มีอะไรกับอารึเปล่า”
“อ๋อ...นี่คะ...”
แพรวายื่นเอกสารให้อรทัยดู...อรทัยรับมาดู อย่างเลี่ยงไม่ได้
สักครู่ เห็นอรทัยเดินโอบไหล่แพรวาออกมาจากห้องประชุม อรทัยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เหมือนเป็นการสอนหลานสาว
“นี่มันเรื่องเล็กมากจ้ะแพรเอ๊ย...อย่าไปตกใจ คุณสุชาติเขาเป็นคนเก่าคนแก่ อาไม่เชื่อว่าเขาจะโกงหรอก...”
“แต่ในรายงานนี่...” แพรวาท้วง
“มันคงผิดพลาดเรื่องเอกสารมากกว่า อาจจะลงตัวเลขผิดพลาดไป ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ หรือถึงแม้ว่าเขาจะยักยอกเราจริงๆ นี่มันก็เรื่องเล็กน้อย ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเราหรอก”
“เหรอคะ”
“น้องแพรลองคิดดูนะ ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายเนี่ยสำคัญมั้ย”
“สำคัญค่ะ”
“เพราะฉะนั้นถ้าหัวหน้าฝ่ายขายฝีมือดีของเราหลุดไปอยู่ที่อื่น เราจะเสียหายมั้ย” อรทัยทำเป็นสอน
แพรวานิ่งไป พยักหน้าช้าๆ
“ถ้าเรามัวแต่สนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างนี้ เราจะทำงานใหญ่ไม่ได้...เรากำลังจะลุยตลาดโลกนะแพรวา จะโกอินเตอร์กันแล้ว...เบี้ยใบ้รายทางพวกนี้ช่างมันเถอะ ปล่อยๆ มันไปซะบ้าง”
อรทัยพูดจบก็แยกเดินออกไปอีกทาง
แพรวาดูจะคล้อยตามอรทัยอยู่พอสมควร...เธอเดินช้าลง จนมาเจอกับหรั่งที่ยืนดักรออยู่
“ทุกอย่างที่นายคิดน่ะ มันผิดหมดเลย...เอ้า เอาคืนไป”
แพรวาโยนแฟ้มเอกสารทั้งหมดคืนให้หรั่ง โดยหรั่งรับแฟ้ม แบบ ไม่เข้าใจ

ขณะเดียวกันที่บ้านสุริยะ ตะวันฉายเดินเข้ามาในบ้าน เขาตรงไปเปิดตู้เย็นดื่มน้ำ อันเป็นวิสัยปกติ
โฉมฉาย เดินเข้ามาเอ่ยปากทักผู้เป็นบุตร
“เพิ่งกลับมาหรือว่ากำลังจะออกไป”
“ถูกทั้งสองข้อครับแม่”
“มีสักครั้งบ้างมั้ยที่แม่จะเดาผิด”
ตะวันฉายโอบกอด อ้อนผู้เป็นแม่
“ไม่น่าจะมี เพราะแม่สอนผมมาดี ผมจะทำอะไรแม่ย่อมรู้ทันเสมอ”
“ให้มันจริงเถอะ อย่าให้แม่รู้นะว่า เราแอบไปทำอะไรไม่ดี นอกสายตาแม่”
“คร้าบผม...”
“แล้วที่ว่ากำลังจะทำธุรกิจของตัวเองน่ะ ได้เรื่องได้ราวไปถึงไหนแล้ว”
“ก็ที่จะออกไปนี่ก็ไปเรื่องนี้แหละครับ...ต้องไปคัดเลือกพนักงานเก่งๆ ฝีมือดีๆ มาอยู่กับบริษัทเรา”
“หวังว่าไอ้บริษัทของเราเนี่ย คงจะไม่มีตระกูลเจ๊กมาร่วมหุ้นด้วยนะ”
“โอ๊ย...ของผมล้วนๆ ครับ รับรอง...มีแต่จะดูดเงินพวกนั้นมาเข้ากระเป๋าเราต่างหากล่ะครับ”

ผู้เป็นแม่พลอยยิ้มไปกับความฉลาดแกมโกงของผู้เป็นลูก

วันเดียวกันที่บ้านนี้ ที่อบต. ในเมืองกาญจน์ แลเห็นธงทิวประดับประดา และชาวบ้าน แต่งตัวด้วยผ้าไหมลายดอกสวยงาม ถืออาหารส่งกันไปมา บรรยากาศโดยรอบบอกให้รู้ว่า บ้านนี้มีงานบุญ

ที่ระเบียงบ้านด้านบน เห็นรำไพกำลังนั่งคุยยิ้มแย้มแจ่มใสกับกลุ่มคุณนายหลายคน...มีสยามยืนดูแลอยู่ใกล้ๆ
ขณะเผ่าลาภนั่งคุยกับอบต. สองสามคน หนึ่งในนั้นมีลักษณะเป็นเจ้าของงานนี้
“พูดตรงๆ นะครับคุณเผ่าลาภ...ตอนนี้มันอยู่ที่เส้นสายแล้วหละ คุณมีเท่าไหร่ต้องอัดลงมา
เลย ต้องรีบหน่อย เพราะว่าพวกนั้นเขาเริ่มไปดึงเอาชาวบ้านมาเป็นพวกแล้ว” อบต.1 เอ่ยขึ้น
เผ่าลาภฉงน “ยังไงนะคุณ”
อบต.2 เสริม “เขาก็ไปหว่านล้อม ชักจูงชาวบ้าน ให้เชื่อว่าบริษัทของคุณน่ะมีปัญหา อาจถึงขั้นปิดป้ายปิดโปสเตอร์ประท้วงคุณเลยละ”
“ซึ่งก็ต้องมาทำประชาพิจารณ์ศึกษาผลกระทบ คราวนี้หละจะเป็นปัญหา ถ้าผลออกมาชาวบ้านเขาบอกว่าโครงการของคุณก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนมากมาย รัฐมนตรีคนไหนก็ไม่กล้าออกประทานบัตรให้คุณหรอกครับ” อบต.1 ว่า
เผ่าลาภพยักหน้า “อือม...ผมเข้าใจ”
จังหวะนี้เห็นคนงานสามสี่คน วิ่งมาบอกอะไรบางอย่างกับนายสยาม สักพักสยามพาคนกลุ่มนั้นเข้าไปพูดกับรำไพ
อบต.2 คุยต่อ “แต่ถ้าคุณรีบตอนนี้ยังพอไหว พวกนายแสงเทพยังตั้งหลักกันไม่ทัน...ผมจะช่วยประสานกับตัวแทนชาวบ้านให้ด้วย”
“ความจริงอยู่พรรคเดียวกันแท้ๆ ไม่น่าจะต้องมาทำธุรกิจแข่งกันเลยนะครับ” อบต.1 ว่า
รำไพเดินนำคนงานกลุ่มนั้นเข้ามาหาเผ่าลาภ
“คุณคะ มีเรื่องยุ่งเกิดขึ้นที่เหมืองเรา”
“เรื่องอะไร”
คนงานบอก “คนของเราตีกับชาวบ้าน ด้านหลังเขาน่ะครับ”
เผ่าลาภฟังแล้วตกใจ “เรียกตำรวจมาจัดการรึยัง”

ที่หน้าอาคารสำนักงานเหมือง เวลาต่อมา รถเผ่าลาภจอดอยู่หน้าสำนักงานแล้ว และมีรถเก๋งอื่นอีกสองสามคัน จอดอยู่ด้วย
มีรถตำรวจจอดอยู่ด้วยสองคัน ตำรวจสองคนยืนพิงรถตนเองอยู่ หนึ่งในตำรวจนั้นกำลังพูดวิทยุ ด้วยสำนวนภาษาแบบวิทยุสื่อสาร
“เรียบร้อยแล้วครับผม...คู่กรณีไกล่เกลี่ยยอมความกันได้ครับผม...ไม่มีปัญหา...เวลานี้อยู่ด้านหน้าสำนักงานเหมืองครับผม...อีกซักพักคงกลับพื้นที่ได้”

ภายในสำนักงาน ชาติชายนั่งอยู่หัวแถว ถัดไปเป็นกฤษฎา ตามด้วยกลุ่มคนงานเหมือง ทุกคนหน้าตาบวมช้ำและแตก
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองสามนายกำลังยกมือไหว้ล่ำลาทะนงศักดิ์ โดยเผ่าลาภ รำไพ กัมปนาท นั่งฟังเรื่องราวอยู่รอบๆ ชาติชายพูดทันที
“มีชาวบ้านพยายามจะตีรวนเรามาสามสี่วันแล้ว พอมาวันนี้ เรากำลังถ่ายรูปของเราอยู่
ดีๆ...พวกมันมาจากไหนไม่รู้ ตรงเข้ามาใส่เราก่อนเลย”
“ผมเตือนแล้วว่าอย่ามีเรื่อง...อาอี้ก็ไม่ฟัง ไม่สนใจ วิ่งนำหน้าออกไปลุยกับมันเลย”
เหมือนกฤษฎาจะพยายามซัดทอดว่าเป็นความผิดของชาติชาย
“มันอาจเป็นพวกเทพทอแสงก็ได้นะเฮีย...นายแสงเทพเขาเลี้ยงนักเลงไว้เยอะด้วย” กัมปนาทบอก
ทนงศักดิ์เดินกลับมาร่วมกลุ่มหลังจากส่งตำรวจเสร็จ
“หรือว่าเป็นเรื่องชู้สาว...คุณชาติชาย คุณไปมีอะไรกับใครมารึเปล่า”
ชาติชายจ้องหน้าทนงศักดิ์นิ่ง
กัมปนาทพูดเป็นเชิงถาม “เฮียเหลียงน่ะเหรอ?”
เผ่าลาภตัดบท “เอาละ...ไม่ว่ามันจะเป็นใครยังไงก็ตาม พวกเราก็ต้องระวังตัวกันหน่อย...ไม่จำเป็นก็อย่าทำอะไรห่ามๆ นะอาเหลียง มันไม่คุ้มกัน...ทนงศักดิ์ จากนี้ไป ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยด้วยเข้มงวดให้มากขึ้น”
ทนงศักดิ์รับคำ “ครับผม”

ที่บริเวณโรงเจียระไน เห็นบรรดาช่างเจียร มากมายประจำตำแหน่งตามโต๊ะของตน กัมปนาทเดินตรวจดูงานเจียระไน ไล่ไปทีละโต๊ะ...รำไพเดินคุยตามๆ มาด้วย
“ช่วงนี้อาฮุยอยู่ที่ไหนมากกว่ากัน ออฟฟิศที่กรุงเทพฯ หรือว่าโรงเจียรที่นี่”
“ระยะหลังนี่งานมันเร่ง...บางทีต้องอยู่ตรวจงานที่นี่ยาวไปทั้งอาทิตย์เลย” กัมปนาทว่า
“มีงานอะไรทางนี้ที่มันล้นมืออาฮุยบ้างรึเปล่า”
“พี่รำไพมีอะไรเหรอ”
“ก็ จะได้ให้กันทิมาเขามาช่วยงานอาฮุย...คุณกัน เธอว่างอยู่”
“จริงๆ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะตอนนี้ผมมีธนูคอยช่วยงานอยู่แล้ว”
ทั้งคู่เดินมาถึงห้องทำงานเล็กๆ ของกัมปนาท
“พี่รำไพยังไม่เคยเจอธนูละซี...” กัมปนาทเรียก “ธนู มานี่หน่อยซี่”
ธนูในเสื้อยืดรัดรูป เดินหล่อล่ำบึ้กออกมาจากในห้อง
“นี่พี่รำไพ พี่สะใภ้เรา รู้จักไว้สิ”
ธนูยกมือไหว้ กล้ามแขนด้านหน้าเป่งออกมาเป็นสันนูน
“ธนูเขาคล่องตัวไปหมด...ถ้าไม่ได้ธนูผมคงแย่เหมือนกัน”
รำไพร้อง “อ๋อ...”
“แต่ถ้าจะช่วยพี่กันทิมา ผมก็ยินดีนะ...เพียงแต่ว่า พี่รำไพคิดเหรอว่าเขาจะอยากมาอยู่ที่นี่...มันต้องมาอยู่ใกล้ๆ เฮียเหลียงอีกนา” กัมปนาทกังวล
รำไพเข้าใจเป็นอย่างดี

ส่วนที่ ห้องพักชาติชาย ที่เหมือง M.S. ชาติชายขยับตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยล้า หากมองไปที่ชั้นหนังสือด้านหลังตัวเขา เห็นกล่องไม้เนื้อดี ถูกล็อคด้วยกุญแจโบราณ ดูขลังและสวยงาม
หลังกล่องไม้นั้น มีรูปภาพโพลารอยด์วางซ้อนอยู่หลังกล่อง เสี้ยวหนึ่งของรูปภาพนั้น โผล่พ้นขอบกล่องออกมา เห็นเป็นหน้าของกันทิมา เมื่อครั้งยังสาวกว่านี้...ประมาณสามปีก่อน

อีกมุมหนึ่งของเหมือง M.S. กระดาษแปลน แสดงผังพื้นที่ทั้งหมดของเหมือง มีทั้งบริเวณเหมืองเดิม และแนวการขยาย รวมทั้ง ผังรีสอร์ทและสนามกอล์ฟ
เผ่าลาภกำลังตรวจดู แบบแปลนนั้นอยู่ กฤษฎาเดินเข้ามาหาเผ่าลาภ หลังจากการชำระบาดแผลแล้ว
“มีอะไรเหรอนายต้น”
“เมื่อไหร่ตั่วกู๋ จะให้ผมกลับกรุงเทพฯได้ซะทีล่ะครับ”
“ทุกวันนี้เราก็แว่บกลับบ้านอยู่บ่อยๆไม่ใช่เหรอ”
กฤษฎาจ๋อยลงไปนิดหนึ่ง
“ผมหมายถึง ไปทำงานออฟฟิศที่กรุงเทพฯเลยน่ะครับ...ผมเรียนบริหารมานะกู๋..ตั่วกู๋ให้มาอยู่เหมืองยังกับเป็นกรรมกรแน่ะ...ผมไม่ใช่คนบ้าอย่างกู๋เหลียงนี่ ทำงานเหมือนอยากตาย...ผมอยากใช้ความรู้ที่เรียนมาให้มากกว่านี้...ไม่ใช่มายืนตากแดดเปรี้ยงๆ เป็นคนอกหัก เผลอๆถูกชาวบ้านดักตีหัวอีกต่างหาก...ไม่เชื่อ ตั่วกู๋ลองให้น้องแพรมาอยู่ที่นี่บ้างสิดูซิว่าเขาจะทนได้มั้ย”
“เราเป็นผู้ชายแท้ๆ นะนายต้น...ถ้าผู้ชายทุกคนคิดอย่างเรา เรียนจบมาแล้วไม่ยอมทำงานหนัก กู๋จะหาใครที่ไหนมาดูแลเหมืองล่ะ...ทำไมไม่เอาอย่างพ่อเราบ้าง”
“งั้นตั่วกู๋ให้ผมอยู่กับพ่อได้มั้ยล่ะ ขึ้นตรงกับพ่อเลยแล้วกัน ผมไม่อยากอยู่กับคนบ้าๆ อย่างกู๋เหลียง” กฤษฎาต่อรอง

ด้านแพรวาแต่งชุดราตรีสั้นสีเขียว เปิดแผ่นหลังขาวนวล เธอเดินลงบันไดบ้านอย่างปราดเปรียว
หรั่งนั่งรออยู่ที่โถงบ้าน
“เอ้า...นายยังไม่กลับอีก”
“ผมรอพบคุณพ่อคุณ...คุณจะไปไหนเหรอครับ”
“ฉันต้องบอกนายทุกเรื่องมั้ย”
แพรวากดโทรศัพท์มือถือพูดกับอรจิรา เพื่อนสนิท
“ยายอร อยู่ไหนแล้ว...ฉันเรียบร้อยแล้วนะ มารับซะทีสิ...อือม แล้วแน่ใจนะว่าสีเขียวกันทั้งงาน...ของฉันเขียวอี๋เลยหละ ไม่รู้สิ ก็เว้านิดหน่อยน่ะ..ข้างหลังสิ...โป๊มั้ยโป๊เหรอ”
แพรวาลงนั่งพูดโทรศัพท์หน้าหรั่งมากๆ หรั่งนั่งจ้องแผ่นหลังเนียนนวลของแพรวา นิ่งๆ
“เดี๋ยวเธอมาดูเองแล้วกัน...ก็พอจะเห็นไฝฝ้าหลายเม็ดอยู่แหละ...เร็วๆนะ...รออยู่”
แพรวากดยกเลิกสายโทรศัพท์ เธอหันกลับไปหาหรั่ง หรั่งรีบหลบตาแทบไม่ทัน
“โป๊มั้ย”
“อะไรครับ”
“ฉันใส่ชุดนี้ไปงานน่ะ...นายว่าโป๊มั้ย”
“ผู้หญิงในชีวิตผม เท่าที่ผมรู้จัก ไม่เคยมีใครต้องไปงานปาร์ตี้แบบนี้ เพราะฉะนั้นคงจะเอามาตรฐานของผมมาเทียบเคียงกับคุณไม่ได้หรอกครับ”
“นายเห็นแล้วสะดุ้งมั้ยล่ะ...มันเซ็กซี่ดี หรือว่า ก็ดูงั้นๆ”
“คุณเป็นคนใส่...ผมว่าถ้าคุณใส่แล้วสบาย ถูกใจ มันก็คงจะดี”
“งั้น ในสายตาผู้ชายนะ ถ้าเขาเห็นผู้หญิงแต่งตัวอย่างนี้ เขาจะคิดว่าเป็นผู้หญิงแบบไหน”
หรั่งคิดๆ “อือม...”
“เป็นผู้หญิงไม่ดีรึเปล่า”
“ผู้ชายไม่ดีเท่านั้น ถึงจะคิดไม่ดีกับผู้หญิง”
“แล้วถ้าผู้ชายที่ชอบงอนกับแฟนอยู่บ่อยๆ พอเห็นแฟนแต่งตัวอย่างนี้ เขาจะหึงมั้ย”
หรั่งเริ่มเข้าใจประเด็น
“การแต่งตัว ไม่น่าเป็นสาเหตุของการหึง หรือการงอน มากกว่าพฤติกรรมครับ”
“มาแล้วจ้า มาถึงแล้ว...เหยียบมาเต็มที่เลย...แน้ะ มีผู้ชายอยู่ด้วย...เดี๋ยวเถอะ”
“เดี๋ยวเถอะอะไร”
“ไม่รู้...ให้ดูเอง”
ตะวันฉายนั่นเองเดินเข้ามาอย่างสง่างาม พร้อมกับเอ่ยปากว่า
“เซอร์ไพร้ส์”

แพรวา ตาโต แปลกใจ ส่วนหรั่ง...เขารู้สึกสะท้อนในใจลึกๆ

อ่านต่อหน้า 4 

สุภาพบุรุษ ลูกผู้ชาย ตอนที่ 5 (ต่อ)

ตะวันฉายยังวางมาดพระเอกต่อไป หวานใส่แพรวาสาวโลกสวย

“แปลกใจใช่มั้ยที่เห็นพี่”
“น้องแพรแค่คิด ว่าอาจจะเจอพี่ที่งาน...ไม่นึกว่าพี่ตะวันจะแอบมาที่นี่เลย..ยายอรอีกแล้วนะยายอร”
“การเซอร์ไพร้ส์ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิตพี่”
ตะวันฉายหันไปเห็นหรั่งนั่งสงบนิ่งอยู่
“อ้าว...ผู้ช่วยอยู่ด้วยเหรอ...หวังว่าชุดของน้องแพรชุดนี้ ผู้ช่วยคงไม่มีส่วนเลือกหรอกนะ”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วสวยถูกใจมั้ยล่ะคะ...ชุดนี้” อรจิราถาม
“ใส่บ่อยๆ นะจ๊ะคนดี...พี่ตะวันชอบชุดนี้มาก”
ทั้งสามคนพากันเดินเกาะแขน คุยกันออกจากบ้านไป ยินเสียงดังแว่วๆ มา ทิ้งให้หรั่งนั่งมองตามอยู่เพียงเดียวดาย
“ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวานหรอก...แอบเปิดบริษัทโฆษณา ไม่คิดจะบอกน้องแพรเลยนะ”
“ก็พี่เคยเกริ่นให้ฟังแล้วไง...น้องแพรลืมไปเองต่างหาก”

เสียงโทรศัพท์ดัง...สาวใช้วิ่งมารับ
“ฮัลโหล ค่ะ...ออกไปแล้วค่ะ...มี คุณหรั่งอยู่ค่ะ...ค่ะ”
สาวใช้วางหูโทรศัพท์ แล้วหันมาหาหรั่ง
“คุณเผ่าลาภบอกให้รออยู่ก่อน...อีกชั่วโมงนึงจะถึงบ้าน”
หรั่งพยักหน้า รับคำ

สองคนอยู่ในรถหรู รำไพวางโทรศัพท์มือถือลง เธอหันไปพูดกับเผ่าลาภที่นั่งเอนตัวหลับตาอยู่ข้างๆ
“มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าเหรอคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวก็ไม่มีเวลานอนอีก”
เผ่าลาภนิ่ง ซักพักเขาจึงเอ่ยปากโดยไม่ลืมตา
“ขับให้มันเร็วหน่อยได้มั้ยนายหยาม ฉันจะได้ไม่ต้องนอนดึก”
ไม่นานนั้นเอง รถเผ่าลาภที่สยามขับ แล่นเข้าบ้านหลังใหญ่โตของเขา

เผ่าลาภลุกยืนขึ้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เอกสารในมือ หรั่งรอดูท่าทีอยู่ใกล้ๆ
“เธอแน่ใจนะว่านี่เป็นตัวเลขจริง”
“ครับ...มาจากรายงานที่ฝ่ายขายทำส่งให้คุณอรทัย...มันเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ที่ผู้บริหารระดับสูงมักจะมองข้ามไป ถ้าไม่ลงมาล้วงลูกจริงๆ ก็ยากที่จะเห็นช่องโหว่เล็กๆตรงนี้”
“ไม่ว่ามันจะเล็กซักแค่ไหน ถ้ามันเป็นรูโหว่ มันก็ส่งผลกระทบต่อบริษัทได้ทั้งนั้น”
“ผมจึงคิดว่าควรจะเรียนให้คุณเผ่าลาภทราบ”
“เรื่องแบบนี้ ฉันปล่อยเอาไว้ไม่ได้แน่ๆ”

เช้าวันต่อมา เห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาใน ในบริษัท M.S. GROUP เขาคือ สุชาติ หนุ่มใหญ่หน้าตาท่าทางจัดว่าดูดี กำลังเดินตรงเข้าบริษัทมา พนักงานสาวๆมากมาย ทักทายสุชาติอย่างยิ้มแย้ม
“วันนี้หัวหน้าฝ่ายขาย เข้าบริษัทแต่เช้าเลยนะคะ”
“คุณเผ่าลาภท่านเรียกพบน่ะ...ทำยอดขายได้ดีก็อย่างนี้แหละ...โดนเรียกมารับรางวัล ลำบากแย่เลย” หัวหน้าฝ่ายยิ้มร่าเดินไป

ส่วนในห้องทำงานนี้ เผ่าลาภ อรทัย และผู้บริหารอื่นๆ นั่งเรียงรายกันอยู่ สำเนาเอกสารถูกส่งจากอรทัยไปยังผู้บริหารทุกคน สีหน้าของผู้บริหารแต่ละคนค่อยๆเครียดขึ้น
สุชาติ นั่งอยู่กลางวงล้อม เขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีเอกสาร สุชาติมองไปรอบๆ รู้สึกหวาดหวั่น
เผ่าลาภมีสีหน้าผ่านความเครียดมาแล้ว เขาเอ่ยปากพูด น้ำเสียงจริงจัง
เผ่าลาภ ผมจะไม่พูดอะไรมาก แค่ขอให้คุณตอบตามความจริง...คุณสุชาติ
สุชาติสะดุ้งขึ้น หันหน้ามารับคำ
เผ่าลาภ บอกมาซิว่า คุณทุจริตกับบริษัท จริงรึเปล่า
สุชาติ เปล่าครับ...(รีบตอบโดยเร็ว)
เผ่าลาภ งั้นอธิบายตัวเลขนี้มา
เผ่าลาภวางแฟ้มแรงๆตรงหน้าสุชาติ
“นี่คือตัวเลขค่าเช่าพื้นที่ขายที่ห้างเอ็มโพเรียม ดิสคัฟเวอรี่ พารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และเพนนินซูล่า พลาซ่า...ตัวเลขที่คุณใส่มา แสดงให้เห็นว่าทุกห้างขึ้นค่าเช่าพื้นที่เราทุกปี ปีละประมาณ 20%...แต่เมื่อฉันเช็คกลับไปที่ห้าง ทุกห้าง มันไม่เป็นจริงตามนั้นเลย มันต่ำกว่าตัวเลขที่นายทำมามาก...หมายความว่าไง อธิบายซิ”
สุชาติก้มหน้างุด ท่าทีอึกอัก ตอบไม่ถูก
“ถ้านายยังตอบอะไรไม่ได้ ฉันจะกลับไปที่คำถามเดิม...นายทุจริตต่อบริษัทรึเปล่า”
สุชาติยังเอาแต่เงียบ ผู้บริหารทุกคน ต่างพากันส่ายหน้าระอา และผิดหวังในตัวสุชาติ
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว นอกจากจะบอกว่าฉันเสียใจ...และทุกๆคนในห้องนี้ก็เสียใจ แต่
เราคงร่วมงานกันต่อไปไม่ได้แล้วละ”

ไม่นานต่อมา สุชาติเดินคอตกออกมาบริเวณโถงล็อบบี้บริษัท กิริยามันช่างต่างจากการเดินเข้าบริษัทก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง พนักงานสาวคนเดิมหันไปทักทายตามประสา
“กลับแล้วเหรอคะ หัวหน้าฝ่ายขาย...ดู ไม่พูดไม่จา จะรีบไปทำยอดต่อเหรอคะ”
สุชาติไม่โต้ตอบ แต่ในใจกำลังด่าอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกัน หรั่งนั่งอ่านประวัติบริษัทอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาในบริษัท M.S.GROUP สักครู่มีแม่บ้านถือกาแฟเย็นมาวางที่โต๊ะ หรั่งเงยหน้ามอง งงๆ
หรั่ง อะไรน่ะครับ
แม่บ้าน กาแฟเย็น
หรั่ง ผมไม่ได้สั่ง
แม่บ้าน คุณเผ่าลาภให้เอามาให้
แม่บ้านเดินออกไป
หรั่งนั่งมองกาแฟเย็นอยู่พักหนึ่ง เผ่าลาภเข้ามาด้านหลัง
“กาแฟโบราณ เข้มข้นเหมือนสมัยดั้งเดิม...เจ้านี้อร่อยที่สุดในประเทศไทย...ฉันดื่มประจำเลย ลองชิมสิ”
หรั่งดื่มเข้าไปคำใหญ่
“เป็นไง”
“อร่อยครับ...แต่ไม่รู้ว่าที่สุดในประเทศไทยรึเปล่า”
เผ่าลาภยิ้ม “นายนี่ไม่ค่อยจะหลงเชื่ออะไรง่ายๆ เลยนะ”
“ครับ...จนกว่าจะพิสูจน์ให้มั่นใจได้ว่าจริง”
เผ่าลาภขยับเข้าใกล้หรั่งอีกนิด
“ขอบใจมากนะ สำหรับเรื่องเซลส์คนนั้น...ถ้าไม่ได้นาย บริษัทคงจะต้องถูกตอดเล็กตอด
น้อยอย่างนี้ไปอีกนาน...ซึ่งรวมๆ แล้วมันก็เป็นเงินเยอะทีเดียว”
หรั่งตัดสินใจเอ่ยขึ้น “คุณเผ่าลาภควรจะมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้คุณแพรวานะครับ”
เผ่าลาภฉงน “ทำไม”
“เพื่อว่า ในเรื่องบางเรื่อง...คุณแพรวาจะได้มีอำนาจตัดสินใจได้ทันท่วงทีกว่านี้”
“อือม...ฉันจะลองคิดดู”
เผ่าลาภยื่นซองขาวให้หรั่งหนึ่งซอง ตุงเชียว
“อะไรครับ”
“เงินเดือนล่วงหน้าสี่เดือน ที่เธอเคยขอไงล่ะ...พอใช้มั้ย?”

หรั่งไม่ตอบ เขาได้แต่ยกมือไหว้เผ่าลาภ อย่างสวยงามนอบน้อม

รุ่งอรุณ บรรยากาศย่านการค้าแถวถนนเยาวราช ผู้คนมากมายเชื้อสายชาวจีน เดินจับจ่ายซื้อหาของไหว้เจ้ากันอย่างเนืองแน่น ยินเสียงดีเจ.ดังเข้ามาจากวิทยุในร้านๆ หนึ่ง เขาพูดถึงเช้าวันหยุดวันนี้ตรงกับวันพระจีนหรือวันชิวอิก วันที่พี่น้องชาวจีนไหว้เจ้ากันคึกคัก

เวลานั้นเผ่าลาภและรำไพ ทำพิธีไหว้เจ้าอย่างถูกต้องตามประเพณีอยู่ที่บ้าน ขณะกัมปนาทเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น
“เรื่องการไหว้เจ้านี่ ไม่มีใครเคร่งครัดเท่าเฮียตงอีกแล้ว ไม่ว่าจะวัน ชิวอิก จับโหงว สารทจีน ตรุษจีน ไหว้จ่าง...บ้านนี้ไม่เคยขาด”
“เจ๊กฮุย” รำไพทัก
“หวัดดีซ่อ หวัดดีเฮีย”
“มาไหว้ด้วยกันมั้ยล่ะ ที่คอนโดเราไม่มีตี่จู่เอี๊ยนี่”
กัมปนาท ขยับเข้าไปไหว้เจ้า พร้อมกับพูดไปด้วย
“เฮียรีบไปไหนหรือเปล่า...อั๊วมีเรื่องปรึกษา”
“เรื่องอะไร”
“ช่วงนี้ ยอดขายของ M.S. Jewelry ดูนิ่งๆไป อั๊วว่าเราน่าจะมีแคมเปญใหม่ๆ ออกมาสร้างกระแสหน่อยนะ” ผู้เป็นน้องชายเสนอไอเดีย
“ฮุ้ง เขาเพิ่งประชุมทีมโฆษณาไปไม่ใช่เหรอ...คุยกับเขารึยัง”
“คุยยากเฮีย...มันเป็นเรื่องรสนิยม...ไอ้โฆษณาเนี่ยะ ถ้าทำแล้วไม่เด้งออกมา ไม่เหนือคนอื่นก็เสียตังค์เปล่า...แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ชื่อ M.S. Jewelry ก็จะค่อยๆเงียบ ค่อยๆ ตกขอบไปเรื่อยๆ นะเฮีย”
“แล้วลื้อคิดจะทำอะไรล่ะ”
กัมปนาทบอกอย่างมั่นใจ “Jewelry on the beach”

ตรงบริเวณที่จอดรถในบ้านเผ่าลาภ รถของกัมปนาทจอดอยู่ตรงนั้น มีธนูนั่งรออยู่ในรถ เขาพูดทันทีที่กัมปนาทขยับตัวลงนั่ง
“คุณเผ่าลาภเห็นด้วยมั้ยครับ”
“แน่นอน คนสายตาตากว้างไกลอย่างตั่วเฮีย ชอบอะไรใหม่ๆ แบบนี้แหละ”
“แล้วผู้บริหารคนอื่นๆ ล่ะครับ” ธนูถาม
“เฮียขอดูรายละเอียดแล้วจะเอาเข้าที่ประชุมเอง...ขอบใจมากนะธนูสำหรับความคิดดีๆ ของเธอ...เอ ดูเหมือนว่าเงินเดือนเลขาของเธอ จะต่ำกว่าความสามารถไปหน่อยนะ”
“เท่าที่ผมได้อยู่ตอนนี้ก็มากพอแล้วละครับ”
“ไม่หรอก ยังน้อยไป...ฉันจะตั้งเธอเป็นที่ปรึกษาพิเศษส่วนตัวฉัน และตั้งเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดีมั้ย” กัมปนาทยิ้มๆ
“อย่าเลยครับ...เดี๋ยวพนักงานคนอื่นรู้เข้า เขาจะไม่ชอบหน้าผม”
“ฉันชอบหน้าเธอคนเดียวก็พอแล้ว...ไป เก็บเสื้อผ้าไปพัทยากัน”
รอยยิ้มภาคภูมิใจปรากฏขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าหล่อเหลาของธนู

ส่วนหรั่งนั่งหลับข้างเตียงก้อยนั่นเอง ก้อยค่อยๆ ขยับตัว เรียกหรั่ง
“หรั่ง...หรั่ง”
หรั่งสะดุ้งนิดๆ เขาขยับตัวตื่น
“ห๊ะ...เอาอะไรรึเปล่าก้อย...ให้เรียกพี่พยาบาลมั้ย”
“หรั่ง หลับใช่มั้ย”
“ฮือม...เห็นก้อยหลับ หรั่งก็เลยหลับบ้าง”
“รู้ได้ไงว่าก้อยหลับ...”
หรั่งตอบไม่ถูก ก้อยขยับตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง
“งานที่ทำงานหนักมากเหรอหรั่ง...ทีจริงก้อยไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลก็ได้นะ ก้อยไม่ได้มี
อาการอะไรแล้วนี่ หรั่งจะได้ไม่ต้องลำบากมาคอยนั่งเฝ้าอย่างนี้”
พยาบาลเดินเข้ามาทำหน้าที่ดูแลคนไข้ตามปกติ
“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย นอนเล่นสบายใจต่างหาก ไม่เชื่อถามพี่พยาบาลดูก็ได้”
“อยู่นี่แหละดีแล้ว ไปๆ มาให้เสียเวลาทำไม พรุ่งนี้ก็ต้องผ่าตาอีกข้างแล้วนะ” พยาบาลว่า
“พรุ่งนี้แล้วเหรอคะ”
“พรุ่งนี้น่ะสิ ไม่ดีใจเหรอ”
ก้อยยกมือควานหาหรั่ง แล้วดึงเข้ามาพูดเบาๆ ใกล้ๆ
“แปลว่า หรั่ง ต้องจ่ายเงินที่เหลือแล้วละซี่...แล้วหรั่ง...”
หรั่งหันไปถามพยาบาลแทนการตอบคำถามก้อย
“ผมจูงน้องออกไปเดินเล่นตรงสวนหย่อมบ้างได้มั้ยครับ”
“ใครมัดขาไว้รึเปล่าล่ะจ๊ะ...แต่ให้พี่เช็ดตัวคนไข้ก่อนนะ”
พยาบาลรูดม่านปิดเตียงคนไข้ไว้ หรั่งพูดกับก้อยผ่านม่านนั้น
“เดี๋ยวหรั่งมานะก้อย...หรั่งจะไปหาของอร่อยๆ มาให้ก้อยกิน”
หรั่งรีบเดินออกจากไปโดยมีเสียงก้อยดังไล่หลังหรั่ง
“แล้ววันนี้หรั่งไม่ต้องทำงานเหรอ...หรั่ง...หรั่ง...”

ทางด้านตะวันฉายอยู่กับแสงเทพที่สนามยิงปืน แสงเทพยืนเล็งปืนด้วยท่วงท่าสวยงาม เขาสวมใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์ อย่างเท่ห์ ดูดีเสียงแสงเทพดังเข้ามา
“การยิงปืนเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าเรานิ่งพอ เราจะมีพลัง และกำหนดเป้าหมายตามความต้องการของเราได้อย่างแม่นยำ โดยโอกาสพลาดจะเป็น ศูนย์เปอร์เซ็นต์”
แสงเทพเหนี่ยวไกปืน ลูกกระสุนพุ่งเฉียดเลนส์กล้อง เข้าใจกลางแผ่นเป้ากระดาษ
แสงเทพเก็บปืน ถอดอุปกรณ์ออก ตะวันฉายดึงแผ่นเป้านั้นเข้ามาดู
“อาอาจจะไม่ใช่คนที่ชอบเข้าวัดเข้าวา แต่อาใช้การยิงปืนนี่แหละ เป็นการฝึกสมาธิ”
“คงไม่ถึงกับต้อง ตั้งนโม 3 จบ ก่อนเหนี่ยวไกนะครับอา”
แสงเทพหัวเราะร่วน
“หลานนี่เป็นคนมีอารมณ์ขันนะ...อาชอบ...อารมณ์แบบนี้เข้ากับคนง่ายดี เจรจาอะไรก็เป็นผล...ไม่น่าหมกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพฯนะ...อาว่าไม่ดี ไม่มีประโยชน์”
ตะวันฉายจับปืน เตรียมอุปกรณ์ เพื่อจะลองยิงบ้าง
“ยังไงเหรอครับ”
“ต้องออกไปเปิดหูเปิดตารอบนอกบ่อยๆ...คบหาคนแบบเดียวกันไว้เยอะๆ ให้เป็นเครือข่ายของเรา...คนพวกนี้หละ จะเป็นผู้ต้อนเหยื่อมาให้เราล่อเป้าได้ง่ายขึ้น เข้าใจมั้ย”
ตะวันฉายหรี่ตาเล็งปืนไปที่เป้า เขายิ้ม เหมือนจะเข้าใจสิ่งที่แสงเทพพูด
“ผมจะลองทำตามคำแนะนำของอา...แล้วจะเริ่มที่ไหนดีล่ะครับ”

ท่ามกลางบรรยากาศสวยงามของ ที่ บูติค โฮเต็ล ริมทะเลเมืองพัทยา ผู้จัดการสาวใหญ่หน้าตาดีเดินคุยกับกัมปนาทโดยมีธนูเดินตามมาใกล้ๆ
“โรงแรมของเราไม่ถึงกับใหญ่นัก แต่มีมุมเก๋ๆ เยอะเลยนะคะ ทั้ง อินดอร์ ทั้ง เอาท์ดอร์ ลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำที่จองกันมาล่วงหน้าเป็นปี เพราะฉะนั้นถ้าจะมีอีเว้นท์อะไร เราสามารถประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าเราทราบล่วงหน้าได้ก่อนใคร เป็นการ ทำให้เกิดกระแสปากต่อปากได้”
“ดีเลยครับ”
“แต่หมายความว่างานต้องออกมาดี ต้องออกมาดัง ต้องน่าสนใจจริงนะคะ”
“รับรองครับ...เอาชื่อเสียงของ MS. Jewelry เป็นประกันได้เลยครับ” กัมปนาทว่า
“ความจริง ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเพชรพลอยเท่าไหร่หรอกนะคะ แต่ดิฉันเชื่อ ธนู...เขา
ไม่เคยแนะนำอะไรที่ไม่ดีให้เรา”
ธนูยิ้มรับคำชมอย่างสุภาพ
ผู้จัดการ หันมาพูดกับธนู “ตั้งแต่เธอเลิกขายประกัน ไม่มีตัวแทนคนไหนเอาใจใส่ดูแลพี่ได้ดีเท่าเธอเลยนะ”
“พี่มีปัญหาอะไร ที่ไม่สะดวก พี่ยังเรียกใช้ผมได้อยู่นะครับ”
“เจ้านายเธอไม่ว่าเอาเหรอ” ผู้จัดการกระเซ้า
“ขอเป็นนอกเวลางานแล้วกันครับ”
“งั้นวันนี้ พักผ่อนให้สบาย ใช้บริการโรงแรมให้เต็มที่...ส่วนโปรเจ็คท์ jewelry on the beach ถ้ามีรายละเอียดชัดเจนเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกทีนะคะ...อ้อ ถ้าสนใจบรรยากาศคลาสสิกเครื่องดื่มดีๆ ดนตรีเพราะๆ คืนนี้พี่ขอเป็นเจ้ามือจ้ะ”

ผู้จัดการจ๊ะจ๋าเอาใจ

ที่โต๊ะสนามบริเวณสวนหย่อมของโรงพยาบาล หรั่งและก้อยนั่งอยู่ในมุมที่ร่มรื่น ทั้งสองกำลังกล่าวคำอธิษฐานก่อนกินอาหาร เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ

“หากวันนี้เราสองคนกระทำสิ่งใดที่เป็นผิดบาป ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วย กาย วาจา ใจทั้งรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดให้อภัย และมอบพลังกายพลังใจ ในการดำรงชีวิตต่อไป หลังอาหารมื้อนี้ด้วยเถิด”
ทั้งสองคนเริ่มตักอาหารทาน ก้อยถามเรื่องคาใจ
“หรั่ง...ที่คุณเผ่าลาภเขาให้เงินเดือนล่วงหน้ามาก่อนอย่างนี้ หรั่งก็ต้องทำงานให้เขาฟรีๆ เป็นการผ่อนใช้หนี้ใช่มั้ย”
“อือม...ก็แค่สี่เดือน...ไม่เป็นไร วันหยุด หรั่งก็หางานทำกับพวกไอ้เท่ห์ ไอ้โบ้ ไอ้เช็งก็ได้”
“ถ้าก้อยหายดีแล้ว หรั่งพาก้อยไปหาคุณเผ่าลาภด้วยได้มั้ย ก้อยอยากขอบคุณเขา เผื่อจะขอเขาทำอะไรก็ได้ที่ช่วยหรั่งผ่อนหนี้สินได้บ้าง”
“เอาไว้ให้หรั่งทำงานไม่ไหวก่อน ก้อยค่อยช่วยก็แล้วกัน...ตอนนี้อย่าเพิ่งกังวล กินข้าวดีกว่า อร่อยๆ ทั้งนั้นเลย...ทำใจให้สดชื่น พรุ่งนี้จะได้ผ่าตาอีกข้างนึงแล้วนะ”
“มีสตางค์พอแล้วเหรอหรั่ง”
หรั่งนิ่งไปอีก
“ขอหมอเลื่อนไปก่อนดีมั้ย...มีสตางค์แล้วค่อยมาผ่าอีกข้างก็ได้”
หรั่งพยายามทำร่าเริงเป็นปกติ “ใครเขาทำแบบนั้นกัน”
สยามเดินตรงมายังหรั่ง
“อยู่ที่นี่เอง...ตามหาซะแทบแย่...โทรศัพท์นายน่ะ โทร.เท่าไหร่ก็โทร.ไม่ติด”
“อ๋อ ผมไม่ได้เติมเงินนานแล้วครับ...”
“ทีหลัง ต้องคอยบอกฉันด้วยนะ ว่าวันหยุดอยู่ที่ไหนบ้าง เผื่อมีอะไรจะได้ตามตัวถูก”
ก้อยทัก “ทานข้าวด้วยกันมั้ยคะ”
“ไม่ละจ้ะ...ฉันต้องกลับไปทานที่บ้าน ไม่งั้นโดนตะเพิดเอา”
“แล้วน้าหยามมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“มี...คุณเผ่าลาภฝากให้ฉันเอามาให้นาย”
สยามยื่นซองให้หรั่ง มันเป็นซองที่ใส่เงินมาเต็ม จน ตุงยิ่งกว่าซองเก่า หรั่งอึ้ง

กันทิมาอยู่ที่คอนโด นั่งวาดรูปสีน้ำมันอยู่เพียงลำพังในห้องพักอันเงียบเหงา เสียงออดประตูหน้าดังขึ้น กันทิมาวางอุปกรณ์เขียนรูปลง แล้วเดินไปเปิดประตู เห็นรปภ. ของคอนโด แบกร่างของบารมีที่เมาปลิ้นไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น
“แกเมาหลับขวางอยู่หน้าลิฟท์น่ะครับ”
กันทิมาเปิดทางให้รปภ. แบกบารมีมาวางยังโซฟา
“ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผมขอไปเช็ดอ้วกแกที่หน้าลิฟท์ก่อนนะครับ...กลิ่นแรงน่าดู”
รปภ. รีบเดินออกไป
กันทิมาพยายามถอดเสื้อบารมีที่เลอะเทอะออก เพื่อเช็ดตัว ทว่าบารมีดิ้นสะบัดตัวไปมาอุตลุดกันทิมาจ้องมองสภาพของสามี แล้วทอดถอนใจ ภาพในอดีตคล้ายๆ กันนี้ ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงของเธอ

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลัง ลาก ประคองกันเข้ามาในห้องพัก
เขาและเธอคือชาติชาย และ กันทิมา
“ตัวหนักจังเลย...” กันทิมาบ่น
“ก็ผมบอกแล้วว่าผมเดินเองได้คุณก็ไม่เชื่อ”
“โถ ยืนยังจะยืนไม่อยู่เลย ไม่ต้องทำเป็นพูดดีหรอก ชาติ”
“เฮ้ ใครบอก ผมยังไหวอยู่...ผมไปส่งคุณยังได้เลยนะ กัน”
“ไม่ต้องหรอกค่า...พ่อหนุ่มคออ่อน”
ชาติชายหงายหลังล้มลงตรงนั้น กันทิมารับตัวไว้ไม่ทันอย่างเฉียดฉิว
“คุณอย่าบอกตั่วเฮียนะว่าผมกินเหล้ามา...ไม่งั้น โดนด่าตายเลย...”
ชาติชายหลับน็อคไปเมื่อพูดจบ
กันทิมาพยายามจะลากชาติชายไปวางบนโซฟา ดูทุลักทุเลมากๆ มีชายหนุ่มอีกคนก้าวเข้ามา เขาคือ บารมี ในวัยหนุ่มแน่น
“เอามันวางไว้อย่างนั้นแหละน้อง เดี๋ยวพี่ลากมันเข้าห้องนอนเอง...ไอ้เจ้าเหลียงนี่ทำเสียชื่อผู้ชายบ้านนี้หมด”

บารมีและกันทิมาช่วยกันลากชาติชายเข้าห้องนอนไปในที่สุด

กันทิมาดึงตัวเองกลับมา เพราะบารมีพลิกตัวดิ้นไปมาท่าทางไม่สบายตัว ละเมอออกมา

“อย่าบอกใครนะว่าอั๊วเมา...เพราะอั๊วไม่เมา...คนอย่างอั๊วกินเท่าไหร่อั๊วก็ไม่เมาอยู่แล้ว”
กันทิมา มองสามีนิ่งๆ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น เม็ดฝนสาดกระทบกระจกหน้าต่าง
มันเป็นเวลากลางดึก สายฝนโหมกระหน่ำใส่อาคารคอนโดมีเนียมหลังนี้ และบริเวณใกล้เคียง

หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าสายฝน มาบนท้องถนนกรุงเทพฯ เขาหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ช่วงตอนบ่าย
เวลานั้นหรั่งยืนพูดอยู่กับสยามที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล ซองเงินยังอยู่ในมือหรั่ง
“คุณเผ่าลาภถามฉันว่า รู้มั้ยว่านายเอาเงินไปทำอะไร...ฉันก็บอกท่านไป เท่าที่ฉันพอจะรู้”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ท่ามกลางสายฝน หน้าตาของเขาดูมีแววครุ่นคิดไม่น้อย
ภาพตอนที่เขาและสยามยังคงยืนคุยอยู่ที่ตำแหน่งเดิมผุดขึ้นมาอีก
“ท่านไม่ได้ถามฉันว่าเท่าไหร่...ท่านโทร.เช็คเองจากหมอประจำตัวของท่าน...แล้วก็ใส่ซองนั้นมา” สยามบอก
หรั่งจอดรถมอเตอร์ไซค์ หลบฝน ใต้สะพาน เขาเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ
“ท่านไม่ได้บอกว่านายต้องคืนท่านเมื่อไหร่...เหมือนจะให้เอามาใช้ฟรีๆ ยังไงก็ไม่รู้” สยามบอก
“คืนนี้ท่านไม่ได้ออกไปไหนใช่มั้ย น้าหยาม” หรั่งถามไปในตอนนั้น
หรั่งดูเวลาอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจ เขารีบขี่มอเตอร์ไซด์ฝ่าสายฝนออกไปในทันที

เวลากลางดึกนั้นเอง รำไพก้าวเข้ามา ทักด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ทำไมมาเอาดึกดื่นอย่างนี้”
หรั่งยืนตัวเปียกอยู่กลางโถงบ้าน สาวใช้ ยืนรอรับใช้อยู่ไม่ห่างไปนัก
“ตัวเปียกม่อล่อกม่อแลกมาเชียว” รำไพว่า
“ขอโทษครับ ที่ต้องมารบกวนเวลากลางดึก...คุณเผ่าลาภล่ะครับ”
เผ่าลาภเดินเข้ามา
“มีเรื่องอะไรด่วน ถึงกับรอพรุ่งนี้ไม่ได้เลยเหรอ”
หรั่งชูซองเงินซองนั้นขึ้นมา
“มันเยอะเกินไปครับ...ผมรับไว้ไม่ได้”
“เหลือจากค่าหมอค่ายา ก็เก็บเอาไว้ดูแลน้องสาวให้ดีสิ”
“ผมไม่คิดจะดูแลน้องสาวด้วยเงินมากมายขนาดนี้ครับ...ผมขอยืมเฉพาะที่ต้องจ่ายให้โรง
พยาบาลก็พอ ที่เหลืออยู่ในซองนี้ ผมขอคืนครับ”
หรั่งวางซองลงบนโต๊ะกลางโถงบ้าน
“ขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับความเมตตา...ผมมีสตางต์เมื่อไหร่ ผมจะรีบใช้คืนท่านทันทีครับ...สวัสดีครับ”

หรั่งเดินออกจากบ้านหลังนี้ไปทันที เผ่าลาภ และ รำไพมองตามหลังหรั่ง อย่าง อึ้งๆ ทึ่งๆ

อ่านต่อตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น