สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 3
ยามเช้า พระอาทิตย์เพิ่งเคลื่อนพ้นขอบฟ้า ผู้คนที่สัญจรไปมา หลายคนมีหน้าตาท่าทางสดชื่นแจ่มใสไปกับเช้าวันใหม่ เสียงความคิดของหรั่งดังขึ้น สะท้อนภาพชีวิตคนเมืองทั้งหลาย
“เพราะมนุษย์เราก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความรัก พวกเราจึงสามารถสร้างที่ว่างในหัวใจสำหรับเติมความรักลงไปได้เสมอ”
โต ยามคนเดิม กำลังเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส สยาม ขับรถคันโก้ของเผ่าลาภอย่างสบายอกสบายใจ
รถของเผ่าลาภเลี้ยวเข้าธนาคาร สยามลงจากรถ เดินผ่านหน้ายาม พยักหน้าให้ โตตะเบ๊ะตอบ
“มันไม่เคยถูกจำกัดด้วยปริมาณ ไม่อาจกีดกันด้วย วัย หรือ สถานะ โดยเฉพาะรักของความเป็นเพื่อน”
สยามเดินตรงไปที่เค้าน์เตอร์ พนักงานเดินเข้ามาต้อนรับอย่างมีน้ำใจ
“สวัสดีครับ...จากคุณเผ่าลาภใช่มั้ยครับ
“ใช่ครับ...ท่านให้มารับเอกสาร”
“รอซักครู่ครับ ดูเหมือนพนักงานจะเตรียมไว้ให้แล้ว”
พนักงานคนนั้นเดินออกไป สยามมองหาที่นั่ง ด้านหลังสยามตรงเค้าน์เตอร์ หรั่งกำลังแจกน้ำผักและน้ำเต้าหู้ตามออร์เดอร์ของพนักงานแต่ละคน
สยามมองหรั่ง แล้วอมยิ้มอย่างชื่นชม
ขณะที่หรั่งกำลังล้างขวดน้ำเต้าหู้เก่าๆ เก็บใส่ถุง สยามเดินเข้ามาหยุดมองด้านหลัง หรั่งหันไปเห็น แปลกใจเล็กน้อย
“สบายดีมั้ย…นายหรั่ง”
“อ๋อ คุณ”
“ฉันชื่อสยาม…ฉันทำงานที่บ้านคุณหนูแพรวา” สยามแนะนำตัวเอง
“อ้อ…ผมจำได้แล้ว…”
“หน้าตาแจ่มใสดีนี่ แสดงว่าสบายดี มีความสุข”
“คงงั้นมั้งครับ…แล้ววันนี้…คุณแพรวาไม่ได้…”
สยามตอบทันที “ฉันมาคนเดียว”
หรั่งพยักหน้า “อือม…”
“มาทำธุระให้คุณเผ่าลาภ พ่อของคุณหนูแพรวา”
“คุณแพรวาพูดถึงผมบ้างมั้ยครับ”
“เปล่า…แต่ฉันพูด ฉันพูดถึงนายให้คุณเผ่าลาภฟังบ่อยๆ”
หรั่งสนใจ “พี่พูดถึงผมยังไง”
“ก็บอกว่า ฉันมาเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางเอางานเอาการดี น่าเรียกมาทำงานด้วย”
หรั่งยิ้มภูมิใจลึกๆ “เหรอครับ…แล้วท่านว่าไง”
“ท่านเฉยๆ ท่านไม่ว่า…งานท่านยุ่ง เอาละ ฉันไปก่อนนะ”
“เอ้อ คุณสยามครับ…รบกวนฝากน้ำย่านาง ไปให้คุณแพรวาหน่อยนะครับ”
หรั่งส่งน้ำย่านางให้สองขวด
“ฝากบอกว่า มันบำรุงสุขภาพดี ดับร้อน…ถ้าสนใจจะดื่มเป็นประจำทุกเช้า ผมยินดีส่งให้
ถึงที่ได้เลย”
สยามยิ้มรับน้ำย่านางจากหรั่ง อย่างทึ่งๆ
“และสำหรับพี่หยาม…ผมมีแก้วนี้ให้ชิมก่อน”
หรั่งรินน้ำย่านางใส่แก้ว ส่งให้สยามชิม
แหละไม่นานต่อมา สยามยื่นแก้วน้ำย่านางสีของมัน เขียวปั้ด โดยที่แพรวายืนจ้องแก้วน้ำนั้นอยู่
“ลองซักนิดซีครับคุณแพร ไม่ต้องหมดแก้วก็ได้”
“แน่ใจนะว่า กินได้” แพรว่าถามอย่างไม่แน่ใจ
สยามพยักหน้าขึงขัง แพรวา ยกแก้วแตะที่ปาก…หน้าตาอธิบายยาก
“รสชาติแปลกๆ น่ะน้าหยาม…น้องแพรกินไม่ได้หรอก”
แพรวาเดินออกไป สยามเดินตามตื๊อเต็มที่
“แต่มันดีต่อสุขภาพนะครับ…มันเป็นสมุนไพรเย็น ดับร้อน แก้เบาหวาน ต้านมะเร็ง และทำให้แก่ช้า ลองหน่อยเถอะครับ ผมว่าคุณแพรดื่มไปซักวันสองวัน ก็จะชอบเอง”
“เขาแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้น้าหยามรึเปล่า ถึงได้โฆษณาชวนเชื่อกันขนาดนี้”
“เปล่าเลยครับ…ผมเห็นเขาขยันขันแข็งดูดี ก็เลยอยากจะช่วยเขา”
“น้องแพรว่าเขาดูแปลกๆ ออก แปลกทั้งคน ทั้งน้ำผักนั่นแหละ”
อรทัยเดินเลี้ยวมาจากมุมใดๆ มือถือแฟ้มมากมาย
“หนูแพร มาเอาเอกสารนี่ไปอ่านเร้ว…นี่คือแผนงานทั้งหมดของบริษัทเราในปีนี้ อ่านดูให้ละเอียด ไม่เข้าใจตรงไหน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง…แล้วตามมาที่ห้องอานะ ไม่ใช่มัวแต่เดินเล่นไปมาอยู่แบบนี้”
อรทัยเดินออกไปก่อน แพรวามองแฟ้มแล้วถอนหายใจ
“น้องแพรไปทำงานก่อนละน้าหยาม”
“แล้วน้ำย่านางนี่ล่ะครับว่าไง” สยามถาม
“ส่งมาวันละสี่ขวด”
สยามยิ้ม “แน่ะ…ไหนว่าไม่ชอบไง…ตั้งสี่ขวด”
“ก็…ให้น้าหยามกับเมียคนละขวด…ลูกน้าหยามอีกสองคน ก็อีกคนละขวด รวมเป็นสี่ขวดพอดี”
สยามร้อง “อ้าว”
“นายหรั่งเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ…ก็อุดหนุนเขาหน่อยไง…ดีต่อสุขภาพ ทำให้แก่ช้าด้วย”
แพรวาเดินออกไป ทิ้งน้ำย่านางไว้เป็นภาระของสยามซะงั้น คนขับรถผู้ซื่อสัตย์มองตามอย่างเอ็นดู
พื้นที่อันกว้างขวางเป็นที่ดินผืนใหญ่เชิงเขา ติดกับ เหมือง M.S. เผ่าลาภ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอบต. ราว 4-5 คน ยืนคุยกันอยู่ใกล้บริเวณนั้น เผ่าลาภชี้ให้ดูอาณาเขตที่ดินที่เขาต้องการ
“พื้นที่ทั้งหมดที่เราต้องการ อยู่บริเวณรอบๆเขาลูกข้างหน้านั่นหละ ก็ประมาณเจ็ดร้อยไร่
เห็นจะได้…”
“ที่แถวนั้นมันจะมีอาไร้...ชาวบ้านทำอะไรๆก็ไม่ขึ้น เฮียจะซื้อไปทำไมครับ” อบต.ถาม
“นักธรณีของเราเชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่จะมีสายแร่เคลื่อนตัวไปรวมกันด้านโน้น…เรามันคนทำเหมืองน่ะครับ…มีสัญญาณมาเราก็ต้องเสี่ยง ก็ต้องขุดไล่ตามหาแร่ไปทั่ว” เผ่าลาภอธิบาย
“แล้วถ้าขุดแล้วไม่เจออะไรล่ะ” อบต.ถาม
“ผมมีโครงการพัฒนาที่ดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับท้องถิ่นให้มากที่สุด” เผ่าลาภว่า
“งั้นเฮียก็รีบทำเรื่องขอประทานบัตรเลยสิครับ” กำนันแนะ
“กำลังทำอยู่…ในส่วนนั้นผมไม่ห่วง”
“นั่นสิ เส้นสายเฮียดีอยู่แล้วนี่ พรรครัฐบาลด้วยกันเอง ไม่มีปัญหาหรอกนะ”
“แต่ผมห่วงเรื่องความเข้าใจของพี่น้องประชาชน ต้องฝากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ช่วยประสานให้ด้วย เหมือง M.S. ของเราไม่ได้สร้างมลภาวะหรือผลกระทบเลวร้ายอะไรเลยก็คงจะเห็นๆ กันอยู่…หนำซ้ำเรายังรับพ่อแม่พี่น้องเข้าทำงานในเหมืองของเราอีกด้วย…เพราะฉะนั้น ถ้าจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ยังไงละก้อ หวังว่าคงไม่มีใครลุกขึ้นมาคัดค้านนะครับ”
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงครับ ชาวบ้านแถวนี้รักเฮียจะตายไป ย.ห. อย่าห่วง” ผู้ใหญ่บ้านบอก
ทุกคนยิ้มแย้ม เฮฮา ประหนึ่งว่า ปัญหาต่างๆหมดไป
จังหวะนี้ มีรถเก๋งคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ใกล้ๆกัน ทุกคนหันไปมองที่รถนั้น เห็นบารมีก้าวลงจากรถเดินตรงมาที่เผ่าลาภ ในรถคันนั้นยังมีกันทิมานั่งอยู่ด้วย
เผ่าลาภบอกทุกคน “บารมี น้องชายผมเองครับ”
“คุณเผ่าลาภนี่พี่น้องเยอะจริงๆ นะ” กำนันแซว
บารมีเดินมาถึงเผ่าลาภพอดี
“เฮีย…อั๊วขอคุยเรื่องส่วนตัวหน่อยได้มั้ย…ที่สำนักงานนะ”
“โอเค”
เผ่าลาภตระหนักถึงความยุ่งยากใจบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ที่หน้าตึกสำนักงานเหมือง รถเก๋งบารมีที่จอดอยู่ ประตูรถเปิดกว้างค้างไว้ พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินถือแก้วน้ำออกมาจากตัวอาคาร ตรงมาที่รถ
“น้ำเย็นค่ะคุณกัน”
กันทิมานั่งอยู่ในรถ ยื่นมือมารับน้ำ
“ขอบใจนะ”
“คุณกันจะไม่เข้าไปนั่งข้างในก่อนเหรอคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ…ฉันนั่งตรงนี้สบายแล้ว…แค่รอคุณบารมีเสร็จธุระเท่านั้น”
พนักงานรับคำแล้วเดินกลับเข้าไปในอาคาร
เผ่าลาภ และบารมีนั่งประจันหน้ากันอยู่ในห้องรับรองในอาคารนี้ บรรยากาศอึมครึมชอบกล
“ห้าล้านเชียวเหรอ…ลื้อจะเอาไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้นห๊ะ อาหั่ง” เผ่าลาภถามเสียงขุ่น
“ก็เอาไปลงทุนน่ะสิ ถามได้…”
“ลงทุน”
“โธ่ ขอแค่นี้เอง ขนหน้าแข้งเฮียไม่ร่วงหรอกน่า”
“มันไม่เกี่ยวกับขนหน้าแข้งโว้ย”
“งั้นก็เอาเงินมา”
“อั๊วให้ลื้อไม่ได้หรอก ให้ไปก็จะเคยตัว…อีกหน่อยก็จะทำอะไรเองไม่เป็น…แล้วพี่น้องคนอื่นเขาจะคิดยังไงกัน อยู่ๆ อั๊วเอาเงินในส่วนของเขาไปให้ลื้อใช้”
“ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก มีแต่เขาจะสรรเสริญว่า เฮียเป็นพี่ที่รักน้องมาก” บารมีว่า
“เพราะอั๊วเป็นพี่ที่รักน้องมาก อั๊วจึงให้ลื้อไม่ได้”
บารมีชักฉุน “อะไรวะ เป็นพี่ภาษาอะไร น้องนุ่งเดือดร้อนไม่มีช่วยเลย…ทีตัวเองเอาเงินกงสีไปใช้ส่วนตัวตั้งเท่าไหร่ เคยขอใครบ้างมั้ย”
“อั๊วใช้ส่วนตัวอะไร พูดมาซิ”
“ก็บ้านช่องหลังใหญ่โตน่ะ ไม่ใช่ส่วนตัวเหรอ” บารมีแขวะ
“อั๊วสร้างบ้านหลังใหญ่ตามความต้องการของก๋ง ของเตี่ย ที่อยากจะให้พี่น้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน…แต่พวกลื้อไม่ยอมมาอยู่กันเอง”
“สร้างเสร็จแล้วจะพูดยังไงก็ได้” บารมีแขวะไม่เลิก
“อย่าพูดหมาๆ นะอาหั่ง”
“ก็ใครหมาก่อนล่ะ…เฮียตง อยากเห็นอั๊วเจ๊ง หมดเนื้อหมดตัวใช่มั้ย”
“อั๊วอยากเห็นลื้อเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างต่างหาก…คนมันจะเป็นคนได้ มันต้องรู้จักต่อสู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไถพี่ไถน้องอย่างนี้…ลื้อกลับไปพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยมาขอเงินกงสี”
“ได้ ไม่ให้ก็ได้….แล้วเฮียคอยดูต่อไปก็แล้วกัน ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…คนอย่างอั๊ว ถ้าจะล้มอั๊วไม่ล้มคนเดียวหรอก…คอยดู”
บารมีอาฆาตแค้น
ขณะเดียวกัน รถแทร็คเตอร์เข้ามาจอด หน้าอาคารสำนักงานเหมือง กฤษฎา ก้าวลงจากรถอย่างเหนื่อยอ่อน มอมแมมไปทั้งตัว ชาติชาย ยังคงอยู่บนรถหลังพวงมาลัย
“เข้าไปล้างล้างตาก่อนก็ได้นะต้น…พักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเราไปกลบบ่อท้ายเหมืองกัน”
“อาครับ ที่เหมืองเรานี่เลิกงานกี่โมงแน่ครับ”
“งานเหมืองมันไม่มีเลิกหรอกต้น ลองได้เริ่มขุด มันก็หยุดไม่ได้...ถ้าไม่อยากให้เหมืองร้าง”
“แล้วต้นจะได้กลับกรุงเทพฯบ้างมั้ยอา”
“ก็ต้องแล้วแต่อากู๋”
กฤษฎาเดินออกไป ชาติชายค่อยๆ ลงจากรถ เดินตรงเข้าไปยังสำนักงาน
หางตาชาติชายสะดุดอะไรบางอย่าง เขาหยุดเดิน นิ่ง มองไปที่รถบารมี เห็นได้ชัดว่ากันทิมานั่งนิ่งอยู่ในนั้น ชาติชายหันไปหารถคันนั้นช้าๆ มองหน้ากันทิมา
สองคนสบตา ต่างฝ่ายต่างอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ชาติชายหันหลังกลับ เดินหน้าเข้าสำนักงานกันทิมาก้าวลงจากรถ เอ่ยปากออกมาจนได้
“เดี๋ยวสิ ชาติ”
ชาติชายหยุดเดินแต่ไม่หันหน้ากลับไป
“มีอะไรเหรอครับ”
“เอ้อ…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่มี แล้วคุณมาถึงนี่ทำไม”
กันทิมาอึ้ง อึกอัก ตอบไม่ได้…ชาติชายรอฟัง
“จะไปทำอะไรก็ไปเถอะค่ะชาติ”
ชาติชายขยับตัวเดินลับไป กันทิมาก้มหน้ามองพื้นดิน นิ่ง เสียงชาติชายเรียก
“กันทิมา”
กันทิมาเงยหน้า ขนลุกซู่
ชาติชายยืนอยู่จนชิดติดกันทิมา จ้องหน้าเธอนิ่ง
“สามปีแล้ว ที่ผมไม่ได้มองคุณเต็มๆ ตาแบบนี้…คุณไม่เปลี่ยนเลย”
“แล้ว คุณ…”
“ผมไม่ใช่คนที่เปลี่ยนอะไรง่ายๆ…คุณก็รู้”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ในความเงียบ
“ก็ได้แต่หวังว่าคุณคงจะสบายดี”
ชาติชายกลับตัวเดินหายเข้าไปในอาคาร
บารมีเดินหงุดหงิดมาจากอีกทางหนึ่ง…เขาตรงไปที่รถ พูดจาเสียงดัง
“คุณขับทีนะ…ผมไม่มีอารมณ์ เดี๋ยวได้ชนกันวอดวายหมด”
บารมีลงนั่งในรถ กันทิมานั่งประจำที่คนขับ
“ไม่น่ามาที่นี่ ให้เสียเวลาเลยกู” บารมีสบถ
รถบารมีที่กันทิมาขับแล่นออกไป
ตรงมุมหนึ่งในสำนักงานเหมือง ชาติชาย แอบมองร่องรอยล้อรถด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ที่แท้ระหว่างชาติชายและกันทิมา ทั้งคู่มีความรักความหลังต่อกัน
บ่ายวันนั้น หรั่งนั่งซ่อมจักรยานอยู่ในร้าน เท่ห์ โบ้ เช็ง เข้ามานั่งลงรอบๆ หรั่งกลางร้าน
“ไอ้หรั่ง มึงลางานซักอาทิตย์นึงได้มั้ยวะ” เท่ห์ขอร้อง
“บ้าเหรอ…ตั้งอาทิตย์นึง ที่แบงค์เขาเลิกจ้างกูพอดี งานซ่อมจักรยานช่วงนี้ก็เยอะอยู่” หรั่งยืนกราน
“ไหนมึงว่าทั้งผู้จัดการแบงค์ ทั้งเจ้าของร้านจักรยาน เขารักมึงจะตายไง…น่า ไปเถอะวะ เพื่อน…พวกเราขาดมึงแล้วใจคอมันไม่ดีว่ะ” เท่ห์หาข้ออ้าง
“มึงพูดอย่างนี้ กูใจอ่อนทุกที” หรั่งเซ็ง
“เงินดีนะมึง…งานประจำปีศาลากลางเชียว” เท่ห์โน้มน้าวต่อ
“คราวนี้เอาอะไรไปบ้าง” หรั่งถาม
“เยอะ ไวกิ้ง ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน 2 ชุด คนรู บ้านผี ระบายสีปูนปลาสเตอร์ รถ ATV อีก
หกคัน” โบ้บอก
“สี่คน พอจะเอาอยู่” เช็งว่า
หรั่งบ่น “ตั้งเมืองกาญจน์แน่ะ”
“มึงห่วงก้อยเหรอ” โบ้ถาม
“แม่กูดูให้เอง…สอบมึงก็สอบเสร็จแล้ว กังวลอะไรวะ” เท่ห์บอก
“กูคิดดูก่อนแล้วกัน”
ยามโต คู่ซี้ขี่จักรยานเข้ามาหน้าร้าน ตะโกนเรียกหรั่ง
“ไอ้หรั่ง…ผู้จัดการเรียกแน่ะ”
“มีเอกสารส่งเหรอพี่”
“ไม่รู้สิ แต่บอกให้รีบไปด่วนเลยว่ะ”
“งั้นไปเดี๋ยวนี้ครับพี่โต”
หรั่งลุกวิ่งออกไปทันที เท่ห์ตะโกนไล่หลัง
“ถ้ามึงโดนไล่ออก รีบบอกกูเลยนะเว้ย”
หรั่งนั่งลงตรงหน้าผู้จัดการ
“ผู้จัดการเรียกผม”
“วันนั้นสอบ เป็นไงบ้าง”
“ก็…พอทำได้ครับ”
“ถ้าสอบผ่านคราวนี้ ก็ได้ปริญญาตรีสินะ”
“ครับ”
“น่าดีใจที่นายเรียนจบ ใบปริญญาถึงมันจะเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว แต่มันก็ใช้เป็นใบเบิกทางหางานดีๆ ให้นายได้”
“ก็ คงงั้นครับ”
“ฟังให้ดีนะนายหรั่ง เรื่องที่ฉันจะต้องบอกนาย ก็คือว่า…ตอนนี้…ธนาคารเราไม่ต้องการใช้งาน มอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้ว”
หรั่งอึ้งไปจนเห็นได้ชัด
“สาขาใหญ่ของเราจะส่งพนักงานจากส่วนกลางมา…เรียกตามตำแหน่งว่า Clearing…เพราะฉนั้น…”
หรั่งซีดรู้ทันที “ผมเข้าใจครับ…แต่ผมขอกลับมาเยี่ยมผู้จัดการบ้างได้มั้ยครับ”
ผู้จัดการเลิกคิ้วขึ้นงวยงง
“แล้วก็…ผมขออนุญาตส่งน้ำผัก น้ำเต้าหู้ตอนเช้าเหมือนเดิมได้รึเปล่าครับ…สงสารพี่ๆ ที่
เป็นลูกค้าประจำผม”
“มีน้ำใจจริงๆนะเรา”
“ถึงจะมีน้ำใจ แต่ผู้จัดการก็ไม่ควรเอาผมไว้หรอกครับ ผมยินดีออกครับ…เพราะถ้าผม
เป็นผู้จัดการ ผมก็ต้องใช้วิธีไล่ออกเหมือนกัน”
“ขอบใจที่เข้าใจฉัน…ฉันขอไล่เธอออกจากตำแหน่ง Messenger…แต่จะให้เธอใช้วุฒิปริญญาตรี มาสมัครใหม่ ในตำแหน่งพนักงานธุรการ ซึ่งต้องบรรจุเป็นพนักงานประจำ…และเธออาจจะต้องแบกภาระการรับเงินเดือนที่สูงกว่าเก่า ไม่รู้ว่าเธอจะเต็มใจรับภาระนี้หรือไม่”
คราวนี้ ไอ้หรั่ง นาคำ ยิ้มกว้างเชียว
ค่ำนั้น เพื่อนๆ ทุกคนล้อมวงกันไชโยอยู่ในบ้านหรั่ง
“ไชโย ไชโย ไชโย…”
“กูว่าหมู่นี้เราชักจะไชโยกันบ่อยไปหน่อยนะ” เช็งว่า
“ช่วยไม่ได้ ปีนี้มันปีทองของไอ้หรั่ง งานเลื่อน เงินเดือนขึ้น ไม่ไชโยได้ไง…แม่งยอดคนออก
ปานนี้” เท่ห์บอก
“ต่อไปนี้กูคงจะแว่บมาส่งข้าวกลางวันให้ก้อยไม่ค่อยได้แล้วว่ะ” หรั่งกังวล
“ไม่เป็นไร ให้ไอ้โบ้มันจัดการ” เท่ห์โยนทันที
“ทำไมต้องกู” โบ้โวย
“มึงชอบก้อย” เช็งบอก
โบ้ด่า “ไอ้บ้า”
เท่ห์ผสมโรง “อย่าปากแข็ง กูรู้ มึงแอบดูเขาบ่อยๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก้อยช่วยตัวเองได้” ก้อยออกตัว
“ก้อยเขาไม่สนมึงว่ะโบ้ เสียใจด้วย” เช็งแซว
โบ้แก้เก้อ “กูแค่ชอบดูก้อยเขาเล่นไวโอลินเว้ย”
“หรั่งจะฝากป้าแป๋วข้างบ้านเราช่วยดูก็แล้วกัน” หรั่งบอก
“แต่ให้โอกาสไอ้โบ้มันบ้างก็ดีนะก้อย” เช็งไม่เลิกแซว
“แล้วเรื่องงานที่เมืองกาญจน์ล่ะ…มึงลาเขารึยัง”
“กูไม่กล้าหรอก…เขาเพิ่งเลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือนให้กูหยกๆ มึงจะให้กูขอลางานเลยเหรอวะ”
เพื่อนๆ หน้าเหี่ยวลงไปทุกคน…หรั่งปลอบ
“น่า…กูไป ก็แค่ไปยืนจัดคิวเด็กๆ มึงลองฝึกให้คนอื่นทำบ้างสิวะ จะได้มีตัวตายตัวแทน”
“โธ่ อุตส่าห์ได้ม้าหมุนมาตั้งสองชุด…มึงนะมึง ไอ้หรั่ง เสือกเห็นงานดีกว่าเพื่อน”
เท่ห์ครวญอย่างน่าถีบ
ขณะเดียวกันที่ คฤหาสน์หลังใหญ่โต และดูทรงอำนาจของ สุริยะ ตั้งโดดเด่น เล่นแสงยามราตรีกาล
สุริยะนั่งพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของห้องโถงในบ้าน
“เพิ่งกลับมาถึง เมื่อเย็นนี้เอง…อือม…คงไม่ต้องไปแล้วละ…ได้…ได้เลย…เมืองกาญจน์
มันก็เหมือนบ้านเราอยู่แล้ว…เหมืองใหญ่ของคุณเผ่าลาภอยู่ที่นั่นไง”
สุริยะลุกขึ้นเดินพูดโทรศัพท์ออกไปนอกโถง ผ่านตะวันฉายที่ยืนพูดโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง
“มึงอย่าเพิ่งให้น้องแพรรู้นะว่ากูกลับมาแล้ว…เออ จะได้แร่ดอีกซักวันสองวันก่อนไง…
โอ.เค.นะ…เจอกัน”
โฉมฉายผู้เป็นแม่เดินลงบันไดมายืนจ้องตะวันฉาย
“นัดแนะไปซิ่งกันอีกแล้ว…โตแล้วนะ ลูกตะวัน…เมื่อไหร่จะตัดสินใจได้ซะที จะเล่นการเมืองอย่างพ่อ หรือจะเอาดีทางธุรกิจก็ว่ามา”
“แหม…ขอผมใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายก่อนไม่ได้เหรอฮะ”
“งาน มันไม่ได้ทำให้ลูกสูญเสียชีวิตลูกผู้ชายนะ…หนูแพรวาต่างหากล่ะ” โฉมฉายดักคอ
“แม่ไม่ชอบแพรวาใช่มั้ยล่ะ…พ่อเรากับป๋าเขาสนิทกันนะฮะแม่”
“โอ๊ย…ผลประโยชน์ทางการเมือง…ใครจะสนิทกับใครก็ได้ทั้งนั้น”
“ผมก็อาจจะคบแพรวาเพราะผลประโยชน์ทางการเมืองเหมือนกัน ใครจะรู้”
ตะวันฉายยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วร่อนออกไปจากห้อง
โฉมฉายมองตามไป ยิ้มร้ายนึกในใจ “เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ลูกคนนี้”
ที่คลับหรูหรา นักเที่ยวล้วนบุคลิกดีมีระดับ นักร้องสาวชาวฟิลิปปินส์ กำลังยืนร้องเพลงอยู่หน้าวงดนตรีเพื่อนร่วมชาติ เพลงที่หล่อนร้องเป็น เพลง Someone to watch over me
กัมปนาท นั่งดื่มไวน์เคล้าเสียงเพลงอยู่ที่เค้าน์เตอร์ รอบๆ ตัวเขามีหนุ่มๆ นักเที่ยวมากมาย ต่างพากันมีอารมณ์ร่วมกับเสียงเพลง
บารมีเดินเข้ามาในนี้ สอดตามองหาไปรอบๆ แล้วตรงมาที่กัมปนาทอย่างตั้งใจ
“นั่งด้วยคนสิ อาฮุย…เฮียมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ถ้าจะคุยกันยาวๆ กรุณา อย่าเรียกฮุย ในที่สาธารณะ”
“โอเค น้องกัมปนาท”
“เฮียมีเรื่องอะไรเหรอ” กัมปนาทถาม
“ก็เรื่องธุรกิจ…เรื่องกงสีของพวกเราน่ะแหละ”
กัมปนาทรู้ทัน “เฮีย อึดอัด”
“ใช่…แล้วลื้อล่ะ ไม่อึดอัดบ้างเหรอ”
กัมปนาทยักไหล่สองข้าง เอียงคอเล็กน้อย
“อั๊วไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องกงสีเลย…พวกนั้นน่ะหัวโบราณ มัวแต่กินกงสีกันอยู่ได้…ไม่ได้
ดูเลยว่าโลกเขาพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
กัมปนาทตัดบท “เปลี่ยนเรื่องเหอะ เฮีย…เรื่องเดิมๆ ขี้เกียจคุยแล้ว”
“จริงๆ นะ คนดีมีฝีมืออย่างลื้อนี่ น่าจะแยกออกมาทำบริษัทเองมากกว่า…ทำเอง ขายเองได้กำไรเอง เนื้อๆ ไม่ต้องแบ่งใคร”
“แล้วที่ M.S. ล่ะ ใครจะดูแล”
“ลื้อก็นั่งสองบริษัทเลยซี่…กงสีก็ส่วนกงสี ลื้อก็ทำนิดๆหน่อยๆ กินเงินเดือนไป…แต่กำไรที่มาจากหยาดเหงื่อของเรา มันต้องเข้าบริษัทเราเนื้อๆ เฮียพูดถูกมั้ย”
กัมปนาทนิ่งคิด “เหมือนที่เฮียแยกไปทำปั๊มน้ำมัน ทำบริษัทนำเข้ารถยนต์ใช่มั้ย”
บารมียิ้ม “ถูกต้อง”
กัมปนาทเหน็บ “แล้วทำไมบริษัทเฮียเจ๊งล่ะ”
บารมีจ๋อยลง “ก็เฮียมันหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีพี่น้องมาใส่ใจ…เวลาทุนหมด ก็ไม่รู้จะไปหมุนมาจากไหน…ขอยืมกงสียังไม่ได้เลย อาฮุยเอ๊ย…เอ้อ โทษที…กัมปนาทเอ๊ย”
“เฮียจะเอาเท่าไหร่” กัมปนาทพูดอย่างรู้ทัน
“เปล่านะ อั๊วไม่ได้มาขอยืมเงินลื้อนะ…อั๊วว่าจะมาชวนลื้อลงทุนทำบริษัทด้วยกันมากกว่า…ทำพลอยนี้แหละ แข่งกับ M.S.JEWELRY ไปเลย…แต่ถ้าสมมุติว่าลื้อยังไม่อยากลงแรง ก็เอาเงินมาลงก่อนก็ได้”
กัมปนาทอดขำไม่ได้ เขาถามย้ำ
“จะเอาเท่าไหร่ เฮีย…ว่ามาเลยน่า”
บารมี อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนบอก “ห้า ล้าน”
“เฮียฟังนะ…ฉันยังไม่อยากทำบริษัทอะไรอย่างที่เฮียว่าหรอก และฉันก็มีอยู่แค่ล้านห้าไม่ถึงห้าล้าน…เอางี้นะ ฉันให้เฮียไปเลยล้านนึง พรุ่งนี้ไปเอาที่บริษัท…และฉันจะไม่ตามทวง ไม่คิดดอก มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาให้ หรือจะเบี้ยวไปเลยก็ตามใจ…ในฐานะน้องชายฉันช่วยเฮียได้เท้านี้จริงๆ…จบนะ”
บารมีพูดต่อไม่ออก ได้แต่พยักหน้า
กัมปนาทหันไปหาความสำราญกับเพื่อนนักเที่ยวรอบๆ ตัว เขาลุกขึ้นเดินตรงไปยังเพื่อนที่อยู่โต๊ะไกลออกไป ระหว่างทางเดินนั้น เขาชนกับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง
“โทษที” กัมปนาทบอกอย่างมีมารยาท
“โทษครับ” ชายหนุ่มบอกตอบ
กัมปนาท มองชายหนุ่มคนนั้นด้วยแววตาแฝงเร้นชอบกล บารมีเงยหน้ามองเห็นแววตาน้องชายพอดี
กัมปนาทและชายหนุ่มแยกกันไปคนละมุม หนุ่มคนนั้นเดินมานั่งข้างๆ บารมี มองไปรอบๆ อย่างคนแปลกที่แปลกทาง บารมีกระเถิบเข้าหาชายคนนี้
“นัดใครไว้รึเปล่าน้อง เห็นชะเง้อมองหาอยู่”
“ผมนัดลูกค้าไว้ จะมาขายประกันน่ะครับ…คุณพี่สนใจบ้างมั้ย”
จังหวะนี้ ที่มุมหนึ่ง ไกลออกไป กัมปนาทแอบมองชายหนุ่มคนนี้อย่างพึงพอใจ?
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 3 (ต่อ)
รุ่งเช้า เสียงไวโอลินเล่นเพลง “สายชล” ดังขึ้น ก้อยเป็นผู้เล่นไวโอลินเพลงนั้น เธอนั่งอยู่ ณ มุมหนึ่งหลังบ้านหรั่ง
สักพัก เสียงเปิดประตูบ้านดังแทรกเข้ามา ก้อยชะงักไปนิดหนึ่ง…จังหวะของเพลงหน่วงช้าลงไป
ก้อยค่อยๆ กระเถิบตัวเข้าไปในบ้าน โดยที่ยังสีไวโอลินอยู่
เสียงเพลงช้าลงเรื่อยๆ ตามจังหวะการย่างก้าวอย่างระแวดระวังของก้อย
เท้าของชายลึกลับเดินอยู่ในบ้านหลังนี้ มือข้างซ้ายของก้อย กระชับไวโอลินแน่นขึ้น มือขวาก้อย ลากคันชักยาว
เสียงไวโอลินกลายเป็นโน้ตตัวเดียวยาวนาน เหลือเกิน…ก้อยพิงฝาบ้านด้านที่เธอคุ้นเคยไว้
เท้าแปลกปลอมก้าวเข้ามาใกล้ก้อย ชายลึกลับเดินเลยตัวก้อยมา
ก้อยเงื้อไวโอลินเสยเข้าปลายคางชายลึกลับคนนั้นจนเขาหงายหลังล้มลง
ก้อยตะโกนลั่น “ช่วยด้วย ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้านฉัน ช่วยด้วย”
พร้อมกันนั้นก้อยใช้เท้ากระทืบไปบริเวณพื้นที่คิดว่าชายลึกลับนอนล้มอยู่ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้างสลับกันไป แต่มันก็ทำให้ชายคนนั้นโงหัวไม่ขึ้น
“ช่วยด้วยจ้า ช่วยด้วย”
น้าเบิ้มถือมีดอีโต้วิ่งเข้ามาในบ้าน
“ไหน มันอยู่ไหน…แก แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านเขาทำไม…บอกมานะ”
ชายคนนั้นได้จังหวะ พลิกหน้ามา จึงเห็นว่า เขาคือ นายสยาม
“ผมมาสั่งน้ำย่านางครับ” สยามบอก
เบิ้มลงนั่ง ในมือถือยาหม่องตลับใหญ่
“อ้ะ ยาหม่องหน่อยมั้ย…หรือจะเอาน้ำใบบัวบก ที่บ้านมีพอดี…เอามั้ยเอา”
สยามและก้อย นั่งล้อมกันเป็นวงหลวมๆ บริเวณใต้คางสยามมีรอยช้ำเป็นแนวยาว
“ไม่เป็นไร อย่าลำบากกว่านี้เลย…นี่ถ้าผมรู้ว่าพวกคุณต้อนรับลูกค้าอย่างนี้นะ ผมรอไป
สั่งที่แบงค์ตอนเช้าวันจันทร์ดีกว่า”
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ปกติพวกเราเดินเข้าเดินออกก็จะส่งเสียงกัน นี่อยู่ๆ มีเสียงเปิดประตูแบบ
ไม่คุ้นหู ก้อยก็เลยต้องป้องกันตัวไว้ก่อน”
“คุณก็น่าตะโกนมาแต่ไกลว่าจะมาซื้อน้ำผัก น้ำอะไรก็ว่าไป…ขี้คร้านพวกเราจะกุลีกุจอ
ออกมาต้อนรับ” เบิ้มว่า
“ก้อยเป็นน้องสาวนายหรั่งเหรอ” สยามถาม
ก้อยพยักหน้า “แต่ไม่ใช่น้องแท้ๆ หรอกค่ะ…หรั่งเขาอุปการะก้อยไว้”
เบิ้มเล่าเสริม ละเอียดยิบ “ไอ้หรั่งมันเจอก้อยโดยบังเอิญ 6-7 ปีที่แล้วโน่น…กระเซอะกระเซิงหนีพ่อเลี้ยงมา ไอ้พ่อเลี้ยงนี่มันก็เลวเกินพ่อเลี้ยงซะจริงๆ เสือกคิดจะปล้ำลูกเลี้ยงตั้งแต่อายุ 11 เลวระยำ…ไอ้หรั่งมันสงสาร มันก็เลยช่วยไว้…พวกเราก็งี้แหละ ตัวเองยังเอาตัวจะไม่รอดเลย เสือกมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นอีกแน่ะ”
“น้าเบิ้มก็เล่าซะละเอียดเชียว…เขาไม่ได้ถามซักหน่อย”
“ก็ข้ามีน้ำใจนี่หว่า”
สยามฟังเพลินๆ ซาบซึ้งน้ำใจหรั่งและเพื่อนบ้านโดยไม่รู้ตัว
“หนูก้อยเล่นไวโอลินได้ด้วย”
“มันติดตัวก้อยมาตั้งแต่เล็กๆ ค่ะ” ก้อยบอก
“ไอ้สองคนนี่มันขยัน ไอ้หรั่งจะทำทุกอย่างที่ได้เงิน แต่ต้องสุจริตนะ…ส่วนยายก้อยเห็นตาบอดอย่างนี้ก็มุมานะ…ร้อยมาลัยขายกับเขาด้วย…คุณมาอุดหนุนน้ำผักของเรานี่ ถือว่าทำบุญนะ รู้รึเปล่า” เบิ้มบอกอย่างเป็นปลื้ม
“บุญไม่ได้ตกกับผมหรอก ต้องเจ้านายผม นี่คนนี้”
สยามส่งนามบัตรให้เบิ้ม
“บอกนายหรั่งว่า ให้ส่งน้ำย่านางทุกเช้า ตามที่อยู่นี้นะ”
นามบัตรนั้น นอกจากชื่อ ที่อยู่ และโลโก้บริษัท M.S.แล้ว ยังระบุชื่อว่า “แพรวา มหาโชคตั้งศิริ” อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ที่กลางโกดังเก็บอุปกรณ์สวนสนุก ขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องเล่นกองระเกะระกะอยู่ หรั่ง เท่ห์ โบ้ เช็ง ต่างกระจายกันสำรวจความเรียบร้อยตามจุดต่างๆ
เท่ห์ กำลังขันน็อตอยู่ ปากก็รำพึงรำพันบ่นบ้าตัดพ้อหรั่งออกมาดังๆ
“คนเรานะ รักกันจริงหรือไม่จริง ไม่ได้อยู่ที่ว่าคบกันนานแค่ไหนร้อก…มันอยู่ที่ว่า เวลาเดือดร้อน เวลาต้องการความช่วยเหลือ มันอยู่ช่วยกันรึเปล่า”
หรั่งเงยหน้ามองเท่ห์ เท่ห์โยนกุญแจล็อคให้เช็ง เช็งรับแล้วบ่นต่อ
“เสียเวลาคบกันมาแต่อ้อนแต่ออก…รู้งี้ห้าปีที่แล้ว กูไม่คบมันหรอก ไอ้เพื่อนพรรค์นี้”
หรั่งหันมองเช็ง
เช็งโยนกุญแจล็อคให้โบ้…โบ้รับแล้วร้องครวญเพลงของ ศุ บุญเลี้ยง
“กว่าจะรู้ใจกัน มันก็นานแสนนาน กว่าจะมาเป็นเพื่อนกันต้องใช้เวลา เนิ่นนาน”
เช็งฟังแล้วเซ็ง “มึงร้องเพลงโคตรเก่าเลย”
“เก่าพอๆ กับที่พวกเราคบกันมาเว้ย แต่สุดท้ายมันก็เห็นงานดีกว่าเพื่อน”
เท่ห์ตัดพ้อต่อว่า ทิ้งทวน
“มิตรแท้ แพ้งานเว้ย…!”
หรั่งฉุน ทิ้งอุปกรณ์ แล้วเดินหนีทันที
“มึงจะไปไหน ไอ้หรั่ง” โบ้งง
“กูรำคาญพวกมึง...งอนยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก” หรั่งบอก
“ก็กูอยากให้มึงไปกับกูนี่หว่า” โบ้ว่า
“นอกจากงอนแล้วยังพูดไม่รู้เรื่องอีก...กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ กูไม่ไป กูลางานไปกับมึงไม่ได้ ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้พวกมึงเลิกคบกูก็ตามใจ...กูไปหาเพื่อนใหม่คบก็ได้วะ”
น้าเบิ้มวิ่งเข้ามา
“ไอ้หรั่ง...ไอ้หรั่งโว้ย...ข่าวดีว่ะ ข่าวดี”
“ข่าวอะไร พ่อ” โบ้งง
“ฮ้า... ก้าวหน้าโว้ย ไอ้หรั่ง...แล้วน้ำเต้าหู้แม่ฉันล่ะ เขาสั่งด้วยรึเปล่า” เท่ห์ว่า
“มึงต้องรีบสั่งขวดเตี่ยกูเพิ่มขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย” เช็งบอก
“เขาสั่งกี่ขวดพ่อ” โบ้ถาม
“สี่ขวด...น้ำย่านางอย่างเดียว”
“ถุ๊ย...โทษนะน้าเบิ้ม นึกว่าเป็นร้อย” เช็งบอก
เบิ้มส่งนามบัตรให้หรั่ง
“นี่ไงนามบัตรเขา ชื่ออะไรน่ะ ข้าอ่านไม่ออก ตัวมันเล็กจัด”
เท่ห์ชิงรับมาดูก่อนแล้วยิ้มร่า
“แม่เจ้าโว้ย...ทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้โว้ย...มึงอยากรู้มั้ย คนสั่งน้ำเต้าหู้ชื่ออะไร”
ทุกคนรุมไปที่นามบัตร แย่งกันยกใหญ่
“เอานามบัตรของกูมา” หรั่งบอก
ทุกคนวิ่งแย่งกันสนุกมือ
บ่ายวันเดียวกัน ก้อยค่อยๆ สอดเข็มร้อยมาลัยอย่างประณีต ขณะที่หรั่งนอนดูนามบัตรแผ่นนั้น ยิ้มแก้มแทบแตก ไม่ยอมหุบ
“เขาชื่ออะไรเหรอหรั่ง” ก้อยถาม
“อืม...ไม่รู้สิ ในนี้มีแต่ที่อยู่ คงเป็นตึกสำนักงานทั่วไปมั้ง”
หรั่งเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับแพรวาให้ก้อยฟัง
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ไม่รู้...”
“ต้องผู้หญิงแน่ๆ...ผู้หญิงรักสวยรักงาม น่าจะชอบกินน้ำผักสมุนไพรมากกว่าผู้ชาย”
“งั้นมั้ง”
“หรั่งต้องตั้งใจนะ ปั่นน้ำสดๆ ส่งให้เขาดีๆ อย่าผิดเวลาล่ะ เขาจะได้ติดใจหรั่ง สั่งเพิ่มอีก”
“หรั่งจะพยายามสุดฝีมือ ให้เขาติดใจหรั่งให้ได้...ไม่นานหรอกก้อย”
พูดจบหรั่งเดินเข้าห้องนอนไป
หรั่งเดินถือนามบัตรเข้าห้องนอนมา เขาเอานามบัตรแพรวา แปะรวมกับการ์ดอื่นๆ บนผนังนั้น ในตำแหน่งที่เด่นที่สุด หรั่งยืนมองนิ่งอยู่ตรงนั้น รูปแพรวาที่ผนังนั้น...ดูเหมือนเธอจะยิ้มให้หรั่ง
ที่สนามไดร้ฟ์กอล์ฟ เย็นนั้น แพรวา ใช้ไดรเวอร์หวดลูกกอล์ฟอย่างแรงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว คาดกันว่าลูกกอล์ฟนั้นคงลอยไปไกลสุดขอบฟ้า
ตะวันฉายและเพื่อนคนอื่นๆ อยู่ไกลออกไป ตะวันฉายแหย่แพรวาหลังจากเธอจบวงสวิง
“ทำไมรุนแรงอย่างนั้นล่ะจ๊ะ น้องแพร...ใช้อารมณ์มากไป ไม่ดีนะ”
“จะได้หายแค้นไงล่ะ...มีอย่างที่ไหน ทุกคนรู้กันหมดเลยว่าพี่ตะวันฉายกลับมาแล้ว แต่น้องแพรกลับรู้เป็นคนสุดท้าย...เหมือนเป็นตัวตลก”
แพรวาหวดลูกกอล์ฟอีกลูก มันลอยไปไกลว่าลูกเก่า
“ตลกที่ไหน เซอร์ไพร้ส์ ต่างหาก” ตะวันฉายแก้ตัว
“เซอร์ไพร้ส์ แบบนี้ น้องแพรไม่ชอบ”
แพรวาเดินหนีตะวันฉายไปยังกลุ่มเพื่อนสาวๆ มีอรจิราอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“แสนงอนจริงนะจ๊ะ แพรวา”
“ยี่ห้อน้องแพร ของแท้ต้องแสนงอน” เพื่อน 1 ในนั้นแซว
“ระวังเถอะ งอนมากๆเข้า พี่ตะวันฉายเขาเบื่อ ไม่ง้อขึ้นมาจะว่าไง” อรจิราว่า
“เขาไม่ง้อฉัน...ฉันก็ง้อเขาเองน่ะสิ”
ตะวันฉายเดินถือเครื่องดื่มมาส่งให้แพรวา
“น้องแพรจ๋า...พี่ขอแก้ตัวแล้วกัน...อาทิตย์หน้าพี่จะต้องตามพ่อไปเปิดงานประจำจังหวัดที่เมืองกาญจน์”
“แล้วไง...พี่ตะวันจะให้น้องแพรไปดักส่งที่นครปฐมเหรอคะ” แพรวาประชด
“ใครว่า พี่จะขอให้น้องแพรไปด้วย เราจะได้ไปเที่ยว ขึ้นเขา เข้าป่า ล่องแพ เล่นน้ำตกกันให้มันไปเลย…ดีมั้ย”
แพรวาค่อยๆ เผยยิ้มออกมาในที่สุด
ที่บ้านเผ่าลาภคืนนั้น เผ่าลาภ อรทัย ลินจง กัมปนาท นั่งล้อมวงกว้างๆอยู่ อากัปกิริยาของแต่ละคนแตกต่างกันไป
เผ่าลาภดูนาฬิกาข้อมือ ลินจงมองไปรอบๆ แล้วหันมาหากัมปนาท
“เฮียเหลียงจะมาด้วยรึเปล่า”
กัมปนาทส่ายหน้า “เขาให้เราตัดสินใจแทนไปเลย”
“ทั้งปี...เคยมีความเห็นกับเขาที่ไหนล่ะ อาเหลียงเนี่ย”
บารมีเดินเข้ามา ส่งเสียงดังทันที
“นี่จะต้องเรียกประชุมกันทุกอาทิตย์เลยรึไง...วันหยุดก็ไม่มีเว้น”
“มาสายอย่าพูดมาก...นั่งลงแล้วฟัง...อั๊วก็ไม่ได้อยากจะประชุมอะไรกันบ่อยๆ หรอกนะ...แต่ที่เรียกลื้อมาเนี่ย มันก็เพราะเรื่องเงินห้าล้านของลื้อ”
บารมีจ้องมองพี่ๆ น้องๆ รอบตัวนิ่ง...เตรียมพร้อมตั้งรับกับสถานการณ์
“ไม่เห็นต้องตกใจอะไร...พี่น้องเรารู้กันทั่วหมด เพราะลื้อไล่ยืมเขาไปทีละคนๆ”
“แล้วไง...เฮียก็เลยนัดประชุมรวมกัน เพื่อจะรุมด่าฉัน งั้นเหรอ”
“อั๊วเรียกลื้อมา เพื่อให้มาได้ยินด้วยหูของลื้อเอง ว่า พี่ๆ น้องๆ เขารู้สึงยังไงกับลื้อจะได้ไม่ต้องไปคิดมาก น้อยอกน้อยใจว่าไม่มีใครรัก ไม่มีใครให้ยืมเงิน เดี๋ยวจะพาลทำร้ายตัวเองไปซะฉิบ”
“เฮอะ” บารมีเปล่งเสียงเป็นการประชด
เผ่าลาภชี้ไปที่อรทัย
“ว่าไป อาฮุ้ง”
“ง่ายๆ เลยนะอาหั่ง...พวกเราทุกคนหวังดีกับลื้อ อยากให้ลื้อเลิกซะ ไอ้ป๊มน้ำมัน ไอ้บริษัทขายรถอะไรพวกนั้นน่ะ...ขายทิ้งซะ แล้วมาทำงานที่เหมือง...จะดีที่สุด”
เผ่าลาภชี้ไปที่ลินจง
“อาจู”
“จริงๆ แล้ว ฉันรู้แต่เรื่องค้าข้าว...ธุรกิจอื่นฉันทำไม่เป็นหรอก...แต่ถ้าเฮียหั่งจะเอาเงินห้าล้านไปต่ออายุบริษัทขายรถและปั๊มน้ำมันที่มันเจ๊งเห็นๆ เจ๊งตั้งแต่เริ่มต้นเนี่ย...ฉันว่าไม่คุ้มหรอก...เป็นฉันนะ ล้านเดียวฉันก็ไม่ให้เฮีย...นี่พูดตรงๆ เลย”
เผ่าลาภชี้ไปที่กัมปนาท
“ตาลื้อ อาฮุย”
“ฉันให้ได้เฉพาะส่วนของฉัน เท่าที่ฉันมี...เฮียหั่งก็รู้แล้วนี่”
บารมีกัดกรามเครียด เหมือนคนจนตรอก
“ขอบใจ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน...อั๊วซึ้งใจมาก” บารมีพูดอย่างมีความหมายแฝง
“ในฐานะที่อั๊วเป็นตั่วเฮีย เป็นพี่ใหญ่ อั๊วไม่อยากให้ลื้อคิดว่าลื้อโดดเดี่ยวไร้พวกพ้อง...เพราะจริงๆ แล้ว พวกเราทุกคนห่วงลื้อมาก และพยายามหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้ลื้อ...”
เผ่าลาภส่งเช็คให้บารมี
“นี่คือเช็คเงินสด สองล้านห้า...เป็นเงินส่วนตัวของอั๊วเอง ไม่เกี่ยวกับกงสี...อั๊วให้ลื้อ ลื้อไปตัดสินใจเอาเองว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปกอบกู้ธุรกิจของลื้อยังไง”
บารมีมองเช็ค มองหน้าเผ่าลาภนิ่ง
“ตั่วเฮียเขายอมช่วยขนาดนี้แล้ว เฮียหั่งก็รับไปเถอะ อย่าเล่นตัวนักน่า” ลินจงบอก
บารมีค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบเช็คนั้น
“ถ้าเตี่ยยังมีชีวิตอยู่ เตี่ยก็จะต้องทำอย่างที่อั๊วทำนี่แหละ...จำไว้นะ พวกเราไม่มีวันทิ้งลื้อ...แต่ก็ไม่มีวันให้อะไรลื้อง่ายๆ จนลื้อทำอะไรเองไม่เป็น”
เผ่าลาภลุกเดินออกไป...ลินจง อรทัยขยับเขยื้อนแยกย้าย บารมี นั่งนิ่งสนิท กัมปนาทขยับเข้ามาใกล้ เขาก้มลงกระซิบข้างหูบารมี
“ใจเย็นๆเฮีย...รวมกับของฉันก็เป็นสามล้านห้าแล้ว ขาดอีกนิดหน่อยเอง”
“ขอบใจมากอาฮุย...เอ้อ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน่วยก้านดี เขาอยากมาทำงานกับลื้อแน่ะ”
กัมปนาทฉงน “ใครเหรอ”
บารมีส่งรูปถ่ายให้ดูหนึ่งใบ กัมปนาทรับไปดู
“เขาชื่อ ธนู”
รูปถ่ายใบนั้น มันเป็นรูปสุดหล่อของชายหนุ่มที่กัมปนาทเดินชนในไน้ท์คลับ กัมปนาท มองรูปถ่ายใบนี้อย่างหลงใหล
บารมีกระซิบบอกเบาๆ “ถ้าลื้อสนใจ ลื้อติดต่อผ่านอั๊วได้นะ อาฮุย”
รุ่งเช้า รายการโทรทัศน์ข่าวรับอรุณ นำเสนอสีสรรกรุงเทพฯยามเช้า
หรั่งขี่มอเตอร์ไซด์เข้าไปจอดตรงหน้าตึกบริษัท M.S. กรุ๊ป ก้าวลงจากรถ สะพายกล่องใส่น้ำผักเดินตรงเข้าไปในอาคาร ยามหน้าประตู เข้าขวางทางและสอบถามทันที
“คุณมาพบใครครับ”
“คุณแพรวา มหาโชคตั้งศิริ”
ครู่ต่อมาเลขาสาวปากจัดจ้าน ยืนประจันหน้าหรั่ง
“มาพบคุณแพรวา” พลางมองหัวจรดเท้า “นัดไว้รึเปล่า”
“นัดครับ”
“ชื่ออะไร...คุณน่ะ”
“หรั่ง”
“หรั่ง เฉยๆ เหรอ”
“ส่วนใหญ่ก็เฉยครับ...แต่ถ้าโดนดูถูกมากก็ไม่เฉยหรอกครับ มีตบมีตีเหมือนกัน”
“ฉันถามนามสกุล”
“หรั่ง นามสกุล นาคำ”
เลขาหัวเราะเยาะออกมานิดหนึ่ง พอนึกได้รีบหยุด
“เดี๋ยวก่อนนะ”
เลขาดูในรายการ สมุดนัด
“ไม่มีนี่คะ...คุณแพรวาไม่ได้นัดคุณไว้ค่ะ”
“อ๋อ...คุณสยามเป็นคนนัดให้ครับ...เขาให้ผมเอาน้ำย่านางมาส่งสี่ขวด...ผมฝากคุณไว้แล้วกัน ช่วยเรียนคุณแพรวาด้วยว่า ถ้ารู้สึกขม ให้แช่ตู้เย็น ให้เย็นจัดๆ จะดื่มง่ายขึ้นครับ...แล้วนี่สำหรับการสั่งครั้งแรก ผมแถมให้สองขวดครับ...หรือถ้าคุณสนใจน้ำสมุนไพรชนิดอื่น ก็สามารถสั่งเพิ่มได้ เอามั้ยครับ”
“ขอฉันคิดดูก่อนดีกว่า” เลขาบอก
หรั่งยิ้มแล้วเดินออกไปจากสถานที่นั้นโดยเร็ว ผู้คนรอบตัวมองตามอย่างทึ่งๆ
ไม่นานต่อมา ผู้จัดการก้าวเข้ามาที่โต๊ะทำงานตัวเล็กๆ ของหรั่งในออฟฟิศของแบงค์
“ว่าไง พนักงานธุรการคนใหม่...วันแรกก็มาสายเลยนะ”
ท่วงท่าของหรั่งบอกให้เรารู้ว่า เขาเพิ่งมาถึง
หรั่งดูนาฬิกา “สายไปห้านาที...ขอโทษครับ พอดีมีออร์เดอร์น้ำสมุนไพรเพิ่มครับ ผมเลยกะเวลาผิด”
“ไม่เป็นไร ตั้งใจทำงานก็แล้วกัน”
ทันทีที่ผู้จัดการเดินพ้นไป เสียงเอะอะคุ้นหูก็ดังขึ้น ต้นตอของเสียง เห็นเป็นเท่ห์ โบ้ เช็ง ยืนคุยกับพนักงานอยู่หน้าเค้าน์เตอร์
“คุณหรั่ง นาคำอยู่มั้ยครับ...พวกเรามาหาคุณหรั่งครับ”
พนักงานคนนั้นชี้มาที่หรั่ง...พวกมันปราดเข้ามาหาหรั่ง อย่างไม่มีการเกรงใจ
“โอ้โฮ มีโต๊ะทำงานด้วยเว้ย โก้ชะมัด” โบ้ว่า
“กูไปเรียนตอนนี้ทันมั้ยวะ อยากเป็นอย่างมึงบ้าง” เช็งบอก
“เฮ้ย พวกมึงก็เบาๆ กันหน่อยได้มั้ย นี่มันในธนาคารเว้ย ไม่ใช่ที่จอดรถ...”
“ในธนาคารพูดดังไม่ได้เหรอ...ไม่ได้มาปล้นแบงค์ซักหน่อย”
พนักงานทุกคนหันมามองเท่ห์ทันที หรั่งพยักหน้านอบน้อม เป็นเชิงขอโทษแทนเพื่อน
หรั่งพูดเบาลง “แล้วมีเรื่องอะไรนักหนา พวกมึงถึงต้องมาหากูที่นี่”
“ไอ้จุก กับไอ้ตุ๋ยน่ะสิ ที่จะเอาไปคุมเครื่องแทนมึงน่ะ เสือกขาหัก...มันเมาขับรถชนตอม่อ”
ไม่นานต่อมา สี่สหายอยู่ที่มุมหนึ่งด้านหลังธนาคาร
“เสียใจว่ะ กูช่วยอะไรมึงไม่ได้จริงๆ...วันนี้กูมาสายห้านาทียังโดนด่าเลย”
“เกินไปแล้ว โหดร้ายทารุณอย่างนี้ อย่าอยู่เลยมึง...อย่างนี้ต้องลาออก” เท่ห์โวย
“ส้นตีนแน่ะ” หรั่งด่า
“งั้นไปเมืองกาญจน์กับกู แล้วค่อยให้เขาไล่มึงออก” เช็งว่า
“พวกมึงต้องการให้กูไปเมืองกาญจน์กับมึง ให้ได้แค่นี้เท่านั้นใช่มั้ย”
“ใช่” โบ้บอก
“ไม่ มึงรู้มั้ย...กูใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่ากูจะมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ มึงจะให้กูทิ้งทุกอย่างเพื่อไปยืนคุมชิงช้าสวรรค์กับพวกมึงเนี่ยะนะ...ไม่มีทางหรอก”
หรั่งระบายอารมณ์ แล้วเดินห่างออกมา
“งานศาลากลางจังหวัดเชียวนะไอ้หรั่ง”
หรั่งไม่ตอบใดๆ เท่ห์ โบ้ เช็ง สุมหัวกันคิดหนัก
จังหวะนี้ โทรทัศน์ที่ติดตั้งอยู่ตรงนั้นนานแล้ว ภาพในจอเป็นรายการประเภท สู่รู้ สะเก็ดบันเทิง...พิธีกรสามคนนั่งจ้อกันอยู่อย่างออกรส
“ก่อนจากกันวันนี้ มีข่าวประชาสัมพันธ์นิดนึงค่ะ” พิธีกร 1 ว่า
พิธีกร 2 เสริม “เชิญเที่ยวงานศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี...ซึ่งถือเป็นงานประจำปีจัดกันมาต่อเนื่อง ในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้นะคะ...ในปีนี้ คุณสุริยะ พัวพงศืไพศาล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทย
ไท จะไปเป็นประธานเปิดงาน”
พิธีกร 3 เสริมอีก “กำลังฮ็อตเลย”
พิธีกร 1ถาม “ใคร”
พิธีกร 3 ตอบ “ก็ลูกชายเขาสิคะ...ต้องไปด้วยแน่ๆ”
พิธีกร 2 ถาม “แล้วไง”
พิธีกร 3 ตอบ “เซเล็บสาวที่กำลังมาแรงอย่างน้องแพรวา ก็ต้องไปด้วยน่ะสิ”
หรั่งหู่ผึ่ง หันมาจ้องที่หน้าจอทีวีอย่างสนใจ
พิธีกร 1 เม้าท์ต่อ “ว่ากันว่าหนุ่มสาวคู่นี้ เป็นคู่รักที่ฮ้อตฮิตที่สุด แฟนๆให้ความสนใจมากที่สุด”
พิธีกร 3 เสริมอีก “คุณสุริยะอาจจะเอาว่าที่ลูกสะใภ้ไปเปิดตัวงานนี้ด้วยก็ได้”
“เอาเป็นว่าใครอยากยลโฉมหนุ่มหล่อสาวสวย ไม่น่าพลาดงานนี้...แถมนิดหนึ่ง เรามีภาพ
หวานแหววของคู่ขวัญมาฝากกันท้ายรายการ...แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้เช้านะคะ” พิธีกร 1 ปิดท้าย
พิธีกรทั้ง 3 ประสานเสียง “สวัสดีค่ะ”
หรั่งใช้ความคิดหนัก
บนท้องถนนหลวง ยามบ่าย รถสิบล้อบรรทุกอุปกรณ์สวนสนุกเต็มคัน วิ่งผ่านไปด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. เสียง หรั่ง เท่ห์ โบ้ เช็ง ร้องเพลงดังลั่น
“...เพื่อนไม่เคย ไม่เคยทิ้งกัน ไม่ว่าความฝันนั้นจะไกลซักเท่าไหร่ ถ้าหกล้มซมซานเมื่อใด เพื่อนเราปลอบใจ ไม่มีคนที่จะรู้ใจ ไม่มีใครรักและตามใจเหมือนเพื่อนเก่า จะทำไงตามใจแต่เรา...เพื่อนเรารักจริง”
ทั้งสี่คนนั่งแหกปากร้องเพลงอยู่บนกระบะของรถสิบล้อ หรั่งตะโกนสวนขึ้นมาดังๆ
“บอกแล้วไง คนอย่างกูไม่ทิ้งเพื่อนหรอก...ยังไงๆ กูก็ต้องมา”
“มึงไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี...มึงมันเห็นผู้หญิงดีกว่าพวกกู” เช็งด่า
“อย่าไปว่ามันเลย มันมาก็ โอเคแล้ว...มันจะเพ้อเจ้ออะไรก็ช่างมันเหอะ” เท่ห์ว่า
รถสิบล้อคันวิ่งไปตามถนน
ค่ำนั้น มองจากมุมสูง เห็นบรรยากาศของงานงานประจำปีจังหวัดกาญจนบุรี ในส่วนสวนสนุก อันน่าตื่นตา ชิงช้าสวรรค์ค่อยๆหมุนช้าๆ เช่นเดียวกับม้าหมุน สี่เกลอกำลังวอร์มอัพเครื่องอยู่
ยินเสียงจากเวทีกลาง เต๊นท์อำนวยการดังเข้ามาตลอด
“ต้องขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่แห่แหนกันมาร่วมเปิดงานในวันนี้ทางจังหวัดรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ที่พี่น้องยังคงให้ความสนใจกับงานประจำปีของเรามาอย่างต่อเนื่องไม่ได้ขาดและในปีนี้ เราได้รวบรวมเอามหรศพ ผลิตภัณฑ์จากห้างร้านต่างๆตลอดจน เครื่องเล่น การเล่น และกิจกรรมกว่าร้อยรายการมารวมไว้ที่นี่เพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับทุกท่าน ให้ได้รับความสำเริงสำราญกันยิ่งขึ้นกว่าทุกปีตอนนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว...”
ชิงช้าสวรรค์หมุนช้าๆ กระเช้าสูงสุดเคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ ในกระเช้านั้นมีหรั่งนั่งอยู่ เขาใช้กล้องส่องทางไกล ส่องไปยังเวทีกลาง
เสียงจากเวทีดังต่อเนื่อง
“ขอเรียนเชิญคุณสุริยะ พัวพงศ์ไพศาล ให้เกียรติ ปล่อยป้ายผ้าเปิดงานด้วยครับ”
เสียงตบมือดังลั่น ตามมาด้วยเสียงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย เปิดงาน
หรั่งลดกล้องส่องทางไกลออกจากเบ้าตา ชิงช้าค่อยๆ หมุนเคลื่อนลงสู่เบื้องล่าง หรั่งลงมาสมทบกับเพื่อนๆ โบ้ถามทันที
“เจอมั้ย”
“ไม่เจอ”
“กูบอกแล้ว...มันจะบังเอิญเจอกันง่ายๆบ่อยๆได้ไง...ไม่ใช่ละครไทยฉายหกโมงครึ่งนะมึง” เช็งบ่น
“เพ้อเจ้อๆ...ทำงานเร็ว เขากำลังจะเปิดประตูกลาง...เดี๋ยวเด็กก็ตรึมแล้ว”
ขาดคำของเท่ห์ สี่สหายแยกย้ายกันประจำหน้าที่ของตน
ไม่นานนัก หลอดไฟนีออนทุกดวงส่องสว่างตามกันมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เผยให้เห็นชิงช้าสวรรค์สีสวยสดใสเต็มๆ ตา...เด็กๆ ร่วมร้อยคนวิ่งแห่กันเข้ามาในบริเวณนี้
อีกมุมหนึ่งในงาน แพรวากับตะวันฉาย เดินเคียงคู่กันมาท่ามกลางชาวบ้าน และแสงไฟนีออน
“พี่ไม่เคยเที่ยวงานแบบนี้มาก่อนเลย...ให้ตายเถอะ”
“น้องแพรก็เหมือนกัน...คุณป๋ามีเหมืองที่นี่แท้ๆ แต่น้องแพรมาจังหวัดนี้นับครั้งได้เลย”
“งั้นคืนนี้เราเที่ยวกันให้ทั่วเลยนะจ๊ะ...ไหนๆเราก็ได้อยู่กันตามลำพังแล้ว...ดีมั้ย พี่ว่าที่นี่มันก็มีมุมโรแมนติกเยอะเหมือนกันนะ...”
ตะวันฉายขยับเข้าใกล้แพรวา ทำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน
“น้องแพรอยากไปมุมไหนก่อนจ๊ะ...พี่ให้เลือก”
“โน่นค่ะ...ชิงช้าสวรรค์...น้องแพรอยากนั่งชิงช้าสวรรค์”
ตะวันฉายออกอาการเซ็งเล็กน้อย
ที่บริเวณชิงช้าสวรรค์ขณะนั้น เด็กๆ ที่ยืนรอคิวขึ้นชิงช้าสวรรค์อยู่ หรั่งทำหน้าที่จัดคิว เช็งทำหน้าที่คุมเครื่อง โบ้ดูแลม้าหมุนอยู่ถัดไป ส่วนเท่ห์ประจำไมโครโฟนอยู่ที่ซุ้มขายตั๋ว
“เชิญครับเชิญ สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา คนหลังก้าวให้ระวังเท้าคนหน้า ถ้าก้าวไม่ดูตาเรือตาม้า เท้าคนข้างหน้าอาจพาดเข้าที่คอคนข้างหลัง...ซุ้มนี้มีของดีของเด่นของดัง ใครมาเป็นต้องนั่ง เก็บไปเล่าสู่กันฟังได้ทั้งปี...เอ้าเร้ว...ชิงช้าสวรรค์อยู่ทางนี้...ขึ้นได้ขึ้นดีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าให้มันสะใจต้องขึ้นทั้งครอบครัว...เฮ้ย ไม่ต้องแย่งกัน มีเงินซะอย่างได้นั่งแน่ เผื่อแผ่คนอื่นๆ ด้วยไอ้หนู...”
สายตาเท่ห์พลันชะงักกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
“เอาแล้วโว้ย...พ่อแม่พี่น้อง มันละครับคราวนี้”
เท่ห์วางไมโครโฟน แล้ววิ่งไปหาหรั่ง
“ไอ้หรั่งเอ๊ย...ฝันเป็นจริงแล้วมึง”
“อะไรวะ”
“ไอ้ที่มึงเพ้อเจ้อน่ะ มาจริงๆ แล้วโว้ย นั่น”
หรั่งหันไปมองตามที่เท่ห์ชี้ เห็นแพรวาควงแขนตะวันฉายเข้ามาต่อคิวซื้อคูปองเล่นชิงช้าสวรรค์
“นางฟ้าของมึงมานั่นแล้ว”
หัวใจหรั่งเต้นโครมคราม
“เขามากับแฟนเขาว่ะ”
“แล้วไง...เหอะน่า ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนกู...กูจะให้ในสิ่งที่มึงอยากได้เอง”
เท่ห์ดันหรั่งให้หลบไปด้านหลัง ใช้สัญญาณเป่าปาก ส่งไปยังเพื่อนอีกสองคน เช็งหันมามองสัญญาณ เขม้นตามองดูเท่ห์อย่างเข้าใจ
โบ้หันมามองสัญญาณ เขม้นตาดูเท่ห์พยายามเข้าใจ เท่ห์เดินตรงไปที่ตะวันฉายและแพรวา ตรงซุ้มขายคูปอง
“พี่ครับ...พี่ลองขึ้นชิงช้าสวรรค์หน่อยมั้ยครับ”
“ขึ้น” แพรวาบอก
“งั้นเชิญทางนี้เลยครับพี่...ผมเห็นพี่สวย ผมลัดคิวให้เลย”
เท่ห์เดินนำไปยังทางขึ้นชิงช้า แพรวาเดินตามไป ดูเธอจะชอบใจที่ได้แซงเด็ก เท่ห์หันไปส่งสัญญาณให้เช็ง เช็งบังคับเครื่องให้หยุดหมุน
“เอ้า จอด...จอด...หมดรอบแล้วลงได้...ที่จะขึ้นใหม่ เตรียมตัว”
เท่ห์เปิดประตูกระเช้า เด็กในนั้นก้าวออกมา เด็กคนใหม่วิ่งเข้าไปยังกระเช้า เท่ห์หันไปหาแพรวา
“เชิญพี่คนสวยครับ”
แพรวาก้าวเข้าไปนั่งในกระเช้านั้น เท่ห์รีบล็อคประตูเฉยเลย
ตะวันฉายทัก “เฮ้ยเดี๋ยวสิ...ฉันยังไม่ได้ขึ้นเลย”
“เสียใจครับ นั่งได้กระเช้าละสองคน...นี่สองแล้ว พี่ตัวใหญ่ เดี๋ยวต้องไปอีกกระเช้านึง”
ตะวันฉายโวย “ได้ไงล่ะ เรามาด้วยกันนะ”
“หรือพี่จะเสี่ยง ขึ้นไปด้วยกันแล้วมีโอกาสตกลงมา”
“ไม่เป็นไรพี่ตะวัน ขึ้นคนละคันแล้วลงมาเจอข้างล่างก็ได้”
เท่ห์ให้สัญญาณเช็ง...ชิงช้าหมุนต่อไป...มันหมุนไปครึ่งวงก็หยุดอีก เท่ห์เปิดประตูกระเช้า
“เชิญครับ”
“ฉันไม่อยากนั่งแล้ว” ตะวันฉายบอก
“น่า มาแล้วต้องนั่งหน่อย”
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 3 (ต่อ)
เท่ห์ดันตัวตะวันฉายเข้าไปในกระเช้า แล้วปิดล็อคกระเช้า เท่ห์หันไปสั่งเช็งให้เอากระเช้าขึ้น
ชิงช้าทั้งวงหมุนเป็นปกติ เท่ห์เป่าปากเรียกหรั่งออกมา
“ราชรถมารับมึงขึ้นสวรรค์แล้วโว้ย” เท่ห์บอก
กระเช้าที่แพรวานั่ง เคลื่อนมาหยุดตรงหน้าเขาพอดี เท่ห์รีบเปิดประตูออก เขาลากเด็กคนนั้นออกมา
“หมดรอบแล้วไอ้ตัวเล็ก...ไปกลับบ้านได้...เชิญคุณหรั่งครับ”
หรั่งก้าวขึ้นไปนั่งในชิงช้า เท่ห์ปิดล็อคทันที หรั่งยิ้มให้แพรวา แพรวายิ้มงงๆกับหรั่ง กระเช้าเคลื่อนขึ้นไป เท่ห์ยืนส่งหนุ่มสาวขึ้นสวรรค์
กระเช้าตะวันฉายเลื่อนลงมาจอดตรงหน้าเท่ห์ เท่ห์เปิดล็อคกระเช้าออก
“หมดรอบแล้วครับคุณ”
“อะไร...รอบเดียวเอง...แล้วแฟนฉันล่ะ”
“ไม่ทราบครับ” เท่ห์บอกหน้าตาย
ตะวันฉายกวาดสายตามองหาแพรวา เท่ห์ส่งสัญญาณให้โบ้
โบ้ เข้าประจำที่หลังไมโครโฟนที่ซุ้มขายตั๋ว
“ช่วงเวลานาทีทองมาถึงแล้ว..ชิงช้าที่กำลังหมุนอยู่นี้เป็นรอบพิเศษรอบโรแมนติกสปีด คือหมุนกินลมไปเรื่อยๆ เหมาะสำหรับคู่รักวัยหวาน...ดังนั้นผู้ที่รอต่อคิวขึ้นชิงช้าสวรรค์ ขอเชิญไปเล่นม้าหมุน หรืออุปกรณ์อื่นก่อน...อีกยี่สิบนาทีค่อยมาเข้าคิวใหม่นะครับ”
เท่ห์บอกกับตะวันฉาย “ถ้าพี่ไม่มีอะไรทำ เชิญทางนี้ก่อนได้นะครับ...เปเปอร์มาเช่...สนมั้ยพี่
โบ้เป่าทรัมเป็ตเสียงเซ็กซี่ เช็งเข้าไปคว้าไมโครโฟนพูดบ้าง
“และแล้ว เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง...นี่คือช่วงเวลา โมเมนท์ ออฟ เลิฟ...เราจะหยุดชิงช้าให้นิ่ง เพื่อให้ผู้โดยสารได้ดื่มด่ำกับสภาพบรรยากาศรอบๆ ศาลากลางแห่งนี้ และจะได้จดจำวันเวลาแห่งความสุขนี้ไปอย่างไม่รู้ลืม”
กระเช้าชิงช้าที่แพรวาและหรั่งนั่งนั้น เคลื่อนมาหยุดที่จุดสูงสุด หรั่งและแพรวานั่งตรงข้ามกัน ต่างคนต่างยังยิ้มให้กันอยู่ แพรวาเอ่ยปากออกมาก่อน
“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วนะ ที่ฉันได้เจอกับนาย”
“เหรอครับ” หรั่งทำเป็นนึก นับ “หนึ่ง...สอง...สาม ใช่”
“แต่ละครั้งที่เจอ...นายไม่เหมือนกันซักครั้ง”
“เหมือนสิครับ...ผมเป็นไงก็เป็นงั้น ไม่เคยเปลี่ยน”
“ไม่จริง...ครั้งแรกนายเป็นสิงห์มอเตอร์ไซค์ ต่อมาก็เป็นเสือ...แล้วคราวนี้ก็เป็น...อะไรล่ะเนี่ย”
“คนคุมชิงช้าสวรรค์”
กระเช้าเคลื่อนตัว เลื่อนมาหยุดที่ตำแหน่งใหม่
“เห็นมั้ยล่ะ...ไม่เหมือนกันเลย”
“นั่นมันอาชีพครับที่ไม่เหมือน...แต่นิสัยและจิตใจผม ไม่เคยเปลี่ยน”
“แสดงว่า นายทำได้หลายอย่าง”
“ครับ...เป็นเงิน ผมเอาหมด”
“เก่งจัง”
“จนนี่ครับ...คนจนก็ต้องหัดทำอะไรให้เป็นไว้เยอะๆ...ทำได้อย่างเดียวต้องเกิดมารวยครับ”
“เหรอ...เล่าให้ฟังหน่อยสิ ว่านายเคยทำอะไรมาบ้าง”
“โอ๊ย ถ้าจะให้หมดต้องเล่าเป็นวันเลย...อย่างเช่นเครื่องเล่นทุกชิ้นที่คุณเห็นในงานนี้ ผมทำมากับมือหมดแล้ว”
“ทำ” แพรวางง
“ทั้งสร้างอุปกรณ์เอง...ทั้งคุมเต๊นท์ คุมซุ้ม”
“เหรอ”
“ที่สนุกสุดก็เป็น พวกบ้านผี คนรู หมูสองหัว ตัวประหลาดอะไรพวกนี้แหละ”
“อะไรนะ เอาใหม่ซิ”
กระเช้าเคลื่อนตัวไปสู่ตำแหน่งใหม่
“คุณไม่เคยดูเลยเหรอ” หรั่งถาม
“ไม่เคยได้ยินเลยด้วย...มันเป็นยังไงเหรอ”
“มันเป็นภาพลวงตาครับ ใช้เทคนิคของแสงเงา หลอกให้คนดูเห็นเป็นภาพที่ประหลาดผิดปกติ...ถ้าคุณมีเวลา เดี๋ยวผมจะพาคุณดูก็ได้”
“อาชีพนาย น่าสนุกจัง”
“ทำจริงๆ ไม่สนุกหรอกครับ...แข่งกันจะตาย กว่าจะได้มาออกงานอย่างนี้ เชื่อมั้ยครับต้องจองคิวกันเป็นปี...คนแปลกถิ่นอยู่ๆจะเอาชิงช้ามาตั้งไม่ได้หรอก...เขามีมาเฟียคุมอยู่...ยุ่งไม่แพ้ ธุรกิจเหมืองที่คุณพ่อคุณทำนั่นแหละครับ”
“รู้ด้วย ว่าคุณป๋าฉันทำเหมือง”
“ผมท่องเรื่องราวของคุณได้ไม่น้อยเลยครับ”
แพรวาแปลกใจ
“ก็คุณเป็นคนดังนี่ครับ คุณแพรวา”
กระเช้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง คราวนี้มันเคลื่อนตัวมายังจุดที่ต่ำที่สุด
“เอ้อ คุณแพรวาครับ...ขอบคุณสำหรับพวงกุญแจนะครับ...ผมชอบมากเลย”
เท่ห์เข้ามาเปิดล็อคกระเช้า แพรวาและหรั่งก้าวออกมา
“เป็นไงครับ…พนักงานเราให้บริการได้ถูกใจมั้ยครับ” เท่ห์ถาม
แพรวามองไปรอบๆหาตะวันฉาย เท่ห์เสนอหน้าเข้ามาตอบ
“ถ้าคุณจะมองหาผู้ชายที่คุณพามาด้วย ผมบอกได้แต่เพียงว่า เขาไปสบายแล้วครับ...อย่า
ห่วง”
แพรวาฉงน “แปลว่าอะไร”
“แปลว่าคุณยังมีเวลาเที่ยว เล่น เครื่องเล่นของเราได้อีกนานครับ…จะต่อชิงช้าสวรรค์อีกรอบก็ยินดี”
“งั้น นายพาฉันไปดูบ้านผีหน่อยได้มั้ย” แพรว่าเสนอ
“ด้วยความเต็มใจครับ”
หรั่งยิ้มเดินนำหน้าแพรวาออกไป
ส่วนที่บริเวณซุ้มศิลปะสำหรับเด็ก เห็นบรรดา เด็กๆ นั่งเรียงแถวระบายสี-แปะกระดาษกันอยู่ ตุ๊กตาที่พวกเขาปั้นและตกแต่ง มีทั้งหมีน้อย กระต่ายน้อย เงือกน้อย และอื่นๆ ตะวันฉายเป็นผู้ใหญ่คนเดียวในหมู่เด็ก
โบ้และเช็งยกหุ่นปูนปั้นตัวใหญ่โตวางลงตรงหน้าตะวันฉาย พร้อมสีโปสเตอร์ และกระดาษสีมากมาย
“นี่ของพี่ครับ พี่จะระบายสี หรือพี่อยากจะเปเปอร์มาเช่ เลือกเอา แต่ต้องเร็วๆเข้า ถ้าทำสวย ทำดี มีรางวัลให้”
ตะวันฉายมองดูด้วยสีหน้าเหยียดๆ รอบๆ ตัวมีของรางวัลสำหรับเด็กห้อยระย้าอยู่รุงรัง
“เร็วเข้าสิพี่ ช้าเดี๋ยวเด็กพวกนี้ฟันรางวัลไปหมดนะคร้าบ” โบ้เร่ง
“น้องชาย...พี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อหวังจะฟันรางวัล ตุ๊กตาหมี หรือห่วงยางเป็ดพวกนั้นนะ”
“งั้นพี่มาที่นี่พี่หวังจะฟันใครเหรอครับ...คนที่มาด้วยใช่มั้ยล่ะ” เช็งว่า
“หยาบคายมากไปแล้วน้อง”
ตะวันฉายลุกขึ้นยืน
“ไปไหนล่ะพี่ ยังไม่ได้ระบายสีกันเลย” โบ้เรียกไว้
“ฉันจะไปรับแฟนฉัน ที่นั่งชิงช้าสวรรค์อยู่โน่น”
“อ๋อ เสียใจ สายไป ไม่ทันแล้ว” เช็งบอก
“ชิงช้าสวรรค์ปิดบริการแล้วครับ โน่น”
โบ้กะเช็งชี้ให้ดู ตะวันฉายหันไปดูตามที่มือชี้ พบว่าที่ชิงช้าสวรรค์...ไฟทุกดวงดับลง...ตัวชิงช้าหยุดหมุนโดยสิ้นเชิง
ด้านหรั่งและแพรวา พากันวิ่งเที่ยวเล่นตามซุ้มต่างๆ มากมายหลายซุ้ม อย่างร่าเริง สนุกสนาน และสนิทสนม
แลเห็นประกายแห่งความสดใส เจิดจ้า โดยประหลาด เกิดขึ้นระหว่าง เขาและเธอ
หรั่งและแพรวา ในท่าทีเริงร่า สนุกสนาน และสนิทสนม ทั้งสองโลดแล่นอยู่ตามซุ้มการละเล่นต่างๆ ขณะเสียงความคิดของหรั่งดังขึ้นสอดรับกับภาพเหล่านั้น
“ความหวัง และ การรอคอย เป็นของคู่กันเสมอ หลายคนไม่ทันรู้ตัว ว่ามันเริ่มต้นเมื่อไหร่ เช่นเดียวกับที่หลายคนไม่อาจรู้ได้ว่า จุดสิ้นสุดนั้นอยู่ที่ไหน บางคนพูดว่า ช้าหรือเร็ว อยู่ที่โชคชะตา แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับวาสนา นั่นคือ เวรกรรม มันไม่เคยแยกออกจากกันได้เลย ผมรู้ดี...”
ส่วน กฤษฎาและลูกน้องจากในเหมือง นั่งล้อมวงกันอยู่หน้าร้านขายสลิ่ม ทุกคนหัวเราะร่วน สักครู่หนึ่งตะวันฉายเดินกระดกเบียร์กระป๋องเข้ามายังโต๊ะที่กฤษฎานั่งอยู่
“ไอ้ต้น...แถวนี้ถิ่นพ่อมึงรึเปล่าวะ”
“เออ”
“กูอยากมีเรื่องกับจิ๊กโก๋แถวนี้ว่ะ...อนุญาตมั้ย”
“เฮ่ย...แต่กูกำลังอยากจะลองเกี่ยวดองกับน้องที่นี่อยู่นา...แม่ค้าจ๋า บัวลอยอีกที่นึง เอาเฉพาะบัวลอยนะ ไข่หวานพี่มีแล้ว”
ตะวันฉายฉุน “มึงตาต่ำอย่างนี้เลยเหรอวะ”
“น่า...หนุกดี แก้เบื่อ ดีกว่าอยู่เฉยๆ”
“มึงหาคนมาช่วยกูแก้เบื่อกับไอ้เสี่ยวพวกนั้นดีกว่า”
“พวกไหนวะ”
“มันคุมชิงช้าสวรรค์อยู่ทางโน้น แม่งกวนตีนกู...เสือกแยกกูกับน้องแพร”
“ต้องเช็คดูก่อนว่าพวกมันเป็นคนที่ไหนแน่ ถ้าเป็นคนท้องถิ่น ไม่คุ้มว่ะ เสียคะแนนพ่อกูหมด...ใจเย็น นั่งกับกูตรงนี้ก่อนดีกว่า...แม่ค้าจ๋า สลิ่มอีกถ้วย เน้นนมสดนะจ๊ะ ขอนมสดๆ จัดมาทางนี้ เพื่อนพี่ชอบ”
ตะวันฉายยังดูเซ็งๆ
ด้านหรั่งวิ่งนำหน้าแพรวาออกมาจากซุ้มการเล่น ซุ้มสุดท้าย พอดีกับที่เผ่าลาภเดินเข้ามาพร้อมผู้ติดตามสองสามคน
“น้องแพร...วิ่งเป็นเด็กไปได้ เรานี่”
“คุณป๋าเคยดูควายสองหัว กับวัวแปดขามั้ยคะ...มา น้องแพรพาไปดูเอง” แพรวาติดลม
เผ่าลาภเย้า “เชื่อของพวกนี้ด้วยเหรอ”
“เชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองดูก่อนได้นี่คะ”
“ไม่เอาละ ป๋าไม่มีเวลา...แล้วตะวันฉายล่ะลูก”
“เออ...ลืมไปเลย”
เผ่าลาภทึ่ง “ไม่น่าเชื่อ…นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋าเห็นหนูลืม พี่ตะวันฉาย...แล้วนี่ใครล่ะ”
“หรั่งครับ” หรั่งไหว้นอบน้อม
“ไปเถอะคุณป๋า ไปหาพี่ตะวันฉายกัน”
แพรวาดึงเผ่าลาภเดินออก...ก่อนจะหันมาตะโกนไกลๆ ตามมารยาท
“แล้วเจอกันนะ ขอบใจ”
หรั่งมองตามตาเป็นประกายเจิดจ้าอย่างเป็นสุข...เหมือนฝันแท้ๆ
ที่บริเวณเครื่องเล่นชิงช้าสวรรค์ เท่ห์ยื่นสมุดโน้ตของแพรวาออกมา เช็งและโบ้ยืนประจันหน้าเท่ห์ ด้านหลังเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ยังไม่ได้เปิดไฟ
“อะไรของมึงวะ” โบ้งง
“ไม่ใช่ของกู...ยายหนูของไอ้หรั่ง ลืมทิ้งไว้” เท่ห์บอก
“นั่นแน่...อ่อยไอ้หรั่งเข้าให้แล้ว ยายนี่” เช็งขำ
“ไอ้หรั่งมาพอดี...ให้มันเอาไปคืนเขาเลยแล้วกัน” โบ้ว่า
“ช้าก่อนเพื่อน เราเล่นแฟนเขาขนาดนั้น...กูว่าให้ไอ้หรั่งไปคืนพรุ่งนี้ก็แล้วกัน...ไม่งั้นอาจโดนสหบาทา...”
ทุกคนเห็นด้วย
“เปิดชิงช้าต่อเถอะว่ะ ขายตั๋วยังไม่พอค่าน้ำมันรถเลยมึง”
เท่ห์เดินไปยังซุ้มขายตั๋ว ส่วนโบ้เดินถือสมุดโน้ตไปอธิบายให้หรั่งฟัง บริเวณหน้าชิงช้าสวรรค์
เมื่อเท่ห์เดินมาถึงไมโครโฟน เขากดสวิตช์ไฟฟ้า เสียงเครื่องปั่นไฟดังกระหึ่ม พร้อมกับที่ ชิงช้าด้านหลังนั้นสว่างพรึ่บขึ้นพร้อมกันด้วยแสงไฟ
“เอ้า เร่เข้ามาเร่เข้ามา...ชิงช้าสวรรค์เปิดแล้ว จากนี้ไปจะเปิดกันทั้งคืนทั้งวัน ไม่หายมันไม่มีเลิก...สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา ซื้อตั๋วทางนี้ เด็กนั่งฟรี ผู้ใหญ่จ่ายตังค์ชิงช้าสวรรค์เจ้าเก่าเจ้าดัง เปิดให้นั่งที่นี่ที่เดียว”
ฝูงเด็กมากมายที่อั้นเอาไว้ ทะลักเข้าสู้เครื่องเล่นราวกับตายอดตายอยาก
เช้าตรูวันต่อมา หรั่งพาตัวเองมาอยู่ที่อาคารสำนักงานเหมือง M.S. หรั่งเดินหายเข้าไปในอาคารสำนักงานนั้น
หรั่งเดินเข้าไปหาพนักงานที่อยู่ใกล้ตัว
“คุณแพรวาอยู่มั้ยครับ”
“มีธุระอะไร” พนักงานถาม
“คุณแพรวาลืมสมุดโน้ตไว้เมื่อคืน ตอนขึ้นชิงช้าสวรรค์...ผมก็เลย เอามาคืนให้”
“อ๋อ...นายนี่เอง...คุณแพรวาไม่อยู่ ออกไปสำรวจเหมืองกับคุณเผ่าลาภ...จะฝากหรือจะรอคะ”
หรั่งคิดนิดหนึ่ง “ฝากคืนเธอด้วยแล้วกันครับ...บอกว่า ผม...หรั่ง เป็นคนเอามาให้”
พนักงานพยักหน้ารับคำ หรั่งเดินออกไป พนักงานมองตามอย่างมีเลศนัย
หรั่งเดินไปบนทางเดิน ห่างออกมาจากสำนักงานเหมือง กฤษฎาเข้ามาขวางหน้าอย่างท้าทาย
“นายใช่มั้ยที่ชื่อ หรั่ง...”
หรั่งมองหน้ากฤษฎา สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอ ของความไม่ชอบมาพากล ขั้นรุนแรง
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนายซ่าส์มาก...รู้ป่าวว่านายนั่งชิงช้าสวรรค์กับใคร”
“คุณแพรวา”
“แล้วรู้มั้ยว่า คุณแพรวาเป็นใคร”
“ก็เป็นคุณแพรวาน่ะสิ”
“แล้วรู้มั้ยว่า เขามีแฟนแล้ว”
“ผมคงไม่รู้ทุกอย่างในโลกนี้หรอกครับ”
ขาดคำกฤษฎาปล่อยหมัดตรงกระแทกหน้าหรั่งหนึ่งที อย่างรวดเร็ว แล้วกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา
“มึงกวนตีนกูเหรอ...มึงรู้มั้ยการที่มึงยุ่งอะไรไม่เข้าเรื่องน่ะ มึงอาจเจอตีนได้...และไม่ใช่ตีนเดียวนะ...จะกี่ตีน มึงนับดูเอง”
จิ๊กโก๋หกคนโผล่พรวดออกมาจากสองข้างทางเดิน พวกมันถลกแขนเสื้อท่าทางดุดัน ล้อมรอบหรั่งเอาไว้ หรั่งเฉยๆ ประเมินสถานการณ์ แล้วเอ่ยออกมาว่า
“แต่ถ้าพี่ซ่าส์ไม่เลือกถิ่น พี่ก็มีโอกาสเจอตีนได้เหมือนกัน”
จู่ๆ มีเสียงรถดังลั่น ทุกคนหันไปมองยังที่มาของเสียง
เห็นรถปิ๊คอัพ เปิดท้ายวิ่งตะบึงมายังที่เกิดเหตุ ที่กระบะท้ายมีชายตัวดำทะมึนหน้าตาเป็นคนท้องถิ่น รอยสักเต็มอก พวกมันถือไม้คมแฝกติดมือมาคนละอันสองอัน...เท่ห์ โบ้ เช็ง อยู่ในกลุ่มนั้น
เท่ห์ตะโกน “ไอ้หรั่งโว้ย...พวกกูมาแล้ว”
หรั่งพูดแดกดันด้วยน้ำเสียงสุภาพกับกฤษฎา
“พี่ช่วยนับทีซิครับ ว่ากี่ตีน”
ตกตอนบ่ายที่บ้านอรทัย กฤษฎาพาหน้าตาบวมช้ำ ปากแตก เต็มไปด้วยร่องรอย ที่ได้รับการทำแผลไว้แล้ว มาอวด ทนงศักดิ์ อรทัย และตองน้องสาว ที่ต่างนั่งเวทนากันอยู่รอบๆ
“คราวหน้าไม่ต้องปงต้องไปที่เหมืองอีกแล้วนะตาต้น...แม่ไม่ให้ไป”
“อากู๋ เขาให้ไปทำงานไม่ใช่เหรอ...ไม่ได้ใช้ให้ไปมีเรื่องชกต่อยกับใครแบบนี้นี่นา” ทนงศักดิ์บ่น
“ก็พวกมันดันมาแขวะ เกาะแกะกับแพรวา...ผมก็ต้องปกป้องน้องสาวผมสิครับ”
ตองไม่เชื่อ “โอ้โฮ...ลื้อเป็นคนดีอย่างนี้เชียวเหรอ...ที่กับตองน้องแท้ๆคนนี้ ไม่เห็นเคยมาปกมาป้องบ้างเลย”
กฤษฎาด่า “ทะลึ่ง”
“แต่เท่าที่ได้ยินมานะแม่ นายนั่นเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...ยังเคยพาพี่แพรวาไปส่งพี่ตะวันฉายได้ทันเลย”
“แล้วเราก็ต้องยกแพรวาให้มันไปเลยงั้นเหรอยายตอง”
“ทะเลาะกันอีกแล้วพี่น้องคู่นี้”
“พ่อ ต้นขอซื้อปืนได้มั้ย...จะเอาไปเป่าไอ้กุ๊ยพวกนั้น”
“เดี๋ยวก็โดนเขาถีบมาอีกหรอก” ตองเยาะ
กฤษฎาหันหน้าไปประจันกับตอง เตรียมจะอาละวาดทั้งคู่
อรทัยตวาด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุดทั้งคู่เลย นายต้น ยายตอง...บ้านเราไม่ใช่จิ๊กโก๋นะ จะไปเที่ยวท้าตีท้าต่อยกับคนคนอื่นน่ะ”
กฤษฎาจ๋อยสนิท
ยามเย็นกลางบรรยากาศอันสวยงามที่สันเขื่อนศรีนครินทร์ แพรวา และตะวันฉายยืนเคียงคู่กันในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ เยี่ยงคู่พระคู่นาง รถของเผ่าลาภและรถของตะวันฉาย จอดอยู่มุมหนึ่ง
“สวยจัง” แพรวายิ้มพราย
“เสียดาย...เราน่าจะได้ค้างคืนบนนี้นะ”
“หือ ?...คิดอะไรอยู่ บอกน้องแพรมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เผื่อว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ตอนเที่ยงคืนพี่จะได้เต้นรำกับน้องแพร ให้สมใจซะทีไงล่ะ”
แพรวายิ้ม “งั้นน้องแพรจะไปขอคุณป๋าเดี๋ยวนี้หละ...พี่ตะวันรอเดี๋ยวนะ”
แพรวาขยับตัวเพื่อวิ่งไปยังรถของเธอ
ตะวันฉายร้องทักไว้
“เดี๋ยวก่อนน้องแพร...พี่ว่าอย่าเลยจ้ะ...คุณพ่อน้องแพรอาจจะมองพี่ในทางที่ไม่ดี”
“ไม่เห็นมีตรงไหนของพี่ตะวันที่ไม่ดีเลย...นอกจาก...”
“นอกจากอะไร...”
แพรวานิ่งคิดนิดหนึ่ง “ช่างเถอะค่ะ”
“นอกจาก ไม่ค่อยมีเวลาให้น้องแพร...นอกจาก ปุบปับจะไปเมืองนอกก็ไม่บอกก่อน...นอกจาก ไม่ยอมให้น้องแพรไปส่งที่สนามบิน...นอกจาก ต้องเชื่อฟังคุณพ่อพี่ตลอดเวลา...และอีกหลายๆ นอกจาก” ตะวันฉายว่า
“พี่ตะวันพูดเหมือน คนเริ่มต้นจะบอกเลิกกัน”
“ไม่มีทาง”
แพรวายิ้ม พอใจ “จำคำนี้ ไว้ด้วยนะคะ”
“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับน้องแพร พี่ไม่เคยลืม...แต่ที่พี่ต้องหยุงเหยิงจนไม่ค่อยมีเวลาให้น้องแพร ก็เพราะพี่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า พี่พร้อมแล้วที่จะเดินนำหน้าน้องแพรตลอดไป”
มองจากในรถเผ่าลาภ ไปยัง กลางสันเขื่อน เห็น แพรวา โผเข้ากอด ตะวันฉายอย่างแนบแน่น และค่อยๆ แยกจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์
ตะวันฉายเดินไปยังรถของตัวเอง แพรวา ก้าวยาวๆ มายังรถของเผ่าลาภ
เผ่าลาภนั่งตรวจสอบข้อมูลของตนบนไอแพด แพรวาก้าวเข้ามานั่งในรถข้างๆ พ่อ...เผ่าลาภไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด
“กลับกันได้แล้วค่ะ”
“สยาม” เผ่าลาภเอ่ยขึ้น
สยามหันมาส่งสมุดโน้ตให้แพรวา
“คุณหนูลืมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนครับ”
“ตายจริง...ขอบคุณน้าหยามที่เก็บไว้ให้น้องแพร”
“ไม่ใช่นายสยาม...ไอ้หนุ่มคนเมื่อคืนต่างหาก ที่น้องแพรควรจะไปขอบคุณเขา” เผ่าลาภบอก
บ้านหรั่งตกอยู่ในแสงสลัว ยามค่ำคืน หรีดหริ่งเรไรร้องระงม
“ของฝากจากเมืองกาญจน์...หรั่งซื้อมาฝาก” เสียงหรั่งดังขึ้น
หรั่งยกถุงถั่วทอดเข้ามาที่หน้าก้อย
“อะไรน่ะ” ก้อยถาม
“ฟังเสียงดู”
หรั่งเขย่าถุง เสียงของมันดังแปลกๆ
“อะไรล่ะหรั่ง ก้อยไม่รู้หรอก”
“ถั่วทอด...เอ้า ก้อยลองชิมดูสิ...เขามีชื่อนะ”
หรั่งหยิบถั่วทอดหนึ่งแผ่นใส่มือ ก้อยพยายามคลำเพื่อทำการสำรวจ
“ทำไมถั่วทอดเป็นแผ่นล่ะ”
“อ๋อ...ตรงนั้นเป็นแป้งน่ะ”
“แล้วไหนหรั่งว่าถั่ว”
“ถั่วมันอยู่ตรงนี้ นี่ไง”
หรั่งจับมือก้อยลูบคลำไปบนผิวถั่ว
“อ๋อเม็ดกลมๆ นี่ใช่มั้ย”
“อื้อม...”
“แล้วที่เป็นชิ้นๆ นี่อะไร”
“มัน”
“ทำไมมีทั้งถั่ว ทั้งแป้ง ทั้งมันล่ะ”
“ก้อยเอาเข้าปากไปก่อนเถอะ...ถ้าไม่อร่อยแล้วค่อยมาว่ากัน”
ก้อยหยิบใส่ปากเคี้ยว
หรั่งรอดูท่าทีก้อยลุ้นๆ
ก้อยบอก “อร่อย”
“บอกแล้ว...”
“โชคดีจังเลยที่ก้อยมีหรั่ง...ก้อยได้รู้จักอะไรแปลกๆเต็มไปหมด...ถ้าไม่มีหรั่งซักคน ก้อยนึกไม่ออกเลยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง”
หรั่งฟังแล้วยิ้ม เขาคงปลื้มใจไม่น้อย
บรรยากาศในชุมชนจานเดี่ยว ยามเช้าตรู่ ผู้คนเดินสวนกันไปมา ยินเสียง ดีเจ. รายการวิทยุ พูดทักทายคนเมืองกทม.ด้วยน้ำเสียงสดใส แว่วมา
ที่บ้านผู้ใหญ่เงาะ แลเห็นกลุ่มทนายความ ตัวแทนเจ้าของที่นั่งเรียงแถวกันสลอน
มือผู้ใหญ่เงาะเอื้อมไปปิดวิทยุ เสียงเพลงและเสียงดีเจ. เงียบไปในทันใด
ผู้ใหญ่เงาะ และชาวบ้านประปราย นั่งประจันหน้าตรงข้ามกลุ่มทนาย
“เชิญ”
“ก่อนที่จะพูดกันเรื่องสัญญาเช่า ทางเจ้าของที่เขาอยากจะให้ตกลงกันในข้อห้ามสำคัญให้ได้ซะก่อน มีอยู่5 ข้อ อันนี้ถือว่าซีเรียสมาก” ทนายเอ่ยขึ้น
“ว่ามา รอฟังอยู่”
ทนายอธิบายเป็นข้อๆ “ข้อ 1 ห้ามมีการค้ายาบ้าในนี้…ข้อ 2 ห้ามมีการค้าประเวณีในนี้…ข้อ 3 ห้ามมีบ่อนการพนันในนี้”
ผู้ใหญ่ขัดขึ้น “สบายมาก เรื่องผิดกฎหมายพวกเราไม่ทำอยู่แล้ว”
“ข้อ 4 ห้ามมีโต๊ะสนุ๊ก เพราะอาจจะเป็นแหล่งมั่วสุมได้”
“ไม่คิดว่าอาจจะมีผู้สืบทอดตำนานต๋อง ศิษย์ฉ่อยบ้างเหรอ”
“ข้อ 5 ห้ามตั้งโรงเฟอร์นิเจอร์ในชุมชนนี้ เพราะอาจนำมาซึ่งเหตุเพลิงไหม้”
“ถ้าจะมีเพลิงไหม้ในนี้ ผมว่ามันต้องมีคนเผาไล่ที่กันมากกว่าครับ”
จังหวะนี้บุรุษไปรษณีย์หนุ่มนำจดหมายเข้ามากองตรงหน้าบ้านผู้ใหญ่
“ขอบใจนะน้อง…”
ผู้ใหญ่เงาะลุกเดินมาเลือกดูจดหมาย พร้อมพูดกับทนายไปด้วย
“ทีนี้ข้อเรียกร้องผมบ้าง…ข้อเดียวเท่านั้น ขอสัญญาเช่า หรือหนังสืออนุญาตก็ได้ เพื่อเรา
จะได้ไปทำเรื่องขอน้ำประปาขอบ้านเลขที่ได้..ไอ้เม่นเว้ย มาเอาจดหมายไปส่งตามบ้านที”
เม่นเดินมาหาผู้ใหญ่
“เอ้านี่ ซอยสี่ บ้านยายแช่ม ตาบูรณ์ ไอ้ขอด..ซอยแปด ของตาควร…ซอยหก ใครวะ ไม่มี
ชื่อ เอ็งไปถามเขาดู…ซอยสิบสอง ยายติ๋ว…แล้วอันนี้ ฉิบหาย…มีตราครุฑด้วย”
“วันนี้ผมกลับก่อนแล้วกัน เรื่องราคาเช่าไว้ว่ากันคราวหน้า”
ผู้ใหญ่พยักหน้าให้ทนาย แล้วหันไปสั่งเด็กชายเม่น
“เอ็งเอากองนี้ไป…ฉบับนี้ข้าดูก่อน…แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเอาค่าจ้าง ห้าบาทเว้ย”
ไอ้เม่นวิ่งปร๋อออกไป
ผู้ใหญ่เงาะแกะซองจดหมายออกดู…ตาลุกวาว พองโต จากนั้นผู้ใหญ่เดินไปที่ไมโครโฟน หยิบมันขึ้นมา ตะโกนใส่อย่างได้อารมณ์
“นายหรั่ง นาคำ มีจดหมายเรียกตัวจากทางการ…ให้รีบมาที่บ้านผู้ใหญ่ด่วน…ในที่นี้
หมายถึงผู้ใหญ่เงาะนั่นแหละ ให้รีบมาที่บ้านผู้ใหญ่เงาะ...ด่วน…”
เวลาเดียวกัน หรั่งกำลังยืนแต่งตัวอยู่ริมหน้าต่างบ้านตัวเองเหมือนเช่นเคย เสียงผู้ใหญ่เงาะประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงดังลั่น
“นายหรั่ง นาคำ ให้รีบมาที่บ้านผู้ใหญ่เงาะโดยด่วน...เข้าใจคำว่าด่วนมั้ย?”
ก้อยค่อยๆ เข้ามาหาหรั่ง สีหน้าตกใจ ในแววตาว่างเปล่าเหมือนเดิม
“หรั่ง...หรั่งไปมีเรื่องกับใครมาอีกรึเปล่า”
“หื๊อ...เปล่านี่”
“แล้วผู้ใหญ่เขาเรียกหรั่งทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิ กำลังจะไปถามเดี๋ยวนี้หละ”
หรั่งวิ่งออกมาจากบ้าน เจอกับโบ้ ที่วิ่งตรงมาที่บ้านหรั่ง โบ้รั้งตัวหรั่งไว้
“ไอ้หรั่ง...แย่แล้วมึง”
“แย่ยังไงวะ” หรั่งงงใหญ่
“มีจดหมายมาถึงมึง...เขาบอกว่า มึงสอบผ่าน จบปริญญาตรีแล้วว่ะ”
หรั่งโคตรดีใจ...โผเข้ากอดโบ้แน่น สองหนุ่มกอดกันตัวกลม
“ไอ้ โบ้....”
ก้อยอยู่ด้านหลังไกลๆ ท่าทีเงอะงะ ดีใจ ไม่รู้จะกอดใครดี
หรั่งมาทำงานที่ธนาคารแต่เช้า ผู้จัดการเข้ามาที่โต๊ะทำงานของเขา ตบไหล่หรั่งอย่างชื่นชม
“ไง...บัณฑิตใหม่...ตำแหน่งพนักงานธุรการท่าจะเล็กเกินไปซะแล้วมั้ง...ขยัน เก่งและหัวดีอย่างนี้ ให้เป็นผู้จัดการเลยแล้วกัน...แต่รอฉันรีไทร์ก่อนนะ”
“ผู้จัดการพูดเล่นอย่างนี้...คนอื่นเขาเขม่นผมแย่สิครับ” หรั่งเย้า
“ใครเขาจะเขม่นนาย เขาชื่นชมกันทั้งนั้น...นายรู้มั้ยหรั่ง นายเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า คนเรานั้น ชาติกำเนิดไม่สำคัญ ถ้ามีความเพียรและความตั้งใจจริง ความสำเร็จก็จะมาหาเราได้ไม่ยาก...จริงมั้ยพวกเรา”
พนักงานคนอื่นๆ โผล่หน้าขึ้นมา จาก ซอก มุม ตบมือกราวใหญ่
“เย็นนี้ขอฉันเลี้ยงให้บัณฑิตใหม่ซักมื้อเถอะนะ” ผู้จัดการบอก
“ไม่เป็นไรครับ...พอดีผมต้องพาน้องไปหาหมอ”
“อ๋อ...น้องที่...ตาเสียน่ะนะ”
“ครับ”
“ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ...เอาละ งั้นก้อ ถ้ามีอะไรเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับน้องกับนุ่งละก้อ บอกฉันทันทีเลย อย่าเกรงใจนะ”
ผู้จัดการพูดน้ำเสียงหนักแน่น จนหรั่งต้องรับคำ
“ครับผม”
อีกฟาก อาคารบริษัท M.S. GROUP ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ท่ามกลางย่านธุรกิจอันคึกคัก
ภายในห้องทำงานอรทัยเวลานั้น อรทัยวางแฟ้มมากมายลงตรงหน้าแพรวา
“นี่คือข้อมูลเบื้องต้น ที่พนักงานระดับบริหารทุกคนควรจะรู้”
“แต่น้องแพรไม่ใช่ผู้บริหารนี่คะ อาโก”
“นี่เป็นคำสั่งของเฮียตง ตั่วเฮียของเรา...หนูแพรเป็นทายาทโดยตรงของเขา...เฮียตงจึงต้องการให้หนูศึกษาเรื่องพวกนี้เอาไว้ เผื่อวันหน้า หนูอาจจะต้องใช้มันเพื่อทำประโยชน์ให้กับบริษัท”
แพรวายอมจำนน เธอก้มดูแฟ้มทั้งหมดแล้วถอนใจ
“ทำไมมันเยอะนักล่ะคะ”
“เป็นรายละเอียดของบริษัทคู่ค้าของเราทั้งหมด...บริษัทเหล่านี้ ค้าขายกับเรามาตั้งแต่รุ่นก๋งแน่ะ...ส่วนแฟ้มนี้คือรายละเอียดคู่แข่งของเรา” อรทัยบอก
“ต้องรู้เรื่องคู่แข่งด้วย” แพรวาทำหน้างง?
“อ้าว ทำการค้า ไม่ใช่ทำการกุศล...มันต้องรู้เขารู้เรา ต้องคอยอ่านเกมของคู่แข่งให้ทันจะชนะเขาได้มันต้องอยู่ข้างหน้าเขา รู้ก่อนเขา ไม่ใช่คอยแต่จะไล่ตามหลังเขา...หนูแพรเอาแฟ้มพวกนี้ไปรีบอ่านซะให้หมด แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีว่า หนูคิดยังไงกับบริษัทไหนบ้าง...โอ.เค.นะ” อรทัยธิบายยาว
แพรวาหมดกำลัง ที่จะเถียง...เธอขยับตัวลงนั่ง
ยามเย็นที่คฤหาสน์เผ่าลาภ แพรวาทรุดตัวลงนั่งกลางโถงบ้าน บ่นกระปอดกระแปด
“คุณป๋าเอาอะไรมาให้น้องแพรอ่านน่ะ...กองเบ้อเร่อขนาดนั้น...เดือนนึงก็อ่านไม่หมด”
เผ่าลาภและรำไพ นั่งสังเกตุอาการแพรวาอยู่ไม่ไกลกัน
“เพราะเราไม่ตั้งใจน่ะสิ”
“ทำไมจะไม่ตั้งใจ แต่น้องแพรเรียนอักษรศาสตร์นะคะ เอกภาษาละติน เผื่อคุณป๋าจะลืม....น้องแพรจะไปรู้ดีเรื่องธุรกิจ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคู่แข่งทางการค้า ถึงขนาดจะมาวิเคราะห์เล่ห์เหลี่ยมของบริษัทคู่แข่งเป็นฉากๆ ได้ยังไงล่ะคะ...คุณป๋านะคุณป๋า จะให้ทำงานทั้งที ก็น่าจะหาให้มันตรงกับที่น้องแพรเรียนมาซะหน่อย”
“งั้นป๋าคงจะต้องไปเปิดสาขา ในประเทศแถบอเมริกาใต้งั้นสิ” เผ่าลาภล้อ
“งั้นน้องแพรจะได้อาสาเป็น PR. ให้บริษัท” แพรวาต่อปากอย่างสนุก
รำไพติง “อย่าพูดเป็นเล่นน่า น้องแพร”
“ก็คุณป๋าเล่นก่อนนี่”
“เอาละ...ไม่ว่าจะเรียนมาตรงหรือไม่ตรงก็ต้องทำให้ได้...ขนาดป๋า ไม่ได้เรียนอะไรมาด้วยซ้ำ ยังต้องขึ้นมาบริหารเลย”
“เก่งค่ะ”
“รู้มั้ยว่าตอนป๋าเด็กๆ น่ะ ปากกัดตีนถีบขนาดไหน”
“เอาอีกแล้ว...เอาเรื่องตัวเองมาเล่าอีกแล้ว....ใครเขาจะเก่งได้เท่าคุณป๋าล่ะ เกิดมาน้องแพรยังไม่เคยเห็นเลยซักคน นอกจากนายหรั่งที่พอจะใกล้เคียง”
แพรวาหลุดชื่อนายหรั่งออกมาอย่างลื่นปาก เป็นธรรมชาติ...ไม่รู้ตัว เผ่าลาภเองก็ไม่ทันได้ยิน
“ฟังนะน้องแพร ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะอยู่ค้ำฟ้า วันนึงคุณป๋าก็ต้องล้มตายไป...ถามว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ใครจะขึ้นมาทำแทนป๋า”
“ไม่รู้เหรอ...ก็ ป๋านั่นแหละ ป๋าจะเป็นอะไรไปได้ยังไง…ไม่ได้ ป๋าเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ของอย่างนี้มันห้ามกันได้ด้วยเหรอ”
“ไม่รู้หละ แต่น้องแพรทำอย่างที่คุณป๋าทำไม่ได้หรอก ไม่มีทางเลย...คุณป๋าเลิกคิดซะดีกว่า”
แพรวาเดินหนีไปจากบริเวณนี้ทันที เผ่าลาภมีอาการอ่อนล้าให้เห็นชัดเจน
“กินยาหน่อยมั้ยคะคุณ” รำไพเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ...ผมตรวจสุขภาพครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่นะ คุณจดไว้รึเปล่า”
“สามปีที่แล้วค่ะ”
“ถ้าเฮียย้งยังอยู่ ผมก็คงไม่ต้องมารับภาระหนักอย่างนี้ ทั้งคุณและลูกแพรก็คงสบายใจ”
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดค่ะ...เราห้ามชะตาฟ้าไม่ได้หรอกค่ะ”
“อย่างน้อยเด็กผู้ชายคนนั้น ก็คงจะแบ่งเบาภาระจากผมไปได้เยอะทีเดียว”
ภาพในอดีตผุดขึ้นในห้วงความคิดคำนึงของเผ่าลาภ
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 3 (ต่อ)
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เด็กทารกวัยแบเบาะคนหนึ่งนอนนิ่ง สบายๆ ไม่งอแงอยู่บนเบาะ มือแข็งและหยาบกร้าน อุ้มเด็กคนนี้ขึ้นมาชูสูงขึ้น เสียงของเขาดังขึ้นมา
“เด็กคนนี้ อั๊วพิจารณาดูแล้ว มันมีแววดี มันมีบุญไม่น้อย...”
เจ้าของมือนั้น เขาเป็นชายหนุ่มกำยำบุคคลิกดี มีชื่อว่า เฮียย้ง
“ซักวันนึง ก็คงเป็นมันนี่หละ ที่จะกอบกู้กิจการของเราให้ก้าวหน้าไปได้ดี...ลื้อเชื่ออั๊วสิ”
ชายหนุ่มอีกคนที่เป็นผู้ฟัง นั่งอยู่ตรงข้าม เขาคือเผ่าลาภ เมื่อ 20 ปีที่แล้วนั่นเอง
เย็นนั้น หรั่งประคองก้อยลงนั่งที่ โถงรอรับยาของโรงพยาบาล ผู้คนบางตา ก้อยสวมแว่นตาดำ ดูผ่านๆ จะเหมือนคนปกติ
ตรงนี้เป็นบริเวณโถงรับยาเก่า มันอยู่ห่างออกมาจาก บริเวณรับยาจริงที่ค่อนข้างจะจอแจ
“หรั่ง...เมื่อกี้ก้อยฟังไม่ถนัด...เรื่องผ่าตัดน่ะ หมอเขาว่ายังไงนะ ก้อยยังรอได้อยู่ใช่มั้ยหรั่ง”
“ใช่สิ...อย่ากังวลไปเลย...นั่งตรงนี้นะ เดี๋ยวหรั่งไปจ่ายตังค์ รับยาก่อนนะ”
หรั่งเดินห่างออกมาจากก้อย เดินตรงไปยังซอกตึกที่ประจำของเขา เมื่อมาถึงมุมตึก จึงพบว่าหมอหนุ่มยืนรออยู่แล้ว
หมอพูดใส่หน้าหรั่งทันทีไม่มีรีรอ
“ผมสาบานว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำแบบนี้”
หมอยื่นยาให้หรั่ง
“นี่คือยาขวดสุดท้ายที่ผมจะขอจากอาจารย์หมอมาให้คุณ”
หรั่งรับยานั้นมา
“และมันอาจจะเป็นวันสุดท้ายสำหรับโอกาสของน้องสาวคุณ”
หรั่งซึม ขรึมลง “ผมมีเวลาเหลือเท่าไหร่”
หมอระเบิดอารมณ์ออกมา “ไม่มีเหลือแล้ว !...ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณพยายามจะทำอะไรคุณมาหาผมเพื่อจะถามว่ามีเวลาเหลือเท่าไหร่...คุณถามมาตั้งแต่ก้อยยังมีเวลาเหลือเฟือจนตอนนี้มันหมดเกลี้ยงแล้ว...ถามจริงๆ เหอะ คุณตามหาพ่อ หรือตามหาอะไรกันแน่...”
หรั่งนิ่ง อึ้ง สลดใจ
“ผมถูกสอนมาตลอดว่า หมอที่ดีต้องไม่เลี้ยงไข้ ต้องวินิจฉัยอาการจากข้อมูลจริง และไม่ควรสร้างความหวังที่มันไม่มีจริงให้กับคนไข้ เพราะฉนั้น ถ้าคุณคิดจะทำเพื่อก้อยละก้อคุณมีทางเลือกแค่สองทาง...หนึ่ง ผ่าตัด โดยเร็วที่สุด...สอง บอกความจริงกับก้อยซะ...ให้เธอยอมรับสภาพตาบอดไปตลอดชีวิตซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้”
หรั่งคิดหนักมาก เขาหันไปมองก้อย เห็นเธอนั่งสงบนิ่ง ใบหน้าน่ารักเหลือเกิน แค่เพียงดวงตาเท่านั้น ที่ทำให้ก้อยต่างจากผู้หญิงทั้งหลายที่ผู้ชายหมายปอง
มุมหนึ่งในละแวกชุมชนใกล้บ้านหรั่ง ตอนเย็นๆ
หรั่งนั่งเหม่อลอยอมทุกข์ มีแววกังวลจนเห็นได้ชัด รอบๆ ตัวเขา เป็นกองเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก ผัก ผลไม้ที่ยังไม่ได้ปอกไม่ได้ปั่น
เสียงทรัมเป็ตแสนเศร้าล่องลอยมาไม่ไกล โบ้นอนเป่าทรัมเป็ต อยู่ไม่ไกลกัน...เช็งนั่งล้างขวดอยู่ใกล้ๆ หรั่ง
“ไอ้โบ้ มึงหยุดเป่าซักวันได้มั้ยวะ...เผื่อจะดวงดีมีงานเข้ามาบ้าง...อาทิตย์นึงแล้วนะเว้ยไอ้หรั่ง ที่พวกกูยังไม่ได้งานเลย” เช็งบ่นบ้า
“กูไปเดินซื้อขวดกับเตี่ยมึงแล้วกันวะ ไอ้เช็ง” โบ้ว่า
“ไม่ได้...เดี๋ยวเตี่ยกูต้องแบ่งกำไรให้มึงอีก” เช็งบอก
เท่ห์วิ่งหน้าตาเบิกบานเข้ามา
“เฮ้ย...ข่าวดีโว้ยเพื่อนฝูง...ข่าวดีในรอบอาทิตย์นี้เลยเชียวแหละ”
“แม่มึงถูกหวย” โบ้เดา
“ส้นตีนแน่ะ หวยออกวันมะรืน” เช็งด่า
“กูได้งานใหม่มา”
เช็งร้อง “ไชโยไชโยไชโย.....
“อาทิตย์หน้าพวกเราทำตัวว่างรอไว้เลยนะเว้ย” เท่ห์คุยฟุ้ง
“ทำโคตรง่ายเลย ไอ้ว่างๆ เนี่ยะ” เช็งประชด
โบ้สงสัย “งานอะไรวะเท่ห์”
เท่ห์บอกชื่อจ๊อบหน้าตาเฉย “รับจ้างตีเด็ก”
โบ้ร้อง “ห๊ะ”
“เด็กเทคนิค” เท่ห์บอกอีก
“เวรแล้วมึง” เช็งเซ็งโครต
“แจ้งตำรวจ แล้วขอค่าชี้เบาะแสดีกว่ามั้ง” โบ้ท้วง
“เฮ่ย มันจะได้กี่ตังค์กัน...เข้าร่วมไปเลย อย่างนี้เงินดีกว่าเว้ย...พวกเราอยู่ข้างช่างกล...แต่พอเอาจริงนะ เราก็แค่วิ่งๆ ไปกับพวกมัน...พอมันเริ่มตี เราแว่บหนีเลย...รับเงิน เป็นอันจบ...โอ.เค.รึเปล่า” เท่ห์สาธยาย
“เอาดี้...ดีกว่าอยู่เฉยๆ...มึงเอาด้วยรึเปล่าไอ้หรั่ง” เช็งหันมาทางหรั่งที่นั่งเครียดอยู่
“ค่าจ้างถึงสามแสนมั้ยล่ะ” หรั่งถามส่งๆ
“บ้าเหรอ...นั่นมันรับจ้างฆ่าคนแล้ว” เท่ห์ว่า
“งั้นพวกมึงเอากันเหอะ...กูไม่ละ” หรั่งบอกขรึมๆ
“ถ้ามึงกลัวเจ็บตัวนะ มึงก็ไปรับจ้างประท้วงหน้าทำเนียบสิวะ...ดีมั้ย...เดี๋ยวกูหานายทุนให้อย่างมากก็แค่แก๊สน้ำตาว่ะ” เท่ห์ผู้เชี่ยวชาญด้านจ๊อบประหลาดๆ อินเทรนด์บอก
ท่าทีหรั่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับเพื่อนๆ ซักนิด
ค่ำแล้ว หรั่งเดินสีหน้ากังวลเข้าไปในห้องนอน สักครู่ก้อยเดินคลำๆ เข้ามาหา
“หรั่ง...หรั่งลืมเรื่องไปทะเลรึยัง”
“ยัง...แต่ว่าตอนนี้งานมันยุ่งอยู่ ไปก็ไปได้แป๊ปเดียว...สู้รอตอนวันหยุดยาวๆ เลยดีกว่า จะได้ไปหลายๆ วันไง ดีมั้ย”
“ก็ดี...”
ก้อยค่อยๆ เดินกลับไปยังห้องนอนของเธอ
หรั่งและก้อยต่างนอนนิ่งในห้องของตนที่อยู่ติดกันแค่ฝากั้น
“หรั่งยังไม่ได้บอกก้อยเลยว่า หมอเขาว่ายังไง...?”
หรั่งพูดไม่ออก
“ช่วงนี้หรั่งไม่ค่อยได้ตามหาพ่อเลยใช่มั้ย”
“ก้อย...หรั่งมีอะไรจะสารภาพ...หรั่งคิดว่าหรั่งคงตามหาพ่อไม่เจอแล้วละ”
“ก้อยก็คิดอยู่แล้ว...เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อเหลือเกิน ที่หรั่งจะตามหาพ่อเจอ”
หรั่งลุกเดินมายืนพูดหน้าห้องนอนก้อย
“แต่ถึงหรั่งจะไม่เจอพ่อ ก้อยก็จะต้องได้ผ่าตัดตาแน่นอน หรั่งสัญญา”
“ไม่เอา อย่าสัญญาเลย...เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก้อยก็เป็นภาระของหรั่งมากอยู่แล้วหรั่งอย่าทำให้ตัวเองต้องลำบากเพราะคำสัญญาอีกเลย”
ก้อยยังคงนอนนิ่ง
หรั่งค่อยๆ เดินกลับห้อง หน้าหมองจัด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เขาทำถูกหรือผิดกันแน่ ที่ได้สารภาพออกไป
ที่ห้องผู้จัดการ ในธนาคารรัตนทรัพย์เช้าวันต่อมา สารพันน้ำสุขภาพ ทั้ง น้ำเต้าหู้ น้ำย่านาง น้ำตะไคร้ น้ำเสาวรส วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ขณะผู้จัดการเดินเข้ามาในห้อง...และมองอย่างงงๆ หรั่งตามมาทีหลัง
“ผมเอามาฝากผู้จัดการครับ”
“อ๋อ...”
“ลองชิมดูสิครับ”
“ว้า...ฉันนี่แย่จริงๆ...อยู่กันมาตั้งนาน ไม่เคยได้อุดหนุนน้ำเต้าหู้ น้ำสมุนไพรของหรั่งเลยซักครั้ง…เอามาให้ชิมฟรีๆ นี่ เป็นการประชดรึเปล่า ไม่ทราบ”
“เปล่าครับ...ผมอยากให้ลองชิมจริงๆ ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“โอเค ขอบใจมาก...กินเข้าไปหมดนี่ ถึงอิ่มเลยนะนี่”
“ครับ...เอ้อ...” หรั่งดูรีๆรอๆ
ผู้จัดการฉงน ถามอย่างมีไมตรี “มีอะไรรึเปล่า...หึ๊...ว่ามา มีอะไร? ไม่ต้องเกรงใจ”
“ผู้จัดการจำที่บอกผมเมื่อวานได้รึเปล่าครับ”
“อ๋อ จำได้ เรื่องเลี้ยง...โธ่เลี้ยงเมื่อไหร่ก็เลี้ยงได้ เดี๋ยวฉันพาไปกินเหลาเอง...”
“ไม่ใช่ครับ...เรื่องน้องสาวของผม”
“อ๋อ...ที่ตาเสีย...ว่าไง จะให้ช่วยอะไรล่ะ...ค่ารักษามั้ย เท่าไหร่ ว่ามา”
หรั่งบอกทันที “หนึ่งแสนบาทก่อนครับ”
ผู้จัดการร้อง “ห๊ะ”
“เขาต้องผ่าตัดใหญ่น่ะครับ...ผ่าเสร็จแล้ว มีค่าใช้จ่ายอีกประมาณสองแสนบาทครับ”
ผู้จัดการอึ้งไป สี่ห้าวินาที ก่อนบอกเป็นนัย
“เป็นน้ำสมุนไพรที่แพงมากๆ...ผมแบ่งงวดจ่ายได้มั้ย”
ขณะเดียวกันที่บ้านตะวันฉาย กฤษฎาเดินตามเด็กรับใช้เข้ามาในบ้าน จนพบตะวันฉายที่ยืนรออยู่แล้ว
“สวัสดีครับ...หลานชายคนโตของ M.S. GROUP นี่ถ้าไม่สนิทกันจริง ไม่มีโอกาสเหยียบเข้ามาถึงนี่ได้หรอกนะ...มีอะไรให้พี่รับใช้เหรอน้อง”
“มึงหามือปืนลูกน้องพ่อมึงให้กูซักสิบคนได้มั้ย”
“เอ๊ะ ไอ้นี่...พูดเหมือนกับว่าพ่อกูเป็นเจ้าของซุ้มมือปืนงั้นแหละ...แล้วจะเอาไปทำอะไรตั้งสิบคน จะจัดตั้งกองกำลังเหรอ”
“ก็ไอ้ลูกครึ่งที่เมืองกาญจน์นั่นไง”
“เฮ้ย จะเล่นกับนักเลงเมืองกาญจน์เชียวเหรอ ระวังเจอของแข็งนะเว้ย”
“มันไม่ใช่คนเมืองกาญจน์ มันเป็นแมสเซ็นเจอร์ อยู่สลัมในกรุงเทพฯนี่แหละ”
“ถ้างั้นก็ง่ายหน่อย...แต่ถามนิดเถอะ ทำไมมึงยังไม่หายแค้นอีกวะ”
“แล้วมึงหายแล้วเหรอ” กฤษฎาย้อนเอา
ตะวันฉายส่ายหน้า “คนมันอยู่กันคนละชั้น..กูไม่อยากลงไปแลกด้วย...แต่ถ้ามึงต้องการ กูจัดให้ได้”
ส่วนที่บ้านหรั่ง ก้อยนั่งอมยิ้ม เบิกบานใจ ในมือถือช้อนส้อมอยู่ ที่สุดก้อยตะโกนถาม
“จะกินได้รึยัง”
โบ้เดินยิ้มเผล่ ถือจานข้าวผัด ควันคลุ้งเข้าไปหาก้อย
“เสร็จแล้ว...หอมฉุยเลยใช่มั้ยล่ะ...”
“นึกว่ามื้อนี้จะไม่ได้กินซะแล้ว”
“ของดีต้องรอนานหน่อย....เอ้าชิมเลย”
ก้อยเริ่มตักข้าวทันที
“ก้อยจ๊ะ นั่นมันไขควงจ้ะ ไม่ใช่ช้อน”
โบ้เปลี่ยนช้อนที่ถูกคันให้แทน ก้อยตักข้าวเข้าปาก ควันฉุย
“เป็นไงของพี่โบ้กับของพี่หรั่ง ของใครอร่อยกว่ากัน”
ก้อยบอกโดยไม่ต้องคิด “ของหรั่ง”
โบ้คราง “โธ่”
“ก็หรั่งเขาซื้อมา...แต่พี่โบ้ทำเอง เก่งออก” ก้อยรีบบอก
“งั้นพี่โบ้ไปตักของพี่โบ้มากินด้วยนะ”
โบ้รีบขยับออกไปนอกห้อง
ขณะที่โบ้เดินออกมาจากตัวบ้าน ตรงมาตักข้าวผัดในกระทะใส่จาน เมื่อโบ้ตักข้าวเสร็จ โบ้ยืดตัว เงยหน้าขึ้น ปรากฏเป็นหรั่งยืนถือห่อผัดไทยอยู่ตรงนั้นแล้ว
“ไอ้หรั่ง...มึงหักหลังกู”
“ไอ้โบ้...มึงแอบตีท้ายครัวกู”
“ไอ้บ้า กูอุตส่าห์มาช่วยจัดหาข้าวให้ก้อย ยังมาด่ากูอีก...ไหนว่าแว่บมาไม่ได้ไง”
“กูขอลาเขามาแป๊ปนึง ช่วงพักเที่ยง มันมีข่าวดีที่อดใจไว้ไม่ไหว”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ว่า ก้อยจะได้ผ่าตัดตาแล้ว...”
ก้อยรู้เรื่องเป็นคนต่อมา พูดจาละล่ำละลักด้วยความดีใจ
“หรั่ง...หรั่ง เจอพ่อแล้วเหรอ...หรั่งเจอพ่อแล้วใช่มั้ย”
“ก้อย หรั่งบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมีพ่อ ก้อยก็ผ่าตัดได้”
“มันมีผู้จัดการใจดี” โบ้บอก
“เขาให้หรั่งยืมเงินมาก่อน มีเมื่อไหร่ค่อยใช้ ผ่อนใช้ให้ก็ได้”
“สุดยอดเลยก้อย…ก้อยจะได้มองเห็นแล้ว”
ว่าแล้วโบ้หยิบทรัมเป็ตขึ้นมาเป่า มันดังเป็นเสียงเพลงไพเราะ
“ผ่าเมื่อไหร่ดีล่ะหรั่ง”
“ถ้าอดข้าวอดน้ำซะตั้งแต่วันนี้ ก็ผ่าพรุ่งนี้เลยเป็นไง”
พลางหรั่งหยิบเอาไวโอลินของก้อยมาสีมันเล่นอย่างเมามัน แต่หาเป็นเพลงไม่
“เร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ” ก้อยถามอย่างประหลาดใจ
ไม่มีใครสนใจจะตอบก้อย ทุกคนอยู่ในอารมณ์ของความสุข เห็นเพียงความสนุกสนานชื่นบานกระจายไปทั่วบ้านน้อยหลังนี้
ด้านแพรวาเดินถือแฟ้มเอกสารไปตามทางเดิน จนถึงประตูเข้าแผนกออกแบบ ตรงหน้าประตูมีป้ายติดไว้ว่าว่า “K. Mahachoke tungsiri DESIGNER”
แพรวาเปิดประตูนั้นเข้าไป แลเห็น ธนู ชายหนุ่มรูปงาม บุคลิกคุ้นตา นั่งอยู่ในแผนกนั้นแต่เพียงลำพัง
“คุณมาหาใครครับ”
“อาฮุยล่ะ”
“ใครนะครับ” ธนูงง
“อากัมปนาทน่ะ...ไม่อยู่เหรอ”
“ไม่อยู่ครับ ออกไปตรวจสต็อก...โทษครับ แล้วคุณเป็นใครครับ”
แพรวาชักหมั่นไส้ “แล้วนายล่ะ นายเป็นใครไม่ทราบ”
“ผมเป็นเลขาคุณกัมปนาท”
แพรวาฉงน “อะไร?...เลขาอาฮุยคือคุณนุชต่างหาก...แล้วนี่คุณนุชอยู่ไหนซะล่ะ...คุณนุช”
ว่าแล้วแพรวาตะโกนลั่น กัมปนาทเปิดประตูเข้ามาพอดี
“แพรวาหลานอา อึดอัดอะไรมาจากไหน ถึงได้เก็บมาตะโกนที่นี่”
“โกฮุ้งให้เอาแบบที่น่าจะเปิดตลาดใหม่ปีหน้ามาปรึกษาอาค่ะ”
“แล้วรู้จักกับธนูรึยัง”
“รู้จัก...เมื่อกี้นี้เอง...แต่ไม่รู้ว่าหน้าที่อะไร” แพรวาหน้าตึง
“ธนู เขาเป็นเลขาของอา...เป็นเลขาส่วนตัว ดูแลทุกอย่าง ที่แตกต่างไปจากคุณนุช”
“อือม์”
“อาเห็นหน่วยก้านดี ก็เลยอยากให้เขามาทำกับเรา”
“อ๋อ...”
แพรวามองหน้าธนู แล้วมองหน้ากัมปนาท ยิ้มๆ ถึงบางอ้อ กัมปนาทเอ็ดเอาเบาๆ
“ยิ้มอะไร ยายแพรนี่”
ต่อจากนั้น แพรวา นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ เธอกำลัง Skype กับเพื่อนๆ
“หน้าแดงก่ำเลยหละแก...จริง...ไม่ใช่อาฮุย อีตาธนูนั่นต่างหาก...อาฮุยเขานิ่งๆ ชิลล์ๆเว้ย...เออ ฉันเลยเขินไปด้วยเลย”
ที่หน้าจอคอมพ์ เพื่อนๆของแพรวา ที่ร่วมวงสนทนาปรากฏในจอ ทุกคนสื่อสารกับแพรวาด้วยการพิมพ์ข้อความ มีเพียงแพรวาที่ตอบด้วยการพูด ข้อความของเพื่อนคนหนึ่งปรากฏว่า
"แล้วแกไม่ทำงานเหรอ"
“ทำอยู่...กำลัง ทำเหมือน ทำอยู่”
มีข้อความของเพื่อนอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้น
“ทำอะไรของแกวะ"
“ก็นั่งที่โต๊ะทำงาน ทำท่ายุ่งๆเข้าไว้ ใครๆเขาก็คิดว่าฉันทำงานอยู่ทั้งนั้นแหละ ก็ไม่มีใครรู้หรอก”
พนักงานคนหนึ่ง เดินถือแฟ้มเข้ามาที่โต๊ะแพรวาพอดี
แพรวารีบพักปิดหน้าจอคอมพ์ของเธอ
“คุณอรทัยให้เอาเอกสารมาให้คุณแพรวาอ่านเพิ่มเติมค่ะ”
“วางตรงนั้นแหละ”
“แล้วก็…ถ้าคุณแพรวาอ่านแฟ้มข้อมูลคู่ค้าจบแล้ว คุณอรทัยให้รีบเอาไปคืนด้วยค่ะ”
“อือม...”
พนักงานชะเง้อมองหน้าจอคอมพ์ของแพรวา ก่อนเดินออกไป แพรวาเปิดหน้าจอคอมพ์ เห็นเพื่อนๆ off line กันหมดแล้ว เหลือเพียงอรจิราคนเดียวที่ยัง on line อยู่
“อ้าว ไปกันหมดแล้วเหรอ”
เสียงอรจิราดังขึ้น “ เออ...เหลือแต่แกกับฉันเท่านั้น คนอื่นเขาทำงานกันหมดแล้ว”
“นี่อร...แกว่า ฉันหาจ้างใครซักคนมาอ่านไอ้แฟ้มเอกสารพวกนี้ให้ฟังจะดีมั้ยอ้ะ”
“ก็ต้องเป็นเสียงพี่ตะวันฉาย เท่านั้นแหละ ถึงจะน่าฟังสำหรับแก” อรจิราเย้า
“บ้า”
“งั้นแกก็ต้องจ้างใครซักคนมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว...แบบอาฮุยของแกไง...!”
“เออ ไม่เลวเนอะ” สองสาวหัวเราะกันไป
ที่บริเวณหน้าธนาคารรัตนทรัพย์ แสงสีส้มสาดไปทั่ว บอกเวลายามเย็น รถของพนักงาน พากันเคลื่อนตัวออกจากที่จอดรถ ชายฉกรรจ์ 5-6 คนเข้ามาอย่างดุดัน...พวกมันหยุดปรึกษากันตรงจุดหนึ่งมุมลับตา
หรั่งเดินสวนออกมาในสภาพพร้อมกลับบ้าน เขาตรงไปที่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ เท่ห์ โบ้ เช็งขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปหาหรั่ง ทั้งสามมีอาวุธติดมือมาคนละชิ้น จำพวก สนับมือ คมแฝก กระบอง
“จะไปรบที่ไหนกันวะไอ้เท่ห์”
“ก็รับจ้างตีกันที่กูบอกไง” เท่ห์บอก
“นี่มึงเอาจริงเหรอวะ...กูนึกว่าพูดกันเล่นๆ” หรั่งอึ้ง
“ระดับพี่เท่ห์ เคยพูดเล่นที่ไหน...มึงเปลี่ยนใจไปกับกูยังทันนะ...กูขออัพค่าแรงเขาขึ้นมาอีกหน่อยแล้วนะเว้ย”
“จากแปดร้อย เป็นพันสาม...” โบ้บอก
“แต่ต้องตีกบาลฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อยหนึ่งคน” เท่ห์อธิบาย
หรั่งส่ายหน้า “พวกมึงไปกันเหอะ กูไม่ชอบเรื่องชกต่อย”
“งั้นก็ตามใจ...กูไปละ...ถือว่ามาชวนแล้วนะโว้ย”
โบ้กะเช็งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ยามโต ขี่จักรยานออกมาจากด้านหลังอาคาร
“พี่ไปก่อนนะหรั่ง...ฝากปิดประตูให้พี่ด้วย”
“คร้าบ... พี่”
ยามขี่จักรยานออกไปก่อน หรั่งเดินมาลากประตูเหล็กเพื่อจะปิด กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ซุ่มอยู่นั้น ขยับตัวเข้าหาหรั่งเป็นแผงใหญ่
หรั่งเงยหน้ามอง...เริ่มระแวง...รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย
“โทษครับ...ธนาคารปิดแล้วนะครับ”
“ธุระของกูไม่เกี่ยวกับธนาคาร แต่เกี่ยวกับมึง” คนแรกบอก
พวกมันไม่พูดอะไรต่อ เหวี่ยงหมัดใส่หรั่งทันที หรั่งเซ กระเด็นไปไกล ชายฉกรรจ์ตรงเข้ากลุ้มรุมหรั่ง จนหนำใจ
หมัดของมันถูกเหวี่ยงไม่มียั้ง หมัดสุดท้ายเหวี่ยงเข้าหน้าหรั่งพอดิบพอดี
อ่านต่อตอนที่ 4