สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 8
บ้านในชุมชนจานเดี่ยวที่ส่วนใหญ่สร้างจากไม้ มันได้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ไม้ติดไฟท่อนใหญ่หล่นโครมลงมา เปลวไฟผุดลุกขึ้นรอบๆ มันคือบริเวณกลางซอยทางเดินเข้าชุมชน ผู้คนมากมายวิ่งสวนกันไปมาอย่างโกลาหล
ควัน และเปลวไฟ กระจายไปทั่วจนยากที่จะประเมินว่า ไฟได้ลามไปถึงไหนบ้างแล้ว เสียงสัญญาณไซเรนดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงผู้ใหญ่เงาะดังขึ้น
“พ่อแม่พี่น้องออกมาช่วยกันดับไฟเร็ว ใครมีน้ำ มีกระป๋องขนกันออกมาด่วนเลย เร็วเข้าโว้ย ใครซักคนไปโทร.แจ้งตำรวจดับเพลิงหน่อยโว้ย...”
น้าเบิ้มวิ่งโซเซถือกระป๋องน้ำออกมา ช่วยกันจ้าละหวั่น
“ก้อย” น้าเบิ้ม ตะโกนลั่น “...ก้อย...ใครดูยายก้อยทีโว้ย ยังอยู่ในบ้านอยู่รึเปล่า”
ก้อยถือคันชักไวโอลินเดินซัดเซอยู่ท่ามกลางความชุลมุนของผู้คน สีหน้าตื่นกลัวชัดแจ้ง
“หรั่ง...หรั่ง หรั่งอยู่ไหน หรั่งมารึยัง...”
ชาวบ้านช่วยกันสาดน้ำเข้ากองไฟ เป็นที่ชุลมุน
แพรวาเดินออกมาที่หน้าสถานีโทรทัศน์สีช่องเจ็ด หรั่งเดินตามมาไม่ห่าง ทีมงานสองสามคนเดินมาส่งหน้าสถานี
ทีมงาน 1 บอกขึ้นว่า “พี่ต้องขอโทษแทนพิธีกรด้วยนะ ปากพี่เขาเป็นงี้เองแหละ จริงๆ เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก”
แพรวายิ้มเยื้อน “ไม่เป็นไรค่ะ น้องแพรเข้าใจ”
ทีมงาน 2 บอกต่อ “ยังไงก็ต้องขอบคุณ และ ขอชื่นชมน้องแพรด้วยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงผู้ประกาศจากรายการ ข่าวเด็ด7สี จากจอทีวีด้านหลังดังเข้ามาตั้งแต่ 4 คน เดินมา
“ช่วงนี้ของแทรกข่าวด่วนนะคะ...มีรายงานเข้ามาว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นที่ชุมชนจานเดี่ยวย่านถนนพระรามเก้า”
หรั่งเหลียวขวับไปจ้องที่จอทีวีนั้น ตั้งแต่ได้ยินคำว่าเพลิงไหม้ ในจอทีวีเป็นกราฟฟิค ตัวหนังสือคำว่า “เพลิงไหม้” ปรากฏบนรูปเปลวเพลิง
“เพลิงได้เผาไหม้มาเป็นเวลากว่าสามสิบนาทีแล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำงานค่อนข้างลำบาก เนื่องจากว่าไม่สามารถนำรถดับเพลิงเข้าไปใกล้ต้นเพลิงได้”
หรั่งยืนฟังหน้าเครียดโครตๆ
“รายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมด เราจะติดตามนำเสนอเป็นระยะๆ ตลอดคืนนี้”
แพรวาหันมาหาหรั่ง สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอ นายหรั่ง”
ริมถนนทางเข้าชุมชนจานเดี่ยว รถดับเพลิงสามคันจอดเบียดกันอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถเข้าไปถึงในชุมชนได้ สายส่งน้ำถูกลากจากรถเข้าไปยังบริเวณเพลิงไหม้
ชาวบ้านมากมายขนเครื่องใช้ส่วนตัวออกมากองตามสองข้างถนนหนทางนั้น ตำรวจจราจรสองสามนายพยายามควบคุมการจราจรและบรรดาไทยมุงให้กระจายตัวออกไป
รถแพรวาแล่นเร็วเลี้ยวเข้ามาต่อท้ายรถดับเพลิง หรั่งก้าวลงจากที่นั่งคนขับรถ...เขาหันไปตะโกนบอกแพรวา
“คุณขับรถกลับบ้านเองนะครับ ...ผมขอโทษด้วย”
หรั่งวิ่งตรงเข้าไปในชุมชนอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปด้านใน ส่วนที่ด้านหลังของหรั่ง แพรวาลงจากรถ มองตามหรั่งไปอย่างกังวล
ครู่ต่อมาหรั่ง วิ่งผ่านฝูงชนที่กำลังวุ่นวายกับการขนของหนีไฟ และการดับไฟ หรั่งวิ่งมาจนเจอเช็ง
“ไอ้เช็ง”
“ไอ้หรั่ง มึงไปไหนมา”
“ก้อยล่ะ”
“ทางนี้เว้ย”
เช็งวิ่งนำหน้าหรั่งไป หรั่งวิ่งตามเช็ง ทั้งคู่มาเจอกับก้อยที่นั่งยองๆอยู่กับพื้นในมือของเธอกอดคันชักไวโอลินไว้แน่น
“ก้อย...ก้อยเป็นไงบ้าง”
“หรั่ง...ไฟ”
ก้อยขวัญเสียอย่างหนัก ร้องไห้ ตกใจ จนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไรนะก้อย ไม่เป็นไร”
หรั่งกอดก้อยไว้จนแน่น
“ไวโอลินของก้อย มันหายไปแล้ว”
“ช่างมันเถอะก้อย...ไอ้เช็ง กูฝากก้อยไว้หน่อยนะ”
หรั่งลุกขึ้น ละจากก้อยไป เขาตรงไปที่กระป๋องน้ำใกล้ตัว ใช้น้ำราดหัวและตัวแล้วจึงวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปในเปลวไฟ
เท่ห์กำลังสาดน้ำดับไฟอยู่ไม่ไกลกันนัก
“ไอ้หรั่ง มึงจะไปไหน”
ไม่มีใครเรียกหรั่งได้ทัน
มองจากมุมสูงลงมา การดับไฟยังดำเนินต่อไปอย่างยากเย็น
หรั่งวิ่งฝ่ากองไฟ เข้ามาในห้องนอนของเขา เขาแหงนหน้ามองดู ผนังเพดานผืนนั้น เปลวไฟลามไปจนทั่ว เหลือรูปภาพของแพรวาอยู่บ้างไม่มากนัก หรั่งกระชากทั้งแผงให้ร่วงลงมา เขารีบแกะเอารูปทั้งหมดที่ยังเหลือ รวมทั้งซากที่พอจะดึงออกมาจากผนังนั้นได้
หรั่งสำรวจอย่างว่องไว กวาดตามองหากล่องเก็บของสำคัญของเขา แล้วกระชากตู้เสื้อผ้าทั้งตู้ล้มลง จนเปลวไฟลุกติดตู้เสื้อผ้า
จังหวะที่หรั่งผงะถอยหลังหนี สายตาหันไปเห็นกล่องไม้ใบนั้นตกอยู่ที่พื้น เขาพุ่งเข้าไปหามัน หยิบมันขึ้นมาดู
ฝากล่องไม้นั้นเปิดอยู่...หรั่งควานหาของในกล่องที่ตกอยู่ตามพื้น เขาหยิบได้รูปสามสี่ใบ นามบัตร การ์ด และล็อคเก็ตไวโอลิน
ไม้ติดไฟท่อนใหญ่ ล้มลงใส่ หรั่งเอี้ยวตัวหลบ เปลวไฟโหมกระหน่ำหนักขึ้น หรั่งถอดเสื้อที่เปียก ห่อของเหล่านั้น แล้ววิ่งฝ่ากองไฟออกไป ก่อนที่ร่างกายจะทนต่อการขาดอากาศไม่ไหว
หรั่งออกมาแล้ว ขยับตัวนั่งลงข้างๆ ก้อย ตรงบริเวณไม่ไกลจากเพลิงไหม้ เขายื่นไวโอลินใส่มือก้อย มันกรอบและโค้งงอเพราะเปลวไฟ
“มันเหลืออยู่แค่นี้เอง ก้อย”
ก้อยรับซากไวโอลินนั้นมาลูบคลำ อย่างเสียดาย
“ก้อยคงไม่มีโอกาสเล่นไวโอลินอีกแล้ว”
“มีสิ ก้อยต้องได้เล่น...หรั่งจะหาไวโอลินตัวใหม่ให้นะก้อย”
“ของใหม่ มันไม่ผูกพันใจเรา เท่ากับของที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดนะหรั่ง”
หรั่งพูดไม่ออก
บรรยากาศรอบข้างยังเต็มไปด้วยความหดหู่ โสกเศร้า เสียงอื้ออึงของผู้คน ทั้งเอะอะโวยวาย ทั้งร้องไห้คร่ำครวญ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ยังทำงานอย่างหนัก เพื่อระงับเปลวไฟให้ดับสนิท
ไกลออกไป เห็นโบ้ คร่ำครวญเสียดายเครื่องดนตรีที่เสียหายไปในกองเพลิง
“โฮโฮโฮ...ทรัมโบน...กลองแต๊ก...กลองใหญ่...บารีโทน...ทำไมต้องทำกับโบ้อย่างนี้ โฮโฮ
โฮ....”
ในมือของโบ้มีซากปรักหักพัง ที่ดำเป็นตอของเครื่องดนตรีสี่ห้าชิ้น มีเพียงทรัมเป็ตติดตัวเขาเท่านั้น ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของเปลวเพลิง
หรั่งและก้อยนั่งพิงกันนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับจะไว้อาลัยให้กับบ้านที่เพิ่งจะสูญหายไปในกองเพลิงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
เวลาต่อมา กองไฟมอดลงแล้ว เหลือเพียงแต่ควันกรุ่นอยู่รอบๆ ซากปรักหักพังทับถมกันกระจายเป็นวงกว้าง เสียงอึกทึกต่างๆ เบาบางลงไปเยอะ เหลือเพียงเสียงร้องสะอื้นของโบ้เท่านั้น
โบ้นั่งฟุบหน้ากับเข่าตัวเอง ครวญครางฟังไม่เป็นคำ
“ฮือฮือฮือ...”
เท่ห์และเช็ง ทั้งคู่ช่วยกันพยุงน้าเบิ้มเดินคร่ำครวญมาจากซากเถ้าถ่าน
“เกือบทั้งชีวิต กูต่อสู้มา กว่าจะมีบ้าน มีทีวี มีตู้เย็น วิทยุ ลำโพง…มันหายไปกับไฟหมดเลย…ใคร ใครทำกูวะ”
ด้านหลังเห็นเจ๊โอ๋ ปลอบลูกๆ อีกสามคนที่เหลือ
ก้อยและหรั่งที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม แววตาของหรั่งเต็มไปด้วยความปวดร้าว
อีกมุมหนึ่ง แพรวาค่อยๆ เดินเข้ามาหยุดมองภาพเหล่านี้อย่างสะเทือนใจ
หรั่งรำพันความรู้สึกออกมาโดยไม่สนใจว่าจะมีใครได้ยิน
“ถ้าเพียงแต่วันนี้ หรั่งอยู่ที่นี่ มันคงจะไม่ถึงขนาดนี้หรอกก้อย”
แพรวาขาแข็งยืนนิ่งเป็นหุ่น ก้าวขาไม่ออกอยู่ตรงนั้น
ตกดึก แพรวาเดินเข้ามาในโถงกลางบ้านอย่างรีบร้อน ส้ม สาวใช้เดินตามมาดูแลอยู่ใกล้ๆ
“คุณป๋าของฉันล่ะ”
“เพิ่งเข้านอนก่อนคุณมาถึงได้แป๊ปเดียวเองค่ะ”
สาวใช้ตอบพร้อมกับเดินตามไปด้วย รำไพเดินลงบันไดมาร่วมเฟรม หน้าตาเธอยิ้มแย้ม
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะคนเก่ง...หนูทำได้ดีมากนะ คุณป๋าดูอยู่ ยังชมเลย”
“คุณป๋าเป็นไงบ้างคะ”
“ดีขึ้นแล้ว...หมอฉีดยาให้แป๊ปเดียวก็หาย...แต่เขานัดไปตรวจร่างกายบ่อยขึ้น”
แพรวาจับมือรำไพกระชับแน่น
“แม่คะ...เราต้องช่วยนายหรั่งนะคะ...เราต้องช่วยเขานะคะ”
เผ่าลาภนั่งชันตัวขึ้นบนเตียงนอน รู้เรื่องที่ลูกสาวขอร้อง แต่ยังงงๆ
“ช่วยอะไรล่ะ”
แพรวาและรำไพล้อมอยู่ใกล้ๆ เตียงนอนนั้นเอง
“คุณป๋าต้องรับปากก่อนว่าจะช่วย และช่วยเขาอย่างเต็มที่ด้วย”
“เอ้า รับปาก”
“ไฟไหม้บ้านหรั่งค่ะ...เขาไม่เหลืออะไรเลย”
รำไพตกใจ “ตายจริง”
“ไฟไหม้บ้านเขา ตอนที่เขาต้องมาช่วยหนูให้ผ่านพ้นการออกรายการทีวีคืนนี้ได้ด้วยดี...คุณป๋าไม่ช่วยหรั่งไม่ได้นะคะ”
เผ่าลาภครุ่นคิด
“มันไหม้ได้ยังไง”
ศาลาวัดแห่งนั้น อยู่ไม่ไกลจากชุมชนนัก สภาพไม่ถึงกับใหญ่โตมากนัก มันเป็นศาลาโล่งๆ ที่กลุ่มชุมชนผู้ถูกไฟเผาบ้านมาอาศัยกางมุ้งนอนกัน มุ้งทั้งหลายที่เรียงรายอยู่ ล้วนแล้วแต่เก่า มีรอยปะ ขาด หนังยางรัดไว้ก็มี แสงไฟสลัวๆเกิดจากเทียนและตะเกียงเป็นหลัก
กลุ่มผู้ไร้ที่อยู่ต่างวุ่นวายกับภารกิจของตนเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆไปทั่วๆ
เท่ห์ขยับตัวนั่งลงพิงเสาศาลา
“เผาไล่ที่แหงๆ”
เจ๊โอ๋นั่งประแป้งตามเนื้อตัวอยู่ใกล้ๆ
“โอ๊ย...จะมาไล่อะไรกันอยู่ได้ ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ไป สัญญิงสัญญาก็กำลังจะตกลงกันได้อยู่แล้ว...ทำไมมันไม่รู้จักเบื่อกันซักที”
เช็ง นั่งอยู่ถัดไป
“ถ้ามีที่ไปละก้อ ไปเองนานแล้ว”
โบ้ที่กำลังเอาน้องสามคนเข้ามุ้งนอน น้าเบิ้มนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่แถวๆ นั้น
ที่มุ้งปลายสุดของศาลา หรั่ง ยื่นหน้าเข้าไปส่องดูในมุ้งหลังนั้น เห็นเป็นก้อยนอนหลับแล้ว หรั่งเดินเลี่ยงออกมาจากมุ้งนั้น...เขาลงนั่งริมบันไดศาลา ข้าวของส่วนตัวของเขากองวางอยู่ตรงนั้น รวมทั้งกล่องไม้เก่าๆ ของเขาด้วย หรั่งเปิดกล่องไม้นั้นดู
สิ่งที่เหลือคือ รูปถ่ายเท่าที่เขาหยิบมาได้ นามบัตรและการ์ดจากแพรวามีขอบที่เกรียมเพราะไฟลาม สมุดบันทึกที่เหลือเพียงบางหน้า...ล็อคเก็ตไวโอลินสีขาว เปลือกหอยเก่าๆ ห้าหกอัน หรั่งมองของเหล่านั้นอย่างผูกพัน
เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกเสียดาย ของอีกหลายๆ ชิ้นที่สูญสลายไปแล้ว หรั่งหยิบเปลือกหอยบางชิ้นขึ้นมาดูใกล้ๆ
ของชิ้นนี้ทำใหเขานึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่หาดทรายอันสวยงาม ตอนกลางวัน
เด็กหญิงแพรวาและเด็กชายหรั่ง ในชุดราวกับเจ้าหญิงและทหารเอก วิ่งเล่นไปรอบๆหาด
เด็กหญิงเป็นคนส่งเปลือกหอยนั้นให้เด็กชาย
“เราให้เธอ เก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ”
“เราจะเก็บของเหล่านี้ไว้กับตัว จนกว่าชีวิตของเราจะหาไม่”
เด็กชายหรั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเด็กหญิงแพรวา
เด็กหญิงยิ้มและออกวิ่งนำไป
“ถ้าแน่จริง...ตามเรามาให้ทันสิ เร็ว”
เด็กชายหรั่งออกวิ่งตามเด็กหญิงไปทั่วหาด บอกอย่างมุ่งมั่น
“เราจะตามเธอไปทุกหนทุกแห่งแน่นอน เจ้าหญิงตัวน้อย”
น้าเบิ้มเดินมานั่งข้างๆหรั่ง ขณะเขากำลังเก็บข้าวของสำคัญของเขาเหล่านั้น
“ยังไม่นอนเหรอ น้าเบิ้ม”
“นอนไม่หลับว่ะ”
“ไอ้โบ้เป็นไงบ้าง”
“ดูน้องอยู่”
“มันหยุดร้องไห้รึยัง”
“หยุดแล้ว ตางี้แดงก่ำกว่าลูกตำลึง”
“ตาน้าเบิ้มก็พอกันน่ะแหละ…ไอ้โบ้นี่มันก็แปลกนะ บางทีฉันดูมันรักเครื่องดนตรียิ่งกว่าน้องมันอีก”
“มันคงเกิดมาคู่กันจริงๆ...เฮ้อ ข้ามีความลับจะบอกว่ะ...ไอ้โบ้ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้าหรอก”
หรั่งตกใจ “เฮ่ย...แล้วมันลูกใครล่ะ”
“ไม่รู้ ข้าเก็บมาเลี้ยง...เอาเคล็ด ล่อให้ลูก อิจฉามาเกิด”
“เหรอ...ได้ผลเหมือนกันเนอะ”
“ได้ผลอะไรล่ะ...เดือนเดียว เมียทิ้งเลย”
หรั่งร้อง “อ้าว”
“วงดนตรีที่ข้าขับรถคอนวอยให้ก็เจ๊ง วงแตก หัวหน้าวงหนีหนี้ มันถึงได้ยกเครื่องดนตรีพวกนี้ให้ข้าถือเป็นใช้หนี้แทนเงิน...จนได้อีโอ๋มาเป็นเมียนี่แหละ ถึงมีไอ้สามตัวหลังนี่...นี่ข้าบอกเอ็งคนเดียวนะ เอ็งเหยียบไว้ให้มิดล่ะ อย่าไปบอกใครเชียว โดยเฉพาะไอ้โบ้”
“ไม่น่ามาบอกฉันเลย น้าเบิ้ม ฉันไม่ชอบเก็บความลับ มันอึดอัด”
“เอาน่า...ช่วยๆ กันหน่อย แบ่งๆ กันอึดอัดบ้าง” น้าเบิ้มว่า
ผู้ใหญ่เงาะเดินเมาเข้ามายังศาลาวัด เขาพูดกับทุกๆ คนที่ยังนั่งอยู่
“เป็นไงวะ...พวกเราอยู่กันได้มั้ย”
“ก็ โอ.เค.” หรั่งบอก
“ฉันมีข่าวมาบอกพวกเรา”
“ข่าวอะไร” เบิ้มฉงน
“ข่าวนี้ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม...ไอ้ไฟไหม้ครั้งนี้ ที่คิดกันว่าเผาไล่ที่น่ะผิด...ไม่ได้เกี่ยวกับการไล่ที่แต่อย่างใด”
“แล้วที่ถูกคืออะไร” เบิ้มถาม
“เผาล้างแค้น...มันแค้นผู้ไม่ประสงค์จะออกนามของเรา...ชัวร์”
หรั่งเครียด และเขาเห็นด้วย
ขณะเดียวกันที่มุมลับตาในบริเวณคอนโด เงินสดในมือใครคนหนึ่ง ยื่นให้อีกมือหนึ่ง เป็นบารมีนั่นเองที่เป็นผู้ส่งเงินให้กับชายลึกลับสองคนที่เป็นมือวางเพลิง มันทั้งสองยกมือไหว้บารมีอย่างสวย
“นายสองคนทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณที่ชมครับ” 1 ใน 2 บอก
“ต่อไปนี้ถือว่าเราไม่รู้จักกันนะ”
“แน่นอนครับ” คนเดิมว่า
“จนกว่าจะมีใครผิดใจกับคุณอีก” คนที่ 2 เสริม
บารมีเดินกลับเข้าไปในคอนโดมีเนียมอย่างอารมณ์ดี ชายลึกลับทั้งสองขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
กันทิมาเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องพร้อมเหล้าขวดใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ได้ยินเสียงบารมีดังเข้ามา เขาพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน
“ไง หลานตะวันฉาย...ฝีมืออายอดเยี่ยมเลยใช่มั้ย...งั้นเราคงได้เครดิตกลับมาอื้อเลยสินะนี่ขนาดเบาๆ เท่านั้นนะ...ฮ่ะฮ่ะฮ่า...เรียบร้อย...เรียบเป็นร้อย ดำเกรียมเชียวแหละ”
บารมีหัวเราะเริงร่า โดยไม่รู้ว่ากันทิมา แอบฟังอยู่หลังประตูห้องนอน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เวลาเดียวกัน ที่บริเวณห้องครัวบ้านอรทัย ท่ามกลางความมืด อรทัยเปิดตู้เย็น รินน้ำ หยิบยาแก้ปวดหัวใส่ปาก แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
เสียงฝีเท้าเด็กผู้หญิงเดินผ่านอรทัยเข้าไปในครัว
“กลับซะดึกเลยนะยายตอง...กี่โมงแล้วนี่” อรทัยดูนาฬิกา “โอ้โฮ เรียนพิเศษอะไรกันขนาดนี้ นี่มันยิ่งกว่าพวกทำด็อกเตอร์ อีกนะเนี่ย”
เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำดื่ม แล้วจึงเปิดลิ้นชัก หยิบซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาฉีกออก
“หิวอีก ?...กินดึกๆ ระวังอ้วนนะ แล้วอย่ามาบ่นล่ะ จะมาโทษม้าไม่ได้นะ”
เด็กผู้หญิงรินน้ำใส่ชามบะหมี่ แล้วยัดใส่เตาไมโครเวฟ
“ม้าว่าผลไม้ดีกว่ามั้ย หลับสบาย ไม่อ้วน”
อรทัยหยิบส้ม และ แอปเปิ้ล วางให้บนโต๊ะ
“แล้วไฟ ก็ไม่รู้จักเปิด ชอบอยู่มืดๆ เหมือนพ่อแกไม่มีผิด”
อรทัยกดปุ่มเปิดไฟ ห้องครัวสว่างไสวขึ้นมาทันที จึงพบว่าเด็กผู้หญิงที่นั่งกินบะหมี่อยู่นั้นคือ แก้ม
อรทัย ตกใจ ส่งเสียงร้องลั่น
“เฮ้ย...แกเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แกจะเข้ามาเอาอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
อรทัยคว้าของมีคมใกล้ตัวขึ้นมาถือ ขู่
“สวัสดีคับ อาม้า”
“ไม่ต้องมาหวัดดี ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
ตองวิ่งเข้ามา หน้าตาตื่น
“ม้า”
“ยายตองอย่าเข้ามา...ออกไปก่อน รีบไปโทร 191 เดี๋ยวนี้เลย”
“ม้า...นั่นเพื่อนตอง ชื่อ แก้ม” ตองบอก
อรทัยร้อง “ห๊ะ!”
“เพื่อนสนิทของตอง...ที่เรียนพิเศษด้วยกัน...แก้มเขาอยู่หอ ตองเลยชวนให้มานอนด้วยกันที่บ้าน...เพราะใกล้สอบแล้ว จะได้ท่องหนังสือด้วยกัน...มันจำง่ายดี”
“แล้วก็ไม่บอก”
“ก็บอกอยู่นี่ไงคะ”
“มันต้องบอกก่อนมา...ไม่ใช่มาแล้วค่อยบอก...อย่างนี้มันบังคับกันนี่หว่า...รู้ได้ไงว่าม้าจะอนุญาต”
“งั้นแก้มกลับบ้านก็ได้” แก้มบอก
“ไม่ต้องหรอก อยู่นี่แหละ...ถ้าเป็นเรื่องเรียนแม่ไม่ว่า...ช่วยกันท่องช่วยกันติวอย่างนี้ดีแล้ว...แต่ย่องเข้ามาในครัวมืดๆ ดึกๆ ดื่นๆ ไม่บอกใครอย่างนี้ ทีหลังอย่าทำอีกนะ”
“ฮะ...”
เช้าตรู่วันต่อมา
แพรวาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วลงบันไดมาจากห้องนอนของตนมายังโถงกลาง ท่าทางเธอกระตือรือร้นมาก
สยามนั่งดื่มกาแฟรอเผ่าลาภตามปกติ ณ ตำแหน่งประจำของเขา แพรวาเดินตรงเข้าไปหาสยาม
“นายหรั่งล่ะ”
“บ้านเขาเพิ่งจะโดนไฟไหม้ ต้องมีเรื่องจัดการอีกเยอะ...คงยังมาทำงานไม่ได้หรอกครับ”
แพรวาดูจะยังอยู่ในภาวะกลัดกลุ้มใจ เผ่าลาภเดินเดินเข้ามา แพรวาหันไปหาพ่อทันที
“ตกลงคุณป๋าจะช่วยหรั่งเขาไหมคะ”
“ช่วยน่ะช่วยแน่...แต่เรื่องอย่างนี้จะให้ป๋าผลีผลามไม่ได้หรอก...แล้วมันก็ไม่ใช่นายหรั่งคน
เดียว เพื่อนๆ เขาอีกตั้งกี่หลังคาเรือน...ให้ป๋าคิดดูก่อนว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง”
“คิดเร็วๆ นะคะ น้องแพรอยากได้ผู้ช่วยคืนมาไวๆ”
เผ่าลาภได้แต่พยักหน้ารับคำกับลูกสาว
ที่ชุมชนจานเดี่ยว แลเห็นซากปรักหักพังกระจายเป็นวงกว้าง มันถูกล้อมรอบด้วยบ้านผู้โชคดี ที่รอดพ้นจากเปลวเพลิง
หรั่งจูงก้อย และพรรคพวก ค่อยๆ เดินเข้ามาตรงนี้ พวกเขาต่างกระจายกันไปดูร่องรอยที่เหลือของบ้านตน เสียงพร่ำบ่นถึงความซวย ยังคงมีปะปนไปกับเสียงสาปแช่งคนเผาและอยู่ๆ ชาวบ้านสามคนก็พุ่งเข้ามาชี้หน้าหรั่ง
ชาวบ้าน 1 นำทีม “เพราะมึงเลยนะไอ้หรั่ง เพราะมึงคนเดียวเลย ถึงได้ซวยกันหมดอย่างนี้”
ชาวบ้าน 2 ตาม “ใช่ เพราะความอยากเป็นพระเอกของมึง ไอ้พระเอกส้นตีน”
“ทำไมว่าหรั่งอย่างนั้นล่ะ” ก้อยเถียง
เท่ห์ลากหรั่ง หลบออกมากระซิบ
“กูว่ามึงลาออกจากบริษัทนี้เลยดีกว่า มันร้อนอย่างนี้ อยู่ไม่ได้หรอก”
“มันร้อนมาถึงพวกเราด้วยน่ะซี ไม่ได้ร้อนเฉพาะมึง” เช็งบอก
ชาวบ้าน 3 แหลมเข้าอีก “ไอ้หรั่ง บ้านมึงไหม้ไปหมดแล้ว...กูว่า มึงไปอยู่ที่อื่นเลยดีกว่า ไม่ต้องมาอยู่ที่จานเดี่ยวนี่อีกแล้วนะ ไอ้ตัวซวย”
ก้อยบีบมือให้กำลังใจหรั่ง
“ไม่ต้องคิดมากนะหรั่ง”
หรั่งซึมลงไปถนัดตา
อ่านต่อหน้า2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 8 (ต่อ)
ที่อีกมุมหนึ่ง ผู้ใหญ่เงาะเดินนำทนายสองคนซึ่งเป็นตัวแทนเจ้าของที่เข้ามา มีกลุ่มชาวบ้านและตำรวจเดินตามหลัง ทุกคนต่างพากันมองสำรวจไปรอบๆบริเวณ
ทนายคนที่ 1 เอ่ยขึ้น “ผมว่าพวกคุณถือโอกาสนี้ ย้ายออกไปซะเลยดีกว่า”
“อ้าว ทำไมพูดงั้นล่ะ...คราวที่แล้วยังคุยเรื่องสัญญาเช่ากันอยู่เลย” ผู้ใหญ่โวย
“ก็อย่างที่เคยบอกนั่นแหละครับ เจ้าของที่ท่านห่วงเรื่องความปลอดภัยมาก นี่ก็เห็นแล้วว่าพวกคุณไม่สามารถดูแลป้องกันเรื่องอัคคีภัยได้เลย เพราะฉะนั้นก็ย้ายไปซะเถอะครับ” ทนายคนเดิมบอก
“จริงของเขานาผู้ใหญ่” ตำรวจเห็นดี เลยต้องโต้เถียงกันขึ้น
“เอ๊ ตกลงคุณมาช่วยเราสืบหาตัวคนเผา หรือจะมาช่วยเขาไล่เรากันแน่คุณตำรวจ”
“ผมต้องช่วยในสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองอยู่แล้ว...ซึ่งตามกฎหมายนั้น พวกคุณเป็นผู้บุกรุกอยู่นะ อย่าลืม”
ชาวบ้าน 1 โวยขึ้นมา “แสดงว่าเผาไล่ที่ชัวร์เลยอย่างนี้”
ตำรวจพยายามเคลียร์ “เจ้าของที่เขาไม่เกี่ยว เขาจะจ้างคนมาเผาทำไม ในเมื่อมันเป็นที่ของเขา เขาไล่พวกคุณได้อยู่แล้ว ศาลก็สั่งไล่พวกคุณไปแล้ว จำได้มั้ย”
ชาวบ้าน 2 โวย “เอา จะไล่กันอีกก็มา ไม่เบื่อกันก็เอา ไล่กันดูอีกซักยกสองยก ดูซิว่าเราจะไปไหม”
ชาวบ้าน 3 เสริม “ดีแต่ไล่นี่หว่า...เกิดมาโชคดีเป็นเจ้าของที่ดินแค่เนี้ยะ เที่ยวไล่เขาตะพึดตะพือ”
“แน่จริง หาที่อยู่ใหม่ให้ดี้...เห็นเราเป็นขยะหรือไง” ชาวบ้าน 1 ท้า
ชาวบ้าน 2 ก็ ท้า “ว่างๆ ลองโผล่ไปแถวยโสบ้างนะ พ่อจะไล่ให้หางจุกตูดเลยมึง”
ชาวบ้านเริ่มโอบล้อมตำรวจและสองทนายนั้นไว้ เรื่องราวทำท่าจะลุกลามไปกันใหญ่
“พวกคุณพูดมีเหตุผลหน่อยสิครับ...เจ้าของที่เขาแค่อยากพัฒนาที่ดินของเขาไม่ให้เป็นแหล่งเสื่อมโทรม” ทนายบอก
“โทรมยังไง โทรมตรงไหนครับ...มีพวกเราอยู่แล้วมันโทรมเหรอ” ผู้ใหญ่ตีรวน
ตำรวจปราม “เขากลัวว่าจะเป็นแหล่งมั่วยา”
ผู้ใหญ่เงาะของขึ้น “อ้าว ใครครับ ใครมั่วยาครับ ชี้มาเลยดีกว่า...ไอ้ที่ยืนๆกันอยู่นี่ กินยังจะไม่มีกินเลย จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อยา...โน่น ไอ้พวกเมายามันพวกโน้น” ผู้ใหญ่ชี้ไปทางตึกสูง “พวกผู้ดีมีเงินนู่น เอามั้ยจะพาไปชี้ตัวให้ เอามั้ย...มีปัญญาจับมั้ยล่ะ แน่จริงเอาดี้”
“ผมว่าพวกคุณกำลังใช้อารมณ์อยู่นะครับ” ทนายติง
“ก็แหงสิ บ้านโดนไฟไหม้ จะไม่ให้ใช้อารมณ์ได้ไง...คุณลองเผาบ้านคุณดูบ้างมั้ยล่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งว่า
จากนั้นชาวบ้านเริ่มเบียดแน่นเข้ามา สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น...ตำรวจกลืนน้ำลายดัง
“เอาละ ผมว่าวันนี้เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วกัน จะได้มุ่งเน้นเรื่องสาเหตุของเพลิงไหม้กันก่อน...นะครับ...เอ้อ ช่วยขยับขยายออกหน่อย กรุณาอย่าล้อมเจ้าหน้าที่ไว้อย่างนี้ เป็นภาพที่ดูไม่ค่อยดี”
ผู้ใหญ่ตะโกน “เอ้าพวกเราเปิดทางหน่อยเว้ย”
กลุ่มคนกระจายตัวเปิดออกเป็นทางเดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ทนายรีบเดินออกไปตามช่องทางนั้น
เผ่าลาภและสยาม เดินสวนเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง ทั้งคู่กวาดสายตามองไปรอบๆ หรั่งขยับตัวลุกขึ้นทันทีที่เห็นสองคน เผ่าลาภเดินตรงไปที่หรั่ง
“เป็นไงบ้างนายหรั่ง”
ชาวบ้านทุกคนหันมามองที่เผ่าลาภ...หรั่งเอ่ยปากบอกชาวบ้าน
“นี่คุณเผ่าลาภ เจ้านายฉัน”
“อ้อ คุณนี่เอง...หน้าตาเป็นงี้เอง...ผิวพรรณดีนะนี่…” เจ๊โอ๋ ว่า
“ไม่น่ามีน้องเลวๆเลย” เช็งพูดลอยๆ
สยามและเผ่าลาภดูไม่ทันว่าใครเป็นคนพูด
“ฉันเห็นใจเธอ และก็เพื่อนๆของเธอทุกคนนะ...ไม่นึกว่าเหตการณ์อย่างนี้จะมาเกิดขึ้นในขณะที่เธอเองต้องทำงานให้ฉันอยู่”
ผู้ใหญ่เงาะเดินเข้าไปใกล้เผ่าลาภ
“คุณคงรู้ใช่มั้ย ว่า ไฟไหม้ครั้งนี้ คุณนั่นแหละที่มีส่วน”
สยามฉุน “อ้าว ทำไมลุงพูดอย่างนี้กับเจ้านายผมล่ะ...มันเกี่ยวกันยังไงไม่ทราบ”
“มันเกี่ยวกับบริษัทของคุณ แล้วก็น้องชายคุณ...จะให้พูดมากกว่านี้มั้ย” ผู้ใหญ่ว่า
เผ่าลาภ ตัดความ “เอาละ เรื่องนี้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด...แต่ผมขอช่วยเหลือพวกคุณทั้งหมดเอง...ไม่ทราบใครเป็นหัวหน้าชุมชนที่นี่”
“ยืนอยู่หน้าคุณนี่แหละครับ”
“คุณช่วยนับจำนวนผู้เสียหายมาทีนะ ว่ามีกี่ครอบครัว ผมจะให้ครอบครัวละแปดพันบาท”
มีเสียงอื้ออึง อูอี้ อลหม่าน ดังตามมา
“ช่วยมาลงชื่อไว้ที่ นายสยามคนของผม คนนี้นะ”
เผ่าลาภพูดแล้วกระเถิบเข้าใกล้หรั่ง
“ส่วนเธอ นายหรั่ง...ฉันมีข้อเสนอพิเศษให้”
“ผมก็มีข้อเสนอเหมือนกันครับ”
“งั้นเธอว่ามาก่อนเลย”
“ผมขอลาออกครับ....เงินเดือนที่ผมเบิกไปล่วงหน้า ผมจะหามาใช้คืนให้ทีหลัง”
เผ่าลาภอึ้ง ทุกคนที่ได้ยิน อึ้งกันทั้งหมู่ ต่างพากันจ้องตาหรั่งอย่างงุนงงไม่เข้าใจ
แพรวารู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย เธอร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ลาออก? ป๋าไปพูดกับเขายังไง เขาถึงลาออก”
แพรวาขมวดคิ้วยุ่งเหยิง ยืนคาดคั้นอยู่ตรงหน้าเผ่าลาภ ที่ได้แต่นั่งทอดอาลัย หน้าตาเหนื่อยหน่ายเป็นกำลัง
“ป๋ายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เขาก็ขอลาออกแล้ว เขาคิดว่าไฟไหม้ครั้งนี้เป็นเพราะบริษัทเรา”
“แล้วทำไมป๋าไม่พูด ไม่อธิบาย โธ่...จะไปตามเขามาทำงาน แต่ป๋ามัวไปยืนเงียบๆ ใครเขาจะรู้เรื่องล่ะ แสดงว่าป๋าไม่อยากให้เขามาทำงานกับเราใช่มั้ย...ใช่มั้ยป๋า” แพรวาพาลใหญ่
เผ่าลาภถอนใจร้อง “เฮ้อ...” ยาว
“ป๋าไม่เห็นเหรอว่านายหรั่งเขาช่วยน้องแพรได้...ช่วยได้หลายเรื่องด้วย หรือคุณป๋าอยากให้น้องแพรตัวคนเดียว โดดเดี่ยวอยู่ในธุรกิจที่ยุ่งเหยิงนี้อยู่ตามลำพัง”
“ใครบอกล่ะ...ป๋าหาคนอย่างนี้มานานแล้ว...รู้มั้ยว่าป๋าตั้งใจจะให้ตำแหน่งอะไรกับเขา”
แพรวามองหน้าป๋า ใครจะไปรู้อ่ะ
เด็กๆ หญิงชาย ใช้เศษซากไม้ วิ่งเล่น ไล่ ต่อสู้กัน ตรงบริเวณซากปรักหักพัง ในชุมชนจานเดี่ยวขณะพวกผู้ใหญ่สี่ห้าคน คุ้ยหาของที่พอจะใช้ประโยชน์ได้
หรั่ง เท่ห์ โบ้ เช็ง นั่งล้อมวงกัน พวกมันกำลังนับเงินในมืออยู่
“เจ้านายมึงใจกว้างดีว่ะ...กูว่ามึงเปลี่ยนใจกลับไปทำงานกับเขาเถอะ” เท่ห์บอก
เช็งทักว่า “หรือมึงกำลังเล่นตัว เพื่อขอเงินเดือนที่สูงขึ้น”
“อะไรวะ...ที่มึงได้อยู่ตอนนี้ยังสูงไม่พออีกเหรอ” โบ้ถาม
“กูว่า เราเผาบ้านเล่นกันเดือนละครั้งมั้ยวะ...ครั้งละตั้งแปดพัน ไม่น้อยนะมึง”
หรั่งค่อยๆ ขยับเปลี่ยนอิริยาบถของตัวเอง ที่ด้านหลังของหรั่ง เห็นสยามขับรถแล่นเข้ามาในชุมชนนี้ หรั่งค่อยๆ เรียบเรียงความคิดของเขาออกมา
“ที่บริษัท M.S. มันคงร้อนจริงๆ ขนาดพี่น้องกันเองแท้ๆ ยังแข่งกัน แย่งกันแทบเป็นแทบตาย...ถ้าฉันอยู่ที่นั่น อีกหน่อยอาจเจอหนักกว่านี้ก็ได้...แล้วก้อยล่ะ แล้วพวกมึงล่ะ จะมาเดือดร้อนไปด้วยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทำไม”
สยามก้าวลงจากรถของตน เดินตรงมาที่หรั่ง
“นายหรั่ง...นายรู้มั้ยว่า คุณเผ่าลาภเสียใจแค่ไหนที่นายลาออก...แต่คนที่เสียใจที่สุดไม่ใช่คุณเผ่าลาภ...คุณหนูแพรวาเว้ย”
หรั่งอึ้งไป ห้าวินาที เอ่ยแย้งออกมา
“คนที่นี่ก็เสียใจไม่น้อยกว่าคุณแพรวาครับ...ทำไมผมจะต้องเห็นแก่บริษัทใหญ่ๆ โตๆ มากกว่า พี่น้องผองเพื่อนของผม”
“เขาไม่ได้ให้นายเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างบริษัทกับเพื่อน...นายควรจะมีไว้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ...แต่ที่นายควรจะมีมากที่สุดตอนนี้ก็คือ สติ ไม่ใช่อารมณ์...อย่างน้อยก็ลองนึกถึงใจของเขาบ้าง เวลาที่เขามีน้ำใจช่วยเหลือนายน่ะ นายลืมไปหมดแล้วเหรอ”
“เขาให้น้าหยามมาตามผมกลับเหรอครับ”
“ถึงเขาไม่บอกให้มา ฉันก็ต้องมา...เพราะฉันรู้ว่าทั้งคุณเผ่าลาภและคุณแพรวา ต้องการนายจริงๆ จะเป็นเพราะความเก่งของนายหรือยังไง อันนี้ฉันไม่ทราบ...แต่ฉันบอกนายได้เลยว่า ตำแหน่ง เลขา M.D.น่ะ ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆนะโว้ย หรั่ง”
หรั่งตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขายังคงเงียบอยู่
เวลาเดียวกัน ตรงริมถนนลูกรังที่เป็นแนวสุดเขตท้ายเหมือง M.S. พื้นที่ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ราบ รก โอบตลอดแนวภูเขา
เห็นชาติชายยืนส่องกล้อง และอุปกรณ์ GPS อยู่บริเวณนั้น โดยมีไอ้ผ่องลูกน้องคนสนิทถือผังบริเวณ คอยช่วยเหลือ อยู่ข้างๆ รถจี๊ปของชาติชายจอดอยู่ไม่ห่างนัก
จังหวะนี้จิ๊กโก๋ต่างถิ่นสามคน ขี่มอเตอร์ไซค์สองคัน เข้ามาด้านหลัง พวกมันส่งเสียงแขวะกัน มันปาก
“อะไรเอ่ย...ที่ของมันอยู่ฟากโน้น ดันหันกล้องมาส่องฟากนี้...โง่ หรือหลงทิศกันแน่วะเนี่ย” จิ๊กโก๋ 1 เปิดฉากปากเปราะ จิ๊กโก๋ 2 ปากหมาตามติด
“อันนี้ต้องหลงทิศแหงๆ...แต่ถ้าจะหาสาเหตุของการหลงทิศละก้อ บอกได้เลย มีเหตุผลเดียวคือ โง่”
สามจิ๊กโก๋สุมหัวกัน หัวเราะเยาะ
“หรืออีกเหตุผลหนึ่ง คือ โง่มาก” จิ๊กโก๋ 2 ว่า
จากนั้น พวกมันหัวเราะ ดังมากขึ้น
“อ้อ ต้องเหตุผลนี้เจ๋งสุด โคตรโง่ หรือไม่ก็ ลูกอีช่างโง่” จิ๊กโก๋ตัวเดิมว่าอีก
ชาติชายมีอาการ ฮึดฮัด จะเข้าไปเอาเรื่อง ผ่องรั้งแขนไว้
“เฮีย...อย่ามีเรื่องเลย ไม่คุ้มกันหรอก...ไปเหอะเฮีย”
ไม่ทันที่ชาติชายจะเดินพ้นไป ไอ้พวกจิ๊กโก๋ก็เอ่ยปากอีก
“เอ...โง่กับขี้ขลาดนี่มันจำพวกเดียวกันรึเปล่าวะ”
“ไม่รู้ว่ะ...อันนี้ต้องสืบย้อนไปถึงบรรพบุรุษ ยิ่งถ้าเป็นพวกเจ๊กแป๊ะละก้อ...”
ชาติชายสะบัดแขนหลุดจากไอ้ผ่อง เขาชักปืนที่เอวขึ้นมาสองกระบอก จ่อไปที่ จิ๊กโก๋ 2 และเพื่อนมัน
“มึงจะพูดอะไร...”
สามจิ๊กโก๋ หุบปาก เรียบร้อยลงทันตา
“ป่าว...” จิ๊กโก๋ 2 ว่า
“ป่าวอะไร...มึงเพิ่งพูดอยู่เมื่อกี้เอง แต่ยังไม่จบ...กูถามว่า มึงกำลังจะพูดอะไร”
โก๋ 2 บอกจ๋องๆ “จะให้พูดจริงๆ เหรอครับ”
“เอาดี้ ถ้ามึงไม่ขี้ขลาด ก็พูดออกมา แต่ถ้ามึงล่วงเกินบรรพบุรุษกูแม้แต่คำเดียวกูยิง...กล้ามั้ยล่ะ”
ผ่องกระซิบเบาๆ “หนักไปนะเฮีย...กลับเถอะ”
“ผมไม่กล้าครับ เขาใช้ผมมา” ตัวเดิมบอก
“งั้นมึงก็ไปบอกไอ้คนที่ใช้มึงมาด้วย ว่าอย่าเสือกกับกูและงานของกู...ที่ของกูอยู่ทางนู้นใช่...ส่วนที่ทางนี้กูแค่สำรวจและไม่ได้บุกรุกอะไรใคร...ถ้าจะมีการลงทุนทำอะไร ก็ต้องผ่านขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อน และเป็นโครงการที่ไม่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านไม่โกงกิน หรือทำสิ่งที่ผิดกฏหมาย เหมือนที่พวกเทพทอแสงเจ้านายของมึงทำ...กลับไปบอกให้ละเอียด”
“ยาวไปน่ะครับ กลัวจำไม่หมด...พี่บอกพวกเขาเองเลยดีกว่าครับ โน่นแน่ะ”
จิ๊กโก๋ 1 ชี้ให้ดูอีกฝั่งหนึ่งของถนน ชาติชายหันไปดูตามทิศทางนั้น เห็นเป็นรถกระบะบรรทุกนักเลงหัวไม้พร้อมอาวุธปืน 4 คนวิ่งตรงเข้ามา
สามจิ๊กโก๋ฉวยโอกาสนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากที่เกิดเหตุ
“ไปกันเถอะครับ เฮีย”
ไม่ทันที่ชาติชายและผ่องจะขยับตัว หมู่กระสุนจากรถกระบะคันนั้นก็สาดใส่ชาติชายทันทีเพียงแต่ว่า มันยังไม่โดนเป้าหมาย
ชาติชายและผ่องล้มกลิ้งไปกับพื้น เขาทะยานไปที่รถพร้อมกับยิงโต้ตอบ ใช้เวลาสักพักไอ้ผ่องกับชาติชายก็ไปถึงรถได้ ทั้งสองฝ่ายจึงแยกย้ายจากกันไปคนละทาง
ต่อมาไม่นาน ทนงศักดิ์ก้าวเข้ามาที่อาคารส่วนห้องพัก ในสำนักงาน เหมือง M.S. พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใส่หน้าชาติชาย
“พกปืนไปสองกระบอกเลยเหรอคุณชาติชาย...คุณทำอะไรน่ะ นึกว่าตัวเองเป็นโจวเหวินฟะเหรอ...ถึงต้องพกปืนไปไหนมาไหน”
“จะให้พกพระเครื่องไปรึไง...คงเหนียวกันกระสุนได้หรอกนะ” ชาติชายย้อน
ทั้งสองประจันหน้ากันอยู่ในบริเวณห้องพักพนักงาน ห่างออกไปไม่ไกล เราจะเห็นกฤษฎาเล่นเครื่องบินบังคับอยู่กับสุชาติ
“แล้วใครใช้ให้คุณไปสำรวจที่ตรงนั้น...มันยังร้อนๆ กันอยู่ ยังเคลียร์ไม่ลงตัว ไปก็เกิดเรื่องอย่างนี้แหละ”
“ไม่ไปแล้วจะให้ผมทำอะไร...ผมรับผิดชอบเรื่องการปรับปรุงพื้นที่ ทั้งสนามกอล์ฟ พิพิธภัณฑ์ และโครงการขยายเหมือง...จะให้ผมนั่งล้างรถไปวันๆ งั้นเหรอ”
ทนงศักดิ์นิ่งไปนิดหนึ่ง
“แล้วจะให้ผมรายงานเรื่องนี้กับเฮียตงมั้ย”
“ไม่รบกวนดีกว่า”
“ดี เฮียแกจะได้ไม่เครียด...ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นผมให้เจ้าหน้าที่เขาเคลียร์คู่กรณีให้แล้ว ต่อไปถ้าจะไปสำรวจพื้นที่กรุณาแจ้งผมก่อน หรือไม่ก็ให้เจ้าต้นไปดูก็ได้ เพราะเจ้าต้นเข้ากันกับชาวบ้านแถวนี้ได้ดีทุกกลุ่ม...เอาตามนี้นะครับ”
“ผมว่า เข้าใจผิดแล้วละ...เรื่องนี้ต้องถึงหูเฮียตง และผมจะเป็นคนรายงานเอง ส่วนเรื่องการสำรวจพื้นที่ เป็นเรื่องที่ผมต้องทำต่อไปโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์ ส่วนคุณทนงศักดิ์กับลูกชาย เชิญสำรวจไน้ท์คลับ บาร์ สปา ให้เต็มที่เถอะ”
ทนงศักดิ์ อึ้งไปอีกครั้ง
“และว่างๆ ก็กรุณาหมั่นเช็คพลอยในสต็อคให้ดี อย่าให้มันกระเด็นออกมาข้างนอกบ่อยนักนะครับ...มันดูไม่งาม”
ตะวันฉายอยู่ที่ตึกเปลี่ยว เซฟเฮ้าส์ของเขา บารมีเดินไปตามทางเดินในตึกเปลี่ยวนั้น เลี้ยวเข้าสู่ทางเดินที่เล็ก แคบลง...บรรยากาศเงียบเชียบ บารมีเคาะประตูบานสุดท้ายปลายทางเดินนั้น ประตูเปิดออก บารมีค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง
บารมีเดินนำ มีลูกน้องตะวันฉายตามเข้าไป ภายในห้องนั้น ตะวันฉายนั่งบนโต๊ะทำงาน กลางห้อง หน้าตาเครียด
สภาพห้องหรูหราเอาการ มันต่างจากทางเดินด้านนอกโดยสิ้นเชิง
“โอ้โฮ หลานตะวันมีเซฟเฮ้าส์ของตัวเอง หรูหราเชียว”
“อย่ามาเสียเวลาชมเลย ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก”
“จะให้ไปส่งของที่ไหน ก็บอกมาเลย คราวนี้ไม่มีพลาดแน่ รับรอง”
ตะวันฉายส่ายหน้า “มันจะไม่มีของให้ส่งแล้วน่ะสิอา โรงงานผลิตของเราโดนทำลาย แท่นปั๊มโดนยึดหมด ตอนนี้ ที่มี ก็จะมีแต่หนี้สินเพิ่มขึ้น ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
บารมีเครียดตาม “ใครเป็นหนี้...อา หรือว่าหลานตะวัน”
“ยังจะมาถามอีก...เอางี้นะ อาไปเอาเงินจากคุณเผ่าลาภมาได้มั้ย...เงินของตระกูลอาน่ะ”
“เอายากจะตาย เพราะไอ้กงสีบ้ากงสีบออะไรนั่นแหละ...ไม่งั้นอารวยไปแล้ว...ถ้าหลานต้องการเงิน ทำไมไม่รีบแต่งงานกับยายแพรวาล่ะ” บารมีแนะ
“ถ้ามันเป็นระบบกงสีจริง อาคิดว่าแต่งแล้วผมจะได้สมบัติเหรอ...ทำงานหัวโตละซีไม่ว่า...สงสัยคราวนี้ผมโดนเจ้าพ่อเล่นเละแน่ๆ”
ตะวันฉายแสดงอาการหนักใจ...บารมีขยับเข้าใกล้
“อาเป็นหนี้ชีวิตหลานตะวันอยู่ อารู้ดี...จะให้อาทำอะไร อาทำได้ทั้งนั้น เว้นแต่ไปขอเงินเฮียตง เพราะมันไม่มีทางให้แน่ๆ”
“เราก็อย่าไปขอตรงๆ สิอา...มีเทคนิคหน่อย เริ่มจาก อาต้องเข้าไปเป็นพวกเขาก่อน อย่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามเขา...ยิ่งทำงานกับเขาได้ยิ่งดี...จากนั้นพอเขาไว้ใจเรา เราก็ค่อยๆ ดูดค่อยๆ สูบ เอาส่วนที่ควรจะเป็นของเราออกมา ทีนี่หละรับรอง พวกเราจะรอด ไม่มีเละ”
บารมีคิดตาม ชักจะมองเห็นทาง
บ่ายวันเดียวกัน สยามเดินตรงเข้ามาในบ้าน เขาเข้าไปยื่นจดหมายให้เผ่าลาภ
“จากนายหรั่งครับ”
เผ่าลาภรับจดหมายมาเปิดอ่าน...ตัวหนังสือนั้น ราวกับมีเสียงหรั่งมาอ่านให้ฟังอย่างไม่น่าเชื่อ
“ผมขอขอบคุณในความหวังดีของคุณ แต่ผมคงไม่สามารถตอบรับสิ่งนั้นได้ เพราะผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับตำแหน่งของคุณ และไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะเข้าไปแบกรับความรับผิดชอบนั้น ต้องขอโทษที่ทำให้คุณผิดหวัง...แต่ผมขอยืนยันคำตอบเดิม คุณคงหาคนที่ดีกว่ามาแทนที่ผมได้ไม่ยาก...จากนายหรั่ง นาคำ”
เผ่าลาภบอก “เอาจดหมายไปให้น้องแพร ...ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้ว”
ขณะเดียวกันกลางลานจอดรถที่ค่อนข้างเงียบเชียบ เห็นรถของตะวันฉายและรถของแสงเทพจอดอยู่เคียงๆ กัน สองคนยืนคุยกันอยู่หลังรถของพวกเขา
“ธุรกิจที่อาไหว้วานผม ดำเนินการคืบหน้าไปเยอะแล้วนะครับ”
“เยี่ยมมาก”
“ครับผม...เราเจอกันแต่ละครั้ง ไม่ซ้ำที่เลยนะครับอา”
“หลานชอบอะไรซ้ำๆ เหรอ”
“เปล่าครับ ผมสันดานเดียวกับอา”
“แหม พูดถูกใจอาจริงๆ...ช่วงนี้หลานตะวันฉายพอจะมีเวลาเดินสายต่างจังหวัดบ้างมั้ยหรือต้องคอยอยู่เอาใจใครทางนี้รึเปล่า”
“ผมเพิ่งบอกอาไงครับ ว่าผมชอบลองของใหม่”
“งั้นก็ ดี...ช่วงนี้คู่ค้าของอา กำลังแห่กันเข้ามาทางใต้...อาอยากให้หลานเป็นตัวแทนอา ไปจับไม้จับมือกับพวกเขาไว้หน่อย เพื่อเป็นการขยายเครือข่ายของเราไว้”
“ได้เลยครับ สบายมาก”
แสงเทพส่งซองกระดาษบางๆ ให้
ตะวันฉายฉงน “อะไรครับ”
“อาไม่ใช้งานหลานชายเปล่าๆหรอกน่า”
ตะวันฉาย เปิดซองดู เห็นเป็นรูปถ่ายสองสามใบของสาวสวยเซ็กซี่
“ฝาก แองจี้ หลานอาด้วยนะ...ลองใช้ดู ติดใจแล้วค่อยมาคุยกัน”
ตะวันฉายยิ้ม “ขอบคุณมากครับ”
“อาไปก่อนนะ...วันนี้มีนัด”
แสงเทพเดินไปขึ้นรถของตน
ตะวันฉายเย้า “ของใหม่เหรอครับ”
“กลางเก่ากลางใหม่...กำลังข้นพอดี ๆ”
แสงเทพมองไปเบื้องหน้า เห็นเป็น ดวงใจ แม่แก้ม กำลังเดินเข้ามาในลานจอดรถ
รถแสงเทพแล่นไปจอดรับดวงใจ...ตะวันฉายมองตาม ยิ้ม สนุก
ที่ชุมชนจานเดี่ยว ตอนเย็นๆ โบ้กำลังยกกองไม้เก่าจากกระบะท้ายโยนลงพื้น มันมีทั้งไม้อัด และไม้คร่าวขนาดหน้าสอง-สาม สังกะสีก็มีบ้าง และอื่นๆ อีก ผู้ใหญ่ยืนถือเงินอยู่ตรงนั้น ไกลออกไป เป็นชาวบ้านอื่นๆ กำลังเตรียมพื้นที่ปลูกบ้าน
โบ้ว่า “เหลืออีกเที่ยวเดียวก็คงพอแล้วผู้ใหญ่”
“เอ้า นี่ค่าไม้ มึงเอาให้เขาไปเลย...ไอ้เท่ห์ ไอ้เช็งอย่าเสือกเอาเงินนี่ไปแวะกินเหล้านะเว้ย”
หรั่ง เท่ห์ เช็งยืนอยู่บนกระบะท้ายนั้น
เท่ห์กะเช็งบอก “รู้น่า...!” พร้อมกัน
หรั่งบอก “ไป ไอ้โบ้”
โบ้ปีนขึ้นรถ ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป ผู้ใหญ่เดินเข้าไปหากลุ่มผู้หญิง
“สาวๆทั้งหลาย เข้าครัวกันได้แล้ว ไปเตรียมกับข้าวกับปลาเร้ว...เดี๋ยวหนุ่มๆ เขากลับมาจะได้มีให้เขากินเลย...อย่าอู้”
เจ๊โอ๋ด่า “แกน่ะแหละ ตาเงาะ...เอาแต่เดินสั่งอยู่นั่นแหละ มาช่วยกันอีกซักสองมือสิ”
“ข้าอยู่ฝ่ายนโยบายเว้ย งดใช้แรงงาน”
น้าเบิ้มเดินนำคนแปลกถิ่น 2-3 คนเข้ามา จากการแต่งตัวและบุคลิคของเขาดูกลมกลืนกับชาวจานเดี่ยวมาก
“นั่นแหละ ผู้ใหญ่เงาะ...” เบิ้มหันมาทางผู้ใหญ่ “สองคนนี้เขามาหาแน่ะ เขาว่าเขามาจากศูนย์
พัฒ...อะไรนะ”
ชายคนที่ 1 บอก “ศูนย์รวมพัฒนาชุมชน เป็นองค์กรของชาวบ้านที่ตั้งขึ้นมาได้ 20 กว่าปีแล้ว”
ชายคนที่ 2 เสริม “เราเพิ่งได้ข่าวไฟไหม้ที่นี่...แต่ที่จริงเราติดตามความเคลื่อนไหวของชุมชนจานเดี่ยวมาตลอด”
“เป็นสายลับเหรอ?” ผู้ใหญ่เงาะถาม
“คือเรารวมตัวกันเพื่อพัฒนาชุมชนลักษณะเดียวกันนี้ ให้มีคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีสามารถ เจรจา พูดคุยกับนายทุนเจ้าของที่ได้อย่างมีหลักเกณฑ์ ไม่มีการเอาเปรียบทั้งเราและเจ้าของที่” ชายคนที่ 1 บอกอีก
น้าเบิ้มบอก “เข้าท่า”
ชายคนที่ 2 เอ่ยขึ้น “เราอยากจะหารือแนวทางกว้างๆ ของบ้านจานเดี่ยว”
“งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”
ผู้ใหญ่พาทุกคนเดินตรงไปทางบ้านของตน
ขณะเดียวกันนั้น รถกระบะของกลุ่มหรั่งวิ่งตรงออกมาจากในเขตชุมชน รถเก๋งคันงามของแพรวาวิ่งสวนเข้าไปในชุมชนนี้
หรั่งเห็นรถคันนี้...จำได้ แพรวามองตรงไปเบื้องหน้า พลันสายตาเหลือบไปเห็นหรั่งที่อยู่บนรถกระบะ รถทั้งสองคันวิ่งตรงเข้าหากัน
รถกระบะเบียดชิดไปข้างหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้รถเก๋งแพรวา
เธอลดกระจกข้างลง แล้วยื่นหน้าออกมาตะโกน
“ฉันขอคุยด้วยได้มั้ย นายหรั่ง”
รถกระบะของหรั่งค่อยๆเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ หรั่งตัดสินใจกระโดดลงจากรถ
“เที่ยวนี้กูขอตัวเว้ย...พวกมึงไปกันเองได้มั้ย”
เท่ห์ยิ้มๆ “สบายมาก เพื่อน”
รถกระบะวิ่งห่างเขาและเธอออกไป หรั่งมองหน้าแพรวารอว่าเธอจะพูดอะไร
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 8 (ต่อ)
เย็นแล้ว สองคนอยู่ตรงที่มุมสวยใดๆ ท่ามกลางซากปรักหักพัง มันสวยงามเท่าที่สภาพแวดล้อมจะอำนวย หรั่งและแพรวา นั่งลงไปบนกองเศษไม้
ด้านหลังเขาและเธอ เป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกับทุกๆเรื่อง ลอยอ้อยอิ่งให้ดูเล่น เย็นๆตา
“นายคิดจะให้พวกเราผลัดกันมาง้อนายอีกกี่คน น้าหยามแล้ว คุณป๋าแล้ว แล้วก็ฉัน...หมดจากฉันก็ไม่มีใครอีกแล้วนะ...หรือจะให้แม่ฉันมาอีกคน”
“คุณจะให้ผมกลับไปอีกทำไมล่ะครับ...ผมก็ดีแต่ไปยุ่ง วุ่นวายกับคุณ บังคับให้คุณทำงานไม่มีผมซะคน คุณน่าจะดีใจ คุณจะได้เป็นอิสระ ทำอะไรตามใจคุณได้ทั้งนั้น”
“นี่นายงอนฉันเหรอ”
“เปล่าครับ...แต่ใครจะรับประกันว่า ผมกลับไปทำงานกับคุณแล้ว มันจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้อีก พวกเพื่อนๆ ผมเขาจะไม่มาเดือดร้อนเพราะผมอีก...คุณรู้มั้ยครับ บ้านแต่ละหลังกว่ามันจะเป็นบ้านขึ้นมาได้ มันต้องใช้อะไรบ้าง...เราอาจจะใช้เวลาสร้างน้อย เพราะหลังมันเล็กนิดเดียว ปลูกกันง่ายๆ แต่กำลังใจสิครับ...คนที่จะอยู่อย่างนี้ได้มันต้องแกร่งมันต้องเข้มแข็ง...แต่คุณรู้มั้ย ไฟไหม้เพียงครั้งเดียว มันไม่ได้ทำลายแค่ตัวบ้าน มันทำร้ายจิตใจของพวกเรา มันทำลายความเข้มแข็งของพวกเรา มันทำให้เราหวาดผวารู้สึกไม่มั่นคงอีกต่อไป...ผมจะบอกพวกเขาได้ยังไงว่า ผมจะไม่นำเรื่องอะไรแบบนี้มาทำลายจิตใจของพวกเขาอีก”
แพรวานิ่งไปซักพัก
“ฉันเข้าใจ อาจจะไม่ทั้งหมดแต่ก็คิดว่าพอจะเข้าใจ...และยอมรับว่า ฉันคงรับรองเรื่องอะไรอย่างนั้นกับนายไม่ได้...แต่ฉันสามารถบอกนายได้ว่า ทั้งหมดที่ฉันมีให้นายคืออะไร...คุณป๋ามีบ้านชานเมืองหลังนึง ไม่เล็กเลย น่าจะพออยู่อาศัยสำหรับ สามสี่ครอบครัว...ฉันคิดว่า มันน่าจะทำให้พวกนายไม่ต้องดิ้นรน ต่อสู้กับการถูกเจ้าของที่เขาไล่ที่ อีก...อย่าคิดว่าฉันเอาเงินฟาดหัวนายเลยนะ...แต่บ้านหลังนั้นจะเป็นของนายทันทีที่นายยอมกลับไปทำงานกับฉัน”
หรั่งนิ่ง ใช้ความคิด พิจารณาอย่างหนักหน่วง
“หน้าที่ของเลขา M.D. คืออะไร”
“ทำให้ฉันเป็น อย่างที่คุณป๋าต้องการให้เป็น”
“ผมขอคิดดูก่อน”
“แล้วฉันจะได้คำตอบเมื่อไหร่”
“เมื่อผมมีคำตอบครับ”
แพรวาเดินย้อนกลับไปยังรถของเธอ ส่วนหรั่งนั้นนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
ฟากก้อยพยายามดีดสายไวโอลินเท่าที่เหลืออยู่ให้เป็นเพลงอย่างยากลำบาก โบ้เข้ามาข้างๆ ก้อย โบ้กำลังเล่านิทานประกอบเสียงเพลงของก้อย เด็กๆหลายคนนั่งล้อมวงฟังอย่างคึกครื้น หรั่งนั่งครุ่นคิดนิ่งๆ ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโหมกระหน่ำนั้นเอง...ไอ้เสือจะต้องคลานให้เตี้ยติดพื้นให้มากที่สุดเพราะเป็นทางเดียวที่จะฝ่าเข้าไปในกองเพลิงได้”
เท่ห์ช่วยเล่าต่อ
“มันใช้ผ้าชุบน้ำโปะไว้ที่จมูกเพื่อช่วยหายใจ...”
เช็งเอาบ้าง
“เหม็นแค่ไหนก็ต้องทน”
ตาโบ้เล่า “ไอ้เสือเข้าไปถึงห้องที่อยู่ลึกสุด”
“มันคว้าของสำคัญออกมาจนได้ มันคือเอกสารที่เต็มไปด้วยตัวเลขมากมาย”
“แถวบ้านเรียกโพยหวย” เช็งเล่าแปร่งๆ
เท่ห์ต่อเนียนๆ “มันเป็นเด็กเดินโพย รับแทงหวยให้เจ้ามือนั่นเอง...แหม เกือบจะไม่รู้แล้วเชียว ว่าใครแทงเลขอะไรบนหรือล่าง”
เบิ้มขัดขึ้น “โธ่กูฟังอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะเป็นเรื่องของพระเอกรัก โรแมนติก”
“สุดท้ายไอ้เสือก็ย้อนรอย พาตำรวจมาล้อมจับเจ้ามือหวยเถื่อน ได้ในที่สุด เพราะมันคือร้อยตำรวจเอกเสือสมิง…และทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้” โบ้เล่าจบจนได้
ก้อยใช้มือเคาะ และปากฮัมเพลงเป็นตอนจบของนิทาน
ทุกคนตบมือเฮฮากันตามอัธยาศัย หรั่งขยับเข้ามาสมทบ
“พรุ่งนี้พวกมึงว่างกันมั้ย ไปกับกูตอนเช้าได้รึเปล่า”
“ทำไมจะไม่ได้...พวกกูไม่ได้มีธุระอะไรนักหนา” เท่ห์บอก
“กูขอทุกคนเลยนะ”
เช็งลุกขึ้นยืน ตะโกนลั่น
“ทุกคนฟัง...พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปธุระกับไอ้หรั่งมันหน่อยนะเว้ย....” มันหันมาทางหรั่ง “กูบอกให้แล้ว”
หรั่งขยับเข้าไปใกล้ๆก้อย
“ก้อย...เราจะมีที่อยู่ใหม่กันแล้วนะ มันเป็นบ้านหลังใหญ่ หลายห้องนอน...พวกเราจะไปอยู่ที่นั่นกันหมดเลย มีหรั่ง โบ้ พ่อ-แม่-น้องๆ มัน...ส่วนไอ้เท่ห์ ไอ้เช็ง คงแล้วแต่มัน...บ้านหลังนี้ เขาให้หรั่งฟรีๆเลยนะก้อย”
“อยู่ที่ไหนเหรอหรั่ง”
หรั่งเองก็ยังไม่รู้ เขาตอบก้อยไม่ถูกเหมือนกัน
“ก็คงไม่ไกลจากที่นี่หรอก...มั้ง”
“แลกกับอะไรเหรอหรั่ง”
“ตำแหน่งเลขา กรรมการผู้จัดการ...ก้อย ถ้าหรั่งทิ้งตรงนี้ไป โอกาสที่หรั่งจะขึ้นมาอยู่อย่างนี้ได้ ก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ก้อยเข้าใจหรั่งใช่มั้ย”
ก้อยพยักหน้าช้าๆ
“พรุ่งนี้ เราจะไปขอบคุณเขากัน ก้อยไปด้วยนะ”
ตอนเช้าตรู่ ที่บ้านเผ่าลาภ แสงอาทิตย์ยามเช้ายังทำหน้าที่ของมันเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เสียงออดดังเข้ามา ส้ม สาวใช้ที่เดินออกมาจากในบ้าน สะดุดตากับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
“ฉิบ...หาย.....เจ้าค่ะ”
ที่ส้มเห็น เป็นหรั่งและกลุ่มเพื่อนๆ เนื้อตัวมอมแมม มายืนอออยู่หน้าประตูรั้ว สาวใช้รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที
ส้มวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในบ้าน เธอวิ่งตรงมาที่รำไพ
“คุณนายขา...ที่หน้าบ้านค่ะ หน้าบ้านเรามีม็อบมาประท้วงเต็มไปหมด”
“มาประท้วงอะไรเรา ยายส้ม”
“ไม่ทราบค่ะ...คุณนายมาดูสิคะ”
ส้มเดินนำรำไพออกไป
รำไพก้าวออกไปตรงหน้าประตู แล้วชะงักกับภาพข้างหน้า เห็นสยามเดินนำหรั่งและกลุ่มเพื่อนๆเข้ามาในบ้าน
“ตายแล้ว มันเข้ามาในบ้านเราแล้วค่ะคุณนาย”
“เงียบๆ ได้แล้วยายส้ม...นั่นมันนายหรั่ง จำไม่ได้รึไง เขามากับพวกเพื่อนๆเขา”
“อ้าว...”
ส้มพยายามหรี่ตาดูให้ชัดขึ้น
ครู่ต่อมาเผ่าลาภเดินลงมาจากบันไดบ้าน มารวมตัวกับหรั่งและเพื่อนๆ ที่เรียงรายรอบๆโถงบ้าน
หรั่งหันไปบอกเพื่อนๆทุกคน
“พวกเรา...คุณเผ่าลาภ”
ทุกๆคนไหว้ “สวัสดีครับ”
เผ่าลาภรับไหว้ สีหน้ามีรอยยิ้มแฝงอยู่
“ฉันดีใจที่ได้เห็นหน้าเธอวันนี้...ไม่ว่าจุดประสงค์ในการมาของเธอคืออะไรก็ตาม”
“ผมมาเพื่อขอบคุณและเพื่อให้คำตอบ...”
หรั่งหยุดพูดแค่นั้น เพราะเขาเงยหน้าไปเห็นใครบางคนที่บันไดบ้าน
เธอคนนั้น คือ แพรวา ที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงตำแหน่งที่พอจะได้ยินเสียงพูด
“ฉันรอฟังอยู่”
“คำตอบของผมคือ ตกลงครับ”
แพรวายิ้มชื่นใจ เธอก้าวลงบันไดมาร่วมกลุ่มกับเผ่าลาภ
เบิ้มเอ่ยขึ้น “เอ้อ...ห้องน้ำอยู่ทางไหนครับ”
“ทางนี้จ้ะ สยามพาน้าคนนี้ไปหน่อยซิ...มีใครกินอะไรมารึยัง”
ทุกๆคน บอก “ยังครับ”
รำไพลุกขึ้นอย่างกุลีกุจอทันที
“งั้นรอเดี๋ยวนะ...ยายส้ม มาช่วยฉันเตรียมข้าวต้มกันหน่อยเร็ว...สยามดูแล ชงกาแฟ ปิ้งขนมปังที ในตู้เย็นมีขนมเค้กรองท้องกันก่อนได้นะ”
รำไพเดินออกไปกับสาวใช้
หรั่งจูงก้อยเข้าไปใกล้เผ่าลาภ
“นี่คือก้อย น้องสาวผมครับ...ก้อย คุณเผ่าลาภ เจ้านายหรั่ง”
ก้อยฟังเสียง ยกมือไหว้อย่างงดงามไม่มีที่ติ
“โอ...เธอนี่เอง หน้าตาช่างน่ารักจริง...”
“เหรอคะ”
“ฉันเคยได้ยินเรื่องราวของเธอมาบ้างแล้วหละ หนูก้อย”
“ก้อยก็อยากจะมากราบขอบพระคุณ คุณเผ่าลาภนานแล้วค่ะ...ก้อยกราบตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ...เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำให้ก้อยมีโอกาสได้ผ่าตัด แม้ว่าตาก้อยจะมีสภาพเหมือนเดิมก็ตาม”
ก้อยก้มลงกราบลงไปกับพื้น เผ่าลาภค่อยๆประคองก้อยให้ยืนขึ้น
“ทางนี้คือคุณแพรวา ลูกสาวคุณเผ่าลาภ”
ก้อยยกมือไหว้ สวยงามไม่แพ้ครั้งแรก
“หรั่งเขาเป็นห่วงเธอมากเลยนะก้อย”
ก้อยฟังแล้วได้แต่ยิ้ม
ชาวบ้านจานเดี่ยวกระจายกันทั่วห้องครัวบ้านเผ่าลาภ เจ๊โอ๋ ทำตาโตกวาดมองไปรอบๆ บ้านอย่างตื่นเต้น น้าเบิ้มเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
“เกิดมาก็เพิ่งเคยเหยียบบ้านหลังใหญ่ๆ ครั้งนี้แหละฉัน”
“ผิดกับฉัน เหยียบมาไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่…เหยียบก่อนเจ้าของบ้านอีกนะเว้ย” เบิ้มคุยทับ
“ก็แกมันเคยเป็นช่างก่อสร้างนี่…อย่ามาทำพูดมาก รู้ทันน่า”
สยาม กำลังจัดกาแฟให้กลุ่มหนุ่มๆ
“เอ้านี่กาแฟ น้ำตาล ครีม น้ำร้อนอยู่นี่ ขนมเค้กอยู่นั่น”
เช็งโกยคุกกี้ใส่กระเป๋า
“ขอเอาไปฝากเตี่ยหน่อยนะ”
ส้มสาวใช้ เดินถือจานชามใดๆเข้ามาในครัว เท่ห์ปราดเข้าไปเบียด
“น้องสาวอยู่ที่นี่นานรึยังจ๊ะ”
“ตั้งแต่เล็กๆ”
“ถ้าอยากออกไปมีชีวิตอิสรเสรี ปรึกษาพี่ได้นะจ๊ะ”
“ขอบใจจ้ะ...แต่ผัวหนูคงไม่ยอม”
เท่ห์จ๋อย…ถอยออกไปชนแจกันเซรามิคใบใหญ่ล้มลง เสียงมันไม่ได้ดังโครมครามมากนัก
แต่ชิ้นส่วนบางอย่างหักดังเป๊าะ เท่ห์สะดุ้ง…โบ้เข้ามาทางข้างหลัง
“ไอ้เท่ห์ มึง”
“ชู่ย์ย์ย์…อย่าเอ็ดไป”
เท่ห์เอาชิ้นส่วนนั้นต่อไว้ แล้วเดินออกไปจากที่เกิดเหตุ
ด้านก้อยขยับนั่งลงบนเก้าอี้เล่นเปียโน เธอวางข้อศอกลงไปบนคีย์เปียโนโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียงของมันชี้ชวนให้ก้อยค่อยๆ หมุนตัวไปหามัน
ก้อยวางมือบนคีย์อย่างแผ่วเบา แล้วจึงลองกดมันเล่น ด้วยสัญชาตญาณ หรือจะอะไรก็ตามแต่
เสียงที่ก้อยกดคีย์เล่นนั้น มันฟังดูดี จนเกือบจะเป็นเพลง แพรวาเดินเข้ามาด้านหลัง ในระหว่างตัวโน้ตนั้น
เธอยืนมองอย่างชื่นชม
“ชอบดนตรีเหรอ”
ก้อยหยุดเล่นทันที ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่คุ้นเสียง
“ฉัน แพรวาจ้ะ”
“ค่ะ...ชอบ”
“เล่นเป็นไหม”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จับเปียโนค่ะ”
“ไม่ยากหรอก...ฉันจะสอนให้”
แพรวาขยับมานั่งข้าง ก้อย เธอจับนิ้วก้อยวางลงไปบนคีย์ แล้วเริ่มไล่ตัวโน้ต เยี่ยงเด็กหัดเล่น
“ฉันโดนบังคับให้เรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่ฉันไม่ค่อยรักดีหรอก ขี้เกียจ ไม่งั้นป่านนี้เก่งไปแล้ว”
“เรียนเปียโน แล้วเรียนอย่างอื่นอีกหรือเปล่าคะ”
“ทุกอย่างที่เป็นดนตรีเลยละ เรียนหมด...เรียนแล้วก็ไม่ได้ใช้ ไม่รู้เรียนทำไม”
“มีอะไรบ้างคะ”
“เปียโน กีตาร์ ขิม ซอ ไวโอลิน เชลโล่ บัลเล่ต์ด้วยนะ...ที่บ้านนี้มีไวโอลินตั้งหลายตัว ทั้งของพ่อ ของลุง”
“อยากฟังคุณแพรวาเล่นไวโอลินจังเลย”
“เชลโล่ได้มั้ย...ไวโอลินไม่รู้แม่เก็บไว้ที่ไหน”
แพรวาหยุดเล่นเปียโน เธอเดินไปหยิบเชลโล่ที่อยู่ไม่ไกลนักมาตั้ง เตรียมนั่งเล่น
“ก้อยเล่นไวโอลินได้นิดหน่อยค่ะ”
“เหรอ”
“มีติดตัวมาตั้งแต่เล็กๆ...ตอนนี้ไฟไหม้พังไปหมดแล้ว”
“งั้นมาลองเล่นเชลโล่มั้ยล่ะ...ไม่ยากหรอก...มา”
แพรวาจัดท่าให้ก้อยนั่ง เธอประคองมือให้ก้อยสีคันชักเชลโล่ บนตัวโน้ตที่ไม่ยากนัก
“อย่างนั้นแหละจ้ะ...เก่งมาก”
ก้อยดูจะมีความสุขมากกับเครื่องดนตรีชิ้นนี้
“ทีนี้ ก้อยเล่นเองเลยนะ”
“ก้อยทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“ได้ซี่...เราจะได้เล่นด้วยกันไง...เชลโล่เป็นของเธอ เปียโนเป็นของฉัน”
แพรวาขยับไปนั่งประจำที่เปียโน เธอเล่นเปียโน ประสานไปกับเสียงของเชลโล่ ที่เธอสอนให้ก้อยเล่น สักพัก ทั้งสองสาวต่าง improvise เสียงดนตรีของตัวเอง มันผสมผสานอย่างกลมกลืนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เชลโล่ และเปียโน ผลัดกันเป็นตัวเอกและตัวรอง โดยที่ไม่มีการซักซ้อมกันมาก่อน คนอื่นๆ ค่อยๆ เข้ามายืนดูอย่างชื่นชม
แหละในจังหวะที่เชลโล่กำลังเป็นตัวเอก ทันใดนั้นเอง สายคันชักก็ขาดโดยคาดไม่ถึง ทุกๆ คนส่งเสียงแสดงอารมณ์เสียดาย เผ่าลาภตบมือนำขึ้นมาก่อน
“เก่งมาก”
คนอื่นๆ ตบมือตามด้วยความจริงใจ
“ฉันไม่ได้เล่น ไม่ได้ดูแลซะนาน สายขาดเลย...อายจัง”
เผ่าลาภเดินตรงไปยืนข้างก้อย
“หนูมีพรสวรรค์ด้านดนตรีมากเลยนะ...หลังจากวันนี้ฉันจะหาเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกับ
เธอ ฝากนายหรั่งไปให้นะ” เผ่าลาภว่า
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ...บ้านหลังนี้ร้างเสียงดนตรีมานานแล้ว ฉันดีใจจริงๆ ที่วันนี้มีเธอมาที่นี่”
แพรวาจับมือก้อย “ฉันก็เหมือนกัน...หวังว่าเราจะได้เล่นดนตรีด้วยกันอย่างนี้อีกนะ”
“ขอบคุณค่ะ...คุณแพรวาดีกับก้อยเหลือเกิน...ถึงแม้ตาก้อยจะมองไม่เห็น แต่ก้อยก็รู้สึกได้ว่าคุณแพรวาต้องเป็นผู้หญิงที่น่ารักและสวยที่สุด...คงสวยเหมือนเจ้าหญิงแน่ๆ เลย ใช่มั้ยหรั่ง”
หรั่งยิ้ม ถึงจะเห็นด้วยแต่ก็ไม่บอก
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 09.30 น.
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 8 (ต่อ)
เสียงความคิดของหรั่งดังขึ้น มันเป็นเรื่องราวที่เขาเขียนในสมุดบันทึก เสียงนั้นดังสลับสอดรับกับภาพเรื่องราวมากมาย ที่เกิดขึ้น เริ่มจากภาพบรรพบุรุษตระกูลมหาโชคตั้งศิริ ไล่ตามลำดับอายุ ทั้ง ชาย หญิง และปิดท้ายด้วยภาพหมู่ต้นตระกูล
“เกณฑ์เฉลี่ยอายุของผู้ชายอยู่ที่ 69.5 ปี เกณฑ์เฉลี่ยอายุของผู้หญิงอยู่ที่ 76.3 ปี”
ภาพไฟไหม้ชุมชนจานเดี่ยวปรากฏในจอทีวี มีภาพแพรวาออกรายการ
“ตลอดช่วงอายุของทุกคนทั้งหญิง และชายล้วนมีจุดเปลี่ยน จุดหักเหด้วยกันทั้งนั้นซึ่งอาจมีผลต่อช่วงอายุที่ยืนยาวขึ้น หรือ อาจจะสั้นลง”
ตะวันฉายดูภาพแองจี้ ขณะเดียวกันภาพแพรวาในนิตยสาร ถูกเขียนถึงอย่างชื่นชม หรั่งเก็บรวมรวมรูปแพรวาใหม่ ขณะก้อยนั่งตัวตรง วางมือเหมือนกำลังสีเชลโล่
“ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนจากเรื่องร้ายกลายเป็นดี หรือเปลี่ยนจากเรื่องที่ดีเป็นดียิ่งกว่า”
ผู้ใหญ่เงาะกำลังพยายามสร้างบ้านหลังใหม่ กับหมู่ชาวบ้าน หรั่งและโบ้ นั่งรถเก๋ง ที่มีสยามเป็นผู้ขับ
“แต่ที่สำคัญ คือ มันเกิดขึ้นได้ มากกว่าหนึ่งครั้ง”
บารมีเดินยิ้มร่าก้าวเข้ามาในบ้านลินจงที่ นครสวรรค์...มาดดูดีทีเดียว
“หวัดดีอาจู...ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งนาน...คิดถึง เอ้านี่ ติดไม้ติดมือมาฝากนิดๆหน่อยๆ”
กันทิมายืนข้างๆ บารมี เธอส่งถุงกุ้งแม่น้ำให้ บารมีส่งต่อให้ลินจงอีกที ลินจงแหวกถุงออกดู
“ปัดโธ่ ซื้อมาทำไมให้ลำบาก เฮีย...กุ้งแม่น้ำที่นี่ก็มี...ฉันอยู่ติดน้ำมากกว่าเฮียซะอีก
“เออ นั่นสิ ลืมไป...งั้นเดี๋ยวเฮียกินเองก็ได้ ขออาศัยข้าวเปล่าอาจูหน่อยก็แล้วกัน”
“ตามสบายเลย...ไป เข้าไปนั่งรอตรงศาลาท่าน้ำดีกว่า ลมเย็นดี”
บารมี กันทิมา ไปเป็นลูกมืออาจูในครัวโน่น ทั้งหมดพากันแยกย้ายออกไป
ในครัวบ้านลินจง ลินจง กันทิมา
ลินจงเทกุ้งลงกะละมังใบใหญ่ สองช่วยกันเตรียมทำกับข้าวอยู่ บริเวณชานบ้าน
“นี่คือกุ้งตัวแรกที่เฮียหั่งเขาซื้อให้ฉันเลยรู้มั้ย...อยากรู้จัง ว่าเขาคิดอะไรอยู่”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ...เห็นบอกแต่ว่า คิดถึงๆ”
“แต่มาคราวนี้ดูสดใสนะ..ผิดกับเฮียตง รายนั้นดูหมองเชียว...ถามจริงๆเถอะนะกันทิมา มีธุระอะไรสำคัญเป็นพิเศษกับฉันรึเปล่า”
“ลองไปถามคุณบารมีดูเองดีกว่าค่ะ กันแค่มาเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น”
วิโรจน์ยกกาแฟเย็นโบราณมาวางลงตรงหน้าบารมีตรงที่นั่ง ท่าน้ำบ้านลินจง บารมียิ้มรับ
“กาแฟเย็นที่นี่มีชื่อมาก....เข้มข้นแบบโบราณเลย...เฮียลองชิมหน่อย”
“ขอบใจ แต่อั๊วมันไม่ใช่คนโบราณซะด้วยสิ ไม่รู้จะถูกปากรึเปล่า”
“งั้นเอา คาปูชิโน่มั้ย หรือจะเอ๊กซ์เพรสโซ”
“พอเถอะ…ล้อเล่นน่า….ธุรกิจข้าวเป็นยังไง ยุ่งมั้ย”
“ก็ไม่ยุ่งยากอะไร…เราทำส่งออก พอเขามีออร์เดอร์มา เราก็ส่งลงเรือ เรือออกไปทีนึงก็สามสี่เดือน รับเงิน…จบแล้วครับ”
“ง่ายจัง”
“ไอ้ตรงที่ยุ่งยาก ผมไม่ได้เล่าให้เฮียฟังไง...ยิ่งตอนนี้ข้าวไทยเราราคาสูง...ลูกค้าหันไปเลือกสั่งข้าวจากประเทศอื่นที่ราคาต่ำกว่าเรา...ออร์เดอร์เราหายวูบๆ เลยนะเฮีย”
บารมีค่อยๆ แสดงท่าทีตื่นเต้น และเป็นห่วงออกมาให้เห็น ทีละนิด
“เหรอ”
“ดีว่าสายป่านเรายาว ยังพอประคองตัวได้”
“เหนื่อยมั้ย”
“ชินแล้วแหละเฮีย…แต่ก็ไม่สบายเหมือนเฮียหรอก มีธุรกิจส่วนตัว นึกจะทำเมื่อไหร่ก็ทำนึกจะเลิกเมื่อไหร่ก็เลิกได้” วิโรจน์ว่า
“แต่ตอนนี้อั๊วอยากลำบากแล้วหละ…อยากทำงานอย่างลื้อบ้าง”
ลินจงเดินถือผลไม้เข้ามาร่วมวง เธอส่งเสียงตั้งแต่ตัวยังเดินมาไม่ถึง
“อะไรนะ ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย…เฮียจะมาช่วยฉันค้าข้าวเหรอ”
“เรื่องข้าวอั๊วไม่ถนัด…แต่อยากช่วยอะไรใน M.S.JEWELRY มากกว่า จะได้ช่วยพี่ช่วยน้องทำงาน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเรานอนกินกงสีอย่างเดียว”
“คิดได้อย่างนี้ก็ดีสิเฮีย…ฉันสนับสนุนเต็มที่…เฮียตงรู้เข้าคงดีใจแน่”
“อาจู ลื้อช่วยบอกเขาให้หน่อยสิ”
“ทำไมเฮียไม่บอกเองล่ะ”
บารมีเป่าลมออกจากปากยาว เขาก้าวเข้าสู่บทบาทผู้อาภัพได้อย่างแนบเนียน
“อาจูเอ๊ย ลื้อไม่รู้หรอกว่าอั๊วน่ะอาภัพขนาดไหน…เฮียตงเขาไม่รักอั๊ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว อั๊วจะโดนเขากีดกันออกมาตลอด ลองนึกถึงตอนเด็กๆดูสิ…ใครที่โดนพี่โดนน้องแกล้งตลอด…อั๊วไง…ใครที่โดนทิ้งให้อยู่เฝ้าเหมืองเวลาเตี่ยพาพวกเราไปเที่ยว…ก็อั๊วอีก…แม้กระทั่งเรื่องกิน…ขนาดขนมเปี๊ยะ ขนมไหว้พระจันทร์อั๊วยังได้กินแต่แป้ง ใส้ไข่แดงข้างในไม่เคยได้กิน…ลื้อคิดเหรอว่าอั๊วพูดอะไรแล้วเฮียเขาจะยอมฟัง”
“เฮียก็พิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นสิว่า เฮียมีความตั้งใจจริง”
“ก็อั๊วยังไม่ได้ทำงาน อั๊วจะพิสูจน์ยังไง…น่าช่วยหน่อยนะอาจู บอกเขาว่าขอโอกาสให้อั๊วซักครั้ง…”
กันทิมาเดินถือถาดใส่กุ้งเผาตัวใหญ่มากเข้ามา พวกเด็กๆ คนงานถือโถข้าวตามมาติดๆ
“มาแล้วค่ะ กุ้งเผากับข้าวร้อนๆ”
“ไม่เห็นแก่อั๊ว…เห็นแก่เมียอั๊วก็ยังดี”
ลินจง ทำท่าคล้ายจะยอมตามคำขอ
ในรถคันนี้ ท่ามกลางเพลงสนุกสนาน สยามเป็นผู้ขับรถ หรั่งนั่งนิ่งอยู่ที่นั่งตอนหน้า โบ้ นั่งสบายอยู่ที่เบาะหลัง...มันโยกหน้ามาสะกิด พูดกับหรั่ง
“หรั่ง...รถคันนี้ นั่งโคตรสบายเลยว่ะ”
หรั่งพยักหน้ารับคำ โบ้สะกิดอีก
“หรั่ง...แอร์เย็นโคตรๆว่ะ”
สยามยิ้มบ้าง โบ้สะกิดสยาม
“ไม่มีปั๊มซักปั๊มเลยเหรอน้าหยาม”
สยามและหรั่ง ยิ้มทั้งคู่
รถเผ่าลาภแล่นสบายๆ ไปบนถนนโล่ง ท่ามกลางต้นไม้ ใบหญ้า ทุ่งนา เปลี่ยวเสียงโบ้ดังขึ้น
“ปวดฉี่สุดๆเลยคร้าบ”
บ้านกลางทุ่งแห่งนี้ เป็นบ้านหลังใหญ่ ปลูกหลบมุมอยู่ในกลุ่มแมกไม้ใบหนา…อายุของบ้านถือว่านานโข รูปทรงของต้นไม้ มีกิ่งก้านสาขาสะเปะสะปะตามใจตนเอง กิ่งไม้และใบแห้งเกลื่อนกลาด สภาพรอบๆ ไม่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงแต่อย่างใด มีถนนดินเทลูกรังทับไว้ วิ่งเข้ามาหาตัวบ้าน
เห็นรถสยามแล่นเข้ามาไกลๆ ฝุ่นตลบอบอวล
รถสยามแล่นเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าบ้าน เมื่อฝุ่นจาง จึงเห็นสยาม หรั่ง และโบ้ก้าวลงจากรถ
โบ้วิ่งไปทางท้ายรถพร้อมกับส่งเสียงตะโกนไปด้วย อย่างตื่นเต้น
“โอ้โฮ…นี่คือบ้านที่เราจะมาอยู่เหรอเนี่ยะ…ดูดี้ ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลย”
“ไม่ใช่...ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น…แค่ต้นมะม่วงนั่นเอง” สยามบอก
“ก็ยังใหญ่อยู่ดี…คุณเผ่าลาภมีบ้านใหญ่ขนาดนี้ แอบมีเมียน้อยรึเปล่าครับ” โบ้ว่า
สยามส่ายหน้า “ไม่มี...บ้านหลังนี้ ซื้อเก็บไว้ตั้งแต่สมัยเฮียย้ง พี่ชายคุณเผ่าลาภ…ไม่มีใครมาอยู่นานแล้ว…เข้าไปดูข้างในกัน”
สยามนำทุกคนเดินเข้าบ้าน โบ้ยืนฉี่อยู่ตรงท้ายรถนั่นเอง
สยามเดินนำ หรั่ง เข้ามาในบ้าน พลางอธิบาย
“บ้านหลังนี้มีทั้งหมดสี่ห้องนอน ห้องใหญ่ๆทั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันทำไมต้องมีเยอะอย่างนี้...แล้วยังมีห้องเล็กๆอีกสามห้อง ไม่รู้เป็นห้องอะไรแน่ ระหว่าง ห้องพระ ห้องเก็บของห้องรับรอง...ห้องน้ำก็มีข้างล่างสาม ข้างบนสอง”
โบ้เดินเข้ามาทันได้ยินพอดี
“อ้อ เหรอครับ”
“โน่นระเบียงบน นั้นระเบียงล่าง”
สยามพาเดินเลี้ยวไปตามห้องต่างๆ หรั่งและโบ้เดินตามตื่นตาตื่นใจ
“คุณเผ่าลาภไม่เคยมาอยู่ที่นี่เลยเหรอ”
“ไม่นี่...ได้ยินแต่ว่า นานมาแล้วเคยมีญาติๆ ข้างไหนไม่รู้มาอาศัยอยู่พักนึง หลังจากนั้นก็
ไม่เคยมีใครมาอยู่เลย...จนกระทั่งนายนี่แหละ”
“บ้านใหญ่ขนาดนี้ เรายกมาทั้งชุมชนเลยดีมั้ยวะหรั่ง...จะได้แบ่งข้างเตะบอลกันให้มันไป
เลย”
“ไง...พอใจมั้ยหรั่ง” สยามถาม
หรั่งยิ้มลึกๆ มองบ้านหลังนี้เต็มๆ ตา
“อ้อ...คุณเผ่าลาภท่านฝากของไปให้น้องก้อยด้วยนะ อยู่ในรถแน่ะ” สยามบอก
ต่อมา ทุกคนชุมนุมกันอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่เงาะ ชุมชนจานเดี่ยว
กล่องของขวัญในมือก้อยถูกแกะออก เห็นเป็น ไวโอลินตัวสวยรูปร่างดี อยู่ในกล่องนั้น
“ท่านเลือกตัวที่ดีที่สุดของท่านมาให้ก้อยเลยนะ” หรั่งว่า
“ก้อยจับดูก็รู้เลยว่า ต้องเป็นของดี ราคาแพงแน่ๆ ใช่มั้ยหรั่ง”
“เป็นของเก่า ของพี่ชายท่าน ลุงของคุณแพรวา”
“ยิ่งเป็นของมีค่าใหญ่เลย...คุณเผ่าลาภช่างดีกับก้อยเหลือเกินนะหรั่ง”
โบ้ น้าเบิ้มและคนอื่นๆ เดินตรงมายังหรั่ง
“มึงโม้รึเปล่าวะไอ้โบ้” เบิ้มถาม
“จริง...จะโม้ทำไม พ่อลองถามไอ้หรั่งดู”
เบิ้มถามหรั่ง “ไอ้โบ้มันว่า บ้านที่เอ็งไปดูกันมาน่ะ สนามกว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา ห้องนอนก็เยอะ ห้องน้ำก็แยะ อยู่กันได้ทั้งหมู่บ้านเลย...มันจริงอย่างนั้นเหรอวะ”
“ไม่เชื่อก็ดูนี่...”
หรั่งเปิดรูปบ้านที่ถ่ายด้วย i pad ยื่นให้ทุกคนดู
ทุกคนยื่นหน้าเข้ามารุมดูกัน แล้วร้อง “ฮูวววว”
หรั่งหยิบถุงเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมา ส่งให้ก้อย
“ชุดนอนด้วย”
หรั่งหันไปพูดกับเช็งและเท่ห์ที่รุมดู i pad อยู่ด้านหลัง
“ไอ้เท่ห์ ไอ้เช็ง มึงจะไปอยู่กับกูรึเปล่า”
“กูว่า กูจะขอลองแบบชั่วคราวก่อนได้มั้ย...แบบ เช้าไปเย็นกลับ”
“ก็ แล้วแต่มึง”
“มึงนี่สุดยอดชายผู้โชคดี มีเจ้านายที่แสนดี ให้ทั้งงาน ให้ทั้งเงิน ให้ทั้งบ้านอยู่ฟรีๆ”
“ถ้ามาทรงนี้นะ...กูว่า อีกไม่นาน เขาต้องยกลูกสาวให้มึงอีกคน แหงๆ เลยว่ะ” เช็งบอก
ก้อยไม่พูดอะไร แต่เธอรู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้นผิดปกติของหรั่ง
“แล้วมึงจะย้ายเมื่อไหร่” เท่ห์ถาม
หรั่งหันไปมองก้อย “ว่าไง ก้อย”
ที่ห้องทำงานเผ่าลาภ บริษัท M.S. เผ่าลาภอ่านรายงานในแฟ้ม ชาติชายนั่งอยู่เบื้องหน้าเขา เผ่าลาภวางแฟ้มลง แล้วจึงพูด
“ดูเหมือน งานเราจะเดินหน้าช้าไปกว่ากำหนดเยอะเลยนะ”
“ช่วงนี้เราหาคนงานค่อนข้างยาก”
“เพราะอะไร”
“แล้วลื้อไม่ยอม”
“มันมากไปเฮีย...มันเรียกเงินสูงเกินความสามาถ”
“เขาต้องการประกันความเสี่ยงที่ทำงานกับลื้อรึเปล่า เพราะไม่รู้ว่าวันไหนลื้อจะยกพวกไปไล่ยิงกับใคร”
ชาติชายนิ่ง สูดลมหายใจลึกๆแล้วจึงพูด
“ไม่ว่าเฮียจะฟังใครมายังไงก็ตาม ผมขอยืนยันตรงนี้เลยว่า ผมไม่เคยยกคนไประรานใคร...แต่ตอนนี้เหมืองของเรากำลังถูกรุกราน และแทรกแซงจากเทพทอแสง ทุกวิถีทางถ้าเฮียไม่เด็ดขาด เราอาจจะไม่ได้ที่ดินผืนที่เฮียต้องการผืนนั้น”
เผ่าลาภเป็นฝ่ายนิ่งไปบ้าง
“สั่งอนุมัติค่าแรงตามที่พวกเขาต้องการ เพื่อเร่งงานสนามกอล์ฟและพิพิธภัณฑ์ให้เสร็จเร็วที่สุด...ส่วนเรื่องอื่นๆ อั๊วจัดการเอง”
“ถามจริงๆ เฮีย...ที่ผืนนั้น มันมีอะไรมากกว่าพลอยรึเปล่า”
เผ่าลาภยังไม่ตอบคำถามชาติชาย
คำตอบถูกเฉลยที่บ้านพัวพงศ์ไพศาล สุริยะถามย้ำด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ทองคำ”
“ใช่ครับ ทองคำ และ แร่ควอตซ์” แสงเทพบอก
“แน่ใจเหรอ”
“อาจจะไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เกิน เก้าสิบ...ผมแอบสำรวจไว้นานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้”
“ยกเว้นคุณเผ่าลาภ”
“มันอาจจะรู้ก่อนผมก็ได้ เพราะมันเป็นคนทำเหมือง หากินกับของใต้ดินมานาน”
“อือม...ผมหลุดข้อมูลเรื่องนี้ไปได้ยังไงนะ...แต่ คุณเผ่าลาภเขาบอกว่า เขาต้องการที่แปลงนั้น เพื่อสร้างพิพิทธภัณฑ์เหมืองพลอยเท่านั้นนี่นา...”
“เชื่อเขามั้ยล่ะ...ไม่งั้นมันจะพยายามกันผมออกมาจากที่ผืนนั้นทำไม”
“ตอนนี้คุณก็เลยขอให้ผมช่วยกันเผ่าลาภออกไปก่อน”
“ถูกต้อง ธุรกิจมันก็อย่างนี้แหละครับ...คุณก็ดูแล้วกัน ว่าใครให้ผลประโยชน์กับพรรคได้มากกว่ากัน”
“อือม...”
“พ่อค้าไทย น่าไว้ใจกว่าพ่อค้าเจ๊กนะครับ...โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์แบบ วิน วิน พวกเราถนัดนักแหละ”
สุริยะยิ้มพอใจอยู่ในที
“ถ้างั้นผมจะนำเรียนหัวหน้าพรรคให้ทราบเรื่องไว้...แบบลับๆนะ”
แสงเทพหัวเราะชอบใจ
“อ้อ...ผมจองตั๋วเครื่องบินไปเกาหลีค่ำนี้เผื่อไว้ให้ท่านด้วยสองที่...ถ้าท่านสนใจ เผื่อเราจะนั่งคุยเรื่องนี้กันต่อแบบเงียบๆ พร้อมกับชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า แถวๆ เมืองปูซาน” แสงเทพบอก
สองคนหัวเราะเสียงดังกันทั้งคู่
บ่ายนั้นชาติชาย นั่งนิ่งอยู่ในรถกระบะของตน สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้า ตรงประตูโรงเรียนสตรี
รถของชาติชายจอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ตรงข้ามประตูโรงเรียน โดยที่หน้าประตู ตองกับแก้มกำลังก้าวเดินออกมา เพิ่งสอบเสร็จ ชาติชาย จ้องมองอย่างสนใจ
มีเด็กนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 6-7 คน วิ่งกรูกันเข้ามา รุมจิก กระชากตัวตองและแก้ม มีเสียงหวีดร้องดังลั่นจากสองสาว
ชาติชายหน้าตาตื่น เขาขยับตัว ตัดสินใจเตรียมจะออกไปช่วย
กลุ่มเด็กกระจายตัวออกจากการรุมล้อม เผยให้เห็นเป็นตอง และ แก้ม อยู่ในสภาพ สีเลอะเต็มตัว เด็กๆ ทุกคนหัวเราะลั่น...มันคือการแกล้งกันในวันสอบเสร็จ...แล้วเด็กๆ ก็แยกย้ายกันไป
ชาติชายเป่าปาก สบายใจขึ้นที่ไม่ผลีผลามออกไปตั้งแต่แรก ฉับพลัน เขาตัดสินใจสตาร์ททรถ แล้วขับมันพุ่งออกไปข้างหน้า
รถกระบะของชาติชายพุ่งเข้ามาจอดชิด เฉียดตัวตองและแก้ม ชาติชายเปิดกระจก โชว์หน้าให้หลานเห็น
“อากู๋” คองทัก
“กู๋ขอคุยกับตองหน่อยได้มั้ย...แบบส่วนตัวสองต่อสองนะ”
แก้ม มองชาติชายนิ่งๆ
ตอนบ่าย ในร้านไอติมแห่งหนึ่ง ชาติชาย กับ ตอง ทั้งสองนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะริมกระจกร้าน
“เราสองคนเป็นอะไรกันแน่”
“แฟน”
“แฟนแปลว่าอะไร”
“ตองไม่ใช่เด็กๆแล้วนะอากู๋”
“ก็เพราะไม่ใช่เด็กๆ น่ะสิ กู๋ถึงอยากรู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่”
“คิดอะไร”
“ก็ที่เราคบกับเพื่อนที่ชื่อแก้มคนนี้น่ะ เราคิดอะไร เราคิดยังไงกับเขา เรารู้จักเขามากน้อยแค่ไหน คิดจะคบกันไปอีกนานเท่าไหร่”
ตองจ้องหน้าชาติชายด้วยความฉงน ด้านหลังสองคนเห็นเป็นแก้มนั่งรออยู่นอกร้าน
“อากู๋ เป็นอะไรมากรึป่าว ตองเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเอง จะให้ตองตั้งความหวังในอนาคตอะไรขนาดไหนกันเชียว แค่ตองมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง รู้ใจกัน จริงใจกัน หวังดีต่อกัน เท่านั้นก็พอแล้ว”
“รู้มั้ยว่าบ้านเขาอยู่ไหน”
“มาอยู่กับตองที่บ้านได้อาทิตย์นึงแล้ว ท่องหนังสือด้วยกัน ม้าไม่เห็นว่าอะไรเลย”
“กู๋ถามว่าบ้านเขาอยู่ไหน”
“เดี๋ยวตองถามให้แล้วกัน”
“คบกันขนาดนี้ โดยที่เรายังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเขาเลยเหรอ”
“ขนาดนี้ของกู๋น่ะหมายถึงขนาดไหน...ตองไม่ได้กำลังจะแต่งงานกับแก้มนะ จะได้ให้ผู้ใหญ่สองฝ่ายมาเจอะเจอกัน สืบประวัติกัน...กู๋น่ะไปใหญ่แล้ว ซักตองยิ่งกว่า ป๊า กับม้าอีกนะเนี่ย”
“ป๊ากับม้า เขาไม่รู้อย่างที่อากู๋รู้น่ะสิ”
“งั้นอากู๋รู้แล้วมาถามตองอีกทำไม”
“ฟังนะยายตอง เธอขอให้อากู๋เก็บเรื่องราวของเธอกับยายแก้มไว้เป็นความลับ ไม่ให้บอกใคร เพราะฉะนั้นอากู๋ก็ต้องรู้ก่อนว่าความจริงคืออะไร”
“ทั้งหมดที่กู๋เห็นนี่ก็ความจริงแล้วไง กู๋จะเอาความจริงแบบไหนอีก บอกมาเลยดีกว่า”
“กู๋อยากรู้ว่า ตองกำลังโดนหลอกหรือเปล่า...เพื่อนตองกำลังเอาเปรียบตองรึเปล่า...เขา
ปิดบังอะไรที่เลวร้ายไว้โดยที่เราไม่รู้หรือเปล่า”
ตองโกรธจ้องหน้าชาติชายด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“ทำไมกู๋ว่าเพื่อนตองอย่างนี้ล่ะ...กู๋เคยมีเพื่อนมั้ย เพื่อนดีๆ น่ะ เพื่อนตายน่ะ เคยมีมั้ย...ตองว่าอากู๋ต้องไม่เคยมีแน่ๆ เพราะอากู๋เป็นคนแบบนี้นี่เอง ถึงไม่มีใครคบ”
ตองวิ่งออกจากร้านไปทันทีที่พูดจบ เธอตรงไปหาแก้มแล้วจูงกันวิ่งออกไป
แก้มหันมายกมือไหว้ชาติชายอย่างสุภาพ ขณะชาติชายนั่งทอดถอนใจเพียงลำพัง
สองสาวอยู่ที่ร้านอาหารสุดหรู โดยหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งถูกกางอยู่ และมีรูปเหตุการณ์ดับไฟที่ชุมชนจานเดี่ยว...ใต้รูปมีข้อความเขียนบรรยายว่า
“เผ่าลาภ บุกซับน้ำตาชาวจานเดี่ยวถึงที่ตอกย้ำท่าทีพรรคไทยไท...ที่ชอบเลี้ยงเด็กสลัม”
เป็นอรจิราที่นั่งอ่านคอลัมน์ซุบซิบไฮโซเซเลบในหนังสือพิมพ์เล่มนั้น ขณะแพรวานั่งฟังอยู่ข้างๆ
“สาวไฮโซ ออกทีวี...ตอนแรกตอบติดๆ ขัดๆ แค่พักโฆษณา กลับมาอีกที ตอบได้อย่างน้ำไหลไฟดับ เล่นเอาพิธีกรถึงกับอึ้ง ...นี่แหละ ลูกล่อลูกชนของคนรุ่นใหม่ ไม่รู้ว่ามียาดีอะไรอยู่ใกล้ๆตัวหรือเปล่าน้อ…”
อรจิราหันไปพูดกับแพรวา
“นี่เขาเรียกว่ากึ่งชมกึ่งกัดนะยะ”
“ช่างเถอะ...นายหรั่งคงเป็นยาดีของฉันจริงๆ”
“งั้นเลยเหรอ”
“ลำพังฉันคนเดียวน่ะ อย่าว่าแต่ตอบคำถามเลย รายการก็จะไม่ไปออกเอาด้วย เฮ้อ เกิดมาไม่เคยหนักใจอะไรเท่าวันนี้มาก่อนเลย”
“แล้วนัดเลี้ยงฉลองใหญ่กันรึยังล่ะ”
“ฉลองอะไร...เกือบจะได้ช่วยเขาดับไฟละซีไม่ว่า รู้มั้ย ฉันไม่เคยเห็นไฟไหม้ใกล้ๆเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต น่ากลัวมาก...ยิ่งเห็นหน้าชาวบ้านในนั้นด้วยยิ่งน่าสงสารใหญ่เลย...กลับบ้าน ฉันต้องสวดมนต์ไหว้พระขออย่าให้เกิดมาเป็นคนยากจนอย่างนั้นเลย”
“ตกลง เรื่องโรงเรียนที่เราดูมาให้…ก็เป็นอันว่าไม่เรียนแล้ว…จะอยู่ทำงาน”
“ฮื่อ”
“กลัวไม่ทำงานแล้วเดี๋ยวจะเป็นคนจนเหรอ”
“ฉันว่าฉันน่าจะทำอะไรให้คุณป๋าบ้าง…นายหรั่งน่ะเป็นคนอื่นแท้ๆยังอุตส่าห์มาช่วยงานอย่างเต็มใจ…ฉันเป็นลูกกลับไม่ใส่ใจ…อายนายหรั่งเขาเหมือนกัน”
“ฉันนั่งฟังเธอมา วันนี้ฉันได้ยินแต่ชื่อนายหรั่งนะ…แล้วชื่อพี่ตะวันฉายของฉันไปไหนซะล่ะ
จะไม่เอ่ยปากบ้างเลยเหรอ…มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
แพรวาส่ายหน้า “ฉันไม่ได้เจอเขาตั้งแต่วันที่เธอไปแล้วละ…อะไรก็ไม่รู้ นึกจะโผล่ก็โผล่มาทำเซอร์ไพร้ส์ แล้วก็หายเงียบไปนานเลย ติดต่อก็ไม่ได้...ฉันก็เลยเลิกตามเขาเลย เขาจะได้รู้บ้างว่าเวลาที่ไม่มีฉัน เขาจะเป็นยังไง”
“ก็คงไม่มีใครทำอะไรๆน่าร้าาาก น่ารักกก ให้ดูละมั้ง”
“บ้า!”
บ่ายนั้น ตรงบริเวณล็อบบี้หรูใกล้สระว่ายน้ำ ในโรงแรมเก๋ ริมทะเล ต่างจังหวัด สาวๆ ในชุดว่ายน้ำเดินผ่านไป ตะวันฉายในชุดสบายๆนอนดื่มเบียร์อยู่มุมหนึ่ง แถวนั้น มองสาวสวยไปรอบๆ เขาสะดุดตา กับสาวสวย เซ็กซี่มาก คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับรูปที่ถืออยู่ในมือ เธอคือ แองจี้
แองจี้ใส่เสื้อคลุม เดินไปนั่งริมสระ และค่อยๆทาครีมลงบนผิวตัวเอง ตะวันฉายเดินไปนั่งข้างๆแองจี้อย่างกรุ้มกริ่ม
“สวัสดีครับ…ขออนุญาตแนะนำตัวครับ…ผมตะวันฉาย”
“ดิฉันต้องท่องจำด้วยมั้ยคะ”
แองจี้ว่า เธอยังคงทาครีมไปเรื่อยๆ ยิ่งดูยิ่งเซ็กซี่มาก
“ไม่ต้องหรอกครับ เพราะอย่างอื่นของผมน่าจดจำยิ่งกว่าชื่อ”
แองจี้เย้า “ชื่อพ่อละซี”
“พูดอย่างนี้ รู้หรือเปล่าว่าพ่อผมเป็นใคร”
“ถ้าไม่ใช่นักการเมือง คงไม่กล้าตั้งชื่อลูกอย่างนี้หรอก”
ตะวันฉายยิ้มพอใจ “ถ้าไม่ใช่ลูกสาวนักเลง ก็คงไม่กล้าต่อปากต่อคำอย่างนี้เหมือนกัน”
แองจี้ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าตะวันฉายนิ่ง และท้าทาย เธอปลดเสื้อคลุมออก เห็นเป็นชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่
“ผมว่า ถ้าคุณอยู่ในชุดบิกินี่สีฟ้าจะเร้าใจยิ่งกว่านี้อีกนะครับ”
ตะวันฉายชูรูปถ่ายแองจี้ในชุดบิกีนี่สีฟ้าให้ดู
“แว่นกุ๊ชชี่ กับเสื้อยืดคอลึก ก็ไม่เลว”
ตะวันฉายชูรูปอีกใบ แองจี้อยู่ในชุดตรงตามที่เขาพูด
“หมวกหนึ่งใบ กับแผ่นหลังเปล่าเปลือย...อันนี้ก็สุดยอด”
ตะวันฉายชูรูปใบต่อไป
“หรือชุดราตรี ซีทรูแบบนี้ ทำให้จินตนาการของผมกระเจิดกระเจิงไปไกลทีเดียว”
ทั้งสองจ้องหน้ากันอย่างท้าทาย และมีความรู้สึกแฝงเร้นคล้ายๆกัน
“คุณเรียกร้องความสนใจได้ไม่เลว สำหรับการพบกันครั้งแรก”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ยังไม่พอ” แองจี้ว่า
“อยากให้ผมเสริมตรงจุดไหนเหรอ”
“ถอดเสื้อออก ฉันถึงจะบอกได้”
ตะวันฉายถอดเสื้อออกได้อย่างง่ายดาย แองจี้มองสำรวจเรือนร่างที่ฟิตและเฟิร์มของตะวันฉายอย่างพึงใจ
“ตามฉันให้ทันก็แล้วกัน”
ว่าแล้วแองจี้กระโดดลงไปในสระว่ายน้ำอย่างสวยงาม ตะวันฉายยิ้ม และกระโดดตามเธอลงไป
ค่ำแล้วที่หน้าบ้านสุริยะยามนั้น รถตู้คันใหญ่ โก้หรู จอดรออยู่หน้าบ้าน สุริยะเดินออกมาจากในบ้าน โดยมีแสงเทพรอรับอยู่ ทั้งสองเดินคุยกันมายังที่จอดรถ
“ผิดหวังมั้ยที่หัวหน้าเดินทางไปกับเราด้วยไม่ได้”
“ผมได้เพื่อนร่วมทางอย่างคุณสุริยะ ก็นับว่าโชคดีมากแล้วครับ”
“โชคดีน่าจะเป็นของคุณยิ่งกว่านั้น เพราะหัวหน้าให้ผมตัดสินใจทุกเรื่องให้จบที่ปูซานเลย”
“โอ...เท่ากับว่า ทริปนี้ ผมแฮบปี้จริงๆ”
ทั้งสองเดินมาถึงรถตู้พอดี
“แต่คุณอาจจะเหงากว่าผมหน่อยนะ เพราะทริปนี้ผมมีคนรู้ใจไปด้วย”
โฉมฉายเดินยิ้มพราย เข้ามาร่วมกลุ่มหน้ารถตู้
“ผมก็มีคนรู้ใจของผมไปด้วยเหมือนกันนะครับ”
แสงเทพเปิดประตูรถตู้ ดวงใจก้าวลงมาจากรถ
“สวัสดีค่ะท่าน ดวงใจค่ะ”
แสงเทพแนะนำ “คนรู้ใจของผมครับ”
“โถ นึกว่าใคร...ลอบบี้ยิสต์ตัวแม่นี่เอง” สุริยะสัพยอก
“มีอะไรให้รับใช้ก็บอกดวงใจได้เลยนะคะ”
“เราคุยกันไปในรถดีมั้ยคะ เดี๋ยวจะตกเครื่องกันพอดี” โฉมฉายว่า
ทั้งหมดก้าวขึ้นรถตู้คันนั้น
ส่วนที่บ้านมหาโชคตั้งศิริ เผ่าลาภพูดโทรศัพท์กลางโถงบ้าน สีหน้าเขาดูไม่ดีนัก เผ่าลาภยังอยู่ในชุดทำงาน เพิ่งกลับมาถึงบ้าน
“ห๊ะ ไปเกาหลีเหรอ…ไปดูงานอะไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง...ตั้งแต่เมื่อไหร่...เอาละ ถ้ามีอะไรคืบหน้า คอยโทร.รายงานฉันเรื่อยๆ นะ”
เผ่าลาภวางหูโทรศัพท์ลง เขาเดินตรงไปหารำไพ…ใจไม่ค่อยดี
“เราท่าจะแย่แล้วละ…เทพทอแสงมันบุกเราเหลือเกิน…ไอ้แสงเทพมันเล่นเอาตัวคุณสุริยะไปดูงานถึงเกาหลีแน่ะ”
“งานอะไรคะ ที่เกาหลี” รำไพแปลกใจ
“ดูวิธีการอนุรักษ์เมืองเก่า...ก็หาเรื่องไปเที่ยว ไปใช้ตังค์ ไปเจรจาอะไรกันลับๆนอกประเทศเท่านั้นแหละ แล้วก็มาอ้างว่าดูงาน...โธ่เว้ย...ผมไม่น่าประมาทเลย”
“คุณคิดว่า คุณสุริยะกำลังจะย้ายไปถือหางข้างโน้นเหรอคะ”
แพรวายกน้ำเย็นมาให้เผ่าลาภอย่างน่ารัก
“คุณป๋า…ตกลงพวกนายหรั่งเขาไปดูบ้านกันรึยังคะ”
“ไม่รู้สิ ลองถามนายสยามดู”
“เรียบร้อยแล้วครับผม”
“แล้วเขาจะย้ายกันเมื่อไหร่”
“เอ้อ...ยังไงก็ไม่ทราบ”
แพรวาดูไม่สบอารมณ์นิดๆ จากการที่ไม่ได้ดั่งใจ
ตรงกลางห้องโถงบ้านกลางทุ่ง หลอดไฟกลางบ้านสว่างขึ้น…มันไม่ได้สว่างอะไรมากมายเลย โบ้ยืนแหงนหน้ามองหลอดไฟอยู่ตรงนั้น ในฐานะผู้เปิดสวิตช์ น้าเบิ้มตะโกนมาจากมุมใดมุมหนึ่ง
“ไม่เห็นมันสว่างเลย ไอ้โบ้…มึงไปเปิดอีกสิวะ กี่ดวงๆเปิดให้หมด”
โบ้เดินไปที่มุมห้อง เอื้อมมือกดสวิตช์ มีประกายไฟเกิดขึ้น แล้วไฟทุกดวงก็ดับลง
เสียงทุกคนร้อง “เฮ่ย” เซ็งๆ
หลายๆ เสียงเกิดขึ้นในความมืด
เสียงโบ้บอก “มันช็อตแล้ว…สายมันเก่านะ”
เสียงเบิ้มว่า “แล้วทำไมมึงไม่ดูก่อน”
“ก็พ่อให้เปิด ไม่ได้ให้ดูนี่”
“ปัดโธ่ มึงไม่รู้จักคิดเองบ้างเลยรึไงวะ ไอ้โบ้”
เสียงเจ๊โอ๋ด่า “เถียงกันอยู่นั่นแหละ…ช่วยกันหาเทียน เร้ว”
เปลวไฟจากปลายเทียนไขหลายเล่ม ลุกโชนขึ้น จากมือหลายๆ คน เป็นเทียนเก่าทุกเล่ม ทุกคนยื่นเทียนของตนเข้าไปใกล้แผงเบรคเกอร์ หรั่งยืนตรวจดูอยู่ตรงนั้น
“ช็อตทั้งแผงอย่างนี้ คืนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วละ”
“งั้นเราก็ต้องอยู่กันมืดๆอย่างนี้ทั้งคืนละนะ ยายโอ๋…” น้าเบิ้ม ยิ้มมีเลศนัย
“มืดก็มืดสิ…ทำไมต้องทำหน้าลามกด้วย” เจ๊โอ๋บอก
ทุกคนเดินแยกย้ายกัน
หรั่งจูงก้อย…เขาเดินสะดุดอะไรบางอย่าง
“อุ๊บ ระวังนะก้อย…ตรงนี้มันมีบันได”
ก้อยยิ้ม “หรั่งไม่ต้องห่วง…ไฟดับหรือไม่ดับ มันก็เหมือนกันสำหรับก้อย”
ทุกคนแยกย้ายออกไป
ก้อยเอนตัวลงนอนกลางห้องๆ หนึ่งในบ้านนี้ หรั่งเปิดหน้าต่างให้
“ก้อยนอนห้องนี้ละดี…ตอนเช้าแดดจะไม่ส่องเข้ามา หรั่งนอนอยู่ตรงห้องตรงข้ามนี้เลย…ประตูอยู่ตรงนี้นะ เปิดออกไปก็เจอห้องหรั่งพอดี…ถ้ามีอะไรก้อยตะโกนเรียกเลยนะ”
“คงไม่มีอะไร มั้งหรั่ง”
“ฝันดีนะก้อย”
หรั่งลูบผมก้อยแผ่วเบา แล้วเดินออกไป
ก้อยค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบไวโอลินตัวใหม่ออกมานอนกอด และ ยิ้ม
บ้านกลางทุ่งหลังนี้ ตกอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่มืดมิด เห็นแสงนวลๆ ของเทียนไข กระจายเป็นหย่อมๆ บางๆ มีเสียงเด็กๆ ดังออกมา “ห้องน้ำล่ะ...โบ้ ห้องน้ำอยู่ไหน มืดจัง หาไม่เจอ”
ตามด้วยเสียงเจ๊โอ๋ “ห้องน้ำอยู่นี่...แม่ขี้อยู่...ใครตักน้ำให้แม่ที ในนี้ไม่มีน้ำ”
และเสียงน้าเบิ้ม “อ้าว อีโอ๋...มึงขี้อยู่ในห้องน้ำ...แล้วนี่กูขี้อยู่ที่ไหนล่ะวะเนี่ยะ”
เสียงเด็กๆ ร้องไห้ “โฮโฮโฮ...หนูเหยียบขี้หมา”
เสียงน้าเบิ้ม “เฮ้ย...ขี้พ่อเองลูก ไม่ใช่ขี้หมา”
เช้าวันต่อมา รำไพ ยกกาแฟและขนมเค้กมาวางลงตรงหน้าลินจง
“ขอบใจมากเลยพี่”
“อาจจะไม่อร่อยเท่าสูตรโบราณที่บ้านอาจูนะ”
“แต่เค้กสูตรคุณพี่ ก็ขึ้นชื่อไม่เบานะจ๊ะ”
“ไม่เบา...ก็แปลว่ากินแล้วอ้วนล่ะสิ”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน เผ่าลาภเดินถือหนังสือพิมพ์มานั่งร่วมวง
“เอ้า ไหนว่ามาซิอาจู อาหั่งมันว่ายังไงบ้าง แล้วทำไมมันไม่มาหาอั๊วเอง”
“ก็คงกระดากนั่นหละเฮีย…แต่เท่าที่ดู เขาก็กลับเนื้อกลับตัวดีขึ้นเยอะแล้วนะ เฮียหาตำแหน่งอะไรให้เขาหน่อยเถอะ เขาอุตส่าห์มาเอ่ยปากอยากทำงานกับฉันอย่างนี้แล้ว”
“ไปไหนไม่รอดละซีถึงได้กลับมาหาอั๊ว”
“คุณก็ชอบพูดซะอย่างนี้…รู้มั้ยว่าอาหั่งเขาคิดว่าคุณไม่รักเขา” รำไพปราม
เผ่าลาภชักฉุน “มันแก่จนป่านนี้แล้ว ยังมัวคิดน้อยใจเป็นเด็กๆ อีก”
“เฮียอย่าไปโมโหเขาเลย อารมณ์เสีย มันก็เสียกับตัวเองเปล่าๆ…ยังไงก็ช่วยหางานให้เขาซักตำแหน่งเถอะ เอาตำแหน่งอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้เสียหายน่ะ”
“ตำแหน่งที่เสียหายน้อยที่สุด ?…เซลส์ ละมั้ง”
“เซลส์? ถ้าจะให้เป็นเซลส์ ก็ให้อั๊วเป็นยามเลยก็แล้วกัน…มันไม่ได้ต่างกันเลย”
บารมีประจันหน้ากับเผ่าลาภกลางห้องทำงานในเช้าวันต่อมา
“ไม่ต่างกันยังไง”
“ก็ในบริษัทนี้ มันจะมีกี่ตำแหน่งที่ยกมือไหว้อั๊ว เป็นลูกน้องอั๊ว…ก็จะเหลือแต่คนถูพื้นกับยามแค่นั้นแหละ…เนี่ยเหรอที่บอกว่าเห็นแก่น้อง”
“งั้นเป็นหัวหน้าเซลส์มั้ย” เผ่าลาภเสนอ
“ก็เซลส์อยู่ดีแหละ”
“งั้นลื้อบอกมา ว่าจะเอาตำแหน่งอะไร…ที่มันเหมาะกับลื้อ”
“มีตำแหน่งอะไรบ้างล่ะ”
เผ่าลาภฉุน “วะ!…จะทำงานแล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าสายงานในบริษัทมันเป็นยังไง”
พลางเผ่าลาภหยิบ ชาร์ตแสดงสายงานของบริษัท โยนแรงๆให้บารมีดู บารมีรับไปดู แล้วชี้ลงไปที่ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายขายในประเทศ
“ลื้อจะเอาตำแหน่งนี้เลยเหรอ แล้วรู้มั้ยว่าตำแหน่งนี้เขาทำอะไร”
“คุมการขายในประเทศทั้งหมด แค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“ทำเป็นเหรอ”
“เฮียเลิกดูถูกอั๊วได้แล้วนะ ไอ้การที่อั๊วทำธุรกิจเจ๊ง มันไม่ได้แปลว่าอั๊วจะทำอะไรไม่เป็นเลยนะ”
“แล้วคนที่เขาทำอยู่ตำแหน่งนี้ล่ะ ลื้อจะให้เขาไปอยู่ไหน”
“ก็เป็นเซลส์ไง”
“อาหั่ง…ฟังนะ ถ้าอั๊วต้องรับลื้อเข้าทำงาน โดยไล่ใครออก หรือลดตำแหน่งของใครที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด อั๊วจะไม่ทำเด็ดขาด…คนอื่นเขาจะมองอั๊วยังไง…แล้วถ้าลื้อยังงอแงเรื่องมาก เลือกงานอย่างนู้นอย่างนี้อีกละก้อ อย่าทำดีกว่า แม้แต่เซลส์อั๊วก็ไม่ให้ลื้อทำ”
“งั้นมีตำแหน่งไหนที่อั๊วทำได้โดยเฮียไม่ต้องไล่ใครออกไปล่ะ”
เผ่าลาภบอก “ยาม”
“ขอบใจ” บารมีเดินออกไปอย่างโกรธจัด
บารมีเดินออกมาที่ที่หน้าบริษัท M.S. และยืนโกรธอยู่ตรงนั้น บารมีถอนหายใจยาว มองออกไปไกล ซักพักสายตาของเขาจับนิ่งที่ใครบางคนเบื้องหน้า หรั่งเข้ามาประจันหน้ากับบารมี ทั้งคู่สบตากันเต็มแรง
“มึงมองอะไร”
หรั่งไม่ตอบ บารมีชิงเดินเบียดไหล่หรั่งออกไปก่อน
หรั่งมองตาม...ยากที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไร
หรั่งเดินตรงไปยังห้องเผ่าลาภ เลขาสาวคนที่นั่งประจำโต๊ะใกล้ๆ หน้าห้อง เงยหน้ายิ้มรับ
“คุณเผ่าลาภมาแล้วใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ…คุณหรั่งจะพบท่านเหรอคะ”
“ครับ”
“นัดไว้รึเปล่าคะ”
“เอ้อ ไม่ได้นัดครับ...ไม่ทราบว่าต้องนัดยังไง”
“จะให้เรียนท่านว่า คุณหรั่งจะขอพบเรื่องอะไรคะ”
“ก็…ไม่มีเรื่องอะไร”
เลขามองหน้าหรั่งแปลกๆ แล้วเดินเข้าห้องเผ่าลาภไป หรั่งลงนั่งเก้าอี้แถวนั้น ไม่นานนัก เผ่าลาภเปิดประตูออกมาจากในห้อง หน้าตายิ้มแย้ม...หรั่งยกมือไหว้
“ไงเรา…อยากจะพบฉันโดยไม่มีสาเหตุเหรอ”
“คือ ผมไม่ทราบว่า หน้าที่ของ...เอ้อ...เลขาของคุณเผ่าลาภ ต้องทำอะไรบ้าง”
เลขาสาวหันขวับมาจ้องอย่างระแวง
“อือม จริงสินะ เรายังไม่ได้คุยรายละเอียดของงานกันเลย…เอาเป็นว่าตอนนี้นายไปช่วยลูกสาวฉันเหมือนเดิมก่อน…เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันอีกที”
“ครับผม”
ประตูห้องทำงานแพรวาเปิดออก เห็นแพรวานั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะ...เธอเงยหน้าขึ้นมอง
“มาแล้วเหรอ ผู้ช่วย MD.”
หรั่งยืนคาอยู่แถวๆ หน้าประตู
“ดูเหมือนว่าคุณจะเข้ากับโต๊ะทำงานมากขึ้นแล้วนะครับ” หรั่งเย้า
“เหรอ…แต่นายมาสายมากขึ้นกว่าเก่านะ”
“ขอโทษด้วยครับ ผมมัวซ่อมสายไฟอยู่ที่บ้าน”
“บ้านน่าอยู่มั้ย”
“ก็ดีครับ”
“คนอื่นๆ ล่ะ เขาว่าไง”
“ก็ว่าดีครับ”
“ก้อยล่ะ…ก้อยชอบมั้ย”
อรทัยถือกระดาษจำพวกโบรชัวร์สองสามแผ่นเดินผ่ากลางวงเข้ามา
“แพรวา ไปตามงานนี้ให้อาโกที”
“งานอะไรคะ”
“ก็งานมหกรรมอัญมณีโลก โปรเจคท์ของอาฮุยไง...นี่อาฮุยเขาไปดีลกับบริษัท เวดดิ้ง เพื่อให้มาเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา...เผื่อว่าอนาคตเราอาจจะทำบาร์เตอร์ผูกกันยาวๆได้ เพราะเขาก็อยากจะใช้เครื่องประดับของเราไปบริการลูกค้าเหมือนกัน...อาฮุยเขาจะไปรอเจอเราที่โน่นเลยนะ”
อรทัยส่งเอกสารให้แพรวา
“แล้วน้องแพรต้องทำอะไรบ้างคะ”
“ก็แค่ไปนั่งทำหน้าสวยๆ ให้เขาเห็น...อย่างอื่นก็ปล่อยให้อาฮุยเขาคุยเอง...มีอะไรไม่แน่ใจยังไงให้กลับมาปรึกษาอาโกก่อน เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ”
อรทัยเดินเฉียดหรั่งออกไป พร้อมกับบ่นพอให้ได้ยิน
“ไม่มีโต๊ะนั่งรึไง หมอนี่”
แพรวาเดินเข้ามาใกล้หรั่ง
“ไม่ทราบว่า งานนี้ เลขากรรมการผู้จัดการ พอจะเจียดเวลาไปกับผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปได้รึ
เปล่าคะ”
หรั่งยิ้มน้อยๆ
บารมี นั่งพูดโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่ในรถของเขาที่จอดนิ่งริมถนน
“เหลว ไม่สำเร็จ...มันไม่เป็นไปตามแผนที่หลานตะวันคิด”
ตะวันฉายนอนเปลือยอยู่บนเตียงในห้องพักโรงแรมต่างจังหวัด เขาพูดโทรศัพท์กับบารมี
“ทำไมงั้นล่ะครับอา”
“ก็เขาจะให้อาไปเป็นเซลส์...โธ่ เซลส์มันจะไปโกงอะไรได้แค่ไหนกันเชียว โกงคอมมิชชั่นก็ได้แค่นิดหน่อย...อาตั้งใจจะขอเป็นผู้จัดการฝ่าย เผื่อว่าจะได้ยักย้ายถ่ายเทสินค้าเปลี่ยนออร์เดอร์ เปลี่ยนสต๊อค...มันก็ไม่ยอม...งกจริงๆ เลย ไอ้เฮียตงเนี่ย”
“แล้วที่เหมืองล่ะครับอา”
ตะวันฉายลุกขึ้นจากเตียง จึงเห็นร่างของสาวเซ็กซี่อีกหนึ่งคน นอนเปลือยให้เราเห็นแผ่นหลังขาวนวลอยู่บนเตียงนั้น
เสียงบารมีลอดออกมา “เหมือง”
“มีอะไรอยู่ที่เหมืองบ้างล่ะครับ”
“ก็มีแดด มีอิฐ มีปูน แล้วก็...พลอยดิบ”
“อือม...ไม่เลวเลยนะครับอา”
ด้านหลังของตะวันฉาย เห็นสาวสวยคนนั้นลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำ
“อาไม่อยากไปยุ่งที่เหมือง...ไอ้เหลียงมันดูแลอยู่...อาไม่ค่อยถูกกับมัน”
“ก็ยิ่งดีสิครับอา...คนถูกกัน จะไปโกงมันทำไม ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...ผมว่างานเหมืองนี่หละเหมาะกับอาบารมีมาก...โอเค. ผมจะรีบกลับกรุงเทพฯให้เร็วที่สุด...แล้วค่อยคุยกันนะครับอา”
ตะวันฉายกดปุ่มยกเลิกการสนทนา สาวสวยคนนั้นโผล่หน้ามาจากห้องน้ำ เราจึงเห็นว่าเธอกำลังแต่งตัวอยู่ และเธอก็คือ แองจี้ นั่นเอง
“ไหนว่าจะอยู่ต่ออีกคืนไง”
“ก็คุณจะรีบไป แล้วผมจะอยู่กับใครล่ะ”
“ลองหาดูแถวสระว่ายน้ำซักคนสิ”
“อยู่กับใครก็ไม่เหมือนอยู่กับคุณหรอก”
“งั้นก็ตามฉันให้ทัน...หาฉันให้เจอแล้วกันนะ”
แองจี้ตรงเข้ามาจูบตะวันฉาย แล้วเดินออกจากห้องไป
ตะวันฉายคิดอะไรในใจนิดหนึ่งแล้วจึงกดโทรศัพท์มือถือ
“ฮัลโหล...ผมขอสั่งดอกไม้หน่อยครับ...ส่งที่บริษัท M.S. Jewelry”
ที่ห้องรับรองในอาคารศูนย์ Wedding center แพรวา และหรั่งขยับลงนั่ง ยกมือไหว้อ่อนช้อย ผู้จัดการร้านในคราบผู้ชายรับไหว้อ่อนช้อยกว่า
“สวัสดีค่ะ หนูแพรวา”
“น้องแพรมาเป็นตัวแทนของ M.S.JEWELRY ค่ะ”
“อย่างนี้ไม่ใช่ตัวแทนหรอกค่ะ…ตัวจริงเสียงจริงเลยหละ…แหม ให้เกียรติพี่มากเลยนะคะอุตส่าห์มาเองเลย…”
“ด้วยความเต็มใจค่ะ”
“หรือว่า สนใจจะเป็นลูกค้าเราด้วยเลยรึเปล่าคะ”
ผู้จัดการมองด้วยหางตาไปทางหรั่ง อมยิ้ม แพรวาเข้าใจความคิดของผู้จัดการชายใจสาวทันที
“นี่นายหรั่ง เป็นผู้ช่วยของน้องแพรเองค่ะ”
“อ๋อ…ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ…” ผู้จัดการยังอมยิ้มอยู่
“อาฮุยยังไม่มาเหรอคะ...เอ้อ อากัมปนาทน่ะค่ะ”
“อ๋อ..นั่นไง มาพอดีเลย”
กัมปนาทและ ธนู เดินเข้ามา
“สวัสดีจ้ะ ทุกๆคน...โทษที มาช้าไปสิบนาที...รถติดมากกก”
“วันนี้พาน้องเขาไปไหนมาล่ะคะคุณกัมปนาท” ผู้จัดการกระเซ้า
“ซื้อเสื้อผ้านิดหน่อยเท่านั้นเอง...ธนูเขาซื้อของพวกนี้ไม่ค่อยเป็น ใส่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่ตัว”
ผู้จัดการกระซิบ “งั้นไม่ต้องใส่เลยจะดีกว่ามั้ยฮะ”
ผู้จัดการและกัมปนาท หัวเราะต่อกระซิก ประสาคนรสนิยมเดียวกัน
หรั่งนั่งมอง โดยไม่มีอารมณ์ร่วม
“เข้าเรื่องงานกันดีกว่า...ไหนมาดูสิว่า เราจะร่วมธุรกิจอะไรกันได้บ้าง”
“เริ่มจากงานใหญ่ก่อนเลย...Jewelry on the beach...ไม่ทราบว่าทางนี้สนใจจะเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการเลยมั้ย จะได้มีบู๊ทของตัวเองในงาน สามารถนำเสนอผลงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งภาพนิ่ง ทั้งวิดีโอ ทั้งเดินแบบโชว์กันสดๆ ได้หมดเลย”
“ถ้าได้นางแบบกิตติมศักดิ์ที่สวยเพียบพร้อมอย่างน้องแพรวามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ละก็โอเคเลย”
“ย่อมได้อยู่แล้ว...ไม่งั้นวันนี้ไม่พามาให้ดูตัวหรอกค่ะ” กัมปนาทบอก
“งั้นขอสองเลยได้มั้ยคะ ทั้งคุณแพรวาและคุณผู้ช่วยคนนั้น”
แพรวาและหรั่งหันมามองหน้ากัน
ที่ล็อบบี้โรงแรมต่างจังหวัดตอนบ่าย ตะวันฉาย ยืนเช็คเอ๊าท์อยู่หน้าเค้าท์เตอร์ รสสุคนธ์ ผู้จัดการสาวใหญ่ ก้าวเข้ามายืนข้างๆ ตะวันฉาย เช็คเอ๊าท์เช่นกัน
“ห้องสวีทที่นี่ นอนสบายมั้ยคะ”
“ทุกอย่างที่พี่รสสุคนธ์เลือกให้ผม ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติเสมอครับ”
“สินค้าล็อตใหม่จะผ่านตม.เข้ามาคืนนี้ ตรงเวลาเป๊ะ ครบตามออร์เดอร์ของเรา”
“งั้นของฝากของพี่รส ก็ครบตรงเวลาเช่นกัน”
ตะวันฉายส่งกระเป๋าถือแบรนด์เนมอย่างดีให้รสสุคนธ์ เหมือนเป็นของฝากจากต่างประเทศ ทว่าภายในนั้นบรรจุเงินสดอัดแน่นเต็มกระเป๋า รสสุคนธ์แง้มดูในกระเป๋าใบนั้น
“สวยจัง”
“ถึงบ้านค่อยนับนะครับ”
“เมื่อไหร่น้องตะวันจะให้เกียรติ เจียดเวลาแวะมาบ้านพี่ มาช่วยพี่นับบ้างล่ะจ๊ะ”
“ระหว่างพี่กับผม มีระยะห่างไว้นิดนึงจะดีกว่าครับ...อ้อ อีกเรื่องนึง...ผมอยากได้โปรเจคท์
Jewelry on the beach”
รสสุคนธ์แปลกใจ “โปรเจคท์ของ M.S.”
“ผมอยากได้มาทำเอง...พี่รสจัดการให้หน่อย”
“แล้วจะไม่ผิดใจกับหนูแพรวาเหรอคะ”
“เรื่องนั้นผมจัดการเองได้...รับรอง เอาอยู่ครับ”
ตะวันฉายยิ้มนิดๆ ในท่าทีมั่นอกมั่นใจนั้น
อ่านต่อตอนที่ 9