สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 7
เย็นวันนั้น ที่ลานโล่งๆ บริเวณข้างบ้านผู้ใหญ่เงาะ แลเห็นผู้ใหญ่เงาะนำทีมส่งเสียงไชโยสามครา กลุ่มหรั่งและเพื่อนๆ ยกแก้วดื่มฉลอง แล้วผู้ใหญ่ก็ตั้งปุจฉากับสมาชิกในวง
“ข้าว่า หลังๆนี่พวกเราชักจะมีงานเลี้ยงกันบ่อยไปหน่อยนะ…อยากจะถามว่า ที่แดกกันเข้าไปนี่มันเงินใครวะ”
“เซ็นเซอร์ครับ…คำว่าแดกห้ามพูด กรุณาใช้คำที่สุภาพกับวีรบุรุษอย่างพวกเราหน่อย” เท่ห์ยื่นหน้าบอก
ผู้ใหญ่ “ถุ๊ย” ใส่หน้า
“ห้ามถุยครับ…วันนี้ต้องฉลอง ฉลองอย่างเดียว ฉลองให้กับวีรบุรุษที่นำตำรวจจับยาบ้าได้” โบ้ว่า
ทุกคนร้องเฮลั่น
น้าเบิ้มเพ่งสายตาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์อยู่นานแล้ว เขาตั้งข้อสังเกตออกมาดังๆ
“แต่หนังสือพิมพ์เขาบอกว่า ผู้แจ้งเบาะแสคือผู้ไม่ประสงค์จะออกนามนี่หว่า…แล้วจะแน่ใจได้ไงว่าเป็นพวกมึง…มั่วรึเปล่า หาเรื่องให้กูออกตังค์เลี้ยงใช่มั้ยเนี่ย”
“นั่น ได้ตัวคนจ่ายตังค์แล้ว...เฮ” เท่ห์บอก
“ฉบับนี้บอกว่า แจ้งเบาะแสโดย กะเทยแก่ที่ไม่กล้าบอกชื่อ” เบิ้มว่า
เท่ห์ร้อง “เฮ้ย”
เช็งด่าเป็นชุด “กูบอกแล้ว ให้บอกชื่อมึงกับตำรวจไปเลย จะได้ดังกว่านี้…เผลอๆ ได้รางวัลบุคคลดีเด่นด้วยนะมึง…ได้ทั้งโล่ห์ ได้ทั้งเงิน รับรางวัลจากนายกด้วย...ได้ออกทีวี ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง โอ๊ย สารพัดจะได้ เสือกไม่เชื่อกู”
เท่ห์ยกตีนถีบเช็งเต็มๆ บาทา “ได้ถีบมึงด้วย นี่ไง...”
“ไม่บอกว่าเป็นพวกเราน่ะดีแล้ว…ไม่งั้น เขาสืบไปสืบมา มันจะเดือดร้อนถึงเจ้านายไอ้หรั่งได้” โบ้บอก
“เอ้า งั้นดื่มให้ไอ้หรั่ง ลูกจ้างที่จงรักภักดีต่อเจ้านายที่สุดในโลก”
ทุกคน เฮ หรั่งได้แต่ยิ้มน้อยๆ พองาม เท่านั้น
“ลากทีวีมาเปิดดูข่าวหน่อยดีมั้ยวะ...เผื่อมีใครเขาขอบคุณพวกมึงออกอากาศ...แบบ ส่งเป็น SMS มา อะไรเงี้ยะ...”
จบคำผู้ใหญ่ ทุกคน เฮอีก
เห็นเด็กๆ และชาวบ้านทั่วไปจับกลุ่มกันส่งเสียง เฮ ดังลั่น ภาพเบื้องหน้าทุกคน เป็นตำรวจยืนยิ้มเรียงกันข้างๆ กองยาที่เรียงเป็นตัวหนังสือคำว่า ย า บ้ า
โดยมีเสียงผู้สื่อข่าวรายงานตลอด
“เมื่อเวลาตีสองสามสิบนาที เมื่อคืนนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำกำลังเข้าดักจับรถบรรทุกคันดังกล่าว ตรวจค้นได้ยาบ้ากว่าแสนเม็ด ถือเป็นปริมาณยาบ้าที่จับได้มากที่สุดในรอบปี”
ต่อมาตำรวจกำลังให้สัมภาษณ์กับกล้องนักข่าว
“ก็ งงๆครับ ง่วงด้วย…รู้สึกเขาจะดัดเสียง บอกแต่ว่า ยัดอยู่ในลังหน่อไม้ ไม้เชื่อลองค้นดู…ถามชื่อก็ไม่บอก จะเอารางวัลนำจับท่าเดียว…พูดจาก็เหมือนคนเมาแต่เราก็ลองเสี่ยงดู เอาก็เอาวะ ลองดู...ก็เลยจับได้มาอย่างนี้แหละครับ”
รถบรรทุกหน่อไม้คันนั้นจอดอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งมีเด็กๆ ชาวบ้านรุมดู ตำรวจพยายามกันไทยมุงออกไป กล่องหน่อไม้คุณรัชกลิ้งไปมาแถวนั้นด้วย
เสียงนักข่าวรายงานต่อ “หน่อไม้ยัดใส้อย่างนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาคนไทยที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง…หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์อย่างนี้ ถือเป็นธุรกิจ SME. ที่ไม่น่าส่งเสริม…”
ค่ำนั้นในจอทีวี เห็นเป็นภาพรายการข่าวต่อเนื่อง
“โชคยังคงเข้าข้างเรา ที่มีคนเมาแจ้งเบาะแส…แต่ที่แน่ๆ….หากคุณต้องการบริโภคหน่อ
ไม้ไผ่ตง คงต้องหลีกเลี่ยงคุณรัช เพราะอาจยัดยาบ้าได้”
กันทิมานั่งอยู่หน้าจอทีวีกลางห้องโถงในคอนโด ดูข่าวนั้นอยู่…บารมีนั่งดื่มเหล้าห่างออกไป กันทิมาหันไปหาบารมี หน้าตามีแวววิตกกังวล
“คุณคะ…นี่มันยังไงกัน…ฉันจำได้ว่า นั่นมันลังหน่อไม้ที่เคยอยู่ที่บ้านเราไม่ใช่เหรอ”
“แล้วไง”
“คุณมีส่วนกับเรื่องนี้รึเปล่าคะ”
บารมีไม่ตอบ ลุกขึ้นเดินหนี อารมณ์เสียสุดๆ...กันทิมาเดินตามไปติดๆ
“ว่าไงล่ะคะคุณ…คุณยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า”
“เปล่า…ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น อย่ามาเซ้าซี้ได้มั้ย” บารมีพาล
“แน่ใจนะ”
“เอ๊ะ บอกว่าไม่รู้ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว ถ้ามาถามมากๆ เดี๋ยวก็ทำมันจริงๆ ซะเลย”
“ถ้าไม่ได้ทำ แล้วยาบ้ามันเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง”
บารมีระเบิดอารมณ์ลงกับข้าวของใกล้ตัว แก้วแตกกระจาย
“จะไปรู้เหรอ”
“ไม่รู้ แล้วคุณไปรับงานส่งของให้เขาได้ไง”
“โง่…โง่ไงล่ะ ฉันโดนหลอก เข้าใจมั้ย โดนหลอกน่ะ เธอเคยโดนหลอกมั้ยล่ะ”
บารมีเดินไปรินเหล้าใส่แก้วใบใหม่ กล่องคุ้กกี้วางอยู่ใกล้โต๊ะนั้น
“ไอ้นี่ของใคร”
“พี่รำไพทำเอง เขาแบ่งเอามาให้ชิม”
บารมีแดกดัน “ฮึ…ซาซ่อมาเองเลยเหรอ”
“นายหรั่งเป็นคนเอามาส่ง” กันทิมาบอก
“ใคร หรั่ง”
“คนของเฮียตง ที่เป็นลูกครึ่งน่ะ”
บารมีคิดอะไรบางอย่างในสมองของเขา
เช้าวันต่อมา ที่ บริษัท M.S.GROUP หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในพื้นที่ประจำของบริษัท เขาถอดหมวกกันน็อคออกด้วยท่วงท่าที่หล่อ และ เท่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ แจกยิ้มบางๆ ให้กับพนักงานที่เดินผ่านไปตามสมควร
ภายในห้องทำงานแพรวายามนั้น ครีเอทีฟรายการทีวี 3-4 คน นั่งรุมล้อมแพรวา เพื่อถามข้อมูลของเผ่าลาภ
“ตอนเด็กๆ คุณพ่อสอนอะไรคุณแพรวาบ้างคะ” ทีมงาน 1 ถาม
“คุณป๋าสอนมากเลยค่ะ สอนแล้วสอนอีก สอนทั้งวัน ตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดเลย”
“เช่น?”
“อย่างเช่น ตอนเด็กๆ คุณป๋าขับรถไปต่างจังหวัด เจอชาวนาทำนา คุณป๋าก็จะจอดรถแล้วให้ลูกสาวลงไปดูชาวนาริมทาง…คุณป๋าบอกว่า อยากให้ดูความขยัน ความอดทนของพวกเขา คุณป๋าเคยลำบากอย่างนี้มาก่อน ให้น้องแพรจำไว้แล้วก็อย่าลืมตัว อะไรพวกนี้ละค่ะ”
“น่าสนุกออกนะคะ” ทีมงาน 1 ว่า
“นานๆ ทีก็ดีหรอกค่ะ...แต่เป็นอย่างนี้ทุกวันก็แย่นะ น้องแพรไปโรงเรียนสายตลอดเลย...ครูถามว่าทำไมมาสาย เราก็บอกว่า อ๋อ คุณป๋าพาไปดูกรรมกรก่อสร้างตรงปากซอยนี่ละค่ะ เพื่อนๆหัวเราะกันใหญ่ ครูไม่เชื่ออีกต่างหาก”
ทีมงาน 2 แทรกขึ้น “แล้วคุณป๋าชอบไปเที่ยวที่ไหนบ้างมั้ยครับ สถานที่โปรดที่ท่านไปแล้ว รีแล็กซ์ น่ะ”
“คงเป็น ทะเลมั้งคะ…แต่จะบอกให้ว่า ป๋าไม่เคย relax เลยค่ะ...ถึงจะไปเที่ยวก็เหอะ...เครียดตลอด”
ทีมงาน 3 ถามบ้าง “คุณป๋าเคยเสียใจอะไรมากที่สุดในชีวิตคะ”
“คง…เสียใจที่ไม่มีลูกชายมั้ง”
หรั่งเคาะประตู แล้วเปิดเข้ามาในห้องนี้พอดี
“ขอโทษครับ” เขาขอโทษเมื่อเห็นว่าแพรวามีแขก
แพรวาหันมาหา “มีอะไรนายหรั่ง”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้ามาใหม่ก็ได้”
หรั่งออกจากห้องแพรวาไป ทีมงานทุกคนมองหรั่งเป็นตาเดียว…แพรวารีบอธิบาย
“ผู้ช่วยดิฉันค่ะ...ชื่อ นายหรั่ง”
หรั่งเดินไปตรงไปยังโต๊ะของตัวเอง บารมีเดินเข้ามาจากด้านตรงข้าม ทั้งสองประจันหน้ากันอย่างจัง ต่างคนต่างมองหน้ากันและกัน
“นายใช่มั้ย ที่เอาคุ้กกี้ไปส่งที่บ้านฉัน”
“อร่อยมั้ยครับ”
“นายนี่เอง”
ความเคียดแค้น อาฆาต ฉายออกมาจากสีหน้าและแววตาของบารมี หรั่งจ้องมองตอบ รับรู้ความรู้สึกนั้น นิ่งๆ
พนักงานกลุ่มใหญ่เดินผ่านเข้ามาเต็มทางเดิน บารมีค่อยๆ เดินเลี่ยงแยกออกไป แต่สายตายังจับจ้องมองที่หรั่ง ไม่วางตา
หรั่งมองตามตลอดจนลับตาเช่นกัน
ก่อนที่บารมีจะหลุดพ้นตรงมุมอาคาร เขาหันมามองหรั่งอีกครั้ง
พร้อมกับขยับปากเป็นคำว่า "เช็ด ผ้า"
ฟากกันทิมาเดินออกมาจากลิฟท์พร้อมถุงใส่เสื้อผ้าสำหรับซัก เมื่อเธอเดินผ่านล็อบบี้ทางเข้าคอนโดมีเนียม มาถึงบริเวณเค้าท์เตอร์รีเซฟชั่นด้านหน้า พนักงานหญิงสูงวัยขี้หงุดหงิดเรียกเธอไว้
“คุณกันทิมา”
“คะ?”
“มีคนฝากของให้คุณ”
กันทิมาฉงน “ให้ฉันเหรอ”
“ชื่อกันทิมารึเปล่าล่ะ”
พนักงานย้อนน่าตบ ขณะยื่นกล่องพัสดุให้ กันทิมารับมา แกะดู ภายในกล่องเป็นห่อกระดาษห่อของขวัญลายเดิมที่คุ้นตา
กุญแจดอกเดิมอยู่ในห่อนั้น พร้อมด้วยซองจดหมาย
กันทิมารีบเอ่ยปากถามพนักงาน
"ใครเป็นคนเอามาฝากไว้...ฝากตั้งแต่เมื่อไหร่...ทำไมเพิ่งบอกฉัน"
“ฉันไม่ได้มีหน้าที่นั่งเฝ้านั่งจำ ว่าใครชื่ออะไรฝากอะไรถึงใครนะคุณ...คนอยู่กันเป็นร้อยๆ ห้อง...วันๆฉันก็ต้องทำอะไรต่อมิอะไรตั้งเยอะแยะ...ทีหลังจะให้ขึ้นไปส่งถึงบนห้องเลยหมดเรื่องหมดราว”
พนักงานบ่นบ้า แล้วเดินออกไป
กันทิมาเปิดซองจดหมายออก เสียงชาติชายดังก้องขึ้นในหู ราวกับหลุดรอดออกมาจากจดหมายนั้น
“อย่าทำอย่างนี้กับผมอีก...กันทิมา”
กันทิมา อึ้ง...หน้าชา
รปภ. คนเดิมที่คนในคอนโดเคยเห็น เดินเข้ามาพูดอย่างสุภาพ
“เป็นผู้ชาย หน้าตาดี แต่ดูเครียดๆ สูงประมาณเนี้ยะ” รปภ.ทำมือให้ดู “...เพิ่งมาฝากไว้เมื่อกี้นี้
เอง...แล้วก็เดินไปทางโน้นครับ” เขาชี้ไปทางสวนหย่อมของคอนโด
กันทิมารีบเดินไปตามทิศทางที่รปภ.ชี้บอก
จังหวะก้าวของกันทิมา เธอก้าวยาวๆ เข้ามา กวาดสายตามองหาไปรอบๆ ไม่มีร่างของคนที่เธอมองหา
เสียงชาติชายยังคงดังก้องอย่างต่อเนื่อง
“นับตั้งแต่วันที่คุณตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของคุณ ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเข้าไปสอดแทรก ไม่เคยพยายามจะข้องแวะ ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง หรือทวงถามเรื่องราวใดๆ ที่เป็นการแทรกแซงความสุขในชีวิตของคุณแม้แต่น้อย...”
กันทิมานั่งเก้าอี้อยู่ในสนามเธออ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างเศร้าสะเทือนใจ
“ฉะนั้น คุณก็ควรทำเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคุณ ที่จะลืมมันซะ ลืมทุกอย่าง เหมือนทิ้งขยะ ซึ่งคุณเคยทิ้งมันง่ายๆ มาแล้ว...ส่วนขยะชิ้นนั้น มันจะมีความทรงจำอะไรเหลืออยู่บ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณอีกต่อไป”
ชาติชายนั่งพิงต้นไม้อย่างเงียบขรึมตรงมุมสงบอีกมุมหนึ่งในสวนหย่อม ครุ่นคิดถึงถ้อยคำต่อมาที่เขียนถึงกันทิมา
“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดอารมณ์ความรู้สึกของมันแม้แต่น้อย เพราะมันมีอิสระที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอการปลดปล่อยจากคุณ”
มองจากที่ไกลๆ เป็นภาพมุมกว้างของสวนหย่อมแห่งนั้น จึงพบว่า ชาติชาย และกันทิมา นั้นอยู่ไม่ไกลกันนัก ทว่า ทั้งสองต่างไม่เห็นซึ่งกันและกัน
เสียงชาติชายดังขึ้นอีก
“กุญแจดอกเดียวมันขังหัวใจใครไว้ไม่ได้หรอก...และสุดท้าย กรุณาอย่ารบกวนวันเกิดของขยะชิ้นนี้อีกเป็นอันขาด”
กันทิมา น้ำตาคลอเต็มสองเบ้าตา เธอพับจดหมายฉบับนั้นเก็บ ด้วยความสะเทือนใจ แล้วจึงลุกเดินออกไปจากที่ตรงนั้น
ส่วนชาติชาย เขาถอนหายใจรุนแรงก่อนขยับตัวลุกขึ้นยืน พลันหันไปเห็นเหตุการณ์บางอย่างที่อยู่ริมถนนเบื้องหน้า มันเป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น 6 คนกำลังต่อย ตี ตบ กันอย่างถึงพริกถึงขิง เอาเป็นเอาตาย
กลุ่มวัยรุ่นจิกหัวตบตีกันอย่างรุนแรง สภาพที่เห็นดูเหมือนว่า หญิงสองคน โดน หญิง 3 กะเทย 1 รุม
ผู้คนสัญจรไปมาสองข้างทางต่างเดินเลี่ยงหนี ไม่ขอยุ่งด้วย หญิงคนหนึ่งถูกกระชากเหวี่ยงไปที่พื้นในจังหวะที่ชาติชายเข้ามาประคองเด็กหญิงคนนั้น
เมื่อเธอพลิกหน้าขึ้นมาจึงเห็นว่า เธอคือ ตอง ลูกสาวอรทัย น้องของกฤษฎา
ชาติชายตะลึง “ยายตอง”
“อากู๋...ช่วยเพื่อนตองด้วย...พวกมันรุมแก้มอยู่ค่ะ...” ตองตะโกน “แก้ม”
แก้มคือเด็กผู้หญิงผมซอยสั้นเป็น ทอมบอย เธอกำลังถูกกลุ่มเด็กผู้หญิงนั่งคร่อม และรุมจิกหัวตบ
ชาติชายพุ่งเข้าไปกระชาก กลุ่มเด็กผู้หญิงนั้นและเหวี่ยงมันออกไป
หญิง 1 คำราม “มึงมาเสือกอะไรด้วย หรือเป็นผัวอีนั่น”
ชาติชายขึ้นเสียง “พอได้แล้ว กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว”
“มึงนั่นแหละ กลับบ้านเก่าไปเลย”
หญิง 1 ไม่สนคว้าไม้ใกล้ตัวฟาดไปที่ชาติชายเต็มแรง ชาติชายจับไม้นั้นไว้ กะเทยกระโดดขึ้นขี่หลังและล็อคคอชาติชาย ตองพุ่งเข้าไปกระชากกะเทยออก
หญิง 2 เข้าไปกระชากตอง จากนั้นหญิง 3 กระโดดเตะชาติชาย แก้มหันไปตบหญิง 2
หญิง 1 กระชากแก้มเหวี่ยงลงไปที่พื้น แล้วชักมีดคัตเตอร์ของตัวเองออกมา เตรียมจะกรีดหน้าแก้ม
ชาติชายสะบัดทุกคนกระเด็นไป แล้วพุ่งเข้าไปขวางหญิง 1 คมมีดคัตเตอร์จึงกรีดลงบนแขนชาติชายเป็นทางยาว เลือดไหลอาบ กะเทยกรี๊ดลั่นเมื่อเห็นเลือด
ไกลออกไป มีตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ตรงมาทางที่เกิดเหตุ หญิงทั้งสามและอีกหนึ่งกะเทยรีบวิ่งหนีไป
แก้มกระชากแขนชาติชายและตองวิ่งออกไปอีกทางหนึ่ง
“มาทางนี้เร็ว...”
ผู้ก่อเหตุวิวาททุกคนหายไปจากพื้นที่ในชั่วพริบตา ตำรวจมาไม่ทันอีกตามเคย
ชาติชาย ตอง แก้ม ก้าวเข้าไปนั่งในรถกระบะ มันเป็นรถของชาติชายที่จอดอยู่ริมถนน
“รถอาเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ขอบคุณอากู๋มากค่ะ ที่ช่วยตองกับแก้ม”
ชาติชายมองแก้ม “เป็นเพื่อนยายตองเหรอ”
“คับ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายเนี่ยะ”
“อาดูไม่ออกเหรอฮะ” แก้มย้อน
“กู๋ อย่าบอกแม่นะ อย่าบอกใครๆ นะ ตองไหว้ล่ะ อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยนะกู๋” ตองขอร้อง
ชาติชายถอนใจ “เราหนีโรงเรียนมาเที่ยวกันใช่มั้ย”
ทั้งสองพยักหน้า
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก”
ทั้งสองพยักหน้าอีก
“แล้วพวกนั้นล่ะ...” ชาติชายแปลกใจ
“เด็กพาณิชย์ เจอกันที่โยนโบวล์ เดือนที่แล้ว” ตองบอก
“ทะเลาะกันเรื่องอะไร” ชาติชายซัก
“มันหาว่าผมไปเหล่เมียมัน...”
ทอมแก้มพูดเต็มปากเต็มคำราวกับตัวเองเป็นผู้ชาย ชาติชายกุมขมับ ออกอาการเหนื่อยหน่าย
“ไม่จริงเลยค่ะ อากู๋...แก้มอยู่กับตองตลอด”
“คับ ผมรักตองคนเดียวคับ” แก้มว่า
ชาติชายถอนใจอีกครั้ง “เอาละ เราจบเรื่องนี้กันได้แล้ว เดี๋ยวกู๋จะไปส่งที่บ้านเอง”
“แต่กู๋เลือดไหลเต็มเลยอ้ะ...ไปหาหมอก่อนดีกว่ามั้งคะ” ตองว่า
แก้มบอก “ใช่...นี่ยังไม่ถึงเวลากลับบ้านด้วย...นะคับ”
เวลานั้น ประตูห้องแพรวาเปิดออก กลุ่มทีมงานรายการทีวีเดินออกมา ตามติดมาด้วยแพรวาผู้เป็นเจ้าของห้อง
ทีมงาน 1 ยิ้มบอก “ขอบคุณน้องแพรวามากนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ…แล้วถ้าจะเอาคุณรำไพไป Surprise ก็บอกน้องแพรนะคะ”
ทีมงาน 2 เสริม “อยากได้น้องแพรไป Surprise มากกว่า”
“เฮ่อเฮ่อเฮ่อ…ไม่เอาเด็ดขาดค่ะ...อายมาก ขอบอก…สวัสดีนะคะ”
ทีมงานทุกคนแยกย้ายกันออกไปตรงหน้าห้องนั้นเอง
แพรวาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ทันทีที่เธอหย่อนก้นลงนั่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาอีก เธอเผลอถอนใจออกมา ก่อนขยับตัวลุกขึ้น ประตูห้องถูกเปิดออกโดยหรั่ง
“ขออนุญาตนะครับ…ผมเข้าไปได้รึยัง”
“มีอะไรกับฉันเหรอ…รู้สึกว่าหมู่นี้นายจะวุ่นวายกับฉันมากไปแล้วนะ เมื่อคืนก็โทร.มาดึกๆ ดื่นๆ แล้วตอนนี้มีอะไรอีกล่ะ”
“ต้องขอโทษครับ ในฐานะที่ผมเป็นผู้ช่วย ผมจึงจำเป็นต้องมีเรื่องรบกวนคุณ…นี่ครับ
รายละเอียดงานวันนี้”
หรั่งวางแฟ้มไว้บนโต๊ะ ตรงหน้า แพรวามองแค่ผ่านๆแล้วถอนใจออกมาอีก หรั่งตัดสินใจเข้ามาอธิบายใกล้ๆ
“นี่คือแบบรุ่นใหม่ที่คุณกัมปนาทแก้ไข เราต้องเอาไปเสนอลูกค้าวันนี้…ส่วนนี่คือรายละเอียดของตัวเรือนทองคำขาว ที่เราจะต้องเคลียร์กับช่าง เพื่อยกเลิกไซส์เก่า หรือถ้าช่างเขาสามารถดัดแปลงผสมสองแบบเข้าด้วยกันได้ก็จะดี จะได้เป็นการลดต้นทุน…และแฟ้มสุดท้ายนี้คือรายละเอียดที่เราต้องคุยกับลูกค้ารายใหม่ครับ”
“ฉันต้องไปสามที่เลยเหรอ วันนี้”
“ใช่ครับ”
แพรวาฮึดขึ้นมา “โอเค งั้นฉันไปพบลูกค้าที่มีนบุรีก่อนเลย”
“คุณควรไปพบช่างที่สีลมก่อนครับ”
“ไม่ละ…ไปมีนบุรีก่อน แล้วค่อยมาสีลมน่ะถูกแล้ว”
หรั่งท้วง “ไม่ถูกครับ เพราะถ้าคุณไม่ไปพบช่างที่สีลมก่อน คุณก็จะไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องไปคุยกับ
ลูกค้าที่มีนบุรี ดังนั้นคุณอาจจะต้องย้อนกลับมามีนบุรีอีกเที่ยว ไม่งั้นก็เคาะกันไม่ได้ในวันนี้”
“แต่จากสีลมไปมีนบุรี แล้วย้อนกลับมาโรงแรมรีเจ้นท์ มันย้อนไปย้อนมาเห็นมั้ย…ถ้าไปมีนบุรีก่อน แล้วค่อยมาสีลม ฉันยังมีเวลาเข้าบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปพบลูกค้าที่รีเจ้นท์”
“การเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่สำคัญ เท่าขั้นตอนการเจรจางานที่ถูกต้องนะครับ”
“นั่นมันความคิดของนาย…ไม่ใช่ฉัน”
แพรวาเดินหนีออกจากห้องทันที...หรั่งค่อยๆ เดินตาม
แพรวาเดินออกมาที่หน้าบริษัท M.S. เธอตรงไปยังจุดจอดรถผู้บริหาร สยามถอยรถคันใหญ่ไปจอดรอรับ แพรวาแปลกใจ
“รถของฉันไปไหนล่ะน้าหยาม…ทำไมเอาคันนี้มา”
“ผมเอารถคุณแพรวาไปเก็บไว้ที่บ้านแล้วครับ…คุณเผ่าลาภให้เอาคันนี้มาใช้”
“มันใหญ่ไป ฉันขับไม่ถนัด…งั้นน้าหยามมาขับให้ก็แล้วกัน”
“ไม่ใช่หน้าที่ผมครับ” สยามบอก
แพรวาฉงน “อ้าว แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันต้องไปหลายที่นะน้าหยาม”
“นายหรั่งจะเป็นคนที่ไปกับคุณแพรวาครับ”
หรั่งเดินตามหลังมาโผล่หน้าเข้ามา ยิ้มๆ
“เป็นคำสั่งคุณเผ่าลาภ ครับผม”
แพรวาเดินไปขึ้นรถ หน้าตาเจ้าหล่อนงอนกำลังงามเชียว
อ่านต่อหน้า 2 / 17.00 น.
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 7 (ต่อ)
รถคันโตหรูหราไฮโซคันนี้ เลี้ยวเข้าสู่ย่านการจราจรที่มีทีท่าว่าจะติดขัดอย่างหนัก หรั่งขับรถอย่างอารมณ์ดี มุ่งหน้าสู่สีลม แพรวาเหลียวมองดูสองข้างทางแล้วไม่สบอารมณ์…ดูหงุดหงิดนิดๆ
“นายเลี้ยวมาทางนี้ทำไม…ทำไมไม่ขึ้นทางด่วน”
หรั่งไม่ตอบ
แพรวาขึ้นเสียง “ฉันถามนาย ได้ยินมั้ย…นายกำลังจะขับรถไปไหน”
“ผมก็จะไปที่ที่ผมเห็นว่าควรจะไปก่อน”
“ตกลงใครเป็นคนสั่งใครกันแน่เนี่ยะ นายหรั่ง”
“คุณแพรวาเป็นคนสั่งครับ”
“แล้วทำไมนายไม่เชื่อฉัน”
“เพราะผมเป็นผู้ช่วย…ผมมีหน้าที่เสนอสิ่งที่ดีกว่าครับ”
“ฉันจะฟ้องคุณป๋า”
“คุณไม่จำเป็นต้องฟ้องคุณเผ่าลาภหรอกครับ ถ้าคุณไม่พอใจในตัวผม คุณแค่ไล่ผมออกเท่านั้น ก็จบ…ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลย อย่างมากก็แค่เสียความรู้สึกนิดหน่อย”
“ฉันเสีย หรือ นายเสีย”
“คุณก็ลองคิดดูสิครับ คุณเป็นคนชวนผมมาทำงานเองนะครับ ลืมแล้วเหรอ”
แพรวาถอนหายใจ เซ็งๆ ไปเฉยๆ
เวลาเดียวกันนั้น อาหารแปลกตามากมายวางลงบนโต๊ะ เห็น ตะวันฉาย และบารมีนั่งประจันหน้าร่วมโต๊ะเดียวกันอยู่
สภาพในร้านอินเดียแห่งนั้นก็ดูแปลกตาไม่แพ้อาหาร มีผู้คนในร้านมีเพียงน้อยนิด สองหนุ่มสองวัย ดูเครียดๆ ไม่แพ้กัน
“ผมแย่แล้วครับอา เขาเรียกร้องค่าเสียหายเอากับผม ก็ที่อาทำพลาดเที่ยวที่ผ่านมานั่นแหละ”
“เท่าไหร่เหรอ”
“ยี่สิบล้าน”
“โอ้โฮ อาจะเอาเงินมาจากไหนตั้งยี่สิบล้าน…แต่สำหรับหลานตะวันฉาย ยี่สิบล้านคงไม่เท่าไหร่มั้ง หลานชาย”
“แต่อยู่ดีๆ อาจะให้ผมไปขอเงินยี่สิบล้านจากพ่อเหรอ…เขาก็ต้องถามว่าเอาไปทำอะไรแล้วผมจะตอบเขายังไงล่ะอา”
“หลานชายคิดจะให้อาเป็นคนชดใช้เหรอ”
ตะวันฉายคิดนิดหนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ผมรู้อยู่แล้วละครับว่าอาไม่มีเงิน”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ”
“เราคงต้องส่งของกันอีกซักครั้ง…ในปริมาณที่มากกว่าเดิม”
บารมีก้มหัว…ส่ายหน้าดิกๆ
“จะได้มีเงินมาคืนเขาไงล่ะอา…ผมรู้ว่าอาไม่อยากทำ แต่มันจำเป็นจริงๆ ครั้งนี้ครั้งเดียวครับ…เอาให้พอเลย จะได้ไม่ต้องมาทำกันอีก ว่าไง…”
บารมีนิ่งไปซักพัก แล้วเขาก็พยักหน้าช้าๆ ในที่สุด
ตะวันฉายยิ้มออกมาได้
“ผมว่าแล้วเชียว ว่าผมดูอาไม่ผิด…แต่คราวนี้เราคงต้องเปลี่ยนจุดนัดพบใหม่ เผื่อจะมีไอ้ตัวดีที่ไหน มันเสือกแจ้งความอีก”
“อารู้แล้วนะ ว่าใครเป็นตัวการแจ้งตำรวจ”
ตะวันฉายร้องลั่น “ห๊า…ใคร?”
“มันชื่อไอ้หรั่ง…ทำงานอยู่ที่ M.S.GROUP นี่แหละ”
ตะวันฉายค่อยๆ หัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ
“วะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ…ข่าวดีจริงๆ…แจ๋วเลยอา…นี่อาจจะเป็นการเรียกเครดิตเรากลับคืนมาได้เป็น
อย่างดี”
บารมีงง “ทำไง”
“ก็ ให้รางวัลที่หนึ่งกับมัน โทษฐานที่มันปากบอนไงครับ อา”
ที่ร้านแม็คโดนัลด์ ชาติชาย ตอง และแก้มอยู่ที่นั่น ชาติชาย ยืนพิงกำแพง หน้าร้าน ที่แขนของเขานั้นมีผ้าพันแผลอย่างดี จากการดูแลของแพทย์เรียบร้อยแล้ว
ตองเดินเข้ามาหายื่น แฮมเบอร์เกอร์ และอื่นๆ ให้ชาติชาย
“ของอากู๋ค่ะ...”
“กู๋ยังไม่หิว”
“กินหน่อยน่า...แก้มเขาเป็นคนสั่งให้นะเนี่ย”
ชาติชายมีท่าทีไม่ค่อยสบายใจนัก
“ตอง...ถ้าอาม้ารู้เรื่องของเรา จะเป็นยังไง...คิดบ้างมั้ย”
“คิดค่ะ...อากู๋ถึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไม่ได้เป็นอันขาดไงคะ”
ตองวิ่งกลับเข้าไปในร้าน ชาติชายเรียกไว้
“ตอง...แล้วเราจะกลับบ้านตอนไหน”
ตองหยุดแล้วหันกลับมาหา “เวลามาตรฐานวันนี้ก็ ทุ่มครึ่ง เพราะมีเรียนพิเศษ...วันนี้กู๋ว่างทั้งวันใช่ไหมล่ะ”
ตองพูดจบแล้ววิ่งต่อเข้าไปในร้าน ชาติชายมองตามไปผ่านกระจกใส เห็นว่าตองวิ่งไปยืนข้างๆ แก้ม ที่ยืนอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ แก้มโอบไหล่ตอง และหันไปหอมแก้มตอง ฟอดใหญ่
ชาติชาย อยู่ในอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ขณะเดียวกันที่หน้าอาคาร ย่านถนนสีลม แพรวาเดินออกมาจากตัวตึกนั้น…ก้าวลงบันได หรั่งขับรถ เคลื่อนเข้าไปรอรับได้พอดี แพรวาก้าวขึ้นรถ…แล้วรถคันนี้ก็เคลื่อนตัวออกถนนไป
รถคันนั้น กำลังทะยานมุ่งสู่ชานเมืองแถบมีนบุรี แพรวาก้มหน้าดูรายละเอียดต่างๆ ในแฟ้มงาน
หรั่งลอบมองแพรวาทางกระจกส่องหลัง…เขาอมยิ้มบางๆ
“ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ยครับ”
แพรวาพยักหน้า มิได้เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด
“ช่างเขาทำตัวเรือนใหม่ ตามแบบคุณกัมปนาทได้พอดีเป๊ะเลยเหรอครับ”
แพรวาพยักหน้าอีกที คราวนี้เร็วขึ้นกว่าเดิม
“จริงเหรอครับ…แหม โชคดีอะไรอย่างนี้”
หรั่งหัวเราะในลำคอ แต่มันดังพอที่แพรวาจะได้ยิน แพรวาตัดสินใจเงยหน้า เอ่ยปากพูด
“เขาทำไม่ได้ทั้งหมดหรอก อากัมปนาทต้องแก้แบบใหม่อีกนิดหน่อย…แล้วเขาก็ให้ตัวอย่างของตัวเรือนที่เขาทำได้มาให้ดูด้วย…เดี๋ยวจะเอาให้ลูกค้าดูเลย ถ้าเขาพอใจค่อยบอกอาเจ็ก”
“อ๋อ เหรอครับ…แหม โชคดีนะครับที่มาที่นี่ก่อน ถ้าหาก…”
หรั่งไม่ทันจะพูดจบ แพรวาพูดสวนขึ้นมาทันที
“ถ้าไปพบลูกค้าที่มีนบุรีก่อนมาสีลม สุดท้ายก็ต้องเอาตัวอย่างจากช่างที่สีลมกลับไปให้ลูกค้าที่มีนบุรีอีกที ฉันรู้แล้ว เออ ฉันผิด ฉันไม่เก่งเหมือนนาย แล้วนายเลิกทำท่าเย้ยหยันฉันอย่างนั้นซะทีได้มั้ย”
หรั่งงง “ผมทำอะไร?”
“ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรไงล่ะ…แต่ลึกๆ นายแอบเยาะฉันในใจ ฉันรู้”
หรั่งนึกขำ พูดเย้าออกมา “คุณอ่านใจคนได้ขนาดนี้เชียวเหรอครับ”
“ใช่”
“งั้นคุณก็รู้ความคิดผมหมดเลยน่ะสิ”
แพรวาบอก “ใช่” อีก
หรั่งร้อง “ว้าว…น่ากลัวจังเลย”
“นายนั่นแหละน่ากลัว…ทีนี้บอกฉันมาซิ ว่าเดี๋ยวฉันจะต้องทำอะไรบ้าง”
“คุณต้องพยายามโน้มน้าวให้เขาเห็นว่า แบบใหม่นี้ดีกว่าแบบเก่าอย่างไร…อย่าพูดเป็นอันขาดนะครับว่า เราทำตามแบบเขาไม่ได้ คุณต้องพูดว่าของเราถูกตลาดวัยรุ่นกว่า…ซึ่งจะดูมีน้ำหนักและเขาน่าจะรับฟังได้ เพราะคุณก็ถือเป็นวัยรุ่นที่กำลังสดใสคนหนึ่งเหมือนกัน”
หรั่งลอบมองท่าทีแพรวาทางกระจกอีกครา คราวนี้แพรวาเขม้นตาดุใส่
เวลาผ่านไป รถแพรวา เคลื่อนมาจอดตรงหน้าตึกย่านมีนบุรีตามนัด แพรวาก้าวออกจากรถ หรั่งเดินตามไปใกล้ๆ พนักงานสาวของตึกนั้น รอรับอยู่ตรงประตูทางเข้า
เสียงหรั่งดังก้องในหูคุณหนูแพรวา อย่างต่อเนื่องมาจากฉากที่คุยกันในรถ
“เรื่องราคาที่เปลี่ยนไป คุณเอาไว้พูดหลังสุด รอดูให้เห็นว่าเขาพอใจซะก่อน…ระหว่างที่คุณเจรจากับเขา…ผมจะใช้โทรศัพท์คุยกับคุณกัมปนาทเรื่องแบบเอง แล้วจะส่งโน้ตบอกคุณ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร คุณก็จับมือกับเขา ยิ้มสวยๆ เท่านั้นก็จบ”
แพรวาอยู่ภายในห้องรับรองแขกในตึกนั้น ส่วนหรั่งพูดโทรศัพท์อยู่นอกห้อง เขาพยายามอธิบายเรื่องรายละเอียดของแบบให้กับคู่สนทนาผู้ที่อยู่ปลายสาย
หรั่งมองผ่านกระจกเข้าไปในห้อง เห็นแพรวากำลังเจรจากับลูกค้า ดูท่าว่าแพรวาจะพูดยาวเอาการอยู่
พนักงานยกน้ำเข้าไปเสิร์ฟที่แพรวา…มีกระดาษโน้ตอยู่ในนั้นหนึ่งแผ่น แพรวาพลิกกระดาษนั้นดู
ที่กระดาษโน้ตเขียนสั้นๆ ว่า… “O.K.”
ใบหน้าแพรวามีรอยยิ้ม ชำเลืองมาทางนอกห้อง เห็นหรั่งยิ้มให้จากนอกห้อง
สักครู่ต่อมามือเรียวสวยของแพรวา และมือลูกค้า ยื่นเข้าไปสัมผัสกัน กระชับแน่น และเขย่าเบาๆ
สองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน ชื่นมื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส การเจรจาสำเร็จผลดี
ต่อจากนั้นรถแพรวาแล่นอยู่ในความกว้างของถนนสวย ฉาบด้วยแสงสีส้มยามเย็น
แพรวานั่งอยู่ภายในรถ ดูจะมีท่าทีเหนื่อยล้า แต่ทว่าอารมณ์ดีขึ้นเยอะ หรั่งยังคงนั่งขับรถตัวตรงไปเรื่อยๆ
“เฮ้อ…กว่าจะเรียบร้อยลงตัวได้…นายนี่เก่งไม่ใช่เล่นนะนายหรั่ง”
“ฝีมือคุณครับ ไม่ใช่ผม” หรั่งออกตัว
“คนเก่งมักจะถ่อมตัว ใช่มั้ย”
“ฮึ…คุณนี่อารมณ์แปรปรวนน่าดู…เมื่อตอนสายๆ คุณยังหมั่นใส้ผมอยู่เลย ตอนนี้กลับมาชมผมซะแล้ว” หรั่งเย้า
“ยังมีตอนดึกอีกรอบนึงนะ อย่าเพิ่งวางใจในอารมณ์ของฉัน…แต่ตอนนี้ไปส่งฉันที่บ้านก่อน ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย”
หรั่งก้มดูนาฬิกาข้อมือ
“ถ้ากลับไปบ้านก่อน คงจะไม่ทันครับ”
“แล้วไง จะให้ฉันไปพบลูกค้า ทั้งที่เหงื่อเต็มตัวอย่างนี้น่ะเหรอ…ไม่เอาน่า แวะเข้าบ้านแป๊ปเดียว แค่ล้างหน้า เปลี่ยนชุดเท่านั้นก็ได้ มีเวลาอีกตั้งเกือบชั่วโมง”
“ไม่ได้หรอกครับ…เราจะไปที่โรงแรมไม่ทัน”
แพรวา เอ๊ะ นายหรั่ง ฉันกำลังอารมณ์ดีๆอยู่นะ ตามใจฉันหน่อยไม่ได้เหรอ…ฉันไม่ได้เป็นคน
ขับรถอย่างนายนี่ ที่เหงื่อท่วมตัวก็ไม่เป็นไร
หรั่งนิ่ง ไม่ตอบ…แพรวาชักหงุดหงิดขึ้นมาอีก
“แล้วเวลาที่เหลือตอนนี้จะให้ฉันทำอะไร…ให้ไปนั่งรอลูกค้าก่อนเลยเหรอ ไปถึงก่อนเวลาตั้งชั่วโมงนึงนะ…เหมือนพวกบ้าเห่อไม่มีผิด”
หรั่งยังคงนิ่ง ไม่ตอบอะไร เขาก้มดูนาฬิกา แล้วเลี้ยวรถที่บริเวณใต้สะพานที่ยังไม่ได้เปิดใช้
รถแพรวาวิ่งขึ้นมาจอดบนถนนนี้…เป็นสถานที่ที่หรั่งเคยมาวิ่งเล่น มีเด็กชายมากมายหลายคน แบ่งข้างเล่นฟุตบอลอยู่บนถนนนั้น
หรั่งดับเครื่องลงจากรถ เดินตรงไปยังกลุ่มเด็กเหล่านั้น แพรวาลงจากรถ ตะโกนตามหลังหรั่งไป
“นายจะทำอะไรน่ะ นายหรั่ง…นายจะไปไหน”
หรั่งไม่ตอบ เขาเดินต่อไป
“คิดว่าฉันขับรถคันนี้เองไม่เป็นรึไง...คิดผิดซะแล้ว”
แพรวาเดินไปนั่งประจำที่คนขับ ร่างของเธอหายลงไป ขณะที่หรั่งกำลังถอดเสื้อ เล่นฟุตบอลกับเด็กๆ
แพรวาลุกขึ้นยืนโผล่หน้าเข้ามาอย่างอารมณ์เสีย หรั่ง ชูกุญแจรถในมือให้ดู พร้อมกับยิ้มกว้าง..ลูกบอลลอยมาโดนตัวเขา แพรวาทรุดตัวลงนั่งอย่างจำใจ
หรั่งเล่นฟุตบอลกับเด็กๆอย่างสนุกสนาน
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอีก จนพระอาทิตย์ดวงกลมโต กำลังจะลับขอบฟ้า
ความมืดโรยตัวเข้ามารอบๆ กายแพรวา ที่ยืนพิงรถหน้าบูดอยู่ พวกเด็กๆ เล่นฟุตบอลอยู่ด้านหลังไกลออกไป
สักครู่จึงเห็นรถเก๋งคันใหม่ค่อยๆ แล่นเข้ามาจากที่ไกลๆ เมื่อรถเข้ามาใกล้ขึ้น จึงเห็นชัดว่าเป็นรถของเผ่าลาภ…ขับเข้ามาโดยสยาม
รถคันนี้เข้ามาจอดใกล้แพรวา…เธอหันไปดูอย่างแปลกใจ
สยามก้าวลงมาจากรถคันนั้น พร้อมด้วยถุงใส่ชุดสวยของแพรวา สยามส่งชุดนั้นให้กับเธอ
“นี่คือชุดที่คุณรำไพจัดให้คุณแพรวาครับ”
แพรวางงหนัก หรั่งเดินหน้าแดงเข้ามาหา
“อย่าลืมใส่กำไลเงินด้วยนะครับ ได้ข่าวว่าลูกค้ารายนี้ถูกโฉลกกับเงิน”
แพรวาล้วงดูในถุงเสื้อ เธอพบกำไลเงินอันสวยงามอยู่ในนั้นจริงๆ สยามส่งผ้าเย็นให้หรั่ง
“ขอบใจมากนะน้าหยาม”
“ยินดี ไม่มีปัญหา”
สยามยิ้ม แล้วหันกลับขึ้นรถและขับออกไป หรั่งแกะผ้าเย็นให้แพรวา
“ยี่ห้อนี้สะอาด และกลิ่นหอมดี…คุณใช้แค่เช็ดมือก็พอครับ เรายังพอจะมีเวลาพอให้คุณเปลี่ยนชุดในห้องน้ำโรงแรมได้”
หรั่งก้าวขึ้นนั่งประจำที่คนขับรถ แพรวาเพิ่งเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่หรั่งจัดเตรียมเอาไว้ให้เธอ
บริเวณโถงไม่ไกลจากล็อบบี้โรงแรม แพรวาเดินออกมาจากห้องน้ำหญิงมายังบริเวณนี้ เธอเฉิดฉายในชุดใหม่สวยใสไร้เหงื่อ
แพรวาเดินมารวมตัวกับหรั่งที่นั่งรออยู่ หรั่งรีบนัดแนะแพรวาทันที
“คุณอรทัยนัดลูกค้าไว้ที่ล็อบบี้ คุณไปได้เลย…ผมให้เวลาคุณสองชั่วโมง น่าจะเจรจาสำเร็จ…ผมจะเอารถมารอที่ด้านหน้าเลยนะครับ…อย่าลืมว่าเราให้ส่วนลดเขาได้ไม่เกิน15%…คุณอรทัยสั่งมาอย่างนั้น…โชคดีครับ”
แพรวาพยักหน้ารับคำ เธอสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเดินตรงไปยังล็อบบี้ หรั่งมองตามเธอไป...และโดยไม่คาดคิด แพรวาหันมายิ้มนิดๆ ให้หรั่ง
หรั่งยิ้มตอบอย่างเป็นสุข
อีกมุมหนึ่งบริเวณล็อบบี้โรงแรม นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ก้าวเข้ามาตรงนั้น แพรวาลุกขึ้นยืน แนะนำตัว
“คุณอมรเกียรติใช่มั้ยคะ…ดิฉันแพรวา จาก M.S. JEWELRY ค่ะ”
อมรเกียรติมองแพรวา ด้วยสายตากรุ้มมกริ่ม
“ยินดีมากครับ…ไม่นึกว่าคุณแพรวาจะมาเอง”
อมรเกียรติยื่นมือให้แพรวา แพรวาจับมือเขาตามมารยาท
“โอ…กำไลเงินของคุณสวยมากครับ” อมรเกียรติเป็นปลื้ม
เข้าทางแพรวา “ผลิตภัณฑ์ของ M.S. JEWELRY ค่ะ”
อมรเกียรติยิ้ม โดยไม่ยอมปล่อยมือแพรวาง่ายๆ
ด้านหรั่งขับรถเข้ามาจอดที่หน้าร้านผัดไทร้านเดิมที่เคยซื้อฝากก้อยเป็นประจำ เขาก้าวลงจากรถ สั่งผัดไททันที
“ผัดไทสองห่อ…กุ้งสดนะ”
แม่ค้าร้องทัก “โอ้โฮ ไม่เห็นตั้งนานแล้ว หายไปอยู่ไหนมา”
“ทำงานน่ะสิ…แต่มันอร่อยติดใจจนต้องกลับมาซื้ออีกนะนี่” หรั่งหยอด
เสียงสาวนางหนึ่งดังขึ้น “ติดใจผัดไท แล้วไม่ติดใจผู้หญิงไทยบ้างเหรอจ๊ะรูปหล่อ”
หรั่งหันไปดูที่มาของเสียง เห็นเป็นสาวๆ เซ็กซี่กลุ่มเดิมที่เขาคุ้นเคย หรั่งยิ้มให้อย่างสุภาพ
“หวัดดีครับ”
สาวนางที่ 2 ถาม “ไปรวยมาจากไหน ขับรถคันเบ้อเร่อ…มีแม่ม่ายมาติดเหรอ”
หรั่งยิ้มบางๆ ส่ายหน้าน้อยๆ
“ถามอะไรหน่อยสิ...สวนอาหารที่พวกผมมาต่อไฟให้เขาน่ะ...ขายดีมั้ย ลูกค้าเยอะรึเปล่า”
“ก็ดีนี่ คนเต็มแทบทุกวัน…แต่แปลก ที่เขาชอบตกแต่ง ซ่อมแซมอะไรตลอดเลยนะ ในร้าน
น่ะ เดี๋ยวเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่เรื่อยเลย” คนแรกว่า
“อะไรบ้าง” หรั่งถาม
“อันแรกเลยก็บ่อปลา…ทำเสร็จไม่กี่วันก็ทุบทิ้ง…เห็นทุบไปด่าไปซะด้วย ไม่รู้ด่าใคร...” สาวคนแรกบอก
สาวคนที่ 2 เสริม “เออ…เพื่อนๆ น้องไม่ใช่เหรอที่มาทำบ่อให้เขาน่ะ”
แม่ค้าส่งผัดไทให้ หรั่งรีบส่งเงินให้แม่ค้าแล้วขอตัว
“เอ้อ…ไปก่อนนะครับ”
หรั่งรีบขึ้นรถขับออกไปทันที
ขณะเดียวกันที่ริมถนน ใกล้ทางเข้าหมู่บ้าน รถชาติชายแล่นเข้ามาจอดชิดข้างทางบริเวณนั้น แก้มเปิดประตูออกจากรถก่อนใคร แล้วเดินไปท้ายรถชาติชายเพื่อรอเรียกแท๊กซี่
ตองกำลังจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง ชาติชายมองแล้วเอ่ยปากถาม
“จะลงตรงนี้แน่นะ”
“แน่สิคะ ตองนั่งแท๊กซี่กลับบ้านเองทุกวัน ใครๆ ก็รู้...ขืนวันนี้อากู๋ไปส่งก็ผิดปกติดี้”
“ตอง กู๋พูดตรงๆนะ...ตองอย่าทำอย่างนี้อีกได้มั้ย กู๋ขอร้อง”
“อย่างนี้ของกู๋ คืออะไร โดดเรียน หรือมีแฟนเป็นทอม”
“ทั้งสองอย่าง”
ตองมองหน้าชาติชาย แล้วเอ่ยปากตอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
“ข้อหนึ่ง หนูเลือกโดดเรียนเฉพาะวันที่ควรจะโดด เฉพาะวิชาที่ไม่เข้าท่า ครูสอนไม่ได้เรื่อง อ่านหนังสือเอาเองก็ได้...และก็ได้จริงๆ ด้วย เพราะถ้าดูเกรดของตอง อากู๋จะเห็นว่า เกรดไม่เคยตก ตองได้3.8 ตลอด”
“ข้อสองล่ะ”
“ข้อสอง ตองว่ามีแฟนทอมดีกว่ามีแฟนเป็นผู้ชายนะ...กู๋ว่ามั้ย”
ชาติชายพูดไม่ออกอีกตามเคย ตองยิ้ม โผเข้ากอดชาติชาย
“กู๋เหลียงนี่น่ารักที่สุดเลยค่ะ...อยากให้ป๊ากับม้า เข้าใจตองอย่างนี้บ้างจัง”
“อย่าให้เกินเลยกว่านี้นะ...สัญญาได้มั้ย”
“สัญญา ด้วยเกียรติของสาวดี้ ค่ะ”
ตองหัวเราะแล้วเปิดประตูออกไปจากรถ ไม่นานนักตองวิ่งไปขึ้นแท๊กซี่ด้านหลัง ที่แก้มเรียกให้ ชาติชายมองผ่านกระจกส่องหลัง แก้มเดินกลับมาที่รถ เกาะประตูรถคุยกับชาติชาย
“อาจะกลับเลย หรือจะไปส่งแก้มคับ”
ชาติชายนิ่งคิด
“ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องอึดอัด ไม่ต้องคิดมาก อา...สบายๆ แก้มยังไงก็ได้อยู่แล้ว อาบอกมาเลย”
ชาติชายพยักหน้าให้แก้มขึ้นรถ แก้มเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งทันที รถชาติชายเคลื่อนตัวออก
ชาติชายขับรถไปตามถนนหนทางโดยมี แก้ม นั่งเคียงข้าง แสงไฟสะท้อนเข้าไปที่หน้าของทั้งสอง
แก้มชี้ให้เลี้ยวเข้าหมู่บ้านข้างๆ ชาติชายหมุนพวงมาลัยตามทิศทางนั้น เขาดูผ่อนคลายลงไปจากเดิม
ที่ถนนในหมู่บ้าน รถชาติชายจอดใกล้ซอยแยกเข้าบ้านของแก้ม ส่วนแก้มปีนข้ามเบาะหน้าไปซุกตัวอยู่ที่นั่งตอนหลัง
“แป๊ปนึงคับ อา”
ชาติชายหันหน้าไปทางอื่น มองที่กระจกมองหลัง เห็นว่าแก้มผลุบๆโผล่ๆ อยู่หลังเบาะ ในอาการเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นเอง แก้มหยิบชุดนักเรียนออกมาจากกระเป๋า แล้วถอดชุดที่ใส่อยู่กับตัว เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ชาติชายตัดสินใจเปิดประตูรถออกมายืนข้างนอก
“กระจกรถคันนี้ไม่ได้ติดฟีล์มทึบนะโว้ย”
“แต่นี่มันก็ตอนมืดแล้วนี่คับอา”
สักพักประตูรถเปิดออก แก้มก้าวออกมาในรูปลักษณ์ใหม่...ดูเป็นเด็กสาว น่ารักมาก ชาติชายมองเต็มๆ ตา แล้วยิ้มด้วยความฉงน
“อย่ายิ้มอย่างนั้น อา...ผมเขิน...มันไม่เข้ากับผมเลยใช่มั้ยคับ”
“ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันว่ะ”
ชาติชายตบไหล่แก้ม เหมือนเป็นเพื่อน
“ถ้าโตกว่านี้อีกหน่อย จะชวนกินเหล้าด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
“เอาตอนนี้เลยมั้ยล่ะ...แก้มไม่เกี่ยงอายุอยู่แล้ว...เอามั้ยอา แก้มจะได้เปลี่ยนชุดก่อน”
“อย่าเลย...อาล้อเล่น...ไป เข้าบ้านได้แล้ว”
“โอเค. งั้นวันหลังเจอกันนะคับ...อ้อ แก้มจะบอกอะไรให้อย่าง...วันนี้ อา โคตรเท่ห์เลย...แก้มชอบ”
แก้มเดินเลี้ยวเหมือนจะเข้าบ้าน ชาติชายเดินไปเปิดประตูรถ ก้าวเข้าไปนั่ง มีรถเก๋งคันใหญ่แล่นผ่านไปทางหน้าบ้านแก้ม
แก้มเปิดประตูรถชาติชายลงนั่งอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าแก้มไม่ค่อยดีนัก ชาติชายมอง งงๆ
“อาอย่าเพิ่งกลับได้มั้ย อยู่เป็นเพื่อนแก้มแป๊ปนึงก่อนได้มั้ยคับ แก้มยังไม่อยากเข้าบ้าน”
“ทำไมล่ะ มีอะไรรึเปล่า”
“แก้มไม่อยากเห็นหน้ามัน”
แก้มมอง พยักหน้าไปทางหน้าบ้านตัวเอง ชาติชายมองตาม เห็นว่ารถเก๋งคันนั้นจอดตรงหน้าบ้านแก้ม
“ใคร”
“ไอ้เลวนี่ มันมาหลอกแม่แก้ม...มันเห็นแม่ทำงานเก่ง รู้จักคนเยอะ มันก็ทำเป็นมาจีบ...แม่
ก็ไปหลงมันจนไม่ลืมหูลืมตา...ยอมมันทุกอย่าง ให้มันทั้งตัวทั้งเงิน...เตือนยังไงแม่ก็ไม่ฟัง...แม่แทบจะไล่แก้มออกจากบ้านด้วยซ้ำ...ซักวันแก้มจะดักแทงมันให้ได้เลย คอยดูสิ”
ชาติชายปราม “ใจเย็นๆ ก่อนน่า...เขาอาจจะไม่เลวร้ายอย่างนั้นก็ได้มั้ง”
“ไม่มีทาง สันดานพวกนักเลงที่อยากเป็นนักการเมือง มันเลวไม่มีดีทั้งนั้น”
ชาติชายมองไปที่รถคันนั้นอีกที
ปรากฎว่าชายคนที่ลงจากรถคันนั้น คือ นายแสงเทพ ชาติชายเขม้นมองแล้วพลอยอึ้งไป
ด้วย
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 7 (ต่อ)
แพรวาและอมรเกียรติเดินมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถูกชะตา ทั้งคู่เดินเอื่อยๆ ตรงมายังด้านหน้าโรงแรม…ดูจะพอใจต่อผลการเจรจาด้วยกันทั้งคู่
“ขอบคุณมากนะคะที่เข้าใจ และให้โอกาสทางบริษัทเรา”
“ผมเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ และก็ชอบให้โอกาสคนอยู่แล้วครับ…ขอแค่ถูกใจผมเท่านั้นเป็นพอ”
“ค่ะ”
“ถ้าไม่รังเกียจ…สนใจทานอาหารค่ำด้วยกันมั้ยครับ”
“ไม่รังเกียจค่ะ…แต่ขอเป็นโอกาสหลังดีกว่า เผอิญมีธุระต่อค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ…อย่างน้อยวันนี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเรา”
ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าโรงแรม ต่างสวัสดี แยกย้ายกันไป อมรเกียรติหรี่ตาให้แพรวาอย่างเก๋ไก๋เป็นการทิ้งท้าย
หรั่งขับรถเข้ามาจอดรอรับพอดี แพรวาเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง หรั่งถามทัน
“เขาตกลงตามเงื่อนไขเรามั้ยครับ”
“เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา”
แพรวาใช้ผ้าเย็นวางทาบลงบนบริเวณหน้าผากเธอ แสงไฟจากถนนและรถที่สวนไปมาสาดกระทบหน้าแพรวาเป็นช่วงๆ หรั่งขับรถไป พร้อมกับชำเลืองดูแพรวา
“เหนื่อยเหรอครับ”
“แป๊ปๆ ห้าทุ่มแล้วเหรอนี่...เฮ้อ วันนี้วันเดียว ทำเอาฉันแก่ลงไปเยอะเลย”
“เป็นธรรมดาอย่างนี้แหละครับ…แรกๆ ก็ต้องเหนื่อยหน่อย ซักพักคุณก็จะคล่องเอง”
“ฉันไม่ชอบเลย…ธุรกิจอย่างนี้ไม่เหมาะกับฉันซักนิด”
“แล้วคุณเหมาะกับอะไรครับ”
“ไม่รู้สิ…แต่ฉันว่าธุรกิจพวกนี้เหมาะกับนายมากกว่า…อย่างน้อยนายก็อดทนได้กับการกินข้าวไม่เป็นเวลา…เฮ้อ ฉันนึกไม่ออกเลยว่าเคยหิวข้าวมากขนาดนี้มาก่อนรึเปล่า”
“ถ้าไม่รังเกียจ ผัดไทห่อนี้คงช่วยคุณได้…”
หรั่งยื่นห่อผัดไทให้แพรวา
“อร่อยนะครับ…กุ้งสดด้วย”
รถแพรวาจอดอยู่บนไหล่ทาง ไกลออกไปเป็นผิวน้ำสะท้อนแสงไฟเมืองระยิบ แสงจันทร์ฉาบทุกสรรพสิ่งให้เหลืองนวล ลออตา สองหนุ่มสาวอาศัยรถคันนี้เป็นร้านอาหารย่อมๆ ให้เขาและเธอนั่งกินผัดไทอย่างเอร็ดอร่อย
“ห่อละเท่าไหร่เหรอ”
“ทายซิครับ”
“ร้อยห้าสิบ”
“เดี๋ยวนี้ข้าวของมันแพงจริงๆนะครับ”
แพรวาคาดคั้นขึ้น “เท่าไหร่”
“กุ้งสด 50 ธรรมดา 35 ครับ”
“เท่านี้เองเหรอ”
“ก็ไม่ถูกนะครับ สำหรับชาวบ้านอย่างผม”
“อร่อยอ้ะ...อร่อยอย่างนายว่าจริงๆ ด้วย…หรือว่าหิวก็ไม่รู้”
“ทำไมเมื่อกี้คุณไม่กินข้าวกับลูกค้าเลยล่ะครับ”
“เฮ่อ คงกินลงหรอกนะ…คนอะไร พูดจบคำนึง ต้องหรี่ตาทีนึง…”
“ยังไงครับ”
“อย่างนี้ไง ดู…นายดูนะ”
แพรวาทำท่าเลียนแบบอมรเกียรติ คือหลิ่วตาทุกครั้ง ของวรรคแต่ละประโยคและดัดเสียง
“เป็นเกียรติมาก…ยินดีเหลือเกิน..คุณแพรวาครับ…ชุดคุณสวยจัง…รวมทั้งกำไลเงินด้วย…วันหลังทานข้าวกันซักมื้อนะครับ...”
หรั่งขำ
“โอ พระเจ้า…เขาคงนึกว่าเขาเก๋ที่สุดแล้ว”
หรั่งส่งน้ำดื่มบริสุทธิ์ให้แพรวา พร้อมหลอด
“ผมว่าคุณต้องไม่เคยกินข้าวในรถอย่างนี้มาก่อนแน่ๆ เลย”
“ฉันจะเคยได้ยังไง ตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่เคยไกลหูไกลตาคุณป๋าได้เลย…วิ่งไปไกลหน่อยก็โดนเรียกแล้ว ไม่เคยมีอะไรตื่นเต้นเหนือความคาดหมายหรอก”
“ชีวิตคุณตรงข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง…ชีวิตผมมันมีแต่อะไรที่คาดไม่ถึง มีเรื่องให้ดิ้นรนต่อสู้ตลอด”
หรั่งลุกขึ้นออกจากรถ เดินตรงลงไปทางริมน้ำ แพรวามองดูหรั่ง ก่อนลุกตามไป
ที่ริมบึงน้ำนั้น หรั่งเดินมุ่งหน้าเข้าหาตลิ่งริมน้ำ แพรวาเดินตามหลังหรั่งไปห่างๆ
“นายจะเดินไปไหนน่ะ...นายหรั่ง...”
หรั่งไม่ตอบ ในที่สุดเขาก็หยุดเดิน เมื่ออยู่ชิด ติดริมตลิ่งนั้น แพรวายืนซ้อนหลังไม่ห่างจากเขา
หรั่งและแพรวาต่างแหงนหน้าดูพระจันทร์ เห็นเมฆก้อนบางๆ เคลื่อนผ่านจันทร์ดวงนี้ไป
แสงจันทร์ฉาบไล้ลงบนหน้าเขาและเธอ วูบวาบตามจังหวะเมฆ
“คุณเคยใกล้ชิดพระจันทร์มากที่สุดแค่ไหน”
แพรวาแปลกใจในคำถาม เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังสื่อถึงกันระหว่างเขาและเธอ
“แค่ไหน”
“ผมเคยฝันอยากจะบินได้ อยากไปให้ถึงพระจันทร์ดวงนั้น อยากแตะ อยากสัมผัสมัน…เพราะพระจันทร์คือของสวยงามสิ่งเดียวที่ผมสามารถทึกทักเอาได้ว่ามันเป็นของผม”
“ไม่แปลกเลย เพราะฉันก็เคยคิดอย่างนั้น”
หรั่งหันไปหาแพรวา หน้าตาสนุก
“เชื่อมั้ยว่าผมเคยเหยียบดวงจันทร์”
แพรวาอึ้งไปเมื่อได้ยิน “นายว่าไงนะ”
“ผมเคยเหยียบดวงจันทร์ ผมสามารถเต้นรำบนดวงจันทร์ได้ คุณเองก็สามารถเกาะแขนผมไปได้เช่นกัน”
“นายรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
“จริงๆ ไม่โกหก ตามผมมาซี่”
หรั่งเดินเลาะไปตามริมตลิ่ง ปีนขึ้นไปบนขอนไม้ใกล้ๆ แพรวาตามเขาไปติดๆ เงาดำของเมฆเคลื่อนทับใบหน้าของเขาและเธอ
หรั่งแหงนหน้าขึ้นมองจันทร์ดวงนั้นอีกครั้ง…แพรวาตื่นเต้นและแปลกใจ
“รอให้เมฆก้อนนี้เคลื่อนออกไปก่อน”
“นายจำมาจากใครรึเปล่าเนี่ย…หรือใครเล่าเรื่องนี้ให้นายฟัง”
“ชี่ย์ย์ย์…สมาธิดีๆ เมฆหนาๆอย่างนี้ เราอาจมีโอกาสได้แป๊ปเดียว”
พระจันทร์ตกอยู่ภายใต้ก้อนเมฆหนา สักครู่หนึ่งเมฆกำลังเคลื่อนตัวออกจากจันทร์หรั่งแหงนหน้ามองจันทร์นิ่ง แพรวา มองจันทร์แล้วลอบมองหรั่ง
“จ้องพระจันทร์เอาไว้ครับ” หรั่งบอก
เมฆกำลังคลายตัวออก แสงเหลืองนวลจากจันทร์ฉายค่อยๆคืบเข้ามาบนหน้าเธอและเขา ด้านหลังของคนทั้งสองคือแอ่งน้ำไม่ใหญ่นัก ใต้ขอนไม้นั้น ดูเหมือนจะมีเงาพระจันทร์ปรากฏเลือนๆ บนแอ่งน้ำนั้นพอดิบพอดี
แลเห็นเงาพระจันทร์ในแอ่งน้ำนั้น และก้อนเมฆเคลื่อนออกเปิดให้เห็นจันทร์ครึ่งดวง
ในความเวิ้งว้างของริมบึงนี้ มีเพียงหรั่งและแพรวายืนแหงนหน้านิ่ง ก้อนเมฆหลุดพ้นออกจากพระจันทร์จนหมด แพรวายิ้ม
“นั่น พระจันทร์เต็มดวงแล้ว”
หรั่งยิ้มตาม “และมีลอยอยู่ที่นี่อีกดวงนึง”
หรั่งและแพรวา เห็นเงาพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆ นั้น ชัดเจน
“มา มาเหยียบพระจันทร์กันให้มันไปเลย”
หรั่งกระโดดลงไปในแอ่งน้ำนั้นก่อน แพรวากระโดดตามลงไป ทั้งคู่ไล่เหยียบพระจันทร์อย่างสนุกสนาน เท้าของทั้งคู่ที่เหยียบลงไปในเงาพระจันทร์นั้น…ช้าๆ สีหน้าของเธอและเขา ร่าเริงสุดขีด
เพลงรักหวานซึ้ง ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสาสม
เงาดำของเมฆเข้าบดบังพระจันทร์อีกจนได้ ทั้งสองหยุดกิจกรรมการเหยียบดวงจันทร์ แหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน
“ผมบอกแล้ว…ช่วงเวลาดีๆ มักจะโผล่มาให้เราเห็น สั้นๆ เพียงแว้บเดียว”
“ฉันไม่คิดเลยว่าจะมีใครเห็นแบบเดียวกับที่ฉันเห็น และเล่นแบบเดียวกับที่ฉันเล่น…โดยเฉพาะนาย”
แพรวาและหรั่งมองหน้ากันนิ่งซักพัก
“เรากลับกันได้แล้วครับ…เดี๋ยวแม่คุณจะเป็นห่วง”
หรั่งเดินผ่านหน้าแพรวาไป
แพรวามองตามหรั่งไป ทั้งประทับใจ ทั้งทึ่ง หรั่งเดินอย่างมุ่งมั่นกลับมายังรถคันนั้น
ภาพจำในอดีต ผุดพรายขึ้นมาในห้วงคิดของสองหนุ่ม
ค่ำวันหนึ่ง เมื่อ 17 ปีที่แล้ว เด็กหญิงและเด็กชายคู่หนึ่งยืนอยู่ด้วยกันบนหาดทรายริมทะเล คืนเดือนหงาย เด็กชายอยู่ในชุดอัศวิน มีผ้าเก่าๆ ขาดๆ คลุมไหล่อยู่ ส่วนเด็กหญิงอยู่ในชุดสวยฟูฟ่อง ราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย
“ถ้าเธอให้ขนมอันนั้นเรา เราจะให้เธอได้เห็นพระจันทร์สองดวง…เอารึเปล่า”
เด็กหญิงพยักหน้า เด็กชายก้มลง ใช้ทั้งมือและเท้าตะกุยทรายออกจนเป็นหลุม
ที่หลุมนั้น น้ำทะเลเอ่อขึ้นมาจนเต็มหลุม
“โน่นพระจันทร์ดวงที่หนึ่ง” เด็กชายชี้ไปบนท้องฟ้า
เด็กหญิงมองตาม แล้วถาม
“แล้วไหนล่ะ อีกดวงนึง”
“ลอยอยู่ที่นี่ไง”
เด็กชายชี้ลงไปยังหลุมที่เขาขุด ในหลุมทรายยามนั้นมีเงาพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ตรงกลาง
เด็กหญิงตาโต “จริงๆ ด้วย…สวยจัง”
เด็กชายแบมือออกมา เด็กหญิงส่งขนมให้
“เอ้า นี่ขนม เราให้”
เด็กชายรับมา แล้วตัดสินใจ หักแบ่งครึ่ง ออกเป็นสองชิ้น
“แบ่งกันคนละครึ่งดีกว่า” เขาว่า
เด็กหญิงยิ้มหวาน “ขอบใจนะ…เธอใจดีจังเลย”
“เราไปเหยียบดวงจันทร์กัน เอามั้ย” เด็กชายเสนอ
เด็กหญิงหัวเราะชอบใจ “เอา”
เด็กชายหรั่ง นำเด็กหญิงแพรวา กระโดดลงไปเหยียบเงาพระจันทร์ในหลุมนั้น ทั้งสองกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน ยินเสียงหัวเราะสดใส ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
แหละมันดังก้อง...ยาวนานไปไกลกว่า 17 ปี!
ที่บ้านมหาโชคตั้งศิริในยามค่ำคืน เผ่าลาภนอนหลับอยู่เพียงลำพังบนเตียงนอน...สักพักเขาลืมตาขึ้น
เสียงความคิดของหรั่ง ที่เขาจดลงสมุดบันทึกดังรับเรื่องราวชีวิตของแต่ละคร
“การพักผ่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ คือ การนอนภายใต้เงื่อนไขเดียวคือ ต้องหลับสนิท และ ไม่ฝัน”
เวลาเดียวกันนั้นกันทิมานั่งอ่านจดหมายฉบับนั้นของชาติชาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนบารมี นอนหลับใหลไร้สติอยู่บนเตียง
“แต่ไม่เคยมีใครสั่งร่างกายตนเองเช่นนั้นได้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเลือกได้ว่าจะฝันถึงเรื่องดีๆ หรือฝันร้าย”
ผู้ใหญ่เงาะ และ น้าเบิ้ม นอนหลับฝันหวานกลางวงเหล้า เจ๊โอ๋ ใช้ภาชนะใบใหญ่ขว้างใส่ขี้เมาทั้งสอง
ขณะเดียวกัน ตองเดินเข้าบ้านในชุดนักเรียน ผ่านหน้าอรทัยไปอย่างเรียบร้อยเหมือนกลับจากเรียนเช่นทุกวัน
“หลายคนมีความสุขกับความฝันทุกประเภท เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความเป็นจริง เขารู้ว่า ทุกสิ่งย่อมต่างไปจากฝัน”
ก้อยนั่งกอดไวโอลินเพียงลำพังในห้องนอนของเธอ ส่วนหรั่งขับรถไปอย่างมีความสุข โดยมีแพรวานั่งยิ้มสดชื่นอยู่ที่เบาะตอนหลัง
“แต่บางช่วงเวลาของชีวิต ความเป็นจริงก็ตื่นเต้น และมีสีสัน ยิ่งกว่าความฝันหลายเท่านัก”
เวลานั้นที่ริมถนนไม่ห่างจากบ้านแก้ม เห็นรถกระบะของชาติชาย ยังจอดอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับรถคันใหญ่ของแสงเทพก็ยังจอดอยู่หน้าบ้านแก้มเช่นกัน
ในรถชาติชาย แก้มยังคงนั่งนิ่ง มองไปเบื้องหน้า ชาติชายมองนาฬิกา แล้วเหลือบมองดูแก้ม สักพักจึงพูด
“กะจะเข้าบ้านตอนกี่โมง...”
“ให้มันกลับไปก่อน”
“อาต้องขับรถกลับเมืองกาญจน์อีกนะ”
แก้มเปิดประตู เดินไปนั่งตรงขอบฟุตบาท ชาติชายเปิดกระจกโผล่หน้าออกมาพูด
“ทำอย่างนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรนะแก้ม...ดึกมากแล้ว”
“อาก็กลับไปสิคับ...แก้มนั่งของแก้มคนเดียวได้”
ชาติชายตัดสินใจ เปิดประตูรถ เขาเดินลงไปนั่งข้างๆ แก้ม ถอนใจ
“เอา...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว”
“แปลว่าอะไร”
“ก็ตกกระไดพลอยโจนแล้วไง”
แก้มตีฝีปาก “แก้มเป็นกะไดเหรอ หรือแก้มเป็นโจร”
ชาติชายถอนใจ “เฮ้อ ทำไม เข้าใจอะไรยากจัง หมายความว่าลงเรือลำเดียวกันแล้วน่ะ มันก็ต้องไปด้วยกันให้ตลอดรอดฝั่ง...อามาส่งแก้มแล้ว อาก็ต้องส่งให้ถึงบ้าน ให้ถึงฝั่ง...เข้าใจรึยัง”
“อาน่ารักว่ะ” แก้มว่า
ชาติชายร้อง “ห๊ะ”
“แก้มแกล้งกวนตีนอา อายังอุตส่าห์อธิบายอีก โคตรแมนเลย...อาน่ามาเป็นพ่อแก้มนะ”
“ถ้าอามีลูกอย่างนี้ละก้อ...”
“ก้ออะไรคับ” แก้มจ้องหน้า
“ไม่รู้”
“แน่ะ ไม่ได้ละ บอกมาเลย อย่างนี้ไม่แมนแล้วอ้ะ...บอกมา ก้ออะไร” แก้มคาดคั้น
“ก็จะเตะให้หายเป็น ทอม เลยน่ะสิ”
“ใครบอกแก้มเป็นทอม”
“โอ๊ย จะต้องมีใครบอก?...เห็นมาแต่ไกล ดูยังไงดูก็ออก”
“เมื่อตอนบ่ายอายังถามแก้มอยู่เลย ว่า ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“อาก็ถามเพื่อความแน่ใจไปงั้นๆแหละ”
“อาโดนหลอกแล้วละคับ”
ชาติชายงง “หลอก?”
“มันเป็นวิธีป้องกันตัวของแก้มต่างหาก”
“อ๋อ เหรอ”
แก้มชะเง้อมองไปยังหน้าบ้านอีกครั้ง เห็นแสงเทพเดินออกมาจากในบ้าน
แก้มด่า “เออ กว่าจะออกมาได้นะมึง”
พลางขยับตัวลุกขึ้นยืน
“อาจะไปไหนก็ไปได้แล้วคับ”
แก้มมองไปเห็น ดวงใจ ผู้เป็นแม่เดินออกมาจากในบ้านเพื่อตามมาส่งแสงเทพที่รถ แสงเทพหันมาโอบกอดดวงใจ และก้มลงไปจูบ
แก้มชะงัก นิ่งงันไป ตาแดงก่ำ น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาบางๆ เธอตัดสินใจหันหลังให้บ้าน แล้วรีบวิ่งพรวดพราดออกไป
ชาติชายตกใจร้องเรียกไว้ “แก้ม แก้ม”
ดวงใจสะดุ้งนิดหนึ่ง แล้วหันไปมองหาที่มาของเสียง ชาติชายขยับวิ่งตามแก้มไป แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน
แก้มวิ่งร้องไห้เข้ามายังที่เปลี่ยวซอยถัดไปจากบ้าน เธอตรงไปยังศาลาไม้เก่าๆ ข้างทาง ที่หลังศาลานั้นมีมอเตอร์ไซค์คันไม่ใหญ่นักซุกอยู่คันหนึ่ง แก้มกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ เสียบกุญแจ บิดคันเร่ง ขี่ทะยานออกไป ชาติชายเพิ่งวิ่งเข้ามาหยุด มองตามมอเตอร์ไซค์ไปด้วยความเป็นห่วงและงุนงง
ที่หน้าบ้าน ดวงใจ แม่แก้ม และ แสงเทพยังยืนอยู่ที่เดิม เธอยังคงกวาดสายตามองหาไปรอบๆ
“มีอะไรเหรอครับ” แสงเทพถาม
“แก้มค่ะ ดวงใจได้ยินเหมือนใครตะโกนเรียกยายแก้มอยู่แถวนี้น่ะค่ะ”
แสงเทพ งั้นผมกลับก่อนดีกว่า...เดี๋ยวลูกสาวคุณมา เห็นผมเข้า จะยิ่งยุ่ง
ดวงใจ ไปคราวนี้อย่าหายไปนานอีกนะคะ
แสงเทพ โถ ถ้าทำได้ ผมอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไปใจจะขาด คุณดวงใจไม่รู้เหรอครับ
“ค่ะ”
แสงเทพจูบดวงใจอีกครั้งก่อนเดินไปขึ้นรถ
กลางดึก ขณะที่รำไพกำลังเก็บข้าวของอุปกรณ์ทำเค้กอยู่ในครัว แพรวาโผเข้ากอดจากทางด้านหลัง
“จ๊ะเอ๋ แม่จ๋า”
“แหย่แม่อีกแล้วนะน้องแพร”
“น้องแพรจะมาบอกแม่ว่า แม่เลือกชุดเก่งจัง...ลูกค้าที่ไปพบวันนี้ชมน้องแพรว่าสวยไม่ขาดปากเลยนะ...อดดีใจไม่ได้ เลยต้องมาชมแม่อีกต่อนึง”
“แล้วงานเรียบร้อยดีมั้ย”
“เรียบร้อยดีค่ะ”
“หิวมั้ยลูก”
“อิ่มตื้อเลย...ไม่เชื่อดูพุงสิ...คุณป๋าล่ะคะ”
“นอนไปตั้งนานแล้วลูก...ตั้งแต่ไปหาหมอมา...คุณป๋าเราเข้านอนหัวค่ำทุกวัน”
“คุณรำไพก็เลยว้าเหว่ เคว้งคว้าง แย่เลย”
“น้องแพรนี่...”
รำไพเดินมุ่งหน้าสู่บันไดขึ้นห้องนอนของตน จู่ๆ ลูกสาวถามขึ้น ด้วยคำถามแปลกๆ
“แม่เคยกินข้าวในรถมั้ย”
“ไม่เคยหรอก...กินเข้าไปได้ยังไงในนั้น คับแคบจะตาย”
“แม่ต้องลองแล้วละค่ะ...แล้วแม่จะรู้ว่ามันอร่อยมาก...”
แพรวาลากเสียง แล้วเดินแซงแม่ขึ้นบันไดไปอย่างร่าเริง
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 7 (ต่อ)
ด้านหรั่งเอนตัวลงนอนบนเตียงในห้องนอน เขาปล่อยสายตาให้เหม่อลอยออกไปไกลนอกหน้าต่าง...ทิ้งชีวิตจิตใจไว้ในภวังค์แห่งอดีต
เสียงก้อยดังทำลายความคิดคำนึงนั้น
“หรั่ง หิวมั้ย...น้าเบิ้มซื้อผัดไท-หอยทอดมาฝากตั้งแต่หัวค่ำแน่ะ”
หรั่งค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเปิดประตูเดินออกไปจากห้องนอน แสงจากนอกห้องสาดเป็นทางเข้ามาอ่อนๆ
“หรั่งกินมาแล้ว”
เสียงก้อยตอบโต้กับหรั่ง “ว้า...น้าเบิ้มรู้คงเสียใจแย่”
“เขาไม่รู้หรอก...ก้อย เรามาเล่านิทานกันดีกว่า...วันนี้หรั่งจะเริ่มเรื่องตรงที่ ในที่สุดเจ้าชายก็พาเจ้าหญิงขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์จนได้”
“อย่างนั้นเลยเหรอ...”
“อย่างนั้นเลยหละ...”
“อย่างนั้นก็ใกล้จะจบแล้วสิ”
“ยังหรอก เพิ่งจะครึ่งเรื่อง...ยังเหลืออีกตั้งครึ่งนึง มันๆ ทั้งนั้น”
หรั่งมองไปยังพวงกุญแจไอ้มดแดงบนโต๊ะอ่านเขียนหนังสือ ด้านหลังโต๊ะเป็นช่องหน้าต่าง
ที่มองออกไปเห็นพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า อย่างสวยงาม
เวลาเดียวกัน ดวงใจเปิดประตูบ้านออกมา เธอมองผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ
“มาหาใครไม่ทราบ”
ชายที่ยืนหน้าประตู เขาคือ ชาติชาย สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก
“คุณคือ แม่ของน้องแก้ม ใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ...มีอะไรเหรอคะ”
ชาติชายพยายามจะเรียบเรียงคำพูดให้ดี
“คือ...ผมมาส่งแก้ม แต่แก้มไม่ยอมเข้าบ้าน เขาวิ่งหนีไป...ผมตามหาแล้ว แต่ไม่เจอ...”
ดวงใจมีสีหน้า ฉงน ในคำบอกเล่าของชาติชาย
ชาติชายบอกต่อ “ก็เลยมาบอกคุณแม่ให้ทราบ...เท่านั้นแหละครับ”
ชาติชายหันหลังกลับ จะเดินออกไป
“เดี๋ยวค่ะ...แก้มเขาไม่ได้อยู่ที่นี่นะคะ...เขาไปอยู่บ้านปู่ของเขานานแล้ว ไม่เคยกลับมาที่
นี่อีกเลย”
ชาติชายเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง “เหรอครับ...ขอโทษที่มารบกวนซะดึกเลย...สวัสดีครับ”
ชาติชายเดินหน้างง ออกไปจากบ้านหลังนี้
เช้าตรู่วันนี้ ทั่วทั้งบริเวณบริษัทค้าข้าวน่ำเล้ง ซึ่งมีพื้นที่ ตั้งอยู่ริมน้ำดูสงบนิ่ง ส่วนของอาคารเป็นตึกแถวสี่คูหาอยู่ติดถนน ภายในทุบทะลุถึงกัน เป็นโกดังย่อมๆ ชั้นบนหรือชั้นลอย เป็นส่วนของสำนักงาน จากตึกแถวแห่งนี้จะมีทางเดินทอดยาวตรงลงไปยังท่าเรือริมน้ำ เพื่อขนส่งข้าว ติดๆ กับทางเดินลงสู่ท่าเรือนี้ มีบ้านไม้สภาพดั้งเดิม อายุไม่น้อยกว่าสี่สิบ-ห้าสิบปี ตั้งอยู่ นี่คือบ้านของ ลินจง
กระสอบข้าวจำนวนพอสมควรถูกวางซ้อนเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีเสียงพูดคุย ครื้นเครง มาจากกลุ่มคนงานไม่กี่คนที่อยู่กระจัดกระจายกันไป แม้มันจะไม่ดังจอแจ แต่ก็ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตขึ้นมาไม่น้อย
เผ่าลาภเดินก้าวยาวๆตรงเข้ามาในโรงสีนี้ มีกลุ่มคนงานเดินตัดหน้าบ้าง เป็นระยะๆ
สยาม คนสนิทเดินตามหลังเผ่าลาภมาห่างๆ กระทั่งคนงานบางคนเริ่มสังเกตเห็นเผ่าลาภ พวกเขาและเธอพากันซุบซิบ ชี้ชวนกันดู
“เฮ้ย เจ้าสัวนี่หว่า”
“เออ เจ้าสัวมาว่ะ”
“เฮ้ยเจ้าสัวมาเว้ย...” อีกคนตะโกน
“ใครบอกเจ๊ที เจ้าสัวมา”
หลายๆ คน ร้องต่อๆ กัน “เจ้าสัวมา...เจ้าสัวมาโรงสีโว้ย”
ลินจงโผล่หน้ามาจากมุมหนึ่ง คนงานคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหา
“เจ๊...เจ้าสัวมาแน่ะ”
“เห็นแล้ว”
ลินจงวางภาระในมือไว้ตรงนั้น แล้วเดินตรงไปต้อนรับเผ่าลาภ
“มาถึงนี่ได้ไงเฮีย...ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย”
“คนคิดถึงกัน มันต้องบอกก่อนด้วยเหรอ อาจู”
“ไป เข้าบ้านก่อนเฮีย...”
ทั้งคู่เดินตามกันไปยังบ้านไม้หลังนั้น
บ้านลินจงเป็นบ้านไม้เก่าแก่กว่า 50 ปี...มีการปรับปรุงบางส่วนไปตามยุคสมัย ที่ผนังด้านหนึ่งของบ้าน เป็นรูปบรรพบุรุษที่ตายแล้วตั้งเรียงอยู่
ด้านหน้ามีของบูชาบางอย่างวางอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างถูกต้องตามประเพณี มองดูแล้วได้อารมณ์เข้มขลัง
เผ่าลาภยืนดูภาพเหล่านี้ นิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ เสียงนกร้อง เสียงไก่ขัน เสียงเด็กกระโดดเล่นน้ำ ดังสลับกัน มันน่าดู
วิโรจน์ สามีของลินจง เข้ามา เขายังอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อผ้าป่านสบายๆ วิโรจน์ยกน้ำและขนมโมจิเข้ามาให้ เผ่าลาภรับน้ำ และขนมนั้น พร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ
“คนอยู่บ้านไม้ริมน้ำ สุขภาพจิตมันดีอย่างนี้นี่เองนะ...อากาศดี อะไรๆ ก็ดี”
ลินจงถือถาดส้มเข้ามาสมทบอีกคน
“อยู่กรุงเทพฯ สุขภาพจิตไม่ดีเหรอเฮีย...เฮียพูดอย่างนี้ เหมือนมีอะไรอยู่ในใจนะ”
“อิจฉาเฮียคิม เฮียย้ง...ชิงตายตัดหน้าเรา...พวกเขาโชคดีที่ไม่ต้องมารับรู้ความวุ่นวายในหมู่เรา” เผ่าลาภปรารภ
“เรื่องธรรมดาน่าเฮีย...คนอยู่ด้วยกัน ใกล้กัน มันก็ต้องมีขัดแย้งกันบ้าง ถึงเป็นพี่น้องกันก็เถอะ” วิโรจน์ว่า
ลินจงเสริมคำพูดสามี “ใช่...สมัยเตี่ยเรา ก๋งเรา ก็คงมีเหมือนกันแหละน่า”
“แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ...เฮ้อ”
เผ่าลาภเดินไปที่เครื่องบูชาอีกมุมหนึ่งของห้อง มีรูปพี่น้องอีกหกคนเรียงเป็นแถว...ตายแล้วทั้งหมด
เผ่าลาภชี้ไล่รูปนั้นไปทีละคน
“เฮียคิม เฮียย้ง...อาง้วง ตาย...อาชง ตาย...อาเพ้ง ก็ตาย...อาจิวก็อีกคน...อีกหน่อยก็ถึงตาอั๊วบ้าง”
“พูดจาไม่น่าฟังเลย...ถ้าเตี่ยอยู่ โดนเตะแล้วนะเนี่ยะ พูดจาอย่างนี้”
“ก็มันจริงนี่หว่า เฮียเหนื่อยมากเลย รู้มั้ย...สุขภาพก็ชักจะแย่...เครียดก็เครียด จะปรึกษารำไพ ก็สงสารเขา”
เผ่าลาภหันหน้าหนีจากลินจง เห็นได้ชัดถึงสีหน้าที่ท้อแท้ของเขา ลินจงและวิโรจน์มองหน้ากัน
“เดี๋ยวอั๊วไปดูคนงานทางโน้นก่อนนะ”
วิโรจน์เดินเลี่ยงออกไป...ลินจงขยับเข้าใกล้เผ่าลาภ
“เฮียต้องปล่อยวางบ้างรู้มั้ย...อีกหน่อยเรื่องร้ายๆมันก็จะคลี่คลายไปได้เองละ”
“ถ้าเลือกได้ เฮียอยากเป็นคนธรรมดาๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย...หรือไม่ก็ให้เฮียมาดูแลโรงสีนี่ก็ยังดี...เอามั้ย เรามาสลับตำแหน่งกันมั้ยอาจู”
“ไม่เอาละ อั๊วอยู่อย่างนี้ดีแล้วนา...อย่าหาเรื่องให้อั๊วเลย”
“เห็นมั้ย ลื้อเองก็ไม่อยากไปรับความเครียดเหมือนกัน”
“อั๊วไม่แข็งแกร่งเหมือนเฮียนี่นา”
เผ่าลาภเปลี่ยนอิริยาบถ ก่อนเอ่ยปากพูดเรื่องที่สำคัญขึ้น
“ทางนี้เป็นไงบ้าง...ดูเงียบๆ ไปนะ คนงานน้อยลงใช่มั้ย”
ลินจงพยักหน้า “ก็มันไม่มีงานให้เขาทำนี่นา...ใครๆ เที่ยวเอาไปพูดกันว่า โรงสีเราคงรวยอู้ฟู่น่าดูเพราะมีเส้นสายทางการเมืองดี...แต่จริงๆ ก็อย่างที่เห็น...ถ้าตั้งรับไม่ดี เจ๊งเลิกกิจการไปหลายโรงสีแล้ว”
เผ่าลาภบ่น “เส้นอั๊วคงจะเล็กไป”
“เฮียดีเกินไปต่างหาก...ถึงได้ไม่ยอมใช้เส้น”
“บางคนเรียกว่า โง่”
“ฉลาดแล้วขี้โกง มันดีตรงไหน”
“ดีตรงที่ อั๊วจะได้ไม่ต้องคอยมาเอากำไรจากโรงสีของลื้อ ไปอุดหนุนบริษัทอยู่บ่อยๆ น่ะซี”
“โรงสีของอั๊วคนเดียวที่ไหน...เราเป็นครอบครัวนะ เป็นกงสีใหญ่...ยังไงๆ ก็ต้องเจือจุนกัน...บรรพบุรุษสอนเรามาอย่างนี้นะ”
เผ่าลาภใช้เวลาตัดสินใจอีกนิดก่อนพูด
“แล้วตอนนี้ยังมีเงินหมุนพออยู่ใช่มั้ย”
“ก็ยังพอส่งให้เฮียได้อีกซักพักนึง...”
“อือม...ถ้างั้น งวดนี้ อั๊วคงต้องขอเร็วหน่อยละ...ช่วงนี้ทางเหมืองต้องเร่งใช้เงินลงทุน”
“ได้เฮีย...เอ้อ อาทิตย์หน้าอั๊วจะแวะไปเยี่ยมอาฮุ้ง ก็ว่าจะเลยไปเยี่ยมคุณรำไพด้วย…เฮีย
อยากได้อะไรมั้ยล่ะ”
เผ่าลาภส่ายหน้า “ขอบใจอาจู...ถ้าเฮียเป็นอะไรไป...ฝากรำไพกับแพรวาด้วยก็แล้วกัน”
ลินจงถึงกับอึ้งไป ที่อยู่ๆ พี่ชายพูดเช่นนี้ออกมา
ที่บ้านหรั่งเวลาบ่ายคล้อย จู่ๆ ตัวการ์ตูนเจ้าหญิงปลิวมาตกตรงหน้าก้อย ที่กำลังนั่งพับผ้าอยู่ ก้อยค่อยๆ หยิบตัวการ์ตูนนั้นขึ้นมาลูบคลำมันอย่างคุ้นชิน ยินเสียงลมกรรโชกแรง จนบานหน้าต่างกระแทกฝาบ้าน ดังมาจากทางห้องหรั่ง ก้อยหันหน้าไปทางต้นกำเนิดของเสียงนั้น
ก้อยค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาในห้องหรั่ง หน้าต่างบานที่เปิดทิ้งไว้ ถูกลมพัด แกว่งกระแทกฝาผนังห้อง
ส่วนที่พื้นห้อง พบว่า โมเดล Pop up ที่หรั่งใช้เล่นและเล่านิทาน ตกอยู่กลางห้อง ก้อยขยับไป ค่อยๆ ก้มลงคลำเก็บมันขึ้นมา แล้ววางการ์ตูนตัวนั้นลงไปบนโมเดล
มองผ่านหลังก้อยไปยังช่องหน้าต่าง เห็นมอเตอร์ไซด์แปลกตา ขับขี่และซ้อนท้ายโดยชายแปลกหน้าสองคน สีหน้าแววตาของพวกมันคล้ายๆ มันมาดูที่ทาง และ ลาดเลาเพื่อทำอะไรชั่วช้าสักอย่าง
หากก้อยมองเห็นได้เธอจะพบว่า เพดานห้องนอนของหรั่ง เต็มไปด้วยรูปแพรวายิ้มหวานอยู่บนนั้น
มอเตอร์ไซค์คันเดิม แล่นมาจนถึงลานข้างบ้านผู้ใหญ่เงาะ น้าเบิ้มและผู้ใหญ่นั่งโขกหมากรุกกันอยู่
รถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวแล่นไปทางหนึ่ง ผู้ใหญ่ส่งเสียงดังกว่ามอเตอร์ไซค์
“รุกฆาต...ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ฆาตอะไรวะ” น้าเบิ้มงง
“คาดว่าจะจนไงล่ะวะ” ผู้ใหญ่ตีฝีปาก
“พวกเรามันจนอยู่แล้ว ไม่ต้องมาคาดหรอก...นี่แน่ะ กินม้าฟรีซะเลย...ไม่จนแล้วเว้ย”
ผู้ใหญ่เงาะจ๋อย
จะหวะนี้ เท่ห์ โบ้ และเช็ง เดินเรียงกันออกมาจากซอยข้างๆ น้าเบิ้มร้องทักอย่างร่าเริง ประสาหมากรุกที่เป็นต่อ
“เฮ้ย...หนุ่มๆ ไปไหนกันวะ”
เท่ห์คุย “มีจ๊อบ...เงินดี เลยรับเขาไว้”
“เอาฆ้อน เอาขวาน มีด-ไม้ไปขนาดนั้น...ไปรับจ้างทุบใครเขาอีกวะ” น้าเบิ้มเหน็บ
เช็งเฉลย “ทุบตึก...คราวนี้ทุบตึก”
“ดึกๆ ค่อยกลับนะพ่อ...งานเขาเร่ง” โบ้บอก
“เออ...” น้าเบิ้มรับรู้ แล้วหันมาทางผู้ใหญ่ “เก่งไม่กลัว กลัวช้าเว้ย”
ผู้ใหญ่ยังจ้องกระดานหมากรุก หน้านิ่ว
“เหอะน่า...”
“เหอะน่า ก็เดินซะทีสิ”
“เดี๋ยวสิวะ มันต้องวางแผน มองข้ามช็อตกันหน่อย”
มอเตอร์ไซค์คันนั้น ย้อนกลับมาวนใกล้บ้านผู้ใหญ่เงาะอีกครั้ง
คราวนี้ผู้ใหญ่และน้าเบิ้ม เงยหน้ามองพร้อมกัน
“ไอ้นี่มันใครวะ ขี่รถวนไปวนมาอยู่ได้”
“นั่นสิ เมื่อบ่ายๆ เห็นวนอยู่แถวบ้านไอ้หรั่งทีนึงแล้ว...นังก้อยมันอยู่คนเดียวซะด้วย”
“รุก”
ผู้ใหญ่จับโคน กระแทกกระดานดังลั่น หัวเราะร่วน
“นี่...ทีนี้มีเรือคุ้มด้วย...”
น้าเบิ้มก้มลงมองกระดานโวยวาย “เฮ้ย เรือมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...ได้ไง...แน่ะๆ...โกงนี่หว่าผู้ใหญ่”
ขณะที่อรทัยนั่งเอนหลังสบายๆ ในห้องทำงาน เธอกำลังฟังสป็อตวิทยุตัวใหม่ที่ทีมโฆษณาส่งมาให้
กัมปนาทเปิดประตูเข้ามาในห้อง อรทัยให้สัญญาณ ให้ฟังสป็อตให้จบก่อน
เสียงดนตรีดังขึ้น “...แม้คุณจะไม่เคย” ดนตรีทำหน้าที่อีก “...แต่คุณก็ไม่ควรปฏิเสธโอกาสเดียวที่คุณจะครอบครองความดูดีได้ทั่วทั้วเรือนร่างในราคาพิเศษสุด ลด 20% ทุกชิ้น ตั้งแต่หัวจรดเท้า M.S. Jewelry อัญมณี ที่ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น...” ดนตรีปิดท้ายอย่างได้อารมณ์
เมื่อสิ้นเสียงสป็อต อรทัยเอื้อมมือปิด คอมพ์ ดึงแผ่นออกมาจากเครื่อง
“ฟังแล้วเป็นไง...อาฮุย”
“ถ้ามาแนวนี้ อีกหน่อยคงต้องทำสติ๊กเกอร์ติดท้ายรถสิบล้อด้วยละมั้ง” กัมปนาทเย้า
“สงสัยอั๊วคงต้องเปลี่ยนคนทำ...แล้วนี่เราจะเอายังไงแน่อาฮุย ตกลงจะประจำอยู่ที่โรงเจียร หรือจะอยู่โยงที่ออฟฟิศ”
“เอาแบบไปๆ มาๆ อย่างนี้แหละดี...คนเป็นดีไซเนอร์อยู่นิ่งไม่ได้ เดี๋ยว ตัน”
อรทัยสัพยอก “อะไร ตัน”
“ไอเดีย...ไอเดียตันล่ะก็ จบกันเลยนะ”
ประตูห้องทำงานอรทัยเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป็น ตอง ในชุดนักเรียนเดินยิ้มเข้ามาในห้อง
“หวัดดี เก๊ากู๋”
“ยายตอง...โตเป็นสาวเชียวนะเรา...ยิ่งโตยิ่งสวยนะเนี่ย”
ตองดี๊ด๊า “จริงเหรอ เก๊ากู๋”
“เขาล้อเล่น...ไม่ต้องดีใจขนาดนั้น” อรทัยยั่ว
ตองเบะหน้า งอ งุ้ม ลงไปทันที
กัมปนาทถามหลานสาว “วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ”
“ไปบ่ายค่ะ...ตอนเช้ามี field trip ตองขี้เกียจไป” แล้วหันมาทางอรทัย “ม้า...วันนี้ตองกลับดึกนะ มีเรียนพิเศษ...” พลางแบมือ “ขอตังค์ค่ารถด้วย”
อรทัยหยิบสตางค์ “วันหลังฉันรับครูมาสอนที่บ้านดีกว่า...น่าจะถูกกว่าค่าแท๊กซี่”
ตองรับเงิน แล้วเดินออกไป
อรทัยหันมาทางกัมปนาท “วันนี้ลื้อมีเรื่องอะไรกับอั๊วรึเปล่า”
กัมปนาท วางแฟ้ม proposal งาน ลงบนโต๊ะอรทัย ที่หน้าแฟ้มมีชื่อและโลโก้ของโปรเจ็คนี้ปรากฏอยู่
“Jewelry on the beach”
“อะไรนะ”
“มหกรรมอัญมณีโลก...present by M.S. Jewelry ไง...เฮียตงยังไม่ได้บอกเจ้อีกเหรอ”
“หึ๊” อรทัยส่ายหน้า
“ไม่ทันไร ขี้ลืมซะแล้ว เฮียเนี่ย”
“โอ๊ย จะไปจำอะไรได้...ช่วงนี้เขาใจจดใจจ่อกับเรื่องออกทีวีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละ”
ที่หน้าคฤหาสน์บ้านเผ่าลาภ เย็นวันเดียวกัน หรั่งและสยามยืนพิงรถคุยกันท่าทีสบายๆ
“ตกลงไม่ไปด้วยกันจริงๆ เหรอ...ช่องเจ็ดสีเชียวนา...ไม่ได้ไปกันบ่อยๆ นะเว้ยหรั่ง”
หรั่งส่ายหน้ายิ้มๆ
“เผื่อเจอดาราจะได้ขอถ่ายรูปคู่ไง ฉันเตรียมกล้องไว้แล้วนี่...ถ้าเจอ อั้ม พัชราภา นะ เสร็จ! ไปด้วยกันซี่…”
“ไม่เอาละ...เป็นห่วงน้องสาวที่บ้าน”
“งั้นก็ตามใจ...เดี๋ยวฉันถ่ายมาเผื่อก็ได้...นายอยากได้รูปใครล่ะ”
“เอา...พี่เติ้ล ตะวัน แล้วกัน...ไม่ก็ ธงชัย ประสงค์สันติ...พี่ดู๋ สัญญา ก็ได้”
“อะไรวะ เอาแต่รูปผู้ชาย” สยามส่ายหน้า
คนใช้วิ่งหน้าตื่นออกมาจากในบ้าน เขาส่งเสียงดังมาก่อน
“น้าหยาม...น้าหยาม...คุณเผ่าลาภไม่สบายมาก มาช่วยกันหน่อยเร็ว”
สยามและหรั่งวิ่งหน้าตื่นเข้าไปในบ้านทันที
แพรวาวิ่งลงบันไดมาที่ห้องโถง ตรงมายังเผ่าลาภที่นั่งทรุดตัวอยู่ มือกุมขมับแน่น มีรำไพคอยดูอยู่ข้างๆ สยามและหรั่งวิ่งตามคนรับใช้เข้ามาในบ้าน...ทั้งคู่ตรงเข้าประคองตัวเผ่าลาภขึ้น แพรวาตะโกนร้องลั่น
“คุณป๋า...คุณป๋าเป็นอะไร”
“คุณป๋าปวดหัวมาก แม่กำลังจะพาไปโรงพยาบาล” รำไพบอก
“น้องแพรไปด้วย”
เผ่าลาภเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา อย่างยากเย็น ขมวดคิ้ว หน้ากิ่ว
“ไม่ต้องลูก...ไปรายการทีวีแทนป๋าที”
“ไม่เอา...น้องแพรไม่อยากออกทีวีนี่นา”
“ช่วยป๋าหน่อยเถอะลูก”
ทั้งกลุ่มประคองเผ่าลาภขึ้นยืน และกำลังจะออกไปขึ้นรถ
“น้องแพรห่วงคุณป๋ามากกว่านี่คะ”
“แม่ดูคุณป๋าเองทางนี้เองลูก”
แพรวายังมีท่าทีกังวลอยู่ไม่น้อย รำไพหันไปสั่งแพรวา แกมขอร้อง
“ช่วยหน่อยนะน้องแพร...เขาเพิ่งโทร.มาตามคุณป๋าเมื่อกี้นี้เอง เขาว่าเป็นรายการสดด้วย”
แพรวางอแงด้วยเป็นห่วงบิดา “ก็ช่างเขาสิแม่ ให้เขาแก้ปัญหาของเขาเองสิ”
รำไพเริ่มดุ “มันจะเสียหายมาถึงบริษัทนะน้องแพร...เข้าใจหน่อยสิลูก ไปแต่งตัวเร็วเข้า”
แพรวายืนอึ้ง ร่างเผ่าลาภถูกประคองตัวออกไปขึ้นรถ...เธอนิ่งคิดตัดสินใจ
“หรั่ง”
หรั่งที่กำลังช่วยประคองเผ่าลาภอยู่...เขาหันมามองแพรวา
“นายไปกับฉันนะ นายหรั่ง”
เขาผละจากการประคองเผ่าลาภ
รถแพรวาแล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยหรั่งเป็นผู้ขับ ทีมงานของรายการรอรับอยู่แล้วสองสามคน แพรวาลงจากรถ ตรงเข้าไปหา
“คุณป๋าป่วยกระทันหันค่ะ...คงจะมาไม่ได้”
“อ้าว เหรอ...แล้วทำไงล่ะเนี่ย”
“คุณป๋าให้น้องแพรมาออกรายการแทนค่ะ...ได้มั้ยคะ”
“อือม...ไม่เป็นไร...มา มาทางนี้ก่อนจ้ะ”
ที่ร้านอาหารวัยรุ่น คืนเดียวกัน บรรยากาศในร้านนั้นสดใส สว่างไสว เด็กวัยรุ่นหลายคน มานั่งกินอาหาร นั่งคุย และนั่งติวข้อสอบกัน
ตรงโต๊ะที่อยู่ชิดติดกระจก ตองกำลังขะมักเขม้นกับการอ่าน และ ติว วิชา คณิตศาสตร์ให้กับแก้ม
อยู่บริเวณนั้น ส่วนตัวแก้ม ที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้น ดูจะเอาแต่เหม่อลอย เธอทอดสายตาไปยังภาพ MV ในจอทีวีแขวนผนังตรงข้ามที่นั่งของเธอ
“แก้ม...แก้ม ฟังรึเปล่าเนี่ยะ....จะสอบอยู่แล้วนะ เดี๋ยวก็ติด F อีกหรอก”
“F ก็ F ไปดี้ แก้มไม่สนอยู่แล้ว”
“ไม่ได้...ใครเป็นแฟนตอง ต้องเรียนเก่งทุกคน” ตองพูดอย่างมั่นใจ
ส่วนที่บ้านอรทัย ลูกๆ ลินจงทั้งสามคน ต่างกำลังกินและเล่นพร้อมกัน รอบๆ ตัว เละเทะ เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ลินจงกำลังเช็ดเศษอาหารที่หกเกลื่อนพื้น วิโรจน์ถือนมมาไล่แจกเด็กๆ คนละกล่อง
อรทัยยกถาดขนมและผลไม้มาวางบนโต๊ะ
“เฮ้อ อาจูเอ๊ย...พาลูกๆ มาบ้านฉันแต่ละที บ้านฉันพังทุกครั้งไป”
“งั้นคราวหน้าเจ๊ก็ไปบ้านฉันบ้างสิ”
“ไม่เอาหรอก ตั้งนครสวรรค์ ขี้เกียจนั่งรถ”
“นี่เด็กๆ เดี๋ยวต้องเปิดช่องเจ็ดนะ...วันนี้อากู๋ออกทีวี” ลินจงหันไปทางลูกๆ
“เออ ดูซิว่าจะหล่อมั้ย”
ภายในห้องแต่งตัวของสตูดิโอช่องเจ็ดสี ย่านหมอชิตเก่า แพรวากำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้า ทำหน้าที่เสริม เติม แต่งความงามอยู่ บรรดาผู้ร่วมรายการที่นั่งเรียงถัดจากแพรวาออกไป เป็นแถวยาว พวกเขาคือนักธุรกิจอัญมณีรุ่นใหญ่ หน้าตาทรงภูมิรู้ทั้งนั้น
ส่วนแพรวาดูหวาดๆ เกร็งๆ ชอบกล ครีเอทีฟท่าทางเป็นทอม เข้ามาหาแพรวา พูดด้วยเสียงดุ เด็ดขาด ทำตัววุ่นวายตลอด...ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเก๊กนั่นเอง
“น้องฟังนะฮะ พี่จะพูดทีเดียว...รายการเรามีสี่เบรค พิธีกรจะสัมภาษณ์สดทีละคน เบรคละสองคน...ของน้องแพรวาคนสุดท้ายอยู่เบรคสามนะฮะ...เดี๋ยวใกล้ๆเวลาจะมาเรียกอีกที ช่วยอยู่แถวๆนี้นะฮะ อย่าไปไกล ขี้เกียจตาม”
ครีเอทีฟ เดินออก แต่สะดุดอะไรบางอย่างร่างคะมำออกไป หรั่งเข้ามานั่งข้างๆ แพรวา ให้กำลังใจ
“ใจเย็นๆ นะครับ ไม่ต้องตื่นเต้น เขาถามอะไรมาก็ตอบไปตามนั้น”
“แต่ฉันไม่รู้อะไรเลยนะ หรั่ง”
“ไม่รู้ ก็บอกเขาว่าไม่รู้ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย”
หรั่งยิ้มให้แพรวา เป็นยิ้มที่ดูอบอุ่นที่สุด เท่าที่ใครจะเคยเห็นจากใบหน้าหล่อเหลาของเขา
ด้านบารมี นั่งดื่มเหล้าอยู่กลางห้องคอนโด เห็นห้องนอนที่เปิดประตูไว้ทางด้านหลัง และเห็นจอทีวีอยู่ในห้องนั้นบารมีเหลือบมองดูเวลาที่ข้อมือของตน
“กัน...กันทิมา จ๋า...”
กันทิมาเดินออกมาจากในห้องนอน เธออยู่ในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จ บารมีชูขวดเหล้าให้กันทิมาดู มันเหลือเหล้าเพียงเล็กน้อย ใกล้หมด
“คืนนี้ พอเท่านั้นเถอะนะคะ”
“ฮื้อ…อีก ซักครึ่งขวด กำลังดี” บารมีต่อรอง
“เยอะไปแล้วค่ะ ขวดนึงเต็มๆไปแล้วนะคะ”
“คุณจะออกไปซื้อมาให้ผมกินที่นี่ เมาที่นี่ นอนกับคุณที่นี่ หรือจะให้ผมออกไปเมาหลับไม่รู้เรื่องข้างนอก”
กันทิมาลอบถอนใจนิดๆ
“รอนานหน่อยนะคะ...ฉันจะเดินไป จะได้ไม่เปลืองน้ำมันรถ”
กันทิมาเดินไปแต่งตัวขณะบารมีดื่มเหล้าในแก้วจนหมด
ที่ด้านหลังชุมชนจานเดี่ยว ไม่ไกลจากบ้านหรั่ง บริเวณนี้ตกอยู่ในความมืดและเงียบสงัด เสียงหัวเราะของชาวบ้านขี้เมา ดังมาไกลๆ มันไกลจนไม่อาจทำลายความเปลี่ยวในบริเวณนี้ได้
ชายลึกลับสองคน มุดคูน้ำหลังชุมชนนี้ ปีนขึ้นมา ในมือของมันมีถังน้ำมันติดมาคนละสองใบ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มันเป็นคนเดียวกับที่ขี่มอเตอร์ไซค์ป้วนเปี้ยนเข้ามาในชุมชนนี้ มันทั้งสอง ย่องไป
อาการลอกแลก เหลียวมองอย่างระแวดระวัง บอกให้รู้ว่า สองมันไม่ได้มาดีแน่ๆ
ที่ห้องส่งช่องเจ็ดสี ทีวีเพื่อคุณ บนอัฒจันทร์คนดูในห้องส่ง บรรดาคนดูรับจ้างตนมือกราวสนั่น ตามผู้นำที่ยืนบิ้วท์อยู่ด้านหน้า
ฉากหน้าเห็นป้ายชื่อของรายการ “90 นาทีที่หมอชิต”
พิธีกรกำลังพูดกับกล้องในสตูดิโออยู่ โดยมีแพรวานั่งตื่นๆอยู่ข้างๆ
“ผ่านไปสองบริษัทแล้วนะครับท่านผู้ชม...มาถึงแขกรับเชิญพิเศษสุดในคืนนี้ มาแบบเหนือความคาดหมาย แต่ทำให้ห้องส่งของเรามีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าธุรกิจอัญมณีบ้านเราซบเซา คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณได้รู้จักกับบริษัทต่อไปนี้...เพราะนี่คือยักษ์ใหญ่ในวงการเพชรพลอย...บริษัท M.S. Jewelryและวันนี้พวกเราสดชื่นขึ้นมาได้ เพราะเธออยู่กับเราครับ...ลูกสาวคนเดียวของเถ้าแก่ใหญ่ คุณแพรวา มหาโชคตั้งศิริ...สวัสดีครับ”
แพรวาไหว้ ยิ้มสวยงามตามท้องเรื่อง “สวัสดีค่ะ”
“ก่อนอื่นเราต้องถามถึงคุณเผ่าลาภนิดนึงก่อนนะครับ...ทราบว่าป่วยกระทันหัน”
“ค่ะ”
พิธีกรอวยสุดชีวิต “นี่คือสปิริตของพ่อค้าครับ...แม้ตัวป่วยก็ยังส่งลูกสาวมาแทน”
“ค่ะ”
“คงกะทันหันจริงๆ เพราะดูลูกสาวยังมีแววกังวลอยู่...ทางเราเช็คไปที่โรงพยาบาลแล้วนะครับ หมอบอกว่า อาการดีขึ้นแล้ว ปลอดภัยไม่มีอะไรน่าห่วง...คุณแพรวาสบายใจได้”
แพรวา “ค่ะ” อีก ดูออกว่าตื่นเต้น ประหม่าอยู่อย่างเก่า
“กลับมาเข้าสู่ประเด็นของรายการคืนนี้นะครับ ผมขอเริ่มที่ ให้คุณแพรวาช่วยบอกเราหน่อยครับว่า ยุทธศาสตร์บริษัทของคุณปีนี้ มีอะไรบ้าง”
แพรวาดูมีอาการตื่นอย่างเห็นได้ชัด หรั่ง ยืนชะเง้อดูแพรวาอย่างเป็นห่วง
“เอ้อ...ต้องถามคุณป๋าก่อนค่ะ”
“ถามคุณเผ่าลาภก่อน”
“ค่ะ”
“แหม อุบเงียบเลยนะครับ...นี่คงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สินะ”
แพรวา “ค่ะ” อีก
“แล้วเรื่องการขยายเหมือง M.S. ล่ะครับ...การขอประทานบัตรในที่ผืนใหม่ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วครับ”
“อือม...ยัง ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
พิธีกรรอให้เธอพูดต่อ...แพรวาไม่พูด...พิธีกรชักอึดอัด
“คนวงในเขาซุบซิบกันว่า ผลประโยชน์ใต้ที่ดินผืนนั้น มันมีมากกว่าพลอย...อันนี้จริงมั้ยครับ”
ไม่มีคำตอบออกจากปากแพรวา เธอเสียเซ้ลฟ์ เอาแต่ชะเง้อมองหาหรั่ง
“ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมล่ะครับ คุณอธิบายเรื่องการขยายพื้นที่เหมืองให้กับชาวบ้านยังไงบ้าง แล้วพวกเขารู้สึกยังไง มีจุดไหนเป็นประเด็นที่ต้องหนักใจหรือต้องต่อรองอะไรบ้างมั้ยครับ”
“ยังไม่ทราบค่ะ”
“ยอดขายล่ะครับ...กำไรของบริษัทปีนี้ เป็นไง”
“ก็ดีค่ะ”
“แต่ผมดูจากรายงานแล้ว...ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทคุณลดลงนะครับ...ดูเหมือนผู้บริโภคจะมีตัวเลือกมากขึ้น คุณแพรวาว่าไงครับ”
“เอ้อ...เหรอคะ”
พิธีกรหันไปพูดกับกล้อง
“ท่านผู้ชมครับ ผู้หญิงแม้จะสวยแค่ไหน แต่ถ้าผู้เป็นพ่อเพิ่งล้มป่วยลงไป เธอก็คงจะพูดได้น้อยลงเช่นนี้ทุกคน...ผมว่าพักโฆษณากันก่อนดีกว่าครับ ให้เธอปรับอารมณ์ซักครู่เดี๋ยวเรากลับมาพบกันใหม่หลังข่าวภาคดึกเลยแล้วกัน ซักครู่พบกันในช่วงสุดท้ายครับ”
คนดูรับจ้าง ตบมือสนั่นตามหน้าที่
ผู้กำกับเวทีสั่ง “คัทค่ะ...เบรคนี้มีข่าวคั่นรายการ สิบห้านาทีค่ะ”
พิธีกรขยับเข้าใกล้แพรวา ท่าทางหงุดหงิดพอใช้ทีเดียว
“น้องแพรครับ น้องแพรต้องพูดบ้างนะครับ ตอบคำถามบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งเงียบ แล้วพูดแค่ ค่ะ ไม่รู้ค่ะ เหรอคะ ไม่ทราบค่ะ มานั่งทำหน้าสวยอย่างเดียวไม่ได้นะครับ ไม่พอ...อย่าปล่อยให้พี่พูดคนเดียวสิครับ...เฮ้อ...” พลางร้องตะโกน “อิง...อิงฟ้า มานี่ซิ มาบรี๊ฟน้องแพรวาใหม่ ขืนเป็นงี้ ตาย เปลี่ยนไปดูมวยปล้ำช่องอื่นได้อารมณ์กว่า”
พิธีกรเดินหงุดหงิดออกไป แพรวานั่งเครียด หรั่ง...เองก็เครียดไม่แพ้กัน
ที่บ้านอรทัยยามนั้น อรทัยยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าตาหงุดหงิดเต็มที่ ด้านหลังของเธอเห็นเป็นกลุ่ม ลินจง วิโรจน์ และเด็กๆ นั่งจ้องหน้าจอทีวี
“หมดกัน...เสียชื่อบริษัทหมดกันพอดี...เฮียนะเฮีย ให้ยายแพรวาไปออกทีวีแทนได้ไง มันจะไปรู้เรื่องอะไรในบริษัท...ให้เจ้าต้นไปแทนยังดีซะกว่า”
เด็กๆ ถามพร้อมกัน “เหรอครับ”
“ก็ดีกว่านี้แหละน่า” อรทัยว่า
“ใจเย็นๆ ดูๆไปก่อนน่าเจ้” ลินจงบอก
“เย็นไม่ไหวหรอก ฉันอยากจะบ้าตาย”
ส่วนที่ห้องนวดตัวในสปา ทนงศักดิ์ นอนคว่ำหน้าเปลือยกายบนเตียงนวด มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคาดท่อนกลางลำตัว เขาเอื้อมมือรับโทรศัพท์อย่างงัวเงีย
“ฮัลโหล...”
เสียงอรทัยดังลอดออกมา “ฉันโทร.ตั้งนาน ทำไมเพิ่งรับ”
ทนงศักดิ์สะดุ้ง ตื่นตัวทันที “อ๋อ พอดีลืม...วางโทรศัพท์ไว้อีกห้องหนึ่ง”
ฟากอรทัยยังคงหงุดหงิดอยู่
“มัวทำอะไรอยู่...ดูทีวีอยู่รึเปล่า”
“เอ้อ...ห๊ะ...ว่าไงน่ะ”
ทนงศักดิ์ให้สัญญาณพนักงานนวดให้เปิดทีวี
เสียงอรทัยแหลมขึ้นมา “ทำไมต้อง ห๊ะ หูตึงรึไง...ฉันถามว่าดูทีวีอยู่รึเปล่า ช่องเจ็ดน่ะ”
“ดู ดูสิ ดูอยู่นี่ไง มีอะไรเหรอ”
“จะบอกให้เรียกนายต้นมันมาดูไว้ด้วย แล้วจำไว้...จะได้ไม่ทำอะไรทุเรศๆ อย่างยายแพรเข้าใจมั้ย”
ทนงศักดิ์สวมรอย พูดมั่วๆ ตามอารมณ์อรทัยไป “เข้าใจ...ฉันไม่มีวันปล่อยนายต้นให้เป็นอย่างนั้นหรอก...เท่านี้นะ จะดูทีวีต่อละ”
ทนงศักดิ์กดเลิกการสนทนา แล้วรูดม่านกั้นห้องออกแล้วสั่งพนักงานนวด
“ช่องเจ็ด...เปิดช่องเจ็ดเดี๋ยวนี้เลย”
กฤษฎาที่นอนอยู่เตียงข้างๆ หลังม่านนั้น ผงกหัวขึ้นมาพูด
“พ่อติดละครด้วยเหรอ”
ขณะเดียวกันชายแปลกหน้าทั้งสอง สาดน้ำมันเบนซินไปรอบๆ บ้านหรั่ง
ก้อยเปิดห้องน้ำออกมา เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เธอเดินคลำไปตามทางอย่างคล่องแคล่ว ทันใดนั้นเธอก็หยุดชะงักท่าทางเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง คล้ายน้ำมันเบนซิน
ที่ห้องส่งช่องเจ็ดสี แพรวายืนกัดเล็บตัวเองอยู่หลังกล้อง หรั่งเข้ามาใกล้ๆ เธอ และส่งกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งให้
“รีบอ่านให้ละเอียดครับ...ผมว่าคำถามคงไม่หนีเรื่องพวกนี้...ถ้าจำไม่ได้ คุณก็หยิบมาอ่าน
สดๆ ไปเลย...”
แพรวาหยิบกระดาษโน้ตนั้นมาดู แล้วมองหน้าหรั่ง
“คุณทำได้ สบายมาก...พนันกันได้เลยว่าคุณเผ่าลาภจะต้องภูมิใจในตัวคุณ”
ผู้กำกับเวทีตะโกนลั่นห้องส่ง
“เหลือโฆษณาอีกสามตัวนะครับ...” แล้วกระซิบพิธีกร “ถ้าน้องเขาไม่พูดอีก พี่โยนเข้าสกู๊ปตอน
หน้าเลย ผมจะ Stand By ไว้ให้” เสร็จแล้วก็ประกาศก้องบัญชาการ “ทุกคนประจำที่ค่ะ ช่างหน้าช่างผมเช็ค หน้า-ผม ด้วยค่ะ ด่วนจี๋”
อรทัย และญาติๆ ทุกคนยังลุ้นกันอยู่หน้าจอทีวี เสียงพิธีกรดังเข้ามา
“กลับเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของรายการ 90 นาที ที่หมอชิต...คุณแพรวา สาวสวยที่สังคมกำลังจับตามอง เธอยังคงอยู่กับเราครับ...ต้องดูนะครับว่า เบรคนี้เธอจะพูดกับเรามากน้อยแค่ไหน...”
อรทัยหงุดหงิดมาก พูดแทรกทับเสียงในทีวี
“โอ๊ย...ยังจะสัมภาษณ์ยายแพรอีกทำไมนะ...ไอ้พิธีกรนี่ เหมือนแกล้งกันชัดๆ”
ที่ร้านอาหารวัยรุ่น ตองกะแก้มอยู่นั่น แก้มนั่งจ้องมองจอทีวี ขณะตองเดินถือเครื่องดื่มมาที่โต๊ะ
“พี่สาวตองใช่มั้ย”
ตองมองตามสายตาแก้มไปที่จอทีวี
ในห้องส่งช่องเจ็ดสี ทีวีเพื่อคุณ เริ่มรายการต่อ แพรวามองและฟังพิธีกรอย่างมีสมาธิ
“ผมคงต้องขอคำตอบแบบชัดๆ ได้ใจความเลยนะครับคุณแพรวา หลายๆ คนมองว่าบริษัท M.S. ของคุณ เป็นการดำเนินธุรกิจแบบโบราณ ทำกันเองในครอบครัว ยังใช้ระบบกงสีกันอยู่...ผมขอถามว่า คุณจะรับมือกับการแข่งขันในโลกธุรกิจสมัยใหม่ได้อย่างไร”
แพรวาสูดลมหายใจลึกๆ เธอหันมาพูดกับกล้องในห้องส่งอย่างฉะฉาน แม้จะมีบางท่วงท่าของเธอเหมือนกับตั้งใจท่องมา แต่ก็ดูดีและต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ดิฉันยอมรับค่ะ ว่า บริษัทของเราเติบโตมาจากการทำการค้าของรุ่นบรรพบุรุษ แล้วสืบทอดกันมาด้วยระบบกงสี...แต่เราก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่...ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันแปรอยู่ตลอดเวลา เราก็ได้เตรียมการณ์พร้อมรับมือกับทุกจังหวะของการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ...”
แพรวาหยุดนิ่งนิดหนึ่ง เธอก้มลงอ่านกระดาษโน้ตในมือ แต่มันไม่ได้ทำให้ดูขัดตาน่าอายแต่อย่างใด
“ในเรื่องของการแข่งขัน มันก็เป็นธรรมดาของธุรกิจทุกประเภทอยู่แล้ว ที่ต้องผลัดกันรุกผลัดกันรับ ไม่มีการผูกขาด ซึ่งตอนนี้เราก็ได้เตรียมกำลังของคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นมา โดยมีแรงหนุนของคนรุ่นเก่าที่มากไปด้วยประสบการณ์ เรียกได้ว่า นำเลือดเก่ามาผสมกับเลือดใหม่ เปิดโอกาสให้ประสบการณ์ได้ผสมผสานกับความกระตือรือร้นกลายเป็นพลังผลักดันบริษัทต่อไป...และนี่คือแนวคิดของ M.S. JEWELRY ค่ะ”
คนดูรับจ้างได้รับสัญญาณ พวกเขาตบมือกระหึ่ม พิธีกรยิ้มออกมาได้
“เยี่ยมมากครับ...ผมมีอีกหนึ่งคำถาม เป็นคำถามสุดท้าย...ถามว่า ถ้าหากคุณเผ่าลาภลงจากตำแหน่ง คุณคิดว่าใครจะขึ้นมาแทนที่เขา เพื่อมาดำเนินนโยบายทั้งหมดนี้”
เจอคำถามนี้ แพรวาถึงกับอึ้ง
เวลาเดียวกันนั้น ปลายคบไฟ มีเปลวไฟลุกโชนขึ้น คบไฟอันนี้ถูกโยนเข้าไปยังตัวบ้านของหรั่งที่พวกมันราดน้ำมันเอาไว้แล้ว
กองไฟกองใหญ่ลุกโชติช่วงขึ้นอย่างทันควัน
ก้อยสะดุ้งขึ้น ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในจิตใจเธอ
ทุกคนทั้ง อรทัยต่างจ้องทีวี ไม่ต่างจากลินจงที่จ้องจอ แล้วหันมองหน้าอรทัยรอฟังคำตอบ
ส่วนที่คอนบารมีจ้องจอทีวีนิ่ง ทนงศักดิ์และกฤษฎา นอนจ้องทีวีในห้องสปา
ขณะที่หรั่งมองจ้องที่แพรวาบนเวที ห้องส่งช่องเจ็ดสี
แพรวา ยังคงอึ้ง...คิดอะไรไม่ออก
ในที่สุดพิธีกรแก้ไขสถานการณ์ โดยหันมาพูดกับกล้องทีวี...สื่อไปยังคนดูทางบ้าน
“ยังไม่ตอบตอนนี้ ไม่เป็นไรครับ...โอกาสหน้า เราจะเชิญเธอมาอีกครั้งครับ...เพื่อตอบคำถามนี้คำถามเดียวเท่านั้น...วันนี้ขอบคุณและสวัสดีครับ คุณแพรวา มหาโชคตั้งศิริ”
เสียงตบมือเกรียวกราว ประสานเสียงเพลง interlude รายการ
แพรวาเดินลงจากเวทีในห้องส่งนี้ ท่ามกลางเสียงตบมือนั้น เธอเดินผ่านทีมงานทุกคน ตรงมาที่หรั่งที่ยืนยิ้มรอรับเธออยู่
“ถ้าพนันกัน ผมรวยแล้วละ”
แพรวาเอื้อมมือออกไปดึงมือหรั่งมากุมไว้แน่น
“ขอบใจมาก...ขอบใจมากนะนายหรั่ง”
รอบๆ ตัวของหรั่งและแพรวา เต็มไปด้วยทีมงานที่ยังคงวุ่นวายกับการถ่ายทำรายการต่อไป
ทว่า เขาและเธอ กลับยืนมองหน้ากัน ยิ้มกว้างให้กันอย่างเปิดเผยลึกซึ้ง
ส่วนที่ชุมชนจานเดี่ยวตอนกลางดึก เปลวเพลิงลุกโชนสูงจนโผล่พ้นแนวหลังคาบ้านเรือนขึ้นมาจากย่านใจกลางชุมชน พร้อมๆ กับยินเสียงชาวบ้านร้องตะโกนขึ้นเป็นทอดๆ
“ไฟไหม้...ไฟไหม้บ้านไอ้หรั่งโว้ย”
อ่านต่อตอนที่ 8