นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 16
หลังจากพรายพิฆาตหายสาบสูญไป เหล่าสาวกทั้งในและต่างประเทศก็ถูกกวาดล้างอย่างหนัก จนต้องหนีไปหลบซ่อนในที่ต่างๆ “น้ำตามัจจุราช” สารเคมีที่เป็นเสมือนขุมพลังขององค์กรได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น เพื่อยุติการเพิ่มจำนวนของมนุษย์กลายพันธุ์ แต่ก็มีข่าวเล็ดรอดมาว่า…ยังมีน้ำตามัจจุราชยูนิตสุดท้ายถูกเก็บไว้ในบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่าบริษัทของมิสเตอร์โทมัส หลิว ชายหนุ่มผู้ที่ใครๆร่ำลือว่าเป็น…นักสู้มหากาฬ
ฤทธิ์ ราวียืนครุ่นคิดอยู่ เขาทอดสายตาเหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้า
“โลกนี้ไม่เคยมีใครที่อยู่ค้ำฟ้า…นักสู้มหากาฬก็เช่นกัน”
ฤทธิ์ยกมือลูบหน้าไล่ความตึงเครียด
“ในที่สุดอวสานของผมก็มาถึง”
วันต่อมา...รถของฤทธิ์วิ่งมาบนท้องถนนสายเปลี่ยว เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ฤทธิ์กำลังขับรถมาอย่างรวดเร็ว เหมือนจะใช้มันเป็นเครื่องระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่
บริษัทบลูฟินิกซ์...ยามหลีกทางให้ อัศวินสวมแว่นตา ท่าทางเป็นคนตรง สุภาพ ปราศจากเล่ห์เหลี่ยมก้าวออกมา อัศวินจัดเครื่องแต่งตัวขยับปมเนคไทให้เข้าที่เขาเพิ่งเริ่มงาน ฤทธิ์ขับรถมาจอด ยามรีบเข้ามาเปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อม แต่ทันทีที่เขาลงจากรถก็มีนักข่าวสาวคนหนึ่งปราดเข้ามาพร้อมเครื่องบันทึกเสียง
“คุณโทมัสคะ ดิฉันมาจากหนังสือพิมพ์ซุปเปอร์เดลี่ค่ะ อยากจะขอความเห็นจากคุณเรื่องน้ำตามัจจุราช”
“แจ้งเรื่องไว้ที่เลขาผมละกันครับ เดี๋ยวเธอจะจัดคิวให้ทีหลัง”
ฤทธิ์จะเดินหนี
“คุณโทมัสคะ...ทำแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ”
ฤทธิ์หันมามองอย่างแปลกใจ
“คุณก็รู้ว่าสารเคมีนั่นชุบชีวิตคนได้ มันทำให้คนกลายเป็นอมตะ แต่คุณกลับฮุบมันเอาไว้ เพราะอยากโก่งราคา”
ฤทธิ์ชักไม่ค่อยพอใจ
“คุณนักข่าว บริษัทของผมไม่มีน้ำตามัจจุราช แต่ถึงมีผมก็ไม่ขาย”
“มีคนมากมายกำลังรอความช่วยเหลือจากคุณ”
“สารเคมีนั่นมันทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ มันไม่ได้ช่วยคน แต่จะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นสัตว์”
“คุณเป็นเทวดาหรือไง ถึงมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนคนอื่น คงอยากเป็นอมตะคนเดียวสิท่า”
ฤทธิ์ขี้เกียจมีปัญหาเขาหันหน้าเดินหนีไปที่ประตู นักข่าวจะตาม
“นี่คุณ”
อัศวินขยับมาขวาง
“ผมว่าพอเถอะครับคุณนักข่าว”
“แต่ฉันยังพูดไม่จบ”
“ผมเข้าใจครับว่าคุณต้องทำหน้าที่ของคุณ แต่ผมก็มีงานของผมเหมือนกัน”
อัศวินว่าก่อนจะขยับบัตรพนักงานที่ห้อยคออยู่ให้ดู เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยระดับหัวหน้างาน
“ผมเพิ่งเริ่มงานสัปดาห์แรก อย่าให้ผมต้องใช้กำลังเลยครับ” อัศวินยิ้ม
สีหน้าซื่อๆของอัศวินทำให้นักข่าอ่อนท่าทีลง แต่ก็ยังชะเง้อมองตามฤทธิ์ไปอย่างขัดใจ
ฤทธิ์เดินเข้ามาในบริษัท ยิ้มทักทายพนักงานทุกคนที่ยกมือไหว้หรือก้มศีรษะให้ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นลิซ่ายืนกอดอกรออยู่เซ็งๆ
“วันนี้เรามีนัดตรวจสุขภาพ”
ฤทธิ์คิดเหมือนเพิ่งจำได้
“ก็...มาแล้วนี่ไง”
“นัดไว้ตอนหกโมง”
ฤทธิ์ดูนาฬิกาข้อมือ
“ยังไม่ถึงหกโมงซะหน่อย เพิ่งบ่ายสามเท่านั้นเอง”
“ฉันหมายถึงหกโมงเช้า”
ฤทธิ์ลดนาฬิกาลงแล้วยักไหล่ให้ยิ้มๆเป็นเชิงแก้เก้อ อัศวินเดินเข้ามาถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยรึเปล่าครับคุณลิซ่า”
ฤทธิ์เหลือบมาเห็นหน้าอัศวินที่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร…ท่าทางเขาดูสุภาพจนดูเหมือนคนทำงานออฟฟิศมากกว่าบอดี้การ์ด ลิซ่าแนะนำ
“อัศวินเพิ่งมาใหม่ ลุงจอห์น ที่เคยฝึกงานให้ชาญเป็นคนรับรองเขา”
ฤทธิ์ยื่นมือให้
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
อัศวินจับมือ
“เช่นกันครับ เจ้านาย”
นักรบพรายพิฆาตสามคนปรากฏตัวขึ้นที่โกดังร้างแห่งหนึ่ง ด้วยความไวที่เหนือธรรมชาติ พวกมันเป็นมือพระกาฬและสวมหน้ากากเพื่ออำพรางโฉมหน้า ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากเงามืด มันคือบารอน หัวหน้าสาขาคนหนึ่งของพรายพิฆาต ซึ่งสวมหน้ากากอำพรางโฉมหน้าเช่นเดียวกัน
“ถึงพรายพิฆาตจะวางมือไปแล้วก็ตาม แต่อุดมการณ์และความแค้นยังคงอยู่ พวกเราจะต้องกอบกู้องค์กรขึ้นมาอีกครั้ง” บารอนชี้นิ้ว “จงไปที่บลูฟินิกซ์ฟาร์ม่า แล้วชิงน้ำตามัจุราชที่ซ่อนอยู่มาให้ได้”
บรรดาสมุนทั้งสามทำท่าคำนับก่อนจะหายจากไปอย่างรวดเร็วดุจปีศาจร้าย บารอนแผดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
เมธาอยู่ในห้องทำงานเซ็นรับทราบคำสั่ง แต่งตั้งณัฐชาลงในเอกสารก่อนจะส่งแฟ้มคืนให้ณัฐชา
“ยินดีด้วยนะผู้หมวดสำหรับตำแหน่งใหม่ เออไม่ใช่สิ ต้องเรียกผู้กองถึงจะถูก”
“ขอบคุณมากค่ะผู้กำกับ”
“ตอนนี้สารวัตรสิงหา กับจ่าไมตรีแล้วก็หมู่ปรีดาได้รับคำสั่งให้ไปช่วยงานคดีอื่น คดีพรายพิฆาตที่เหลืออยู่ ผู้กองคงรับมือไหวนะ”
“ไม่น่ามีปัญหาค่ะท่าน เพราะตอนนี้พวกพรายพิฆาตก็แทบไม่มีให้เห็นแล้ว ดิฉันคิดว่าคงจัดการได้ค่ะ”
“ดี...เรื่องลูกทีมไม่ต้องห่วงนะ ผมจะหาคนมาให้โดยเร็วที่สุด”
“ค่ะท่าน” ณัฐชายิ้มรับ
ฤทธิ์ถูกแสกนร่างกายโดยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างละเอียด ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งมาที่หน้าจอซึ่งลิซ่ากำลังรอผลอยู่ เธอค่อนข้างหนักใจกับสิ่งที่เห็น ฤทธิ์เหลือบเห็นสีหน้าของลิซ่าก็เริ่มสังหรณ์ใจ
ลิซ่ายืนใช้ความคิดขณะดักรอฤทธิ์อยู่ข้างนอกหน้าห้องแลป ฤทธิ์แต่งตัวเสร็จก็ตามออกมา
“ร้ายแรงแค่ไหน”
“ไวรัสในตัวคุณเริ่มดื้อยา มันกำลังพัฒนาตัวเองเพื่อสู้กับยาต้าน...ทางรอดทางเดียวก็คือต้องหาวิธีผลิตเซรุ่มมาฆ่ามันให้เร็ว”
“แล้วในระหว่างนี้ผมต้องทำยังไงบ้าง”
“ใช้ยาต้านไวรัสตัวเดิมไปก่อน แต่ต้องเพิ่มปริมาณเป็นสองเท่าต่อวัน มันสำคัญมากนะโทมัส พลังพิเศษของคุณตอนนี้เหลืออยู่แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าคุณลืมฉีดยาเมื่อไหร่ ฉันว่าคุณตายแน่”
ฤทธิ์อึ้งไป
ค่ำนั้น ฤทธิ์ยืนเหม่ออยู่ที่ดาดฟ้าบริษัทบลูฟินิกซ์ หัวใจนั้นจมอยู่กับความโศกเศร้าแต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โทมัส”
ฤทธิ์หันไปเห็นณัฐชายืนยิ้มจางๆอยู่ แค่นั้นความทุกข์ในใจของเขาก็ถูกลบไป
“คุณไม่โทรบอกผมก่อนว่าจะมา”
“ทำไมต้องโทรด้วยล่ะ แอบซ่อนกิ๊กไว้หรือไง”
ฤทธิ์ขำ
“ว่าไปโน่น”
“วันนี้ฉันเลื่อนตำแหน่ง ก็เลยอยากมาฉลองกับคุณ”
ณัฐชาอวดขวดแชมเปญที่ซื้อมา ฤทธิ์ยิ้มให้เธอแทนคำตอบ
ขวดเปล่าของแชมเปญยังแช่อยู่ในถังน้ำแข็ง ขณะที่ฤทธิ์กอดประคองณัฐชาอยู่บนเตียง และมองวิวของเมืองหลวงยามราตรีอย่างมีความสุข
“คุณว่าฉันลาออกจากตำรวจดีมั้ย”
“พูดเป็นเล่น”
“ฉันพูดจริงๆนะ จะให้เสี่ยงตายจนเกษียณมันคงไม่ไหวหรอก แล้วฉันเองก็…ก็…”
ฤทธิ์เห็นณัฐชาไม่กล้าพูด
“ก็อะไร”
“ก็อยากมีครอบครัวเหมือนผู้หญิงคนอื่นบ้างสิ แบบว่าแต่งงานมีลูกแล้วก็มีบ้านเล็กๆสักหลัง”
“ฮืม ก็เข้าทีนะ แล้วคุณคิดรึยังว่าจะแต่งกับใคร”
ณัฐชาหันมาถลึงตาดุใส่ก่อนจะลุกขึ้นมาหยิกมาทุบฤทธิ์
“ถามแบบนี้อยากตายเหรอนายโทมัส หา นี่แน่ะ...นี่แน่ะ”
“โอ้ยเดี๋ยวๆ กลัวแล้ว ผมยอมแล้วครับตำรวจ”
“เดี๋ยววิสามัญด้วยเล็บซะเลยนี่”
“โธ่ อย่าวิสามัญผมเลยครับ ผมยอมมอบตัวแล้ว เอาผมไปขังเถอะครับคุณตำรวจ”
“ไม่เอาหรอก เศรษฐีไฮโซอย่างนาย ฉันไม่รู้จะเอาไปขังที่ไหน”
ฤทธิ์พูดใกล้ๆหู
“ก็ที่หัวใจคุณตำรวจไงครับ”
“อือหือ ขนลุกเกรียว”
“ซึ้งใช่ป่ะ”
“จะอ้วก พูดออกมาได้ ไม่คุยด้วยแล้ว นอนดีกว่า”
ณัฐชาดึงผ้าห่มมาคลุมแล้วทิ้งตัวลงนอน ฤทธิ์สะกิด
“นี่เดี๋ยวสิณัฐชา ตกลงเรื่องแต่งงาน คุณพูดจริงรึเปล่า”
ณัฐชาหันมา และคิดหนัก
“ก็ลังเลอยู่เหมือนกัน ผู้หญิงที่เคยแต่ไล่จับคนร้ายแบบฉัน คุณคิดว่าจะเป็นแม่บ้านไหวเหรอ”
ฤทธิ์ยักไหล่ไม่รู้เหมือนกัน ณัฐชาคิดต่อไป
“แล้วที่สำคัญ…คุณเป็นนักสู้มหากาฬ คุณเป็นอมตะ ถึงอยู่ไปอีกสามสิบปีก็คงไม่แก่หรอกมั้ง แต่ฉันสิ ถึงตอนนั้นฉันคง…”
ฤทธิ์เห็นณัฐชาไม่สบายใจก็ประคองหน้าเธอ ให้หันมาก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากอย่างนุ่มนวล
“ไม่ว่าอีกนานแค่ไหน ผมก็จะรักคุณเหมือนวันนี้ นี่ต่างหากที่เป็นอมตะสำหรับเรา”
ณัฐชามองฤทธิ์อย่างตื้นตัน และกอดเขาไว้อย่างมีความสุข
ณัฐชานอนหลับไปแล้วขณะที่ฤทธิ์ยังคงครุ่นคิดอะไรอยู่ เขาตัดสินใจย่องไปจากเตียงแล้วทิ้งเธอเอาไว้ตามลำพัง
ทางเดินซึ่งมีเพียงแสงสลัว ฤทธิ์เดินอยู่ตามลำพังคล้ายดังเจ้าชายที่เดินท่องอยู่ในปราสาทร้าง เขากำลังไปหาคนๆหนึ่งที่น่าจะช่วยให้คำตอบกับเขาได้
ฤทธิ์เดินเข้ามาในห้องสมุดแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างเงียบเชียบ ภาพจำลองเสมือนจริงของมาดามหลิวปรากฏขึ้น
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง โทมัส”
“เช่นกันครับมาดาม”
“ไม่ต้องเรียกแบบนั้นก็ได้ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นแค่โปรแกรมจำลองความคิดของมาดามหลิว”
โปรแกรมความคิดของมาดามหลิวกวาดฝ่ามือไปเบื้องหน้า ที่มีภาพเมืองต่างๆทั่วทุกมุมโลก
“ในช่วงที่ฉันจำศีล ฉันพยายามค้นหาข้อมูลของพรายพิฆาตจากเน็ตเวิร์กตลอดเวลา ก็เลยรู้มาว่าสมาชิกที่เหลือของมันพยายามหาวิธีจัดการกับไวรัสอยู่เหมือนกัน”
“มีแนวโน้มว่าจะสำเร็จรึเปล่า”
โปรแกรมมาดามหลิววาดฝ่ามืออีกครั้ง ภาพข่าวไฟไหม้จากการระเบิดที่ต่างประเทศปรากฏขึ้น มีศพคนนอนไหม้เกรียม
“มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในห้องทดลอง ฉันรู้มาแค่นี้”
“แสดงว่าพวกมันล้มเหลวพอๆกับผม สุดท้ายก็ตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
“เธอมีแผนรึยังว่าจะทำยังไงต่อไป”
“ผมอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เผื่อว่าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นมา…จะได้ตายตาหลับ”
ยามเดินตรวจตรามาถึงบริเวณล็อบบี้โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีนักรบพรายพิฆาตสามคน ได้ปรากฏตัวขึ้น โดยใช้พลังพิเศษในการล่องหนและแฝงตัวไปกับผนังเหมือนนินจา พวกมันรอจนยามเดินผ่านไปแล้วจึงปรากฏตัวขึ้นและบุกไปที่ห้องแล็ป
ยามคนนึงกำลังยืนรักษาการณ์อยู่แต่แล้วมันก็ถูกฆ่าด้วยมีดดาบที่มองไม่เห็นเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วผนัง เมื่อร่างของยามนั้นล้มลงสิ้นใจ นักรบพรายพิฆาตทั้งสามจึงได้ปรากฏตัวขึ้นและมุ่งหน้าเข้าไปในห้องแล็ป...นักรบพรายพิฆาตทั้งสามต่างแยกย้ายกันมองหาที่เก็บน้ำตามัจจุราชจนเจอ
“น้ำตามัจจุราช”
นักรบพรายพิฆาตรีบตรงไปคว้ามันแต่พอหยิบออกมา ปุ่มสัญญาณเตือนภัยที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ก็กระเด้งขึ้นทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทันที
“เราติดกับแล้วรีบหนีเร็ว”
ณัฐชาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย แต่เมื่อมองไปข้างๆ กลับไม่เห็นฤทธิ์
“โทมัส เกิดอะไรขึ้น คุณอยู่ที่ไหน โทมัส”
ไม่มีเสียงตอบ ณัฐชาได้สติก็รีบคว้าปืนออกไปจากห้องทันที
ฤทธิ์ก็ผุดยืนขึ้นเพราะเสียงสัญญาณเตือนภัยเช่นกัน มาดามหลิวหลับตานิดหนึ่ง เช็กข้อมลูกจากคอมพิวเตอร์บริษัท
“มีผู้บุกรุกสามคน พวกมันมีพลังพิเศษ”
ฤทธิ์โกรธ
“พรายพิฆาต”
นักรบพรายพิฆาตทั้งสามออกมาจากห้องแลปแล้วจะหนีกลับไปทางเก่า แต่กลับเจอลิซ่ากับอัศวินและทีมยาม พร้อมอาวุธปืนครบมือยืนดักรออยู่ ลิซ่าออกคำสั่ง
“พวกแกหนีไม่พ้นหรอก วางอาวุธได้แล้ว”
นักรบพรายพิฆาตต่างตั้งท่าโชว์อาวุธในมืออย่างพร้อมสู้
“ไม่มีทาง น้ำตามัจจุราชต้องเป็นของเรา”
ลิซ่ายิ้มเย้ย
“มันเป็นของปลอม ถ้าแกอยากได้ก็เชิญ”
นักรบพรายพิฆาตมองหน้ากัน นักรบพรายพิฆาตคนหนึ่งมองน้ำตามัจจุราชในมือและปาทิ้งไปกับพื้น กลิ่นเฮลบลูบอยหอมชื่นใจ
“แกหลอกพวกเรา”
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
สามนักรบพรายพิฆาตเงื้อมีดดาบตรงเข้าหาพวกยามลุย
“ทุกคน ยิง”
อัศวินและทีมยามเปิดฉากยิงใส่นักรบพรายพิฆาตแต่สามนักรบกลับล่องหนไปต่อหน้า ก่อนจะโผล่มาฆ่าพวกยามทีละคน นักรบบางคนถูกยิงแต่กลับไม่ตาย มันรีบหายตัวไปทันที นักรบคนหนึ่งกระโจนโผล่มาจะเล่นงานลิซ่า แต่อัศวินรีบขวางไว้ก่อน
“คุณลิซ่า ระวัง”
อัศวินรีบยิงปืนใส่นักรบรายนั้นจนมันเซไป แต่กระสุนของเขาก็ไม่อาจหยุดมันได้ ณัฐชาเพิ่งมาเห็นเหตุการณ์เข้าก็ตกใจ เธอรีบช่วยยิงคนร้ายทันที
“พรายพิฆาต”
ศพยามคนหนึ่งล้มตายไปกับพื้น ขณะที่ฤทธิ์เพิ่งวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ และเห็นนักรบพรายคนหนึ่งจะเล่นงานณัฐชา
“ณัฐชาหลบ”
ณัฐชารีบหลบไป ขณะที่ฤทธิ์หยิบปืนของยามที่ตายขึ้นมากระหน่ำยิงใส่พวกนักรบพรายพิฆาต
“คุณโทมัส”
พวกนักรบพรายพิฆาตพอถูกฤทธิ์ยิงใส่ก็รีบหายตัวไปคนละทาง ฤทธิ์เพ่งมองพวกมันด้วยพลังพิเศษ แววตาของเขากลายเป็นสีเขียว สายตาฤทธิ์เห็นร่างของนักรบพรายพิฆาตทั้งสาม ดูโปร่งแสงเหมือนวิญญาณพวกมันเคลื่อนตัวแบบสลับฟันปลาอาศัยที่กำบังตำแหน่งต่างเพื่อเข้ามาเล่นงานเขา ฤทธิ์ใช้ปืนยิงนักรบคนแรกจนกระสุนหมด เมื่อมันตายลงเขาก็รีบฉวยดาบของมันมารับมือกับนักรบอีกสองคนอย่างรวดเร็ว การต่อสู้เป็นไปท่ามกลางความตื่นตะลึงของลิซ่า อัศวิน และยามที่เหลืออยู่
“คุณโทมัสทำแบบนี้ได้ยังไง หรือที่เขาลือว่า…”
ลิซ่ามองดุๆ
“ถ้าคิดจะทำงานที่นี่ต่อไป นายคงรู้นะว่าอะไรควรพูดและอะไรไม่ควรพูด”
อัศวินเงียบไป ฤทธิ์ใช้ดาบฆ่านักรบพรายพิฆาตอีกสองคนลงในที่สุดก่อนที่เขาจะหันมามองอัศวินและลิซ่า
อัศวินยืนอยู่ต่อหน้าฤทธิ์ที่มองเขาอย่างชื่นชม
“ต้องขอบใจนายมากนะอัศวิน ที่ช่วยณัฐชากับคนอื่นๆเอาไว้นายกล้าหาญมาก”
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับคุณโทมัส ว่าแต่…ที่นี่มีน้ำตามัจจุราชจริงๆเหรอครับ”
“นายสงสัยอะไร”
“ผมเคยได้ยินข่าวลือว่า น้ำตามัจจุราชแทบทั้งหมดถูกทำลาย ไปอย่างลึกลับ...โดยนักสู้มหากาฬ”
ฤทธิ์ยิ้มดูเชิง
“แล้วนายคิดว่ายังไง”
“ในฐานะหัวหน้าองครักษ์ ผมควรจะรู้ว่าน้ำตามัจจุราชถูกเก็บไว้ที่ไหน เพื่อจะได้ระวังอย่างเต็มที่”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง มีแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้ที่ซ่อนของมันแบบนี้คงปลอดภัยกว่า”
อัศวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ฤทธิ์ยืนขึ้นแล้วจับมือกับอิศวิน
“เอาล่ะยินดีด้วยนะอัศวิน นายผ่านโปรแล้ว ต่อไปนี้นายคือหัวหน้าองครักษ์ของฉัน”
“ขอบคุณครับเจ้านาย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลิซ่าโผล่หน้าเข้ามา
“คุณโทมัส ผู้กองณัฐชาจะกลับแล้วค่ะ”
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 16 (ต่อ)
พนักงานยามคนหนึ่ง ทำหน้าที่กดลิฟต์และพาณัฐชาลงไปส่งข้างล่าง ฤทธิ์รีบตามมา
“ณัฐชา”
ณัฐชาหันมา ฤทธิ์โบกมือหรือบุ้ยหน้าให้ยามไปที่อื่น
“งานยุ่งเหรอ ผมนึกว่าวันนี้คุณจะอยู่กับผมซะอีก”
“คุณมีหลายเรื่องต้องจัดการ ฉันไม่รบกวนดีกว่า”
ฤทธิ์ได้แต่จำใจพยักหน้า เขามีหลายเรื่องต้องทำจริงๆ ณัฐชามองฤทธิ์และลูบท้ายทอยเขาอย่างหวั่นใจ
“บางครั้งฉันก็เหนื่อยเหลือเกินโทมัส ฉันอยากมีชีวิตเหมือนคนปกติ อยากมีครอบครัวที่น่ารักเหมือนคนอื่น”
“ผมจะหาทางหยุดเรื่องนี้ เชื่อผมสิณัฐชา”
“ฉันรักคุณนะโทมัส แต่บางเรื่องมันก็เป็นไปไม่ได้พรายพิฆาต…มันจะตามล่าคุณไปชั่วชีวิต”
ฤทธิ์อึ้ง ณัฐชายิ้มให้เศร้าก่อนลงลิฟต์จากไป ฤทธิ์รู้สึกปวดร้าว
ฤทธิ์กลับมาที่ห้องสมุดอีกครั้ง ในเวลานั้นอัศวินกับลิซ่าไม่อยู่แล้ว ฤทธิ์นั่งลงคิดถึงหนทางที่จะหาความสงบสุขให้กับตนเอง เขากำลังจะตาย แถมยังโดนพรายพิฆาตจ้องจะเล่นงาน แล้วจะมีอนาคต…มีครอบครัวได้ยังไง ฤทธิ์พยายามเลิกคิดเรื่องเศร้าทำใจนิดนึง
“มาดาม”
โปรแกรมจำลองความคิดของมาดามหลิวปรากฏขึ้น
“โทมัส”
“ตรวจสอบพินัยกรรมของมาดามหลิวให้ที ผมอยากรู้ว่ามีคำสั่งเสียข้อไหนบ้าง ที่ผมยังไม่จัดการ”
“ทำไมถึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมา”
“เพราะว่าผม…ต้องทำพินัยกรรมแล้วเหมือนกัน”
โปรแกรมจำลองความคิดของมาดามหลิวนิ่งงันไป
ณัฐชามาทำงาน ขณะที่จ่าสมพรยืนคุยอยู่กับพลตำรวจคนหนึ่ง พลตำรวจชี้ให้จ่าสมพรมองมาที่เธอ จ่าสมพรนายตำรวจสูงวัย แต่งตัวสไตล์ภูธร แต่ยังมีเค้าแววความหล่อเข้มและดุดันแฝงอยู่ เดินเข้ามารายงานตัวกับณัฐชาด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง
“กระผมจ่าสมพร ขอรายงานตัวครับ”
ณัฐชาอึ้งไปนิดๆกับวัยของจ่า
“ลุง...เอ๊ยจ่า มีธุระอะไรกับฉันเหรอ”
“ท่านผู้กำกับมีคำสั่งให้ผม มาช่วยงานผู้กองครับ”
“หา ลุง...เอ้ยจ่าเนี่ยนะ จะช่วยฉันจับพรายพิฆาต”
“ครับผม” จ่าสมพรยิ้มรับอย่างมั่นใจ
ณัฐชาเข้ามาหาเมธาในห้องทำงาน เมธาพยายามอธิบาย
“เอาน่าผู้กอง คนของเรายิ่งมีน้อยๆอยู่ คนเนี้ยมือดีที่สุดเลยนะ เคยจับโจรมาเกือบครึ่งร้อย”
“ค่ะ...คิดว่าอายุก็คงประมาณนั้น”
“แค่ห้าสิบสอง ยังไม่แก่หรอก”
ณัฐชาตกใจ
“ห้าสิบสองเหรอคะ”
“แต่จ่าสมพร เขาเป็นคนตงฉินน่ะคุณ เอาเป็นว่าคุณเชื่อใจเขาได้ละกัน”
ณัฐชาค่อนข้างหนักใจ
ท่ามกลางตำรวจที่เดินสัญจรไปมา จ่าสมพรนั่งรออยู่ที่ม้านั่งตามลำพังก่อนจะหยิบล็อคเก็ตที่ห้อยคอออกมาเปิดดูรูปถ่ายข้างใน มันเป็นรูปจ่าสมพรที่ถ่ายกับเมียและลูกสาวที่เพิ่งรับปริญญา จ่าสมพรปิดฝาล็อคเก็ต แล้วมองไปด้วยความแค้น
“ไอ้พรายพิฆาต เราได้เจอกันแน่”
ค่ำนั้น โปรแกรมจำลองความคิดมาดามหลิวกำลังเอื้อมมือไปด้านข้าง แล้วลูบลงจนปรากฏเป็นภาพจำลองของธิชา ฤทธิ์ ลิซ่า และอัศวินมองดูอย่างสนใจ
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าธิชา เธอคือน้องสาวของชาญ เคยก่อคดีทะเลาะวิวาทและมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ทำให้ชาญตัดขาดกับเธอเมื่อหลายปีก่อน”
ฤทธิ์เดินไปดูภาพของธิชาใกล้ๆ โปรแกรมจำลองมาดามหลิวอธิบายต่อ
“ตอนที่ชาญเสียชีวิต มาดามหลิวเคยพยายามติดต่อกับเธอ แต่ว่าไม่สำเร็จ”
“ตกลงเธอรู้รึยังว่าพี่ชายเสียชีวิต” ลิซ่าถาม
“มาดามหลิวไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่น บางทีเธออาจไม่รู้”
ฤทธิ์ถอนใจ
“ชาญตายมาเกือบสองเดือนแล้ว ที่ผ่านมาผมเองก็มัววุ่นกับเรื่องพรายพิฆาต จนลืมคิดถึงเรื่องนี้”
“ในพินัยกรรมของมาดามหลิว ระบุว่าต้องการให้ทางบลูฟินิกซ์เป็นผู้อุปการะเธอ”
“ถ้างั้นผมจะตามหาเธอเองครับ” อัศวินอาสา
“ไม่ ผมไปเองดีกว่า ผมตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเอาอัฐิของชาญกลับบ้าน” ฤทธิ์ขัดขึ้น
“แต่มันอันตรายมากนะ” ลิซ่าแย้ง
“ชาญคือเพื่อนรักของผม ดังนั้นธิชาก็คือน้องสาวของผม”
คำพูดของฤทธิ์ ทำให้อัศวินมองหน้าเขา…เงียบงัน…จะว่าประทับใจหรือยังไงก็ยากจะคาดเดา
ฤทธิ์ขับมอเตอร์ไซด์มีสัมภาระผูกท้ายเอาไว้ออกเดินทางผ่านสถานที่ต่างๆในถนนต่างจังหวัดไปจากเช้าจรดเย็น จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า...ฤทธิ์ก่อกองไฟแล้วกางเต๊นท์ค้างแรมกลางป่า เขาจิบกาแฟที่ต้มไว้พลางจับจ้องที่กองไฟอย่างใช้ความคิด สักครู่ก็หันไปที่เป้สัมภาระและหยิบเอาโกศใส่อัฐิของชาญออกมาดู ฤทธิ์เอาโกศวางลงบนก้อนหินข้างๆ เขามองแล้วยิ้มเศร้าๆ
“เห็นนายชอบบ่นเสมอ ว่าอยากหยุดงานแล้วไปเที่ยวที่ไหนไกลๆแต่มาดามหลิวไม่ยอมให้นายทำแบบนั้น...ตอนนี้นายทำสำเร็จแล้ว ยินดีด้วยนะ”
ฤทธิ์ชูแก้วกาแฟให้โกศของชาญ
วันต่อมา...หมู่บ้านค่อนข้างเจริญแต่ผู้คนบางตาจนแทบจะเหมือนหมู่บ้านร้าง ได้ยินนกกาแผดร้องยิ่งทำให้บรรยากาศดูวังเวงมากขึ้น ฤทธิ์ขับมอเตอร์ไซด์มาจอดที่ปั้มน้ำมันก่อนจะลงจากรถและกวาดมองไปไม่เห็นมีเด็กปั๊มสักคน ฤทธิ์เดินมาที่หลังปั๊มน้ำมัน เห็นบริเวณอู่รถมีรถเก่าๆพังๆจอดอยู่กลายเป็นที่เพาะวัชพืชและรังของสัตว์เลื้อยคลาน ขณะเดียวกันนั้นเสียลุงแสงเจ้าของปั๊มดังขึ้น
“คุณ”
ฤทธิ์หันมาเห็นลุงเจ้าของปั๊มเป็นคนแก่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว
“ให้ช่วยอะไรรึเปล่า”
“ผมจะเติมน้ำมันครับ”
ลุงแสงมองฤทธิ์อย่างสำรวจนิดๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปที่ปั๊ม...ลุงแสงกำลังเติมน้ำมัน ฤทธิ์เดินมาถาม
“ลุงเป็นเจ้าของปั๊มเหรอ”
“แต่ก่อนเป็นแค่ลูกจ้าง แต่พอเจ้าของเขาตาย ลูกๆเขาก็ขายกิจการให้”
“แล้วตอนนี้ลูกเขาอยู่ที่ไหน”
“คนโตที่ชื่อชาญดูเหมือนจะไปทำงานเป็นยามอยู่ที่กรุงเทพ ส่วนคนเล็กที่ชื่อธิชา...ไม่รู้สิ ไม่เห็นนานแล้ว”
“ไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอลุง”
“หนูธิชาขายปั๊มนี่ให้ลุง แล้วแกก็ไปทำงานที่บาร์ผีเสื้อแถวโรงงานอยู่พักนึง หลังจากนั้นลุงก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย”
ลุงแสงมัวเหม่อจนทำน้ำมันหก...
“อุ้ยโทษทีนะ ลุงทำรถคุณเปื้อนหมด”
ลุงแสงล้วงผ้าขี้ริ้วที่เหน็บกระเป๋าหลังไว้ออกมาเช็ดให้ ทุกซอกทุกมุมที่น้ำมันไหลเปื้อนจนเจอปืนโผล่มาจากกระเป๋าสัมภาระ ลุงแสงชะงัก
“คุณเป็นตำรวจเหรอ”
ฤทธิ์ส่ายหน้ายิ้มๆ ลุงแสงมองฤทธิ์อย่างระแวงและไม่พูดอะไรอีก...ฤทธิ์ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไปจากปั๊ม ลุงแสงมองตามอย่างแคลงใจ
อู่หลังปั๊มน้ำมันบริเวณซากรถ...บนรถนั้นจะมีรูปถ่ายเหน็บไว้ที่กระจกหน้า เป็นรูปถ่ายของชาญที่ถ่ายกับธิชาและจอย สมัยที่ทั้งสามยังรักใคร่กันดี
ณัฐชาเดินอยู่ที่ทางเดินกองปราบ จ่าสมพรถือแฟ้มกระดาษบางๆตามมา
“ผู้กองครับ” จ่าสมพรส่งแฟ้มให้ “ได้ประวัติของคนร้ายที่บุกปล้นบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่ามาแล้วครับ
เช็กประวัติจากลายนิ้วมือแล้ว พวกมันเคยเป็นสาวกของพรายพิฆาต”
ณัฐชารับแฟ้มมาดู
“แล้วศพล่ะ ชัณสูตรรึยัง”
“ครับ แต่มีคำสั่งให้เผาทิ้งทันที เพราะผู้กำกับเมธากลัวว่าพวกมันจะกลายเป็นผีดิบ”
“ก็ดีสิ จะได้สอบปากคำซะเลย” ณัฐชาดูแฟ้มอีกนิดหนึ่งแล้วส่งคืน “สรุปว่าตอนนี้เราไม่มีเบาะแสอย่างอื่นแล้วเหรอจ่า”
“ก็พอมีครับ แต่ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์แค่ไหน”
“ณัฐชาสนใจ”
จ่าสมพรเปิดคอมพิวเตอร์ให้ณัฐชาดูไฟล์ภาพจากกล้องวงจรปิด บริเวณลานจอดรถของบลูฟินิกซ์ ในส่วนขนส่งสินค้า เห็นรถตู้คันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบบริเวณขนถ่ายสินค้า ก่อนที่สามคนร้ายจะกรูลงมาจากรถแล้วเข้าไปในอาคารอย่างรวดเร็ว จ่าสมพรกดปุ่มหยุดภาพค้างไว้แค่นั้น
“พวกมันไม่ได้เดินเข้ามา แต่มีรถมาส่ง”
“แสดงว่าต้องมีพวกมันลอยนวลอีกคนนึง”
“ซึ่งคนๆนั้นอาจมีเส้นสายอยู่ในบลูฟินิกซ์ ถึงรู้วิธีผ่านเข้าออก”
ณัฐชาคิดๆ
“ถ้าเจอรถเมื่อไหร่ ต้องเจอตัวมันแน่...ขอแรงฝ่ายจราจรเค้าหน่อยนะจ่า แกะรอยจาก cctv ดูซิว่ารถคันนี้มันไปที่ไหนมาบ้าง”
จ่าสมพรพยักหน้า ณัฐชามองไปที่รถของคนร้าย…ภาพเบลอเกินกว่าจะดูออกว่าคนขับรถเป็นใคร
ค่ำนั้น...หน้าบาร์ผีเสื้อเหมือนเป็นแหล่งพบปะของเหล่าอันธพาล มีนักเลงและหญิงสาวเวียนเข้าออกหนาตา ฤทธิ์ขับมอเตอร์ไซด์มาจอดที่นั่นแล้วกวาดตามองสำรวจลาดเลา ก่อนจะเดินเข้าไป พวกนักเลงที่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่มองตามเข้าไปอย่างสนใจที่เห็นคนแปลกถิ่น และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือดอน นักเลงขาใหญ่ของละแวกนั้น
ฤทธิ์เดินเข้ามาในบาร์ผีเสื้อ ภายในบาร์มีโต๊ะสนุ๊ก และบาร์เครื่องดื่ม จอย สาวบาร์หุ้นส่วนและพนักงานเสิร์ฟในบาร์กำลังจัดเครื่องดื่มให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นฤทธิ์โผล่มา
“ว่าไงคะรูปหล่อ รับอะไรดีคะ”
“ผมมาหาธิชา”
จอยชะงัก
“ธิชาลาออกไปตั้งนานแล้ว คุณมีธุระอะไร”
“ผมเป็นเพื่อนกับเขา เขาบอกให้ผมมาหาเขาที่นี่”
“อย่าฝอยน่า เป็นเพื่อนกันก็ต้องมีเบอร์โทรสิ ทำไมต้องมาแถวนี้ด้วย”
ฤทธิ์ทำใจดีสู้เสือ
“ก็เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว น้องเขาเคยให้เบอร์ไว้เหมือนกันแต่ผมทำหาย” ฤทธิ์ล้วงธนบัตรมาวางสองสามใบ “ถ้าเจอตัวล่ะก็ ผมจะจ่ายเพิ่มให้อีกสองเท่า”
“ก็อยากช่วยนะ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง คุณไปนั่งดื่มอะไรก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะลองถามคนอื่นดู”
ฤทธิ์พยักหน้าก่อนจะสังเกตว่านักเลงที่ยืนเอกเขนกพิงเคาน์เตอร์บาร์อยู่ข้างๆเขา กำลังจ้องตาเขม็ง ฤทธิ์ยิ้มให้หมอนั่นนิดหนึ่งก่อนจะปลีกตัวไปนั่งรอที่โต๊ะ จอยมองตามเขาไปอย่างกังวล
ฤทธิ์นั่งรอที่โต๊ะ เห็นนักเลงที่มองเขาตอนแรกเดินไปหาพวกที่โต๊ะสนุ๊ก และบอกข่าวบางอย่างแก่กัน ทำให้พวกที่โต๊ะสนุ๊กพากันมองมาที่เขา และมีคนหนึ่งปลีกตัวออกไปตามคนข้างนอก ระหว่างนั้นจอยก็เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เธอวางกระดาษรองแก้วไว้บนโต๊ะแล้วแอบเคาะเบาๆ ฤทธิ์สังเกตว่าบนกระดาษนั้นเขียนข้อความว่า รีบออกไป ฤทธิ์เงยหน้ามองจอยเห็นเธอรีบเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ทุกอย่างสายเกินไปแล้วเมื่อ ดอนขาใหญ่ในละแวกนั้นเดินนำสมุนมาหาฤทธิ์ที่โต๊ะ พวกที่โต๊ะสนุ๊กก็ทิ้งเกมส์เดินมาสมทบด้วย ทำให้โต๊ะของฤทธิ์ในเวลานั้นมีนักเลงล้อมอยู่เต็มไปหมด ดอนหย่อนตัวลงนั่ง
“หาธิชาเหรอ”
“โทษที ผมไม่รู้ว่าน้องเขามีเจ้าของ”
ดอนยิ้ม
“โอ้ยเปล่า ผมกับธิชาแค่เป็นเพื่อนกันเฉยๆ สงสัยคุณต่างหากที่เป็นแฟนของธิชา”
ฤทธิ์ยิ้ม รอดูเชิงอีกฝ่าย
“ถ้าอยากรู้เรื่องธิชาล่ะก็ ไปเจอผมที่หลังบาร์ ผมมีเรื่องจะบอก”
ฤทธิ์มองหน้าดอนและรู้ว่าตนเองเจอของแข็งเข้าแล้ว
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่ฤทธิ์จะออกเดินทาง เขากำลังจัดสัมภาระอยู่ในห้องนอน ลิซ่ายื่นปืนให้
“ฉันไม่ชอบใช้ปืน เธอก็รู้นี่”
“แต่ว่าตอนนี้คุณจำเป็นต้องมีเขี้ยวเล็บติดตัวเอาไว้ อย่าลืมสิว่าคุณไม่ได้เป็นอมตะร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเมื่อก่อน”
ฤทธิ์คิดสักพัก ก่อนจะรับมาตรวจตรา
“ถ้าไม่จำเป็น...ผมไม่ใช้มันแน่”
“อันนั้นแล้วแต่คุณ แต่อันนี้คุณห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”
ลิซ่าส่งกล่องใบหนึ่งให้ฤทธิ์ภายในบรรจุเข็มฉีดยาประมาณ 5-6 เข็ม
“ยาต้านไวรัส คุณต้องฉีดให้ตัวเองทุก 12 ชั่วโมง ก่อนที่อาการป่วยของคุณจะกำเริบ”
ดอนลุกขึ้นหลีกทางและผายมือเชิญฤทธิ์ออกไปที่ประตูด้านหลัง แต่พอฤทธิ์เดินจะผ่านไปมันก็เหลือบเห็นพวกกุญแจรถที่คล้องอยู่ตรงเอวจึงดึงออกไปอย่างรวดเร็ว ฤทธิ์หันขวับ ขณะที่ดอนแสยะยิ้มอย่างกวนประสาท ดอนชูพวงกุญแจ
“ไม่ต้องใช้แล้วเพื่อน วางไว้ตรงนี้ก็ได้”
ดอนวางพวงกุญแจของฤทธิ์ลงบนโต๊ะ จอยมองมันอย่างรู้ว่าดอนหมายถึงอะไร
ดอนเดินนำฤทธิ์ออกมาที่หลังบาร์โดยมีสมุนตามมาจำนวนหนี่ง หลังบาร์เป็นพื้นที่รกร้างมีข้าวของวางเกะกะน่าขนลุก ที่ดูสยองกว่านั้นคือมีลูกน้องของดอนอีกจำนวนหนึ่งเดินลัดมาจากด้านหน้าเพื่อมาสมทบ ดอนหันมาบอกกับฤทธิ์
“น้องธิชาเขาเอาเงินฉันไป แล้วรับปากว่าจะหาของมาให้แต่แล้วก็...หายแวบ”
“แล้วไง”
“นายต้องจ่ายแทนเด็กของนาย”
“ฉันไม่ได้สนิทกับธิชาขนาดนั้น”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ยังไงก็ต้องจ่าย” ดอนหาเรื่องเต็มที่
ฤทธิ์มองหน้า...ดอนพยักหน้าเข้าใจ
“ถ้างั้นก็...ปาร์ตี้ว่ะ”
สมุนของดอนกรูกันเข้ามาหาฤทธิ์ ที่ยังคงยืนเฉยอยู่ ฤทธิ์หันไปจัดการกับผู้บุกรุกหนึ่ง สอง สาม ดอนตะลึงไปเพราะภาพที่เห็น หนึ่งสองสามในสายตาเขามันเร็วมาก ฤทธิ์อัดสมุนดอนพับไปสามคนอย่างรวดเร็ว สมุนกระซิบดอน
“ไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดาแล้วลูกพี่”
“เดี๋ยวก็รู้” ดอนตะโกน “รุมโว้ย”
พวกนักเลงรุมเข้าหาฤทธิ์อีก ฤทธิ์ปักหลักชกต่อยกับคนเป็นขโยง
พวงกุญแจของฤทธิ์ยังวางอยู่ที่เดิม จอยเดินมามองมันและรวบรวมความกล้าคว้ามันมาถือไว้เหมือนกำลังตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง เธอมองไปทางหลังบาร์เพราะรู้ว่ากำลังมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่นั่น...ฤทธิ์สู้พลางหนีไปพลาง แต่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็โดนพวกดอนดักล้อมเอาไว้ทุกด้าน ดอนแสยะยิ้ม
“ฝีมือไม่เลวนี่หว่าไอ้น้องชาย อยากรู้เหมือนกันว่าเอ็งจะแน่สักแค่ไหน ดอนชักมีดออกมาแล้วบุกเข้าจู่โจมฤทธิ์อย่างแคล่วคล่อง ฤทธิ์ถูกมีดเฉี่ยวเข้าจนแผลเล็กๆที่คอ ทำให้พวกลูกน้องของดอนพากันเฮลั่น
“เสร็จข้าล่ะไอ้ลูกหมา เอ็งอย่าอยู่เลย”
ดอนควงมีดเข้าหา ฤทธิ์พลิกตัวหลบก่อนจะชักมีดพกของตัวเองออกมาจากซองที่ข้อเท้า ดอนไม่ทันระวังตัวเลยถูกฤทธิ์ปาดเข้าเป็นแผลที่หน้า
“ไอ้เลว มึงกรีดหน้ากู”
“ถ้าไม่ยอมเลิก พวกแกได้เจอหนักกว่านี้แน่”
ดอนมองไปที่สมุนทุกคนแล้วพยักหน้า ทั้งหมดชักอาวุธออกมา บ้างก็คว้าไม้คว้าเหล็กแถวนั้นมาทุนแรง ดอนสั่งการ
“ฆ่ามัน”
พวกสมุนกรูกันเข้าเล่นงาน ฤทธิ์หลบหลีกอาวุธของคู่ต่อสู้และใช้มีดปาดที่ข้อมือหรือที่หลังมือของมันเพื่อปลดอาวุธ พวกนักเลงเหล่านั้นไม่มีใครเข้าใกล้ฤทธิ์ได้เลย แต่ขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น ทุกคนมองไปเห็นใครบางคนสวมแจ็คเก็ตของฤทธิ์และหมวกกันน็อคกำลังนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์
“ขึ้นมา”
ฤทธิ์รีบปาดมีดเปิดทางก่อนจะวิ่งไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์
“จับมันเอาไว้”
พวกสมุนพยายามขวางทางรถมอเตอร์ไซด์ แต่จอยก็ขับรถฉวัดเฉวียนจนพวกมันต้องเปิดทาง จอยยกล้อรถมอเตอร์ไซด์และขี่พาฤทธิ์หนีหายไป พวกดอนกับสมุนได้แต่มองตามอย่างแค้นใจ
“โธ่เว้ย หนีไปจนได้”
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 16 (ต่อ)
บ้านจอยเป็นบ้านไม้สไตล์โรงนา ตั้งอยู่ในที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คน...จอยซึ่งยังสวมหมวกกันน็อคและแจ็กเก็ตของฤทธิ์ขับรถมาจอดที่มุมมืดข้างๆตัวบ้าน
“ขอบคุณ”
จอยถอดหมวกกันน็อค
“คุณบ้ารึเปล่า เดินเข้าไปถามหาธิชาที่นั่น รู้มั้ยพวกมันตามล่าธิชาอยู่”
ฤทธิ์ชะงักเมื่อเห็นเป็นจอย
“คุณ”
“ฉันเป็นเพื่อนของชาญ”
ฤทธิ์มองจอยอย่างแปลกใจ
จอยเปิดประตูแล้วนำฤทธิ์เข้ามาในห้องที่ค่อนข้างรก ตามประสาสาวโสดแถมเป็นสาวกลางคืนอีกต่างหาก เธอรินน้ำดื่ม
“นั่งสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้”
“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย”
“พูดเป็นเล่น แผลขนาดนี้ ฉันว่านายต้องเย็บซะด้วยซ้ำ”
เวลาผ่านไป...จอยเช็ดแผลใส่ยาให้ ในเวลานั้นเองที่ฤทธิ์มีโอกาสมองหน้าจอยและพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยเอาการ จอยมองแผลฤทธิ์
“ฉันควรถามรึเปล่า ว่าทำไมเลือดของคุณถึงเป็นสีแบบนี้”
ฤทธิ์หนักใจที่จะเล่า เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“ผมชื่อโทมัส แล้วคุณ...”
“จอย...ฉันกับชาญเราโตมาด้วยกัน...ธิชาก็เหมือนน้องสาวของฉัน”
“แล้วเธอหายไปไหน”
จอยเล่าเรื่องราวในอดีต สมัยที่ธิชายังอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน จอยกับธิชาเพิ่งซื้อมือถือมาใหม่ทั้งคู่ต่างไล่ถ่ายคลิปวีดิโอกันและกันอย่างสนุกสนาน
“ตั้งแต่ชาญไปทำงานกับมาดามหลิวที่กรุงเทพ ฉันก็กลายเป็นผู้ปกครองของธิชาไปโดยปริยาย ธิชาเคยเป็นเด็กดี จนกระทั่งเธอไปคบกับนายดอน”
“ใคร...” ฤทธิ์ถามจอยอย่างสงสัย
“นักเลงที่หาเรื่องคุณที่บาร์ เขาเป็นขาใหญ่แถวนี้ ยาเสพติดในละแวกนี้ เขาเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว...นายดอนบังคับให้ธิชาขายยาให้มัน แต่ธิชาไม่เต็มใจก็เลยเอาสินค้าของนายดอนไปทิ้งแล้วหนีไป”
“เธอบอกคุณงั้นเหรอ”
“ยาที่นายดอนขายไม่ใช่ยาบ้า ไม่ใช่เฮโรอีน แต่เป็นน้ำตาสวรรค์ที่เขาลือว่าเป็นของพรายพิฆาต ธิชาเลยไม่เอาด้วย...ฉันช่วยหาทางให้เธอหนีออกจากเมืองนี้ ตอนที่นายดอนตามล่าเธอ แต่แล้ว...เธอก็หายตัวไป”
“ฝีมือนายดอนรึเปล่า”
“ถ้าเขาฆ่าธิชา วันนี้เขาจะหาเรื่องคุณทำไม”
ฤทธิ์คิดตามแล้วนึกสงสัยเช่นกัน
จอยเปิดหน้าต่างห้องนอน แล้วปลีกตัวไปทำอย่างอื่น ฤทธิ์หิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินมาดูอย่างสังเกต
“บ้านคุณนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ครอบครัวคุณคงรวยสิท่า”
“เมื่อก่อนน่ะใช่ สมัยที่เมืองนี้ยังเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ไม่เป็นอีกแล้ว ที่จริงบ้านฉันเคยเป็นเกสต์เฮาส์มาก่อนนะ พอตอนหลังไม่มีลูกค้า มันก็เลยเป็นแบบที่เห็น”
ฤทธิ์กวาดตามองไปรอบๆห้องก่อนจะสะดุดตาเข้ากล้องโพราลอยด์ แบบเดียวกับที่ชาญเคยใช้
“กล้องแบบนี้ ผมเคยเห็นมาก่อน”
“ชาญเขาซื้อให้ฉัน”
ฤทธิ์หันมามองหน้าจอย
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้มาหาธิชา คุณไม่ได้เป็นแฟนธิชาแต่คุณเป็นเพื่อนของชาญ”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ครั้งสุดท้ายที่ชาญส่งข่าวมา เขาเคยพูดเรื่องของคุณ” จอยยิ้ม “ก็ไม่มากนักหรอก แต่เขาบอกว่าคุณเป็นคนพิเศษแล้วก็มีเพื่อนคนเดียวคือเขา”
ฤทธิ์อดยิ้มไม่ได้
“ฟังดูน่าสงสารนะ”
จอยยิ้มรับ
“จริงสิ แล้วตอนนี้ชาญเป็นยังไงบ้าง”
ฤทธิ์นิ่งงันไป
“เขาไม่ส่งข่าวมาหาฉันตั้งนานแล้ว โทรไปก็ไม่รับสาย เขาสบายดีรึเปล่า”
จอยเห็นฤทธิ์นิ่งไปก็สงสัย
“เกิดอะไรขึ้น”
ฤทธิ์พูดไม่ออก เขาคิดว่าควรบอกจอยยังไงดี ก่อนตัดสินใจเดินไปที่กระเป๋าสัมภาระและหยิบโกศของชาญออกมาวาง
“ผมเสียใจ”
จอยมองโกศนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา เธอนิ่งงันไปครู่ใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ฤทธิ์มองตามเธอไปด้วยความเป็นห่วง
จอยเดินลงบันไดมาอย่างหมดเรี่ยวแรง เธอทรุดตัวลงนั่งนิ่งก่อนที่น้ำตาจะเอ่อซึมแล้วร้องไห้ออกมา เสียงสะอื้นโหยหวนเจียนขาดใจ
“ชาญ...ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้...ชาญ”
ฤทธิ์นิ่งฟังเสียงร้องไห้ของจอยที่แว่วมาถึงข้างบนอย่างสลดใจ ก่อนจะเหลือบไปเห็นกล้องโพราลอยด์ที่วางอยู่จึงหยิบมาดู ทำให้ภาพถ่ายที่กล้องนั้นวางทับไว้ร่วงตกมาด้วย ฤทธิ์พลิกดูภาพถ่ายเหล่านั้นและพบว่าเป็นภาพที่จอยถ่ายคู่กับชาญอย่างสนิทสนม ทำให้ฤทธิ์พอเดาได้ว่าชาญกับจอยเคยมีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกัน
เช้าตรู่ของวันใหม่...โกดังร้างที่ บารอน เคยใช้เป็นที่ประชุม ณัฐชากับจ่าสมพรถือปืนย่องมา โดยอาศัยข้าวของที่วางเกะกะด้านนอกเป็นที่กำบัง
“ใช่ที่นี่เหรอจ่า”
“ฝ่ายจราจรให้ข้อมูลมาแบบนั้นครับ ภาพจากกล้อง cctv บอกว่ารถต้องสงสัยเลี้ยวผ่านมาแถวนี้ แล้วที่นี่ก็น่าสงสัยที่สุด”
“ฉันจะเข้าไปดูข้างใน จ่าคุ้มกันให้ด้วยนะ”
“ครับผม”
ณัฐชาผุดลุกไปจากที่กำบัง จ่าสมพรตามไป...ประตูทางเข้าล็อกแม่กุญแจเอาไว้ ณัฐชารีบเก็บปืนและหยิบเศษลวดมาสะเดาะกุญแจ โดยมีจ่าสมพรคอยดูต้นทาง ระวังหลังให้
จ่าสมพรกับณัฐชาช่วยกันเปิดประตูออกแล้วเดินเข้ามาในโกดังอย่างระแวดระวัง จ่าสมพรบอกเบาๆ
“ผู้กอง”
ณัฐชามองไปที่จ่าสมพรบุ้ยใบ้ให้ดูรถตู้ที่จอดหลบมุมอยู่ทางหนึ่ง เธอพยักหน้าให้เพื่อยืนยันว่ามาไม่ผิดที่แน่นอน เธอชักปืนออกมาอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อม จ่าสมพรย่องไปดูที่รถและมองผ่านกระจกไปนิดหนึ่งก่อนจะเปิดประตูดูภายใน แต่ไม่พบเบาะแสอะไร
“แยกกันหาหลักฐาน”
จ่าสมพรพยักหน้า บารอนที่แอบอยู่มองจ่าสมพรกับณัฐชาที่แยกกันไปคนละทาง...จ่าสมพรถือปืนย่องมาที่ห้องพักด้านหลังโกดังบรรยากาศค่อนข้างสกปรกน่ากลัว มีฟูกที่นอนสกปรกวางบนแท่นไม้กระดานเพื่อใช้เป็นการชั่วคราว สำหรับยามหรือพนักงานเฝ้าโกดัง ใกล้กันมีอ่างล้างมือและห้องน้ำ จ่าสมพรเอื้อมมือไปเปิดสวิทซ์ไฟ หลอดไฟรุ่นเก่าติดๆดับๆแถมมีเสียงหึ่งๆตลอดเวลา จ่าสมพรพยายามกวาดตามองหาหลักฐานไปรอบๆ แต่ทนรำคาญหลอดไฟไม่ไหว้เลยหันไปดู จังหวะนั้นเองที่หลอดไฟก็ระเบิดโพล๊ะเสียงดัง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ตกใจหมด”
จ่าสมพรทำท่าจะถอยกลับออกไป แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นลิปสติคใช้แล้วถูกวางอยู่ที่อ่างล้างมือ เขาหยิบลิปสติคนั้นมาดูอย่างสนใจ
ณัฐชาเดินสำรวจโกดังอยู่ แต่แล้วเธอก็รู้สึกว่ามีใครบางคนวิ่งผ่านวูบๆไปด้านหลัง
“จ่า…นั่นจ่ารึเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบ ณัฐชาขยับปืนอย่างระวัง เธอค่อยๆถอยห่างมุมมืดออกมาช้าๆ แต่แล้วบารอนก็ทิ้งตัวลงมาด้านหลังเธอ ณัฐชาหันไปเล็งปืนใส่มันก็ตะปบข้อมือเธอไว้อย่างรวดเร็วและใช้อีกมือตะปบคอหอยเธอผลักไปจนชิดผนัง เท้าของณัฐชาลอยจากพื้น
“ยังไม่ใช่เวลานี้ผู้กองณัฐชา ยังไม่ถึงคิวตายของคุณ”
“แก…แกเป็นใคร”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้ ฝากไปบอกนักสู้มหากาฬด้วยว่าอวสานของมันใกล้จะมาถึงแล้ว หนี้แค้นจะต้องถูกสะสาง”
ณัฐชาพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ไม่สำเร็จ ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบเห็นจ่าสมพรกำลังย่องมาดู พร้อมปืนในมือ
“เฮ้ย”
บารอนหันไปและถูกจ่าสมพรกระหน่ำยิงใส่จนเซ ครั้นพอจะยิงซ้ำบารอนก็สะบัดกลไกบางอย่างที่ข้อมือออกไปคล้ายๆมีดของนักสู้มหากาฬ ก่อนจะโหนตัวหนีไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว จ่าสมพรและณัฐชากระหน่ำยิงตามหลังแต่กลับไม่ถูกเป้าหมาย เมื่อควันปืนจางลงบารอนก็หายไปแล้ว
ฤทธิ์ยังหลับอยู่เขาฝันไปว่าเดินออกมานอกบ้านและได้ยินเสียงชิงช้า เมื่อมองไปก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าไกวชิงช้าเล่นอยู่ เขาเดินไปหา
“ธิชา นั่นเธอรึเปล่า”
เด็กสาวหยุดนิ่งแต่ไม่ยอมเงยหน้า ฤทธิ์ค่อยๆย่อตัวลงมอง ทันใดนั้นเด็กสาวคนนั้นก็เงยหน้าที่เน่าเฟะเหมือนซอมบี้ของเธอขึ้นแล้วแสยะเขี้ยวกัดใส่...ฤทธิ์สะดุ้งลืมตาโพลงขึ้นก่อนจะพบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียง เขาลุกขึ้นกวาดมองไปรอบๆ และเห็นโน๊ตลายมือของจอยแปะอยู่ที่ประตู
"ออกไปหาข่าว อาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะ ทานได้เลยไม่ต้องรอ"
ฤทธิ์คว้าปืนพกที่วางอยู่ติดตัวไป ตอนนี้เขาดูเหมือนจะต้องการเขี้ยวเล็บติดตัวแล้วจริงๆ
ลุงแสงกวาดพื้นอยู่ จอยขับมอเตอร์ไซด์ของตัวเองมาจอดในตะกร้ารถมีข้าวของนิดหน่อย
“อ้าวหนู มาแต่เช้าเลย”
“เมื่อวานนี้มีผู้ชายมาหาลุงรึเปล่า”
ลุงแสงพยักหน้า
“เขาบอกว่าจะมาตามหาหนูธิชา แต่ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร”
จอยเสียงสั่นเครือ
“ข่าวร้ายน่ะลุง เกี่ยวกับชาญ”
ลุงแสงฟังแล้วก็ใจหายวาบ
ณัฐชากับจ่าสมพรเพิ่งกลับมาถึงกองปราบ
“ให้คนไปหาหลักฐานที่โกดังนั่นด่วนจี๋เลยนะจ่า เผื่อจะมีเบาะแสอย่างอื่นของพวกมัน”
“ครับผู้กอง”
จ่าสมพรปลีกตัวไปอีกทาง ณัฐชามองตามไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเสียงตามปกติ ก่อนจะเห็นว่ามีสายโทรเข้าจากฤทธิ์หลายครั้งด้วยกัน
ฤทธิ์เดินสำรวจบริเวณแถวบ้านจอยที่มีทิวทัศน์ประมาณท้องทุ่งเหมาะแก่การเดินเที่ยว เพียงแต่ปัจจุบันรกร้างผู้คนไปแล้ว ระหว่างนั้นฤทธิ์ก็ได้ยินเสียงอะไรซวบซาบอยู่ในพงหญ้าก็รีบหันไป
“นั่นใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้น
ฤทธิ์เห็นแถวนั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ก็ชักปืนออกมาและค่อยๆย่องไปดู ลุ้นระทึกอยู่นานก่อนจะโผล่ไปถึงเห็นว่าหลังต้นไม้นั้นว่างเปล่า มีเพียงแค่กิ้งก่าคลานหลบไปในพงหญ้า แต่ขณะที่กำลังโล่งอกอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขากดรับ
“ฮัลโหล”
“โทษที ฉันเพิ่งมาถึงออฟฟิศ คุณโทรหาฉันเหรอ”
“ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านเกิดชาญ แต่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล คุณพอจะหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรมในพื้นที่ให้ผมได้รึเปล่า”
“ที่นั่นมีอะไรผิดปกติหรือไง”
“มีน้ำตามัจจุราชระบาดแถวนี้ แล้วก็...”
ทันใดนั้นมีเงาคนเดินผ่านหลังฤทธิ์ไปแวบๆ เขาตกใจหันไปดูแต่ไม่เห็นใคร ณัฐชาชะงักเห็นเขาเงียบไป
“โทมัส เกิดอะไรขึ้น คุณโอเครึเปล่า”
“ไม่มีอะไร ผมแค่หูแว่วน่ะ”
จอยกำลังจะกลับ ลุงแสงมาส่งที่รถมอเตอร์ไซด์
“ขอบใจมากนะลุง ถ้ามีข่าวอะไรก็ส่งบอกกันบ้างนะ”
“ขับรถระวังด้วยล่ะ”
ทันใดนั้นเองก็มีรถจี๊บคันนึงแล่นมาจอดขวางทาง ดอนกับสมุนพากันลงมาจากรถแล้วดึงตัวจอยมาข่มขู่
“พี่ดอน”
“เมื่อคืนแกใช่มั้ยที่ช่วยมัน”
“พี่พูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
ดอนคว้าคอ
“อย่าไก๋ ตอนนี้ไอ้หมอนั่นอยู่ที่บ้านเธอใช่รึเปล่าตกลงมันเป็นตำรวจ หรือเป็นแฟนนังธิชากันแน่”
“เขาเป็นเพื่อนของพี่ชายธิชา เขาไม่รู้อะไรด้วย พี่ปล่อยเขาไปเถอะ”
ลุงแสงเข้าไปขอร้องอีกคน
“ไอ้ดอน ข้าขอล่ะ อย่ามีเรื่องกันดีกว่า”
ดอนหันมาตวาด
“เอ็งอย่าสอดไอ้แก่”
“ผู้ชายคนนั้นแค่ผ่านมา เดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว ถ้าแกทำอะไรเขาล่ะก็เรื่องมันอาจจะถึงตำรวจก็ได้นะ”
ดอนลังเลหันมาขู่จอย
“ให้เวลามัน 24 ชั่วโมง รีบไสหัวไปจากที่นี่ไม่งั้นไม่รับรองความปลอดภัยโว้ย...เฮ้ยไปพวกเรา”
ดอนและพรรคพวกจากไป จอยได้แต่มองตามด้วยความเจ็บแค้น
กล่องใส่เข็มฉีดยาต้านไวรัสวางอยู่ ฤทธิ์ฉีดยาให้ตัวเองที่แขนอย่างคล่องแคล่ว เขาหลับตาลงพักตั้งสตินิดหนึ่งขณะที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“โทมัส คุณอยู่รึเปล่า”
ฤทธิ์แข็งใจ
“รอเดี๋ยว...เดี๋ยวผมออกไป”
ฤทธิ์กับจอยโต้เถียงกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในห้องรับแขก
“ไม่...ผมไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด จนกว่าจะเจอธิชา”
“คุณอย่าโง่ได้มั้ย ถ้าคุณอยู่ที่นี่ต่อไป ไอ้ดอนมันเอาชีวิตคุณแน่”
“ผมจะตามหาธิชาให้เจอ ต้องมีใครรู้บ้างสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ฤทธิ์มองหน้า “มีใครแจ้งตำรวจรึเปล่า”
“ขืนแจ้ง ไอ้ดอนเอาฉันตายแน่ แถมไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ธิชาซ่อนตัวอยู่ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“แต่คุณรู้”
จอยพยักหน้า
“เพราะถ้าธิชาปลอดภัย เธอต้องติดต่อหาฉัน”
“ผมอยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้น มันเริ่มจากตรงไหน”
“ธิชา...”
จอยหวนคิดถึงอดีต...จอยกำลังทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบเห็นธิชาเข้ามาในบาร์และเดินเข้าไปทักทายคลอเคลียกับดอน จอยไม่ค่อยสบายใจนักแต่ก็ไม่กล้าทักท้วง ดอนลูบไล้เรือนผมของธิชาอย่างสนิทสนม
“ตั้งแต่ชาญเข้าไปทำงานกับมาดามหลิว เขาก็มีเวลาให้ธิชาน้อยลง พอสองพี่น้องทะเลาะกัน ธิชาก็เลยหันไปคบกับพวกของนายดอน แต่มันกลับมอมเมาเธอจนตกเป็นทาสของน้ำตาสวรรค์”
ดอนส่งสินค้าจำนวนหนึ่งยัดใส่มือธิชา เด็กสาวมองดูน้ำตาสวรรค์ในมือและยิ้มให้ ในขณะที่ดอนยิ้มรับอย่างเจ้าเล่ห์
จอยผลักประตูออกมาจากบ้านอย่างตื่นตระหนก เธอเห็นจอยยืนกอดอกรออยู่ด้วยท่าทีหนาวสั่น สีหน้าผมเผ้าดูยุ่งเหยิงเหมือนวิ่งหนีอะไรมา
“ชีวิตของธิชาตกต่ำจนถึงขีดสุด ดอนบังคับให้เธอขายยาให้มัน แถมยังทำร้ายเธอ ธิชาไม่ยอมบอกเรื่องนี้ให้ชาญรู้ เธอขโมยเงินของดอนแล้ววางแผนจะหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ทุกอย่างมันฉุกละหุกมาก พวกนายดอนกำลังออกตามล่าธิชา มันเสี่ยงมากถ้าฉันจะพาธิชาหนีไปตามถนน ตอนนั้นฉันก็เลยคิดแผนๆนึงขึ้นมาได้”
ธิชากอดจอยแล้วร้องไห้
“พี่จอย พี่ต้องช่วยฉันนะ ไม่งั้นไอ้ดอนมันต้องฆ่าฉันแน่”
จอยมองแล้วคิดอย่างรีบเร่งก่อนจะตัดสินใจ
“ธิชา เธอฟังพี่นะ” จอยดึงธิชาให้มองไปทางนึง “เห็นเนินเขานั่นรึเปล่า ถ้าเดินข้ามไปเธอจะเจอถนนใหญ่อยู่อีกฟาก แถวนั้นมีร้านของฝาก เลยไปอีกก็จะเจอท่ารถ เธอต้องไปที่นั่น”
“แล้วพี่ล่ะ พี่จะให้ฉันไปคนเดียวเหรอ”
“ถ้าพี่หายตัวไป ดอนต้องรู้แน่ๆว่าพี่ช่วยเธอ ธิชา...พี่ทิ้งทุกอย่างไปไม่ได้ เธอต้องเข้าใจพี่นะ”
“ฉัน...ฉันกลัว...”
“เธอต้องทำได้ธิชา บนเขาลูกนั้นไม่มีอะไรหรอก เชื่อสิ”
ธิชามองจอยอย่างลังเล จอยเองก็ลังเลเช่นกัน
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 16 (ต่อ)
จอยเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ฤทธิ์ก่อนจะนั่งลงสนทนากันต่อ
“แล้วคุณบอกชาญเรื่องนี้รึเปล่า”
“คิดว่าตอนนั้นชาญคงไม่มีปัญหาอะไรสักอย่าง ก็เลยติดต่อไม่ได้”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นนานรึยัง”
“เกือบเดือน แต่กว่าฉันจะม่่นใจว่าธิชาหายตัวไป ก็เม่ อสองอาทิตย์ก่อน”ฤทธ์ ปลง “ตอนนั้นชาญไม่อยู่แล้ว”
คำว่าไม่อยู่ของฤทธิ์ทำให้จอยสลดอย่างเข้าใจ
“ฉันทำให้เขาผิดหวัง เขาอุตส่าห์ฝากจอยไว้กับฉัน แต่ฉัน...ฉัน...”
จอยทำท่าจะร้องไห้ ฤทธิ์รีบเตือนสติเธอ
“ทำใจดีๆไว้ บางทีธิชาอาจจะกบดานอยู่ก็ได้ ผมจะตามหาเธอเอง”
จอยมองฤทธิ์อย่างไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
ค่ำนั้น ดอนเพิ่งเข้ามาในบาร์เห็นพวกสมุนที่เข้ามาหาข่าวอยู่สองสามคนปลีกตัวเข้ามารายงาน
“นังจอยไม่มาทำงานสงสัยจะอยู่กับไอ้หมอนั่น”
สมุนอีกคนกังวล
“พี่แน่ใจรึเปล่าว่ามันไม่ใช่ตำรวจ ถ้าเกิดมันมาสืบเรื่องที่เราค้ายา มีหวังเข้าปิ้งกันหมดเลยนะพี่”
“ตกลงมันมาหานังเด็กธิชาจริงรึเปล่า เผลอๆนังนั่นอาจจะปากโป้งบอกให้มันมาที่นี่ก็ได้”
ดอนคิดๆ
“แล้วถ้ามันเป็นตำรวจจริงๆ พวกเอ็งจะให้ข้าทำยังไง”
“ก็เก็บมันซะเลยสิพี่ เก็บนังจอยไปด้วยพร้อมกัน รับรองไม่เหลือเบาะแสอีกแน่”
ดอนครุ่นคิดอย่างหนักใจ
ฤทธิ์มาส่งจอยที่ห้องนอน
“คุณพักผ่อนเถอะ คืนนี้ผมจะนอนข้างล่างเอง”
“จะดีเหรอ คุณบาดเจ็บอยู่นะ”
“ผมหายแล้ว”
“อย่าล้อเล่นน่ะ ก็แผลคุณ...”
ฤทธิ์ไม่รอให้จอยพูดจบ ดึงผ้าก๊อซที่ปิดแผลออก จอยอึ้งเมื่อพบว่ามันเหลือแค่รอยนูนๆแดงๆเท่านั้น
“หายจริงๆเหรอเนี่ย”
ฤทธิ์ยิ้ม
“แต่ก่อนหายเร็วกว่านี้อีก ราตรีสวัสดิ์”
ฤทธิ์ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินลงไป
“โทมัส”
ฤทธิ์หันมา
“ฉันดีใจนะที่คุณมาอยู่ที่นี่”
ฤทธิ์ยิ้มรับก่อนจะเดินจากไป จอยมองตามและรู้สึกอุ่นใจที่มีเขามาอยู่ใกล้ๆ
ถุงสัมภาระของฤทธิ์วางอยู่แถวโซฟา เขาเดินกลับลงมานั่งที่โซฟาก่อนจะเอนตัวลงนอนก่ายหน้าผากครุ่นคิดถึงวิธีที่จะตามหาธิชา
“ไม่ต้องห่วงนะชาญ ก่อนที่ผมจะตาย ผมต้องตามหาน้องสาวของคุณให้พบ”
ณัฐชาใช้คอมพิวเตอร์ค้นข้อมูลข่าวเก่าๆเกี่ยวกับอาชญากรรมในบ้านเกิดชาญ เจอพาดหัวข่าวประมาณ น้ำตาสวรรค์แพร่ระบาด เจอแหล่งพักยากลางอำเภอเมือง...คุมเข้มเยาวชนต่างจังหวัด หวั่นถูกดึงเป็นสาวกพรายพิฆาต...ยาผีดิบสยอง ชาวบ้านแห่ล่าซอมบี้กินคน...ณัฐชาลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับธิชา เห็นว่ามีแฟ้มประวัติคดีพอสมควร เธอส่ายหน้า
“เสพยา ทะเลาะวิวาท คดียาวเป็นหางว่าว ก็สังคมมันเป็นแบบนี้ไง น้องสาวของชาญถึงได้เสียคน”
ณัฐชามองรูปธิชาอย่างหนักใจ
นาฬิกาบอกเวลาตีห้ากว่าแล้ว จอยพลิกตัวกลับไปกลับมา อย่างกระสับกระส่ายเพราะนอนไม่หลับ เมื่อมองภาพถ่ายโพราลอยด์ที่เธอกับชาญถ่ายคู่กันก็ยิ่งรู้สึกวังเวงใจ สักครู่เธอก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วมองไปทางหนึ่ง
ฤทธิ์นอนอยู่ ได้ยินเสียงจอยเดินลงบันไดมาในความมืดสลัวมาหยุดยืนตรงโซฟา
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
จอยสั่นเครือสับสน
“ฉันแค่...ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันขออยู่ใกล้ๆคุณได้มั้ย”
ฤทธิ์นิ่งงันขณะที่จอยขยับลงกอดซบกับอกของเขา
“ฉันเคยมีชาญ ถึงเขาจะไม่รักฉัน แต่เขาก็เคียงข้างฉันมาตลอด แต่ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ฤทธิ์ลูบปลอบเธออย่างอ่อนโยน แต่ในระหว่างนั้นเองเขาก็เห็นเงาคนตะคุ่มอยู่นอกหน้าต่าง ท่าทางมีอาวุธในมือ
ดอนถือปืนย่องมาตรงหน้าประตู พวกสมุนขยับมาดักอีกทางพร้อมมีด
“พวกเอ็งบุกเข้าไป”
“พี่มีปืน พี่เข้าไปก่อนเถอะ”
สมุนคนอื่นพยักหน้าสนับสนุน
“ไอ้บ้าเอ๊ย...ไอ้ขี้ขลาด เข้าก่อนก็ได้วะ”
ดอนรอจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนจะยืนขึ้นแล้วถีบประตูบ้านเข้าไป แล้วเหนี่ยวไกยิงใส่โซฟาหลายนัด
“ทำไมมันเงียบจังวะ”
ลูกสมุนคนหนึ่งเปิดไฟ ดอนจึงพบว่าโซฟานั้นมีเพียงหมอนอิงกองอยู่ ดอนสั่ง...
“ไปดูให้ทั่ว”
สมุนดอนถือมีดผลักประตูห้องนอนเข้ามาและพบว่าว่างเปล่า...สมุนดอนผลักประตูครัวเข้ามาก็พบกับความว่างเปล่าเช่นกัน แต่เห็นประตูด้านหลังเปิดทิ้งไว้ มันเดินไปดูที่ประตูและเห็นความว่างเปล่านอกบ้าน...สองคนเดินกลับมา รายงานดอนที่ยืนรออยู่กับสมุนอีกคน
“ข้างบนไม่มีใครอยู่เลยพี่”
“ประตูด้านหลังเปิดทิ้งไว้พี่ดอน ท่าทางมันคงหนีไปแล้ว”
“เลวเอ๊ย ไวนักนะมึง”
ฤทธิ์สะพายเป้สัมภาระจูงจอยย่องมาด้านข้างของบ้าน และมองไปที่มอเตอร์ไซด์ซึ่งจอดอยู่
“ถ้าคุณสตาร์ทรถเมื่อไหร่มันต้องรู้ตัวแน่” จอยเตือน
“เราไม่มีทางเลือกอื่น”
ฤทธิ์จูงจอยออกไปจากที่ซ่อน แต่โชคร้ายจังหวะนั้นดอนกับสมุนก็ออกมาเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย...มันอยู่นั่น”
ฤทธิ์รีบบอกจอย
“ขึ้นรถเร็ว”
ฤทธิ์วิ่งไปสตาร์ทรถ จอยรีบซ้อนท้าย ขณะที่ดอนวิ่งนำสมุนออกมาพลางชักปืนยิงใส่ ฤทธิ์ออกรถหนีไปอย่างฉิวเฉียด
“โธ่เอ๊ย ไปเอารถมา เร็วเข้า...เร็ว”
พระอาทิตย์เริ่มพ้นขอบฟ้า แสงสว่างยังไม่มากนัก ฤทธิ์ขับมอเตอร์ไซด์หนีมา ก่อนจะเหลือบมองกระจกข้างเห็นรถจี๊ปของดอนขับตามมา จอยหันไปมอง
“พวกมันตามมาแล้ว”
ฤทธิ์พยายามเร่งเครื่องหนี ขณะที่ดอนก็ชักปืนยิงใส่ไม่ยั้ง จอยกรี๊ดลั่น ดอนหัวเราะร่า
“ฮ่า ๆ พวกเอ็งหนีข้าไม่พ้นหรอกโว้ย”
ฤทธิ์เห็นท่าไม่ดี ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในป่า
“มันเข้าป่าไปแล้วพี่”
“ตามไป”
แสงแดดตัดผ่านแนวต้นไม้ ฤทธิ์ขับมอเตอร์ไซด์พาจอยหนีมาโดยมีพวกดอนขับรถไล่ตามมาติดๆ ดอนเพิ่งเปลี่ยนกระสุนชุดใหม่ กระหน่ำยิงใส่ขณะที่ฤทธิ์ก็ขับรถฉวัดเฉวียนไปมาเพื่ออาศัยต้นไม้เป็นโล่ห์กำบัง ดอนหงุดหงิด
“ไอ้บ้านี่ไม่ธรรมดาแน่...เข้าไปใกล้ๆ หน่อย ข้าจะเด็ดหัวมัน”
สมุนของดอนเร่งเครื่องแรงขึ้น ดอนหันไปบอกสมุนที่นั่งด้านหลังรถจี๊ป
“เฮ้ย...เอาไรเฟิ่ลมา”
สมุนคว้ากระเป๋าไรเฟิ่ลสำหรับล่าสัตว์มาเปิด ก่อนจะต่อประกอบปืนให้อย่างรู้งานแล้วส่งให้ดอนรับไปลุกขึ้นยืนแล้วประทับปืนเล็งไปที่หัวของจอยกับฤทธิ์ คล้ายๆจะเลือกว่าจะยิงใครก่อน นิ้วของดอนกำลังเหนี่ยวไก รถจี๊ปแล่นทับท่อนไม้พอดีทำให้รถกระแทก จนดอนเผลอเหนี่ยวไกออกไป กระสุนแฉลบไปถูกบ่าของฤทธิ์จนเสียหลักทำให้รถมอเตอร์ไซด์ล้มลง สมุนดีใจ
“มันเสร็จเราแล้วพี่ดอน”
ดอนยิ้มพอใจ
“ให้มันได้ยังงี้สิวะ”
จอยรีบช่วยพยุงฤทธิ์ลุกขึ้น เขาคว้ากระเป๋าสัมภาระขึ้นมา
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“ผมยังไม่ไหว รีบไปต่อเถอะ”
ฤทธิ์กับจอยวิ่งหนีต่อไปในเขตป่าทึบ สักพักรถของดอนมาจอด ดอนถือปืนไรเฟิลลงมาจากรถและดูมอเตอร์ไซด์ของฤทธิ์ที่จอดคว่ำอยู่ ก่อนจะเหลือบเห็นกล่องใส่เข็มฉีดยาต้านไวรัสที่ฤทธิ์ทำหล่นไว้ ดอนเปิดดู
“ยาอะไรของมันวะ”
สมุนชี้ไป
“พี่ดอน มันอยู่ทางโน้น”
“กระจายกันออกไป ล้อมพวกมันเอาไว้”
จอยประคองฤทธิ์วิ่งหนีมา ดอนที่อยู่ด้านหลังวิ่งตามมาสักระยะ ก็หยุดเล็งปืนไรเฟิ่ลใส่แต่กระสุนก็พลาดเป้าหมาย
“ดวงแข็งเหลือเกินนะมึง”
พวกสมุนของดอนกระจายกำลังกันโอบล้อมมาด้านข้าง สมุนคนหนึ่งได้โอกาสก็ชักมีดออกมาและปาใส่ฤทธิ์กับจอยแต่มีดพลาดไปปักถูกต้นไม้
“โธ่เว้ย”
สมุนอีกคนเห็นแล้วเอาบ้าง
“ข้าเอง”
สมุนวิ่งไล่มาถึงด้านหลังของฤทธิ์ มันชักมีดแล้วปาออกไปสุดแรงเกิด มีดพุ่งหาเป้าหมาย ฤทธิ์หันมากระชากตัวจอยหลบแล้วคว้ามีดไว้หมับ ดอนและพวกทุกคนเห็นภาพนั้นกับตา และพากันชะงัก
“เฮ้ย”
ฤทธิ์ปามีดคืนใส่สมุนคนนั้น มีดปักคาอกเลือดพุ่งก่อนที่ร่างของมันจะล้มตึงไปกับพื้น ดอนแค้น
“ฆ่ามัน”
ดอนร้องพลางกระหน่ำยิงใส่ ฤทธิ์ดึงจอยหลบไปหลังกิ่งไม้ เขาทำใจนิดหนึ่งก่อนจะชักปืนออกมาและยิงสะกัดใส่พวกของดอน กระสุนโดนต้นไม้ใกล้ๆศีรษะของพวกมันแทนคำขู่ ทำให้พวกดอนต้องหลบกันจ้าละหวั่น ฤทธิ์ตะโกนก้อง
“ฟังฉันให้ดี ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าใคร เราไม่จำเป็นต่อสู้กัน”
“กูไม่สน มึงฆ่าลูกน้องกู มึงต้องตาย”
เสียงดอนสะท้อนก้องป่า ฤทธิ์มองศพสมุนของดอน และรู้ว่าการเจรจาคงต้องยุติลงแค่นั้น เขาตัดสินใจยิงเปิดทางอีกหลายนัดจนกระสุนหมด ก่อนจะพาจอยหนีไป ดอนมองตามด้วยความแค้นและทำท่าจะวิ่งตามไปแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเหล่าสมุนยังยืนช็อคมองศพเพื่อนอยู่
“ไปโว้ย”
พวกสมุนได้สติและวิ่งตามดอนไป
ฤทธิ์วิ่งพาจอยหนีมาและเจอเหวอยู่เบื้องหน้า
“เราต้องไปทางอื่น”
ฤทธิ์จะจูงจอยหนี แต่แล้วเขาก็มีอาการหน้ามืด
“คุณ...คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
นาฬิกาข้อมือฤทธิ์ตั้งเวลาปลุกเตือนเอาไว้เสียงปี๊บๆ ถี่ยิบเขาดูนาฬิกา
“ผมต้องฉีดยา”
ฤทธิ์ควานไปที่กระเป๋าสัมภาระและใจหายวาบเมื่อพบว่ามันว่างเปล่า
“สงสัยยาคุณคงหล่นตอนที่รถล้มแน่ๆ คุณพอทนไหวรึเปล่า”
ฤทธิ์พยายามข่มอาการและพยักหน้า ระหว่างนั้นก็เหลือบเห็นพวกดอนวิ่งตามมาลิบๆ
“ทางโน้นโว้ย มันจนมุมแล้ว”
พวกสมุนดักทางซ้ายขวา ฤทธิ์เหลือบมองไปและเห็นดงเถาว์วัลย์ที่เลื้อยพันต้นไม้อยู่ก็ชักมีดออกมาตัด และสาวออกมาจนเป็นเชือก ฤทธิ์รีบวิ่งไปตรงต้นไม้ที่เหวและเอาเถาวัลย์ผูกไว้ ก่อนจะหันมาคว้าตัวจอย
“จับผมไว้แน่นๆ”
“คุณอย่าบอกนะว่าจะลงไปข้างล่าง”
“คุณมีทางอื่นรึเปล่า”
จอยมองไปเห็นดอนกับพวกใกล้เข้ามา ทันใดนั้นฤทธิ์ก็ไม่รออะไรอีกเขาโรยตัวไปในเหวอย่างรวดเร็ว จอยหวีดร้องลั่นเพราะไม่ทันตั้งหลัก
“พี่ดอน มันลงเหวไปแล้ว” สมุนตะโกนบอก
“ตัดเชือก...รีบไปตัดเชือก”
ดอนกับพวกรีบวิ่งมา ขณะที่ฤทธิ์กับจอยโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว สมุนพอวิ่งมาถึงก็ชักมีดออกมาฟันเถาว์วัลย์จนขาด ร่างของฤทธิ์กับจอยเสียหลักกลิ้งไปกับเนินเหว จอยกรี๊ดลั่น ดอนเข้ามาถามสมุน
“เห็นตัวมั้ย”
“มองไม่เห็นอะไรเลยพี่ ข้างล่างมันทึบน่าดู”
“พี่ดอน เรากลับไปตั้งหลักก่อนดีมั้ยพี่”
ดอนมองหน้า แล้วกระชากคอสมุน
“พวกเราตายไปทั้งคน ถ้ายังเด็ดหัวมันไม่ได้ กูไม่กลับเด็ดขาด”
ดอนมองลงไปในเหวที่มีต้นไม้รกทึบแล้วตะโกน
“ได้ยินมั้ยนังจอย กูจะตามฆ่ามึงกับไอ้ผู้ชายคนนั้นให้ได้”
ลุงแสงกำลังทำงานอยู่ก็เห็นชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดข้างๆ
“ลุงรู้ข่าวไอ้ดอนรึยัง”
“มันทำไมอีกวะไอ้น้อย”
“เมื่อเช้ามีชาวบ้านเข้าไปหาของป่า แล้วเห็นมันไล่ยิงใครก็ไม่รู้ป่าแทบแตกเลยนะลุง”
ลุงแสงนึกหวั่น
ลุงแสงผลักประตูเข้ามาในบ้านจอยอย่างร้อนรน
“จอย อยู่รึเปล่า นี่ลุงเองนะ จอย” ลุงแสงคิดแล้วแค้น “ไอ้ดอน เอ็งกำแหงเกินไปแล้ว”
ลุงแสงกลับมาที่รถเก่าของตนเอง และหยิบปืนพกจากช่องเก็บมาตรวจดูกระสุนด้วยความแค้น จังหวะนั้นเองลุงแสงก็สังเกตเห็นรอยล้อรถจี๊ปของดอนที่มุ่งหน้าไปทางหนึ่งก็ชะเง้อมองไปอย่างสังหรณ์ใจ
ในล็อบบี้บริษัทบลูฟินิกซ์...พนักงานเดินกันขวักไขว่ ณัฐชาตรงเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่
“สวัสดีค่ะ ฉันมาขอพบคุณลิซ่า”
ณัฐชาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนั่งดื่มชาอยู่กับลิซ่า
“เมื่อวานเขาให้ฉันเช็กข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมในพื้นที่ๆเขาไป แต่พอฉันจะติดต่อกลับก็ไม่มีคนรับสาย”
“คุณก็เลยคิดว่าอาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น”
“ฉันรู้ว่าที่บลูฟินิกซ์มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าของตำรวจ บางทีมันอาจจะช่วยให้ติดตามเขาได้เร็วขึ้น”
“ก็คงงั้น”
ลิซ่าปลีกตัวไปยังคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน ณัฐชารีบลุกตามไปสมทบและเห็นลิซ่าเปิดโปรแกรมค้นหาผ่านดาวเทียม
“อย่าบอกนะว่าคุณใช้ดาวเทียม”
“ปัญหาเดิมๆทำให้ฉันเรียนรู้ว่าGPSไม่ปลอดภัยพอสำหรับ คนอย่างคุณโทมัส ตอนนี้ฉันก็เลยฝังอุปกรณ์ติดตามไว้ที่ตัวของเขา” ลิซ่าบุ้ยหน้า “นี่ไง”
ลิซ่าชี้ตำแหน่งบนภาพขยายผ่านดาวเทียม
“ดูเหมือนจะเป็นป่า”
“พื้นที่ไม่กว้างเท่าไหร่ เขาคงไม่ได้หลงป่าแน่”
ณัฐชาตัดสินใจ
“ขอบคุณ แล้วฉันจะติดต่อมา”
ณัฐชารีบผละไปเพื่อตามหาฤทธิ์ทันที ลิซ่ามองตามแล้วแอบส่ายหน้าให้กับความหุนหันของณัฐชาที่ไม่เคยเปลี่ยน
ดอนและสมุนเพิ่งปีนลงมาที่ก้นเหวได้สำเร็จ สมุนบางคนถึงกับเสียหลักล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะความลาดชัน
“ให้มันทะมัดทะแมงหน่อยสิวะ แค่นี้ทำเป็นเหยาะแหยะไปได้” ดอนหันไปมองสำรวจบริเวณนั้น “แล้วไอ้พวกนั้นมันเผ่นไปทางไหนแล้ววะ”
ทุกคนช่วยกันมองหา สมุนสะดุ้งตาเมื่อเห็นกิ่งไม้ที่หักอยู่ เมื่อไปสำรวจบริเวณนั้นก็พบรอยเท้า
“ทางนี้พี่ เดินคู่กันไปเลย”
“สงสัยต้องมีใครบาดเจ็บแน่”
พอได้ยินแบบนั้นดอนก็ยิ้มออกมาอย่างสะใจ
จบตอนที่ 16
อ่านต่อตอนที่ 17 เวลา 17.00น.