สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 9
ตกตอนบ่าย มีคนส่งดอกไม้ เดินถือดอกไม้ช่อใหญ่มากๆ ตรงเข้ามาในบริษัท M.S. พนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปต้อนรับ
“มีคนสั่งดอกไม้ให้คุณแพรวา มหาโชคตั้งศิริครับ” คนส่งดอกไม้บอก
“ส่งมาจากใครคะ”
“คุณตะวันฉาย พัวพงศ์ไพศาล ครับ”
พนักงานรับดอกไม้จากคนส่งฯ แล้วเดินเข้าบริษัทไป สยามยืนมองเหตุการณ์อยู่บริเวณนั้นพอดี
เวลาต่อมา เผ่าลาภหย่อนตัวลงนั่งในรถที่จอดรอรับอยู่หน้าบริษัท เขาพูดโทรศัพท์ไปด้วย
“ถ้าท่านเหนื่อย ก็ไม่เป็นไรนะครับ...บอกว่า ผมอยากจะขอพบ ท่านซักครู่เท่านั้นหละครับ...แล้วผมจะโทร.กลับไปใหม่นะครับ”
สยามเดินอ้อมมาลงนั่งประจำที่คนขับ…เผ่าลาภกดเลิกสายโทรศัพท์
“ท่านจะไปที่ทำการพรรค ก่อนรึเปล่าครับ”
“ไม่ละ ไปเจอเฮียเขียว แล้วก็กลับมาออฟฟิศเลย”
เผ่าลาภถอนใจแรงๆ…สยามรีบสังเกตอาการเจ้านาย
“คุณสุริยะกลับมาจากเกาหลีแล้วเหรอครับ”
“อือม...เมื่อเช้านี้...ไม่รู้ทำไม หมู่นี้จะเข้าพบแต่ละที ยากเหลือเกิน”
“ทำไมไม่ให้คุณหนูแพรวาช่วยล่ะครับ”
เผ่าลาภนึกตามและเห็นดีด้วย
ออกจากห้องรับรองของ Wedding center ผู้จัดการชายใจหญิงร้านเดินนำกัมปนาท แพรวา หรั่ง ธนู เดินลัดเลาะไปตามซอกหลืบในร้าน ชุดเจ้าสาวมากมาย เรียงรายอยู่ตามตู้ และราวแขวนสองข้างทาง
“เห็นมั้ยคะว่าเรามีชุดเจ้าสาวให้เลือกใช้มากมายแค่ไหน...ที่เห็นนี่แค่ไม่ถึงครึ่งนะคะ มีที่เช่าออกงานไป แล้วก็แบบดีไซน์ใหม่กำลังอยู่ระหว่างตัดเย็บอีกเยอะแยะ”
“แสดงว่าช่วงนี้ คนขยันแต่งงานกันเยอะสินะ” กัมปนาทว่า
“ใช่...ขยันกันอย่างนี้ ดีจัง”
ระหว่างที่ผู้จัดการพูด และเห็นว่าหรั่งเดินกระซิบอะไรบางอย่างกับแพรวาไปด้วย แพรวาเอ่ยขึ้น
“ชุดเยอะอย่างนี้ น่าจะให้อากัมปนาทออกแบบเครื่องประดับให้เข้ากับแต่ละชุดไปเลยนะคะ...เป็นดีไซน์เฉพาะของที่นี่เท่านั้น”
กัมปนาทรับลูก “ใช่...และจะให้ดี เราจะทำแบบให้สามารถสลับชิ้นงานบางอย่าง ให้กลายเป็นแบบใหม่ชุดใหม่ได้อีก...เพื่อให้ลูกค้าของที่นี่มีทางเลือกมากมายยิ่งขึ้น รับรองว่า จะไม่เหมือนใคร”
แพรวาเสริมอย่างสนุก “หรือจะให้น้องแพรส่งแบบเครื่องประดับของ M.S.ทั้งหมดมาให้พี่ดูก่อนดีมั้ยคะ...ว่าจะเลือกใช้ชุดไหนบ้าง เพราะอากัมปนาททำแบบสวยๆไว้เยอะเลย แต่ถ้าบางชุด สินค้าหมด หรือมีไม่พอ เราจะได้รีบสั่งออร์เดอร์ไปที่โรงงานซะแต่เนิ่นๆ...ดีมั้ยคะอา”
“ดีมากจ้ะหลานแพรวา” กัมปนาทหันมาทางผู้จัดการ “เซ็นสัญญากันเลยดีมั้ยฮะ ทั้งเรื่องงานอัญมณีและก็เรื่องบราเตอร์สื่อโฆษณา กับอัญมณีของเรา”
“แหม คุณภาพคับถ้วยจริงๆ นะจ๊ะ ทั้งคุณอาทั้งคุณหลาน...สวยอย่างนี้ เก่งอย่างนี้ มีหวัง M.S. JEWELRY ต้องเจริญรุ่งเรืองอีกยาวไกลแน่ ๆ...จริงมั้ยฮะ คุณธนู คุณหรั่ง”
สองคนอยู่ในรถแพรวานั่งอยู่ด้านหลังสบายๆ หรั่งขับรถตามหน้าที่
“สนุกจังเลย เวลาเห็นอาฮุยกับผู้จัดการร้านคุยกัน”
“เริ่มต้นด้วยบรรยากาศดีๆ แบบนี้ เจรจาอะไรก็สำเร็จทุกที”
“ฉันว่า ผู้จัดการเขาแอบชอบนายนะ” แพรวาเย้า
“เหรอครับ”
แพรวายิ้มขำ ยั่วใหญ่ “จริง...คุยๆอยู่ก็คอยแอบมองหน้านาย หรือไม่ก็ต้องคอยถาม "จริงมั้ยคุณหรั่ง" ทุกครั้งไป”
“เขาถามคุณธนูด้วยนะครับ” หรั่งท้วง
“นั่นของอาฮุย...เขาก็แค่ถาม ไม่กล้ายุ่งหรอก”
หรั่งฟัง ขำๆ ตามไปอย่างนั้นเอง
“แต่นี่นายหรั่ง...เมื่อไหร่นายจะมีชื่อจริงซะที”
“ก็ ผมชื่อ หรั่งไงครับ”
“ไม่ใช่สิ ชื่อจริงที่มันยาวกว่านี้ เพราะกว่านี้น่ะ”
“จำเป็นด้วยเหรอครับ”
“เวลาฉันแนะนำนายให้ใครๆ เขารู้จัก มันจะได้ฟังดูภูมิฐาน...ไม่งั้นฉันอายเขา”
“ชื่อ หรั่ง ไม่ภูมิฐานเหรอครับ”
แพรวาย้อน “นายว่า ภูมิฐานมั้ยล่ะ”
“ต้องชื่ออย่าง สุริยะ หรือ ตะวันฉาย อย่างนี้ใช่มั้ยครับถึงจะภูมิฐาน ถึงจะไม่อาย” หรั่งถามเสียงเรียบๆ
“นายไม่รู้อะไร ชื่อผู้ชาย ก็ทำให้ผู้หญิงประทับใจได้นะ”
“นามสกุลด้วยรึเปล่าครับ”
“ฉันไม่ได้จะให้นายเปลี่ยนนามสกุลจาก นาคำ ไปเป็นอย่างอื่นหรอกนะ...นามสกุลฉันเองก็ไม่ได้เพราะตรงไหน อ่านยากจะตาย...ยาวจนเพื่อนๆ รำคาญ”
“อีกไม่นาน คุณก็ได้เปลี่ยนนามสกุล” หรั่งว่า
“เดี๋ยวนี้ ผู้หญิงแต่งงานแล้วไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลมีเยอะแยะไป ผู้ชายมาใช้นามสกุลผู้หญิงยังมีเลย”
“ผู้หญิงกับผู้ชายมักจะมองอะไรต่างกัน”
“ผู้หญิงละเอียดอ่อนกว่า”
“ไม่แน่เสมอไปหรอกครับคุณแพรวา”
“จริง...อย่างเวลาผู้หญิงงอน ผู้ชายมักจะไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักง้อ...มารู้ตัวอีกทีก็เลิกกันซะแล้ว”
“แปลว่าเขารักไม่จริงมากกว่าครับ”
คำพูดนั้นสะกิดใจ จนแพรวาประหวัดถึงตะวันฉาย...เธอเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย
บ่ายนั้นเลขาสาวเดินนำแพรวาเข้ามาในห้องทำงาน...แพรวาดูมีทีท่าตื่นเต้น มีดอกไม้ช่อสวยช่อใหญ่วางอยู่กลางโต๊ะทำงานของเธอ...มันสวยเหลือเกิน และเป็นดอกไม้ที่เธอปลื้มโปรดอีกด้วย
“นี่ไงคะ ดอกไม้ช่อนี้หละค่ะ ส่งมาจากคุณตะวันฉาย”
แพรวายิ้มชื่นเมื่อเห็นดอกไม้สวย เธอเดินเข้าไปใกล้ช่อดอกไม้ เลขาเดินเลี่ยงออกไป สวนกับหรั่งที่เพิ่งเข้ามา แพรวาหยิบการ์ดที่ช่อดอกไม้ขึ้นมาอ่าน ราวกับมีเสียงตะวันฉายมาพูดข้างหู
“หลังจากใช้เวลาชั่วครู่ ผมก็พบแล้วว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหน ที่ผมควรจะมอบช่อดอกไม้ให้นอกจากน้องแพร...ขอโทษที่หายหน้าไป แต่ก็ไม่เคยไปไหนได้ไกล เพราะหัวใจ พี่ถอดฝากไว้ที่นี่ ถ้าเป็นไปได้ เราน่าจะได้เดินกินลม ชมพระจันทร์กันในเร็ววันนี้นะจ๊ะน้องแพร”
แพรวาสาวโลกสวยหันไปหาหรั่ง ชูการ์ดและดอกไม้ให้ดู
“เขารักฉันจริง...เขาง้อฉัน”
เผ่าลาภเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาหาลูกสาว
“คุณป๋า มีอะไรเหรอคะ”
“ป๋า มีเรื่องที่ต้องรบกวนหนูซักหน่อย”
“ค่ะ”
“เย็นนี้ว่างมั้ย...อรทัยให้งานอะไรเราทำรึเปล่า”
แพรวาส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
“งั้นไปบ้านคุณสุริยะด้วยกันกับป๋าหน่อย...มีอะไรรังเกียจรังงอนกับตะวันฉายเขาอีกรึเปล่า”
แพรวายิ้มหวาน ชูดอกไม้ให้ผู้เป็นบิดาดู
“หายหมดแล้วค่ะ...เดี๋ยวน้องแพรโทร.ไปบอกพี่ตะวันก่อนนะคะ”
ยามเย็นๆ ตะวันฉายเดินออกมาจากในตัวบ้าน ตรงมายังที่จอดรถ ขณะที่รถกรูเพิ่งเคลื่อนเข้ามาจอด เผ่าลาภก้าวออกมาจากรถ
“สวัสดีครับคุณอา” ตะวันฉายไหว้ทัก
“สวัสดีหลานชาย”
“คุณอาสบายดีนะครับ...ผมไม่มีโอกาสได้พบคุณอาซะนาน”
“ลูกสาวอาก็มาด้วย”
“ผมกำลังภาวนาเช่นนั้นเลยครับ” ตะวันฉายหยอดคำหวาน
แพรวาก้าวออกออกมาจากประตูรถอีกด้านหนึ่ง
ตะวันฉายเดินเข้าไปหา...ทั้งคู่ยิ้มให้กัน อย่างหวานชื่น
ตะวันฉายทักเสียงนุ่มได้อารมณ์ “หวัดดีจ้ะ น้องแพร”
“ขอบคุณพี่ตะวันมากค่ะ สำหรับดอกไม้และการ์ด”
“มันออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจพี่”
แพรวาหยิบดอกไม้ช่อใหม่ออกมาจากในรถ สวยเหลือเกิน
“และนี่ของพี่ตะวัน จากหัวใจน้องแพรเหมือนกันค่ะ”
หรั่งยังนั่งนิ่งๆ อยู่หลังพวงมาลัยรถ...เขาได้ยินทุกถ้อยคำ
“คุณพ่ออยู่มั้ยหลานชาย...อาว่าจะขอถือโอกาสเยี่ยมคุณพ่อซะหน่อย”
“เชิญเลยครับ...คุณพ่อเพิ่งกลับมาจากเกาหลี ตอนนี้อ่านหนังสืออยู่ในห้อง”
เผ่าลาภก้มลงไปหากระซิบบอกหรั่ง
“โทร.บอกคุณรำไพที ว่าวันนี้ฉันคงกลับค่ำ”
เผ่าลาภเดินเข้าไปในตัวบ้าน ตะวันฉายก้มมองตามสายตาเผ่าลาภ เห็นเป็นหรั่งเลยยิ้มกวน
“อ๋อ คนขับรถคนนี้เอง...น้องช่วยเลื่อนรถไปจอดทางโน้นนะ...ระหว่างรอก็เช็ดรถล้างรถไปพลางๆ ก็ได้...แต่อย่าใช้น้ำเปลืองนักล่ะ”
ตะวันฉายโอบไหล่แพรวาเดินหายไปในบ้าน หรั่งมีอารมณ์ขึ้นมา เห็นๆ
ต่อมา คนรับใช้บ้านตะวันฉายวางแก้วน้ำสีสวย และอาหารว่างหน้าตาดีลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ตะวันฉายนั่งเคียงข้างแพรวา
“น้องแพรรู้มั้ย ช่วงที่เราไม่ได้อยู่ใกล้กัน พี่ไปเจออะไรมาบ้าง”
“สาวงามจากหลายเชื้อชาติมั้ง”
“โธ่...พี่ต้องตามพ่อไปดูงานตั้งหลายที่ พี่เหนื่อยแสนเหนื่อย จะเอาเวลาไปหาสาวอื่นตอนไหน”
“ก็ตอนหายเหนื่อยไงคะ”
“แน่ะ ยั่วพี่อีกแล้ว...รู้มั้ยพี่หายเหนื่อยได้เพราะใคร...”
ตะวันฉายใช้สองมือวางบนไหล่แพรวา
“พี่มีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึงน้องแพร... พี่รู้สึกได้ว่า ดวงใจของน้องแพรนั้นอยู่กับพี่ในทุกๆที่ที่พี่ไป เช่นเดียวกับที่หัวใจของพี่ตะวันฉายก็อยู่กับน้องแพรเสมอ”
“น้องแพรไม่เชื่อหรอกค่ะ...แต่ก็ฟังดูดี”
ตะวันฉายดึงแพรวาเข้ามากอดแนบอก
หรั่งยืนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ไกลๆ หันมาเห็นภาพนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“พี่ตัดสินใจแล้วนะ พี่ไม่อยากเป็นนักการเมืองอย่างคุณพ่อ...พี่คิดว่า พี่เหมาะกับการเป็นนักธุรกิจมากกว่า...”
“ที่แอบไปเปิดบริษัทโฆษณาไม่บอกน้องแพร ใช่มั้ยล่ะ”
ฺ“ พี่ไม่ได้แอบ...ตอนแรกพี่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปรอดรึเปล่า ก็เลยไม่ได้บอกน้องแพร”
“ตอนนี้ไปรอด ร่ำรวยแล้วสิคะ ถึงได้มาคุยอวดน้องแพร”
“ใครว่า...ใกล้จะเจ๊งมากกว่า”
“อุ๊ย!! เขาห้ามพูดคำว่าเจ๊งนะคะพี่ตะวัน...เคาะเดี๋ยวนี้เลย”
ตะวันเคาะมือกับผิวไม้ใกล้ตัว
“วันนึงข้างหน้า พี่อาจจะขอรับงานจาก บริษัท MS.บ้าง น้องแพรจะว่ายังไง”
แพรวา ยิ้ม และพูดแหย่เล่นต่อไปอีก
“น้องแพรก็จะกดราคาให้น่าดูเลยน่ะสิคะ”
“โถอย่าแกล้งพี่นักเลยจ้ะ ขอให้พี่ได้เรียนรู้งานจาก MS. เถอะนะ พี่จะได้เติบโต และยังมีโอกาสใกล้ชิดน้องแพรมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย...นะ...แล้วพี่จะขอเข้าไปคุยอย่างเป็นทางการอีกทีนะจ๊ะ”
ตะวันฉายหอมแก้มแพรวาอย่างนุ่มนวล หรั่งเดินเลี่ยงไปจากภาพบาดตาบาดใจนี้
ที่ห้องรับแขกบ้านสุริยะ เผ่าลาภนั่งอยู่ในนั้น วางหนังสือนิตยสารลงบนโต๊ะ สูดลมหายใจยาวๆ เขานั่งรอสุริยะอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานพอสมควร
ในที่สุดสุริยะก็เดินเข้ามาจนได้ ต่างฝ่ายต่างยกมือไหว้กัน...ตามมารยาท
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ...รบกวนเวลานิดนึงนะครับ”
“ไม่เป็นไร...พอดีเมื่อกี้ติดให้สัมภาษณ์สดทางโทรศัพท์อยู่...”
สุริยะลงนั่งตรงข้ามเผ่าลาภ
“ที่จริงคุณมาก็ดีแล้ว...ผมมีเรื่องอยากจะคุย อยากจะเคลียร์กับคุณพอดี”
“ทางผมก็มีอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน”
“เอาเรื่องของผมก่อน มันสำคัญ มันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ เมื่อกี้เขาก็สัมภาษณ์ผมเรื่องนี้”
“เรื่องอะไรครับ” เผ่าลาภงง
“ก็เรื่องที่คุณไปยืนแจกเงินให้ชาวบ้านจานเดี่ยว ที่โดนไฟไหม้ไง คุณเองก็เป็นหนึ่งในกรรมการพรรค ก็ต้องถือเป็นหน้าเป็นตาของพรรค อยู่ๆคุณไปทำอย่างนั้น คนเขาคิดไปได้ต่างๆ นาๆ เลย แจกเงินซื้อเสียงล่วงหน้าบ้างละ อยู่เบื้องหลังการเผาไล่ที่บ้างละ เลี้ยงคนไว้ปลุกระดมเดินขบวนบ้างละ สรรหามาคิดกัน ล้วนแล้วแต่เสียชื่อพรรคทั้งนั้น”
เผ่าลาภงง “ผมไม่เคยคิดถึงขั้นนั้นเลยนะครับ”
“คุณเข้ามาเป็นนักการเมือง คุณก็ต้องหัดคิดเรื่องพวกนี้บ้าง จะทำอะไรซักอย่างหนึ่งต้องมองให้รอบด้าน มองไปถึงผลกระทบระยะใกล้และไกล...ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ คิดน่ะ...รู้จักคิดมั้ย... คิดให้มันเยอะๆ”
เผ่าลาภดูจ๋อย จืดลงไปถนัดตา
“เข้าใจครับ...เรื่องของผมบ้างนะครับ...คือ...”
หรั่งขัดจังหวะ เดินถือโทรศัพท์เข้ามาหาเผ่าลาภ
“ขอโทษครับ...คุณรำไพจะขอพูดกับท่านครับ”
หรั่งส่งโทรศัพท์มือถือให้เผ่าลาภ สถานการณ์ทำให้เผ่าลาภ เครียดและหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว
“มีอะไร เดี๋ยวค่อยกลับไปคุยที่บ้านได้มั้ย...เออ นะ โอ.เค.นะ”
เผ่าลาภคืนโทรศัพท์ให้ หรั่งรับแล้วเดินออกไป แต่ใจยังเป็นห่วง
“เรื่องของผม...คือ...”
สุริยะสวนออกมา “เรื่องขอประทานบัตร ที่ดินรอบภูเขา”
“ครับ”
สุริยะแสดงอาการหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ผสมท่าทางเหนื่อยหน่าย อย่างเห็นได้ชัด
“คุณก็รู้ว่ามันรีบร้อนไม่ได้...ยิ่งตอนนี้คุณไปทำเรื่องไว้อีก ถ้าเกิดคุณได้ที่ผืนนี้ไป นักข่าว
เขาไม่เขียนแซวใหญ่เหรอ ว่ายกที่ให้คนกันเอง เฮอะ...แล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นายทุนหัวหน้าสลัม นั่นไง...โอ้โฮ แล้วทีนี้พรรคจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เคยคิดบ้างรึเปล่า...ขอโทษนะที่วันนี้ต้องพูดแรงๆกับคุณ มันเก็บอัดอั้นไว้ในนี้นานแล้ว...” สุริยะชี้ไปที่หัวใจ “ถ้าผมไม่พูดซะวันนี้ วันหน้ามันอาจจะต้องพูดกันด้วยถ้อยคำที่แรงกว่านี้เยอะ”
เผ่าลาภอึ้ง พูดไม่ออก ที่ด้านหลัง หรั่งยืนมองอยู่ไกลๆ พลอยเครียดไปด้วย
ในเวลาต่อมารถเผ่าลาภที่หรั่งขับแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เผ่าลาภลงจากรถเดินเข้าบ้านช้าๆ แพรวาถือดอกไม้ลงมา ร่าเริงเป็นปกติ
ส้ม สาวใช้เดินเข้าไปรอรับ ด้วยทีท่าว่าจะช่วยถือของ แพรวาปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ฉันถือเอง...น้องแพรขึ้นห้องเลยนะคะคุณป๋า”
ทั้งคู่เดินเข้าบ้าน...หรั่งเคลื่อนรถไปไว้ยังโรงจอดรถ
เผ่าลาภอยู่ในห้องโถง ขยับตัวลงนั่งอย่างคนหมดแรง มีร่องรอยความผิดหวัง และอ่อนล้า ปรากฏให้เราเห็นในสีหน้า
หรั่งค่อยๆ เดินเข้ามา เผ่าลาภหันไปดู ด้วยท่าทีแปลกใจ
“ยังไม่กลับอีกเหรอ เรา”
“ผมรอให้แน่ใจว่า คุณเผ่าลาภจะไม่เรียกใช้ผมแล้ว”
“ถ้ายังไม่กลับ ก็นั่งลงก่อนสิ”
รำไพเดินเข้ามา พร้อมกับแก้วน้ำเย็นในมือ เธอวางน้ำลงตรงหน้าเผ่าลาภ และลอบสังเกตอาการสามีอย่างเงียบๆ
“เมื่อตอนบ่าย โทร.ไปหาผม...มีเรื่องอะไร?” เผ่าลาภถาม
“หมอเขาโทร.มา ให้คุณเข้าไปหาเขาพรุ่งนี้...ฉันก็เลยจะถามว่าคุณว่างรึเปล่า”
“คงเป็นข่าวร้ายละสิ”
“คุณอย่าคิดอย่างนั้นสิคะ หมอเขาอาจจะพบอะไรที่น่าสนใจ เลยอยากจะตรวจให้ละเอียด”
“กี่โมง”
“สิบโมงเช้าค่ะ”
“ได้...คุณไปนอนเถอะ ผมยังไม่อยากนอน ผมมีเพื่อนนั่งคุยแล้ว”
รำไพเดินออกไปแต่โดยดี
“เฮ้อ...คนเรา เวลาที่มันตกอับ อะไรๆก็มักจะดูแย่ไปหมดเลยนะ”
“ทำไมคุณถึงคิดว่าคุณกำลังตกอับล่ะครับ”
“ก็คนที่เราเคยคิดว่าเขาจะช่วยเราได้ กลับพึ่งพาไม่ได้ คนที่เคยคิดว่าจะไปด้วยกันได้ดี ก็เปลี่ยนไป ตำหนิเราซ้ำอีกต่างหาก สุขภาพที่เคยคิดว่าแข็งแรง ก็กลายเป็นย่ำแย่อย่างนี้ยังจะไม่เรียกว่าตกอับอีกเหรอ”
“แต่ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ย่อท้อ ผมจะใช้อุปสรรคเหล่านั้นเป็นแรงผลักดัน ให้ผมมีมานะที่จะต่อสู้ อย่างเช่นบ้านผมถูกไฟไหม้ ผมก็ไม่ยอมแพ้ แต่ผมจะสร้างบ้านใหม่ ชีวิตผมยังไม่ได้จบสิ้นไปพร้อมกับไฟที่มอดลง เกมชีวิตของผม กรรมการยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลา จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของลมหายใจ ถ้าเรายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ ก็เท่ากับเราเล่นไม่จบเกม...คนดูอาจจะโห่ไล่เอาได้”
เผ่าลาภค่อยๆ คลายความเครียดลง เห็นร่องรอยอมยิ้ม อยู่ในสีหน้าของชายสูงวัยนิดๆ
“อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับนาย นับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” เผ่าลาภว่า
“อย่างนั้นเหรอครับ” หรั่งพูดย้อนเป็นเชิงถาม
“เกมชีวิตของฉัน อาจจะจบลงด้วยความล้มเหลว...แต่ฉันมั่นใจว่าการเข้ามาของนาย คือการต่อเวลาให้ฉัน”
“ผมเป็น ซูเปอร์ ซับ งั้นเหรอครับ”
เผ่าลาภชอบใจ “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ จะว่างั้นก็ได้”
ทั้งสองฝ่ายต่างมีความสดใสร่าเริงขึ้นมาจนเห็นได้ชัด หรั่งเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ผมมีความลับจะบอกครับ...”
เผ่าลาภฉงน “หือ”
“เราไม่ได้เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกหรอกนะครับ”
“ยังไงนะ”
หรั่งรวบรวม และเรียบเรียงความในใจที่อัดแน่นไว้ เขาค่อยๆ คลี่มันออกมาเป็นคำพูด ทีละนิด
“สิบเจ็ดปีที่แล้ว มีเด็กชายคนหนึ่ง เติบโตอยู่ในกองคาราวานก่อสร้าง แค้มป์ของพวกเขาตั้งอยู่ข้างบ้านเศรษฐีคนหนึ่ง เขามีชื่อว่า...”
เหตุการณ์ในอดีตเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว พร่างพรูออกมา เริ่มที่หน้าบ้านเศรษฐี ริมทะเล เด็กหญิงแพรวาฟันหลอในชุดฟูฟ่องอ้าปากพูด แต่ฟังไม่ชัด
“เผ่าลาภ”
เด็กชายในชุดคล้ายอัศวิน ยืนประจันหน้าเด็กหญิงคนที่อยู่ในชุดฟูๆ นั้น
“ชื่ออะไรนะ เอาใหม่ซิ” เด็กชายหรั่งถาม
“ไม่เอา บอกครั้งเดียว เดี๋ยวเธอล้อชื่อพ่อเรา”
“พ่อเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอ”
เด็กหญิงแพรวาพยักหน้า “เออ”
“ดุ มั้ย”
“ไม่ดุ”
“พ่อชื่ออะไร”
“บอกไปแล้ว”
“บอกใหม่...บอกอีก”
“ไม่บอก”
มีเสียงพ่อของเด็กหญิงแพรวาตะโกนออกมาจากในบ้าน
“แพรวา เข้าบ้านได้แล้วลูก”
“เดี๋ยวค่ะ”
สักครู่ ชายวัยกลางคน หน้าละม้ายคล้ายเผ่าลาภในปัจจุบัน เข้ามายืนดูตรงรั้วบ้าน
“คุณป๋าให้เวลาอีกสิบนาทีเท่านั้นนะ...”
“ค่ะ”
“แล้วนั่นเล่นอยู่กับใครน่ะ”
“กับ...”
เด็กหญิงแพรวามองหน้าเด็กชาย เพื่อนแปลกหน้า เรียกไม่ถูก
“กับ ลูกครึ่งค่ะ”
เด็กชายหรั่งแย่งตุ๊กตาในมือเด็กหญิงแพรวาแล้วถอยหนี ออกมา มันเป็นตุ๊กตาแม่หมี มีลูกหมีตัวเล็กเกาะอยู่ที่ด้านหลัง
“เอาของเรามานะ”
“ไม่...ต้องบอกมาก่อนว่า พ่อชื่ออะไร...เร็ว”
“ชื่อเผ่าลาภ”
“อะไรนะ...ดังๆ”
เด็กหญิงแพรวาเสียงดัง “เผ่าลาภ”
“เผ่าลาภ เผ่าลาภ เผ่าลาภ” เด็กชายหรั่งล้อ
“เอาตุ๊กตามา...อย่าล้อชื่อพ่อเรา...”
เด็กหญิงแพรวาและเด็กชายหรั่งวิ่งเล่นแย่งของกันอย่างสนุกสนาน
หรั่งเล่าเรื่องราวในอดีตต่อ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เย็นวันนั้น นานเกินกว่าสิบห้านาที เจ้าของบ้านผู้ใจดีท่านก็ออกมาอุ้มลูกสาวเข้าบ้านไป พร้อมกับเอาขนมมาส่งให้เด็กชายคนนั้น...เป็นขนมที่เขากินเข้าไปตั้งสิบวันมันก็ยังไม่หมด”
เผ่าลาภมองหรั่งนิ่ง...ทั้งคู่นิ่งเงียบไปนาน มันเงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดิน
“เธอนั่นเองเหรอ”
“ครับ...ลุงช่างไม้ ในแค้มป์ก่อสร้างนั้น เก็บผมมาเลี้ยง ผมก็เลยมีนามสกุลว่า นาคำ มีบ้านเกิดอยู่ศรีสะเกษ...อยู่ตรงไหนผมยังไม่เคยไปเลย”
“นายเก่งมากนะ ที่มาจนถึงตรงนี้ได้”
“เห็นมั้ยครับ...ผมบอกแล้ว ถ้าเราไม่รู้สึกว่าเราล้ม เราตกอับ เราก็จะมีแรงวิ่งได้ตลอด”
“นายหรั่งเอ๊ย....ทั้งหมดที่นายเล่ามา มันทำให้ฉันรู้สึกดี มันทำให้ฉันกระชุ่มกระชวยจนนอนไม่หลับเลยหละ...ขอบใจนายมากนะที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”
เผ่าลาภหยิบกล่องคุ้กกี้ของรำไพที่วางอยู่ตรงนั้นส่งให้หรั่ง
“ฉันให้...ไม่ต้องเก็บไว้จนถึงสิบวันหรอกนะ”
“ขอบคุณครับ...ท่านอย่าเพิ่งเล่าให้คุณแพรวาฟังนะครับ เธอคงจำไม่ได้ แล้วก็...ผมอาย”
เผ่าลาภตบลงไปที่ไหล่ของหรั่ง พลางยิ้มให้อย่างเอื้อเอ็นดู
หรั่ง เดินถือขนมออกมาจากบ้านเผ่าลาภ ด้วยใบหน้าดูแจ่มใส เขารู้สึกสบายใจที่ได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่เก็บไว้ในใจมาเนิ่นนาน
ด้านเผ่าลาภ เอนตัวลงนอน เขาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ข้างๆ คือรำไพที่นอนหลับอยู่ในท่าสวย
เผ่าลาภ นอนลืมตาโพลง สายตาเขาทอดทะลุเพดานห้องออกไปไกล ยากที่เราจะคาดคะเนได้
“คุณ...ผมเจอเขาแล้วละ”
“ใครคะ”
“เด็กลูกครึ่งคนนั้นไง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง”
รำไพมองเผ่าลาภอย่างนึกไม่ถึงเช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ในอดีตที่ริมทะเลผุดขึ้นในความคิดสองคน
มันเป็นเวลายามเย็น เมื่อ 17 ปีที่แล้ว เผ่าลาภกับรำไพเห็นตุ๊กตาแม่หมีตัวนั้นถูกยื่นออกมา โดยเด็กชายหรั่ง เป็นคนยื่นตุ๊กตาให้เด็กหญิงแพรวา
“เอาไปเถอะ เราไม่อยากได้แล้ว”
“เราล้อเล่นน่ะ”
“แต่เรามีตุ๊กตาตัวอื่นเล่นอีกตั้งหลายตัว เธอเอาตัวนี้ไปเล่นก็ได้”
“งั้นเราขอแค่ตัวเล็กตัวนี้ก็พอ”
เด็กชายหรั่งดึงตุ๊กตาลูกหมีออกมา แล้วส่งแม่หมีไปให้เด็กหญิงแพรวา
ตุ๊กตาลูกหมีตัวเมื่อ 17 ปี มันอยู่ในมือของหรั่งที่ห้องในบ้านกลางทุ่งยามนี้ สภาพของมันทั้งเก่า กระด่าง กระดำ ไปตามอายุขัย ตุ๊กตาตัวนี้ รวมอยู่ในกล่องไม้เก่าๆ ของหรั่งนั่นเอง
หรั่งยืนมองตุ๊กตาลูกหมีตัวนี้นิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ วางมันรวมกับรูป และของอื่นๆ ของแพรวาเท่าที่เก็บเอาไว้ได้
ของเหล่านั้นรวมอยู่ในห่อผ้า เขาใส่มันไว้ในกล่องอีกที
หรั่งมองหาตำแหน่งที่ดีที่สุด เขาเลือกมันวางไว้ เหนือตู้ในห้องนอน
ขณะเดียวกัน ที่ผับใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร วงดนตรีเล่นสดบนเวที กำลังบรรเลงเพลงสนุกสนาน คึกครื้น นักเที่ยวทั้งหมดเท่าที่เห็น อยู่ในบรรยากาศของความสนุกสนานและเมามาย ตามสมควร
ที่บริเวณเค้าท์เตอร์บาร์ เห็นกัมปนาทกำลังเมาได้ที่โอบกอดธนู เต้นโยกย้ายไปมาอย่างมีความสุข
“เมื่อไหร่เธอจะยอมเต้นรำดีๆ กับฉันซะทีนะ ธนู”
“ผมเต้นไม่เป็นจริงๆ” ธนูว่า
“เธอไม่พยายามต่างหาก...เรื่องอื่นๆ ยากกว่าเต้นรำตั้งเยอะ เธอยังทำเพื่อฉันได้เลย”
“ผมก็พยายามอยู่...แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดนะ ฮิวอี้”
กัมปนาทยิ้มหวานใส่ธนู
“แค่รู้ว่าเธอพยายาม ฉันก็ดีใจแล้วหละ...รู้มั้ย ตั้งแต่มีเธอเนี่ยะ ไม่ว่าฉันจะทำอะไรจะติดต่อกับใคร มันก็ดูราบรื่น ง่ายดาย ลงตัวไปหมดทุกอย่าง...เธอเกิดมาเพื่อฉันจริงๆ นะธนู รู้มั้ย”
สาวใหญ่ รสสุคนธ์เดินเข้ามาในผับนี้ เธอมองไปรอบๆ สักพักจนมองเห็นกัมปนาท จึงตรงมาที่เค้าท์เตอร์บาร์ทันที
“ฮัลโหล...เมากันรึยังจ๊ะสาวๆ โทษทีพี่มาช้าไปหน่อย”
“ไม่หน่อยเลยนะฮะ...หนูรอพี่ จนจะปลิ้นแล้วฮ่ะ”
“แล้วเราจะคุยกันรู้เรื่องมั้ยคะนี่”
“รู้เรื่องสิฮะ...ระดับพี่รสพูดอะไร ก็รู้เรื่องอยู่แล้ว...ไม่งั้นหนูจะมอบหมายให้พี่เป็นผู้ควบคุมโปรเจ็คท์ Jewelry on the beach เหรอฮะ”
รสสุคนธ์เริ่มแผนทันที “ธนู เธอช่วยฟังดีๆด้วยอีกคนก็แล้วกันนะ...เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เกี่ยวกับงานนี้แหละ”
“ครับ”
“กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม และห้างสรรพสินค้าเห็นพ้องต้องกันว่า งานใหญ่ขนาดนี้ไม่ควรให้บริษัท MS. ผูกขาดเป็นผู้จัดแต่เพียงผู้เดียว...พวกเขาเรียกร้องขอให้เป็นมหกรรมที่จัดโดยภาครัฐ จะเหมาะสมกว่า”
กัมปนาทงง “เดี๋ยวก่อน...แปลว่าอะไรนะ พูดอีกทีซิ”
“แปลว่าทุกฝ่าย ขอถอนตัวจากโปรเจ็คท์นี้”
“อ้าว แล้วที่ติดต่อกับต่างชาติไปแล้ว ทำหนังสือเชิญไปแล้ว ลงทุนไปหลายส่วนแล้วทำไงบอกเลิกเขาเฉยๆ เหรอ”
“หน่วยงานของรัฐจะเข้ามาดีลงานนี้ต่อเอง ผ่านทาง สมาคมอะไรซักสมาคมนึงนี่แหละ”
กัมปนาทกรี๊ด
“ทำอย่างนี้ได้ไง...นี่มันหักหลังกันชัดๆ...ชุบมือเปิปนี่นา...งานนี้ฉันปั้นมากับมือ แย่งเอาไป
เฉยๆได้ไง...ฉันไม่ยอม ธนู ไม่ยอมนะธนู อย่ายอมนะ...”
ผสมอาการเมาได้ที่ กัมปนาทกรีดร้องสุดเสียง จนล้มลงไปนอนดิ้นที่พื้น
“เธอพา เจ้านายของเธอกลับไปก่อนเถอะ...ฟื้นเมื่อไหร่ ช่วยอธิบายให้เขาเข้าใจด้วยนะ”
รสสุคนธ์เดินเลี่ยงออกไป
ธนูพยายามแบกกัมปนาทออกไปจากผับ แต่กัมปนาทเหวี่ยงสะบัดชนคนและของกระจัดกระจายไปทั่ว พนักงานชายร่างใหญ่คนหนึ่งตรงเข้ามาหา
“ผมช่วยเองครับ”
“ขอบใจมาก...ช่วยพาไปรอข้างหน้าที...เดี๋ยวพี่ไปถอยรถมารับ”
พนักงานร่างใหญ่แบกกัมปนาทออกไปอย่างง่ายดาย ส่วนธนูเดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำชาย
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 9 (ต่อ)
ธนูอยู่ในห้องน้ำเขาเปิดก๊อกน้ำ คว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่ในห้องน้ำ ชุบน้ำจากก๊อก แล้วรีบวิ่งออกไป ธนูเดินชนกับสาวใหญ่ที่ยังสวยเซ็กซี่อีกหนึ่งคนตรงหน้าห้องน้ำนั้น สัมภาระของสาวสวยคนนั้นหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น
“ขอโทษครับ”
ธนูรีบนั่งลงช่วยเก็บข้าวของเหล่านั้นทันที
“พอดีผมรีบไปหน่อย ขอโทษจริงๆ...มีอะไรเสียหายบ้างรึเปล่าครับ”
“ยังไม่เห็นนะ...”
“ถ้ามีอะไรเสียหาย บอกได้เลยครับ ผมยินดีชดใช้”
“แล้วจะบอกยังไงล่ะ”
“เอ้อ...นี่ครับ นามบัตรผมครับ”
ธนูส่งนามบัตรให้ สาวสวยยิ้มหวาน
ธนูเพิ่งสังเกตเห็นหนังสือเกี่ยวกับการสอนเต้น ในมือของสาวสวยคนนั้น
“เป็นครูสอนเต้นรำเหรอครับ”
“อื่อฮื้อ...ถ้าสนใจก็เชิญนะจ๊ะ...นี่นามบัตรฉัน”
สาวสวยส่งนามบัตรให้ธนู แล้วทั้งคู่ก็แยกจากกันไป
ที่บริเวณลานจอดรถของผับนั้น
ดวงใจเดินเข้ามาตรงหน้ารสสุคนธ์ ทั้งสองยืนคุยกัน อยู่ในบริเวณลานจอดรถ
“เรียบร้อยมั้ย”
รสสุคนธ์ส่งซองเอกสารให้ดวงใจ
“ในส่วนของรส เรียบร้อยแล้วค่ะ นี่คือรายชื่อผู้ให้การสนับสนุน...ทีนี้ก็เหลือแต่รอคอนเน็คชั่นของพี่ดวงใจ จับมาชนกันได้ งานนี้ก็ดังระเบิด”
“เปอร์เซ็นต์ของเธอคงไม่น้อยสินะ ไหนจะกลุ่มโรงแรม ไหนจะกลุ่มการท่องเที่ยว”
“แต่คงสู้กลุ่มการเมืองของพี่ดวงใจไม่ได้หรอกมั้งคะ...เงินหนากว่ากันเยอะ” รสสุคนธ์เย้า
“งั้นเข้าไปดื่มฉลองกันหน่อยมั้ย ปล่อยแก่ซะวันนึง”
รสสุคนธ์สัพยอก “อุ๊ย รสยังไม่แก่นะคะ...แต่วันนี้ขอตัวค่ะ ต้องรีบกลับไปนับเงินที่บ้าน”
“พี่ก็พูดไปงั้นแหละ...พี่มันพ้นวัยแล้ว”
ดวงใจกำลังจะขยับเดินออก พลันสายตาหันไปเห็น อะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ดวงใจหรี่ตาดู เธอเห็นแก้มเดินจูงมือตองอยู่ตรงเข้ามาหน้าผับแห่งนี้
ส่วนเด็กทั้งสอง ตองดูหวาดๆ เกรงๆ นิดๆ
“ถ้าเขาขอตรวจบัตร เราจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่ต้องทำอะไร ทำหน้านิ่งๆ ไว้...แก้มจัดการเอง”
“ตองว่า เราไปนั่งกินไอติมร้านเดิมของเราก็ได้นี่นา” ตองบ่ายเบี่ยง
“โธ่จบ ม.6 ทั้งที มันต้องพิเศษหน่อยดี้” แก้มบิ้วท์
ทั้งสองเดินไปถึงหน้าประตูเข้าผับ เจอรปภ.ร่างใหญ่หน้าตาดุดันยืนขวางหน้าสองเธอไว้ พร้อมแบมือออกมาข้างหน้า
“ขอดูบัตรหน่อย”
“ไม่ได้เอามา” แก้มบอกอย่างเป็นงาน
“งั้นก็เข้าไม่ได้”
“ทำไมล่ะ มีตังค์นะ” แก้มต่อรอง
“ไม่เกี่ยวกับตังค์ เกี่ยวกับกฎหมาย”
“โธ่ แค่นี้เอง ไม่มีใครรู้หรอก...นะ นะ”
“กลับบ้านไปเหอะ” รปภ.ไม่ยอม
“รู้ป่าว นี่ลูกใคร” แก้มวางท่า
“ไม่ได้อยากรู้” รปภ.บอก
“ไม่อยากรู้ก็หลบไป”
แก้มดึงแขนตองวิ่งเข้าไป แต่รปภ.กระชากแขนทั้งสองออกมา เกิดการฉุดกระชากกัน แรงมากขึ้น
ดวงใจก้าวเข้ามาตรงนั้น
“หยุดเดี๋ยวนี้...อย่าทำอะไรลูกฉันนะ”
ทุกคนหยุดการกระชากลากถู แก้มมองหน้าดวงใจนิ่ง ตาลุกโพลง ฉับพลัน เด็กสาวก็วิ่งหนีออกไป
“แก้ม...” ดวงใจร้องตาม
ทั้งดวงใจและตองรีบวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อนแก้ม...รอแม่ก่อน”
แก้มวิ่งไปจนสุดทางบริเวณซอยตัน ดวงใจวิ่งตามเข้ามาจนทัน แก้มหยุดยืนก้มหน้านิ่ง
“แก้ม ทำไมต้องหนีแม่ด้วย...แม่ทำอะไรผิด...รังเกียจแม่มากเลยเหรอแก้ม”
แก้มยังคงนิ่งเงียบ
“พูดกับแม่สิลูก...”
แก้มหันมาทางตอง “ตอง รอแป๊ปนึงนะ”
“โกรธแม่มากเลยเหรอ...แม่รู้ ว่าแม่ไม่ได้เป็นแม่อยากที่แก้มต้องการ แต่แก้มคือลูกที่แม่ต้องการเสมอนะ”
แก้มเหลือบตาจ้องหน้าแม่
“แน่ใจเหรอฮะ...”
“แน่ใจสิ”
“ระหว่างแก้ม กับ นักการเมืองพวกนั้น แม่จะเลือกใคร”
“แม่ก็ต้องเลือกแก้มสิ”
แก้มย้อน “แล้วแม่เคยเลือกอย่างที่พูดมั้ย”
ดวงใจนิ่งลงไปบ้าง
“ถ้าไม่มีแก้ม แม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้...นั่นแหละคือสิ่งที่แม่เลือก เหมือนที่แม่เลือกที่จะทิ้งพ่อไปไง”
แก้มขยับตัวจะเดินออก ดวงใจเรียกไว้อีกครั้ง
“แก้ม”
“ขอโทษฮะ เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว”
แก้มฉุดตองออกไปจากตรงนั้นทันที
ที่บ้านกลางทุ่งตอนเช้ามืด หยาดน้ำค้างยังคงเกาะอยู่ตามดอกไม้ใบหญ้าทั่วไปหมด โอ๋เดินนำลูกสามคนออกจากบ้าน เด็กๆ อยู่ในชุดนักเรียนเท่าที่มี
“ทำไมเราต้องออกเช้าขนาดนี้ล่ะแม่” คนหนึ่งบ่น
“ไม่เช้าแล้วจะไปทันได้ไง...บ้านไม่ได้ใกล้ๆโรงเรียนเหมือนเมื่อก่อนนะเว้ย...เร็ว”
ก้อยเดินเกาะแขนหรั่งออกมา
“ตอนนี้เรากำลังอยู่ตรงไหนของบ้านเหรอ” ก้อยถาม
“หน้าบ้านเลยละ...ข้างๆ มีสนาม...มาทางนี้มา หรั่งจะอธิบายให้ฟัง ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน”
หรั่งพาก้อยเดินตัดลงสนามไป
“ทางซ้ายของบ้านมีอ่างบัวใหญ่เลยนะ แต่ไม่มีบัว...วันหลังหรั่งจะหามาใส่...ทางขวามือมีต้นมะม่วง...ตรงไปข้างหน้าเป็นแนวรั้วสีขาว”
เสียงเท่ห์แทรกขึ้น “ส่วนข้างบนนี้ เป็นที่อยู่ของพวกเรา”
พวกเท่ห์ โบ้ และเช็ง ตื่นมาซ่อมซุ้มไม้ และหลังคากันอยู่บนหลังคา
“ไอ้เท่ห์ ไอ้โบ้ ไอ้เช็งน่ะ...มันส่งเสียงมาจากหลังคา”
“พี่เท่ห์ พี่เช็ง มาแล้วเหรอ” ก้อยตะโกนขึ้นไปข้างบน “ขึ้นไปทำอะไรกันอยู่บนนั้นน่ะ”
โบ้บอก “ซ่อมหลังคา”
เท่ห์ว่า “อยู่บนนี้ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตาเลยก้อยเอ๊ย”
“มีอะไรบ้าง”
“ไม่มีห่าอะไรซักอย่าง บ้านซักหลังก็มองไม่เห็น ลงเหอะ” เช็งบ่น
“ไอ้เช็งมันกลัวความสูง” เท่ห์บอก
“ก้อยได้กลิ่นดอกแก้วด้วย...หอมทั้งคืนเลยหรั่ง”
“ต้นมันอยู่ใต้หน้าต่างห้องก้อยไง...มาทางนี้”
หรั่งจูงก้อยเดินอ้อมไปอีกทาง
“หญ้านุ่มเท้าจังเลยนะหรั่ง”
“เราเคยวาดภาพบ้านในฝันกันไว้ยังไง บ้านหลังนี้เป็นอย่างนั้นเลยนะก้อย...มีสวนสวย มีสนามกว้าง ตอนเย็นเรานั่งกินข้าวกันชั้นล่าง ตรงข้างๆบ้านมีระเบียง ดูพระอาทิตย์ตกดินได้พอดี ตอนดึก เราก็มายืนกันตรงนี้ แหงนหน้าปั๊ป เราจะได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ที่นี่หรั่งว่า ดาวจะสุกสว่างเห็นชัดกว่าในเมืองเยอะเลย”
เท่ห์ตะโกนลงมา “แต่ต้องระวังดาวตกนะก้อย เพราะมันจะตกแรงอย่างนี้...”
พลางเท่ห์โยนค้อนลงมาจากหลังคา เพื่อนๆ บนหลังคาหัวเราะล้อเลียน
“เอ้า กูเก็บดาวให้แล้ว รับดาวให้ดีนะมึง”
หรั่งก้มเก็บฆ้อนขึ้นมา ทำท่าจะโยนขึ้นไปให้
ทุกคนบนหลังคาร้องว่า “อย่า”
เบิ้มเดินออกมาจากในบ้าน สีหน้าหงอยๆ
“เฮ้ย มีใครหิวบ้างมั้ยวะ”
ทุกคนว่า “หิว” พร้อมกัน
“เห็นมีข้าวเหนียวอยู่ข้างในบ้านแน่ะ” หรั่งบอก
“เหลือตั้งแต่เมื่อคืน” ก้อยว่า
“กับข้าวก็ไม่มี” เบิ้มบอก
“เดี๋ยวแม่คงซื้อเข้ามา” โบ้ตะโกนลงมา
“กูไปตลาดให้ดีกว่า” เท่ห์ว่า
เช็งบ่นตามเคย “แม่งอยู่โคตรไกล”
“ขอแบ่งจากเพื่อนบ้านก่อนได้มั้ย” ก้อยว่า
เช็งตะโกนลงมา “ก็บอกว่า เพื่อนบ้านไม่มี”
เวลาต่อมา แพรวาแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินลงมาจากชั้นบน เจอสยามที่กำลังเดินผ่านไปทางครัว
“นายหรั่งรออยู่ที่รถแล้วนะครับ”
แพรวาเดินมาจนเห็นเป็นเผ่าลาภ ที่นั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะประจำ
“วันนี้ต้องไปที่ไหนบ้างล่ะลูก”
“เช้านี้ต้องไปดูร่างสัญญาทำบราเตอร์ที่ wedding center กับเจ็กฮุยค่ะ...แม่บอกว่าเมื่อคืนคุณป๋าคุยกับนายหรั่งยาวเลย...มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
เผ่าลาภยิ้ม “เป็นความลับของผู้ชายเขา”
แพรวาเบะหน้าใส่เล็กๆ น่ารักสุดๆ
“น้องแพรไปเลยนะคะ เดี๋ยวนายหรั่งจะรอนาน”
แพรวาเดินออกไปโดยไม่คิดอะไร ขณะเผ่าลาภมองตามไป สายตาผู้เป็นบิดาดูเหมือนจะคิดอะไรอยู่เห็นๆ
ส่วนที่บ้านแสงเทพ แลเห็นหัวสัตว์ป่า ที่ถูกสตั๊ฟไว้มากมาย ทั้ง กวาง ค่าง บ่าง ชะนี เก้ง หมี อีเห็น แรด สิงโต เสือดาว งูเหลือม และนางอาย เป็นอาทิ
ตะวันฉายยื่นหน้าเข้ามาดูตาลุกโพลง หัวสัตว์เหล่านั้นเรียงรายอยู่ตามผนัง สลับไปกับอาวุธโบราณมากมาย ตะวันฉายยืนดูอยู่อย่างตื่นตะลึง
แสงเทพเข้ามา มองขำๆ
“คงไม่เคยเห็นสินะหลานชาย”
“เคยเห็นแบบเดี่ยวๆ ไม่เคยเห็นมันอยู่รวมกันมโหฬารขนาดนี้”
“อาคงจะเปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ถ้าไม่กลัวถูกจับซะก่อน”
แสงเทพเดินนำตะวันฉายไปนั่ง ที่เก้าอี้รับรอง ทำด้วยไม้ทั้งต้น มันปูลาดด้วยหนังสิงโตสองตัว ซึ่งอาจเป็นพี่น้องกัน!
แสงเทพส่งแก้วเล็กๆ ให้ตะวันฉาย ในนั้นมีน้ำสีขุ่นๆ ข้นๆ เต็มแก้ว
“ดีงูจงอาง...ลูกผู้ชายพันธ์แท้ มันต้องลองซักหน่อย...เป็นยาอายุวัฒนะ แล้วก็ชูกำลังด้วย”
ทั้งคู่ชนแก้วกัน
“เพื่อความสำเร็จของธุรกิจลับๆ ของเราสองคน” แสงเทพว่า
ทั้งคู่ดื่มพรวด...ตะวันฉายฝืนยิ้ม
“ที่เห็นอยู่หลายๆหัวนี่ฝีมืออาทั้งนั้นเหรอฮะ”
“ใช่...สิงสาราสัตว์ จะให้ร้ายแค่ไหน ไม่รอดมืออาหรอก อาล่ามาหมดแล้วทั้งนั้น...แต่มีอยู่ตัวนึง ท่าทางมันก็ไม่ค่อยจะดุร้ายเท่าไหร่ แต่มันกลับรอดมืออาไปได้”
“ตัวที่ชื่อ M.S. เหรอครับ” ตะวันฉายกระเซ้า
“อือม...ตัวนั้น นั่นหละ”
“แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของอาหมดแล้วนี่ครับ...คนของผมก็เริ่มเข้าไปเจาะวงในแล้ว โปรเจ็คท์ใหญ่ของมัน ผมก็ดึงเอามาแล้ว...ผมว่าไม่นานก็ล้มครับ”
“มันไม่งั้นสิหลาน...อาเช็คดูแล้วว่า แหล่งเงินที่เป็นขุมกำลังใหญ่ของมันไม่ได้มาจากเหมืองหรอก ถึงเหมืองจะขาดทุนยังไง มันก็ยังยืนอยู่ได้ ไม่ล้ม เพราะว่ามันมีเงินอุดหนุนมาจากคลังใหญ่ของมัน นั่นก็คือ น่ำเล้งค้าข้าว”
“ที่...นครสวรรค์” ตะวันฉายพูดเหมือนถาม
“ใช่...ธุรกิจส่งออกข้าวของมัน...สร้างกำไรมหาศาลเชียวนะจะบอกให้”
“ทุกวันนี้ มันยังมีกำไรอยู่อีกเหรอครับอา...ไม่น่าเชื่อ”
“อาจจะติดขัดไปบ้าง แต่บุญเก่ามันเยอะ...มันยังมีลูกค้าประจำที่สั่งข้าวจากมันอยู่ รายละนิดรายละหน่อย แต่รวมกันแล้วก็เยอะเชียวหละ”
“แปลว่าถ้าจะล้ม M.S. เราต้องล้มธุรกิจข้าวของมันก่อน”
“อาคิดว่างั้น...แต่ถ้าหลานส่งคนเข้าไปอยู่ในนั้นได้จริง ลองให้มันแอบเอารายระเอียดงบดุลของ M.S. ออกมาให้อาดูให้ได้...อันนี้ละ แน่นอน”
“นี่ถือว่าเป็นงานที่มอบหมายให้ผมใช่มั้ยครับ”
“อาคิดว่าหลานน่าจะเหมาะกับงานอย่างนี้”
“อาคิดถูกแล้วครับ...งานนี้ ผมขอลงภาคสนามเองเลยดีกว่า”
สองตัวโกงในละครชีวิตเรื่องนี้หัวเราะร่วน
หรั่งและแพรวามากันมานั่งอยู่ที่บริเวณรับรองแขก ใน wedding center แล้ว ผู้จัดการชายใจสาวคนเดิม ถือเอกสารสัญญามาร่วมวงสนทนาด้วย
“สวัสดีจ้า คุณน้องแพรวา และคุณผู้ช่วยหรั่ง...อากัมปนาทมาสายอีกตามเคยสินะ”
“เช็คไปที่เลขาแล้ว...อาป่วยกะทันหันค่ะ...คงจะมาไม่ทัน”
“เหรอ...สงสัยเมื่อคืนจะหนักเนอะ”
“เอาไว้นัดกันอีกทีก็ได้ค่ะ รออากัมปนาทก่อนดีกว่านะคะ”
“ได้จ้ะ...เราจะได้มีเวลาแอบไปเซ็นสัญญากับเจ้าอื่น”
“อุ๊ย อย่างนั้นไม่ดีนะคะ” แพรวาท้วง
“ล้อเล่นค่า...ทำอย่างนั้นก็อดได้น้องแพรเป็นพรีเซ็นเตอร์สิคะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ต่อไป เราจะได้มีกิจกรรมร่วมกันได้อีกเยอะๆ ไงคะ”
“ยินดีเลยฮ่ะ...ถ่ายรูปน้องแพรติดไว้หน้าร้านเลยดีมั้ยคะ บริษัทจิเวลรี่เจ้าอื่นจะได้ไม่ต้องมายุ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เอ แต่ไม่เลวนะ...น้องแพรยังไม่เคยถ่ายแบบชุดแต่งงานเลยนี่เนอะ”
“ก็น้องแพรยังไม่ได้แต่งนี่คะ จะให้ถ่ายกับใคร”
“แหม ถ่ายแบบน่ะ ถ่ายกับใครก็ได้...กับคุณหรั่งยังได้เลย ดูคมสันดีเหมือนกันนะ”
แพรวามองหน้าหรั่ง ขำๆ
“นุ้ก นุ้กเอ๊ย เอากล้องมาถ่ายรูปน้องแพรหน่อยเร็ว...”
ดูเหมือนว่าหรั่งจะปั้นหน้าไม่ค่อยถูก
ที่ด้านหลังหรั่ง เห็นตะวันฉายเดินยิ้มร่าเข้ามาพอดี๊พอดี
ผู้จัดการกรี๊ดกร๊าด “อุ๊ยตาย พี่เห็นชายในชุดเจ้าบ่าวของน้องแพรแล้วละ”
ตะวันฉายเดินมาถึงแพรวาพอดี
แพรวาแปลกใจ “พี่ตะวัน”
“พี่คงไม่ได้มาขัดจังหวะทางธุรกิจอะไรใช่มั้ย”
“มาได้จังหวะมากกว่าค่ะ...เราขอถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกหน่อยนะคะ เผื่อติดโชว์หน้าร้านด้วย”
พนักงานชื่อนุ้กเดินถือกล้องเข้าเฟรมมา
“ถ้าจะให้สวย เชิญที่ Set เลยดีกว่าครับ...ทางนี้ครับ”
ทั้งหมดเดินไปยัง มุมกึ่งๆ สตูดิโอถ่ายรูปบ่าวสาว ที่อยู่ใกล้ๆ...หรั่งนั่งอยู่เพียงเดียวดาย
หรั่งมองดูช่างภาพพยายามจัดท่านั่ง ให้ทั้งคู่โอบกอดกันอย่างรักใคร่
ผู้ถูกกระทำให้สะเทือนใจอย่างเขามองดูภาพนี้ ปวดร้าวอยู่เงียบๆ บรรยากาศยามนี้คล้ายภาพคุ้นตาในมิวสิควิดีโอเพลงอกหัก รักคุด
ภาพโพสท่าหวานซึ้งของตะวันฉายและแพรวา ในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว บาดหัวใจไอ้หรั่งนัก
ครู่ต่อมาแพรวาเดินเกาะแขนตะวันฉายออกมา...หรั่งเดินตามหลัง ตะวันฉายหันไปหาหรั่งอย่างเหยียด
“เฮ้ย คนขับรถ...นายเอารถคุณแพรวากลับไปออฟฟิศเลยนะ คุณแพรเธอจะไปกับฉัน”
“ไปไหนคะ”
“ไปรื้อฟื้นความคุ้นเคยเดิมๆ กับของหรูๆ อร่อยๆ...แล้วพี่จะไปส่งที่ออฟฟิศเอง”
แพรวาบอกกับหรั่ง “ฉันจะรีบกลับไปให้ตรงเวลา”
“ครับ”
ตะวันฉายกระซิบเย้ยหรั่ง “ว่างๆ ก็ล้างรถสิ...เผื่อจะได้ทิปจากคุณแพรวาไงล่ะ นายโชเฟอร์”
แพรวาแยกไปกับตะวันฉาย หรั่งกลับไปที่รถคันใหญ่ของเธอ ผู้จัดการเดินเข้าไปหาหรั่ง สีหน้าไม่สู้จะดีนัก
“คุณหรั่ง....ผมมีเรื่องสำคัญต้องฝากกลับไปยัง บริษัท M.S.ของนายคุณ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ” หรั่งฉงน
“เรื่องใหญ่ เกี่ยวกับธุรกิจระหว่างเรา”
ลินจงกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน นครสวรรค์ คู่สายเป็นอรทัยซึ่งอยู่ในห้องทำงานที่ออฟฟิศบริษัท M.S.
“เจ๊ช่วยหน่อยเถอะ...เฮียหั่งเขาตั้งใจจริงๆ เฮียตงก็จะให้เขาไปเป็นเซลส์ เป็นยาม...โอ๊ว...เฮียหั่งก็ไม่ยอมน่ะสิ...หลังสุดมาบอกกับอั๊วว่า จะให้ไปอยู่เหมือง อยู่กับดินอยู่กับหินก็ยอม...ดีกว่าให้ไปเป็นยามเป็นเซลส์ เป็นลูกน้องเด็กๆ ที่บริษัทน่ะ”
อรทัยนั่งเขียนหนังสือไป พร้อมกับหนีบโทรศัพท์อยู่ที่หู
“เออๆ...ฉันรู้แล้ว นี่มันก็นั่งคอยฉันอยู่เนี่ย...อือม กำลังจะไปคุยกับมันเดี๋ยวนี้แหละ”
ที่มุมหนึ่งในบริษัท M.S. Jewelry ตอนกลางวัน อรทัยเดินคุยกันมากับบารมี
“ไหนบอกมาซิ จะไปอยู่เหมืองน่ะ ลื้อทำอะไรได้บ้าง”
“อะไรก็ได้ทั้งนั้น...หนักเอา เบาสู้ อะไรอั๊วก็เอาหมด” บารมีว่า
“เมื่อก่อนลื้อไม่เคยคิดอย่างนี้นี่หว่า...ลื้อมันมีแต่ งานหนักไม่เอา งานเบาขอคิดอีกที...บอกมาตามตรงดีกว่า ลื้อกำลังคิดอะไรอยู่”
“ก็คิดอยากจะทำงานน่ะสิ”
“จริงอ้ะ”
“จริง”
อรทัยเดินนำบารมีมาจนถึงมุมลับตาคน เธอหันมาพูดใส่หน้าบารมีตรงๆ
“ลื้อคิดจะไปตักตวงผลประโยชน์ในเหมืองใช่มั้ย...ยอมรับมาซะดีๆ”
“แสดงว่าที่เหมือง มันมีผลประโยชน์รั่วไหลให้ตักตวงน่ะสิ”
“ไม่ต้องมาย้อน”
“เรามันพวกเดียวกันน่าเจ้”
“ก็ได้ อั๊วจะช่วยลื้อในฐานะที่เป็นน้อง...แต่ถ้าลื้อทำอะไรกระโตกกระตาก ก็ยังจะมีทนงศักดิ์เขาคอยคุมอยู่...และเขาไม่ใช่พี่แท้ๆของลื้อ...เขาคงไม่ใจดีกับลื้อเหมือนอั๊วหรอก อาหั่ง”
บารมียิ้มร้ายตรงมุมปาก
เวลานั้นหรั่งเดินถือเอกสารของแพรวาเข้าบริษัทตามปกติ จนไปประจันหน้ากับบารมีที่เพิ่งก้าวออกมาจากด้านใน หรั่งหยุดยืนมองนิ่ง
บารมีจ้องหรั่งนิ่งเช่นกัน แต่หรั่งนิ่งกว่า
“มองทำไม เมื่อไหร่แกจะเลิกมองฉัน”
“จนกว่าผมจะจับตัวคนที่เผาบ้านผมได้”
“ฝันไปเถอะ ไอ้น้อง”
บารมีเดินกร่างออกไปก่อน
อรทัยฟังหรั่งจบ สีหน้าตาเต็มไปด้วยคำถาม
“ว่าไงนะ เขาฝากมาบอกว่าไงนะ”
หรั่งยืนอธิบายอยู่กลางห้อง
“ขอยกเลิกทุกข้อตกลงที่เราคุยกันไว้”
“เขาให้เหตุผลว่าไง”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะทำบราเตอร์กับเรา เพราะเราไม่ได้เป็นผู้จัดงานมหกรรมอัญมณีครั้งนี้แล้ว”
อรทัยร้อง “ห๊ะ...อะไรนะ”
“สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับจะเป็นผู้จัดงานนี้อย่างเป็นทางการ โดยการสนับสนุนของ กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ครับผม”
อรทัยอึ้งไป
“ตัดหน้ากันเห็นๆ...กัมปนาทว่าไง”
“วันนี้คุณกัมปนาทไม่ได้ไปด้วยครับ ผมให้หน้าห้องคุณอรทัยโทร.ตามแล้ว”
เลขาหน้าห้องอรทัย เปิดประตูเข้ามาพอดิบพอดี เธอรายงาน
“คุณกัมปนาทไม่รับโทรศัพท์ค่ะ แต่ฝากข้อความไว้ในเครื่องว่าว่า ขอลาไปสิงคโปร์ ยังไม่มีกำหนดกลับค่ะ”
“ตาย...ตายกันพอดี...ฉันจะเป็นคนบอกพ่อของยายแพรเอง นายออกไปได้แล้ว...ขอบใจนะที่มาพร้อมกับข่าวร้ายวันนี้”
อรทัยแดกดันหรั่ง ท่าทีเครียด จนดูน่าขำ
อ่านต่อหน้า 3 / 09.00 น.
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 9 (ต่อ)
ที่อาคารสำนักงานเหมือง M.S. กาญจนบุรี ในตอนกลางวัน ทนงศักดิ์เดินตรงไปยังฉวีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล
“คุณฉวี”
“ขา”
“ผมจะรับพนักงานเพิ่มหนึ่งคนนะ”
“ตำแหน่งอะไรคะ”
จังหวะนี้เห็นชาติชาย เดินถือแฟ้ม เนื้อตัวเลอะเทอะเข้ามา เขาตรงเข้าไปคุยกับพนักงานอีกคนหนึ่ง
ทนงศักดิ์บอกส่งๆ “ตำแหน่งอะไรก็ได้ ใส่ไปเถอะ”
เลขาฉวีซักอีก “แล้วเงินเดือนล่ะคะ”
“เท่าคุณชาติชาย”
ชาติชายได้ยินเงยหน้าขึ้นมามอง และตั้งใจฟัง
“โอ้...แล้วจะให้เขารับผิดชอบอะไรคะ”
“ยังไม่รู้...เดี๋ยวผมดูอีกที ให้เขาขึ้นตรงต่อผมเลย”
ฉวีท้วง “เอ รับพนักงานอย่างนี้จะดีเหรอคะ”
ทะนงศักดิ์ชักรำคาญ “ดีสิ”
“เอ้อ แล้วเอกสารประวัติการทำงาน แล้วก็ชื่อเสียงเรียงนามเขา”
“เขาชื่อ บารมี มหาโชคตั้งศิริ...ต้องการจะรู้อะไรอีกมั้ย”
ชาติชายเดินออกไปเฉยๆ
“เอ้อ...อย่างนี้...น่าจะให้เริ่มงานได้ทันทีเลยค่ะ...ดิฉันจะได้เตรียมทำเรื่องเงินเดือนล่วงหน้าเอาไว้ให้”
ที่บ้านกลางทุ่ง เบิ้มนั่งก้มหน้าจ้องกระดานหมากฮอร์สนิ่งอยู่ที่ระเบียงข้างบ้าน
“นี่แน่ ต่อฮอสส์เลย กินสามต่อด้วย ฮ่ะฮ่ะฮ่า...”
โอ๋เดินออกมาจากในบ้าน ยืนใส่รองเท้าอยู่ด้านหลังน้าเบิ้ม
“ ฉันจะไปแล้วนะ”
“ไปไหน”
ที่แท้เบิ้มนั่งเล่นหมากฮอสส์อยู่คนเดียว
“ไปตลาด...แล้วจะเลยไปรับไอ้สามตัวนั่นเลย ใครเอาอะไรบ้างบอกมาทีเดียว กลับมาแล้วฉันไม่ออกไปอีกแล้วนะ”
“ฝากซื้อตัวหมากรุกชุดนึง”
โอ๋เดินออกไปทางหน้าบ้าน
เบิ้มลุกขึ้น เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของกระดาน
“นี่แน่ กินฟรีเลย คิดจะมาต่อฮอร์สกู ฮ่าฮ่าฮ่า”
ขณะเดียวกันที่สนามใกล้ต้นมะม่วงข้างบ้าน เท่ห์ โบ้ และเช็ง กำลังยืนใช้หนังสะติ๊กยิงขึ้นไปบนต้นมะม่วง ด้านหลังเห็นเป็นโอ๋เดินผ่านไป
“ไอ้พวกนั้นน่ะ เอาอะไรกันรึเปล่า” โอ๋ร้องถาม
เท่ห์บอก “เอาน้ำตาลปี๊ป กุ้งแห้ง พริกขี้หนู หอม เอามาเยอะๆ เย็นนี้กินน้ำปลาหวานกัน”
“โธ่ มะม่วงมีลูกเดียว มึงจะสั่งอะไรนักหนาวะ”
โอ๋ไปถึงถนนหน้าบ้านแล้ว เห็นหรั่งขี่มอเตอร์ไซค์หิ้วถุงอาหารมามากมาย
“น้าโอ๋ ไปตลาดเหรอ...เดี๋ยวออกไปด้วยกัน จะได้ไม่ต้องเดินไปเอง”
“เออ ดี...ไวไวนะ”
หรั่งเดินถือถุงของกินเข้าบ้าน
“ไอ้หรั่งมาโปรดพวกเราแล้วเว้ย” โบ้บอก
“มึงสนใจมะม่วงน้ำปลาหวานมั้ยวะไอ้หรั่ง”
เท่ห์พูดโดยยังคงยิงหนังสะติ๊กต่อไป...ไม่โดน
“มึงยิงมาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่โดนอีกเหรอ...มะม่วงลูกเดียวเนี่ย”
“จะรีบโดนไปทำไม เดี๋ยวไม่มีอะไรทำ...” เท่ห์บอก
“ยิงโดนน่ะง่าย งั้นๆ...ยิงเฉี่ยวสิวะยากโคตรๆ” เช็งว่า
“ทางที่ดี มึงซื้อมะม่วงเข้ามาด้วยเถอะว่ะไอ้หรั่ง” โบ้บอก
เช็งง้างหนังสะติ๊กยิง โดนลูกมะม่วงเต็มๆ เท่ห์ถีบเช็งเต็มแรง
“ไอ้เช็ง...กูบอกมึงแล้วไม่ต้องเฉี่ยวมาก...หมดกัน ไม่มีอะไรเล่นเลย”
“ก้อยล่ะ” หรั่งถาม
“นั่งอยู่ด้านโน้น...บอกว่าจะรอดูพระอาทิตย์ตก” โบ้ตอบ
“มึงไปบอกทีสิวะว่าอีกนาน” เท่ห์ว่า
ก้อยนั่งพิงเสาบ้าน นิ่งๆ หรั่งเดินถือจานขนมจีนน้ำยาเข้ามาให้
“ก้อย...หรั่งมีขนมจีนน้ำยาเจ้าอร่อย มาฝาก”
“หรั่งเลิกงานแล้วเหรอ”
“ยังหรอก แต่พอดีมีเวลาว่าง ก็เลยเอาข้าวเอาน้ำมาส่งให้ไง”
หรั่งลงนั่งข้างๆ จัดวางจานขนมจีนไว้ให้
“เหงามั้ยก้อย”
“ไม่รู้สิ แต่มันเงียบจังนะหรั่ง...หรั่งซื้อดอกไม้มาให้ก้อยรอยมาลัยหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิ”
“แต่ก็ไม่มีใครมารับมาลัยไปขายอยู่ดี...งั้นไม่ต้องก็แล้วกัน”
“หรั่งจะซื้อดอกไม้มาให้ก้อย แล้วพอก้อยร้อยเสร็จ หรั่งจะเอาไปส่งให้เอง...ก้อยฟังนะ อยู่ที่นี่ก้อยอยากได้อะไรบอกหรั่ง...อยากทำอะไร ทำได้ทุกอย่างเลย เพราะที่นี่คือบ้านของเรา”
ก้อยซาบซึ้งใจพอสมควร
“พระอาทิตย์ตกทางนี้ใช่มั้ยหรั่ง”
“ใช่...แต่ก้อยกินขนมจีนให้หมด นอนเล่นหลับซักตื่นนึง นั่นหละพระอาทิตย์จะตกพอดี”
ตะวันฉายกะแพรวา ที่สวนอาหารชานเมือง แถวบางบ่อ มีกลุ่มคนที่นั่งตกกุ้ง ตกปลาในบ่อประปราย โต๊ะที่ตะวันฉายและแพรวา นั่งอยู่ เป็นมุมเก๋ไก๋พอดิบพอดี ตะวันฉายเอ่ยปากพูดออกมา
“น้องแพรอาจจะไม่เข้าใจ...คงคิดว่าที่พี่หายไปเพราะว่าพี่ทอดทิ้ง...ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่...คือพี่คิดว่าคนเราถ้าอยากรู้อะไรให้ทะลุ ก็ต้องลงไปขลุกอยู่กับมัน อย่างมีสมาธิและไม่วอกแวก”
“น้องแพรทำให้พี่วอกแวก”
“เพราะพี่ไม่มีทางสนใจสิ่งอื่นได้ เมื่ออยู่ใกล้น้องแพร” ตะวันฉายหยอดหวาน
แพรวางอน “วันนึง เราคงเลิกกันด้วยเหตุผลนี้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่แค่ต้องการเวลาสักพักเพื่อค้นหาตัวเองเท่านั้น”
“แล้วเจอหรือยังคะ”
“เจอแล้วจ้ะ...พี่พบว่าพี่ทนความหลอกลวงของนักการเมืองไม่ได้”
“เพราะพี่ตะวันเป็นคนจริงใจ”
“พี่ก็เลยตัดสินใจทำธุรกิจของตัวเอง ที่เคยเกริ่นไว้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากน้องแพรไง”
“พี่ตะวันก็เอาแต่เกริ่นไปเกริ่นมาอยู่นั่นแหละ ไม่เห็นบอกซักทีว่าธุรกิจอะไรกันแน่”
“สิ่งพิมพ์ และ ส่งออก”
“สองอย่างเลย”
“พี่จะพิมพ์หนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว และธุรกิจที่น่าสนใจในประเทศไทย ทำเหมือนเป็นโบรชัวร์เล่มใหญ่ สำหรับขายชาวต่างชาติโดยเฉพาะ”
“แล้วส่งออกล่ะ พี่ตะวันจะส่งอะไรออก”
“ปลาสลิด”
แพรวาฉงน “ปลาสลิด?”
“อื่อฮื้อ”
“ทำไม ถึงเลือกส่งปลาสลิดล่ะคะ”
“เพราะพี่ชอบ...พี่รู้สึกว่าคนแถบยุโรปก็น่าจะชอบเหมือนกัน ถ้าเขามีโอกาสได้ลอง...พี่ตระเวนติดต่อกับบ่อปลาสลิดทุกที่ เพื่อกว้านซื้อปลาสลิด พี่ซื้อมาเยอะมาก เชื่อมั้ยน้อง”แพร มันเน่าหมดเลย...พี่จึงพบว่า ปัญหาของพี่คือความสับสนไม่สอดคล้องกันระหว่างกระบวนการผลิต กับกระบวนการส่งออก...พี่คิดว่าพี่ต้องปรับแต่งให้สองส่วนนี้ไปด้วยกันให้ได้”
“น้องแพรไม่มีความรู้เรื่องปลาสลิด...คงช่วยอะไรพี่ตะวันไม่ได้หรอกค่ะ”
“ได้สิจ๊ะ...เพียงแค่น้องแพรจ้างพี่ทำหนังสือโปรโมทบริษัท M.S. พี่ก็จะได้เครดิตไปใช้หางานสิ่งพิมพ์ต่อได้ไม่ยาก และยิ่งไปกว่านั้น พี่ก็จะได้เรียนรู้งานจาก M.S...จะได้เห็นตัวอย่างการเติบโตของ M.S. GROUP แล้วเอามาพัฒนาธุรกิจส่งออกปลาสลิดของพี่ได้เช่นกัน”
“พี่ตะวันดูขยันผิดหูผิดตาไปมากเลยนะคะ”
“เพื่ออนาคตอันมั่นคงของเราไงครับ...และตอนนี้พี่ก็พร้อมสำหรับการทำงานหนักแล้ว”
“ฟังดูเหมือนพี่ตะวันกำลังจะสมัครงานกับน้องแพรเลยนะ”
“หรือน้องแพรคิดว่าพี่ควรจะสมัครงานกับใคร ก็บอกได้เลยนะจ๊ะ”
“งั้น น้องแพรจะบอกคุณป๋าให้ค่ะ”
บริกรยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ ในถาดประกอบไปด้วย แกงส้ม และปลาสลิดทอด
“น้อง ขอปลาสลิดอีกซักสิบกิโลสิ...ใส่ถุงนะ” ตะวันฉายสั่งบริกร
“ครับผม”
แพรวาฉงนมองหน้าตะวันฉายเป็นเชิงตั้งคำถาม
“พี่จะฝากไปให้คุณพ่อน้องแพรจ้ะ”
บ่ายคล้อยจวนเย็น แลเห็นหรั่งยืนพิงรถรอแพรวาอยู่หน้าบริษัท...มันเป็นเวลาเลิกงานแล้ว สายตาหรั่งมองออกไปเบื้องหน้า เนิ่นนาน
รถตะวันฉายแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าอาคารแพรวาก้าวลงจากรถ...ตะวันฉายเดินตามลงมาส่งคู่รักคู่นี้อี๋อ๋อ โดยมีหรั่งยืนอยู่เป็นแบ๊คกราวด์
“อย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันนะจ๊ะน้องแพร”
“น้องแพรไม่ใช่คนลืมง่ายนะคะ พี่ตะวัน”
“แล้วน้องแพรก็รู้ใช่มั้ย ว่าพี่ไม่มีวันลืมน้องแพร”
ตะวันฉายก้มลงไปหอมแก้มแพรวา อย่างอ่อนโยน หรั่งหันหน้าหนีไปมองทางอื่น
“อ้อเกือบลืมของฝาก...” ตะวันฉายหันไปเห็นหรั่ง “นี่นายคนรถน่ะ...มาเอาของลงจากรถฉันหน่อย
สิ...เอาไปใส่รถคุณแพรวา”
ตะวันฉายเปิดท้ายรถตัวเอง หรั่งเดินมาหยิบถุงปลาสลิดจากตะวันฉาย
“เอ้อ ว่าจะถามหลายทีแล้ว ลืมไป...ได้ข่าวว่าบ้านไฟไหม้ไม่ใช่เหรอ...ขาดเหลืออะไรบ้างรึเปล่า มีเสื้อผ้าพอใส่มั้ย...ถ้าไม่มีจะหาเอามาให้ บอกมาทางคุณแพรวาก็ได้นะ”
หรั่งก้มหน้าหยิบถุงปลาสลิดออกไป อย่างนิ่งเงียบ
“พี่ไปก่อนนะจ๊ะ”
ตะวันฉายขึ้นรถ สตาร์ท แล้วเคลื่อนรถออกไป หรั่งเดินเข้าไปใกล้แพรวา
“คุณออกไปตั้งแต่สิบโมง กลับมาเอาป่านนี้...เท่ากับว่าวันนี้คุณไม่ได้งานอะไรเลย”
“ก็เมื่อเช้าไง...แหม ฉันขยันทำงานมาตั้งอาทิตย์นึง...จะขอมีเวลาส่วนตัว เกเรบ้างซักวันมันจะเป็นไรไป”
“แสดงว่าคุณยังไม่ได้ อัพเดท เรื่องงานมหกรรมอัญมณี”
“เดี๋ยวเจ็กฮุยก็มาบอกฉันเองแหละ”
แพรวาขยับจะเดินเข้าไปในบริษัท
“ออฟฟิศปิดแล้วครับ...ไม่มีใครอยู่ แต่ถ้าคุณอยากจะนั่งทำงานที่นี่เงียบๆ ผมจะเปิดแอร์ให้”
“งั้นฉันกลับบ้านเลยแล้วกัน”
“เชิญครับ”
หรั่งเปิดประตูรถให้แพรวานั่ง
เวลาเดียวกันที่บ้านกลางทุ่ง โบ้นั่งจ้องกระดานหมากรุก เบิ้มนั่งอยู่ตรงข้ามกับโบ้
“เก่งไม่กลัว...กลัวช้า” เบิ้มเย้ย
“งั้นพ่อก็ไปเล่นกับคนอื่นเอาแล้วกัน”
โบ้ลุกขึ้นเดินเป่าทรัมเป็ตออกจากวง
“เฮ้ยอย่างอนสิวะ กูยิ่งเหงาๆไม่มีอะไรทำอยู่”
“มาฉันเอง”
เช็งลงนั่งแทนโบ้
ส่วนเท่ห์เล่นปั่นแปะ ดีดมะกอกอยู่กับน้องคนนึงของโบ้ น้องอีกคนเอานิ้มจิ้มน้ำปลาหวานใส่ปากกิน ก้อยนั่งเล่นอยู่มุมห้อง โอ๋นุ่งกระโจมอกเดินผ่านเฟรมไปเข้าห้องน้ำ โบ้เดินเลี้ยวออกไปตรงหัวมุมบ้านซักพัก โบ้ส่งเสียงเอ็ดตะโร วิ่งเข้ามา
“พ่อ...พ่อ ทำไงดี ไอ้บาส ตัวร้อนจี๋เลย ร้องงอแงใหญ่แล้ว”
“บอกแม่มึงสิ”
“แม่...แม่ แม่อยู่ไหน”
เสียงโอ๋ดังออกมาจากในห้องน้ำ
“อยู่นี่ อาบน้ำอยู่...ใครใช้น้ำหมด ไม่ตักมาเติมให้ด้วย เวรเอ๊ย”
“จะตักให้แล้ว แต่น้ำไม่ไหล” เช็งบอก
“เดี๋ยวก้อยไปเช็ดตัวให้”
ก้อยคลำๆ ทางเดินออกไป กับโบ้...ซักพัก โบ้วิ่งเข้ามาอีก
“แม่ ตัวมันร้อนหนักเลยนะแม่”
“เอายาให้กินสิวะ” เท่ห์บอก
“ไม่มียา”
เช็งว่า “พาไปหาหมอ”
“ไปยังไง” เบิ้มถาม
โอ๋ออกมาจากห้องน้ำ “ไปรถ”
“ไม่มี” โบ้บอก
“มอเตอร์ไซค์ล่ะ”
“ไม่ได้เอามา” เท่ห์บอก
“โทร.ไปบอกไอ้หรั่งให้ซื้อยากลับมาสิวะ” เช็งว่า
“ไอ้หรั่งเบอร์อะไร”
“นี่ไง...มันจดไว้ให้ที่นี่” โอ๋เดินไปดูกระดาษที่เขียนเบอร์โทร.ติดไว้ตรงประตู
“แล้วโทรศัพท์ล่ะ” เท่ห์ถาม
“ไม่มี” โบ้บอก
“ฉันเห็นมีตู้อยู่ที่หน้าปากซอย ตรงตลาดน่ะ” โอ๋ว่า
“โคตรไกลเลย...ใครจะไป” เช็งบ่น
เท่ห์เสนอ “จับไม้สั้นไม้ยาวละกัน”
“ใครเช็ดตัวให้มันก่อนสิวะ” เบิ้มบอก
“เช็ดจนผ้าร้อนหมดแล้วจ้ะ” ก้อยว่า
“เอาไงดีแม่ ฉันกลัวมันจะชักน่ะ” โบ้บอก
น้องอีกคนของโบ้ ใช้นิ้วกวาดน้ำปลาหวานใส่ปากกินเฉยๆ ท่ามกลางความอลหม่านนั้น
คืนนี้เผ่าลาภนั่งเปิดอัลบั้มรูปดูเล่นๆ รำไพนั่งบีบนวดเอาใจประสาภรรยาที่ดี
“หมู่นี้ผมชอบเอารูปเก่าๆ มาดูอยู่บ่อยๆ...ไม่รู้จะเป็นลางรึเปล่า”
“ถ้าจะคิดให้เป็นลาง อะไรๆ มันก็เป็นลางได้ทั้งนั้นละค่ะ”
“ผมคงต้องขอไปดูดาวบ้างแล้วนะรำไพ ทิ้งไปซะนาน...เผื่อจะได้รู้ชะตาของตัวเองล่วงหน้าได้บ้าง”
“จะไปดูก็ไปเถอะ...แต่ฉันรู้โดยไม่ต้องดูดาว ว่ายังไงซะคุณก็จะผ่านพ้นเรื่องร้ายๆไปได้...มีคนบอกว่าโรคภัยไข้เจ็บต่อให้รุนแรงมากมายเท่าไหร่ สุดท้ายก็แพ้กำลังใจของเรานี่แหละ”
“ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”
“มันเป็นอย่างนั้นค่ะ” รำไพย้ำ ให้กำลังใจสามี
“อย่าเพิ่งบอกแพรวานะ...ทุกเรื่อง”
“ค่ะ”
แพรวาเดินเข้าบ้านมาอย่างพอดิบพอดี
“คุณป๋าไปหาหมอ เป็นไงบ้างคะ”
แพรวาถามแบบไม่ค่อยจริงจัง และไม่ได้ต้องการคำตอบสักเท่าไหร่ เธอเดินไปหอมแก้มเผ่าลาภ
“ไม่เป็นไรมากใช่มั้ยคะ...คุณป๋าของน้องแพรแข็งแรงออกจะตาย”
หรั่งเดินถือถุงปลาสลิดเข้ามา...ทุกคนหันไปมอง
“พี่ตะวันมีของมาฝากคุณป๋าค่ะ เป็นปลาสลิด”
รำไพฉงน “ปลาสลิด?”
“ค่ะ ปลาสลิด พี่ตะวันเขากำลังจะทำธุรกิจ ปลาสลิดส่งออก”
เผ่าลาภแปลกใจ “ออกไปไหน?”
“ไม่รู้...เดี๋ยวน้องแพรลงมาคุยให้ฟังก็แล้วกัน ขอไปอาบน้ำก่อน ขอบใจนะนายหรั่ง แล้วเจอกัน”
แพรวาเดินขึ้นบันไดไปห้องของตน
“ถ้ายังไม่รีบไปไหน ก็นั่งก่อนสินายหรั่ง”
เผ่าลาภพยักหน้าให้รำไพ...รำไพลุกขึ้นเดินออก
“ตามสบายนะ ถ้าอยากทานกาแฟก็ชงเองเลย”
เผ่าลาภยังคงนั่งนิ่งๆ
“ท่านทราบเรื่อง งานอัญมณีแล้วใช่มั้ยครับ”
เผ่าลาภค่อยๆ พยักหน้า ยังรักษาความนิ่งไว้อีกสักพัก
“อยากดูรูปฉันตอนเด็กๆ มั้ย”
เผ่าลาภส่งอัลบั้มให้หรั่ง...หรั่งรับมาเปิดดูรูปในอัลบั้ม เป็นรูปเด็กชายหน้าตาคล้ายเผ่าลาภ นั่งรถเข็น ขาลีบ หลายๆ อิริยาบถ หรั่งแปลกใจจนต้องถาม
“คนไหนคือท่านครับ?”
“ก็คนที่นั่งรถเข็น ขาลีบนั่นแหละ...ฉันใช้เวลาถึงเก้าปี กว่าจะเดินได้เหมือนคนปกติ...เห็นมั้ย ฉันก็ไม่ได้ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เหมือนกัน”
“ผมว่าคงมีไม่กี่คนหรอกครับ ที่จะแข็งแกร่งได้อย่างท่าน”
“เฮ้อ...แต่ตระกูลของฉันมันเหมือนโดนคำสาป”
หรั่งตั้งใจฟังอย่างสนใจ
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 9 (ต่อ)
เสียงความคิดของหรั่งดังขึ้น ถ้อยคำเป็นสิ่งที่เขาเขียนลงในบันทึกความจำเตือนตัวเอง มันสอดรับและเข้ากับภาพชีวิตผู้คนมากมาย
ทั้งเผ่าลาภที่นั่งดูอัลบั้มรูปถ่ายในอดีตของเขา แววตาแฝงเรื่องราวมากมาย ขณะรำไพ ลอบมองดูท่าทีของสามี ด้วยความเข้าใจและเป็นห่วง
“ผู้คนมักพูดกันว่าความลับไม่มีในโลก แต่ผู้คนก็ยังคงพยายามเก็บงำความลับของตนไว้ ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน”
ดวงใจ นั่งเดียวดายอยู่ในบ้าน เธอเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู กรอบรูปนั้น เป็นรูปเธออุ้มน้องแก้ม เมื่อครั้งยังเยาว์วัย และครอบครัวยังอบอุ่น
ส่วนรสสุคนธ์ เธอนั่งอยู่ในรถ ก้มหน้านับเงินปึกใหญ่ในกระเป๋าใบนั้นอย่างเป็นสุข
“บ้างไม่แน่ใจผลของมันเมื่อถูกเปิดเผย บ้างรอจังหวะเวลา สำหรับการต่อรอง”
แก้มนั่งร้องไห้ มีตองโอบประคอง ปลอบโยนอยู่ เช่นเดียวกับกัมปนาทนอนร้องไห้ มีธนูปลอบโยนอยู่
“แต่บางคนเลือกที่จะเก็บรักษาความลับไว้เพื่อช่วยเยียวยา รักษาใจ”
แพรวาทิ้งตัวลงนอนกลางเตียงหนานุ่มของเธอ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข เมื่อนึกถึงตะวันฉายและคำหวานที่เขาป้อน
หรั่งเองยังคงนั่งอยู่เป็นเพื่อเผ่าลาภ สายตาหรั่งจับจ้องไปยังผู้เป็นนายจ้าง อย่างภักดี
“และบางคนใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการก้าวต่อไปของชีวิต”
ที่ถนนทางเดินเข้าบ้านกลางทุ่งยามนั้น โบ้อุ้มบาสน้องชายตัวเองวิ่งหน้าตั้งเหงื่อตก ออกมาตามทาง เช็งและเท่ห์วิ่งตามมาข้างๆ โบ้หมดแรง หยุด ยืนหอบ
เช็งอาสาช่วย “มา กูเอง”
โบ้ส่งน้องชายให้เช็ง...เช็งอุ้มวิ่งไปสามก้าว หันมาส่งให้เท่ห์
“เอ้า มึงบ้าง”
“อะไรวะ มึงอุ้มแค่นี้”
เช็งอ้าง “กูเป็นโรคความดัน”
เท่ห์รับน้องมาอุ้มแล้วรีบวิ่งต่อไป
“บอกให้จับไม้สั้นไม้ยาวก็ไม่เชื่อ” เท่ห์บ่น
เบิ้ม กะโอ๋ และลูกอีกสองคนวิ่งตามหลังมา เช็งหันไปเห็น
“อ้าว ตามมาทำไมกันหมดเนี่ย”
“มากันหมดนี่แหละดี เผื่อขากลับจะได้แวะบ้านผู้ใหญ่ด้วยกันเลย คิดอ่านอะไรจะได้ไม่เสียเวลา”
ทุกคนพูดไปพร้อมๆกับวิ่งเหยาะๆไปด้วย
“แล้วก้อยล่ะ” โบ้ถาม
เบิ้มบอก “ก้อยมันจะรอไอ้หรั่ง...มันบอก มันอยู่คนเดียวได้ ไม่เป็นไร”
“มันตาบอด ไม่เป็นไรหรอก....มีอะไรมันก็มองไม่เห็น” เช็งว่า
ทั้งหมดรีบเดินจ้ำ ก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ
ตู้เสื้อผ้าในห้องนอนแพรวาเปิดออก โดยมือของแพรวายื่นเขาไปดึงผ้าห่มลายตะวันฉายออกมา เมื่อปิดตู้เสื้อผ้า จึงเห็นว่ารำไพยืนดูอยู่แล้ว
“วันนี้พี่ตะวันฉายเขาคงเอาใจลูกแม่ มากเลยสิท่า” ผู้เป็นมารดาพูดเย้า
“แม่รู้ได้ไง”
“ไม่งั้นผ้าผืนนี้คงไม่ได้โผล่ออกมาจากตู้หรอก”
“วันนี้เป็นวันที่น้องแพรมีความสุขที่สุดเลยค่ะ”
แพรวาจับผ้าห่มเต้นรำ หมุนตัวไปรอบๆ รำไพมองดูอาการลูกสาวตัวเองซักพัก ก็ขยับเข้าใกล้
“น้องแพร...ชีวิตคนเรามันยังต้องเจอทุกข์เจอสุขอีกมากมาย ลูกยังต้องเจอผู้คนเจอเรื่องราวอีกหลากหลาย...มันยังไม่มีอะไรที่เป็นที่สุดหรอกลูก ไอ้สุขที่สุดวันนี้ อาจกลายเป็นทุกข์แสนสาหัสวันหน้าก็ได้”
“แม่พูดอะไรน่ะ แม่จะบอกอะไรน้องแพรเหรอ”
“แม่ก็บอกอย่างที่แม่เห็น....วันนึงที่พี่ตะวันฉายเขาทำอะไรให้ลูกไม่พอใจ แม่ก็เห็นลูกโกรธปึงปัง ทำเหมือนไม่มีวันจะดีกันอีก แล้วอยู่ๆ วันนี้ แม่ก็เห็นลูกอารมณ์ดี กลับมาพร้อมกับปลาสลิดอีกสิบกิโล...แม่กลัวว่าวันนึงข้างหน้า ถ้าลูกหวังอะไรไว้มากๆ แล้วมันไม่เป็นไปตามที่หวัง ลูกจะเป็นยังไง”
“กินยาตาย...”
แพรวาพูดเล่น แหย่แม่ แล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไปรำไพตะโกนตาม
“ดูพูดเข้า ลูกไม่ควรจะทุ่มเท จริงจังไปกับอารมณ์ของตัวเองมากนักนะลูก”
“น้องแพรไม่ใช่คนเพ้อเจ้อหรอกน่าแม่...วันนี้ทั้งวัน น้องแพรอยู่กับพี่ตะวันฉาย น้องแพรยังคุยเรื่องงานเลยนะ”
รำไพฉงน “งานอะไร?”
“พี่ตะวันเขาจะขอมาดูงานที่บริษัทคุณป๋า...เห็นมั้ยว่า เราสองคนก็มีสาระเหมือนกัน”
รูปถ่ายพี่น้องสิบสองคนนั่งเรียงแถวกัน เผ่าลาภแนะนำญาติๆ ในรูปภำให้หรั่งฟังอย่างอารมณ์ดี
“นี่คือพี่น้องฉัน ทั้งหมดสิบสองคน...เป็นไง”
“เป็นผมคงจำกันได้ไม่หมด”
“คนนี้ เฮียคิม พี่ชายคนโต ชื่อจริง ชื่ออะไรรู้มั้ย”
หรั่งมองหน้าเผ่าลาภ รอฟังต่อ
“ชาตินักรบ...เตี่ยฉันเขาอยากให้ลูกคนโตเป็นผู้สืบทอดกิจการครอบครัว เลยตั้งชื่อซะอย่างนี้เลย...ตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนคลอดซะอีก...พอออกมาเป็นผู้ชาย ดีใจฉลองกันใหญ่...แต่ชาตินักรบดันเป็นโรคปอด ร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยสะเอาะสะแอะตลอด อายุได้ 38 ปีก็ตาย”
“น่าเสียดายจัง” หรั่งว่า
“นี่เฮียย้ง ลูกชายคนที่สอง....พอเตี่ยรู้ว่าเฮียคิมอ่อนแอ แกก็รีบป๊มลูกคนที่สองเลย ได้ลูกชายเหมือนกัน ดีใจมากเหมือนเดิม แถมเฮียย้งแข็งแรงมากอีกด้วย หน่วยก้านดีเลยหละ...เตี่ยตั้งชื่อเองอีกแล้ว ชื่อว่า...เผด็จศึก”
หรั่งอย่างทึ่ง “โอ้โฮ...”
“ชื่ออลังการดีมั้ย...เตี่ยตั้งความหวังไว้กับเผด็จศึกมาก ตอนแรกแทบจะไม่เอาลูกอีกแล้วด้วยซ้ำ...อาม้าน่ะสิทักว่า ไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดหน่อยรึไง...มีน้องๆเอาไว้ช่วยพี่เผด็จศึกบ้างก็ดีนะ....เตี่ยก็เลยปั๊มฉันออกมา ไอ้ฉันก็ดันเป็นหอบหืดตั้งแต่แบเบาะ ขาลีบ ไม่มีแรงซะอีก เตี่ยก็เลยเอาต่อ ออกมาเป็นอาฮุ้ง อ้าวผู้หญิงนี่หว่า...อีกซักคนเถอะวะ เผื่อมีใครล้มหายตายจาก...ทีนี้ก็เลย เลยเถิดออกมาตั้งสิบสองคน...แต่แล้วธรรมชาติก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี เด็กคนไหนไม่แข็งแรงก็ล้มหายตายไป อุบัติเหตุก็มี พวกตกน้ำตกท่า ป่วยก็เยอะ...จนเหลือรอดมาแค่หกคนนี่แหละ”
“คุณเผด็จศึกเป็นอะไรตายครับ”
เผ่าลาภถอนใจ เปลี่ยนอิริยาบถ ท่าทีของเขาบอกให้เรารู้ว่า เป็นเรื่องที่กระทบจิตใจไม่น้อย
“เฮียย้งนี่แหละ ที่พวกเราทุกคนเสียดาย...เขาเป็นคนเก่ง พร้อมไปทุกอย่าง..ได้ทั้งบู๊ ได้ทั้งบุ๋น ทั้งดนตรี กีฬา...หน้าตาหล่ออีกต่างหาก...สาวๆ ติดเกรียว”
เผ่าลาภหันมามองหน้าหรั่ง คล้ายมีอะไรบางอย่างในใจ หรั่งรอฟังอย่างสนใจ...ราวกับเด็กน้อยที่จดจ่ออยู่กับนิทาน เผ่าลาภเดินเล่าต่อไปอีก
“เฮียย้งมีพรสวรรค์ในเรื่องเพชรพลอยมาก ทำได้หมด ทั้งขุดเอง เผาเอง เจียรเอง...เขาเป็นคนเลือกที่ดิน ที่เมืองกาญจน์ผืนนี้ ให้เราซื้อมาทำเหมือง...น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็น....การเติบโตของสิ่งที่เขารัก...”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“รถของเฮียย้งวิ่งตกเขา...อุบัติเหตุ หรือ ฆาตกรรม เราก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ ศพของเขาเราก็หาไม่เจอตราบจนทุกวันนี้...เวรกรรมมันก็เลยมาตกถึงฉัน...ฉันต้องขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้บริหารแทนเขาจนได้”
เผ่าลาภเปลี่ยนอิริยาบถ ท่าทีดูผ่อนคลายลง หรั่งดูเหมือนจะเข้าใจจิตใจของเผ่าลาภไม่น้อย
“ฉันยังไม่รู้เลยว่า ฉันจะพา M.S.ไปได้ไกลอีกซักแค่ไหน”
“คุณพามันมาถึงตรงนี้ได้ ผมว่ามันไม่ล่มสลายง่ายๆ แน่นอน”
“ถ้าหมดจากฉันแล้วล่ะ”
หรั่งสวนออกมา “คุณแพรวาไงครับ”
“ถามจริงๆ...นายคิดว่าแพรวาจะขึ้นมาแทนฉันได้เหรอ”
“ได้ครับ...ถ้าเขามีคนแนะนำดีๆ คุณแพรวามีความสามารถ แต่ยังไม่ถูกนำออกมาใช้ท่านน่าจะดึงส่วนนั้นของลูกสาวออกมาได้”
“ฉันคุยกับเธอแล้วสบายใจดี...แปลกนะ ฉันเห็นมีแต่เธอเท่านั้นหละที่จะช่วยประคองยายแพรได้”
“ท่านยังมีคุณตะวันฉายอีกคนนะครับ”
เผ่าลาภหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“ไปเถอะ ดึกแล้ว กลับบ้านได้แล้ว ขับรถดีๆล่ะ”
หรั่งขยับเดินออก เผ่าลาภมองตามหลังหรั่ง แล้วจึงเอ่ยปากเรียกเขาอีกครั้ง
“หรั่ง...”
หรั่งหันมาอย่างตั้งใจฟัง
“ชอบบ้านหลังที่ฉันให้มั้ย”
“ชอบครับ”
“ดี...ฉันดีใจ ที่บ้านหลังนั้นได้เป็นของเธอ...อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับชีวิตของเธอ หวังว่าจะมีอะไรดีๆก้าวเข้ามาในชีวิตเธออีก ในไม่ช้านี้”
หรั่งยิ้มรับแล้วเดินจากไป
เผ่าลาภนั่งผ่อนลมหายใจ หลังจากเพิ่งได้ระบายบางสิ่งบางอย่าง
เวลายามดึก หรั่งเดินเข้ามาในความมืดมิดของบ้านหลังนี้ เขาเอื้อมมือเปิดไฟ ทันทีที่ไฟสว่าง เห็นเป็นก้อยนั่งพิงผนังห้อง ในมือถือไวโอลินไว้ในสภาพพร้อมใช้เป็นอาวุธ
“ยังไม่นอนอีกเหรอก้อย เห็นบ้านปิดไฟมืด...ใครๆไปไหนกันหมดล่ะ”
“เขาพาบาสไปหาหมอ...บาสเป็นไข้ตัวร้อนจี๋เลยหรั่ง”
“แล้วไปกันยังไง”
“ผลัดกันอุ้มไป...ไปกันหมดทุกคน”
“ว้า...ถ้าหรั่งรีบกลับมา ก็คงจะไม่ต้องลำบากกัน”
“หรั่งจะรีบกลับได้ไงล่ะ...หรั่งต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”
หรั่งเดินหายไปทางส่วนที่เป็นครัว
“ก้อยจะกินอะไรมั้ย”
“ไม่ละ...หรั่ง พวกนั้นเขาคงไม่กลับมาที่นี่แล้วนะ เขาว่ามันลำบาก ไม่เหมือนบ้านเดิมของเรา...หรั่งจะกลับไปอยู่กับเขามั้ย”
หรั่งเงียบ ก้อยพอรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของหรั่ง
กรุงเทพยามเช้า ท่ามกลางความวุ่นวายจอแจ และเร่งรีบของผู้คน ยินเสียงจาก รายการวิทยุ ดีเจ. พูดต้อนรับคนฟังเข้าสู่วันใหม่ ชีวิตใหม่ และหวังว่าสิ่งใหม่ๆจะเกิดขึ้นกับเราทุกคน ปิดท้ายด้วยสป็อต สนับสนุนโดย M.S. Jewelry อัญมณีแห่งชีวิต
เช้าเดียวกันนี้ บารมี หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าสองสามใบออกมาจากห้องนอน กันทิมากำลังทำอาหารเช้าอยู่ เธอหันไปดู แปลกใจ บารมีบอกกับแม่บ้าน
“เอาไปใส่รถฉันข้างล่างที”
“ค่ะ” แม่บ้านหิ้วกระเป๋าทั้งสองสามใบนั้นลงไปอย่างว่าง่าย
กันทิมาถามขึ้นมา “คุณจะไปไหนหลายวันเหรอคะ ถึงเอากระเป๋าไปเยอะขนาดนั้น”
“ไปไหน ไม่สำคัญ เอาไว้คุณคอยดูตอนผมกลับมา...ผมจะกลับมาพร้อมกับเงินและความ
สำเร็จ...เมื่อถึงวันนั้น คุณจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุด กันทิมา”
“คงไม่ได้ไปทำเรื่องผิดกฎหมายใช่มั้ยคะ” กันทิมาย้อนถามอย่างเป็นห่วง
“กฎหมายเขามีไว้เอาผิดกับคนโง่เท่านั้น...อย่าดูถูกผัวตัวเองสิ”
บารมีหอมแก้มกันทิมา แนบชิด และ เนิ่นนาน แล้วเขาก็เดินจากไป
“คุณจะไม่ถามฉันซักคำเหรอคะ ว่า ฉันจะอยู่ยังไง”
บารมีมิได้เข้าใจความหมายนั้นเท่าไหร่ เขาหันกลับมายิ้มให้ แล้วตอบว่า
“ไม่ต้องห่วง ผมวางเงินไว้ในลิ้นชักสามหมื่นบาท...คุณอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องใช้เงินเยอะอยู่แล้วนี่...คงอยู่ได้น่า”
บารมีเดินออกไป กันทิมาผิดหวังอย่างแรง...เธอวางนิตยสารในมือลงบนโต๊ะ
มันคือหนังสือแม่และเด็ก “Real Parenting “ เล่มล่าสุด หน้าปกเป็นเด็กทารกแสนน่ารัก
เวลาเดียวกันที่บ้านกลางทุ่ง หรั่งยกหม้อแกงลงมาจากเตา เทใส่ชาม วางไว้บนโต๊ะอาหาร แล้วเดินไปยังก้อยที่นั่งพิงบันไดบ้านอยู่
รอบๆ โถงบ้าน มีเชือกผูกเป็นราวสำหรับจับยึด หรั่งพาก้อยมาที่โต๊ะอาหารตามเชือกนี้
“ก้อย มานี่มา...หรั่งอุ่นแกงส้มไว้ให้แล้วอยู่บนโต๊ะนี้นะ กินได้เลย นี่ เก้าอี้ตั้งรออยู่นี่”
หรั่งจับมือก้อยให้สัมผัสกับสิ่งของต่างๆ ตามที่เขาอธิบาย
“แล้วทีนี้ ลองเดินมาทางนี้...หรั่งขึงเชือกไว้เป็นทาง เอามือจับดูสิ เห็นมั้ย ถ้าก้อยเดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอโทรศัพท์ หรั่งวางไว้บนตู้นี่ ถ้าเสียงโทรศัพท์ดัง ก้อยก็หยิบมาแล้วเอานิ้วกดปุ่มตรงนี้...ลองดูสิก้อย”
หรั่งจับมือก้อยให้สัมผัสแป้นโทรศัพท์ มันคือโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เผ่าลาภให้เขาไว้
“ใช่มั้ย หรั่ง”
“ใช่...ตอนกลางวันหรั่งจะโทร.มาหานะ เราจะได้คุยกัน หรั่งจะได้รู้ว่าก้อยเป็นยังไงบ้าง”
ก้อยยิ้มรับ
“ทีนี้เดินเลี้ยวมาทางนี้อีก เกาะตามเชือกนี้มา...นี่ มีดอีโต้จะวางอยู่ตรงนี้”
“มีดอีโต้?”
“หรั่งเอามาจากบ้านผู้ใหญ่ ตอนย้ายบ้านน่ะ...ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก้อยคว้ามีดอีโต้นี้ไว้ก่อนเลยนะ”
ก้อยบอก “ก้อยจะพยายาม”
“ทีนี้ ถ้าก้อยหันหลังกลับ แล้วเดินตรงไปเลยนะ นั่น อย่างนั้น ก้อยจะไปโผล่ตรงระเบียงพอดี ที่ก้อยนั่งเล่นเมื่อวานน่ะ หรั่งแขวนกระดิ่งเอาไว้ด้วย พอลมพัด มันจะมีเสียงดังกังวาน ก้อยนอนหลับตรงนี้เล่นก็ได้นะ”
ก้อยนั่งลงตรงตำแหน่งที่หรั่งบอก
หรั่งขยับตัวลงนั่งข้างๆ
“ก้อย...ก้อยอยู่ได้มั้ย ถ้าไม่ได้หรั่งจะไปส่งที่บ้านผู้ใหญ่ แล้วเย็นๆจะไปรับ”
“หรั่ง ไม่ต้องลำบากหรอก...ก้อยอยู่ได้”
“แน่ใจนะ”
“ฮื่อ” ก้อยพยักหน้า “ก้อยอยากลองอยู่ตามลำพังคนเดียวบ้างเหมือนกัน...หรั่งไปทำงานที่หรั่งต้องรับผิดชอบเถอะ”
สายขึ้นมาหน่อย เห็นรถบารมีจอดอยู่ที่บ้านอรทัย ตรงลานจอด อรทัยเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับบารมี
“เจ้จะฝากอะไรไปถึงเฮียทะนงศักดิ์บ้างมั้ย”
“บอกให้เขาจับตาดูลื้อให้ดีๆ มีอะไรไม่ชอบมาพากลก็จัดการได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ...เท่านั้น
ละ” อรทัยแขวะ
“โอ๊...อะไร นี่น้องนะ ทำยังกะเป็นขโมยขะโจน ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าไปได้”
“ก็เพราะรู้น่ะสิ...เอาละ ไม่ต้องพูดมาก...ขับรถระวังๆหน่อย อย่าลืมว่ามีหลานนั่งไปด้วยนะ”
“ที่จริงน่าจะให้รถบริษัทไปส่งนะ เด็กๆ จะได้นั่งสบายๆ”
“ให้มันรู้จักลำบากบ้างน่ะดีแล้ว...เดี๋ยวจะเคยตัว”
ตองและแก้มเดินถือกระเป๋าออกมาจากบ้าน หน้าตาร่าเริง
“พร้อมแล้วค่ะ อากู๋...ไปนะม้า”
“จะอยู่กันกี่วัน” อรทัยถาม
“แล้วแต่แก้ม...ทริปนี้จัดขึ้นเพื่อแก้ม ในฐานะที่ช่วยตองท่องหนังสือ”
“ซักอาทิตย์นึงก่อนฮะ...ถ้าติดใจค่อยว่ากันใหม่” แก้มบอก
“บอกพ่อแม่เราแล้วแน่นะ”
แก้มพยักหน้า แล้วเหลือบสายตามองที่ตอง ตองบีบมือแก้ม แสดงความเข้าใจ
“ไปกันเถอะ สายแล้ว”
บารมีเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ตองและแก้ม เปิดประตูตามเข้าไป
แก้มถาม “กี่ชั่วโมงถึงฮะอา”
“ซัก สามชั่วโมง”
“แก้มช่วยขับให้เอามั้ยฮะ...ผลัดกันคนละชั่วโมงก็ได้”
บารมีบอกขำๆ “นั่งเฉยๆดีกว่านะ หลานชาย”
เวลาเดียวกันที่บ้านผู้ใหญ่เงาะ ในชุมชนจานเดี่ยว
ผู้ใหญ่เงาะยกน้ำอัดลมวางลงตรงหน้า ชายสองคนที่มาจากศูนย์พัฒนาชุมชน
ชาย 1 เอ่ยขึ้น “เราแอบไปสืบทางเจ้าของที่มาแล้วนะผู้ใหญ่...ดูเหมือนมีแนวโน้มว่า เขาจะยอมเรามากขึ้นแล้ว”
ชาย 2 เสริม “แต่เขาขอควบคุมขนาดของชุมชน...เราก็เช็คยอด แล้วบอกเขาไปว่าคงจะไม่ขยามากไปกว่านี้แล้วหละ”
“อ้าว แล้วถ้ามันออกลูกออกหลานกันมา ทำไงล่ะ”
“อันนั้นค่อยว่ากันอีกที ทีนี้ ค่าเช่าเนี่ยะ ผมว่าเราให้เขาเป็นปี คิดเป็นต่อหลังต่อปี ปีละซัก 8,500 บาท น่าจะพอไหวนะ” ชาย 1 บอก
“มันก็ไม่ทุกบ้านนะ...ไอ้บ้านขยันๆ มันก็ไหว...ไอ้พวกขี้เกียจบรรลัยนี่ก็ยุ่งเหมือนกัน”
ชาย 2 บอก “เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมาสร้างสหกรณ์ชุมชนของเรา”
ผู้ใหญ่งง “ยังไง?”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดตรงหน้าผู้ใหญ่
“ผู้ใหญ่พวกน้าเบิ้มน้าโอ๋ล่ะ” หรั่งถาม
“โน่น อยู่ทางโน้นแน่ะ”
หรั่งเดินไปตามทางที่ผู้ใหญ่เงาะชี้ ตรงไปหาโอ๋ ที่นั่งพัดให้เจ้าบาสที่นอนเหงื่อแตกอยู่
“น้าโอ๋...ไอ้บ๊าสเป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว...โชคดีที่เมื่อวานนี้ไปถึงมือหมอได้ทัน...ไม่งั้นช็อคไปแล้ว”
เบิ้มเดินเข้ามา ผู้ใหญ่ตามมาด้วยเหมือนกัน
“ถ้ามันช็อค กูก็คงช็อคด้วย” เบิ้มว่า
“มึงอยู่เข้าไปได้ยังไงวะ เปลี่ยว กันดาร ขนาดนั้น แล้วอยู่กันคนสองคน”
“ก็ถึงได้ตามให้ไปอยู่ด้วยกันเยอะๆไงล่ะ” หรั่งบอก
“อยู่ไม่ได้หรอก หรั่งเอ๊ย...เราเคยอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ อึกทึกครึกโครม ตะโกนคุยกันได้ยืมข้าวยืมของกันได้ ไปอยู่อย่างนั้นอากาศดียังไงก็ไม่คุ้ม”
“ใครเขาจะมาเช่าแตรวง ใครเขาจะมารับส่งเสื้อโหลที่ฉันเย็บ” โอ๋เสริม
“เด็กเดินโพยหวยก็ไม่มีใช่มั้ยล่ะ” ผู้ใหญ่แซว
หรั่งเข้าใจที่ผู้ใหญ่พูด เขาเถียงไม่ออก
“ไอ้โบ้ล่ะ”
“ออกไปขนไม้ขนสังกะสีกับไอ้เท่ห์ไอ้เช็ง...เราโหมกัน วันสองวันบ้านคงเสร็จพออยู่ได้...เอาก้อยกลับมาอยู่ด้วยกันเถอะวะ” เบิ้มบอก
“ก้อยเขาจะอยู่กับฉันที่โน่น...ฝากบอกไอ้เท่ห์ไอ้โบ้ไอ้เช็ง ว่างๆ ช่วยแวะไปดูก้อยให้บ้าง...ฉันไปทำงานละ”
หรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
กลางห้องประชุมบริษัท M.S. บรรดาผู้บริหารและผู้ถือหุ้นมากมายทยอยกันเดินเข้าห้องมา ส่วนที่ประตูห้อง กันทิมาเดินปะปนกับผู้บริหารคนอื่นๆ เข้ามา กันทิมา...เธอมองไปรอบๆ ยังทำตัวไม่ค่อยถูก อรทัยอยู่ไม่ไกล ทักทายกันทิมาโดยทันที
“เข้ามาทำไม...เขาประชุมผู้บริหาร M.S. JEWELRY กัน”
“ไม่ทราบค่ะ...คุณเผ่าลาภนัดให้มา” กันทิมาบอก
อรทัยงง “เฮียตงนัดเธอเหรอ”
เผ่าลาภเดินเข้ามาในห้องประชุมนี้
“อั๊วเป็นคนนัดกันทิมาเขาเอง...นั่งสิ กันทิมา”
กันทิมานั่งลงข้างๆ แพรวา ซึ่งแพรวายิ้มให้
“เฮียนี่ก็แปลก เรียกเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย จะมีใครมาอีกมั้ยเนี่ย” อรทัยบ่นบ้า
ทุกคนในห้องมองหน้ากันไปมา หรั่งเดินเข้ามาในห้อง เผ่าลาภพยักหน้าให้หรั่งนั่ง หรั่งทำตามคำสั่ง
“เอาละ ครบแล้ว...อั๊วขอแจ้งชื่อคนที่ไม่มาประชุมก่อนนะ...ลินจง ติดภาระตระเวนหาซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา ชาติชาย ติดงานที่เหมือง กำลังเร่ง วางมือไม่ได้ ส่วนทนงศักดิ์”
อรทัยบอกแทน “แพ้อากาศ”
“นายต้น แพ้อากาศเหมือนพ่อละซี อาฮุย อาหั่ง...”
“ทีหลังเฮียก็ให้เลขาแจ้งด้วยนะว่า การไม่เข้าประชุมถือเป็นความผิดที่ต้องประจานกัน” อรทัยเหน็บ
“สำนึกที่ดี ไม่ควรต้องมีใครเตือน...เรื่องแรกที่จะต้องพูดกันวันนี้ ก็คือสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักของบริษัท...โปรเจ็คท์ใหญ่ของอาฮุยถูกตัดหน้าไป...โครงการขยายพื้นที่ทำเหมืองก็ยังไม่มีความแน่นอนเรื่องการขอประทานบัตร สนามกอล์ฟยังไม่เสร็จ ติดขัดปัญหาเรื่องคนงาน ส่วนน่ำเล้งค้าข้าวมีปัญหาทั้งเรื่อออร์เดอร์และเรื่องข้าวในโกดัง...อั๊วจึงต้องแจ้งให้ทุกฝ่าย รู้จักเอาใจใส่กับงานของตนมากขึ้น อย่าให้มีความผิดพลาด หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องปิดบริษัท เลิกกิจการ แยกย้ายกันไป...เลือกเอา”
ก้อยก้าวเดินช้าๆ มือค่อยๆเอื้อมแตะไปตามเชือกที่หรั่งผูกไว้ ก้อยถือไวโอลิน เดินไปบริเวณริมระเบียง ก้อยสะดุดตรงจุดที่พื้นต่างระดับกัน...แต่ก็ประคองตัวไปจนถึงระเบียงได้ แล้วหย่อนตัวลงนั่ง เธอค่อยๆ เอาไวโอลินมาประทับร่องบ่า
ยินเสียงไวโอลินเพลงรักดังอย่างไพเราะ...ปกคลุมบ้านกลางทุ่งหลังนี้ไว้
ขณะเดียวกันรถกระบะ มีผ้าใบคลุมท้าย วิ่งเต็มเหยียดมาบนถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตลบอบอวล
เสียงร้องดังขึ้น “เฮ้ย หยุด”
รถเบรคนิ่งทันที
ที่รถคันนั้น เห็นชายสองคนนั่งเคียงกัน ชายชื่อเสือตัวดำปี๋ทำหน้าที่เป็นคนขับ ชายในเสื้อลายพร้อยข้างๆ กันคือ คำรณ
“กูจะไปวัดราษฎร์ศรัทธาธรรมนะเว้ย...มึงขับไปไหนเนี่ย”
“ก็วัดราษฎร์ศรัทธาธรรมน่ะซีลูกพี่”
“วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม คือวัดที่มีราษฎรศรัทธาแล้วก็พากันมาสร้าง...นี่มึงเห็นบ้านราษฎรซักหลังมั้ยวะ ไอ้เสือ”
“ก็ผม ก็ขับมาตามแผนที่นี่”
“แผนที่อะไรของมึง ไหนเอามาดูซิ”
“นี่ไง...” เสือยื่นให้คำรณดู “จากตู้โทรศัพท์เราตรงมา เดี๋ยวข้างหน้าก็จะเจอสะพาน สะพานแรกตรงไป สะพานที่สองช่างมัน พอถึงสะพานที่สาม ก็นับไปสี่เสาไฟฟ้า แยกข้างหน้าเลี้ยวซ้าย ตรงไปเจอตลาด ผ่านหน้าเขียงหมู ดูซุ้มวัดสีแดง ตรงเข้าไปจอดเลย”
คำรณด่า “มึงเลี้ยวผิดแล้ว...จากตู้โทรศัพท์เลี้ยวเข้ามาตั้งนาน กูไม่เห็นมีเลย สะพานสาม”
“ก็ยังไม่ถึงสะพานแรกเลยพี่”
“ตกลงมันอยู่จังหวัดไหนวะ ไอ้สะพานแรกน่ะ...แล้วบ้านซักหลังแถวนี้ ก็ไม่มี”
“โน่นไงบ้าน”
เสือชี้ไปข้างหน้า คำรณมองตาม เห็นบ้านกลางทุ่งอยู่ไกลๆ...ไวโอลินส่งเสียงมาแว่วๆ
“อาจเป็นบ้านเจ้าของงานก็ได้”
คำรณตบหัวเสือ
“มีบ้านอยู่หลังเดียวแค่นี้...เช่าเครื่องดนตรีมาบูชารึไง”
“งั้นแวะไปถามทางเขาหน่อยก็ยังดี”
เสือขับรถออก...ฝุ่นก่อตัวอีกจนได้...เสียงไวโอลินดังมากขึ้น
เสียงไวโอลินดังต่อเนื่อง รถกระบะคันนั้นแล่นเข้ามาจอด คำรณลงจากรถ แล้วจู่ๆ เขาก็ชะงัก
“เฮ่ย...กูว่ากูคุ้นกับไวโอลินสำเนียงอย่างนี้ว่ะ”
คำรณเดินเข้าบ้านไป เสือก้าวลงจากรถทีหลัง
“ไวโอลินที่ไหนๆ ก็เสียงอย่างนี้ทั้งนั้นหละ...ลูกพี่เว่อร์จริงๆ”
ไอ้เสือปิดประตูล็อครถแล้วเดินตามเข้าไปทีหลัง
ก้อยยังนั่งสีไวโอลินอยู่ ส่วนที่ด้านหลังของเธอ คำรณก้าวเข้ามาหยุดยืนฟังเพลงนิ่ง เสือตามมาทีหลัง มันกำลังจะเดินแซงคำรณเข้ามาในบ้าน คำรณยกมือขวางให้มันหยุดยืนนิ่ง
ก้อยเล่นเพลงถึงท่อนสุดท้ายและจบลง คำรณยังยืนนิ่งอยู่ ก้อยขยับตัวลุกขึ้น เตะเอาแก้วน้ำข้างตัวล้มกลิ้ง คำรณหัวเราะลั่น
“นั่นไง ว่าแล้ว สำเนียงมันคุ้นๆ...ราชินีบอดของพี่นี่เอง”
ก้อยรีบคลำไปตามแนวเชือก เธอคว้ามีดอีโต้มากระชับไว้ในมือ
“อย่านะ อย่าเข้ามานะ...มีดอีโต้คมนะจะบอกให้”
“ใจเย็นน้องสาว จำพี่ได้มั้ย...เอ้อ คงไม่ได้หรอก ก็มองไม่เห็นนี่นา เนอะ”
“แกต้องการอะไร”
“เราหลงทางมา...แต่ขอเตือนว่าเธอต้องระวัง คมมีดจะบาดหน้าเอานะนั่น”
ก้อยพลิกคมมีดไปด้านตรงข้ามตัว
“นี่พี่คำรณไง ที่เคยให้นามบัตรน้อง ที่บ้านตาเบิ้มน่ะ...”
“เหรอ...” ก้อยพยายามนึก
คำรณหย่อยก้นลงนั่งสบายๆ แต่ก้อยยังระแวดระวังอยู่
“ย้ายบ้านมาอยู่นี่ก็ไม่บอก...แสดงว่าฐานะดีขึ้น...อยู่กันกี่คนล่ะ”
“หลายคน”
“ไม่เห็นมีซักคน”
“เดี๋ยวก็มา...ถ้าพวกนายทำอะไรฉันละก้อ เสร็จแน่”
คำรณหัวเราะ
“ไม่ได้ทำอะไร...จะถามทางไปวัดหน่อย...ที่เขามีงานบวชน่ะ” เสือถาม
“ฉันไม่รู้หรอก...ฉันเพิ่งมาอยู่ได้สองวัน” ก้อยบอก
“ไอ้เสือ มึงย้อนออกไปปากทางเก่าเลย...ถามคนแถวนั้นแล้วค่อยกลับมารับกู”
เสือเดินออกไป คำรณขยับมาใกล้ก้อย
“น้องสาว...สนใจงานที่พี่เคยเสนอไปรึเปล่าจ๊ะ...น้องก้อย”
ก้อยยังไม่ค่อยแน่ใจในชายแปลกหน้าคนนี้นัก
ที่ ห้องประชุมบริษัท M.S. เผ่าลาภและผู้บริหารทุกคน พร้อมหน้า เผ่าลาภพูดเสียงดัง
“เอาละ มาถึงเรื่องสุดท้ายสำหรับวันนี้ เป็นเรื่องของกันทิมาและนายหรั่ง”
อรทัยขัดขึ้น “ที่จริงควรจะเป็นเรื่องแรก”
“เนื่องจากเรามีนโยบายที่จะขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องเสริมบุคลากรด้านนี้ให้พร้อมที่จะรองรับแผนงานต่างๆ คุณปีเตอร์เองก็รับผิดชอบด้านนี้ให้เรามานาน โดยไม่เคยมีผู้ช่วย ผมจึงขอแต่งตั้งกันทิมา ซึ่งมีประสบการณ์ด้านงานประชาสัมพันธ์โรงแรมมาแล้วหลายแห่ง ให้เป็นผู้ช่วยของคุณปีเตอร์นับตั้งแต่วันนี้”
กันทิมามีท่าทีตื่นเต้นอยู่ลึกๆ
“โอ้ ขอบคุณมากครับ” ปีเตอร์หันมาทางกันทิมา “ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะคุณกันทิมา”
กันทิมารับคำ “ค่ะ” ดูตื่นๆ
ปีเตอร์ยื่นมือออกไปจับกับกันทิมา
“จะทำได้เร้อ...กันทิมาเขาไม่ได้ทำงานมากี่ปีแล้วนะ” อรทัยท้วง
“คนที่พักไปนานๆอาจจะมีไฟมากกว่าคนที่ทำงานอยู่ทุกวี่ทุกวันก็ได้” เผ่าลาภบอก
“แล้วพ่อคนนั้นล่ะ” อรทัย บุ้ยใบ้ไปทางหรั่ง “เฮียจะเอามาเป็นผู้ช่วยคุณสมานผู้อำนวยการฝ่าย
ประสานงานในประเทศรึเปล่า”
หรั่งพยายามเก็บอารมณ์นิ่ง แพรวาลอบมองดูที่หรั่ง
“ทุกคนฟังให้ดี...ต่อไปนี้ถ้าพวกเราใน M.S.เห็นนายหรั่งเดินไปไหนมาไหนกับฉัน หรือกับแพรวา ก็ขอให้รู้เลยว่า นายหรั่งเป็นเลขาส่วนตัวของฉัน”
ทุกคนส่งเสียงซุบซิบ ฮือฮา หลากหลายความคิดเห็น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วย หรั่งและแพรวา มองหน้ากัน อรทัยหงุดหงิดไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
“เฮียก็มีเลขาแล้วนี่”
ปีเตอร์ขัดขึ้น “ระดับ M.D. มีเลขากี่คนก็ได้ครับ แล้วงานยุ่งๆอย่างคุณเผ่าลาภ ผมว่าเลขาที่มีอยู่ น้อยไปด้วยซ้ำ ควรแต่งตั้งเพิ่ม เพื่อช่วยลดภาระคุณเผ่าลาภให้มากที่สุด”
อรทัยเปรยเหน็บแนมหรั่งดังๆ “แหม จับผิดครั้งเดียวได้เป็นเลขา M.D. เลยเว้ย...อีกหน่อยพนักงานในบริษัทนี้ไม่เป็นอันทำงานแล้ว คงเอาแต่ จ้องจับผิดกันทั้งวัน”
“ก็มันมีผิดให้จับมั้ยล่ะ อาฮุ้ง” เผ่าลาภเสียงดังกว่า
อรทัยเงียบเสียงลงได้
“ขอฝากพวกเราไว้อีกเรื่องนึงนะ ระยะนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในบริษัท...ขอให้ทุกคนจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไว้ อย่าพยายามสร้างปัญหาใดๆ เราจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ ดังเช่นอดีตกาลที่ผ่านมา”
บรรดาผู้บริหารมากมายเดินออกจากห้องประชุม หรั่งเดินมาตามทางเดินหน้าห้องกโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของตนอย่างกระวนกระวาย ท่าทางของหรั่งบอกให้เรารู้ว่า โทรศัพท์มือถือของเขาคงมีปัญหาอะไรบางอย่าง หรั่งเดินมาหยุดหน้าโต๊ะพนักงาน
โดยที่ด้านหลังเห็น เผ่าลาภ ปีเตอร์ กันทิมา และแพรวายืนคุยกันอยู่ หรั่งบอกกับพนักงาน
“ขอใช้โทรศัพท์หน่อยนะครับ”
“ค่ะ” พนักงานรับคำ
“โทร.เข้ามือถือนะครับ”
“สำหรับเลขาส่วนตัวคุณเผ่าลาภ...โทร.ไปต่างประเทศยังได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หรั่งกำลังกดหมายเลข แพรวาเดินมาใกล้ๆ
“นายหรั่ง...เดี๋ยวว่างแล้วไปพบคุณป๋าที่ห้องด้วยนะ”
“ครับ”
แพรวาเดินออกไป หรั่งต่อโทรศัพท์ติดพอดี
“ฮัลโหล ก้อย...”
หรั่ง ชะงัก สีหน้าเปลี่ยนถามเสียงดัง “นั่นใครน่ะ”
ที่บ้านกลางทุ่ง คำรณยืนพูดโทรศัพท์ ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ผมคำรณครับ...คุณจะพูดกับใครไม่ทราบ”
“คุณมายุ่งกับโทรศัพท์ของผมได้ยังไงเนี่ย”
ก้อยนั่งอยู่ด้านของคำรณ
“มันดังน่ะสิ ผมก็เลยรับให้...ถ้าจะพูดกับสาวสวยที่นัยตามองไม่เห็นละก้อ...เธอนั่งอยู่ตรง
นี้เอง...ไม่ทราบพอจะบอกได้มั้ยครับว่าคุณคือใคร”
“หรั่ง”
คำรณยื่นโทรศัพท์ให้ก้อย ก้อยรับมันมาพูด
“ฮัลโหล”
“ก้อย ทำไมมีผู้ชายเข้ามาอยู่ในบ้าน”
เสียงก้อยดังออกมา “เขาหลงทาง จะมาถามทางไปวัด”
“แล้วปล่อยให้เขาเข้ามาถามถึงในบ้านเรา อย่างนี้ไม่ดีนะ...เขามาดีรึเปล่าเราก็ไม่รู้”
“ไม่มีอะไรหรอก...เขาคือคนที่เคยมาเช่าเครื่องดนตรีของน้าเบิ้มไง หรั่ง”
“ถ้ามีอะไร อย่าลืมมีดอีโต้อันนั้นนะ...อยู่ได้ใช่มั้ยก้อย”
“โอเค. ไม่ต้องเป็นห่วง...หรั่งทำงานไปเถอะ”
เสียงหรั่งดังลอดออกมาจากมือถือ “แล้วเย็นนี้จะซื้อก๋วยเตี๋ยวไปฝากนะ”
“จ้ะ”
ก้อยวางหูโทรศัพท์ เสือวิ่งเข้ามายังคำรณทันที
“ลูกพี่...รู้แล้วลูกพี่ เหมือนที่คิดเลย”
“ยังไงวะ”
“เราเลยแยกมาสี่เสาไฟฟ้าแล้วครับ...”
“กูว่าแล้วเชียว...เอ้อ แล้วตกลงน้องก้อยสนใจข้อเสนอพี่คำรณมั้ย”
“ถ้ามันทำให้ได้เงินเป็นกอบเป็นกรรมขึ้นมา ก้อยสนใจค่ะ”
“เท่านั้นแหละ...ไอ้เสือ มึงไปหยิบกีตาร์โปร่งหลังรถมาให้กูหน่อย”
เสือเดินออกไปทำตามคำสั่ง
“หลงทางครั้งนี้ พี่มีแต่ได้จริงๆ”
คำรณหัวเราะร่าเริง ส่วนก้อย เหมือนมีความหวังอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจเธอ
เผ่าลาภนั่งดูจอคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องทำงาน ขณะพูดโทรศัพท์ไปด้วย ที่หน้าจอคอมพ์ แสดงรายการเบิกเงินจากชาติชาย
“มันต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ อาเหลียง”
ชาติชายยืนพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งในสำนักงานเหมือง
“ถ้าจะเร่งให้เสร็จพร้อมกันหมดก็ใช่ แต่ถ้าเฮียอยากตัดออก ก็ต้องเลือกดูเป็นส่วนๆ อย่างสนามกอล์ฟ ถ้าเฮียยอมให้เสร็จช้าลงกว่านี้ ก็ตัดออกได้...งบประมาณด้านการสำรวจ อันนี้คงตัดไม่ได้ เพราะถ้างานสำรวจแบบละเอียดยังไม่เสร็จ เราจะตัดสินใจทำอะไรกันไม่ได้เลย ส่วนงบสำหรับพิพิธภัณฑ์ เฮียตัดไปเถอะ เพราะไม่มีใครสนใจงานนี้อยู่แล้วนอกจากผมคนเดียว สุดท้ายก็คือกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้าน ถ้าเฮียไม่อยากมีปัญหากับคนท้องถิ่น เฮียก็ต้องทุ่มงบส่วนนี้ ไม่ให้น้อยกว่าพวกเทพทอแสง”
“งั้นอั๊วเอาตามนี้ละ ไม่ตัดอะไรทั้งนั้น”
“อีกเรื่องนึงครับเฮีย...ผมอยากให้เฮียลองเช็คดูว่า คนที่เฮียส่งมาอยู่ที่เหมืองน่ะ ยังไว้ใจได้อยู่หรือเปล่า”
“เกิดอะไรขึ้น”
“หลายครั้งที่เราขุดได้พลอยก้อนขึ้นมาเยอะๆ พอถึงขั้นตอนการคัดพลอย...มันกลับเหลือพลอยเข้าสต็อคแค่เพียงนิดเดียว”
เสียงเผ่าถาม “มีการยักยอก”
“อาจจะเป็นช่วงก่อนส่งพลอยเข้าสต็อค”
เผ่าลาภสูดหายใจลึกๆ อย่างครุ่นคิด
“ขอบใจนะที่เตือนอั๊ว...อ้อ มีอีกเรื่องนึงที่ลื้อควรจะรู้ไว้...ตอนนี้กันทิมามาทำงานที่ออฟฟิศ
แล้วนะ อั๊วให้เขามาช่วยด้านการตลาดต่างประเทศ”
ชาติชายถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
“ช่วยงานคุณปีเตอร์เขา...หวังว่าลื้อคงไม่มีปัญหาอะไรนะ...ว่าไง...อาเหลียง...อั๊วถามว่า
ไม่มีปัญหาใช่มั้ย...ฮัลโหล...ฮัลโหล”
“ครับ” ชาติชายวางโทรศัพท์ลง หน้าตายังคงนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น
ส่วนเผ่าลาภวางโทรศัพท์ลง เขานั่งครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงกดโทรศัพท์พูดกับเลขา
“โทร.หาเฮียเขียวที คอนเฟิร์มที่นัดเขาไว้...บอกเขาว่าเตรียมเช็คเงินสดไว้ด้วย ฉันจะเอาพลอยดิบไปให้ดู คืนนี้”
สีหน้าเผ่าลาภเครียดเคร่ง
อ่านต่อตอนที่ 10